พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1229-1234

 บทที่ 1229 ตื่นตระหนกกับความเปลี่ยนแปลง

โดย

Ink Stone_Fantasy

ถ้าในตอนนี้เหมียวอี้อยู่ข้างโลงศพแดงหกโลงและได้เห็นวัตถุไร้รูปร่างนั่น เขาจะต้องรู้จักแน่นอน คนอื่นอาจจะไม่รู้จัก แต่ไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้จัก


และยิ่งไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงของโลกภายนอก ทั้งดาวรองมีลมพัดจนเมฆไหลทะลัก หมอกเลือดม้วนตัวไม่หยุดนิ่ง กำลังสลายหายไปอย่างช้าๆ


ในดาราจักร ขุนพลหกลัทธิมองความเปลี่ยนแปลงบนดาวรองด้วยสีหน้าฮึกเหิม


เมิ่งหรูกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “สงสัยเจ้าเหมียวอี้นั่นจะหาจุดที่ขังประมุขขุนพลหกท่านเจอแล้ว”


เหลิ่งจัวฉุนพยักหน้า “ถ้าสิ่งที่ประมุขไป๋บอกคือความจริง คาดว่าเวลาที่ประมุขขุนพลหกท่านจะหลุดพ้นคงมาถึงแล้ว!”


แววตาที่ตื่นเต้นหวั่นไหวหลายคู่กำลังมองดาวรองที่อยู่ตรงหน้า ต้องทราบไว้ว่าสิ่งที่ประมุขไป๋พูดในปีนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการที่ประมุขขุนพลหกท่านจะหลุดพ้นเท่านั้น ทั้งยังเกี่ยวข้องกับอนาคตของพวกเขาด้วย…


เหมียวอี้ถอยหลังอย่างช้าๆ ตอนที่เพิ่งจะถอยออกจากห้องศิลา ตรงหน้าก็มีเสียงดังโครม ทั้งห้องศิลาถล่มลงมา มีฝุ่นตลบอบอวลอยู่ตรงหน้าเขา


พอสะบัดแขนเสื้อกวาดฝุ่นที่ตลบฟุ้งออกไปแล้ว เหมียวอี้ก็หันกลับมามองโลงศพแดงหกโลงที่วางอยู่กลางพื้นที่ว่างใต้ดิน เมื่อไม่เห็นมีความเคลื่อนไหวอะไร เขาก็หันตัวไปอีกด้าน มองข้ามห้องศิลาที่ถล่มอยู่ข้างหลัง เดินกลับไปไม่กี่ก้าว แล้วเปิดกล่องที่อยู่ในมือออก


เมื่อเห็นของที่อยู่ข้างในก็ตกตะลึงอีกครั้ง เพราะไม่เหมือนกับหลายครั้งก่อนหน้านี้ ครั้งนี้ในกล่องมีแผ่นหยกสามแผ่นและลูกกลมโลหะสองลูก โดยลูกหนึ่งสีแดงและลูกหนึ่งสีดำ ลูกกลมโลหะลูกหนึ่งและแผ่นหยกแผ่นหนึ่งที่ไม่เหมือนกับที่เคยเจอ


เขาหยิบแผ่นหยกแผ่นหนึ่งมาอ่านดู ด้านบนของเคล็ดวิชาฝึกตนที่ยั้วเยี้ยหนาแน่นมีตัวอักษรเขียนว่า : เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยาง ดิน!


ส่วนแผ่นหยกอีกสองแผ่นก็คือ…ในหัวเหมียวอี้มีความคิดหนึ่งแวบเข้ามา รีบเปลี่ยนหยิบอีกแผ่นออกมาดู ด้านบนมีตัวอักษรเขียนว่า : มหาเคล็ดวิชาหมื่นปีศาจ ดิน!


เหมียวอี้ตื่นเต้นร้อนใจทันที รีบหยิบแผ่นที่สามขึ้นมาดูอีก เป็นเคล็ดวิชาฝึกตนเช่นเดียวกัน ด้านบนเขียนไว้ว่า : หฤทัยสูตรสุขาวดี ดิน!


ภาคดินของสามเคล็ดวิชา เคล็ดวิชาภาคดินของสามในหกเคล็ดวิชาพิเศษอยู่ที่นี่ทั้งหมดเลย!


เหมียวอี้กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที ภาคดินของหกเคล็ดวิชาพิเศษมีครบในรวดเดียวแล้ว พอเป็นแบบนี้ การเสี่ยงอันตรายครั้งนี้ก็คุ้มค่าเหมือนกัน พียงแต่พอเป็นแบบนี้ ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะขาดแหล่งแสวงหาความร่ำรวยไปแล้วสองแห่ง


เดิมทีเขาคาดเดาไว้ว่า จะสามารถร่ำรวยจนพอหาเลี้ยงครอบครัวได้ในทุกจุดที่หาสมบัติพบ ตอนนี้ได้มาครบในรวดเดียวแล้ว กลับทำให้เขาผิดหวังนิดหน่อย


“เอ๋!” เหมียวอี้ทำเสียงประหลาดใจ สายตาไปหยุดอยู่บนลูกกลมโลหะสองลูก และอดไม่ได้ที่จะพึมพำว่า หาหกเคล็ดวิชาพิเศษภาคดินครอบแล้ว ทำไมยังมีลูกกลมโลหะอีก หรือว่า…


เขาวางแผ่นหยกลง คว้าลูกกลมโลหะสีดำมาไว้ในมือ แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์กระตุ้นตามประสบการณ์ที่เคยทำ ลูกกลมสีดำแผ่ออกทันที กลายเป็นแผนที่โลหะฉบับหนึ่ง


สิ่งแรกที่ปรากฏสู่สายตาก็คือภาพสตรีทะยานฟ้า ด้านข้างมีตัวอักษรสองแถว : ลิขิตแห่งเส้นทางแห่งเซียนยังไม่จบสิ้น เรือกระดูกลอยอยู่ในทะเลเลือด!


เขาไม่อ่านแผนที่ดาวที่อยู่ข้างๆ สิ่งนั้นไม่สามารถอ่านออกได้ในช่วงเวลาสั้นๆ สายตาตรงไปอยู่บนตัวอักษรด้านบนแผนที่ดาวโดยตรง : มาร ฟ้า!


ว่าแล้วเชียว! เหมียวอี้แอบอุทานในใจ ในมือประมุขไป๋ยังมีภาคฟ้าของหกเคล็ดวิชาพิเศษด้วย!


ถ้าหาเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาพฟ้าพบแล้วมอบให้อวิ๋นจือชิว รอจนกระทั่งอวิ๋นจือชิวฝึกเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานจนครบสมบูรณ์ ก็จินตนาการพลังความสามารถได้ไม่ยากแล้ว บนโลกนี้คนที่สามารถทำให้อวิ๋นจือชิวเจ็บตัวได้ เกรงว่าคงมีจะมีน้อยจนนับนิ้วได้เลย


ถ้ายังมีภาคฟ้าของเคล็ดวิชาอื่นๆ อีก ก็จะทำให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์และคนอื่นๆ ฝึกหกเคล็ดวิชาพิเศษอย่างสมบูรณ์ได้ รอให้คนกลุ่มนี้วรยุทธ์สูงขึ้นมาแล้ว เช่นนั้นศักยภาพของคนฝ่ายตัวเองก็ทำให้ไม่มีใครมาแตะต้องได้อีกแล้ว


แผ่นที่โลหะในมือหดลง เขาหยิบลูกกลมโลหะสีแดงอีกลูกขึ้นมาอีก ต้องการจะร่ายอิทธิฤทธิ์กระตุ้นให้เปิดออก แต่เคล็ดวิชาฝึกตนกลับถูกดูดเข้าไปอย่างฉับพลัน ข้างในปรากฏแผนที่ดาวสี่ภาพ ระบุพิกัดของประตูดวงดาวเอาไว้สี่แห่ง


“ของนี่คืออะไร…” เหมียวอี้พึมพำอย่างแปลกใจ อ่านสถานการณ์ไม่ออก


ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาศึกษาอย่างละเอียด กลับไปยังมีโอกาสให้ค่อยๆ ตรวจสอบอีก แบ่งปันข่าวดีเรื่องเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคฟ้าให้อวิ๋นจือชิวรู้ก่อนแล้วกัน ทำให้เหมียวฮูหยินดีใจสักหน่อยสิถึงจะถูก เหมียวอี้รีบนำระฆังดาราออกมาติดต่อกับอวิ๋นจือชิว


ตอนไม่ติดต่อก็ยังไม่รู้ พอได้ติดต่อแล้วถึงได้รู้ว่าเกิดปัญหา ไม่น่าเชื่อว่าติดต่อไม่ได้ เหมือนดึงเชือกเส้นหนึ่งเอาไว้ แต่อีกด้านหนึ่งไม่มีของอะไร หรือพูดได้อีกอย่างว่าอีกด้านไม่มีปฏิกิริยาใดๆ


นี่มันเรื่องอะไรกัน? เหมียวอี้มองไปรอบๆ อีกครั้ง อย่าบอกนะว่าที่นี่เหมือนกับค่ายกลมารโลหิตของปีศาจโลหิต ขัดขวางการติดต่อของระฆังดารากับโลกภายนอกได้ด้วย?


มีบางอย่างที่เขายังไม่รู้ นั่นก็คือภายนอกกลุ่มโจรกบฏไม่ได้ทำอะไรเขา แต่ความจริงเตรียมป้องกันเขาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ขุนพลหกลัทธิสั่งให้คนตัดความเป็นไปได้ที่จะใช้ระฆังดาราบนดาวเคราะห์ดวงนี้ติดต่อกับโลกภายนอก ไม่ให้โอกาสพวกเขาเล่นอุบายอะไร และก่อนที่จะช่วยให้ประมุขขุนพลหกท่านหลุดพ้นออกมาได้ อีกฝ่ายก็ไม่กลั่นแกล้งพวกเขาเช่นกัน


เหมียวอี้ที่ไม่รู้สถานการณ์ชัดเจนทำได้เพียงหยุดติดต่อกับอวิ๋นจือชิวชั่วคราว เก็บสมบัติที่ได้มา แต่กันกลับไปมองห้องศิลาที่พังถล่ม ‘ทำลายศพกลบร่องรอย’ ไปแล้ว กลับทำให้เขาประหยัดแรงไม่ต้องทำลายหลักฐานอะไรอีก


พอโบกมือหนึ่งครั้ง พวกอวิ๋นอ้าวเทียนก็โผล่ออกมาจากกระเป๋าสัตว์ทันที


พอทั้งห้าคนเหยียบลงพื้น ก็ไม่มีคำถามอะไรเลยสักนิด สายตาไปหยุดอยู่ที่โลงศพหกโลงนั่น เมื่อเห็นฝาโลงศพตกลงพื้น ทั้งห้าคนก็ไม่กล้าเข้าใกล้ รีบหันมองไปรอบๆ อย่างระวังตัว เหมือนกังวลนิดหน่อยว่าคนในโลงศพออกมาแล้วหรือยัง


ไม่เห็นว่ามีคนอื่น เห็นเพียงเหมียวอี้เอามือไขว้หลังยืนวางมาดอยู่ข้างๆ จีฮวนโบกมือชี้แล้วถามอย่างประหลาดใจสงสัยว่า “คนในนั้น…”


เหมียวอี้พยักหน้า “ไม่ผิดหรอก ที่นี่ก็คือที่ขังประมุขขุนพลหกท่าน”


“คนในนั้นออกมาแล้วเหรอ?” จีฮวนถามอย่างระมัดระวัง


เหมียวอี้ส่ายหน้า “คิดมากไปแล้ว คนยังอยู่ในโลงศพ ถูกควบคุมไว้ ออกมาไม่ได้หรอก ตอนนี้พวกเรามาปรึกษากันเถอะว่าจะเอาหกคนนี้มาใช้ประโยชน์เพื่อออกจากที่นี่ยังไง”


ไม่มีใครตอบคำถามของเขา พอได้ยินว่าประมุขขุนพลหกท่านถูกควบคุมไว้ ทั้งห้าก็ถลันตัวไปอยู่ข้างโลงศพเพื่อดูสภาพในโลงศพทันที ความรู้สึกเหมือนกับเหมียวอี้ก่อนหน้านี้ ต่างก็อยากเห็นว่าประมุขขุนพลหกท่านหน้าตาเป็นอย่างไร


“ผู้หญิงดูท่าทางยังเหมือนเป็นสาวน้อยคนหนึ่ง เป็นนักพรตปีศาจ คงจะเป็นประมุขขุนพลลัทธิปีศาจ ปีศาจเฒ่า เจ้ามาดูสิ” ซือถูเซี่ยวบอกจีฮวนด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ


จีฮวนเดินเข้ามายื่นศีรษะ เห็นสาวน้อยนอนอยู่ในโลงศพกำลังลืมตาที่กลมโตงดงาม เปี่ยมล้นไปด้วยกลิ่นอายของหนุ่มสาว เพียงแต่ ‘ขลุ่ย’ ที่ตอกอยู่บนหน้าผากน่าตกใจไปหน่อย


ซือถูเซี่ยวพูดหยอกว่า “ปีศาจเฒ่า นางเบิกตากว้างแบบนั้น เหมือนกำลังจ้องเจ้าอยู่เลยนะ”


เบิกตากว้าง? เหมียวอี้กำลังเอามือลูบคางครุ่นคิดว่าจะหลุดออกจากที่นี่ได้อย่างไร พอได้ยินแบบนั้นก็อึ้งทันที เงยหน้าช้าๆ มองมา ถ้าเขาจำไม่ผิด หกคนที่อยู่ในโลงศพล้วนกำลังหลับตาไม่ใช่เหรอ หรือว่าตัวเองมองผิดไป?


พวกเขาเดินไปเดินมาระหว่างโลงศพหลายโลง มู่ฝานจวินจ้องชายชุดขาวผู้สง่างามดูมีความรู้ในโลงศพ ยื่นมือเข้าไปสำรวจในแขนเสื้อสองข้างของชายชุดขาว แล้วหันกลับมาถามเหมียวอี้ที่ยืนเหม่ออยู่ข้างๆ ว่า “เหมียวอี้ สมบัติที่อยู่บนตัวเขาถูกเจ้าค้นไปหมดแล้วใช่มั้ย?”


พอกล่าวคำนี้ออกมา คนอื่นๆ ก็ยื่นมือไปสำรวจคนในโลงศพเช่นกัน


ผ่านไปครู่เดียว ฉางเหลยก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ไม่ต้องพูดแล้ว โดนเจ้าหนุ่มนี่ค้นไปหมดแล้วแน่นอน”


อวิ๋นอ้าวเทียนเก็บมือแล้วหันตัวมาจ้องเหมียวอี้ “เจ้าเด็กนี่ อย่าทำเกินไปนัก เจ้ารวยจนน้ำมันจะหยดอออกมาอยู่แล้ว ทุกคนมาที่นี่ด้วยกัน แต่เจ้าคนเดียวฮุบของไปหมดมันจะฟังไม่ขึ้นหรือเปล่า?” ความหมายที่จะสื่อก็คือ ‘ผู้ที่เห็นย่อมมีส่วนแบ่ง ต้องแบ่งให้สักส่วน’


“เจ้า…” มู่ฝานจวินที่หันกลับมามองในโลงศพอีกครั้งพลันสบตากับชายที่นอนอยู่ในโลงศพ นาอดไม่ได้ที่จะถอยหลัง นางจำได้ชัดเจนว่าเมื่อครู่ชายผู้สง่างามที่อยู่ในโลงศพหลับตาอยู่ ตอนนี้ทำไมลืมตาแล้วล่ะ?


ทุกคนหันไปมองพร้อมกัน เห็นเพียงมู่ฝานจวินถอยหลังหลายก้าว ไม่รู้ว่ามู่ฝานจวินเห็นอะไรเข้า


หารู้ไม่ว่าสิ่งที่มู่ฝานจวินเห็นก็คือ ‘ขลุ่ย’ ขลุ่ยที่ปักอยู่บนหน้าอกของชายชุดขาวผู้สง่างามกำลังโผล่ออกมาทีละส่วน


ฉึก! ‘ขลุ่ย’ ด้ามนั้นพลันยิงออกมาจากโลงศพ แล้วตกลงพื้นเสียงดังแกร๊ง


ทั้งหกคนตกใจพร้อมกัน สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นยังอยู่ตอนหลัง เห็นเพียงในโลงศพที่มู่ฝานจวินกำลังเผชิญหน้าปรากฏคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่แข็งแกร่ง ตามติดด้วยคนที่ลอยขึ้นมาจากโลงศพอย่างช้าๆ ชายชุดขาวผู้สง่างามที่นอนราบค่อยๆ ลอยขึ้นมาแล้ว ลอยขึ้นมาหยุดอยู่กลางอากาศ


ขณะเดียวกันนี้เอง ก็มีคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์กระเพื่อมขึ้นมาจากโลงศพอีกห้าโลงเช่นกัน อวิ๋นอ้าวเทียน ฉางเหลย จีฮวน ซือถูเซี่ยว ทั้งสี่คนบ้างก็ก้มหน้ามองในโลงศพที่อยู่ตรงหน้า บ้างก็หันมองในโลงศพที่อยู่ข้างหลัง


ทั้งสี่คนสีหน้าเปลี่ยนพร้อมกัน แต่ละคนถอยหลังไปหลายก้าว ถลันตัวไปอยู่ข้างกายเหมียวอี้พร้อมกัน


ผ่านไปเร็วมาก ในโลงศพห้าโลง คนที่นอนอยู่ในโลงศพทยอยกันยืนขึ้นตัวตรง แต่ละคนกำลังยืนอยู่ในโลงศพ พร้อมกวาดสายตามองพวกเขา


มีเสียง ‘ฉีก’ ดังห้าครั้ง ‘ขลุ่ย’ ที่ปักอยู่บนร่างกายของทั้งห้าคนยิงขึ้นมาตกลงพื้น ชายชุดขาวที่ลอยอยู่กลางอากาศค่อยๆ พลิกร่างกายให้ตรง ชุดขาวพัดกระพือโดยไร้ลม กวาดมองทุกคนด้วยสายตาราบเรียบ


ฉางเหลยแอบดึงแขนเสื้อเหมียวเงียบ พลางถ่ายทอดเสียงถาม “เหมียวอี้ นี่มันเรื่องอะไรกัน? เจ้าบอกไม่ใช่เหรอว่าพวกเขาโดนควบคุมไว้แล้ว?”


