พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1235-1236

 บทที่ 1235 ประมุขปราชญ์หกลัทธิคนใหม่

โดย

Ink Stone_Fantasy

จินม่านเอานิ้วจิ้มหน้าอกเขา “จุดประสงค์ที่เจ้ามาที่นี่คืออะไรล่ะ? ทำเรื่องที่เจ้าควรจะทำ ทำเรื่องที่ประมุขปราชญ์ควรจะทำ!”


แย่แล้ว! เมื่อเห็นอีกฝ่ายใกล้จะใช้ความรุนแรง เหมียวอี้ก็ไม่พูดอะไรแล้วเช่นกัน ได้แต่พยักหน้าซ้ำๆ


จินม่านที่หันหน้าหนีแล้วถอนหายใจเดินไปเดินมาสองสามก้าว พยายามสงบสติอารมณ์ตัวเอง แล้วกันมาหาสตรีชุดเหลืองสองคนที่เฝ้าอยู่ทางซ้ายและขวาของประตูตำหนักหลัง “พวกเจ้ามานี่หน่อย”


สตรีชุดเหลือสองคนรีบเข้ามาคำนับทันที “ประมุขขุนพล!”


“นางชื่อเหลียงหรง” จินม่านชี้ไปที่คนตัวสูงกว่า แล้วก็ชี้ไปที่คนตัวเตี้ยเพื่อแนะนำให้เหมียวอี้รู้จักอีก “นางชื่อหมี่หลิง ประมุขปราชญ์ผู้สง่าน่าเกรงขาม ถ้าข้างกายไม่มีใครดูแลก็จะฟังดูเหลวไหล ข้าเลือกให้มาดูแลเจ้าด้วยตัวเอง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกนางสองคนจะคอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายเจ้า พร้อมทั้งคอยปกป้องเจ้าด้วย แต่ข้าจะขอเตือนเจ้าเอาไว้ก่อนนะ ทางที่ดีเก็บอาการลามกจกเปรตของเจ้าเอาไว้สักหน่อย อย่าคิดว่าตัวเองเป็นประมุขปราชญ์แล้วะทำอะไรได้ตามอำเภอใจ พวกนางล้วนเป็นนักพรตบงกชรุ้ง ทางที่ดีเจ้าก็ชั่งน้ำหนักดูสักหน่อย และแน่นอน ถ้าพวกนางสองคนเต็มใจเอง เช่นนั้นก็คิดเสียว่าข้าไม่ได้พูดอะไรก็แล้วกัน”


เหมียวอี้ชำเลืองมองผู้หญิงทั้งสองคน คิดในใจว่าจะมาปกป้องตนหรือจะมาจับตามองตนกันแน่ ยิ่งไปกว่านั้นประมุขขุนพลท่านนี้ก็เข้าใจเขาผิดแบบถลำลึกเกินไป แต่พอนึกถึงภาพที่เปิดโลงศพแล้วค้นตัวผู้หญิงคนนี้ก่อนหน้านี้ สายตาก็อดไม่ได้ที่จะเกลื้องกลิ้งอยู่บนเรือนร่างของจินม่าน


จินม่านเหมือนรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง กำนิ้วทั้งห้าเอาไว้ เกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะโบกเหมียวอี้สักฝ่ามือ แต่สุดท้ายก็อดทนไว้ได้ นางพ่นเสียงทางจมูก “เฮอะ” แล้วกันตัวเกินออกไป พร้อมทั้งพูดทิ้งท้ายไว้ว่า “ลานบ้านหลังตำหนักข้าปล่อยให้ว่างแล้ว ถ้ามีเรื่องอะไรก็มาหาข้าที่ลานบ้านด้านข้างได้ทุกเมื่อ รีบเพิ่มวรยุทธ์ของตัวเองแข่งกับเวลา วรยุทธ์ของเจ้าต่ำเกินไปจริงๆ ตอนนี้ยังทำอะไรไม่ได้ ส่งประมุขปราชญ์ไปพักผ่อน!”


มือที่กำลังไขว้หลังดีดกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งกลับมา เหมียวอี้รับมาตรวจดูในมือ พบว่าข้างในมียาแก่นเซียนนับไม่ถ้วน


เหมียวอี้งงทันที ก่อนหน้านี้ค้นตัวนางไม่เห็นเจออะไร เมื่อครู่นี้ก็ไม่เห็นว่าบนตัวของผู้หญิงคนนี้จะมีของอะไรด้วย ไปเอามาจากไหนนะ


“ประมุขปราชญ์ เชิญเจ้าค่ะ!” เหลียงหรงและหมี่หลิงยื่นมือเชิญอยู่ทางซ้ายและขวา


เหมียวอี้ที่กลับมาถึงลานบ้านใหญ่หลังตำหนักไม่มีอารมณ์จะเข้าพัก เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ในลานบ้าน ครุ่นคิดแผนการที่จะเอาตัวรอดจากที่นี่ ผู้หญิงสองคนที่คอยดูแลตนอยู่ที่นี่ก็คือปัญหา ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เหมือนกำลังเฝ้าจับตาดู…


ยังเดินวนได้ไม่กี่รอบ ด้านนอกก็มีคนรายงานว่า “ประมุขปราชญ์ ประมุขปราชญ์อีกห้าลัทธิรวมตัวกันมาขอเข้าพบขอรับ”


“ประมุขปราชญ์อีกห้าท่าน?” เหมียวอี้งุนงง ถามอย่างสงสัยว่า “อีกห้าลัทธิก็มีประมุขปราชญ์แล้วเหมือนกันเหรอ?”


ผู้ที่มารายงานตอบว่า “เป็นสหายห้าท่านของประมุขปราชญ์ขอรับ”


“…” เหมียวอี้ตกตะลึงอ้าปากค้าง พวกอวิ๋นอ้าวเทียนก็ได้เป็นประมุขปราชญ์แล้วเหรอ? เขาไม่ค่อยกล้าเชื่อเท่าไร “ไปเชิญมา!”


