ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 123-126
ตอนที่ 123 ยิ่งนางพยายามหลีกหนี เขาก็...
น้ำเสียงของเขากดต่ำ ทั้งๆ ที่ระยะระหว่างพวกเขาทั้งสองยังห่างอีกช่วงใหญ่ แต่กลับทำให้นางรู้สึกว่า ถูกกระซิบอยู่ที่ข้างหู และเสียงนั้นก็สะท้อนเข้าไปในหัวใจของนาง
เพียงประโยคเดียว และสายพระเนตรเช่นนั้น ยามเมื่อจอมมารผู้นี้ใช้ออกมา ยิ่งปรากฎแรงดึงดูดชวนหลงใหลที่ไร้รูปลักษณ์
ตู๋กูซิงหลันชะงักค้างไปชั่วครู่ ก็ค่อยลุกขึ้นยืน เดินก้าวเข้าไปใกล้เขา
น้ำในสระล้นออกมาบนขอบอยู่เล็กน้อย กลิ่นยาที่เข้มข้นระเหยเข้าจมูก พอน้ำอุ่นในสระล้นออกมาและซึมโดนรองเท้าของนาง ตู๋กูซิงหลันถึงได้รู้สึกตัวขึ้นมา
ช่างสมควรตาย……เมื่อครู่นางถึงกับหลงใหลไปกับรูปลักษณ์ภายนอกของเจ้าฮ่องเต้สุนัขจนถึงกับลืมตัวไป
นางก้มศีรษะลงมองรองเท้า พอดีกับที่ฮ่องเต้ก็หันพระพักตร์ไปเช่นกัน
เขารับสั่งออกไปว่า ” ถอดรองเท้าเสีย “
นางยังไม่ทันได้กล่าวอะไร ก็ได้ยินจีเฉวียนรับสั่งเพิ่มว่า ” รองเท้าเหยียบโดนโคลน จะทำให้น้ำในสระของเราสกปรก “
ตู๋กูซิงหลัน “……..” นางเกือบจะลืมไปแล้ว คนผู้นี้ชิงชังความสกปรกอย่างที่สุด!
นางยืนอยู่ที่ริมสระ ไม่ขยับเขยื้อน
ฮ่องเต้ทรงหรี่พระเนตรหงส์หันมามอง “ทำไม เท้าเหม็นเสียจนไม่กล้าถอดรองเท้ารึไง? “
พอเขาตรัสขึ้นมา ตู๋กูซิงหลันก็รีบรับคำเสียงสูงในทันที ” เหม็น! เหม็นสุดๆ ไปเลย เหม็นเสียยิ่งกว่าก้อนมูลของราชาหมาป่านั่นเสียอีก! ฝ่าบาทอย่าได้ทรงทำให้พระองค์ต้องทรงลำบากเลย “
พอนางกล่าวเช่นนี้ จีเฉวียนก็ขมวดพระขนงมุ่น จมูกของเขานี้ ต่อให้ผู้ใดสวมใส่รองเท้าปิดบังเอาไว้เขาก็ยังคงสามารถได้กลิ่นเช่นกัน หากว่าเป็นกลิ่นที่เหม็นยิ่งกว่ามูลของราชาหมาป่า แล้วจมูกนี้ยังดมไม่ออกละก็ จมูกเช่นนี้เขาไม่ต้องมีเสียก็ได้!
บนร่างของตู๋กูซิงหลันมีกลิ่นของดอกกุหลาบอยู่ตลอดเวลา หอมยิ่งนัก
นางยิ่งพยายามหลีกหนี เขาก็ยิ่งอยากให้นางถอดออกมา!
” เหม็นก็ดีเลย จะได้ใช้สระยาของหมอหลวงซุนล้างให้สะอาด! ” ฝ่าบาททรงออกความเห็น ราวกับว่าที่เขาอนุญาตให้นางสามารถใช้เท้าเปล่าแช่ลงในสระเย่วหัวของพระองค์เองได้นั้น ถือเป็นบุญของนางมากแล้ว ไหนเลยจะมาทำท่ากระบิดกระบวนไปอีกทำไม?
ตู๋กูซิงหลัน “…..” หากว่านางมิได้จำผิดละก็ ไอ้หนุ่มนี้รังเกียจกลิ่นเหม็นไม่ใช่หรือ?
ทำไมถึงคราวนางก็ทำเป็นไม่ยี้ขึ้นมาแล้วละ? ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในสุสาน นางเคยผายลมใส่หน้าเขาแล้วครั้งหนึ่ง …เขาก็ไม่ได้ตามมาต่อว่าต่อขานนาง
ตอนนี้จะเอาน้ำล้างเท้าของนางแช่ตัว…..ดูท่าสมองของเขาคงจะมีปัญหาอุดตันเข้าบ้างแล้วละมั้ง?
ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ตู๋กูซิงหลันถึงได้กล่าวว่า ” ฝ่าบาท พระองค์แน่พระทัยหรือว่าจะให้หม่อมฉันถอดรองเท้า? “
” ถอด ” สีพระพักตร์ฮ่องเต้มีความแน่วแน่อยู่เต็มเปี่ยม
ตู๋กูซิงหลันรีรออยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดค่อยขยับตัว นางทางหนึ่งขยับมือ ทางหนึ่งก็กล่าวว่า ” ฝ่าบาท นี่เป็นพระองค์รับสั่งให้หม่อมฉันถอดเองนะเพคะ หากว่าเกิดเรื่องใดขึ้นอย่าได้มาโทษกันละ “
จีเฉวียนพระพักตร์ไม่เปลี่ยนแปลง ” แค่ถอดรองเท้ายังจะมีเรื่องใดได้ เจ้าถอดเรียบร้อยแล้ว เราจะไม่ถือโทษ “
เขาตรัสถึงเพียงนี้แล้ว ตู๋กูซิงหลันย่อมไม่กล้าบิดพลิ้วอีก จากเท้าซ้ายก็ขยับมาเท้าขวา นางรีบถอดรองเท้าหุ้มขนสัตว์ของตนเองออกอย่างเรียบร้อย น้ำอุ่นภายในสระทำให้ถุงเท้าขาวของนางที่เปียกชื้นพลอยอุ่นขึ้นมาด้วย
จีเฉวียนหันพระพักตร์มามองอีกครั้ง สายพระเนตรก็จดจ้องอยู่ที่ถุงเท้า เขาเห็นเลยว่านิ้วโป้งทั้งสองข้างของนางขยับยุกยิกไม่หยุด
พระองค์ก็รับสั่งสำทับอีกครั้ง ” ถุงเท้าก็ไม่สะอาด ถอดออกด้วย “
ตู๋กูซิงหลันปากคว่ำขึ้นมาในทันที “ถุงเท้าพึ่งใส่วันนี้เอง ไม่สกปรก “
” เราบอกว่าไม่สะอาดก็คือไม่สะอาด อย่าได้พูดมาก ถอดออก “
ตู๋กูซิงหลัน “………”
เมื่อตกอยู่ภายใต้สายพระเนตรราวกับพยัคฆ์ของฮ่องเต้ ตู๋กูซิงหลันก็ได้แต่ถอดถุงเท้าออกอย่างเชื่อฟัง
เท้าของนางละเอียดนุ่มนวล เรียวขาทั้งสองข้างก็ขาวสะอาดได้รูป แต่นิ้วแม่เท้ากลับกลมๆ กระทัดรัด ดูน่ารัก ดูคล้ายกับนิ้วเท้าของทารกน้อย
สายพระเนตรของฮ่องเต้ทรงจดจ้องอยู่บนเรียวขาดังหยกแกะสลักของนาง จนมิอาจละพระเนตรไปได้
” เข้ามาใกล้หน่อย ” จีเฉวียนรับสั่ง ” เรามีเรื่องสำคัญจะกล่าวกับเจ้า”
ตู๋กูซิงหลันกลับรู้สึกว่าเขาดูจะมีปัญหาอยู่บ้าง
สระเย่วหัวเดิมทีก็มีพวกเขาเพียงแค่สองคน มีอะไรทำไมไม่พูดออกมา กลับจะต้องให้นางเดินไปถึงตรงหน้า?