สายตาของคนอื่นๆ ก็มองไปที่เหมียวอี้เช่นกัน ไม่รู้ว่าเจ้าหมอนี่เล่นบ้าอะไร ทำเอาทุกคนอกสั่นขวัญแขวนไปหมด


เหมียวอี้จะไปรู้ได้อย่างไรว่าเรื่องอะไร สงสัยนิดหน่อยว่าตัวเองควรหรือไม่ควรเปิดฝาโลงศพออก แต่คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าไม่ถูก อาศัยโลงศพหกโลงนี้ขังหกท่านนี้ไว้ไม่ได้แน่นอน


สายตาของเขารีบเหลือบไปที่ทางปากทางเข้า มีความคิดอยากจะหนีหัวซุกหัวซุน แต่ไม่นานก็ล้มเลิกความคิดนี้ อยู่ต่อหน้าผู้ยิ่งใหญ่ของหกลัทธิแบบนี้ พวกเขาจะหนีรอดได้อย่างไร


ขณะที่ในหัวมีความคิดจะเอาตัวรอด เรียกว่าเจอคนพูดภาษาคน เจอผีพูดภาษาผี เขากุมหมัดคารวะถามทันทีว่า “พวกเราได้รับคำสั่งจากขุนพลหกลัทธิให้มาช่วยชีวิตประมุขขุนพลหกลัทธิ ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสทั้งหกท่านคือประมุขขุนพลหกลัทธิหรือเปล่า?”


ใครจะคิดว่าสตรีวัยกลางคนที่สวมชุดกระโปรงสีแดงจะกวาดตามองมา จ้องทั้งหกพร้อมถามอย่างเย็นเยียบว่า “ก่อนหน้านี้ใครค้นตัวพวกเรา?”


ตอนไม่เตือนก็ยังดีอยู่ พอเตือนแบบนี้ เหมียวอี้ก็แอบปาดเหงื่อในใจทันที อย่าบอกนะว่าผู้หญิงคนนี้รู้สึกตัวมาตลอด? เหมือนตัวเองจะค้นตัวผู้หญิงคนนี้ทั้งข้างล่างข้างบนไปรอหบนึ่งแล้ว


ถามใจแล้วไม่รู้สึกผิด เขาสาบานได้ว่าตัวเองไม่ได้มีความคิดต่ำทรามแบบนั้น แต่คาดว่าอีกฝ่ายคงไม่คิดแบบนี้แน่ เกรงว่าคงจะฆ่าตนในทันที แม้แต่โอกาสจะหนีก็ยังไม่มีด้วยซ้ำ


พวกอวิ๋นอ้าวเทียนเริ่มวิตกกังวลแล้ว เมื่อครู่นี้พวกเขาก็เพิ่งจะค้นตัวหกคนที่อยู่ในโลงศพเหมือนกัน


ที่จริงพวกเขาก็แค่หิ้วแขนเสื้อหกคนที่อยู่ในโลงศพขึ้นมา จะดูว่ามีพวกกำไลเก็บสมบัติหรือไม่ เมื่อพบว่าไม่มีก็ไม่ได้ทำอะไรต่อ ต่างก็คิดว่าสมบัติถูกเหมียวอี้ค้นเอาไปก่อนแล้ว ไม่ได้ค้นทั้งร่างกายของอีกฝ่ายเหมือนเหมียวอี้


…………………………


บทที่ 1230 หกประมุขขุนพลหลุดพ้นความลำบาก

โดย

Ink Stone_Fantasy

ถึงแม้จะไม่ได้เสียมารยาทกับอีกฝ่ายเหมือนกับเหมียวอี้ แต่พอสตรีวัยกลางคนที่สวมชุดกระโปรงทองกล่าวมาแบบนี้ คนที่เคยลูบคลำค้นหาในโลงศพก่อนหน้านี้ก็ต้องพากันอกสั่นขวัญแขวน


บรรยากาศค่อนข้างตึงเครียด!


มาถึงขั้นนี้แล้ว เหมียวอี้กำลังครุ่นคิดว่าถ้าจะจบเห่ไปพร้อมกับทุกคน ไม่สู้เหลืออะไรไว้บ้างดีกว่า


เขามองซ้ายมองขวา ถึงอย่างไรคนแก่ห้าคนนี้ก็ไม่รู้ว่าตนทำอะไรลงไป ก็เลยพูดทำลายบรรยากาศที่ตึงเครียดจริงจังขึ้นมาอย่างกะทันหัน “ข้าไม่เคยค้นนะ”


ไม่ได้พูดแค่ปากเท่านั้น พูดจบก็ออกห่างจากกลุ่มคนไปยืนอีกด้าน


พวกอวิ๋นอ้าวเทียนรีบหันกลับไปมองเขา แต่ละคนแค้นจนกัดฟันกรอด พบว่าเจ้าเวรนี่ไร้คุณธรรมน้ำมิตรเกินไปแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่ยอมร่วมทุกข์ร่วมสุขกับทุกคน


แต่ทั้งห้าคนล้วนไม่ใช่คนธรรมดา เป็นคนที่รู้จักชั่งน้ำหนักแยกแยะเมื่อถึงตอนหน้าสิ่วหน้าขวาน ต่างก็รู้ว่าในเวลานี้ถ้าสามารถปกป้องได้สักคนก็ควรจะปกป้อง ถ้าสละชีวิตไปด้วยกันจะไม่คุ้มค่า ที่เหมียวอี้ทำแบบนี้ก็ไม่ผิด ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่ว่าอะไรเหมียวอี้ ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางแน่ใจได้ว่าเหมียวอี้เคยค้นตัวอีกฝ่ายหรือเปล่า


สายตาของสตรีวัยกลางคนชุย้ายออกจากเหมียวอี้ ไปจ้องที่ทั้งห้าค้นพร้อมถามว่า “ใครเป็นคนเปิดฝาโลงศพแล้วค้นตัวข้า?”


“เป็นใครกันที่เปิดโลงศพที่ข้านอนอยู่?” สาวน้อยชุดชมพูก็ถามเสียงดังเช่นกัน


เมื่อผู้หญิงทั้งสองถามแบบนี้ ชายชุดขาวผู้สง่างามที่ลอยอยู่กลางอากาศ แล้วก็ชายสามคนที่ยืนอยู่ในโลงศพก็พากันงุนงง มองไปที่ผู้หญิงสองคนนี้พร้อมกัน ในดวงตาฉายแววหยอกล้อแปลกๆ


พวกเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าโดนใครค้นตัว คาดว่าเรื่องแบบเดียวกันคงเกิดขึ้นกับตัวผู้หญิงสองคนนี้เหมือนกัน พวกผู้ชายโดนค้นตัวนิดหน่อยก็ไม่เป็นอะไร แต่แค่คิดก็รู้แล้วว่าเมื่อผู้หญิงโดนค้นตัวจะเป็นอย่างไร


พวกอวิ๋นอ้าวเทียนสบตากันแวบหนึ่ง พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมอีกฝ่ายถึงถามซักไซ้เรื่องค้นตัว คาดว่าคงมีใครบางคนมีความประพฤติมิชอบ


ห้าปราชญ์ด่าในใจแล้ว ไอ้เวรตะไลเหมียวอี้ทำเรื่องไม่ดี แต่กลับคิดจะยัดข้อหาใส่ร้ายพวกเขา เกือบจะตกหลุมพรางเจ้าเวรนี่แล้ว


ดังนั้น ทั้งห้าคนจึงถอยหลังหลายก้าวพร้อมกันทันที อยู่ให้ห่างจากเหมียวอี้สักหน่อย ทั้งยังชี้ไปที่เหมียวอี้พร้อมกันอย่างไม่เกรงใจด้วย


เหมียวอี้อ้าปากค้างยืนอยู่ที่เดิม นึกไม่ถึงว่าเวรกรรมจะตามสนองเร็วขนาดนี้ จึงรีบโบกมือบอกว่า “ฝาโลงศพข้าเป็นคนเปิดเอง แต่ข้าไม่ได้ทำอะไรจริงๆ นะ”


“ไม่ได้ทำอะไรเหรอ?” สตรีวัยกลางคนที่สวมชุดกระโปรงทองแทบจะมายืนตรงหน้าเหมียวอี้ในชั่วพริบตาเดียว นางก้าวมาข้างหน้าอย่างช้าๆ พร้อมสายตาเย็นยะเยือก กดดันจนเหมียวอี้ต้องก้าวถอยหลัง “ข้าก็ไม่ได้บอกนี่ว่าเจ้าทำอะไร ทำไมเจ้าเอาแต่เน้นย้ำว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรล่ะ เจ้ากินปูนร้อนท้องเหรอ?”


เหมียวอี้ที่ถอยหลังทีละห้าวแอบร้องในใจว่าแย่แล้ว สงสัยหกคนที่อยู่ในโลงศพจะรู้ตัวอยู่ตลอด ไม่อย่างนั้นคงไม่แน่ใจขนาดนี้ คาดว่าคงปิดบังไม่ได้แล้ว


สาวน้อยกระโปรงชมพูอีกคนหนึ่งดันถลันตัวมาอยู่ตรงหน้าเหมียวอี้ด้วย เข้ามากดดันพร้อมกันสตรีวัยกลางคน “ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าไม่ได้ค้นเหรอ? เจ้าหมายความว่าพอเจ้าเปิดโลงศพแล้วไม่เคยค้นตัวพวกเราเหรอ?”


พอพวกอวิ๋นอ้าวเทียนเห็นแบบนี้ ในใจก็แอบโล่ง คาดว่าครั้งนี้เหมียวอี้คงจบเห่แล้วล่ะ จนใจที่ตรงนี้ไม่มีใครช่วยเขาได้แล้วเหมือนกัน


เหมียวอี้ที่หัวใจกระตุกวูบกวาดสายตามองคนในโลงอีกสี่คนที่ทำท่าเหมือนรอดูเอาสนุก ความคิดหลายอย่างแวบเข้ามาในหัวเร็วมาก พอหยุดก้าวถอยหลัง ก็กล่าวเสียงดังว่า “ขออนุญาตถามว่าทั้งหดท่านคือประมุขขุนพลหกลัทธิหรือเปล่า หรือว่าข้าช่วยชีวิตไว้ผิดคน? พวกท่านรู้ไว้นะว่าที่นี่ถูกทัพใหญ่หกลัทธิล้อมไว้แล้ว ถ้าพวกท่านกล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ก็อย่าโทษว่าทัพใหญ่หกลัทธิของข้าไม่เกรงใจนะ!”


คำพูดนี้ได้ผลอย่างที่คาดไว้ ชายชุดขาวที่ลอยอยู่กลางอากาศถลันตัวมาขวางหน้าผู้หญิงสองคนที่มีท่าทางแข็งกร้าว หันตัวมายื่นมือขวาง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “จินม่าน ลวี่เกอ ในเมื่อพวกเขาเข้ามาในนี้ได้ ถ้าพวกเจ้าไม่ได้มีอะไรเสียหายก็ช่างเถอะ การเสียศักดิ์ศรีส่วนตัวเป็นเรื่องเล็ก ความเป็นความตายของพี่น้องหกลัทธิเป็นเรื่องใหญ่ อย่าทรยศการเสียสละเลือดเนื้อของประมุขปราชญ์”


สตรีวัยกลางคนกับสาวน้อยชุดชมพูมองไปที่เหมียวอี้ด้วยแววตาเคียดแค้นคันฟัน


ชายชุดขาวหันตัวมามองเหมียวอี้หัวจดเท้าแวบหนึ่ง แล้วก็ยิ้มบางๆ ทันใดนั้นเอง เขาก็โบกแขนขึ้นฟาดฝ่ามือออกมาหนึ่งครั้ง


ชั่วพริบตานั้น พลังอิทธิฤทธิ์ที่ซัดสาดออกมาทำให้พวกเหมียวอี้กระเด็นออกไป


บึ้ม! ภูเขาสะท้านแผ่นดินสะเทือน ฝุ่นควันปลิวตลบอบอวล บนท้องฟ้าโดนโจมตีจนเป็นโพรงขนาดใหญ่ แสดงสว่างจากท้องฟ้าส่องเข้ามา ท้องฟ้าด้านบนสดใส


หกคนที่อยู่ในโลงศพเงยหน้ามองท้องฟ้า หลังจากแน่ใจแล้วว่าข้างนอกไม่มีอุปสรรค พวกเขาก็สะบัดแขนพร้อมกัน พุ่งตัวขึ้นท้องฟ้าไป ด้านนอกมีเสียงคำรามก้องท้องฟ้าดังขึ้นหกเสียง


หกคนที่อยู่ข้างในพากันร่ายอิทธิฤทธิ์ปัดฝุ่นควันที่ตลบอบอวล


เหมียวอี้ตบหน้าอกตัวเอง เพิ่งจะรู้สึกโล่งใจ แต่กลับพบว่าพวกอวิ๋นอ้าวเทียนพลันถลันตัวออกไป พุ่งไปที่โลงศพหกโลงนั่น


สายของมู่ฝานจวินผ่าออกมาสกัดขวาง แย่งโลงศพไปคนเดียวสามโลงศพ แต่คนอื่นๆ ก็ไม่ได้คว้าน้ำเหลวเช่นกัน มีบางคนแย่งตัวโลงได้ มีบางคนแย่งฝาโลงที่ตกอยู่บนพื้นได้


ห้าคนที่ได้ตักตวงอะไรได้บ้างมองหน้ากันไปมองหน้ากันมา บางคนก็ได้เยอะ บางคนก็ได้น้อย ของบางอย่างถ้าจะเข่นฆ่ากันเพื่อแย่งชิงก็จะไม่ถือว่าเกินไป มิหนำซ้ำตัวอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ถ้ามือไม่เร็วจนเสียเปรียบก็ทำได้แค่เสียเปรียบไป


เหมียวอี้ที่เพิ่งจะรู้ตัวกลับไม่ได้อะไรเลย เขาถลึงตาพร้อมกล่าวเสียงต่ำว่า “แย่งกันทำไม มีหกโลงพอดี ทุกคนแบ่งคนละโลงก็เท่าเทียมกันแล้ว”


อวิ๋นอ้าวเทียนแสยะยิ้ม “ตลกเหรอ! ตอนนี้เจ้ารู้จักความเท่าเทียมแล้วรึไง? สมุนไพรเซียนซิงหัวทั้งดาวเคราะห์อยู่ในมือเจ้าคนเดียว ทำไมเจ้าไม่บอกให้แบ่งเท่ากันบ้างล่ะ?”


“พวกเจ้าคิดมากไปแล้ว สมุนไพรเซียนซิงหัวทั้งดาวเคราะห์นี้ ที่จริงก็มีไม่กี่ต้นหรอก” เหมียวอี้หลอกลวงเพราะพวกเขาไม่เห็นจำนวน ถอนหายใจบอกว่า “แล้วอีกอย่างนะ มารเฒ่า หลานสาวท่านก็ใช้เงินมือเติบนะ กินของดี ใช้ของดี เลี้ยงหลานท่านไม่ง่ายเลยนะ! ท่านเป็นผู้ใหญ่แท้ๆ ไม่ละอายใจที่จะมาแย่งข้าเลยเหรอ? แล้วก็พวกเจ้าอีก ลูกสาวและลูกศิษย์ของพวกเจ้าก็ยัดใส่มือมาให้ข้าเลี้ยงแล้วนะ”


อวิ๋นอ้าวเทียนพูดดูถูกว่า “เมียเจ้าทำไมเจ้าไม่เลี้ยงเองล่ะ อย่าบอกนะว่าจะให้พวกเราเลี้ยง? เลี้ยงไม่ไหวแล้วจะแต่งงานเยอะขนาดนั้นทำไม?”