“ขอรับ!” หลังจากคนที่มารายงานออกไปได้ไม่นาน ด้านนอกประตูก็มีคนกลุ่มหนึ่งเข้ามา พวกอวิ๋นอ้าวเทียนมาพร้อมผู้ติดตามที่เป็นโจรกบฏสองคน ทำให้มาพร้อมกันรวดเดียวสิบห้าคน


เช่นเดียวกับเหมียวอี้ ทั้งห้าล้วนเปลี่ยนใส่เสื้อผ้าที่โดดเด่นสะดุดตา แต่ละคนมีลักษณะท่าทางไม่ธรรมดา มีสง่าราศียิ่งกว่าเหมียวอี้เสียอีก ถึงอย่างไรก็อยู่เหนือคนอื่นมาเป็นเวลานาน ท่วงท่าก็เห็นๆ กันอยู่ โดยเฉพาะมู่ฝานจวิน สวมชุดสีขาวราวกับหิมะ ไม่รู้ว่าชุดทำมาจากวัสดุอะไร สีขาวสวยงาม ยังแต่งตัวเป็นผู้ชายไม่เปลี่ยน แยกอยากมากว่าเป็นหญิงหรือชาย ดูมีรสนิยมมาก


พอเห็นการแต่งตัวของเหมียวอี้ ทั้งห้าก็สบตากันแวบหนึ่ง ให้ความรู้สึกทั้งอยู่ในความคาดหมายและอยู่นอกเหนือความคาดหมาย


“มีอะไรก็เข้าไปคุยกันข้างใน” ขณะที่เหมียวอี้กำลังจะเอ่ยปาก อวิ๋นอ้าวเทียนก็แย่งพูดก่อน จากนั้นหันกลับไปตะคอกสั่งผู้ติดตามสองคนของตัวเอง “พวกเจ้ารออยู่ข้างนอกก่อน” พูดจบก็เดินก้าวยาวเข้าไปในโถงหลัก


“พวกเราก็รออยู่ข้างนอกเหมือนกัน!” พวกมู่ฝานจวินก็ตะคอกสั่งอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าบ้านกล่าวอะไร แต่ละคนเดินเข้าไปในโถงหลักเองโดยไม่ได้ต้องเชิญแล้ว


พอเห็นพวกอวิ๋นอ้าวเทียนวางมาดสั่งผู้ติดตามที่เป็นโจรกบฏตรงๆ เหมียวอี้ก็มองดูผู้ติดตามสองคนที่ถูกส่งมาให้ตัวเอง พอคิดถึงความรอบคอบระมักระวังของตัวเอง ก็รู้สึกตื่นตระหนกตกใจนิดหน่อย


“พวกเจ้าก็รออยู่ข้างนอกเหมือนกัน!” เหมียวอี้ก็เริ่มแข็งกร้าวกับเหลียงหรงและหมี่หลิงแล้ว


พอเข้ามาด้านใน เห็นทั้งห้าต่างคนต่างหาที่นั่งเองแล้ว เหมียวอี้ก็เอยปากถามทันทีว่า “พวกเจ้าก็ได้เป็นประมุขปราชญ์ห้าลัทธิเหมือนกันเหรอ?”


ซือถูเซี่ยว “เรื่องนี้มีเงื่อนงำนิดหน่อย ช่างทำให้คนรู้สึกเหลือเชื่อจริงๆ อาศัยศักยภาพของพวกเราสามารถเป็นประมุขปราชญ์ได้ด้วยเหรอ?”


“มีเงื่อนงำจริงๆ” เหมียวอี้ส่ายหน้า และนั่งลงบนเก้าอี้ยาวแล้วเช่นกัน


อวิ๋นอ้าวเทียนเหล่ตามองมา “คนที่มีเงื่อนงำที่สุดก็คือเจ้านั่นแหละ ตอนนี้ก่อเรื่องจนเป็นแบบนี้แล้ว เจ้าบอกมาเสียดีๆ ที่เจ้าถ่อมาถึงนี่เพราะคิดจะทำอะไรกันแน่?”


เหมียวอี้ยกมือสองข้าง “ข้าเข้ามาทำอะไรที่แดนอเวจีใช่ว่าพวกเจ้าจะไม่รู้เสียหน่อย ก็เพื่อทดสอบให้ได้คะแนนดีๆ ไงล่ะ ไม่อย่างนั้นใครจะมาที่นี่ได้ล่ะ?”


มีแต่ผีเท่านั้นแหละที่เชื่อ! ทั้งห้าสบตากันแวบหนึ่ง


เมื่อเห็นเขาไม่ได้ตอบอย่างซื่อสัตย์ จีฮวนก็พ่นเสียงทางจมูกแล้วบอกว่า “ยังคิดจะทดสอบให้ได้คะแนนดีๆ อยู่อีกเหรอ เจ้าออกไปให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ ตอนนี้ข้ากังวลว่าลูกสาวข้าจะเป็นหม้าย”


“เจ้าหวังจะเห็นลูกสาวตัวเองเป็นหม้ายมากเลยใช่มั้ยล่ะ?” เหมียวอี้ถามกลับ


จีฮวนพูดไม่ออกแล้ว ฉางเหลยโบกมือบอกว่า “ตอนนี้ยังมีอารมณ์มาปะทะฝีปากกันอีกเหรอ? ตอนนี้พวกเรามาคิดกันเถอะว่าจะเอาตัวรอดยังไง เออใช่ ตอนนี้เหมือนจะไม่จำกัดให้พวกเราใช้ระฆังดาราแล้ว เหมียวอี้ เจ้ารู้จักกับเกาก้วนอะไรนั่นไม่ใช่หรอ รีบติดต่อสิ ดูว่าจะสามารถนำทัพใหญ่ตำหนักสวรรค์มาได้รึเปล่า ถึงตอนนั้นก็คิดหาทางพาพวกเราออกไป”


เหมียวอี้เอามือลูบจมูก เขากับเกาก้วนแค่รู้จักกันเฉยๆ ความสัมพันธ์ยังไม่ได้ดีถึงขั้นที่จะให้เกาก้วนช่วยตนพาห้าคนนี้ออกไป แถมเจ้าพวกนี้ยังฝึกหกเคล็ดวิชาพิเศษอีกด้วย ถ้าพูดถึงต่อหน้าเกาก้วนจริงๆ แบบนั้นก็ยุ่งยากแล้ว ก่อนหน้านี้เพื่อที่จะทำให้ห้าคนนี้สงบลงและไม่เปิดเผยฐานะที่ตำหนักสวรรค์ของเขา เขาจึงหลอกตบตาไปอย่างนั้น ที่จริงไม่มีทางพาพวกเขาออกไปได้เลย


ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงหาข้ออ้างบอกว่า “ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ พวกเราไม่มีที่ให้หลบแล้ว ถ้าให้ทัพใหญ่ตำหนักสวรรค์โจมตีเข้ามาจริงๆ โจรกบฏกลุ่มนี้ก็จะสังเกตได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทันที ดีไม่ดีอาจจะควบคุมตัวพวกเราไว้ก่อนก็ได้ ดูสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ”


“เจ้าใจกล้ามากไม่ใช่เหรอ? ขนาดที่นี่ยังกล้ามา แต่กลัวเรื่องแค่นี้เนี่ยนะ?” จีฮวนถามอย่างแปลกใจ


เหมียวอี้จอบว่า “ก็ต้องกลัวอยู่แล้วล่ะ ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าที่นี่คือรังของโจรกบฏ ตอนนี้แน่ใจแล้วจะยังกล้าทำซี้ซั้วอีกได้ยังไง”


การเจรจาไร้ผลลัพธ์ ที่นี่คือรังของโจรกบฏ ทุกที่ล้วนมีหูตาของโจรกบฏ ไม่ว่าจะเป็นเพราะสภาพแวดล้อมหรือศักยภาพของอีกฝ่าย ตอนนี้พวกเขายังคิดหาทางปลีกตัวออกไปไม่ได้ ทำได้เพียงรอคอยโอกาสที่เหมาะสม รอให้เข้าใจสถานการณ์ชัดเจนก่อนแล้วค่อยว่ากัน


“ขออภัยที่ส่งได้เพียงตรงนี้!” เหมียวอี้ที่เอามือไขว้หลังกล่าวกลั้วหัวเราะอยู่ในลานบ้าน


ไม่มีใครสนใจเขา พอออกจากประตูลานบ้านมาแล้ว พวกอวิ๋นอ้าวเทียนก็ไม่ได้รีบออกไป แต่สำรวจสภาพแวดล้อมของที่นี่ พวกเขาเดินมาถึงข้างหน้าผมที่ตั้งตระหง่านอยู่ริมทะเล ด้านล่างมีคลื่นซัดกระทบฝั่งอย่างรุนแรง


“ที่ดาวของข้ามีแหล่งน้ำอยู่แทบทุกที่ มีหมอกพิษอบอวลทั้งวัน สภาพแวดล้อมของที่นี่ดีกว่าของพวกเราตั้งเยอะ” จีฮวนพลันกล่าวอย่างทอดถอนใจ


“แหล่งน้ำก็เหมาะกับการอยู่อาศัยของปีศาจเฒ่าอย่างเจ้าไม่ใช่เหรอ ยังมีอะไรไม่พอใจอีก” ซือถูเซี่ยวกล่าว


อวิ๋นอ้าวเทียนหันกลับมามองผู้ติดตามกลุ่มหนึ่งที่อยู่ข้างหลังไม่ใกล้ไม่ไกล แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “สภาพแวดล้อมไม่ดีก็ทำได้เพียงอดทนไปก่อน ตอนนี้ทำได้แค่รอดูสภานการณ์ไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน ดูว่าโจรกบฏกลุ่มนี้คิดจะเล่นบ้าอะไรกันแน่”


พวกเขาได้ยินแล้วแอบพยักหน้า กลับเป็นมู่ฝานจวินที่ตั้งแต่มาที่นี่ก็ขมวดคิ้วเงียบๆ มาตลอดที่ถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ทำไมต้องอยากออกไปจากที่นี่ด้วยล่ะ? บางทีที่นี่อาจจะเป็นที่ลงหลักปักฐานก็ได้!”


“…” อีกสี่คนที่เหลือได้ยินแล้วหันหน้ามองมาพร้อมกัน ทุกคนมองนางอย่างค่อนข้างแปลกใจ ไม่รู้ว่าทำไมนางถึงพูดแบบนี้?


ฉางเหลยแปลกใจ ถ่ายทอดเสียงถามว่า “หมายความว่ายังไง? อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดจริงๆ ว่าพวกเขาอยากให้พวกเราเป็นประมุขปราชญ์จากใจจริง?”


มู่ฝานจวินที่ขมวดคิ้วไม่คลายกล่าวเนิบๆ ว่า “พวกเราออกไปแล้วยังไงล่ะ? พวกเราฝึกหกเคล็ดวิชาพิเศษของพิภพใหญ่นะ ในสายตาของตำหนักสวรรค์พวกเราต่างอะไรกับโจรกบฏ? ถ้าพวกเราจะเที่ยวเร่ร่อนหากินอยู่ข้างนอก ไม่ช้าก็เร็วจะต้องโดนเปิดโปง พูดถึงในกรณีที่เลวร้ายที่สุด เมื่ออยู่ที่พิภพใหญ่ พวกเราก็คือโจรกบฏในสายตาของตำหนักสวรรค์ เดิมทีพวกเราก็เป็นพวกเดียวกันกับโจรกบฏพวกนี้อยู่แล้ว ถ้าจะต้องหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ข้างนอก ไม่สู้ลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่อย่างสง่าผ่าเผยดีกว่า”


ทุกคนพากันเงียบงันพูดไม่ออก


อวิ๋นอ้าวเทียนบอกว่า “ถึงแม้จะพูดอย่างนี้ก็เถอะ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าโจรกบฏกลุ่มนี้หน้าเนื้อใจเสือกับพวกเราหรือไม่ ต่อให้จะไม่มีเจตนาร้ายกับพวกเรา แต่การโดนขังอยู่ที่นี่จะมีอนาคตเหรอ? ถ้าโดนขังอยู่ที่นี่นานๆ จะต่างอะไรกับอยู่พิภพเล็ก? ที่พวกเรารีบออกจากพิภพเล็กมาที่นี่ก็เพื่ออะไรล่ะ? ที่จริงที่นี่ยังเทียบกับพิภพเล็กไม่ได้ด้วยซ้ำ อย่างน้อยที่พิภพเล็กก็ยังมีทรัพยากรฝึกตน แต่ที่นี่ล่ะ? อย่าบอกนะว่าพวกเราจะต้องโดนขังอยู่ที่นี่จนแก่ตาย?”