นางยกกระโปรงขึ้น กระโดดข้ามน้ำที่ล้นออกมานอกสระเข้าไป ยืนอยู่ตรงข้างๆ ศีรษะของเขาพอดิบพอดี
ไอร้อนของน้ำในสระเปียกไปถึงหลังเท้าของนาง ฤดูหนาวที่รุนแรงเช่นนี้ ได้แช่เท้าบ้างช่างสุขสบายดีจริงๆ
ฮ่องเต้ทรงสูดลมหายพระทัยเข้าไปอย่างช้าๆ ไม่มีกลิ่นที่น่ารังเกียจแม้แต่น้อย มีเพียงแต่กลิ่นกุหลาบอ่อนๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของนางเท่านั้น
” ยามที่เสด็จแม่ทรงคลอดเราออกมานั้น ทรงตกพระโลหิตจำนวนมากจนกระทบถึงพื้นฐานร่างกาย เจี่ยงเวยก็ฉวยโอกาสที่กำลังทรงอ่อนแอนี้ ได้รับความโปรดปรานจากเสด็จพ่อ บรรเลงดนตรีทุกค่ำคืน ครอบครองความโปรดปรานเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว ที่ผ่านมาพระมารดาเมตตานางดุจดั่งญาติสนิท แต่ในยามที่ทรงลำบากที่สุดกลับถูกนางทิ่มแทงเข้าเช่นนี้ พระทัยก็สลาย ยามที่เราอายุได้ห้าปี นางก็เสด็จจากไป” จีเฉวียนเก็บสายพระเนตรกลับมา ตรัสพลางมองดูกลีบดอกกุ้ยเหนือสระน้ำ
” เจี่ยงเวยและตระกูลตู๋กูสนิทสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมาก เมื่อมีตระกูลตู๋กูคอยหนุนหลังนาง เราย่อมต้องรู้สึกเคียดแค้นพวกเจ้า “
” พอมาวันนี้ เจี่ยงเวยยอมสารภาพออกมาเองว่านางคือหมากของเย่วฮูหยิน เรื่องที่พระมารดาตกพระโลหิตขณะคลอดในปีนั้น ก็เพราะเย่วฮูหยินมีส่วนเกี่ยวข้อง”
ตู๋กูซิงหลันนิ่งฟังอย่างเงียบงัน เสียนไท่เฟยเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอก คำพูดส่วนใหญ่ของนางย่อมเชื่อถือไม่ได้
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในสุสานของเย่วฮูหยิน นางได้เห็นโครงกระดูกของท่าย่าด้วยตาของตนเอง บนโครงกระดูกไม่มีกลิ่นอายสกปรกแม้แต่น้อย นี่ย่อมหมายความว่าเมื่อยามมีชีวิตอยู่นางไม่เคยกระทำเรื่องเลวร้ายใดๆ มาก่อน
ท่านย่าเช่นนี้ ย่อมไม่ทางกระทำเรื่องเช่นนั้นต่อฉางซุนฮองเฮาเป็นแน่
ที่ผ่านมา ตู๋กูซิงหลันเพียงแต่ทราบว่าจีเฉวียนเกลียดชังตระกูลตู๋กู เกลียดชังนาง เดิมที่นางคิดว่าเป็นเพราะตระกูลตู๋กูมีอำนาจแข็งแกร่งมากเกินไป อีกทั้งยังใกล้ชิดกับอี้อ๋อง เขาคงจะเกรงว่าตระกูลตู๋กูจะก่อกบฎ ถึงได้ทำการป้องกันระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา
คิดไม่ถึงว่าเรื่องนี้ยังมีความเกี่ยวพันถึงความเป็นความตายของฉางซุนฮองเฮาซุกซ่อนอยู่ด้วย
เมื่อตรัสมาถึงตอนนี้ ทันใดนั้นฮ่องเต้ก็ทรงพบว่า ในกลีบดอกกุ้ยฮวาบนผิวน้ำ มีเศษอะไรแปลกๆ ลอยปะปนอยู่
พอทรงขยับพระองค์เล็กน้อย เศษขาวๆ นั่นที่มีขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าปลายเล็บนั่นก็กระจายออก ลอยหมุนไปมาอยู่หน้าตรงของเขา
บางส่วนก็หล่นอยู่บนบ่าไหล และเส้นผมของเขา
ฝ่าบาทขมวดพระขนงขึ้นมา ยกพระหัตถ์ขึ้นช้อนดู ก็เห็นเศษเล็กๆ เหล่านั้นลอยอยู่บนใจกลางฝ่าพระหัตถ์ พระองค์ใช้ปลายนิ้วคีบขึ้นมา ขยี้ดูอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นสีพระพักตร์ก็เปลี่ยนเป็นดำดุจก้อนหม้อ
พอทรงหันพระพักตร์กลับไป ก็ทอดพระเนตรเห็นเศษสิ่งขาวๆ เหล่านั้นลอยออกมาจากใต้ปลายเท้าของตู๋กูซิงหลัน
นั่นมัน…..คือเศษขี้เท้า?!
ฮ่องเต้ทรงชะงักไปครู่หนึ่ง ก็ประทับยืนขึ้นในสระอย่างรวดเร็ว เส้นพระเกศาที่ดกดำยาว ผิวพระวรกายที่งดงามดุจเนื้อหยกโบราณ ปลายคางเป็นสันดุจคมมีด ต่างเต็มไปด้วยเศษขี้เท้าขาวๆ พวกนั้น!
ดูไปคล้ายกับคนที่ไม่ได้สระผมมาตลอดทั้งเดือน ศีรษะจึงเต็มไปด้วยเศษหนังหัว
สองพระเนตรของฮ่องเต้จดจ้องอยู่บนเท้าของตู๋กูซิงหลัน สายพระเนตรแฝงเอาไว้ด้วยความเย็นยะเยือกจนแทบแช่แข็งได้ “เสียนไท่เฟยบอกว่าเจ้าเป็นนังมาร เราก็ยังไม่เชื่อ ตอนนี้ดูท่า เจ้าคงจะเป็นปีศาจงู ถึงได้ลอกคราบได้? “
จะลอกคราบที่ไหนไม่ลอก กลับลอกเอาขี้ไคลใต้เท้าออกมา!
โรคคลั่งความสะอาดของฮ่องเต้กำลังถูกท้าทายอย่างรุนแรงที่สุดในประวัติกาล ตอนนี้เขาอยากจะขูดกระชากลอกผิวหนังของตนเองออกมาให้หมดทั้งตัว!
เมื่อครู่ตู๋กูซิงหลันกำลังฟังเขาพูดอยู่อย่างเพลินจนลืมตัว พอรู้สึกตัวขึ้นมาทีนี้
ใบหน้าของนางก็ทั้งขาวทั้งเขียว ราวกับเป็นปีศาจงูไปจริงๆ!
ก็บอกเขาเอาไว้แต่แรกแล้ว ว่าอย่าให้นางถอดรองเท้า เขาก็ไม่ฟัง!
ร่างกายของไทเฮาน้อยไม่อาจเทียบได้กับร่างเดิมของนางในโลกมิติก่อน พอช่วงนี้นางใช้พลังของหยกสรรพชีวิตมากเกินขีดจำกัดเข้า ร่างกายก็ได้รับไอหยินมากจนเกินไป ถึงได้กลายเป็นเช่นนี้
ยังดีที่ผลกระทบเป็นเพียงแค่ผิวใต้เท้าลอก เดิมทีก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่เพราะว่าเจ้าฮ่องเต้สุนัขนั่นกลับบีบบังคับให้นางถอดรองเท้าออกมา!