เหมียวอี้ไม่สบอารมณ์ทันที “จะพูดอย่างนี้ก็ไม่ได้นะ ข้าเองก็ไม่เคยเลี้ยงพวกนางแบบอดอยากเหมือนกัน? ตอนที่พวกเจ้ายืมเงินทำไมไม่พูดแบบนี้บ้างล่ะ? แล้วอีกอย่างนะ ถ้าไม่ใช่เพราะข้าทำลายค่ายกล พวกเจ้าจะได้เข้ามาเก็บของในนี้เหรอ?”


“เหมียวอี้ ของที่มีมูลค่าบนตัวประมุขขุนพลหกท่านอยู่ในมือเจ้าหมดแล้วใช่มั้ย?” จีฮวนถาม


“บนตัวพวกเขาไม่มีของอะไรเลย แม้แต่ขนสักเส้นข้าก็ไม่ได้” เหมียวอี้มีน้ำโหแล้ว


“เฮอะ!” จู่ๆ มู่ฝานจวินก็พูดแขวะ “จะได้ของมาหรือเปล่าพวกเราก็ไม่รู้หรอก แต่ในมือเจ้าจะต้องตักตวงผลประโยชน์ได้เยอะแน่ เหมียวอี้ ข้าดูไม่ออกจริงๆ เลยนะ นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะต่ำช้าไร้ยางอายขนาดนี้!”


“ข้า…” เหมียวอี้แก้ตัวไม่พ้น


ฉางเหลยถอนหายใจแล้วบอกว่า “ข้าว่านะ นี่มันเวลาไหนแล้ว พวกเจ้ายังจะเถียงกันเพราะของเล็กน้อยพวกนี้ไปทำไม หาทางเถอะว่าจะปลีกตัวออกไปอย่างไร”


อีกด้านด้านหนึ่ง หกคนที่อยู่ในโลงฝ่าพื้นดินออกมาและเงยหน้าขึ้นฟ้าคำรามเสียงยาวพร้อมกัน เสียงดังจนเมฆสะเทือน


 ‘หมอกโฉมงามอาภัพ’ ที่อยู่บนดาวรองหายไปจนหมดสิ้นแล้ว ท้องฟ้าและพื้นดินสว่างสดใส แสงอาทิตย์ส่องตามปกติ ผืนแผ่นดินที่ดำมืดจนเป็นถ่านกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต


ในท้องฟ้าที่อยู่ไกลๆ กลุ่มโจรกบฏบุกเข้ามาแล้ว กำลังค้นหาไปทั่วทุกที่


หลังจากคนที่อยู่ค่อนข้างใกล้บริเวณนี้สังเกตได้ถึงเสียงคำรามยาว ก็รีบหันกลับไปตะโกนทันที “ขุนพลใหญ่ อยู่ตรงนี้!”


ผ่านไปไม่นาน กำลังพลกลุ่มใหญ่ก็เหาะเข้ามาอย่างรวดเร็ว เมิ่งหรูและขุนพลหกลัทธิมาตรงหน้าเร็วมาก พอเห็นหกคนที่ยืนอยู่บนยอดเขาด้านล่างก็ดีใจเป็นบ้าเป็นหลัง


พวกเมิ่งหรูเหยียบลงพื้น อยู่ตรงหน้าทั้งหกคนพร้อมกุมหมัดคารวะ “คารวะประมุขขุนพล!”


ทั้งหกคนพยักหน้าเล็กน้อย สายตากวาดมองกำลังพลกลุ่มใหญ่ที่ทยอยกันเหยียบลงที่ตีนเขา


หลังจากกำลังพลหลายแสนจัดทัพแล้ว เสียงคุกเข่าข้างเดียวก็ดังอย่างพร้อมเพรียง แล้วตะโกนเสียงดังว่า “คารวะประมุขขุนพล!”


เสียงนี้ดุจดั่งคลื่นน้ำขนาดใหญ่ สาดซัดไปทั่วฟ้าดิน สะเทือนจนพื้นดินที่เป็นเถ้าถ่านมีฝุ่นควันสีดำลอยตลบอบอวล


กระแสเสียงนี้ ทำให้พวกเหมียวอี้ที่กำลังแบ่งของกันอยู่ในอุโมงค์ใต้ดินต้องเงยหน้าขึ้นมองที่ปากถ้ำด้านบน ทุกคนพูดไม่ออกแล้ว


ประมุขขุนพลหกท่านที่อยู่บนยอดเขาก้มมองทัพใหญ่ที่กำลังคารวะอยู่ที่ตีนเขา แต่ละคนทำสีหน้าซาบซึ้งและสับสน ยกมือบอกใบ้ให้ทุกคนยืนตรง


กำลังพลหลายแสนพลันลุกขึ้นอย่างเคร่งขรึมเอาจริงเอาจัง ชั่วพริบตาเดียวเสียงก็เงียบลง มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่านเท่านั้น


หลังจากชายชุดขาวผู้สง่างามถอนหายใจยาว ก็ถามว่า “พวกเราหกคนถูกขังมานานกี่ปีแล้ว?”


ขุนพลหกลัทธิสบตากันแวบหนึ่ง เมิ่งหรูกุมหมัดตอบว่า “ตอบประมุขขุนพล เป็นเวลาหนึ่งแสนกว่าปีแล้วขอรับ”


“หนึ่งแสนกว่าปี…” ชายชุดขาวหลับตาลง พอลืมตาขึ้นอีกครั้งก็ถามว่า “หกลัทธิยังมีกำลังพลเหลืออีกเท่าไร?”


เมิ่งหรูตอบว่า “ในปีนั้นตอนที่ประมุขขุนพลถอยทัพชั่วคราว ประมุขชิงกับประมุขพุทธะร่วมมือกันนำทัพใหญ่มาปราบที่แดนอเวจีหนึ่งครั้ง พวกเราทำตามแผนที่ประมุขขุนพลหกท่านวางไว้ อาศัยความได้เปรียบของพื้นที่สกัดการโจมตี จู่โจมและก่อกวนซ้ำแล้วซ้ำอีก โจมตีโจรกบฏอย่างหนักหน่วง โจมตีจนโจรกบฏล่าถอยไป ทำให้อีกฝ่ายไม่กล้าล่วงล้ำง่ายๆ อีกแต่ฝ่ายเราก็เสียหายอย่างรุนแรง มีกำลังพลตายไปสี่ล้านกว่า บวกกับตอนหลังกวาดล้างสายตาของโจรกบฏ จึงล้างเลือดกันเองภายในครั้งหนึ่ง แล้วก็ประหารพวกที่ทำให้ขวัญกำลังใจทหารปั่นป่วนไปหนึ่งชุด ตอนนี้หกลัทธิเหลือทัพใหญ่อยู่แปดล้านกว่าขอรับ!”


“แปดล้าน!” สตรีวัยกลางคนก้าวขึ้นมา นางกางแขนสองข้างพลางเงยหน้ามองฟ้า กล่าวอย่างเศร้าโศกว่า “สูญเสียไปอีกเกือบห้าล้าน นึกถึงปีนั้นที่ประมุขปราชญ์สละชีวิตตัวเองเพื่อปกป้องพี่น้องไว้สิบแปดล้านชีวิต ตอนนี้เหลืออยู่เพียงแปดล้าน ศึกใหญ่หลายครั้งทำให้สูญเสียพี่น้องไปแล้วสิบล้านคน แล้วจะให้พวกเราไปอธิบายกับประมุขปราชญ์ที่จาโลกนี้ไปอย่างไร?”


พวกเมิ่งหรูรีบพยักหน้า “เป็นพวกเราเองที่ไร้ความสามารถ ทำให้ประมุขขุนพลผิดหวัง!”


ชายชุดขาวถอนหายใจแล้วบอกว่า “โทษพวกเจ้าไม่ได้หรอก พวกเจ้าสามารถต้านทานทัพใหญ่ของประมุขชิงและประมุขพุทธะได้ ก็นับว่าไม่ง่ายแล้ว ทุกคนลำบากแล้ว”


เมิ่งหรูส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “มิบังอาจครอบครองผลงาน! ถ้าไม่ใช่เพราะประมุขขุนพลหกท่านปราดเปรื่อง ทิ้งสายลับไว้ให้พวกเราจับทิศทางการเคลื่อนไหวของกองทัพโจรกบฏได้ทุกเมื่อจนวางแผนได้ทันเวลา ก็เกรงว่าอาจจะต้านทานการรุกโจมตีของโจรกบฏไม่ได้ ดีไม่ดีแดนอเวจีอาจจะโดนโจรกบฏตีแตกไปแล้ว! เพียงแต่ข้าน้อยมีเรื่องหนึ่งที่ยังไม่รู้ชัดเจน ในเมื่อประมุขขุนพลหกท่านมีเสาลับแล้ว สามารถรู้ทิศทางการเคลื่อนไหวของโจรกบฏได้ทุกเมื่อ ตอนแรกที่ประมุขปราชญ์ทั้งหกท่านยังอยู่ เหตุใดจึงไม่ใช้ประโยชน์? ถ้าใช้ประโยชน์ตั้งแต่แรกก็อาจจะไม่ถึงขั้นแพ้ยับเยินเหมือนตอนหลัง พวกข้าน้อยไม่เข้าใจจริงๆ จำเป็นต้องถามให้กระจ่าง!”


ในน้ำเสียงเจือความสงสัยอยู่หลายส่วน จะเห็นได้ว่าในใจคิดไม่ตกขนาดไหน


ประมุขขุนพลหกท่านสบตากันแวบหนึ่ง รู้ว่าถ้าไม่อธิบายเรื่องนี้ก็จะฟังไม่ขึ้นแล้ว


หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง ชายชุดขาวก็สบตากับหกคนตรงหน้าพร้อมถ่ายทอดเสียงบอกว่า “เสาลับที่อยู่ฝั่งโจรกบฏก็คือหมากที่ประมุขไป๋ทิ้งไว้ตอนวางแผนในปีนั้น มีจุดประสงค์เพื่อช่วยพวกเจ้าเฝ้าแดนอเวจีหลังจากที่พวกเราหกคนถอยมาชั่วคราว นรกคือต้นทุนสุดท้ายที่จะทำให้พวกเราเงยหน้าอ้าปากอีกครั้ง จะผิดพลาดง่ายๆ ไม่ได้! ส่วนเสาลับที่อยู่ฝั่งโจรกบฏจะเป็นใคร พวกเราก็ไม่รู้เหมือนกัน ประมุขไป๋ไม่ได้เปิดเผย!”


ขุนพลหกลัทธิได้ยินแล้วเข้าใจในทันที ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ไม่แปลกใจแล้ว!


เหลิ่งจัวฉุนกล่าวว่า “เกรงว่าประมุขขุนพลทั้งหกท่านจะมีบางอย่างที่ยังไม่รู้ หลังจากพวกท่านถูกขังได้ไม่นาน ประมุขไป๋ก็ถูกประมุขชิงกับประมุขพุทธะขังไว้ที่เจดีย์สยบปีศาจแล้ว ทุกวันนี้เป็นหรือตายไม่ทราบแน่ชัด!”


 …………………………


บทที่ 1231 ส่งมอบอำนาจทางทหาร

โดย

Ink Stone_Fantasy

ประมุขขุนพลหกท่านค่อยๆ หันหน้ากลับมา ส่งสายตาสื่อสารระหว่างกัน


จากนั้นชายชุดขาวก็ถามว่า “แน่ใจนะว่าถูกขังอยู่ในเจดีย์สยบปีศาจแล้ว?”


“ขอรับ!” เหลิ่งจัวฉุนพยักหน้า แล้วบอกว่า “ในตอนนี้แม้แต่ประมุขไป๋ก็ถูกขังอยู่ในเจดีย์สยบปีศาจแล้ว ถ้าประมุขไป๋ไม่ออกมา ในใต้หล้าจะมีใครสู้ประมุขชิงกับประมุขพุทธะได้? ถ้าพูดถึงกำลังพลพวกเราก็สู้โจรกบฏไม่ได้ ถ้าพูดถึงศักยภาพพวกเราก็เทียบโจรกบฏไม่ติด ถ้าไม่มีประมุขไป๋ค่อยข่มประมุขชิงกับประมุขพุทธะไว้ แล้วพวกเราจะเงยหน้าอ้าปากอีกครั้งได้อย่างไร? พี่น้องแปดล้านชีวิตรอคอยมาหลายปีขนาดนี้ คนเราไม่ใช่ต้นไม้ใบหญ้า มีหรือที่จะรอต่อไปอย่างมีความหวังได้ตลอด ถ้าไม่มีคำอธิบายสักหน่อย ใจคนจะไปอยู่ที่ไหนหมด?”


หนึ่งในประมุขขุนพล ชายชราชุดดำที่หน้าตาเหมือนโจรกล่าวว่า “อย่าพูดจาเหลวไหลไร้สาระ ประมุขไป๋จะโดนสยบหรือไม่ก็ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือประมุขไป๋ได้ทำตามสัญญาหรือเปล่า ตอนนี้พวกเราหกคนได้ออกมาดูโลกอีกครั้ง ก็อธิบายได้แล้วว่าประมุขไป๋จะอยู่หรือไม่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อพวกเรา ในเมื่อพวกเราหกคนออกมาได้แล้ว ก็ต้องให้คำอธิบายกับพี่น้องที่ยังอยู่หรือว่าตายไปสักหน่อย! ในปีนั้นข้าอยู่ในที่แจ้งแต่ศัตรูอยู่ที่ในที่ลับ ตอนนี้ข้าอยู่ในที่ลับศัตรูออยู่ในที่แจ้ง ขอเพียงมีความอดทน  สุดท้ายแล้วใต้หล้านี้จะเป็นของใครก็ยังไม่แน่หรอก กวางจะตายในมือใคร[1] ขอแค่ดูว่าใครจะได้หัวเราะจนถึงตอนสุดท้าย!”


ขุนพลใหญ่ทั้งหกสบตากันแวบหนึ่ง แล้วเมิ่งหรูก็ถามว่า “เหตุใดประมุขขุนพลหกท่านจึงไม่เดือดร้อนกับการที่ประมุขไป๋ถูกขังเลย? ถ้าไม่มีผู้ช่วยที่แข็งแกร่ง โจรกบฏมีอำนาจมาก พวกเราจะเอาอะไรไปสู้กับโจรกบฏ?”


ชายชุดขาวหนึ่งในหกประมุขขุนพลถามว่า “พวกเราจะไม่รู้หลักการนี้ได้อย่างไร แล้วพวกเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพวกเราไม่มีผู้ช่วยที่แข็งแกร่ง?”


“ผู้ช่วยที่แข็งแกร่งอยู่ที่ไหน?” ตานฉิงยกมือสองข้าง


หนึ่งในหกประมุขขุนพล ชายชราคิ้วเชิดที่หน้าตาดูเผด็จการตอบเสียงต่ำว่า “จังไม่ถึงจังหวะนั้น เมื่อจังหวะนั้นมาถึงก็ย่อมมีผู้ช่วยที่แข็งแกร่งปรากฏตัว ถ้าไม่มีความหวัง พวกเราหกคนจะสมัครใจโดนขังหนึ่งแสนกว่าปีได้ยังไง? ทุกคนไม่จำเป็นต้องถามมาก เรื่องบางเรื่องเหมาะจะเก็บเป็นความลับเท่านั้น พูดมากไปกลับไม่มีประโยชน์ ขอเพียงอดทนรอก็พอแล้ว เมื่อถึงเวลาก็ย่อมให้คำอธิบายกับทุกคนเอง ตอนนี้อย่าพูดถึงเรื่องนี้ ตอนนี้ฝั่งโจรกบฏมีสถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?”


ขุนพลใหญ่ทั้งหกมองหน้ากันเลิกลั่ก ต่างก็รู้สึกได้ว่าประมุขขุนพลหกท่านมีเรื่องบางอย่างปิดบังพวกเขาอยู่


“ประมุขชิงกำลังจัดการทดสอบ ส่งกำลังพลมาหนึ่งล้านแปดแสน…”


ตานฉิงเล่าที่มาที่ไปของการทดสอบครั้งนี้ให้ฟัง สาเหตุที่พวกเหมียวอี้มาโผล่อยู่ที่นี่ก็ต้องอธิบายให้ละเอียอย่างเลี่ยงไม่ได้


หนึ่งในหกประมุขขุนพล พระชราที่สวมจีวรหรูหราถามว่า “คนหลักที่ทำลายค่ายกลชื่อเหมียวอี้เหรอ?”


“ใช่แล้ว!” กุยอู๋พระที่ผิวสีทองแดงพยักหน้าตอบ


ชายชุดขาวหันไปมองถ้ำใต้ดินไกลๆ ที่เกิดขึ้นตอนหลุดพ้นออกมาทันที แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ถามเสียงดังว่า “พวกเจ้าหกคนเตรียมจะหลบอยู่ในรูนั่นอีกนานแค่ไหน?”


