เทพปีศาจหวนคืน 1228-1235
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1228 ราชันมังกร
แปลโดย iPAT
ไป่หนิงปิงรู้ว่าจิตวิญญาณแผ่นดินหรือจิตวิญญาณสวรรค์เกิดจากเจตจำนงของผู้อมตะที่หลอมรวมกับปราณสวรรค์พิภพ พวกมันเป็นการดำรงอยู่ที่ลึกลับ
เนื่องจากจิตวิญญาณแผ่นดินหรือจิตวิญญาณสวรรค์มีต้นกำเนิดมาจากเจตจำนงของผู้อมตะ ดังนั้นพวกมันจึงไม่สามารถโกหก
อย่างไรก็ตามแม้จิตวิญญาณแผ่นดินหรือจิตวิญญาณสวรรค์จะไม่สามารถโกหก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกมันไม่สามารถกล่าวเรื่องไร้สาระ
หากจิตวิญญาณแผ่นดินหรือจิตวิญญาณสวรรค์ได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง พวกมันสามารถกล่าวตามความเชื่อส่วนตัว นั่นไม่ถือว่าเป็นเรื่องโกหก
คำกล่าวของจิตวิญญาณสวรรค์ไป่เซียงยังไม่สามารถเชื่อถือได้
โป้ชิงคือโป้ชิงเพราะเขาเป็นคนประเภทที่หาได้ยากในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
ฉายาของโป้ชิงคือสิ่งใด?
เทพอมตะเทียมที่แยกห้าภูมิภาคด้วยดาบของเขา โชคดีของผู้คนทั้งโลกที่ความรักทำให้เขาเปลี่ยนไป
เขาได้รับการยอมรับจากผู้อมตะทั้งหมดว่าเป็นตัวตนอันดับหนึ่งภายใต้ผู้อมตะระดับเก้า
บุคคลเช่นนี้มีความโดดเด่นและส่องประกายเช่นเดียวกับดวงจันทร์ในยามค่ำคืน ในประวัติศาสตร์มีอัจฉริยะอยู่มากมาย แต่ตัวตนระดับโป้ชิงจะไม่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ได้อย่างไร?
ไป่หนิงปิงเต็มไปด้วยความสงสัย
จิตวิญญาณสวรรค์ไป่เซียงไม่ได้ตอบคำถามไป่หนิงปิงแต่ถาม “นายน้อย ชีวิตของท่านตกอยู่ในอันตราย เราสามารถใช้วิธีหลอมรวมวิญญาณเปลี่ยนเป็นมนุษย์มังกรเพื่อแก้ไขวิกฤตของท่าน”
“อย่างไรก็ตามวิธีนี้ค่อนข้างอันตราย”
จิตวิญญาณสวรรค์ไป่เซียงขมวดคิ้วก่อนจะถอนหายใจกล่าว “ท่านต้องรู้ว่าวิธีนี้มีเงื่อนไขที่เข้มงวดมาก กระทั่งผู้เชี่ยวชาญบนเส้นทางแห่งการหลอมรวมยังต้องพิจารณาพลังงานแห่งเต๋าทั้งหมดที่อยู่ในทรัพยากรแต่ละชนิดอย่างละเอียดถี่ถ้วน”
“วิธีการหลอมรวมวิญญาณมนุษย์เปลี่ยนเป็นมังกรใช้ตัวผู้อมตะเป็นวัสดุในการหลอมรวม แต่มันจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลเพราะผู้อมตะแต่ละคนมีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าที่แตกต่างกัน ดังนั้นวิธีการหลอมรวมนี้จึงมีโอกาสประสบความสำเร็จค่อนข้างต่ำ”
“หากนายน้อยมีสุดยอดกายาสายฟ้าแห่งความรุ่งโรจน์หรือบ่มเพาะอยู่บนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง นั่นจะช่วยเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จ แต่ท่านกลับมีสุดยอดกายาน้ำแข็งแห่งความมืด”
“เห้อ…หากท่านใช้วิธีนี้ มีโอกาสน้อยมากที่จะรอดชีวิต ระหว่างการหลอมรวมวิญญาณ พลังงานแห่งเต๋าทั้งหมดของท่านจะได้รับผลกระทบ นายน้อย ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งหิมะและน้ำแข็งของท่านอาจหายไปอย่างสมบูรณ์”
ดวงตาของไป่หนิงปิงส่องประกายขึ้น
‘หากร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งหิมะและน้ำแข็งของข้าหายไป แล้วข้อตกลงพันธมิตรบนเส้นทางแห่งข้อมูลที่ผูกมัดข้าอยู่จะหายไปด้วยหรือไม่?’