นางจะไปทำอย่างไรได้ นางเองก็หมดหนทางจริงๆ นะ
ตอนที่ 124 นางมารที่หุ้มหนังมนุษย์
ตู๋กูซิงหลันรีบกล่าวเสียงเบาว่า ” ฝ่าบาท เป็นพระองค์รับสั่งให้หม่อมฉันถอดรองเท้าถุงเท้าออกให้หมดเอง แถมยังตรัสว่าหม่อมฉันไม่มีความผิด “
วิญญาณทมิฬ “ข้าก็ว่านะ จะอย่างไรเจ้าก็ถือว่าเป็นโฉมงามผู้หนึ่ง ทำไมถึงได้ไม่รู้จักระวังรักษาภาพลักษณ์สักนิดเฮ่อ? “
แต่ว่าอยู่ดีๆ ได้เห็นเจ้าฮ่องเต้สุนัขนั่นถูกรังแกเช่นนี้ มันก็รู้สึกสะใจขึ้นมาเหมือนกัน
” หม่อมฉันก็อยากจะระวังรักษาภาพลักษณ์อยู่เหมือนกัน แต่ว่าร่างกายนี้ซื่อตรงเกินไป ไม่ยอมถูกควบคุมแม้แต่น้อย”
นางพูดพลางก็ถอยหลังไปพลางๆ เดิมทีฝืนๆ อยู่ก็ยังพอได้ไม่หนักหนา แต่ว่าพอสัมผัสถูกยาแช่ตัวของหมอหลวงซุนเข้า ก็ได้เรื่องใหญ่ขึ้นมาเลย
แม้แต่ตัวนางเองยังรู้สึกสกปรกจะแย่
เกรงว่ายามนี้ฮ่องเต้ทรงตั้งพระทัยจะฆ่านางเสียให้ได้แล้ว
พอนางพึ่งจะขยับตัวได้ ก็ถูกจีเฉวียนคว้าข้อเท้าเข้าในทันที ดึงเอาตัวนางทั้งร่างลงไปในสระน้ำ
ตู๋กูซิงหลันไม่ทันระวังตัวก็ล้มก้นกระแทก ก้นกบกระแทกขอบสระ เจ็บจนนางร้องออกมาคำหนึ่ง
น้ำยาในสระเปียกไปทั้งตัว ซึมเข้าเสื้อและกระโปรงของนางจนชุ่มโชก ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่าร่างกายหนักขึ้นเกือบร้อยชั่ง
น้ำในสระลึกเกือบหนึ่งจุดแปดเมตร ถึงใต้เท้าจะมีหินหยกวางอยู่ใกล้ๆ แต่เพราะตัวนางถูกจีเฉวียนคว้าไว้ จึงเหยียบไม่โดนหินหยก คนจมลงไปทั้งตัว ทั้งยังสำลักดื่มน้ำเข้าไปอีกอึกใหญ่
“อะคะๆ …” พอเห็นนางสำลักอย่างรุนแรง จีเฉวียนถึงได้ลากนางไปที่ริมขอบสระ สองหัตถ์โอบเอวของนางไว้ ยกเพียงเบาๆ ก็วางนางลงบนขอบสระได้
ตู๋กูซิงหลันนั่งอยู่บนขอบสระ สองขาแช่อยู่ในน้ำ นางว่ายน้ำไม่เป็น ริมฝีปากแดงเปิดกว้างหอบหายใจเข้าไป
ทั้งที่เห็นว่านางเปียกโชกไปทั้งร่าง จีเฉวียนกลับคว้าเอาขาของนางขึ้นมา ยกชายกระโปรงของนางขึ้น สองพระเนตรมองดูเท้าของนางอย่างเย็นชา
ฝ่าเท้าของนางมีขนาดใกล้เคียงกับความยาวของฝ่าพระหัตถ์ เป็นเท้าของมนุษย์ธรรมดาผู้หนึ่ง
พระองค์ยกพระหัตถ์ขึ้นมา ขูดลงไปบนหลังเท้าของนางรอยหนึ่ง ก็อุ่นๆ นุ่มๆ ดี ให้ความรู้สึกเหมือนผิวหนังมนุษย์
แรงที่ทรงใช้ออกนั้นค่อนข้างหนักมือ หลังเท้าของตู๋กูซิงหลันถึงกับแดงเถือกขึ้นมา นางงงงันอยู่บนขอบสระ ดวงตาดอกท้อปรากฎน้ำตาคลอในทันที
” อืม ก็เหมือนคนทั่วไป ” จีเฉวียนไม่ทันได้สังเกตสนใจ ขณะที่เขาเกาะกุมข้อเท้าของนางเอาไว้นั้น ในใจกลับไม่เกิดความรังเกียจแม้แต่น้อย
” เสียนไท่เฟยพูดอะไร ท่านก็เชื่อหรอ? ” ตู๋กูซิงหลันมีโทสะขึ้นมาบ้างแล้ว นางคิดจะชักเท้าตนเองกลับมา
แต่ว่าพอนางขยับตัว จีเฉวียนกลับกระชับมือเอาไว้แน่น เขาเงยพระพักตร์ขึ้นมอง ก็ทอดพระเนตรเห็นนางทำท่าน่าสงสาร ” นี่เจ้ากลายเป็นคนเจ้าน้ำตาตั้งแต่เมื่อไหร่ เราถูกเจ้าเอาของสกปรกราดรดทั้งศีรษะ เรายังมิได้ร่ำร้องออกมา เจ้าจะร้องไปทำไม? “
หากเขาไม่พูดยังถือว่าแล้วไป พอกล่าวขึ้นมา น้ำตาของตู๋กูซิงหลันก็ไหลพลั่กๆ ออกมาไม่ได้หยุด
ในโลกมิติก่อนนางมีศิษย์น้องที่เป็นบุรุษผู้หนึ่ง ต้องสิ้นชีวิตไปในท้องทะเล นางได้แต่มองดูโดยไม่อาจช่วยชีวิตเขาเอาไว้ได้ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาในใจของนางก็มีความกังวลเรื่องน้ำลึกมาโดยตลอด
เมื่อครู่พอจมลงไปในน้ำ ในสมองของนางก็บังเกิดภาพยามที่ศิษย์น้องผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่ขึ้นมา ความเสียใจที่ซุกซ่อนไว้ก็พังทลายออกมาดุจสายน้ำ
พอนางร้องไห้ออกมา ตอนแรกจีเฉวียนเพียงชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ครั้งเห็นว่าไข่มุกน้ำตาของนางรินไหลราวกับไม่ต้องการเงินทอง เขาก็ชักจะทำสิ่งใดไม่ถูกแล้ว
” ถ้าเป็นถึงเพียงนี้ เราไม่เอาความเจ้าก็แล้วกัน เจ้า……..อย่าร้องไห้อีกเลย” จีเฉวียนตรัสพลาง ก็กระทำพระองค์ไม่ถูกไปพลาง ผ่านไปอีกพักใหญ่ ค่อยยื่นปลายพระหัตถ์ออกมา ปาดเช็ดน้ำตาให้นางอย่างเบามือ
ปลายพระหัตถ์ของพระองค์มีรอยด้านอยู่ชั้นหนึ่ง พอลูบผ่านหางตาของนาง ก็ทำให้เจ็บนิดๆ
ตู๋กูซิงหลันได้สติกลับมา นางยกมือขึ้นปัดพระหัตถ์ข้างนั้นออกไป พึ่งจะลูบเท้าของนางอยู่หยกๆ …….มาจับหน้าของนางทำไม
” เสียนไท่เฟยยังบอกอะไรกับท่านอีก? บอกว่าข้าเป็นผู้สืบสายเลือดของราชวงค์แคว้นกู่เย่ว์ เป็นปีศาจ ฉางซุนฮองเฮาสิ้นพระชนม์เพราะถูกครอบครัวของข้าทำร้าย คนทั้งตระกูลของข้าต่างก็คิดไม่ซื่อกับท่าน หากเก็บข้าเอาไว้ก็เท่ากับเตรียมสุสานให้ตนเอง? “
แรงที่นางสะบัดมือลงไปรุนแรงเสียจนบนหลังพระหัตถ์ของจีเฉวียนปรากฎรอยแดงขึ้นมาบ้าง พระองค์ประทับยืนอยู่ในน้ำ ตู๋กูซิงหลันนั่งอยู่บนขอบสระ พระเศียรของพระองค์ก็สูงระดับเดียวกับเอวช่วงบนของนางพอดี สตรีผู้นี้ อยู่ดีๆ ทำไมมีโทสะขึ้นมาได้?