ผ่านไปครู่เดียว พวกเหมียวอี้ที่ยังแบ่งของกันไม่ลงตัวก็ทยอยกันโผล่ขึ้นมาอย่างหน้าม่อยคอตก บอกไม่ถูกว่าแต่ละคนสีหน้าเป็นอย่างไร


ตอนนี้ ‘หมอกโฉมงามอาภัพ’ ถูกทำลายแล้ว ทั้งหกจึงไม่มีที่ให้ซ่อนตัวอีกแล้ว จะหนีก็หนีไม่พ้น ทำได้เพียงโผล่หน้าออกมาแต่โดยดี


แต่ตอนเพิ่งจะออกมาจากถ้ำ เหมียวอี้ก็โดนพวกอวิ๋นอ้าวเทียนบ่นไปยกหนึ่งแล้ว บอกว่าหกประมุขขุนพลไม่ใช่ญาติเจ้าสักหน่อย ทำไมต้องช่วยชีวิตอีกฝ่ายด้วย ในเมื่อไม่มั่นใจว่าจะควบคุมหกประมุขขุนพลได้ ก็ไม่ควรบุ่มบ่ามบุกเข้ามาในเขตหวงห้าม จนกระทั่งหกประมุขขุนพลหลุดจากที่คุมขังทั้งยังทำลาย ‘หมอกโฉมงามอาภัพ’ ที่คอยกำบัง ตอนนี้กลายเป็นแพะที่รอเชือดแล้ว


ทว่าเหมียวอี้ไม่มีทางอธิบายได้เลยจริงๆ เขาไม่สะดวกจะบอกว่าตัวเองมาเพื่อขุดสมบัติที่ประมุขไป๋ซ่อนไว้


เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหกประมุขขุนพลหลุดพ้นออกมาได้อย่างไร จากประสบการณ์ที่เขาเคยหาสมบัติก่อนหน้านี้ เขาก็รู้สึกว่าไม่ควรจะเป็นแบบนี้!


เขาเองก็รู้สึกได้อย่างลึกซึ้งว่าตัวเองประมาทเลิกเล่อแล้ว ประมาทเพราะประสบการณ์หาสมบัติในอดีต ไม่อย่างนั้นคงจะควบคุมหกประมุขขุนพลไว้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน รู้สึกเหมือนตกอยู่ในกับดักของประมุขไป๋ เหมือนทำรูรั่วไว้ให้ตัวเองก้าวพลาดอย่างช้าๆ


บนยอดเขามีคนเรียกพวกเขา ทั้งหกคนที่ไม่มีทางหนีทำได้เพียงเหาะขึ้นไปบนยอดเขา


ชายชุดขาวเห็นหน้าแล้วถามว่า “คนไหนคือเหมียวอี้?”


พวกอวิ๋นอ้าวเทียนเหลือบมองเหมียวอี้ทันที ขายเหมียวอี้เสียตรงนั้นเลย


สายตาของสตรีวัยกลางคนชุดทองและสาวน้อยชุดชมพูพลันจ้องมาก คมกริบราวกับมีด


ความรู้สึกเวลาที่ทุกอย่างไม่ได้อยู่ในการควบคุมของตัวเองนั้นแย่มาก ไม่รู้เลยว่าก้าวต่อไปจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำให้คนใจหายใจคว่ำจริงๆ เหมียวอี้ฝืนทำตัวสงบนิ่ง ยิ้มแห้งพลางกุมหมัดคารวะ “เหมียวอี้อยู่นี่แล้ว ไม่ทราบว่าประมุขขุนพลมีอะไรจะชี้แนะ?”


สายตาของประมุขขุนพลหกท่านมองประเมินเขาศีรษะจดเท้าซ้ำแล้วซ้ำอีก หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ชายชุดขาวก็บอกว่า “ข้าคือจ่างซุนจู ประมุขขุนพลของปราชญ์เซียน คนไหนคือมู่ฝานจวินที่ฝึกเคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้า?”


เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา พวกเหมียวอี้ก็ขยับมุมปากเล็กน้อย มู่ฝานจวินก็เป็นปราชญ์เซียนของพิภพเล็กนะ ได้ตักตวงผลประโยชน์ของจ่างซุนจูท่านนี้โดยไม่รู้ตัวแล้วจริงๆ


“เป็นข้าน้อยเอง” มู่ฝานจวินกุมหมัดตอบ


จ่างซุนจูมองเมิ่งหรูที่อยู่ข้างๆ หลังจากเห็นเมิ่งหรูพยักหน้ายืนยันแลว้ ถึงได้สั่งว่า “มู่ฝานจวิน เจ้าตามข้ามา” พูดจบก็เหาะขึ้นฟ้าไป


ส่วนเมิ่งหรูก็ยื่นมือทำท่าเชิญมู่ฝานจวิน


มู่ฝานจวินที่โดนเรียกออกไปคนเดียวเป็นกังวลอยู่บ้าง นางรีบหันไปมองพวกเหมียวอี้ แต่จนใจที่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน มู่ฝานจวินทำได้เพียงแข็งใจเหาะตามไป


พอเมิ่งหรูโบกมือเรียก กำลังพลหลายหมื่นจากจำนวนหลายแสนเหาะออกไปด้วยกันทันที


ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นแนะนำ รูปแบบความเป็นพระของฉางเหลยก็เห็นๆ กันอยู่ พระชราซูบผอมที่สวมจีวรหรูหราจ้องฉางเหลย “อาตมาคือซิงหลัว เจ้าคือฉางเหลยเหรอ?”


“อามิตาพุทธ ใช่แล้ว” ฉางเหลยประนมมือตอบ


“ตามข้ามา” พระชราซิงหลัวก็เหาะขึ้นฟ้าไปเช่นกัน


กุยอู๋พระผิวสีทองแดงยื่นมือเชิญฉางเหลย แล้วพาพระจำนวนหลายพันเหาะออกไปด้วยกัน


จีฮวนก็เช่นเดียวกัน คนที่มีความรู้มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเขาเป็นนักพรตปีศาจ สาวน้อยชุดชมพูถามเสียงดังว่า “ข้าชื่อลวี่เกอ เจ้าคือจีฮวนเหรอ?”


จีฮวนมองสหายที่เหลือ แล้วแข็งใจพยักหน้า “ใช่!”


“ตามข้ามา!” ลวี่เกอพูดทิ้งท้ายแล้วเหาะขึ้นฟ้าไป


จ่างหงเรียกกำลังพลหลายหมื่นที่อยู่ตรงตีนเขา แล้วพาจีฮวนออกไป


“งั้นเจ้าก็คงเป็นซือถูเซี่ยวสินะ ข้าคือหลีเซิง ประมุขขุนพลของปราชญ์ผี ตามข้าไปเถอะ” ชายชราที่หน้าตาเหมือนโจรเรียกแล้วเหาะออกไป


เหลิ่งจัวฉุนเชิญให้ซือถูเซี่ยวออกไปด้วยกัน และมีกำลังพลของตัวเองหลายหมื่นตามไปด้วย


“ข้าคือเย่สิงคงประมุขขุนพลของปราชญ์มาร อวิ๋นอ้าวเทียนตามข้าไป” ชายชราที่คิ้วหนาเชิดหน้าตาเผด็จการจ้องอวิ๋นอ้าวเทียนพร้อมตะคอกสั่ง


“ไปเถอะ!” ตานฉิงเรียกอวิ๋นอ้าวเทียน แล้วโบกมือเรียกกำลังพลที่อยู่ตรงตีนเขาให้ออกไปด้วยกัน


ก่อนที่จะไป อวิ๋นอ้าวเทียนเหมียวอี้อย่างอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง


ชั่วพริบตาเดียว เพื่อร่วมทางหกคนก็เหลือเหมียวอี้ที่โดดเดี่ยวอยู่คนเดียว เหมียวอี้เงยหน้ามองพวกอวิ๋นอ้าวเทียนที่หายไปในท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ตาปริบๆ แล้วก็หันกลับมามองสตรีวัยกลางคนชุดทองที่กำลังจ้องตนด้วยสายตาเย็นเยียบ ในใจพูดไม่ออกมาก อย่าบอกนะว่าท่านนี้คือประมุขขุนพลของปราชญ์เต๋า? คงไม่ได้บังเอิญขนาดนี้หรอกมั้ง?


“จินม่าน ประมุขขุนพลของปราชญ์เต๋าก็คือข้าเอง ทำไมเจ้าไม่ฝึกมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง?” สตรีวัยกลางคนชุดทองขบเขี้ยวเคี้ยวฟันถาม


เหมียวอี้ยิ้มแห้งพร้อมตอบว่า “กำลังเตรียมจะฝึกอยู่ กำลังเตรียมจะฝึก”


จินม่านถามอีกว่า “ได้ยินว่าเจ้าท่องสูตรมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงไม่ได้ ข้าจะเชื่อได้ยังไงว่าในมือเจ้ามีมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง?”


เหมียวอี้รีบบอกว่า “เรื่องนี้ไม่ซับซ้อนเลย มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงถูกข้าซ่อนไว้แล้ว ข้าเป็นคนเก็บรักษาด้วยตัวเอง ถ้าผู้อาวุโสอยากฟังข้าท่องจริงๆ ข้าก็สามารถใช้ระฆังดาราติดต่อกับคนสนิทของข้าได้ทุกเมื่อ สามารถสูตรท่องมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงไดทุกเมื่อ”


“งั้นก็ติดต่อเดี๋ยวนี้ ถ้าท่องออกมาไม่ได้ ข้ารับรองว่าเจ้าได้ตายอย่างอนาถแน่!” จินม่านกล่าวย่างแค้นใจ


สือวิ๋นเปียนที่อยู่ข้างกันแปลกใจนิดหน่อย รู้สึกว่าประมุขขุนพลเหมือนจะมีความแค้นที่รุนแรงกับเหมียวอี้ท่านนี้ เหมือนอยากจะฆ่าเหมียวอี้ให้ได้


เหมียวอี้หยิบระฆังดาราออกมาทันที แล้วทดสองติดต่อกับอวิ๋นจือชิว เขายังกังวลนิดหน่อยว่าจะติดต่อไม่ได้ ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ก็เคยติดต่อมาแล้ว ใครจะคิดว่าครั้งนี้จะติดต่อได้ เขารู้สึกประหลาดใจ หรือว่าที่ซ่อนสมบัติก่อนหน้านี้สามารถกั้นระฆังดาราไม่ให้ติดต่อกับภายนอก?


ทางด้านอวิ๋นจือชิวตอบอย่างรวดเร็ว : หนิวเอ้อร์ ทางเจ้ายังสบายดีอยู่มั้ย?


เหมียวอี้ : สบายดี! น้องชิว เร็วเข้า สูตรของมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงภาคคน พวกเรารอใช้งานอยู่


อวิ๋นจือชิว : เจ้าจะเอาอันนั้นไปทำไม? เจ้าฝึกวิชานี้ไม่ได้นี่?


เหมียวอี้ : ข้าเจอโจรกบฏที่นรก ตอนนี้ต้องใช้สูตรมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงกู้วิกฤต


อวิ๋นจือชิวที่อยู่ฝั่งนั้นย่อมถามอย่างแปลกใจ : มันเรื่องอะไรกัน?


เหมียวอี้ : ตอนนี้ไม่มีเวลามาอธิบายให้เจ้าฟัง กลับไปค่อยว่ากัน รีบท่องให้ข้าฟัง ต้องการใช้ด่วน


อวิ๋นจือชิวย่อมไม่กล้าชักช้า นำสูตรมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงภาคคนถ่ายทอดออกมาทันที


อวิ๋นจือชิวท่องมาประโยคหนึ่ง เหมียวอี้ก็อ่านถ่ายทอดประโยคหนึ่ง อ่านให้สองคนที่อยู่ตรงหน้าฟัง


ทำแบบนี้ไปเกือบครึ่งวัน ถึงได้ท่องมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงภาคคนได้จนจบ ประมุขขุนพลจินม่านถึงได้ถามสือวิ๋นเปียนว่า “สอดคล้องกันมั้ย?”


นางไม่ได้ฝึกมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง ที่สือวิ๋นเปียนฝึกได้ก็เพราะประมุขไป๋ทิ้งไว้ให้ฝึก จะได้ต้อนรับและนำทางพวกเขาได้สะดวก


“ไม่ผิดพลาด!” สือวิ๋นเปียนพยักหน้าตอบ


จินม่านไม่ได้พูดอะไรมากแล้ว บอกคำเดียวว่า “ไป!”


ดังนั้นนางจึงพากำลังพลที่เหลือตรงตีนเขารวมทั้งเหมียวอี้ไปด้วยกันทั้งหมด


พอไปถึงดาราจักร กลุ่มคนก็เหาะไปทางดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่ง เหมียวอี้เองก็ไม่มีทางเลือก ได้แต่โดนจูงจมูกให้ตามไป รสชาติยามขาดอิสระและไม่รู้อนาคตความเป็นความตายมันช่างขื่นขมจริงๆ แต่ใครใช้ให้เขาขโมยไก่ไม่ได้ แถมยังเสียข้าวสารอีกกำมื[2]อล่ะ หาเรื่องใส่ตัวเอง


กลุ่มคนเข้ามายังดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่มีผืนน้ำกว้างสุดลูกหูลูกตา บนทะเลมีเกาะอยู่จำนวนหร็อมแหรม มองไม่เห็นแผ่นดินที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ แม้แต่เกาะพวกนั้นเองก็เถอะ ก็มองออกได้อย่างชัดเจนว่าถูกร่ายอิทธิฤทธิ์ดันขึ้นมาจากผิวทะเล ไม่เหมาะกับการอยู่อาศัยตามปกติทั่วไป


แต่ถ้ามองจากโดยรวม สภาพแวดล้อมการดำรงชีวิตของที่นี่ก็ยังนับว่าดี ตั้งแต่เหมียวอี้เข้ามาในนรก ก็ยังไม่เคยเห็นดาวเคราะห์ดวงไหนที่เหมาะสมกับการดำรงชีวิตของมนุษย์เลย อย่างน้อยที่นี่ก็ยังมีแสงอาทิตย์สดใส สาหร่ายทะเลในทะเลก็ยังสร้างอากาศที่เหมาะสมจะให้คนหายใจ สำหรับนักพรตแล้ว การดำรงชีวิตไม่นับว่ายากลำบากอะไร


ภายใต้การบอกใบ้ของสือวิ๋นเปียน กำลังพลกลุ่มใหญ่กระจายตัวกันออกไป แยกย้ายกันไปเหยียบลงบนเกาะพวกนั้น


บนภูเขาหินที่สูงที่สุดลูกหนึ่งที่ถูกดันขึ้นมาจากผิวทะเล มีตำหนักที่ใหญ่โตและโบราณหลังหนึ่ง ใช้หินสลักก่อเป็นกำแพง ชายคาโค้งสูงตระหง่าน บันไดสูงมีท่วงทำนองโบราณเรียบง่าย


จินม่านไม่สนใจเหมียวอี้ นางเดินตรงเข้าไปในตำหนักใหญ่ หลังจากสือวิ๋นเปียนเตรียมที่พักให้เหมียวอี้แล้ว ก็กำชับเหมียวอี้ว่าอย่าเพ่นพ่านไปทั่ว ทั้งยังส่งคนมาจับตาดูเขาด้วย จากนั้นสือวิ๋นเปียนก็ออกไป


“อะไรกัน? จะเป็นไปได้อย่างไร?”


ในตำหนักใหญ่ที่มีท่วงทำนองโบราณและเรียบง่าย หลังจากพูดคุยกันแล้ว สือวิ๋นเปียนก็มีอารมณ์ฮึกเหิมทันที โต้เถียงกับจินม่านที่นั่งอยู่เบื้องบนแล้ว


สุดท้ายจินม่านก็ก้าวเดินเนิบนาบลงมาจากบันได มายืนตรงหน้าสือวิ๋นเปียน แล้วถอนหายใจบอกว่า “นี่ก็เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเลือกแล้วเหมือนกัน นี่คือการแปลกเปลี่ยน ราคาที่พวกเราต้องจ่ายก็คือมอบอำนาจทางทหารให้พวกเขา! ไม่ใช่แค่พวกเรา แต่ต้องมอบอำนาจทางทหารของทัพใหญ่หกลัทธิออกไปทั้งหมด!”


…………………………


[1] กวางจะตายในมือใคร 鹿死谁手 อุปมาถึงการชิงอำนาจศึกชิงบังลังก์ว่าใครจะได้ไป


[2] ขโมยไก่ไม่ได้ เสียข้าวสารอีกกำมือ 偷鸡不成蚀把米 อุปมาว่า นอกจากจะตักตวงผลประโยชน์ไม่ได้แล้วยังขาดทุนด้วย


บทที่ 1232 ใช้เลือดตักเตือน

โดย

Ink Stone_Fantasy

สือวิ๋นเปียนพลันเบิกตากว้าง อุทานถามเสียงหลงว่า “มอบอำนาจทางทหารของทัพใหญ่หกลัทธิให้หมดเลยเหรอ?”


จินม่านพยักหน้า “ถูกต้อง! มอบให้ทั้งหมด ห้ามเหลือแม้แต่ลัทธิเดียว ถ้ากล้าทรยศคำสัญญาในปีนั้น ผลที่ตามมาก็ร้ายแรงมาก และเป็นสิ่งที่พวกเราไม่มีทางรับไหวด้วย!”


“เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้!” สือวิ๋นเปียนปฏิเสธเสียงดัง อารมณ์ไม่ได้ฮึกเหิมแบบธรรมดา โบกมือชี้ไปนอกประตูตำหนักพร้อมบอกว่า “เจ้าพวกนั้นเพิ่งมีวรยุทธ์บงกชทองเองนะ พวกเราไม่รู้แม้กระทั่งที่มาที่ไปของพวกเขาด้วยซ้ำ จะยกยอให้พวกเขาเป็นจ้าวของหกลัทธิได้ยังไง จะฟังคำสั่งพวกเขาสุ่มสี่สุ่มห้าได้ยังไง!”


จินม่านส่ายหน้า “ที่มาที่ไปของพวกเขา พวกเราไม่ไม่จำเป็นต้องรู้ชัดหรอก นี่คือสิ่งที่ประมุขไป๋พูดไว้ตั้งแต่ตอนแรก ไม่จำเป็นต้องสืบหาเบาะแสของแผนที่เขาวางไว้ ขอเพียงมีคนที่ทำให้พวกเราหลุดออกมาจากค่ายกลที่เขาวางไว้ได้ ก็จะต้องมอบอำนาจทางทหารของทัพใหญ่หกลัทธิให้พวกเขา พวกเราแค่ต้องปฏิบัติตามแผนที่ประมุขไป๋วางไว้ ไม่มีอำนาจให้ต่อรอง!”


สือวิ๋นเปียนหัวเราะอย่างเดือดดาลสุดขีด “ตลกแล้ว! อาศัยเจ้าพวกนั้นน่ะเหรอจะกุมอำนาจทางทหารของทัพใหญ่หกลัทธิได้? ต่อให้พวกเราจะตอบตกลง  แต่พวกพี่น้องจะยอมจำนนต่อพวกเขาจากใจได้ยังไง? คนที่วรยุทธ์สูงกว่าพวกเขา ลองเลือกมาส่งเดชก็มีเป็นโขยงแล้ว! ต่อให้ทัพใหญ่หกลัทธิจะยอมรับพวกเขาเป็นประมุขคนใหม่ แต่ทัพใหญ่แปดล้านเชียวนะ! นี่ไม่ใช่คนแค่ไม่กี่คน ไม่ใช่ว่าใครอยากคุมแล้วจะคุมไหว อาหารที่อยู่บนโต๊ะใช่ว่าจะปล่อยให้ใครกินส่งเดชได้ คนที่ไม่ค่อยมีประสบการณ์ไม่มีทางควบคุมกองทัพได้เลย ดูจากวรยุทธ์ของพวกเขาก็รู้แล้ว อย่าว่าแต่คุมทัพใหญ่แปดล้านเลย เกรงว่าแม้แต่ประสบการณ์ในการคุมกำลังพลหลักหมื่นพวกเขาก็ไม่มีด้วยซ้ำ พวกเขารู้หลักการในการคุมทัพหนึ่งแสนหรือทัพหนึ่งล้านเหรอ? พวกเราจะนำหัวใจคนแปดล้านไปเล่นเป็นของเล่นได้ยังไง? ถ้าทำให้หัวใจคนจำนวนแปดล้านปั่นป่วนจริงๆ ล่ะ…ประมุขขุนพล ท่านเคยพิจารณาถึงผลที่จะตามมาหรือเปล่า? เกรงว่าเมื่อถึงตอนนั้นคงจะไม่ต้องรอให้ทัพใหญ่ของโจรกบฏมาบุกประชิดพรมแดนหรอก แค่พวกเราเองก็เละเป็นโจ๊กในหม้อแล้ว ถึงตอนนั้นก็แพ้ตั้งแต่ยังไม่สู้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการล้างแค้นลบความอัปยศเลย!”


“ก็เพราะแบบนี้ไง ประมุขไป๋ถึงได้ให้พวกเราคอยประคับประคองพวกเขา” จินม่านกล่าว


“ประมุขไป๋ให้พวกเราประคับประคองพวกเขาเหรอ? ฮ่าๆ…” สือวิ๋นเปียนเงยหน้าหัวเราะลั่นแล้วชี้มือขึ้นฟ้าพร้อมบอกว่า “ตอนนี้เขาถูกประมุขชิงกับประมุขพุทธะสยบไว้ในเจดีย์สยบปีศาจแล้ว เป็นตายยังไงก็ยังไม่รู้ ขนาดตัวเองยังปกป้องได้ยากเลย ยังคิดจะควบคุมพวกเราอีเหรอ? ช่างเป็นเรื่องที่น่าจำมากจริงๆ!”


จินม่านจึงบอกว่า “ประมุขไป๋เป็นตัวละครประเภทไหน ทั้งเจ้าทั้งข้าก็ได้บทเรียนมาแล้ว ไม่ใช่คนที่ดีแต่พูดโอ้อวดแน่นอน คนคนนี้มีนิสัยอิสระไร้กังวล แต่ก็มีพรสวรรค์เป็นเลิศ ฉลาดไร้ที่เปรียบ ถึงแม้จะไม่มีความสามารถในการครองใต้หล้า แต่ถ้าเขาจะเล่นบทโหดและทำเรื่องอะไรสักอย่างขึ้นมา อาศัยความสามารถของเขา…เรื่องที่รับปากเขาไว้แล้ว ถ้ากลับคำพูดกล้าล้อเล่นกับเขา ผลที่ตามมาก็ร้ายแรงมาก!”


สือวิ๋นเปียนเถียงว่า “แล้วยังไงล่ะ! เขาตกอยู่ในมือประมุขชิงกับประมุขพุทธะแล้ว สองคนนั้นจะให้โอกาสเขาผงาดขึ้นมาอีกครั้งเหรอ ข้าน้อยไม่เข้าใจจริงๆ ประมุขไป๋ตกต่ำถึงขั้นนั้นแล้ว ทำไมประมุขขุนพลยังต้องการจะสนับสนุนเขาอีก? ขออภัยที่ข้าน้อยพูดสิ่งที่ไม่สมควร ประมุขไป๋มีพรสวรรค์เลิศล้ำ ท่วงท่าสง่างามไร้ที่เปรียบ ผู้หญิงยากที่จะต้านทานเสน่ห์ของเขาได้ ตอนที่ข้าน้อยเห็นสายตาที่ประมุขขุนพลมองเขาในปีนั้น ก็รู้แล้วว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล ขอบังอาจถาม ประมุขขุนพลชอบเขาแล้วใช่หรือไม่ ถึงได้สนับสนุนเขาแบบนี้?”


จินม่านหันตัวขวับ ช้อนสายตามองออกไปนอกตำหนัก ในดวงตาฉายแววเลื่อนลอย นางไม่ได้ปฏิเสธ กลับตอบอย่างตรงไปตรงมา “ไม่ผิดหรอก! ข้าชอบเขา แต่คนที่เขาชอบไม่ใช่ข้า เพื่อผู้หญิงคนนั้น เขาถึงขั้นยอมทิ้งอำนาจของใต้หล้าที่อยู่ในมือ ในโลกนี้จะมีผู้ชายสักกี่คนที่ปักใจรักอย่างลึกซึ้งขนาดนี้?” นางพูดประโยคสุดท้ายด้วยเสียงเบา พูดไม่หมดว่าเศร้าใจกลัดกลุ้มขนาดไหน


“ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือหลงหญิงงามจนลืมแผ่นดิน ควรค่าแก่การโอ้อวดเหรอ?” สือวิ๋นเปียนที่กล่าวเหยียดหยามค่อนข้างโมโห เขาก้าวขึ้นมากล่าวเสียงดังข้างหูจินม่านว่า “ประมุขขุนพล ข้าน้อยมีสิ่งที่ต้องเตือนท่านเอาไว้ ในปีนั้นถ้าไม่ใช่ประมุขปราชญ์สละชีวิต ท่านคงตายด้วยน้ำมือประมุขไป๋ไปนานแล้ว ในปีนั้นเขาเคยมีความรักความห่วงใยให้ท่านสักนิดหรือเปล่า? ตอนที่เหล่าพี่น้องถอยทัพมาที่นี่แล้วไม่เลือกข้า แต่เลือกท่านเป็นประมุขขุนพล ก็เพราะเชื่อมั่นในตัวท่าน ท่านอย่าให้ความรักส่วนตัวของผู้หญิงมาส่งผลต่อความเป็นความตายของพี่น้องนับล้าน ท่านจะทำผิดต่อสิ่งที่ประมุขปราชญ์ไหว้วานไว้ตอนยังมีชีวิตอยู่เหรอ?”


“สือวิ๋นเปียน!” จินม่านพลันหันตัวมาตะคอกอย่างเดือดดาล “ข้ายอมรับว่าข้าชอบเขา แต่ข้าไม่ถึงขั้นลืมคุณธรรมหรอก! ในด้านความถูกผิดข้าแบ่งแยกได้ชัดเจน! ข้าก็บอกไปแล้วไง ว่าผลของการไม่ทำตามคำสั่งเขานั้นร้ายแรงมาก ทำแบบนี้ก็เพื่อความเป็นความตายของพี่น้องนับล้าน ถึงได้ต้องมอบอำนาจทางทหารให้!”


สือวิ๋นเปียนหัวเราะเสียงดัง “เหลวไหลสิ้นดี! ขนาดเขายังปกป้องตัวเองลำบากเลย จะเอาอะไรมาขู่พวกเรา?”


จินม่านจึงแสยะยิ้ม “เจ้าเชื่อรึเปล่าว่าประมุขชิงกับประมุขพุทธะไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตาเลย คนที่เขากังวลจริงๆ ก็คือประมุขไป๋ที่ถูกขังอยู่ไงล่ะ! ถ้าสามารถฆ่าประมุขไป๋ได้จริงๆ เกรงว่าประมุขชิงกับประมุขพุทธะคงประกาศต่อทั้งโลกให้คนสบายใจตั้งนานแล้ว การที่ความเป็นความตายของประมุขไป๋ยังเป็นความลับมาตลอด ก็แสดงว่าประมุขไป๋ยังไม่ตาย แล้วทำไมถึงขังประมุขไป๋เอาไว้ไม่ยอมฆ่าสักทีล่ะ? ก็แปลว่าประมุขไป๋ยังทิ้งแผนสำรองเอาไว้ไง ทำให้พวกเขาไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม! พวกเราเองก็ไม่ได้ตกใจอะไรมากหรอก เจ้าคิดจริงเหรอว่าประมุขไป๋พูดแค่คำสองคำแล้วจะกดดันให้พวกเรามอบอำนาจทางทหารได้? เจ้าคิดจริงหรือว่าประมุขไป๋อ่อนด้อยขนาดนั้น? เจ้ารู้มั้ยว่าตอนที่ประมุขไป๋มาหาพวกเราเขาพูดว่าอะไร?”


สือวิ๋นเปียนถามทันที “นี่คือสิ่งที่พวกเราสงสัยอยู่ในใจมาตลอด ในปีนั้นที่เขามาหาประมุขขุนพล เขาพูดอะไรไว้กันแน่?”


จินม่านตอบว่า “ในปีนั้นเขามาขู่พวกเราไว้ เขาบอกว่า เขาสามารถปล่อยให้พวกเรารอดชีวิตได้ ก็สามารถตัดหนทางรอดชีวิตของพวกเราได้เหมือนกัน สามารถทำให้พวกเราดันทุรังเอาชีวิตรอดอยู่ในแดนอเวจีได้ ก็ทำให้พวกเราตายโดยไร้หลุมศพได้เช่นกัน!”


“คำพูดอวดดีแบบนี้ใครก็พูดได้ พวกท่านตกใจเพียงเพราะคำขู่พวกนี้เหรอ?” สือวิ๋นเปียนถาม


“คำพูดอวดดีเหรอ?” จินม่านส่ายหน้าด้วยท่าทางเหลือเชื่อ “เจ้ารู้มั้ยว่าพวกเราหกคนได้รับความลำบากเพราะอะไร? ที่เขาขังพวกเราได้ก็เป็นเพราะการเดิมพันเล็กน้อยเท่านั้น ที่เขาบอกไว้ล่วงหน้าว่าตอนหลังจะมีผู้สืบทอดวิชาของประมุขปราชญ์มาช่วยพวกเราให้หลุดพ้นก็คือหนึ่งในสาเหตุเท่านั้น ก่อนจะขังพวกเราเขายังทิ้งคำทำนายอีกอย่างเอาไว้ด้วย เขาบอกว่าประมุขชิงกับประมุขพุทธะจะร่วมมือกันล้อมปราบนรก ทั้งยังจะพ่ายแพ้อย่างแน่นอน! ก่อนหน้านี้พวกเจ้ายังถามเรื่องสายลับอยู่เลย คิดมาตลอดเลยใช่มั้ยว่าระฆังดาราสำหรับติดต่อสายลับที่พวกเราให้พวกเจ้าไว้ก่อนที่พวกเราจะโดนขังเป็นของสายลับที่พวกเราจับยัดไว้ฝ่ายโจรกบฏ ก่อนหน้านี้พวกเราก็บอกพวกเจ้าแล้วว่านั่นคือสิ่งที่ประมุขไป๋ทิ้งไว้ ตอนนี้พวกเจ้ายังไม่เข้าใจเชียวเหรอว่าหมายความว่าอะไร?”


สือวิ๋นเปียนรู้สึกระทึกขวัญทันที


จินม่านแสยะยิ้มแล้วพูดต่อไปว่า “เจ้าคิดจริงเหรอว่าประมุขไป๋เป็นคนที่คุยโวโอ้อวดไร้สาระ? โดยเฉพาะคำทำนายที่บอกว่าประมุขชิงกับประมุขพุทธะจะร่วมมือกันล้อมปราบแดนอเวจี ไม่สู้ใช้การปฏิบัติจริงเตือนพวกเราด้วยเลือดดีกว่าเหรอ ให้พวกเราจดจำฝังลึกอยู่ในใจไง ป้องกันไม่ให้พวกเราเปลี่ยนใจ! เขาใช้เลือดของพี่น้องหลายล้านมาขู่พวกเรา ไม่ว่าเขาจะอยู่ในเจดีย์สยบปีศาจหรือไม่ แต่สถานการณ์ก็อยู่ในการควบคุมของเขามาตลอด! ในปีนั้นเขาปล่อยให้พวกเราหนีมาในนรก และหลังจากนั้นก็ติดต่อกับพวกเรามาตลอด เขารู้สถานการณ์ในนรกอย่างชัดเจนตั้งแต่แรกแล้ว ถึงขั้นมีบางจุดที่รู้ดีกว่าพวกเราด้วยซ้ำ การที่แดนอเวจีถูกปิดล้อมแต่เขาสามารถเข้าออกมาหาพวกเราได้โดยไม่ให้สะเทือนถึงหูประมุขพุทธะกับประมุขชิงก็เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้แล้ว! เขาใช้ศีรษะของคนหลายล้านมาเตือนพวกเรา เขาสามารถทำให้ประมุขชิงกับประมุขพุทธะเคลื่อนทัพมาโจมตีได้แล้วครั้งหนึ่ง ก็สามารถทำให้พวกเขาเคลื่อนทัพมาโจมตีเป็นครั้งที่สองได้! ครั้งแรกเขาให้สายลับช่วยให้พวกเรารอดพ้นเคราะห์ แต่ถ้ามีครั้งที่สองล่ะ?


ถ้าพวกเราไม่ทำตามที่เขาบอก เจ้าเชื่อมั้ยว่าสถานการณ์ของนรกโดยละเอียดจะไปโผล่อยู่ในมือของประมุขชิงกับประมุขพุทธะทันที ถึงตอนนั้นอย่าว่าแต่สายลับของประมุขไป๋จะชักนำให้เราเข้าใจผิดเลย ต่อให้เขาจะเงียบไว้และไม่ช่วยเหลือพวกเราอีกแล้ว แต่เจ้าเคยคิดถึงผลที่จะตามมาในภายหลังบ้างรึเปล่า?”


สือวิ๋นเปียนตกใจจนเหงื่อแตกเต็มศีรษะแล้ว ลมหายใจถี่กระชั้น ไม่กล้าจินตนาการถึงผลลัพธ์ที่ตามมาเลยจริงๆ


“ข้าสามารถปล่อยให้พวกเจ้ารอดชีวิตได้ ก็สามารถตัดหนทางรอดชีวิตของพวกเจ้าได้เหมือนกัน สามารถทำให้พวกจ้าาดันทุรังเอาชีวิตรอดอยู่ในแดนอเวจีได้ ก็ทำให้พวกเจ้าตายโดยไร้หลุมศพได้เช่นกัน! คำพูดพวกนี้ข้าจำได้มาตลอดเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นใหม่ ตอนนี้เจ้ายังคิดว่าเขายังพูดจาอวดดีอยู่มั้ย?” จินม่านส่ายหน้าพร้อมยิ้มขื่นขม “ความเป็นความตายของพวกเราอยู่ในมือเขามาตลอด ต่อให้เขาจะถูกขังไว้ในเจดีย์สยบปีศาจก็ตาม! ตอนนี้พอย้อนกลับไปมอง ที่จริงมันเริ่มตั้งแต่วันที่เขามาหาพวกเราแล้ว พวกเราไม่มีทางเหลือให้เลือกเลยทำได้เพียงปฏิบัติตามแผนที่เขาวางไว้!”