“อย่าบอกะนว่าหลังจากรับตำแหน่งประมุขปราชญ์ลัทธิมารแล้ว พวกเขาไม่ได้ให้ทรัพยากรฝึกตนกับเจ้า?” มู่ฝานจวินถามกลับ


อวิ๋นอ้าวเทียนตอบว่า “ให้แล้ว เพียงพอให้ข้าเพิ่มวรยุทธ์ถึงระดับบงกชรุ้ง อาจจะพอให้ช่วยเพิ่มวรยุทธ์ถึงบงกชรุ้งขั้นห้าด้วยซ้ำ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่สนใจใยดีลูกศิษย์และลูกๆ ที่มามาด้วยใช่มั้ย? และเย่สิงคงประมุขขุนพลลัทธิมารก็บอกไว้แล้ว ว่านี่คือของที่กักเก็บไว้ ที่แดนอเวจีขาดแคลนทรัพยากรฝึกตน หลังจากนักพรตที่แดนอเวจีใช้ทรัพยากรฝึกตนที่นำมาด้วยในปีนั้นหมดแล้ว ก็หมดค้างอยู่อย่างนั้นมาตลอดจนถึงตอนนี้ เมื่อได้ทรัพยากรมานิดหน่อยจากการปล้นฆ่า ก็นำมาเป็นรางวัลให้คนที่มีผลงานหมด ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือทรัพยากรฝึกตนของที่นี่ไม่มีทางอยู่ได้นาน เทียบกับภายนอกไม่ติดเลย ไม่มีทางคงอยู่ได้ยาวนาน”


มู่ฝานจวินจึงบอกว่า “พวกเขาเองก็ไม่ได้ใช้ สามารถนำทรัพยากรที่สะสมไว้มาให้พวกเราได้ ก็อาจจะไม่ได้มีเจตนาร้านกับพวกเราก็ได้ บางทีอาจจะมีเจตนาที่ล้ำลึกอีกอย่างหนึ่ง บางทีเคล็ดวิชาฝึกตนของพวกเราอาจจะมีประโยชน์กับพวกเขามากจริงๆ ทุกคนอย่าลืมคำทำนายของเทพพยากรณ์นะ”


“ใช้วิธีเสี่ยงอันตรายจะเกิดหายนะ หากไร้ทางไป นี่คือที่พึ่ง งูไร้หัวก็เลื้อยไม่ได้ รออย่างเงียบงันอยู่ในกรง ยามหกคนพบกันอีกครั้ง สถานการณ์จะพลิกผัน…”  จีฮวนที่พึมพำซ้ำๆ พลันอุทานอย่างตกใจว่า “อย่าบอกนะว่าชะตาพลิกผันที่เทพพยากรณ์บอกหมายถึงเรื่องนี้? สถานการณ์จะพลิกผัน สถานการณ์จะพลิกผันได้ยังไงล่ะ? อยู่ที่แดนอเวจีจะพลิกผันอะไรได้?”


มู่ฝานจวินจึงถามกลับว่า “เจ้าไม่ได้ถามพวกเขาเหรอว่าทำไมถึงให้เจ้าเป็นประมุขปราชญ์?”


“เรื่องที่แปลกประหลาดไร้คำอธิบาย ข้าย่อมอยู่แล้ว” จีฮวนพยักหน้า ตอบว่า “พวกเขาบอกให้พาพวกเขาไปล้างแค้น ให้หลุดพ้นจากแดนอเวจี โค่นล้มประมุขชิงกับประมุขพุทธะ แต่เรื่องนี้เป็นไปได้สำหรับพวกเราเหรอ? ต่อให้พวกเราร่วมมือกัน แต่ก็ไม่แน่ว่าจะสู้กับตำกนักสวรรค์หรือว่าแดนสุขาวดีได้!”


มู่ฝานจวินถามอีกครั้งว่า “เรื่องอะไรที่สามารถเรียกว่า ”สถานการณ์พลิกผัน’ ที่พิภพใหญ่ได้ล่ะ? ถ้าคำทำนายของเทพพยากรณ์ไม่ผิดพลาด โจรกบฏในนรกสู้กับประมุขชิงและประมุขพุทธะจนเป็นวีรบุรุษได้อีกครั้ง แบบนี้ถือว่าสถานการณ์พลิกผันหรือเปล่า?”


พวกเขาได้ยินแล้วตกใจ มองหน้ากันลิกลั่ก


อวิ๋นอ้าวเทียนมองสำรวจนางศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง เขาค่อนข้างเข้าใจผู้หญิงคนนี้ จึงถามอย่างสงสัยว่า “เหมือนเจ้าจะตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะอยู่ที่นี่ เจ้าค้นพบเบาะแสอะไรใช่มั้ย?”


มู่ฝานจวินแววตาวูบไหว นางซ่อนจิตใจที่เห็นแก่ตัวเอาไว้ ไม่มีทางพูดออกมาชัดเจน ได้แต่ส่ายหน้าตอบว่า “พวกเขาจะให้พวกเราเป็นประมุขปราชญ์จริงหรือไม่ พวกเราทดลองควบคุมดูเดี๋ยวก็รู้แล้ว ต่อให้จะใช้ประโยชน์พวกเราแล้วยังไงล่ะ พวกเขาให้ทรัพยากรฝึกตนกับพวกเรา การใช้ประโยชน์แบบนี้ต่างอะไรกับที่พวกเราไปเสี่ยงอันตรายด้านนอกเพื่อให้ได้มา? ก็เหมือนที่พวกเจ้าบอก ในเมื่อตอนนี้ไม่มีหนทางแล้ว ไม่สู้ดูสถานการณ์ไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน”