นี่เป็นสิ่งที่รบกวนจิตใจของเขาตลอดมา
ย้อนกลับไปที่ภูเขาชิงเหมาของภาคใต้ เนื่องจากวิญญาณกงล้อหยินหยาง เขาเปลี่ยนจากชายกลายเป็นหญิง ตอนนี้เมื่อเขาใช้มิติช่องว่างเทียม เขาจะเปลี่ยนเป็นผู้อมตะ ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงจะถูกกดทับทำให้เขากลายเป็นผู้ชายอีกครั้ง หากเขาไม่ใช้มิติช่องว่างเทียมและกลับเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับมนุษย์ ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงจะทำให้เขากลายเป็นผู้หญิง
แน่นอนว่าข้อตกลงพันธมิตรบนเส้นทางแห่งข้อมูลของนิกายเงาเป็นสิ่งที่ทำให้ไป่หนิงปิงรู้สึกหงุดหงิดมากที่สุด
ไป่หนิงปิงเป็นคนที่ยอมก้มศีรษะให้ผู้อื่นงั้นหรือ?
ตลอดมาเขาเพียงไม่มีวิธีที่จะทำให้ตนเองหลุดพ้นจากสถานการณ์นี้เท่านั้น
“ข้าจะทำ!” ไป่หนิงปิงตัดสินใจโดยไม่ลังเล
…..
ภาคกลาง วังสวรรค์
ผู้อมตะหญิงถือวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลเอาไว้ในมือและตรวจสอบมันอย่างระมัดระวัง
นางมีรูปร่างที่สง่างามในชุดคลุมสีม่วง เส้นผมของนางยาวลงมาจนถึงเอว ดวงตาของนางเหมือนบ่อน้ำลึก ขณะที่ใบหน้าดูโศกเศร้าเล็กน้อย
นางก็คือผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาที่ดำรงตำแหน่งแทนเจ้าวังสวรรค์คนก่อนเป็นการชั่วคราว เทพธิดาจื่อเว่ย!
นางดึงความสนใจกลับมาจากวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลและเผยรอยยิ้มบาง
“วิญญาณแห่งความรักยอมรับจ้าวเหลียนหยุนงั้นหรือ? น่าสนใจ”
เทพธิดาจื่อเว่ยไม่แปลกใจ
นางรู้ความลับทางประวัติศาสตร์มากมาย วิญญาณแห่งความรักไม่สามารถควบคุม ในอดีตมันตระหนักถึงความรู้สึกของมนุษย์หมึกโม่เหยาและตอนนี้มันจะแปลกอันใดหากมันจะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของปีศาจต่างโลกจ้าวเหลียนหยุน?
“ผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายคฤหาสน์วิญญาณไม่สามารถตัดสินใจเรื่องนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงผลักความรับผิดชอบมาให้ข้า?”
เทพธิดาจื่อเว่ยถอนหายใจกับตัวเอง
นิกายคฤหาสน์วิญญาณอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ดีนัก
ผีดิบอมตะโป้ชิงเข้าร่วมกับนิกายเงาและต่อสู้กับวังสวรรค์ที่ภูเขาอี้เทียน และต้องไม่ลืมว่าในอดีตโป้ชิงเคยเป็นสมาชิกของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ ดังนั้นหลังจากการต่อสู้บนภูเขาอี้เทียนสิ้นสุดลง นิกายคฤหาสน์วิญญาณจึงได้รับแรงกดดันที่ยิ่งใหญ่
ตอนนี้ผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายคฤหาสน์วิญญาณไม่กล้าตัดสินใจยกตำแหน่งผู้นำนิกายรุ่นต่อไปให้กับจ้าวเหลียนหยุน
การผลักปัญหาที่ยากลำบากนี้ให้กับเทพธิดาจื่อเว่ยจะทำให้พวกเขาสามารถหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ
แต่เทพธิดาจื่อเว่ยไม่โกรธ
เพราะนางเป็นบุคคลที่มาจากนิกายคฤหาสน์วิญญาณ
เทพธิดาจื่อเว่ยเคยเป็นสมาชิกของนิกายคฤหาสน์วิญญาณแต่เพราะพรสวรรค์อันโดดเด่นของนาง นางจึงได้รับการยอมรับจากวังสวรรค์
แม้นิกายโบราณทั้งสิบจะเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของวังสวรรค์ แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ไม่ง่ายเหมือนเจ้านายกับลูกน้อง
เนื่องจากผู้อมตะของวังสวรรค์ส่วนใหญ่มาจากนิกายโบราณทั้งสิบ หลายคนยังไม่ลืมรากเหง้าของตนเอง เมื่อบุตรหลานของพวกเขาหรือสมาชิกนิกายเดิมของพวกเขาเข้าสู่วังสวรรค์ พวกเขาจะกลายเป็นพันธมิตรทางการเมืองโดยธรรมชาติ