ตู๋กูซิงหลันระเบิดอารมณ์พูดออกไปในคราเดียวจนหมด จากนั้นก็จดจ้องมองเขาตรงๆ “ฝ่าบาททรงเห็นว่าข้าเป็นปีศาจหรือไม่? “
สายตาที่มองมาของนางราวกับว่าต้องการจะมองทะลุเข้าไปถึงหัวใจของเขา ดวงตาที่พึ่งผ่านคราบน้ำตามาหมาดๆ ก็ยิ่งสุกสกาวแวววาว นัยตาสีดำก็ยิ่งดูลึกล้ำกว่าเดิม
พระหัตถ์ข้างหนึ่งของจีเฉวียนยังกุมข้อเท้าของนางเอาไว้ ขยับเพียงเบาๆ ก็สามารถกุมเอาไว้ในฝ่ามือได้หมด ความรู้สึกที่นุ่มนวลเป็นพิเศษนั้น คล้ายจะซึมซาบจากฝ่ามือเข้าไปภายในหัวใจของเขา
หากว่าสตรีผู้นี้จะเป็นมารปีศาจ ก็คงจะเป็นนางมารที่ร้ายกาจอย่างยิ่ง! สามารถทำให้เขาเกิดความคิดฆ่าฟันขึ้นมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ว่าสุดท้ายแล้วกลับไม่ได้ทำร้ายนางแม้สักรูขุมขนหนึ่ง
นี่คือนางมารที่หุ้มหนังมนุษย์เอาไว้! ทั้งยังล่อลวงผู้คนได้เก่งนัก!
” เราไม่ได้บอกว่าจะทำสิ่งใดกับเจ้าเสียหน่อย เจ้าทำท่าน้อยอกน้อยใจไปทำไม ” จีเฉวียนมิได้ตรัสตอบนางตรงๆ ” ต่อให้เจ้าเป็นนางมาร เราก็เป็นบุตรมังกรโอรสสวรรค์ มีหรือจะปราบเจ้าไม่ได้? “
” เราเรียกตัวเจ้ามา ก็เพราะต้องการให้โอกาสเจ้าสักครั้ง ให้เจ้าได้พิสูจน์ว่าตระกูลตู๋กูมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสิ้นพระชนม์ของพระมารดา ขอเพียงตระกูลเจ้าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง ต่อไปเราย่อมยอมรับตระกูลของเจ้า “
จีเฉวียนทอดพระเนตรดูนางที่ร้องไห้เสียจนจมูกแดง ปอยผมที่เปียกชื้นลีบติดใบหน้า ยังมีน้ำหยดอยู่มิได้ขาด ท่าทางประหนึ่งสะใภ้ตัวน้อยที่ถูกรังแกอย่างน่าสงสาร ไม่รู้เพราะเหตุใด ดูไปแล้วพาให้เขารู้สึกใจอ่อนขึ้นมา
อยู่ๆ น้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนลงอีกหลายส่วน แม้แต่พระพักตร์ที่เคยดำดุจก้นหม้อยามนี้ก็อ่อนโยนลงด้วยเช่นกัน “เอาเถอะ อย่ามัวน้อยใจไปเลย “
ตอนนี้ตู๋กูซิงหลันมิได้รู้สึกน้อยใจอันใดเสียหน่อย หัวใจดวงน้อยของนางกำลังสั่นไหวต่างหาก
เมื่อครู่พอคิดถึงศิษย์น้องในโลกมิติโน้นขึ้นมา ถึงได้โศกเศร้าจนน้ำตาไหล ถึงได้เกิดอารมณ์พลุ่งพล่านกล้าถามโพล่งออกไปหลายข้อ
ยามนี้จึงได้แต่รอให้เขาระเบิดอารมณ์ดั่งพายุหิมะขึ้นมา จับนางเตะกระเด็นออกไป
ถึงแม้ว่ายามนี้จะมีสติขึ้นมาแล้ว แต่ทว่าปฏิกิริยาของเจ้าฮ่องเต้สุนัขกลับทำเอานางตระหนกแทบตาย นี่เขากำลังวางแผนจะใช้กับดักแบบนุ่มนวลใช่ไหม เหมือนกับเวลาที่ค่อยๆ ต้มกบในน้ำอุ่นอะไรแบบนั้นหรือ?
เจ้าจิ้งจอกเฒ่าใจดำผู้นี้ ในท้องของเขาย่อมไม่เคยมีน้ำสะอาดมาก่อน นางได้แต่เตรียมป้องกันแล้วป้องกันอีก
จีเฉวียนทอดพระเนตรเห็นท่าทางอเน็จอนาถใกล้ตายของนาง ก็ปวดพระเศียรขึ้นมา
” ช่างเถอะ เจ้ากลับไปเสียก่อน ลองค่อยๆ คิดทบทวนสิ่งที่เราพูดกับเจ้าให้ดี “
จีเฉวียนตรัสแล้วก็รับสั่งให้นางกำนัลสองคนเข้ามา ” เปลี่ยนเสื้อผ้าที่สะอาดให้ไทเฮา”
นางกำนัลทั้งหมดเดินก้มศีรษะเข้ามา แม้แต่เหลือบมองฝ่าบาทเพียงชั่วพริบตาก็ยังไม่กล้า ในใจของพวกนางต่างตื่นตระหนกจนแทบจะกระดอนขึ้นฟ้าอยู่แล้ว แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าถามออกมาแม้สักคำเดียว
พวกนางรีบเข้ามาประคองตู๋กูซิงหลันออกไปจากสระเย่วหัว
จีเฉวียนพิงพระองค์อยู่ที่ริมสระ ทอดพระเนตรมองดูเงาหลังของนางจากไป ค่อยก้มพระพักตร์ลงทอดพระเนตรดูเงาของพระองค์เองในน้ำ………พระพักตร์ที่งดงามนั้นเปลี่ยนเป็นมืดครึ้มอีกครั้ง
ทำไมตอนหลังสถานการณ์ถึงได้กลายเป็นผู้สูงศักดิ์เปี่ยมบารมีเช่นเขาต้องคอยปลอบนางกัน?
ทั้งๆ ที่ผู้ที่โดนกระทำจนสกปรกไปทั้งตัวคือเขาต่างหาก!
ช่างเถอะ…….นางเองก็ดื่มน้ำล้างเท้าตนเองไปอึกหนึ่ง ถือว่าเสมอกันไป
………………………………..