บทที่ 1236 สิ่งของเมื่อเทียบกันแล้วต้องทิ้ง

โดย

Ink Stone_Fantasy

พวกเขาห้าคนไม่ได้มีความกังวลเหมือนเหมียวอี้ สถานะคนตำหนักสวรรค์ของเหมียวอี้ถูกกำหนดให้เป็นศัตรูกับโจรกบฏ ดังนั้นเหมียวอี้จึงระมัดระวังไม่กล้าเปิดเผย นอกจากหนีก็ไม่คิดจะทำอย่างอื่นแล้ว ส่วนพวกอวิ๋นอ้าวเทียนกลับตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะลองดูสักครั้งภายใต้ความที่ยังไม่รู้สถานการณ์ชัดเจน หวังจะแหวกหมอกหนาดูว่ามันเรื่องอะไรกันแน่ เพราะอะไรถึงให้พวกเขาเป็นประมุขปราชญ์หกลัทธิ


ดังนั้นทั้งห้าคนจึงเข้าสู่บทบาทประมุขปราชญ์ของตัวเองเร็วมาก ทดลองควบคุมกำลังพลที่รับช่วงต่อมา


ดาวอู๋เลี่ยง รังของลัทธิอู๋เลี่ยงที่โดนขังอยู่ในนรก และเป็นรังของท่านปราชญ์อู๋เลี่ยงอย่างเหมียวอี้เช่นกัน


ในปีนั้นตอนที่เพิ่งถูกบังคับให้มาทำลายค่ายล เหมียวอี้ยังไม่รู้ว่าที่นี่เรียกว่าดาวอู๋เลี่ยง แต่ตอนนี้ย่อมรู้แล้ว


สำหรับคนทั่วไป ดาวอู๋เลี่ยงไม่เหมาะแก่การดำรงชีวิตอยู่อาศัย แต่ดาวดเคราะห์ที่ถูกปกคลุมด้วยมหาสมุทรแบบนี้กลับทำให้เฮยทั่นเหมือนปลาได้น้ำ สุขสันต์หรรษามาก


คลื่นกระทบฝั่งดังครั่นครืน หมู่เกาะสูงเสียดฟ้า เหลียงหรงกับหมี่หลิงยืนอยู่ไม่ไกลและกำลังมองเหมียวอี้ที่เอามือไขว้หลังยืนฟังเสียงคลื่นทะเลอยู่ริมหน้าผา


เหมียวอี้ที่สวมชุดสีทองหรูหรากำลังทอดสายตามองมหาสมุทรกว้าง หรี่ตามองเฮยทั่นที่กำลังเล่นคลื่นอย่างมีความสุขอยู่กลางทะเล ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่


ภายใต้แสงแดดที่สดใส ชุดคลุมสีทองทำให้ทั้งตัวเขามีประกายระยิบระยับ ด้านล่างมีคลื่นซักกระทบฝั่ง คนนอกไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกของเขายามตกอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้


สถานการณ์นัจจุบันยังไม่ชัดเจนว่าคือเรื่องอะไรกันแน่ ข้างกายก็ไม่มีคนของตัวเองสักคน มีแค่เฮยทั่นที่กินเที่ยวเล่นสนุก อยากจะสืบข่าวรอบข้างก็ไม่มีที่ให้สืบข่าว ด้านนอกไม่มีใครรู้สถานการณ์ในนรกชัดเจน สำหรับเขา ถ้าไม่ระวังตัวขึ้นมาก็อาจจะกู้สถานการณ์คืนไม่ได้อีกต่อไป


ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปหลายสิบปี เหลือเพียงสิบปีการทดสอบของตำหนักสวรรค์ก็จะจบลงแล้ว…


“จ้าวหยวน อย่ามาใส่ร้ายป้ายสี ลูกน้องข้าแห็นคนของเจ้าเอาไป”


“เหลวไหล! หลิ่วจงกุ้ย เป็นคนของเจ้าเอาไปแท้ๆ ยังกล้าย้อนโยนความผิดใส่คนอื่นอีก!”


“เจ้ากล้าเรียกรวมคนของเจ้ามาให้พวกเราค้นตัวมั้ยล่ะ?”


“เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาค้นตัวพี่น้องของข้า? ถ้าจะค้นก็ต้องเป็นพวกเราที่ค้นตัวเจ้า!”


บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่มีสันเขาขึ้นๆ ลงๆ ราวกับเหล็กดำ ศพของกำลังพลตำหนักสวรรค์นับพันกองอยู่ด้วยกัน แต่ตรงจุดที่อยู่ไม่ไกลกลับมีโจรกบฏสองกลุ่มคุมเชิงกันอยู่ ผู้บัญชาการของทั้งสองฝ่ายกำลังเถียงกันจนคอแห้งหน้าแดง


“ผู้บัญชาการ พวกเขาไม่กล้าให้พวกเราค้น ก็แสดงว่าในใจพวกเขาคิดไม่ซื่อแล้ว!”


เมื่อเห็นทั้งสองฝ่ายเถียงกันไม่รู้แพ้รู้ชนะ พวกพี่น้องกำลังพลเบื้องล่างก็ย่อมแสดงอานุภาพ ด้านหลังผู้บัญชาการที่ชื่อจ้าวหยวนมีคนส่งเสียงช่วย ทำให้ข้างหลังมีเสียงขานรับดังเป็นแถบใหญ่ พอพลังอำนาจของฝ่ายตรงข้ามเพิ่มขึ้น ฝ่ายนี้ก็ย่อมไม่กล้าแสดงความอ่อนแอ กำลังพลหลายพันของสองฝ่ายเบียดผลักและด่ากันทันที


ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ นี่คือสิ่งที่อันตรายที่สุด ถ้ามีใครสักคนผลักแรงเกินไป ก็จะเกิดการต่อสู้นองเลือดทันที


ท่ามกลางเสียงถกเถียงและการออกท่าทาง สถานการณ์ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเห็นว่าฟืนแห้งกำลังจะติดไฟ การถกเถียงจะกลายเป็นการลงไม้ลงมือ เงาคนหลายคนก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้า เงาคนหลายคนก็เหาะลงมาจากท้องฟ้า มาเหยีบบลงบนยอดเขาที่อยู่ใกล้ๆ


อารมณ์ของกลุ่มคนข้างล่างกำลังเดือดพลุ่งพล่าน มู่ฝานจวินสวมชุดขาวดุจหิมะ นางมีมีลักษณะของชายหญิงผสมกันอย่างละครึ่งจนโดดเด่นสะดุดตา ตอนนี้กำลังกวาดสายตาเย็นเยียบมองด้านล่าง นางเหลือบมองขุนพลของตัวเองที่เพิ่งเข้ามาต้อนรับตั้งแต่ไกลๆ แล้วถามเสียงเรียบว่า “พวกเดียวกันจะสู้กันเองแล้ว ขุนพลฝาน นี่มันเรื่องอะไรกัน?”