“ชีวิตของพี่น้องหลายล้านเป็นแค่สิ่งที่สนับสนุนคำขู่ของเขาเท่านั้น! แค่เพื่อกดดันให้พวกเรายอมศิโรราบ! คนแบบนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว!” สือวิ๋นเปียนกล่าวอย่างคับแค้นใจปนเศร้าโศก


“คิดว่าข้าไม่ปวดใจรึไง! แต่พวกเราก็ไม่มีทางเลือก นอกเสียจากคนที่ยังรอดจะไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว ความเป็นความตายของพวกเราล้วนอยู่ในการควบคุมของเขา ต่อให้เป็นชีวิตคนมากกว่านี้ แต่ก็ไม่สำคัญเท่าผู้หญิงที่อยู่ในใจเขาหรอก!” จินม่านส่ายหน้าด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว “ข้าบอกแล้ว ถึงแม้เขาจะไม่ได้มีอำนาจสูงสุดในใต้หล้า แต่ถ้าเขาจะเล่นบทโหดทำเรื่องอะไรสักอย่างขึ้นมา อาศัยความสามารถอย่างเขาก็จะน่ากลัวมาก ตอนนี้เจ้ายังคิดจะต่อต้านเขาอยู่อีกเหรอ?”


สือวิ๋นเปียนกัดฟันตอบว่า “เขาไม่แยแสความเป็นความตายของพวกเราขนาดนี้ ในสายตาเขาชีวิตเราเล็กน้อยเหมือนกับมด ท่านแน่ใจนะว่าเขาจะทำให้พวกเราหลุดพ้นจากนรกและคืนอิสระให้อีกครั้ง? ท่านแน่ใจนะว่าเขาจะช่วยพวกเราล้างแค้นลบความอัปยศ?”


จินม่านยิ้มเจื่อน “แน่ใจสิ เพื่อที่จะช่วยชีวิตผู้หญิงคนนั้น เขาก็ทำได้ทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย เขาอยากจะโค่นล้มประมุขชิงกับประมุขพุทธะยิ่งกว่าพวกเราเสียอีก ก็อย่างที่ข้าบอกไว้ เขาไม่มีความสามารถในการปกครองใต้หล้า นอกเสียจากเขาจะไม่ตอบตกลง ตราบใดที่เป็นเรื่องที่เขาตอบตกลง เขาก็จะพยายามรักษาสัญญาเต็มที่ ดังนั้นเขาจึงเป็นสิงห์ร้ายผู้ทะเยอะทะยานไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ตกต่ำเหมือนอย่างทุกวันนี้”


สือวิ๋นเปียนบอกอีกว่า “แต่ข้ามองไม่เห็นความหวัง เขาจะอาศัยอะไรมาทำตามสัญญาล่ะ? ถ้าไม่มีผู้ช่วยที่แข็งแกร่ง พวกเราจะต้านทานประมุขชิงกับประมุขพุทธะได้ยังไง? อาศัยนักพรตบงกชทองไม่กี่คนพวกนั้นน่ะเหรอ? อาศัยศักยภาพแค่นี้ของพวกเราน่ะเหรอ?”


จินม่านตอบว่า “ข้าบอกแล้วไง ว่าหลังจากพวกเราหลุดพ้นแล้วให้ปฏิบัติตามคำพูดของเขา ถึงตอนนั้นผู้ช่วยที่แข็งแกร่งย่อมปรากฏตัวเอง พวกเราไม่มีทางเลือกแล้ว พี่สือ ทำตามก็แล้วกัน มาประคับประคองเจ้าพวกน่าเกลียดชังนั่นกันเถอะ!”


สีหน้าคับแค้นใจของสือวิ๋นเปียนค่อยๆ เศร้าสลด…


ไม่ใช่แค่ฝั่งนี้ บนดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ อีกห้าดวงก็เกิดการถกเถียงอย่างรุนแรงเช่นเดียวกัน แต่ผลกลับคล้ายกัน ไม่มีอะไรแตกต่างกัน ทุกอย่างล้วนดำเนินไปในผลลัพธ์ที่ถูกกำหนดไว้


“อะไรนะ? ให้ข้าเป็นประมุขปราชญ์อู๋เลี่ยงคนใหม่เพื่อบัญชาการพวกท่านเหรอ? ข้าฟังไม่ผิดใช่มั้ย?”


หลังจากนั้นหลายวัน หลังจากเตรียมการบางอย่างไปบ้างแล้ว จินม่านกับอวิ๋นเปียนก็มาเดินขนาบคุมอยู่ข้างกายเหมียวอี้ โชคที่หล่นลงมาจากฟ้าแบบนี้ทำให้เหมียวอี้ตกใจมาก อดไม่ได้ที่จะเป็นกระต่ายตื่นตูม นึกว่าตัวเองฟังผิดไปแล้วจริงๆ


เหมียวอี้อ้าปากกว้าง เอามือชี้จมูกตัวเองอย่างเหม่องง จ้องชายหญิงที่อยู่ตรงหน้าด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ


 …………………………


บทที่ 1233 ขึ้นครองตำแหน่ง

โดย

Ink Stone_Fantasy

“เจ้าฟังไม่ผิดหรอก” จินม่านพยักหน้ายืนยัน


เหมียวอี้ชี้จมูกตัวเองพร้อมพูดต่อไปว่า “ประมุขปราชญ์อู๋เลี่ยงคนใหม่ ให้ข้าเป็นเหรอ?”


“ใช่!” จินม่านพยักหน้าอีกครั้ง


เหมียวอี้เหม่องงอีกครัง ก่อนจะถามอย่างงุนงงว่า “ทำไมล่?”


จินม่านตอบว่า “ประการแรกเป็นเพราะในมือเจ้ามีเคล็ดวิชาฝึกตนของประมุขปราชญ์คนก่อน เป็นผู้สืบทอดเคล็ดวิชาของประมุขปราชญ์ ตามเหตุผลย่อมต้องรับตำแหน่งต่อจากประมุขปราชญ์ ประการที่สองเป็นเพราะเจ้าช่วยข้าออกมา ตอบแทนบุญคุณที่เจ้าช่วยชีวิตข้า”


เหมียวอี้เคลือบแคลงอยู่ในใจ สายตาสงสัยมองสืบสวนบนตัวทั้งสองคนไม่หยุด พร้อมถามหยั่งเชิงว่า “แค่เพราะแบบนี้น่ะเหรอ?”


“สาเหตุที่เป็นผู้สืบทอดเคล็ดวิชาของประมุขปราชญ์กับบุญคุณที่ช่วยชีวิตยังไม่พอเชียวเหรอ?” จินม่านถาม


จะเพียงพออะไรล่ะ? สาเหตุนี้ฟังดูก็เหมือนจะใช่ แต่พอลองคิดให้ละเอียดก็อาจจะดันทุรังไปหน่อย ต่อให้ตีให้ตายเหมียวอี้ก็ไม่เชื่อว่าจะมีเรื่องดีๆ แบบนี้ แน่ใจได้เลยว่าต้องมีแผนร้ายอยู่ในนั้นแน่นอน จึงยิ้มแห้งพร้อมโบกมือปฏิเสธ “ไม่เหมาะไม่เหมาะ วรยุทธ์ของเหมียวตื้นเขิน ความสามารถมีจำกัด แบกรับความรับผิดชอบที่หนักหน่วงขนาดนี้ไม่ไหว ประมุขขุนพลมีวรยุทธ์ระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพ ใจคนส่วนใหญ่เอนเอียงใฝ่หา ควรจะควบคุมสถานการณ์โดยรวมต่อไป เหมียวอี้ยินดีฟังคำสั่งประมุขขุนพลทุกเมื่อ!”


ยินดีเชื่อฟังคำสั่งคือคำโกหก อยากจะปกป้องชีวิตตัวเองต่างหากที่เป็นเรื่องจริง


จินม่านกับสืออวิ๋นเปียนเริ่มด่าในใจแล้ว คิดว่าพวกเราอยากยกย่องให้เจ้าเป็นประมุขจริงๆ เหรอ? ถ้าไม่ใช่เพราะไม่มีทางเลือก เจ้าจะได้มีเรื่องดีๆ แบบนี้รึไง? โชคใหญ่ที่คนอื่นอยากได้แต่ไม่ได้ เจ้ายังทำเหมือนโดนบีบบังคับอย่างนั้นแหละ


แต่ในสายตาจินม่าน เดิมทีเหมียวอี้ก็เป็นพวกต่ำทรามไร้ยางอายอยู่แล้ว ไม่ได้รู้สึกดีอะไรกับเหมียวอี้เลย ดังนั้นจึงขี้เกียจจะพูดมากกับเหมียวอี้อีก พูดบีบบังคับโดยตรงว่า “ถ้าเจ้าไม่อยากรับผิดชอบหน้าที่นี้ก็ได้เหมือนกัน พวกเราไม่บังคับหรอก แต่พวกเราจะไม่ยอมปล่อยให้คนนอกรอดชีวิตออกไปพร้อมกับข้อมูลสถานการณ์ของที่นี่เด็ดขาด และแน่นอน เห็นแก่ที่เจ้าเคยช่วยชีวิตข้าไว้ ข้าก็จะไม่ฆ่าเจ้าเหมือนกัน โลงศพที่ข้าเคยนอนหนึ่งแสนปีก็จะมอบให้เจ้าแล้ว เจ้าต้องเข้าไปอยู่ในนั้นหนึ่งแสนปีเหมือนกัน ครบหนึ่งแสนปีแล้วค่อยปล่อยเจ้าออกไป จะเลือกแบบไหนเจ้าก็คิดเองแล้วกัน” พูดจบก็หันตัวเดินจากไปทันที


“ประมุขขุนพลช้าก่อน!” เหมียวอี้กระวนกระวายแล้ว รีบโบกมือตะโกนเรียกให้หยุด


“หืม!” จินม่านหันตัวมา แล้วถามเสียงเรียบว่า” ตัดสินใจได้เร็วขนาดนี้เชียวเหรอ?”


เร็วบ้าอะไรล่ะ! เหมียวอี้ด่าทอในใจ แบบนี้เรียกว่าไม่ฝืนใจเหรอ? โดนขังอยู่ในโลงศพหนึ่งแสนปี ล้อเล่นอะไรกัน? ถ้าไม่ใช่เพราะไม่มีทางเลือก ใครอยากจะได้รับความลำบากแบบนั้น? แล้วอีกอย่างนะ เรื่องที่จะเกิดขึ้นในภายหลังใครจะบอกได้ชัดเจน ผีที่ไหนจะไปรู้ว่าหลังจากโดนขังไปหนึ่งแสนปีแล้วเจ้าจะปล่อยให้ข้ารอดชีวิตออกไปหรือเปล่า


เขาฝืนยิ้มสู้พลางกุมหมัดคารวะ “ในเมื่อประมุขขุนพลไว้หน้าแบบนี้ ผู้น้อยก็มิกล้าอกตัญญู ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับข้าน้อยแล้ว การที่สามารถเป็นประมุขปราชญ์เต๋าได้ นั่นก็เป็นเรื่องดีที่ไม่กล้าใฝ่ฝันถึงเลยจริงๆ เพียงแต่เหมียวอี้วรยุทธ์ตื้นเขิน ความสามารถมีจำกัดทั้งยังไร้ประสบการณ์ ไม่รู้ว่ามีคุณธรรมหรือความสามารถอะไรที่จะสามารถบัญชาการลัทธิเต๋าได้ กลัวเสียจริงว่าเจตนาดีจะทำให้เกิดเรื่องร้าย แถมคนอื่นก็อาจจะไม่สนับสนุนด้วย”


ความหมายแฝงในคำพูดก็คือ ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากเป็นประมุขปราชญ์อู๋เลี่ยง ที่จริงอยากเป็นมาก เพียงแต่กังวลว่าตัวเองจะทำได้ไม่ดีก็เท่านั้นเอง


คนต่ำทราม! จินม่านพูดดูถูกเหยียดหยามในใจ


นางกดดันให้เหมียวอี้หมดทางเลือกจนยอมแพ้แท้ๆ แต่ตอนนี้กลับคิดว่าเหมียวอี้เป็นคนต่ำทรามไร้ยางอายที่แล่นเรือไปตามลม เกรงว่าต่อให้เหมียวอี้มีร้อยปากก็คงแก้ตัวเรื่องนี้ให้กระจ่างได้ยาก ใครใช้ให้อีกฝ่ายมีมีอคติ เกิดความประทับใจแรกที่ไม่ดีกับเขาก่อนล่ะ ภาพพจน์แรกสำคัญมากจริงๆ!


“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องห่วง พวกเราย่อมคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ อยู่แล้ว” จินม่านกล่าว


“งั้นก็ดี งั้นก็ดี มีประมุขขุนพลสนับสนุนข้าก็วางใจแล้ว” เหมียวอี้หัวเราะด้วยสีหน้าเบิกบานมีความสุข แล้วก็ถามหยั่งเชิงทันทีว่า “ไม่ทราบว่าหลังจากรับตำแหน่งประมุขปราชญ์แล้วข้าต้องทำอะไรบ้าง?”


เขาต้องสืบก้นบึ้งของอีกฝ่ายให้ลึกๆ ดูว่าการที่อีกฝ่ายให้ตนเป็นประมุขปราชญ์เพราะมีจุดประสงค์อะไรกันแน่ สรุปก็คือเขาไม่เชื่อเหตุผลที่บอกว่าเป็นบุญคุณของการช่วยชีวิต


จินม่านบอกว่า “ก็ย่อมต้องทำเรื่องที่ประมุขปราชญ์สมควรจะทำสิ อย่างแรกก็คือคิดหาทางล้างแค้นให้ประมุขปราชญ์คนก่อน ล้างความอัปยศให้เหล่าพี่น้อง โค่นล้มประมุขชิงกับประมุขพุทธะ นำพาทุกคนให้หลุดพ้นจากนรก นี่ก็คือความรับผิดชอบที่ผู้สืบทอดคนใหม่จะได้รับการสนับสนุนจากเหล่าพี่น้องทุกคน”


มารดาเจ้าเถอะ ข้าจะไปเอาความสามารถขนาดนั้นมาจากไหน? เหมียวอี้รู้สึกอับจนปัญญา เตรียมจะหาโอกาสเอาตัวรอดไปทีละก้าว บนใบหน้ากลับดันรอยยิ้มออกมา “เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว”


เรื่องราวถูกกำหนดไว้แบบนี้ชั่วคราว ตอนนี้จินม่านกับสืออวิ๋นเปียนเดินออกไปแล้ว ทั้งสองยังต้องเตรียมการเรื่องที่เหมียวอี้สืบทอดตำแหน่งประมุขปราชญ์ สิ่งแรกที่ต้องทำอย่างเลี่ยงไม่ได้ก็คือพูดเกลี้ยกล่อมแม่ทัพคนอื่นๆ


ขณะมองคล้อยหลังทั้งสองจากไป เหมียวอี้เน้นจ้องสืออวิ๋นเปียนที่เงียบงันไม่ยอมพูดอะไรตั้งแต่ต้นจนจบ พอหันกลับมาก็เห็นทหารยามที่ยังจ้องมองตนอยู่ ทำเอาตนไม่มีทางติดต่อกับพวกอวิ๋นอ้าวเทียนได้ สุดท้ายก็ทำได้เพียงเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมา ครุ่นคิดว่าที่อีกฝ่ายให้ตนเป็นประมุขปราชญ์อะไรนั่นเพราะคิดจะทำอะไรกันแน่


ขนาดไม่รู้เบื้องลึกของตนก็ให้ตนเป็นประมุขปราชญ์ที่บัญชาการพวกเขาแล้ว ล้อเล่นอะไรกัน? มีแผนร้าย! ในนั้นจะต้องมีแผนร้ายแน่นอน!


หรือว่าพวกอวิ๋นอ้าวเทียนเปิดโปงฐานะของเขาเพื่อปกป้องชีวิตตัวเอง กลุ่มโจรกบฏเตรียมจะให้ข้ากลับไปเป็นสายลับเหรอ? แต่ก็ไม่จำเป็นต้องให้ข้าเป็นประมุขปราชญ์อะไรนั่นหรอก!


ภายใต้สถาพแวดล้อมแบบนี้ยังมีลานบ้านให้พักอาศัยก็นับว่าไม่ง่ายเลย เหมียวอี้ที่เดินไปเดินมาอยู่ในลานบ้านคิดไม่ตก คิดจนหัวแทบแตกก็ไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไร


“หยุดนะ!”