ที่สระเย่วหัว ตู๋กูซิงหลันพึ่งจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อบก็ออกมาที่ด้านข้างของตำหนัก บังเอิญได้พบกับท่านราชครูเข้าพอดี
เขายังคงสวนชุดสีม่วงตลอดทั้งตัว ใบหน้างดงามดุจภาพวาด รูปร่างยังคงเป็นหมูสามชั้นเช่นเคย
ยามเมื่อพบเห็นตู๋กูซิงหลันเข้า หว่างคิ้วของเขาก็ยังเรียบนิ่ง เขาถวายคำนับนางครั้งหนึ่ง “ถวายพระพรไทเฮา ขอทรงพระเกษมสำราญ “
ตู๋กูซิงหลันก้มศีรษะรับคำนับจากเขา นางกวาดตามองดูครั้งหนึ่ง ก็เห็นบนนิ้วหัวแม่มือของเขามีแหวนหยกที่ดูคุ้นเคยอย่างมาก
เหมือนกับแหวนหยกที่จีจวนเคยมอบให้นางอย่างไรอย่างนั้น
ท่านราชครูเห็นนางมองอย่างพิจารณา ก็คลี่ยิ้มบางๆ สอดมือเข้าไปในแขนเสื้อ ” เมื่อยามเยาว์วัยฝ่าบาททรงประทานให้กระหม่อมเป็นของขวัญ เมื่ออยู่เบื้องพระพักตร์ไทเฮาก็เป็นที่น่าขายหน้าแล้ว “
ตอนที่ 125 ดูก็รู้ว่า ไม่เคยลงสนามจริ...
รอยยิ้มนั้นแสนอ่อนโยนประดุลสายลมในฤดูใบไม้ผลิ งดงามอย่างยิ่ง
หากว่ารูปร่างของท่านราชครูเป็นปกติดังคนทั่วไป จะต้องยิ่งดึงดูดจิตใจผู้คนเป็นแน่
ตู๋กูซิงหลันอมยิ้มอยู่ในหน้า “ท่านราชครูและฝ่าบาทผูกพันดุจพี่น้อง เราเห็นแล้วก็ชื่นชมยิ่งนัก “
อ้า ช่างเป็นความสัมพันธ์แบบพี่น้องที่สวยงามยิ่งนัก แถมยังมีการมอบของแทนใจให้แก่กันตั้งแต่เยาว์วัยแล้วด้วย นี้ช่างเป็นการปลุกพลังมโนของสาววายเช่นนางขึ้นมาเหลือเกิน
” กระหม่อมและฝ่าบาทผ่านความยากลำบากมาด้วยกันนับครั้งไม่ถ้วน ชั่วชีวิตนี้จะขอยกพระองค์เอาไว้เหนือเกล้า ความรู้สึกที่ยึดมั่นเช่นนี้ยากที่ผู้อื่นจะมาเข้าใจได้ ” ท่านราชครูยืดร่างขึ้นตรง นัยตาก็ฉายแววเย็นชากีดกันผู้อื่นออกไป
ตู๋กูซิงหลันรู้สึกราวกับถูกมองข้ามหัวไป ดูท่าทางที่หยิ่งผยองของเขาสิ พวกเขาไม่อาจแต่งงานกันได้ ก็อย่าได้มาโทษคนโสดเช่นข้าจะได้ไหม?
เขากล่าวกับตู๋กูซิงหลันอีกว่า “ซูกุ้ยเฟยและอันหรวนกูกูกลับเข้ามาในวังแล้ว หากว่าไทเฮาทรงมีเวลา สมควรจะเสด็จไปพบพวกเขาบ้าง จะพูดไป ซูกุ้ยเฟยและพระองค์ต่างก็เคยเป็นดั่งพี่น้องที่สนิทสนมกันมาก่อน อันหรวนกูกูก็เป็นถึงแม่นมของฉางซุนฮองเฮา “
ตู๋กูซิงหลันย่อมเคยได้ยินมา ในวังหลังนี้มีพระสนมกุ้ยเฟยอยู่สองพระองค์ แต่ว่าผ่านมาก็นานแล้ว นางกลับไม่เคยได้เห็นหน้ามาก่อน คิดไม่ถึงว่าหนึ่งในนั้นจะเป็นเพื่อนรักของเจ้าของร่างเดิม?
แต่ว่าอันหรวนกูกูนี่สิ นางกลับไม่เคยได้ยินผู้ใดพูดถึงมาก่อน
แต่ว่าขนาดเจ้าซิ่วเอ๋อร์ยังพูดออกมาถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังเป็นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับฉางซุนฮองเฮาอีกด้วย เพียงฐานะขอนางย่อมไม่ธรรมดาแล้ว
ว่าแล้ว ท่านราชครูค่อยกล่าวอีกว่า “กระหม่อมฟังมาว่าฝ่าบาททรงได้รับบาดเจ็บ วันนี้กระหม่อมจึงตั้งใจจะมาเยี่ยมเป็นพิเศษ คงมิอาจอยู่ถวายการรับใช้ไทเฮาได้แล้ว
นี่มันเท่ากับออกคำสั่งขับไล่แขกให้กับนางชัดๆ
รอยยิ้มบนใบหน้าของตู๋กูซิงหลันยังไม่เลือนหายไป นางเพียงแต่พยักหน้ารับ จากนั้นก็เสด็จจากไป
เมื่อครู่ก่อนกระดูกก้นกบของนางพึ่งจะถูกกระแทกอย่างแรงมา พอต้องมาเดินเหินเช่นนี้ก็พาให้เจ็บปวดอย่างสาหัส
นางอยากจะกลับไปนอนกางแขนกางขาบนเตียงหลังใหญ่
ในตำหนักเฟิ่งหมิงเหลือเกิน
ที่จริงนางพยายามทำท่ามุ่งมั่นขึงขังออกมา แต่พอเดินไปไม่กี่ก้าว ก็ชักบิดไปบิดมาอยู่บ้าง ราวกับคนที่เคล็ดขัดยอกไปทั้งตัว เดินเหินลงจากเตียงไม่ไหว
ท่านราชครูเดินมุ่งไปทางสระเย่วหัวอยู่หลายก้าว ก็หันศีรษะกลับมามองนางคราหนึ่ง จึงได้เห็นท่าทางเดินเหินของนางแบบนั้น ทันใดนั้น สายตาของเขาก็ทอประกายเหน็บหนาวขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง
ฝ่าบาททำอะไรกับนาง?
ไม่ ฝ่าบาทไม่มีทางทำอะไรกับนางแน่……
เมื่อเห็นว่าเส้นผมที่ถูกสยายออกของนางยังเปียกชื้นอยู่บ้าง ….ก็ยิ่งทำให้เขาขมวดคิ้วแนบแน่นยิ่งขึ้น
ในสระน้ำเย่วหัว เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่?
………………………………….