คนที่มาด้วยกัน ประมุขขุนพลจ่างซุนจูและขุนพลใหญ่เมิ่งหรูที่ยืนอยู่ทางซ้ายและขวาของมู่ฝานจวินส่งสายตาสอบถามขุนพลฝานเช่นเดียวกัน


มู่ฝานจวินในตอนนี้กำลังกระตือรือร้นกับอำนาจทางทหารของลัทธิเซียนที่เป็นหนึ่งในโจรกบฏหกลัทธิแล้ว เพื่อที่จะทำความคุ้นเคยกับสถานการณ์ของกำลังพลเบื้องล่าง และเพื่อทำให้กำลังพลเบื้องล่างรู้ว่าประมุขปราชญ์ลัทธิเซียนในตอนนี้คือมู่ฝานจวิน ยามปกตินางก็จะออกไปลาดตระเวน ทุกครั้งที่ออกมาล้วนถึงตัวประมุขขุนพลจ่างซุนจูออกไปด้วย


นางรู้อย่างชัดเจน ว่าอาศัยศักยภาพของนางไม่สามารถออกคำสั่งต่อใครในโจรกบฏได้ มีเพียงการดึงตัวประมุขขุนพลจ่างซุนจูมาเป็นธงใหญ่ข้างหลังตัวเองเท่านั้น การออกคำสั่งถึงจะได้ผล นางอาศัยบารมีความน่าเชื่อถือของจ่างซุนจูเพื่อให้กำลังพลเบื้องล่างค่อยๆ คุ้นชินกับการฟังคำสั่งของประมุขปราชญ์อย่างนาง


ส่วนจ่างซุนจูก็ให้ความร่วมมืออย่างดีสุดๆ


“ข้าน้อยไม่ทราบ ก่อนหน้านี้ยังดีๆ อยู่ รอข้าน้อยไปถามก่อน” ขุนพลฝานกุมหมัดตอบอย่างอับอาย จากนั้นก็รีบหันตัวมา ตะคอกบอกข้างล่างว่า “หุบปากให้หมด จ้าวหยวน หลิ่วจงกุ้ย โผล่หัวออกมานี่ซิ!”


พอเสียงตะคอกตำหนิอันดังก้องของเขาดังขึ้น กำลังพลข้างล่างที่จ้องจะปะทะกันถึงได้พบว่าบุคคลสำคัญมาแล้ว พวกเขาหยุดชะงักทันที แต่ท่าทางโกรธเคืองกันยังคงไม่หายไป กำลังพลของทั้งสองฝ่ายมองกันอย่างไม่เป็นมิตร


ผู้บัญชาการระดับบงกชรุ้งสองคนเหาะมาเหยียบบนยอดเขา ขุนพลฝานได้รับสายตาขู่เตือนจากจ่างซุนจู รีบแนะนำมู่ฝานจวินที่อยู่ในกลุ่มนั้น “ยังไม่รีบคารวะประมุขปราชญ์อีก!”


ผู้บัญชาการทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง เคยได้ยินว่ามีประมุขปราชญ์คนใหม่ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็น จึงกุมหมัดคารวะพร้อมกันทันที “จ้าวหยวน หลิ่วจงกุ้ยคารวะประมุขปราชญ์!”


มู่ฝานจวินพยักหน้าเบาๆ พร้อมขานรับ “อืม” วางมาดอันสูงส่งให้เห็น


ขุนพลฝานตำหนิทั้งสองคนทันที “เอะอะเถียงกันเรื่องอะไร?”


“ตอบขุนพล ลูกน้องของจ้าวหยวนแอบฮุบของที่ได้จากการรบขอรับ”


“คนของเจ้าฮุบไปแท้ๆ…”


ผู้บัญชาการทั้งสองคนเริ่มเถียงกันแบบตาต่อตาฟันต่อฟันอีกแล้ว ต่างคนต่างอ้างเหตุผลมาเถียงกันอย่างไม่ยอมถอย เพียงแต่เมื่ออยู่ต่อหน้าบุคคลสำคัญก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีความมั่นใจ ไม่รู้ว่าทำเรื่องผิดอะไรไว้


พวกมู่ฝานจวินไม่ได้รีบร้อน ค่อยๆ ฟังพวกเขาอธิบาย พอฟังถึงตอนหลังก็นับว่าเข้าใจแล้ว กำลังพลสองกลุ่มร่วมแรงกันไล่ฆ่ากวาดล้างกำลังพลกลุ่มหนึ่งของตำหนักสวรรค์ที่เข้าร่วมการทดสอบ หลังจากปราบและเก็บกวาดข้าวของเสร็จแล้วกลับเกิดปัญหา ของที่ได้จากการปล้นมีไม่เยอะ เมื่อเทียบกับจำนวนของที่ได้จากการล้อมปราบในหลายปีมานี้ ก็พบว่าจำนวนไม่สอดคล้องกัน ทุกคนต่างก็รู้สึกว่าไม่ควรจะมีของแค่เท่านี้ จำนวนของพวกนี้เกี่ยวข้องกับรางวัลส่วนแบ่งของทุกคน ฝ่ายนี้คิดว่าฝ่ายนั้นฮุบไป ส่วนฝ่ายนั้นก็คิดว่าฝ่ายนี้ฮุบไป ดังนั้นเมื่อไม่ระวังก็วุ่นวายจนกลายเป็นแบบนี้แล้ว