ดังนั้นเทพธิดาจื่อเว่ยจึงยินดีแก้ปัญหาให้กับนิกายคฤหาสน์วิญญาณ
ในความเป็นจริงเทพธิดาจื่อเว่ยกับเทพธิดาไป่ชิงมีความสัมพันธ์ทางสายเลือด
และเทพธิดาไป่ชิงเป็นมารดารของฟงจินฮวงที่กำลังแย่งชิงตำแหน่งผู้นำนิกายกับจ้าวเหลียนหยุน
หากผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายคฤหาสน์วิญญาณยอมรับจ้าวเหลียนหยุน ฟงจินฮวงจะพ่ายแพ้ในการชิงตำแหน่งผู้นำรุ่นต่อไป ดังนั้นพวกเขาจึงส่งปัญหานี้ให้กับเทพธิดาจื่อเว่ยและปล่อยให้นางเป็นผู้ตัดสินใจ
แต่ปัญหานี้เป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับนาง
เทพธิดาจื่อเว่ยกำลังจะใช้วิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลตอบจดหมายแต่ในจังหวะนี้นางกลับรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนบางอย่าง
การสั่นสะเทือนนี้ค่อยๆรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
เทพธิดาจื่อเว่ยผุดลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ
นางตกตะลึง
เพราะตอนนี้นางอยู่ในวังสวรรค์ ที่นี่เป็นสถานที่สำคัญและมีการป้องกันที่หนาแน่น แล้วการสั่นสะเทือนนี้หมายถึงสิ่งใด?
การสั่นสะเทือนยังดำเนินต่อไปและดึงดูดความสนใจของผู้อมตะจำนวนมาก
ยายชาหยุดหลอมรวมวิญญาณและแสดงออกด้วยความตกใจ
เว่ยหลินหยางเดินออกมาจากห้องของเขาและมองไปรอบๆ
เทพธิดาจื่อเว่ยไม่สามารถนิ่งเฉยอีกต่อไป นางออกจากห้องและได้ยินเสียงคำรามของมังกร
เสียงคำรามของมังกรดังขึ้นเรื่อยๆ
ภายใต้การจ้องมองที่ตกตะลึงของเทพธิดาจื่อเว่ย เสาแสงรูปมังกรพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าจากส่วนลึกของวังสวรรค์
“ที่นั่น! สุสานอมตะ? อย่าบอกว่าผู้อาวุโสบางคนตื่นขึ้น!” เทพธิดาจื่อเว่ยขมวดคิ้ว
เป็นเพียงเวลานี้ที่ยายชาและเว่ยหลินหยางมาหานาง
“มันเกิดขึ้นที่สุสานอมตะ มันต้องเป็นผู้อาวุโสบางคนที่ตื่นขึ้น แต่เป็นผู้ใด?” ยายชาคาดเดา
เว่ยหลินหยางกล่าว “สุสานอมตะทั้งลึกลับและไม่อาจหยั่งรู้ กระทั่งพวกเราก็ไม่รู้ว่ามีผู้อมตะจำศีลอยู่ที่นั่นมากเท่าใด แต่แรงสั่นสะเทือนระดับนี้สามารถบอกได้ว่าผู้อาวุโสที่ตื่นขึ้นต้องไม่ธรรมดา”
ยายชาพยักหน้า นางเคยตื่นขึ้นเช่นกัน แต่เมื่อนางตื่นขึ้น วังสวรรค์ยังเงียบสงบมาก สถานการณ์แตกต่างจากตอนนี้อย่างสิ้นเชิง
เทพธิดาจื่อเว่ยสูดหายใจลึก “เราจะรู้หากไปดู”
ผู้อมตะทั้งสามบินไปยังสุสานอมตะเพียงเพื่อพบกับหลุมขนาดใหญ่บนทุ่งหญ้า
ในหลุมมีชายชราร่างกายเหี่ยวแห้งและอ่อนแอนอนอยู่
ชายชราเห็นผู้อมตะทั้งสามและเริ่มเปิดปากกล่าวอย่างยากลำบาก “น้ำ…น้ำ…”
เทพธิดาจื่อเว่ยเดินไปข้างหน้าและรีบใช้วิธีรักษาของนาง
ยายชาและเว่ยหลินหยางมองหน้ากัน
เหตุการณ์นี้ค่อนข้างประหลาด
“วิธีรักษาของข้าไม่ได้ผล” เทพธิดาจื่อเว่ยขมวดคิ้วกล่าว
เว่ยหลินหยางรีบเดินเข้าไปและใช้วิธีการทั้งหมดของเขาแต่ยังไร้ผล
เว่ยหลินหยางกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ไม่ดีแล้ว ร่างกายของผู้อาวุโสผู้นี้แปลกมาก วิธีการของข้าไม่ได้ผล พลังชีวิตของผู้อาวุโสกำลังลดลงอย่างรวดเร็ว เขาจะตายภานยในไม่กี่นาที”
ดวงตาของเทพธิดาจื่อเว่ยส่องประกายขึ้น “ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสกล่าวว่าน้ำ มันต้องเป็นวิธีช่วยเขา น้ำธรรมดาใช้ไม่ได้ แต่เขาต้องการน้ำชนิดใด?”