เหมียวอี้ยังไม่ทันเข้าใจว่าเรื่องอะไร ตรงประตูลานบ้านก็มีเสียงห้ามดังออกมา พอหันกลับไปมอง ก็เห็นทหารยามตรงประตูกักตัวสตรีชุดเหลืองสองคนที่สีหน้าเย็นชาเอาไว้ คนหนึ่งตัวสูง คนหนึ่งตัวเตี้ย หน้าตาก็ไม่เลว เพียงแต่ท่าทางเย็นชาทำให้คนเห็นแล้วอยากอยู่ให้ห่างๆ


แต่เหมียวอี้ก็ไม่คุ้นชิน คนที่นี่มักจะทำหน้าตายเหมือนมีใครติดหนี้พวกเขาอยู่


ผู้หญิงหนึ่งในนั้นเผยแผ่นหยกแผ่นหนึ่งให้ทหารยามดู พร้อมกล่าวด้วยเสียงเย็นชา “ได้รับคำสั่งโดยตรงจากประมุขขุนพล”


หลังจากตรวจอ่านคำสั่งแล้ว ทหารยามก็ปล่อยให้เข้าไป พอเข้ามาข้างในแล้ว ผู้หญิงสองคนก็เดินมาหาเหมียวอี้โดยตรง หนึ่งในนั้นหยิบเชือกออกมาเส้นหนึ่ง เมื่อประกอบกับใบหน้าที่นิ่งเย็นชาแบบนั้น ก็ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังจะช่วยให้คนผูกคอตาย


เหมียวอี้ที่ก้าวถอยหลังถามคนที่กำลังจ้องตนอยู่ทางซ้ายและขวาทันที “หมายความว่ายังไง?”


คนที่เฝ้าดูไม่ตอบอะไร  กลับเป็นผู้หญิงคนนั้นที่เดินเข้ามาตรงๆ คนหนึ่งจับแขนข้างหนึ่งของเหมียวอี้ แล้วถือเชือกทำท่าทางอยู่บนร่างกายเขา


เหมียวอี้ที่ระแวดระวังตัวอย่างสูงพอจะเข้าใจแล้ว อีกฝ่ายกำลังวัดตัวให้เขา


“นี่พวกเจ้ากำลังทำอะไร?” เหมียวอี้แปลกใจ


ผู้หญิงสองคนยังคงไม่พูดอะไร หลังจากวัดให้เขาเสร็จก็ไปแล้ว แม้แต่คำทักทายสักคำก็ไม่มี ทำเอาเหมียวอี้ประหลาดใจ


วันต่อมา ผู้หญิงสองคนนั้นก็มาอีก เหมียวอี้มองดูพวกนางเข้าๆ ออกๆ จนขี้เกียจจะถามแล้ว ถึงอย่างไรถามไปก็ไม่ได้อะไร


ทว่าเขาก็ไม่มีทางที่จะไม่สนใจเลย หลังจากผู้หญิงสองคนที่กำลังงานยุ่งอยู่ในบ้านเขาหันกลับมาหาเขาอีกครั้ง ก็บังคับให้เขากลับมาในบ้านโดยตรง แล้วก็ลงกลอนประตู


เหมียวอี้ที่เข้ามาในบ้านจ้องมองอ่างน้ำร้อนอย่างสงสัย ส่วนผู้หญิงสองคนนั้นก็ลงมือทันที ช่วยถอดเสื้อผ้าให้เขาแล้ว


“พวกเจ้าทำอะไร?” เหมียวอี้ที่กำลังฉุดลากปฏิเสธร้องอุทานตกใจ


“อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า อีกประเดี๋ยวขุนพลทุกท่านจะต้องมาเยี่ยมคารวะ!” ในที่สุดผู้หญิงที่ตัวสูงก็เอ่ยปากพูดแล้ว


ผู้หญิงสองคนนี้เหมือนกำลังอยากทำให้เสร็จใจจะขาด ต่างคนต่างเดินไปที่สองด้านของอ่างอาบน้ำแล้วหันหลังให้ แต่กลับพูดเร่งว่า “ได้โปรดทำให้รวดเร็ว การขึ้นครองตำแหน่งประมุขปราชญ์กำลังจะมาถึงแล้ว อย่าให้ขุนพลทุกท่านรอนาน”


เฮ้อ! นี่มันเรื่องอะไรกัน? เหมียวอี้แอบถอนหายใจ เห็นทั้งสองคนไม่มีท่าทีว่าจะออกไป จึงทำได้เพียงถอดเสื้อผ้าอย่างช้าๆ และเข้าไปแช่อยู่ในน้ำ…


ตอนที่ประตูบ้านเปิดอีกครั้ง เหมียวอี้ที่เดินออกจากประตูโดยมีผู้หญิงสองคนติดตามอยู่ทางซ้ายและขวาก็ราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน ทั้งตัวสวมชุดคลุมสีทองอันหรูราไร้ที่เรียบ ด้านบนปักลายเมฆหมอกปกคลุมขุนเขากับท้องฟ้าที่ประกอบด้วยดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาว บนมวยผมมัดด้วยด้ายสีทองและปล่อยลงด้านหลัง ขับดุนให้ทั้งตัวดูสูงส่งและโดดเด่นไม่ธรรมดา


ตามที่ผู้หญิงสองคนนี้บอก นี่คือการแต่งกายของประมุขปราชญ์คนก่อน บอกว่าเป็นชุดจักรวาลอะไรสักอย่าง


เหมียวอี้ที่เดินลงบันไดยกแขนเสื้อตัวเองขึ้นมาดูอยู่เป็นระยะ บางทีก็ก้มหน้าดึงเสื้อตัวเองดู ขนาดกำลังพอดีตัว เขาสงสัยนิดหน่อยว่าที่เมื่อวานอีกฝ่ายวัดตัวให้เขาหมายความว่าอะไร คาดว่าคงจะตัดเย็บชุดคลุมยาวตัวนี้ให้


เขาถูกพามายังลานบ้านด้านหลังของตำหนักหลักบนหน้าผา จินม่านที่รูปร่างสูงโปร่งและสวมชุดกระโปรงสีทองทั้งตัวกำลังรออยู่ในลานบ้าน


“ประมุขขุนพล!” เหมียวอี้เห็นหน้าแล้วกุมหมัดคารวะอย่างร่าเริง ดูสุภาพเกรงใจมาก


ส่วนจินม่านก็เดินวนและมองสำรวจเขาศีรษะจดเท้า


เหมียวอี้มองดูการแต่งกายของนาง แล้วก็มองดูการแต่งกายของตัวเอง ในใจพึมพำว่า ทำไมรู้สึกว่าการแต่งตัวของทั้งสองคนไม่ได้เหมาะสมกันแบบธรรมดา


จินม่านที่ตรวจดูพยักหน้าเบาๆ แล้วบอกว่า “มีรสชาติความเป็นประมุขปราชญ์อยู่หลายส่วน เพียงแต่ลักษณะท่าทางแย่ไปหน่อย” นางเดินมาตรงหน้าเหมียวอี้แล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังอีกครั้ง “ขุนพลทุกคนกำลังรอเข้าเฝ้าอยู่ในตำหนักใหญ่ แต่บังเอิญมีการทดสอบของโจรกบฏพอดี เพื่อป้องกันไม่ให้โจรกบฏอาศัยโอกาสนี้สร้างความเปลี่ยนแปลง ทุกจุดจึงต้องมีคนเฝ้ารักษาการณ์ ไม่สะดวกจะมารวมตัวกันในเวลานี้ทั้งหมด ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงยังมาไม่ครบ เจ้าเองก็รู้สถานการณ์ของพวกเราเช่นกัน ไม่สะดวกจะระดมกำลังพื่อจัดพิธีขึ้นครองตำแหน่งให้เจ้า ดังนั้นทุกอย่างจึงทำอย่างเรียบง่าย ไม่ใช่ว่ามีเจตนาจะไม่เคารพประมุขปราชญ์คนใหม่อย่างเจ้า รอให้โค่นล้มประมุขชิงกับประมุขพุทธะได้ก่อน แล้วค่อยชดเชยให้เจ้าอย่างสมเกียรติมีหน้ามีตา”


พูดจาดูน่าฟัง แต่ที่จริงแล้วก็คือไม่เคารพท่านประมุขปราชญ์เหมียว


ประการแรกเป็นเพราะความประทับใจแรกที่จินม่านมีต่อเหมียวอี้นั้นไม่ค่อยดีสักเท่าไร ไม่อยากให้เหมียวอี้มีหน้ามีตาเกินไป ถ้าไม่ใช่เพราะมีใครบางคนใช้วิธีโหดร้ายเอาศีรษะของคนหลายล้านมาเตือน พลังการข่มขู่ที่มีต่อพวกเขานั้นมากเกินไป บีบจุดอ่อนของพวกเขาเอาไว้แน่น เกรงว่านางคงจะฆ่าเหมียวอี้ตายไปตั้งแต่แรกแล้ว ประการต่อมาเป็นเพราะกำลังพลเบื้องล่างมีความเห็นแย้งต่อการที่เหมียวอี้สืบทอดตำแหน่งประมุขปราชญ์มาก ถ้าไม่ใช่เพราะมีพวกจินม่านคอยคุม ช่วยเหลือและพยายามเกลี้ยกล่อม เหมียวอี้จะต้องถูกโจมตีจนตายคาที่แน่นอน คนต่ำต้อยคนหนึ่งบังอาจมาอยู่ในตำแหน่งปราชญ์เพื่อออกคำสั่งกับเหล่าวีรบุรุษ ช่างน่าขำเกินไปแล้ว!


ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ไม่สะดวกจะยั่วยุขุนพลระดับล่างเลยจริงๆ ไม่เหมาะจะจัดงานอย่างมีหน้ามีตา ครั้งนี้ทำไปพอเป็นพิธีเฉยๆ เท่านั้น เหมียวอี้เองก็อย่าได้คิดเลยว่าจะจะได้กุมอำนาจมหาศาลทันที่ขึ้นสู่ตำแหน่ง


รอให้โค่นล้มประมุขชิงกับประมุขพุทธะได้ก่อนเหรอ? ฝันไปแล้วมั้ง? เหมียวอี้พูดแขวะในใจ เขาไม่ได้สนใจตำแหน่งประมุขปราชญ์ที่เป็นได้แค่ในนามนี้เลย เป็นการรับมือเพราะโดนกดดันจนหมดทางเลือกล้วนๆ จึงยิ้มตอบอย่างไม่ถือสา “เข้าใจ เข้าใจ”


“ตามข้ามาเถอะ!” จินม่านยื่นมือเชิญ


นางนำเหมียวอี้เดินเข้ามาจากตำหนักหลังด้วยตัวเอง ส่วนสตรีชุดเหลือสองคน หลังจากเข้ามาในตำหนักแล้วก็แย่งยืนอยู่ทางซ้ายและขวาของประตูตำหนักหลัก


วินาทีที่เหมียวอี้ตามจินม่านเข้ามาในตำหนักใหญ่ที่ดูโบราณเรียบง่ายจากทางซ้ายมือ สายตาของชายหญิงยี่สิบกว่าคนที่สวมเครื่องแบบต่างกันและรอเงียบๆ อยู่ในนั้นก็จ้องมาทันที แต่ละคนจ้องเหมียวอี้อย่างไม่ละสายตา บางคนก็เคยเจอเหมียวอี้มาแล้ว บางคนก็ไม่เคยเห็นเหมียวอี้ แต่คนส่วนใหญ่ทำสายตาไม่เป็นมิตร


สามคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าสุด ตรงหว่างคิ้วเป็นลายสัญลักษณ์พลังอิทธิฤทธิ์ของจริง แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นยอดฝีมือพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพระดับสำแดงฤทธิ์ สืออวิ๋นเปียนก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน หลังจากเหลือบมองเหมียวอี้อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง เขาก็ก้มหน้าก้มตาทันที เก็บความไม่พอใจไว้ในใจ


…………………………


บทที่ 1234 เชิญตามสบาย

โดย

Ink Stone_Fantasy

เหมียวอี้ก็ไม่ใช่คนโง่เช่นกัน เมื่อเห็นสายตาของคนพวกนี้ ก็รู้แล้วว่าพวกเขามีความเห็นบางอย่างต่อตน


ในใจเขาก็มีความคิดเห็นเหมือนกัน แต่จนใจที่อีกฝ่ายกล้าแสดงออกมา แต่เขากลับไม่กล้าเปิดเผย ยังต้องทำสีหน้ายิ้มโง่ๆ กำลังของทั้งสองฝ่ายก็เห็นๆ กันอยู่ ไม่มีโอกาสชนะเลยแม้แต่น้อย ทำได้เพียงอดทนไว้


จินม่านในตอนนี้กลับแสดงท่าทีเคารพ เชิญให้เขาขึ้นนั่งบนเบื้องสูง


เมื่อเห็นเหมียวอี้เดินขึ้นบันไดไปอย่างไม่ตื่นเต้นลนลาน ในใจจินม่านก็เคลือบแคลงเหมือนกัน มองไม่ออกเลยว่าเจ้าหมอนี่จะไม่ประหม่าเลยสักนิด นักพรตบงกชทองคนหนึ่งที่เผชิญหน้ากับยอดฝีมือมากมายขนาดนี้ แต่กลับไม่ตื่นเต้นกังวลเลยสักนิด


เมื่อเดินมาถึงข้างบัลลังก์ จินม่านก็ยื่นมือเชิญเขานั่งอีกครั้ง


เหมียวอี้ไม่สนใจ ตราบใดที่ไม่ส่งผลต่อความปลอดภัยของเขา พวกเจ้าบอกให้ทำอย่างไรข้าก็ทำอย่างนั้น ทำตามความต้องการของพวกเจ้า คาดว่าคงจะไม่เกิดเรื่องอะไร ถึงได้เอามือค้ำเข่านั่งลงอย่างมั่นคง


จินม่านเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง แต่ยังไม่ได้ออกไปไหน เพียงยืนอยู่ข้างๆ บัลลังก์ หันหน้าไปหาทุกคน กวาดสายตามองเบื้องล่าง เมื่อเห็นคนเอียงหน้ามองไปด้านข้าง ทำสีหน้าเหมือนทนมองไม่ไหว นางก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วครุ่นคิด ก่อนจะพูดเสียงดังว่า “ประมุขปราชญ์เหมียวอี้สืบทอดตำแหน่ง ลัทธิอู๋เลี่ยงยอมรับประมุข ขุนพลทุกคนคารวะ!”


ชายหญิงยี่สิบกว่าคนเบื้องล่างที่อายุแตกต่างกันมองหน้ากันไปมองหน้ากันมา ไม่มีใครทำความเคารพสักคน


จินม่านที่ยืนอยู่ด้านบนถลึงตาจ้องสืออวิ๋นเปียนข้างล่างแวบหนึ่ง ทำให้สืออวิ๋นเปียนเม้มริมฝีปากแน่น นำคุกเข่าอย่างช้าๆ ก่อนเป็นคนแรก ก้มหน้ากล่าวเสียงต่ำว่า “คำนับประมุขปราชญ์!” พูดจบแล้วไม่เห็นคนอื่นมีปฏิกิริยาอะไร จึงมองซ้ายมองซ้ายครู่หนึ่ง แล้วยื่นมือดึงชายเสื้อคนที่อยู่ทางซ้ายและขวา


ชายชราสองคนที่ยืนอยู่ทางซ้ายและขวาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง จากนั้นสะบัดชายเสื้อคุกเข่าลงอย่างช้าๆ คุกเข่าลงด้วยท่าทางกดดันไร้ที่เปรียบ ก้มหน้ากล่าวว่า “คารวะประมุขปราชญ์!”


ขนาดขุนพลสามคนที่อยู่ข้างหน้าสุดยังคุกเข่าลงแล้ว หลังจากทุกคนที่อยู่ข้างหลังมองหน้ากันเลิกลั่กพักหนึ่ง ก็ทยอยกันคุกเข่าข้างเดียวตามเช่นกัน “คำนับประมุขปราชญ์!”


เสียงคำนับดังแบบไม่พร้อมเพียง เรียกได้ว่าดังเป็นหย่อมๆ เห็นได้ชัดว่าไม่สมัครใจสุดๆ


เหมียวอี้ที่นั่งอยู่เบื้องสูงโค้งมุมปากเล็กน้อย ในใจแอบรู้สึกตลก กลุ่มคนที่สามารถมาโผล่อยู่ตรงนี้ได้คงจะวรยุทธ์ไม่ต่ำ โดยเฉพาะสามคนที่อยู่หน้าสุด แม้แต่ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ก็ยังมาคุกเข่าอยู่ตรงหน้าตัวเองเลย ตอนให้นอนฝันเขาก็ไม่เคยคิดว่าจะมีวันนี้ได้ รสชาติแบบนี้ทำให้คนแอบสะใจไม่หยุดจริงๆ


“มัวอึ้งอะไรอยู่ ยังไม่รีบให้ทุกคนลุกขึ้นมาอีก อยากจะให้พวกเขาคุกเข่านานๆ จนโมโหรึไง?” จินม่านกระซิบถ่ายทอดเสียงข้างหูท่านประมุขปราชญ์เหมียว


เหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงถามทันที “ข้าต้องพูดอะไรสักหน่อยรึเปล่า?”