แต่การที่ทั้งสองฝ่ายสงสัยกันก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ของจากการปล้นมอบให้เบื้องบนส่วนหนึ่ง หักไว้เองส่วนหนึ่งเพื่อแจกจ่ายให้กำลังพลของตัวเองในภายหลัง ต้องได้เยอะกว่านี้สักหน่อย ออกมาสู้สุดชีวิตหนึ่งสนาม แถมแดนอเวจีก็ขลาดแคลนทรัพยากรฝึกตน ทุกคนใช้ชีวิตไม่ง่ายเลย ดังนั้นเรื่องแบบนี้จึงปกติมาก


ขุนพลฝานกลับฟังแล้วแอบปวดหัว พอได้ฟังแล้วก็เข้าใจทันทีว่าเรื่องเป็นอย่างไร ครั้งนี้ต้องมีบางฝ่ายที่หักของไว้กับตัวเยอะเกินไปหน่อย ถ้าเปลี่ยนเป็นยามปกติเขาก็จะค้นตัวทั้งสองฝ่ายเหมือนกัน พอค้นแล้วก็นำส่วนที่ควรจะเป็นของเบื้องบนให้เบื้องบน ส่วนที่เหลือก็ให้ทุกคนแบ่งเฉลี่ยเท่าๆ กัน แล้วก็ทำโทษฝ่ายที่ทำเสียงเรื่องทีหลัง แต่ก็ไม่ทำโทษรุนแรงเกินไป


เอาเป็นว่าทุกคนที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ล้วนลำบาก การที่เขาต้องรักษาหัวใจกองทัพและขวัญกำลังใจทหารก็ไม่ง่ายเช่นกัน ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ถ้าลงโทษหนักเกินไปก็จะทำให้พี่น้องกำลังพลเบื้องล่างท้อใจผิดหวัง ทุกคนผ่านวันคืนที่ขื่นขมมามากพอแล้ว ถ้าลงโทษอาจจะเกิดเรื่องได้


แต่ดันบังเอิญเจอประมุขปราชญ์คนใหม่กับประมุขขุนพลที่มาเยือนด้วยตัวเอง เจอแบบคาหนังคาเขา เขาจะทำเรื่องนี้ให้ชัดเจนหรือจะตบตาไปก่อนดี?


เขาแอบร้องในใจว่าแย่แล้ว ส่งสายตาให้จ่างซุนจูกับเมิ่งหรู ประมุขปราชญ์ที่มาใหม่ไม่เข้าใจสถานการณ์ แต่สองคนนี้เข้าใจสถานการณ์ชัดเจน เรียกได้ว่าแอบร้องขอความช่วยเหลือ ทางที่ดีที่สุดคือรีบพาประมุขปราชญ์หนีไป


แต่ใครจะคิดว่าจะได้ยินเสียงมู่ฝานจวินกล่าวอย่างเย็นเยียบว่า “ในเมื่อต่างก็รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามเอาเปรียบ ขุนพลฝาน สับเปลี่ยนตำแหน่งของพวกเขาสองคนสักหน่อย ให้บัญชาการกำลังพลฝ่ายตรงข้าม ให้พวกเขาไปตรวจสอบเอง!”


จ้าวหยวนกับหลิ่วจงกุ้ยตกตะลึงอ้าปากค้างทันที


ขุนพลฝานโล่งอก กุมหมัดเอ่ยรับคำสั่งทันที “ขอรับ!”


มู่ฝานจวินกล่าวว่า “ยังกำจัดศัตรูที่บุกมาไม่หมด แค้นใหญ่ยังไม่ชำระ แต่คนฝ่ายตัวเองใกล้จะเป็นศัตรูกันเองแล้ว พวกเจ้าช่างมีความสามารถจริงๆ นะ ขุนพลฝาน ถ้าไม่รู้ระเบียบวินัยกองทัพ แล้วจะปราบข้าศึกได้อย่างไร? ฮุบของที่ได้จากการรบไว้ส่วนตัว ทำให้จิตใจคนในกองทัพปั่นป่วน แบบนี้เอาไว้ไม่ได้ ถ้าตรวจเจอจะมีโทษหนัก!”


“ขอรับ!” ขุนพลฝานเอ่ยรับอีกครั้ง


มู่ฝานจวินไม่ได้พูดอะไรมาก เหาะขึ้นไปบนฟ้าโดยตรง ไม่ได้อยู่ต่ออีก และไม่ได้อยู่ดูขั้นตอนการจัดการของกำลังพลเบื้องล่างด้วย,


จ่างซุนจูกับเมิ่งหรูสบตากันแวบหนึ่ง จกานั้นก็พยักหน้าเบาๆ พร้อมแววตาอมยิ้ม พอใจกับวิธีการจัดการของมู่ฝานจวินมาก


ถ้ามู่ฝานจวินเป็นประมุขปราชญ์คนก่อน ถ้าเจอกับเรื่องแบบนี้ก็เป็นไปได้สูงว่าจะไม่ถามอะไร คงจะให้กำลังพลเบื้องล่างจัดการ แล้วตัวเองก็ออกไปจากตรงนั้นโดยตรง แต่ด้วยสถานการณ์ของมู่ฝานจวินในตอนนี้ ถ้านางหลบเลี่ยงก็จะทำให้คนเข้าใจผิดว่านางกลัวการเผชิญหน้าปัญหา จะทำให้คนดูถูก ไม่เป็นผลดีกับการสร้างบารมีและความน่าเชื่อถือ แต่ก็ไม่สะดวกจะสั่งให้คนตรวจสอบต่อหน้าคนจำนวนมาก ถ้าตรวจค้นเจออะไรขึ้นมาจริงๆ จะไม่ลงโทษคนที่ฮุบของจากการปล้นก็ไม่ได้ นี่คือระเบียบของกองทัพ ถ้าไปเปิดโปงก็จะทำให้ทุกคนอับอายเสียหน้า