ตู๋กูซิงหลันพึ่งจะกลับมาถึงพระตำหนักเฟิ่งหมิง ก็เห็นเจ้าไก่ติ๊งต๊องขนฟูกำลังก้มหัวโก่งก้นหาหนอนกินอยู่ใต้ต้นไฮ่ถาง
พอนางพึ่งจะเดินไปถึง ก็เห็นเจ้าไก่ติ๊งต๊องจิกเอางูสีแดงตัวหนึ่งขึ้นมาจากพื้น เจ้างูตัวนั้นพยายามขดตัวหนีอย่างวุ่นวาย แต่กลับถูกปากที่แข็งแกรงประดุจเหล็กกล้านั้นจิกไว้ พอได้ยินเสียงฉั่วๆ ขึ้นสองครั้ง เจ้างูตัวนั้นก็ขาดเป็นสองท่อน
พอมันเห็นว่าตู๋กูซิงหลันกลับมาแล้ว เจ้าติ๊งต๊องก็คีบเอางูสองท่อนนั้น ตีปีกโผเข้ามาหานางในทันที มันวางงูเอาไว้ที่เบื้องหน้านาง
ส่งเสียงร้องอย่างเกินพอดีขึ้นมาว่า “กรุ๊ๆ กรู้~”
ตู๋กูซิงหลันเหลือบตามองดูแวบหนึ่ง “ข้าไม่กินงู”
” กรุ๊ๆ กรู้? ” เจ้าไก่ขนฟูเอียงหัวของมัน มันคิดว่างูเป็นของรสชาติดีที่สุดแล้วนะ
หลายปีมานี้ตอนอยู่ในสุสาน มันชอบกินงูมากที่สุด
พอเห็นว่าตู๋กูซิงหลันไม่มีความสนใจแม้แต่น้อย มันก็ได้แต่หุบปีลง ขยับปากจิกเพียงนิดเดียว ก็กลืนกรุ๊บๆ ลงไปทันที
ตู๋กูซิงหลันเห็นสายตาอิ่มเอมเปรมปรีของมัน ก็หรี่ตาลงมองอย่างพิจารณา เจ้างูนั่นเป็นงูกะปะแดงที่มีพิษร้ายแรง
ในตำหนักเฟิ่งหมิงกลับปรากฎสัตว์พิษเช่นนี้ขึ้นมาได้ หากว่าผู้ใดไม่ทันระวังโดนกัดเข้าละก็ ผลลัพธ์อาจถึงขนาดจบชีวิตไปในทันที
เจ้าไก่ติ๊งต๊องกินเข้าไปกลับไม่มีทีท่าผิดปกติใดๆ ตู๋กูซิงหลันจึงยิ่งรู้สึกว่าเจ้าไก่ตัวนี้ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง
พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าว นางก็เห็นสาวน้อยในชุดกระโปรงสีเขียวสดใสบางเบาผู้หนึ่ง โฉมงามน่ารัก กิริยาสง่างาม คิ้วโกงดั่งใบหลิว ดวงตากลมโตดั่งเมล็ดซิ่ง (เมล็ดผลท้อ) ปากเล็กบาง งดงามตามแบบฉบับของสตรีโบราณ
เพียงชมดูรูปโฉมภายนอกของนาง ก็รู้สึกว่าดึงดูดสายตาน่าประทับใจนัก
ขณะที่ตู๋กูซิงหลันมองออกไป สาวน้อยผู้นั้นก็มองมาทางนี้เช่นกัน นางชะงักไปครู่หนึ่ง ค่อยยกกระโปรงขึ้นวิ่งเขามาใกล้
พอเห็นว่าตู๋กูซิงหลันสวมชุดเฉกเช่นนางกำนัล นางก็ยิ่งเสยหน้าขึ้นใช้หางตาเหลือบมองนาง “เจ้าเป็นนางกำนัลในตำหนักเฟิ่งหมิง? “
ที่สระสรงเย่วหัวย่อมไม่มีเสื้อผ้าสำหรับเหล่าพระสนมทั้งหลาย นางเองก็เปียกไปทั้งตัว ทั้งยังไม่คิดจะสร้างความลำบากใจให้กับนางกำนัลทั้งหลาย ดังนั้นจึงเปลี่ยนเป็นชุดของนางกำนัล ทั้งยังสยายผมออกมา เส้นผมยังไม่แห้ง เปียกชื้นลีบติดใบหน้า บดบังใบหน้าของนางเอาไว้
” เจ้าคือ? ” ตู๋กูซิงหลันมองดูนางด้วยสีหน้าเรียบเฉย
” เฮ่อ เป็นแค่นางกำนัลเล็กๆ ผู้หนึ่ง ยังคิดจะอยากรู้ฐานะของข้ารึ? ” สาวน้อยผู้นั้นหัวเราะเสียงเย็นออกมา ” ในวังต่างลือกันไปทั่วว่าเจ้าของตำหนักเฟิ่งหมิงผู้นั้นไม่รู้จักกฎระเบียบที่สุดแล้ว คิดไม่ถึงว่า นางกำนัลเล็กๆ เช่นเจ้าก็ไม่รู้จักมารยาทด้วยเหมือนกัน “
ตู๋กูซิงหลันอดจะมองดูนางอีกรอบไม่ได้ ชุดกระโปรงบนร่างของสาวน้อยผู้นี้ทำจากผ้าไหมเมฆคล้อยชั้นดี ซึ่งเหล่าพระสนมต่างนิยมใช้ตัดชุดกัน
ข้างเอวของนางยังมีถุงใบเล็กๆ มัดปากเอาไว้อย่างแน่นหนา สิ่งที่อยู่ภายในก็ขยับดุ๊กดิ๊กไปมา
ตู๋กูซิงหลันถามออกไปด้วนสีหน้าเรียบเฉย “มิทราบว่าเป็นพระสนมตำหนักใด? “
” ยามนี้ยังไม่ใช่ ” สาวน้อยเชิดหน้าขึ้น ตอบออกไปอย่างแสนภาคภูมิใจว่า “แต่ว่าเร็วๆ นี้ย่อมใช่แน่ “
ตู๋กูซิงหลัน ” หืม? “
” ดูท่าคนอย่างเจ้าคงจะไม่รู้อะไรดี ตามกฎบัญญัติของแคว้นต้าโจว เมื่อฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ในสามปีแรก ทุกครึ่งปีจะมีการคัดเลือกสนมหนึ่งครั้ง เจ้าดูสิว่าข้าน่ะโดดเด่นเพียงไร มีหรือที่ฝ่าบาทจะทรงไม่ถูกพระทัยได้? “
พูดแล้ว นางก็เดินหมุนตัวที่ด้านหน้าตู๋กูซิงหลันรอบหนึ่ง
ภายใต้ชุดกระโปรงเขียวที่พลิ้วไหว คือสาวน้อยที่มีใบหน้าดุจดอกไม้ผลิบาน ช่างน่าดูอย่างแท้จริง
สาวน้อยหมุนตัวเสร็จแล้ว ก็มิได้ลืมสอบถามนางว่า ” คุณหนูเช่นข้าเปรียบเทียบกับเจ้าของตำหนักเฟิ่งหมิงของเจ้าผู้นั้นเป็นเช่นไร? “
” เจ้ามาที่ตำหนักเฟิ่งหมิงก็เพื่อจะมาประชันโฉมกับไทเฮาหรือ? “
” ประชันโฉม? ฮ่าๆ ” สาวน้อยหัวเราะเสียงเย็น ” ต่อให้นางงดงามมากกว่านี้ แต่ในสายตาของฝ่าบาทก็ไม่อาจสู้ข้าได้แม้สักสามส่วน จะมาเปรียบเทียบกับข้า? นางไม่มีคุณสมบัติแม้แต่น้อย! “
วิญญาณทมิฬ “อุว๊ะ นังหนูนี่โคตรจะมั่น! ดูก็รู้เลยว่าไม่เคยลงสนามจริงๆ มาก่อน! “
ตู๋กูซิงหลันไม่กล่าวคำใด นางในตอนนี้ปวดกระดูกก้นกบอย่างที่สุด คิดแต่จะปีนขึ้นเตียงไปนอนพักผ่อนเท่านั้น
แต่พอขยับได้ก้าวหนึ่งก็ถูกสาวน้อยผู้นั้นสะกัดเอาไว้ “บอกว่าเจ้าไร้มารยาท เจ้าก็กล้าไร้มารยาทจริงๆ แค่บ่าวรับใช้ในวังคนหนึ่ง ไม่มีคำสั่งของข้าก็คิดจะจากไปได้? “