จินม่านแอบตำหนิว่า “เจ้าดูไม่ออกเหรอว่าเขาทนความรำคาญไม่ได้แล้ว? ถ้าพูดมากต่อไประวังพวกเขาจะทำให้เจ้าหาทางลงไม่ได้นะ ถ้ามีคำพูดไร้สาระอะไรก็ค่อยเอาไว้พูดตอนหลัง ให้พวกเขาคุกเข่าผ่านด่านนี้ไปก่อน ต่อไปถ้าอยากจะพูดอะไรก็ยังมีโอกาส”


เหมียวอี้แอบด่าในใจว่า เป็นบ้าไปแล้วสินะ ในไม่เอทุกคนไม่เต็มใจ แล้วจะฝืนใจไปทำไม


ภายนอกยังคงเจียดรอยยิ้มออกมา ยกสองมือให้กลุ่มคนที่นั่งคุกเข่า “ทุกคนยืนเถอะ”


พวกเขายืนขึ้นอย่างรวดเร็วฉับไวมาก ไม่ได้ชักช้ายืดยาดเหมือนตอนจะคุกเข่า พอสิ้นเสียงเหมียวอี้ ทุกคนก็ยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว


หลังจากยืนขึ้น ชายชราที่อยู่ทางซ้ายมือของสืออวิ๋นเปียนก็กุมหมัดคารวะจินม่านทันที “ประมุขขุนพล ถ้าไม่มีอะไรอย่างอื่นจะกำชับแล้ว พวกเราขอตัวก่อน”


ไม่ขอคำชี้แนะจากเหมียวอี้ แต่กลับขอคำชี้แนะจากจินม่าน เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นเหมียวอี้อยู่ในสายตา ถ้าท่านประมุขปราชญ์เหมียวอยากจะกุมอำนาจทางทหารของลัทธิอู๋เลี่ยง ก็เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ต่อให้ตอนนี้จะอยู่ในตำแหน่งแล้ว แต่อำนาจทางทหารก็ยังอยู่ในมือจินม่านเหมือนกัน สิ่งนี้ไม่ใช่ว่าใครอยากจะรับช่วงต่อแล้วจะรับช่วงต่อได้


และแน่นอน เหมียวอี้เองก็ไม่ได้โมโหเลย เดิมทีเขาก็ไม่คิดว่าตัวเองควรจะได้ตำแหน่งนี้อยู่แล้ว และไม่เคยคิดเพ้อฝันว่าตัวเองจะได้นั่งตำแหน่งนี้อย่างมั่นคงด้วย


เมื่ออยู่ต่อหน้าคนจำนวนมาก จินม่านไว้หน้าเหมียวอี้เต็มที่ หันตัวมาขอคำชี้แนะจากเหมียวอี้ว่า “ไม่ทราบว่าประมุขปราชญ์ยังจะให้โอวาทอะไรอีกหรือไม่ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ก็ให้ทุกคนแยกย้ายไปทำงานของตัวเองได้”


เหมียวอี้พยักหน้า โบกมือให้ทุกคนที่อยู่ข้างล่างด้วยรอยยิ้มว่า “ทุกคนเชิญตามสะดวก เชิญตามสะดวก!”


มีคนไม่น้อยที่ไม่พูดพร่ำทำเพลง สะบัดแขนเสื้อหันตัวเดินออกไปอย่างคล่องแคล่วปราดเปรียว


เหมียวอี้พึมพำในใจว่า พิธีขึ้นครองตำแหน่งครั้งนี้ช่างเรียบง่ายจริงๆ แม้แต่ฉากหน้าก็ยังขี้เกียจจะรับมือ จับข้าขึ้นมาอยู่ตำแหน่งนี้เพราะคิดจะทำอะไรกันแน่?


จินม่านที่ยืนอยู่ข้างกันพลันตะคอกว่า “สืออวิ๋นเปียน อ๋าวเถี่ย กงซุนลี่เต้า พวกเจ้าสามคนอยู่ก่อน” สีหน้าเจือควาฒโกรธเคือง


ทุกคนที่เดินออกจากตำหนักใหญ่มาแล้วหันกลับมามองแวบหนึ่ง แล้วก็ทยอยอกันจากไป อีกสองคนที่มากับสืออวิ๋นเปียนหันตัวกลับมาพร้อมกัน พอทั้งสามคนหันตัวมา ชายชราผมขาวหนึ่งในนั้นก็ถามเสียงเรียกว่า “ประมุขขุนพลยังมีอะไรจะกำชับขอรับ?”


ชุดกระโปรงสีทองปลิวสะบัด จินม่านทิ้งเหมียวอี้เอาไว้ ก้าวเนิบนาบเดินลงมาจากบันได เข้าประชิดพร้อมจ้องทั้งสามด้วยแววตาแฝงความดุร้าย พร้อมถ่ายทอดเสียงบอกว่า “หลักการที่ควรจะพูดข้าก็พูดกับพวกเจ้าไปแล้ว เหตุผลที่ควรจะพูดข้าก็อธิบายกับพวกเจ้าไปแล้ว พวกเจ้าตอบตกลงเสียดิบดี ทำไมพอใกล้ถึงเวลาแล้วกลัวโค้งเอวไม่ลง? เห็นศักดิ์ศรีส่วนตัวสำคัญกว่า หรือเห็นชีวิตของพี่น้องหลายล้านสำคัญกว่า? ขนาดพวกเจ้าสามคนยังไม่ให้ความร่วมมือ แล้วกำลังพลเบื้องล่างจะยอมจำนนได้ยังไง?”


ทั้งสามเงียบงันไม่พูดอะไร เหมียวอี้ที่สัมผัสได้ถึงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์แอบครุ่นคิดว่าหัวโจกโจรกบฏพวกนี้กำลังวางแผนลับอะไรกัน


เมื่อเห็นทั้งสามไม่พูดอะไร จินม่านที่เดินมาถึงข้างกายพวกเขาก็หันตัวไปเผชิญหน้ากับเหมียวอี้ที่นั่งอยู่เบื้องสูง แล้วอธิบายให้ฟัง


นางชี้ไปที่สืออวิ๋นเปียน “สืออวิ๋นเปียน ขุนพลใหญ่สือ ประมุขปราชญ์รู้จักอยู่แล้ว”


จากนั้นก็ย้ายไปชี้ที่ชายชราผมขาว “คนนี้คือกงซุนลี่เต้า ขุนพลใหญ่กงซุน”


จากนั้นก็ชี้ไปที่ชายชราชุดดำอีกคนที่รูปร่างผอมแห้ง “คนนี้คืออ๋าวเถี่ย ขุนพลใหญ่อ๋าว”


สุดท้ายก็เก็บมือแล้วกล่าวสรุปว่า “ลัทธิอู๋เลี่ยงของพวกเรา มีขุนพลใหญ่ทั้งหมดห้าคน ยังมีอีกสองคนที่กำลังเฝ้าบัญชาการเพื่อป้องกันไม่ให้โจรกบฏลอบโจมตี ตอนนี้จึงยังไม่สะดวกจะมาคารวะประมุขปราชญ์ คนหนึ่งชื่อซือถูฉิงหลัน อีกคนชื่อไห่ยวนเค่อ ขุนพลใหญ่ทั้งห้าล้วนเป็นยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ เป็นเสาหินที่แข็งแกร่งของลัทธิอู๋เลี่ยง ระดับรองลงมาก็มีขุนพลอีกยี่สิบแปดคน ล้วนเป็นกำลังหลักของอู๋เลี่ยงที่มีคุณสมบัติในการเข้าร่วมประชุมที่ตำหนักปราชญ์ ทั้งหมดเป็นยอดฝีมือระดับบงกชกลายเช่นกัน วันนี้มาไม่ครบก็เพราะรับมือกับโจรกบฏ วันหลังถ้ามีเวลาค่อยให้พวกเขามาเข้าพบและคารวะประมุขปราชญ์”


จุจุ! เรามีลูกสมุนเป็นยอดฝีมือตั้งเยอะแยะราวกับเมฆที่ลอยบนท้องฟ้า! เหมียวอี้ที่นั่งอยู่เบื้องบนแอบสะใจ แล้วโบกมือกล่าวกลัวหัวเราะว่า “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร”


ท่าทางเหมือนพระ ‘อามิตาพุทธ’ ที่ว่าอย่างไรก็ว่าตามนั้นของเขาทำให้พวกสืออวิ๋นเปียนต่างคนต่างเบี่ยงหน้าไปทางอื่น ยิ่งดูถูกท่านประมุขปราชญ์เหมียวมากขึ้นเรื่อยๆ


จินม่านเหลือบมองพวกเขาแวบหนึ่ง แล้วพูดต่อว่า “ตอนนี้ลัทธิอู๋เลี่ยงมีกำลังพลเหือบหนึ่งล้านสี่แสน แต่ที่ปะรกาศบอกกำลังพลเบื้องล่างคือทักใหญ่หกล้าน มีเพียงขุนพลที่อยู่ในตำหนักปราชญ์เท่านั้นที่รู้จำนวนกำลังพลที่แท้จริง รวมหกลัทธิมีกำลังพลทั้งหมดประมาณแปดล้านกว่า แต่สิ่งที่บอกกับทั้งภายในและภายนอกก็คือทัพใหญ่สี่สิบล้าน”


เหมียวอี้ตะลึงนิดหน่อย ภายใต้ความอยากรู้อยากเห็น เขาอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ทำไมต้องรายงานเท็จเรื่องกำลังพล?”


จินม่านอธิบายว่า “ประการแรกก็เพื่อจะเพิ่มขวัญกำลังใจทหาร รักษาความเชื่อใจของทุกคนเอาไว้ ให้พี่น้องกำลังพลเบื้องล่างรู้ว่าพวกเรายังมีศักยภาพที่จะผงาดขึ้นมาอีกครั้ง ประการต่อมา ถึงอย่างไรมากคนก็มากปาก ไม่กล้ารับประกันว่าในหกลัทธิมีสายลับของโจรกบฏซ่อนอยู่หรือไม่ การประกาศว่ามีทัพใหญ่สี่สิบล้านก็เป็นการทำให้ทำให้โจรกบฏเกรงกลัวอย่างหนึ่งเหมือนกัน ทำให้โจรกบฏไม่กล้าบุกเข้ามาง่ายๆ เพื่อรับประกันว่าข่าวจะไม่รั่วไหล ปกติแล้วกำลังพลทัพใหญ่จะถูกแบ่งควบคุมโดยขุนพลแต่ละคน พี่น้องทหารระดับล่างมองไม่เห็นจำนวนกำลังพลโดยรวม ก็ย่อมไม่รู้ความจริงชัดเจน และของวิเศษที่ใช้ติดต่ออย่างพวกระฆังดาราก็ถูกจำกัดใช้อย่างเข้มงวด แจกให้ตอนออกรบ หลังจากรบเสร็จก็เก็บกลับมารวบรวมไว้ทันที”


“อ้อ!” เหมียวอี้พยักหน้าซ้ำๆ เหมือนเข้าใจ แต่ในใจกลับสงสัย ว่าโจรกบฏกลุ่มนี้คิดจะก่อเรื่องแบบไหนกันแน่ ขนาดความลับแบบนี้ยังเอามาบอกข้า อย่าบอกนะว่าเห็นข้าเป็นประมุขปราชญ์อะไรนั่นแล้วจริงๆ? อีกประเดี๋ยวถ้าสืบเจอว่าข้าเป็นผู้บัญชาการของตำหนักสวรรค์ จะไม่ถลกหนังข้าทั้งเป็นเหรอ


หลังจากจินม่านแนะนำสถานการณ์คร่าวๆ ของที่นี่ให้ฟังแล้ว นักพรตเต๋าชรากงซุนลี่เต้าก็ถามว่า “ประมุขขุนพล ถ้าไม่มีเรื่องอื่นแล้ว พวกเราขอตัวก่อนนะ”


จินม่านไม่สนใจอีก หันตัวมามองเหมียวอี้ที่นั่งอยู่เบื้องสูง เขาไม่พูดอะไร ให้ทั้งสามจัดการเองตามสะดวก


พวกสืออวิ๋นเปียนมองหน้ากันครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยังต้องแข็งใจกุมหมัดคารวะเหมียวอี้ “ประมุขปราชญ์ ถ้าไม่มีอะไรกำชับแล้ว พวกข้าน้อยก็ขอตัวก่อน”


เหมียวอี้หรี่ตายิ้มแสดงความปรารถนาดีทันที พยักหน้าเหมือนไก่จิกข้าวสาร “ตามสบายๆ เชิญตามสบาย”


ทั้งสามถอยออกไปพร้อมกันตามธรรมเนียม เสร็จแล้วถึงได้หันตัวเดินออกไปอย่างแน่วแน่


หลังจากมองคล้อยทั้งสามคนนั้นเดินออกไปแล้ว เหมียวอี้ถึงได้ลุกขึ้นยืนอย่างโล่งอก แล้วสาวเท้าเดินลงบันได กุมหมัดคาระวะจินม่าน “ประมุขขุนพล ยังมีอะไรจะกำชับอีกมั้ย?”


“เจ้า…” จินม่านพยายามข่มไฟโกรธเอาไว้ ทำหน้านิ่งพร้อมขบเขี้ยวเคี้ยวฟันบอกว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าต้องจำเอาไว้ เจ้าคือประมุขปราชญ์อู๋เลี่ยง ประมุขปราชญ์ก็ต้องมีมาดของประมุขปราชญ์ที่มองลงมาจากที่สูง อย่าเห็นใครก็เกรงใจเหมือนตัวเองเป็นคนต่ำต้อย อย่าลดฐานะตัวเอง ไม่อย่างนั้นจะทำให้ทั้งลัทธิเต๋าอู๋เลี่ยงเสียหน้า ฟังเข้าใจหรือยัง?”


ในใจเหมียวอี้ทักทายบรรพบุรุษของนางสิบแปดรุ่นแล้ว เขาเองก็อยากจะแข็งกร้าวเหมือนกัน แต่จะให้นักพรตบงกชทองอย่างเขาวางมาดกับนักพรตพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพยังไงล่ะ? ทั้งยังมีกลุ่มชายชราที่มีวรยุทธ์ระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพด้วย แต่ละคนมองเขาแบบไม่ถูกชะตา อยากจะวางมาดหรืออยากจะรนหาที่ตายกันแน่? เห็นข้าเป็นคนโง่รึไง?


เหมียวอี้ก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะอยากจะให้ตนเป็นประมุขปราชญ์อะไรนั่นจริงๆ หรอก พยักหน้าอย่างรู้สถานการณ์มากว่า “เข้าใจๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นข้าเป็นประมุขปราชญ์ เมื่อไม่มีคนอื่น เหมียวอี้จะเชื่อฟังคำสั่งประมุขขุนพลแน่นอน ถ้าประมุขขุนพลมีอะไรจะยืมปากเหมียวอี้ให้พูดก็บอกมาได้เลย เหมียวอี้จะเชื่อฟัง…” เขาเข้าใจความหมายผิดแล้ว ขณะเดียวกันก็กำลังแสดงจิตใจที่ซื่อสัตย์ แสดงว่าตัวเองเป็นคนไร้อำนาจ เจ้าต่างหากที่มีอำนาจตัดสินใจเกี่ยวกับลัทธิเต๋าอู๋เลี่ยงนี้


เพื่อที่จะมีชีวิตรอด ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีผลกระทบร้ายแรงต่อภาพรวม เจ้าเวรนี่ก็รียกได้ว่าค่อนข้างอยู่เป็น กลับไม่รู้สึกเสียหน้าสักนิดเมื่อลดตัวต่อหน้าคนพวกนี้ รอให้ข้าหาทางกลับไปได้ก่อนเถอะ แล้วค่อยคิดหาทางนำทัพของตำหนักสวรรค์มาล้อมปราบ จะคิดบัญชีทุกรายการอย่างดีเลย


ดังนั้นคำพูดจึงเงียบลงกะทันหัน จินม่านดึงคอเสื้อของเขาเอาไว้ ในแววตาเต็มไปด้วยความโกรธเคือง เหมือนอยากจะตบเหมียวอี้ให้ตายด้วยฝ่ามือเดียว แต่พอเห็นชุดจักรวาลบนตัวเหมียวอี้ นางก็สะบัดแขนเสื้อออกอย่างแรง ฝืนระงับความโกรธเอาไว้ พูดเน้นย้ำต่อหน้าทีละคำว่า “ข้าจะบอกเจ้าแบบจริงจังเลยนะ เจ้าคือประมุขปราชญ์ที่อยู่เหนือคนหมื่นนับล้าน ไม่มีใครควบคุมอยู่ด้านบนของเจ้า ตรงนี้ไม่มีใครคิดจะใช้ประโยชน์เจ้าทั้งนั้น!”


เหมียวอี้ที่รู้สึกเหมือนหนีพ้นจากความตายพยักหน้าตอบทันที “เข้าใจๆ”


เข้าใจบ้าอะไรล่ะ แค่ดูจากท่าทางก็รู้แล้วว่าตอบแบบขายผ้าเอาหน้ารอด ความสุภาพอ่อนโยนของจินม่านหายไปหมดสิ้นทันที แทบจะคำรามถามออกมาว่า “เจ้าเข้าใจอะไร?”


เหมียวอี้ไม่เข้าใจจริงๆ จะพูดอะไรก็ผิดไปหมด ถ้าอ้อมค้อมต่อไปจะต้องโดนปลิดชีพแน่ จึงถอนหายใจแล้วถามทันที “ประมุขขุนพล ท่านบอกมาตรงๆ เถอะ เจ้าอยากจะให้ข้าทำอะไรกันแน่ เดี๋ยวข้าทำตามก็สิ้นเรื่องแล้ว”


…………………………


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)