คำสั่งสลับตำแหน่งที่ฟังดูเบาไร้น้ำหนัก แต่มันสามารถอุดปากผู้บัญชาการทั้งสองคนให้เงียบได้ หลีกเลี่ยงไม่ให้ประลองกันต่อหน้านางจนนางเองจัดการลำบาก แถมนางยังได้แสดงวิธีการที่ทำให้ข้อพิพาทระหว่างกำลังพลสองฝ่ายสงบลงเพียงชั่วดีดนิ้ว เมื่อผู้บัญชาการสองคนสลับตำแหน่งกัน กำลังพลสองฝ่ายก็ไม่มีทางผูกความแค้นกันได้อีก พวกคงไม่นำกำลังพลกลุ่มใหม่ไปกดดันกำลังพลเก่าของตัวเองหรอกใช่มั้ย? เรียกได้ว่าแก้ไขความโกรธแค้นของทั้งสองฝ่ายในชั่วพริบตาเดียว


ถ้าให้กำลังพลเบื้องล่างตรวจสอบกันเองก็ย่อมตรวจไม่เจออะไรอยู่แล้ว เรียกได้ว่าจัดการลงโทษพอเป็นพิธีเท่านั้น แต่คำพูดที่สั่งสอนขุนพลฝานในตอนสุดท้าย ก็ได้แสดงออกชัดเจนว่านางตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะเข้มงวดกับลูกน้อง เรื่องนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อกฎระเบียบในการจัดการเรื่องอื่นๆ ของนางในภายหลัง ทั้งยังทำให้ขุนพลฝานที่ผ่านด่านน่าอับอายนี้เชื่อฟังนางโดยไม่ลังเลต่อหน้าฝูงชนด้วย ในสายตากำลังพลเบื้องล่างที่มองมา การที่นางสั่งผู้บังคับบัญชาของพวกเขาได้ก็แสดงว่านางมีอำนาจบารมี


เข้มงวดและผ่อนผันลูกน้องได้อย่างอิสระ ทั้งลดหย่อนและคุมเข้มอย่างมีระดับ นี่ก็คือจุดที่แสดงความสามารถของผู้ที่อยู่ตำแหน่งระดับบน


“ดูจากหลายปีที่ผ่านมานี้…จุจุ ประมุขปราชญ์ท่านนี้ของพวกเราช่างไม่ธรรมดา แต่น่าเสียดายที่วรยุทธ์แย่ไปหน่อย สงสัยประมุขไป๋จะไม่ได้จัดคนมาแบบมั่วๆ” เมิ่งหรูถ่ายทอดเสียงชม ความหมายในคำพูดก็คือยอมรับในความสามารถของมู่ฝานจวินแล้ว


“ไปกันเถอะ!” จ่างซุนจูยิ้มพลางเอ่ยเรียก แล้วทั้งสองก็เหาะขึ้นฟ้าไปพร้อมกัน


ไม่ใช่แค่มู่ฝานจวินเท่านั้น ในหลายปีมานี้ มู่ฝานจวินและอีกสี่ปราชญ์แสดงความสามารถในการควบคุมลูกน้องได้ไม่ธรรมดา ต่างก็ควบคุมทัพใหญ่หนึ่งล้านของตัวเองได้อย่างไม่มีปัญหาแม้แต่น้อย เป็นวิธีการที่มีแบบแผนสุดๆ เสียงกังขาในตอนแรกก็เริ่มจะสงบลงไม่น้อยแล้ว กอปรกับชั้นบนมีพวกประมุขขุนพลช่วยเหลือประคับประคองเต็มที่ เสริมจุดด้อยด้านวรยุทธ์ กำลังพลห้าลัทธิเข้าสู่สภาวะปรับตัวกับผู้บัญชาการของพวกเขาแล้ว


เมื่อเป็นแบบนี้ คนเราเมื่อเทียบกันแล้วต้องตาย สิ่งของเมื่อเทียบกันแล้วต้องทิ้ง[1] จินม่านกระวนกระวายใจแล้ว ท่านประมุขปราชญ์เหมียวพึ่งพาไม่ได้! ประมุขปราชญ์อีกห้าลัทธิเริ่มเดินในลู่ทางที่ถูกต้องแล้ว มีแค่ลัทธิของพวกเขาที่ทำให้นางอยากจะตบตีสักยก นอกจากจะรวบรวมหัวใจคนไม่ได้แล้ว กลับเป็นบ่อเกิดให้หัวใจคนลัทธิอู๋เลี่ยงไม่รวมกันเป็นกลุ่มก้อน คนส่วนใหญ่ไม่ยอมเชื่อฟัง!


เหมียวอี้ขี่เฮยทั่นเหาะเพ่นพ่านไปทั่วอยู่ในดาราจักร แต่ถูกดักตัวไว้อีกครั้ง ถูกเชิญกลับมาอีกแล้ว


“เจ้าถ่อไปไหนมาอีกแล้ว? จะเพ่นพ่านไปทั่วทำไม? เจ้าดูประมุขปราชญ์อีกห้าท่านซิว่าพวกเขาทำยังไง เจ้าทำเรื่องที่เป็นการเป็นงานหน่อยได้มั้ย? เจ้าสนใจเรื่องของกำลังพลเบื้องล่างสักหน่อยได้มั้ย?”


จินม่านที่ได้ยินข่าวบุกเข้ามาในเรือนด้านในของประมุขปราชญ์โดยตรง พอเห็นเหมียวอี้ที่เพิ่งกลับมาก็ตำหนิตลอดทาง เรียกได้ว่าด่าตลอดทางจนมาถึงตรงหน้า ไม่ได้เห็นว่าเหมียวอี้เป็นประมุขปราชญ์เลย


ไม่ใช่ว่านางไม่อยากจะเคารพประมุขปราชญ์ท่านนี้ แต่นางหาจุดที่ทำให้นางเคารพไม่เจอจริงๆ


 …………………………


[1] คนเราเมื่อเทียบกันแล้วต้องตาย สิ่งของเมื่อเทียบกันแล้วต้องทิ้ง  人比人得死  货比货得扔 อุปมาว่า คนเราแตกต่างกัน ไม่มีทางเทียบกันได้ ถ้าจะเทียบกันก็ตายเสียดีกว่า สิ่งของก็เช่นกัน ถ้าจะให้เทียบข้อดีข้อด้อยกันก็โยนทิ้งเสียดีกว่า

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)