ตู๋กูซิงหลัน ” ดังนั้นล่ะ? “
” ดูเจ้าสิกล้าไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาสักนิดหรือ? นายของเจ้าสั่งสอนเจ้ามาเช่นนี้หรือ? ” สาวน้อยพูดพลางก็ตวัดมือออกมา พริบตาเดียวก็ฝ่ามือนั้นก็จะตบลงบนใบหน้าของตู๋กูซิงหลัน
” กะๆ กระต๊าก! “
พอนางขยับมือ ก็เห็นเจ้าไก่ขนฟูถลาเข้ามาทั้งตัว พุ่งเข้าใส่ใบหน้านางอย่างเต็มที่
สาวน้อยใบหน้าเปลี่ยนสี เอียงศีรษะหลบออก กรงเล็บของเจ้าไก่ขนฟูจึงกรีดลงบนหัวไหล่ของนางแทน เลือดสดๆ ไหลออกมาเป็นทางยาว
นางเกิดโทสะในทันที สะบัดฝ่าเท้าออกใส่เจ้าไก่ขนฟู
แต่ไก่ขนฟูมิใช่อ่อนด้อย ขยับปีกถลาเข้าตบตีนางเป็นพลันละวัน
ตอนที่ 126 ซูเหม่ย
เพียงครู่เดียวทั่วทั้งร่างของสาวน้อยก็เป็นริ้วรอยไปทั้งตัว ผิวพรรณที่อ่อนนุ่มถูกจิกข่วนเสียจนใครเห็นเป็นต้องปวดใจ
พอเห็นว่าตีกันได้พอสมควรแล้ว ตู๋กูซิงหลันจึงได้เรียกติ๊งต๊องให้กลับมาอยู่ที่ข้างตัวนาง “เจ้าไก่ตัวนี้อารมณ์ร้ายมาก ทั้งยังชมชอบต่อสู้ ทางที่ดีเจ้าอย่าได้ไปหาเรื่องมันจะดีกว่า “
“สมควรตายนัก! ” ชุดกระโปรงที่สวยงามของสาวน้อยฉีกขาดยับเยิน ถุงข้างเอวก็ตกลงบนพื้น นางลุกขึ้นมาจดจ้องตู๋กูซิงหลันและเจ้าไก่ขนฟูด้วยสายตาถมึงทึง ” เจ้ารู้หรือไม่ว่าท่านย่าของข้าเป็นใครกัน? กลับกล้าใช้ไก่ตัวหนึ่งมาลงมือเช่นนี้? “
ตู๋กูซิงหลันสีหน้าเย็นชา “ท่านย่าอย่างข้าไม่รู้จัก “
” ท่านย่าของข้าก็คือ อันหร่วนกูกู แม่นมของฉางซุนฮองเฮา พระพี่เลี้ยงของฮ่องเต้ บ่าวรับใช้เช่นเจ้ากลับกล้าต่อกรกับข้าหรอ? “
ตู๋กูซิงหลัน “………” เมื่อครู่คล้ายกับว่านางไม่ได้ทำสิ่งใดเลยนะ
แต่ว่าเกี่ยวกับอันหร่วนกูกูผู้นั้น นางก็พึ่งจะได้ยินซิ่วเอ๋อร์กล่าวถึงมาเหมือนกัน “
พอเห็นว่านางไม่มีปฎิกิริยาใดๆ สาวน้อยก็ยิ่งมีโทสะมากกว่าเดิม นางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงไม่ยอมลดละว่า “อย่าคิดว่าเจ้าเป็นคนสนิทของไทเฮา แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไปนะ! “
ตู๋กูซิงหลัน “อ๋อ “
พอนางรับคำไป ก็เห็นว่าถุงที่สาวน้อยผู้นั้นทำตกเอาไว้กำลังคลายตัวออก งูกะปะแดงหลายตัวคลานออกมาจากภายในถุงใบนั้น
ตู๋กูซิงหลันเหลือบตาดู ก็ถอยออกไปด้านข้างก้าวหนึ่ง “ติ๊งต๊อง ไปจัดการซิ “
เจ้าไก่ขนฟูระเบิดความดีอกดีใจออกมาในทันที มันถลาเข้าหางูกะปะแดงอย่างคุ้มคลั่ง จิกกลืนๆ ต่อเนื่องไปหลายตัว พอฝ่าเท้าของมันตะปบงูตัวสุดท้ายได้แล้ว ก็ขยับปีกโผเข้าหาสาวน้อยผู้นั้นในทันที
ภาพที่เห็นสร้างความหวาดผวาให้นางจนหน้าเปลี่ยนสี หันหลังวิ่งหนีในทันใด
พอนางวิ่งมาถึงประตูตำหนักเฟิ่งหมิง ก็ได้พบเห็นสตรีกลุ่มหนึ่ง
ผู้ที่เดินนำมาในกลุ่มก็คือองค์หญิงใหญ่และพระสนมที่งดงามผู้หนึ่ง องค์หญิงใหญ่ยังได้นำท่านหญิงน้อยที่พึ่งจะได้รับการแต่งตั้งมาด้วย “
นางวิ่งออกมาอย่างสะบักสะบอม พอมาถึงก็คว้าชายแขนเสื้อของพระสนมผู้นั้นเอาไว้ “ซูกุ้ยเฟยเพคะ ช่วยด้วยเพคะ บ่าวไพร่กับไก่ในตำหนักเฟิ่งหมิง จะฆ่าคนแล้ว! “
พอนางพูดจบ ก็เห็นเจ้าไก่ขนฟูตัวนั้นร้องกระต๊ากๆ ไล่ตามมา ฝ่าเท้าของมันยังกำงูกะปะสีแดงเอาไว้แน่น พอเห็นว่ามีคนอยู่จำนวนมาก มันก็ไม่ผลีผลาม เพียงแต่ใช้เท้าข้างเดียวตะกุยอยู่บนพื้นไม่ยอมหยุด
” หว่านจือ นี่เกิดอันใดขึ้นกับเจ้ากัน? ” ซูกุ้ยเฟยพยุงนางไว้ มองดูด้วยสายตาประหลาดใจ “เมื่อครู่ข้าก็กำลังตามหาตัวเจ้าอยู่เลย ทำไมเพียงแค่ครู่เดียว เจ้าก็ทำตนเองจนกลายเป็นเช่นนี้แล้ว? “
” ยังไม่ใช่เป็นเพราะนังบ่าวของตำหนักเฟิ่งหมิง อาศัยไก่ตัวหนึ่งมารุมทำร้ายหม่อมฉันจนมีสภาพเช่นนี้ ” อันหว่านจือขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “หม่อมฉันโตมาจนป่านนี้ไม่เคยถูกรังแกถึงเพียงนี้มาก่อนเลย! หม่อมฉันจะไปฟ้องท่านย่า ให้นางจัดการให้หม่อมฉัน! “
” อันหร่วนกูกูพึ่งกลับเข้าวังมา เดินทางมายาวไกล นางมีอายุมากแล้วสมควรพักผ่อนให้มาก เจ้าก็อย่าได้ไปรบกวนผู้เฒ่าเช่นนางเลย ” ซูกุ้นเฟยกล่าว “ตัวข้ากับไทเฮาจะอย่างไรก็สนิมสนมกันดุจพี่น้องอยู่แล้ว หากว่าบ่าวไพร่ใต้การดูแลของนางทำร้ายเจ้าจริง ข้าก็จะจัดการลงโทษให้เจ้าเอง”
หว่านจือพอได้ฟัง ก็ใจชื้นขึ้นมาบ้าง นางคว้ามือซูกุ้ยเฟยเอาไว้ ตอบว่า “ยังคงเป็นซูกุ้ยเฟยที่เมตตาต่อหม่อมฉัน “
ซูกุ้ยเฟยคลี่ยิ้มบางๆ งดงามตรึงตราตรึงใจ
แม้แต่องค์หญิงใหญ่ยังรู้สึกว่าสายตาพร่าเลือนไปวูบหนึง
ผู้คนใต้หล้าต่างรู้ว่า โฉมงามอันดับหนึ่งของแคว้นต้าโจวคือตู๋กูซิงหลัน ซึ่งอภิเษกให้กับอดีตฮ่องเต้จนกลายเป็นไทเฮา
โฉมงามอันดับสองของต้าโจว ก็ย่อมเป็นบุตรตรีสายตรงของซูอู๋ท่านอ๋องแห่งหย่งโจว นามซูเหม่ย
ตั้งแต่ตอนที่ฝ่าบาทยังมิได้ขึ้นครองราชย์ ท่านอ๋องแห่งหย่งโจวผู้นี้ก็ยึดมั่นในองค์ชายสี่อย่างไม่มีสั่นคลอนแล้ว พอฝ่าบาทขึ้นครองราชย์ ก็รับบุตรสาวของเขามันเป็นกุ้ยเฟยในทันที
หากจะกล่าวว่าตู๋กูซิงหลันงดงามดุจเทพธิดา ซูเหม่ยก็เลอโฉมดุจนางมาร
นางมีคิ้วโก่งดุจสะพานทอดยาว รูปร่างสะโอดสะอง ใบหน้านั้นเรียกว่าต่อให้เป็นสตรีด้วยกัน แต่หากได้สบตาสักครั้งก็อยากที่จะลืมเลือนไปได้
ด้วยศักดิ์ฐานะเช่นนี้ รูปโฉมที่งดงามเพียงนี้ หากคิดจะไม่เป็นที่โปรดปรานแต่เพียงผู้เดียวในวังหลังก็นับได้ว่ายากนัก แต่ว่าอุปนิสัยของนางสมถะเรียบง่าย ทั้งยังหลงใหลในการบำเพ็ญเพียร พอพึ่งจะได้รับแต่งตั้งเป็นกุ้ยเฟย ก็อาสาไปเฝ้าสุสานแทนฉางซุนฮองเฮา ณ เขาจงหลิน นางกล่าวว่าเพื่อสวดภาวนาให้แคว้นต้าโจว กตัญญูแทนฝ่าบาท ที่จริงแล้วย่อมเป็นว่าในเขาจงหลินนั้นสามารถสัมผัสกับไอทิพย์ที่บริสุทธฺ์ได้มาก
ฝ่าบาทก็ทรงมีน้ำพระทัยกว้างขวาง ย่อมปล่อยโฉมงามถึงเพียงนี้ไปเฝ้าสุสาน
พอดีกับที่เมื่อฉางซุนฮองเฮาสวรรคตไปแล้ว แม่นมอันหร่วนก็ไปเฝ้าสุสานที่เขาจงหลินเช่นกัน ครั้งนี้ทั้งสองคนจึงกลับมาพร้อมกัน
เฮ่อ ผู้ที่ร่วมขบวนกลับมาด้วย ยังมีหลานสาวของอันหร่วน คุณหนูอันหว่านจือ
ซูเหม่ยเป็นคนถ่อมตน เมื่อกลับมาก็มิได้ประกาศศักดิ์ดาอวดอ้างอันใด แม้แต่ผู้คนในวังหลายคนยังไม่รู้ข่าวคราว
วันนี้ที่องค์หญิงใหญ่ได้พบนาง ถือว่าเป็นเรื่องบังเอิญโดยแท้
คราวนี้ อันหว่านจือก็คว้ามือของซูกุ้ยเฟยเอาไว้แน่น นางพูดพลางก็หันหน้ากลับไปดู จึงเห็นว่านังบ่าวของตำหนักเฟิ่งหมิงผู้นั้นถึงกับกล้าเดินมาทางพวกนาง
ยามนี้ตู๋กูซิงหลันค่อยๆ เดินออกมาจากตำหนักเฟิ่งหมิง นางอดกลั้นต่อความปวดกระดูกก้นกบเอาไว้ ท่วงท่าเดินเหินยังคงกระปลกกระเปลี้ยอยู่บ้าง
เมื่อพบเห็นคนทั้งหลาย สายตาของนางก็ถูกซูเหม่ยดึงดูดไปเสียแล้ว
ในวังหลังมีพระสนมมากมาย แต่ผู้ที่สามารถทำให้นางผ่านตาแล้วไม่ลืมเลือนได้นั้นมีอยู่ไม่มาก นอกจากเต๋อเฟยที่สู้กันจนเกือบจะตายไปข้างหนึ่ง ก็มีแต่นางมารน้อยเช่นหยวนเฟยเท่านั้น
เมื่อเปรียบเทียบกับหยวนเฟยที่ดูเป็นนางมารน้อยแสนน่ารัก พระสนมที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้สิ…….ถึงจะเป็นนางมารตัวจริง!
โครงร่างที่ทรงเสน่ห์ไปทั้งตัว เปลือกตาอมชมพู นัยตาที่สะท้อนความลึกลับที่ถูกซุกซ่อนไว้ เพียงสบตาแค่แวบเดียวก็เหมือนกับวิญญาณจะหลุดลอยออกไป
มีเสน่ห์ดึงดูดอย่างไม่อาจหักห้าม ถือเป็นระดับที่สูงส่งเลยทีเดียว
ทั้งที่สวมชุดแดงรัดกุมตลอดร่าง แต่ยังคงดูแล้วน่าขนลุกไปจนถึงกระดูก
พอเห็นนางเดินออกมา อันหว่านจือก็หัวเราะเสียงเย็นอยู่ในใจ ยามนี้ตนเองมีที่พึ่งพิงแล้ว จึงชี้นิ้วใส่ตู๋กูซิงหลันกล่างว่า “เป็นนางนี่ละ! เป็นบ่าวไพร่ผู้นี้ นาง นางยังคิดจะปล่อยงูมากัดข้า! “
ซูกุ้ยเฟยหันมามองทางตู๋กูซิงหลัน เห็นนางสวมใส่เสื้อผ้าของนางกำนัลอย่างเรียบง่าย เส้นผมเปียกชื้นลีบติดใบหน้า ใบหน้าดูไปซีดขาวอยู่บ้าง ท่าทางคล้ายอ่อนล้าโรยแรง
ยิ่งทำให้นึกถึงท่าทางการเดินเหินของนางเมื่อครู่ สีหน้าของซูเหม่ยก็เปลี่ยนไปในทันที
” กุ้ยเฟยเพคะ ท่านต้องจัดการให้หม่อมฉันนะเพคะ! ” อันหว่านจือเห็นนางไม่กล่าววาจาก็ร้อนใจขึ้นมา
ไม่ทันรอให้ซูเหม่ยเอ่ยปาก ก็เห็นซุ่นเอ๋อร์ปล่อยมือจากองค์หญิงใหญ่ กึ่งวิ่งกึ่งกระโดดเข้าไปอยู่ข้างๆ ตู๋กูซิงหลัน กอดขานางเอาไว้ออดอ้อนว่า
” ท่านย่าน้อย! “
น้ำเสียงที่เรียกขานนั้นหวานเสียจนคนฟังต้องใจละลายแล้ว!
” ท่านย่าน้อย? ” ดวงตาของอันหว่านจือถึงกับตะลึงจนโง่งมไปแล้ว ท่านหญิงน้อยตาบอดไปหรือเปล่า? นั่นเป็นบ่าวไพร่ผู้หนึ่งมิใช่หรือ?
” เด็กดี ” ตู๋กูซิงหลันบิดเอว ลูบไล้ศีรษะของนาง
” ไทเฮาเพคะ ” จากนั่น องค์หญิงใหญ่ก็ถวายคำนับต่อตู๋กูซิงหลัน “ไยพระองค์……จึงมีสภาพเช่นนี้? “
อันหว่านจือ “??? “
ตู๋กูซิงหลันหัวเราะเบาๆ “เมื่อครู่ลื่นตกลงไปในสระน้ำ ไม่เป็นไรหรอก “
พอนางพึ่งจะพูดจบลง ก็เห็นซูกุ้ยเฟยถลันออกมา คว้ามือของนางเอาไว้ “เจ้าลื่นล้ม? อากาศเย็นถึงเพียงนี้ เจ้าลื่นตกไปในสระได้อย่างไร? “
นางทางหนึ่งกล่าวพลาง ทางหนึ่งก็นวดมือนวดไม้ของตู๋กูซิงหลันไปด้วย สายตาของนางเต็มไปด้วยความกังวลใจ
อันหว่านจือ “!!! ” ไหนรับปากว่าจะออกหน้าจัดการให้นางไง? แล้วนี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน?
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น