ยายชาเป็นผู้เชี่ยวชาญบนเส้นทางแห่งการหลอมรวม นางกล่าว “มีไฟสามชนิดบนโลกใบนี้และมีน้ำสามชนิดที่เป็นทรัพยากรอมตะระดับเก้า วังสวรรค์มีพวกมันเก็บไว้ทั้งหมด เราต้องนำพวกมันมาที่นี่”
แต่น้ำทั้งสามชนิดยังไร้ประโยชน์
ชายชราแทบไม่สามารถหายใจ เขากำลังจะตาย
ผู้อมตะทั้งสามกังวลมากแต่พวกเขาควรทำอย่างไร?
เทพธิดาจื่อเว่ยชี้นิ้วไปที่ศีรษะของชานยชรา “หน้าผากของผู้อาวุโสมีติ่งเหมือนหินอยู่สองข้าง พวกมันคือสิ่งใด?”
ยายชาเกิดแรงบันดาลใจขึ้นทันที “ข้ารู้แล้วว่ามันคือน้ำชนิดใด!”
นางหยิบวารีมังกรสวรรค์ที่แท้จริงออกมาและเททรัพยากรอมตะระดับแปดนี้ลงในปากของชายชรารา
เมื่อชายชราได้รับน้ำชนิดนี้ พลังชีวิตของเขาพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วขณะที่ร่างกายเริ่มขยายขึ้น ในไม่ช้าเขาก็สามารถดื่มน้ำชนิดนี้ได้ด้วยตนเอง
ผลลัพธ์ปรากฏทันที!
ผู้อมตะทั้งสามมีความสุขมาก
หลังจากชายชราดื่มวารีมังกรสวรรค์ที่แท้จริงเข้าไปจำนวนหนึ่ง เขาก็ผลักมือยายชาออกไป
ยายชาเข้าใจและหยุดให้น้ำกับเขา
ชายชราลุกขึ้นยืนด้วยร่างกายที่ยังสั่นเทา
เขาแตกต่างจากก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง
ตอนนี้เขาดูแข็งแรงขึ้นมาก
เขาเปิดเปลือกตาขึ้นและมองผู้อมตะทั้งสามก่อนจะถอนหายใจ “นี่เป็นครั้งครั้งสุดท้ายที่ข้าสามารถตื่นขึ้น วารีมังกรสวรรค์ที่แท้จริงไม่มีประโยชน์อีกต่อไป ข้าสัมผัสได้ว่าบางคนกำลังใช้วิธีหลอมรวมวิญญาณมนุษย์เปลี่ยนเป็นมังกร ข้าได้กลิ่นร่องรอยเล็กๆของโชคชะตา ข้าไม่มีทางเลือกนอกจากต้องตื่นขึ้น”
“ท่าน…ท่านคือราชันมังกร!?” เทพธิดาจื่อเว่ยเบิกตากว้างและรู้สึกพูดไม่ออก
“นั่นคือข้า”
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1229 วิญญาณแห่งความรัก (1)
แปลโดย iPAT
จ้าวเหลียนหยุนตื่นขึ้นในห้องลับเล็กๆแห่งหนึ่ง
“ที่นี่ที่ใด?” นางเปิดเปลือกตาขึ้นและรู้สึกมึนงง
ห้องลับแห่งนี้ค่อนข้างมืดสลัว มีเพียงเทียนเล่มเดียวที่ถูกจุดไว้และทำให้จ้าวเหลียนหยุนแทบไม่สามารถมองเห็นสิ่งใด
“มานี่สิ” เสียงสูงวัยสายหนึ่งดังขึ้น
จ้าวเหลียนหยุนเดินไปตามทิศทางของเสียง
เมื่อนางเข้าใกล้มากขึ้น นางก็เห็นหญิงชราผู้หนึ่ง
นางคือผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ
ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งมองจ้าวเหลียนหยุนอย่างลึกซึ้งก่อนจะหันสายตาไปที่วิญญาณแห่งความรักที่เกาะอยู่บนไหล่ของเด็กสาว
“คุกเข่าลง” ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งกล่าว
เสียงของนางทรงอำนาจและทำให้ผูคนรู้สึกต้องเชื่อฟังคำสั่งของนาง
ดังนั้นจ้าวเหลียนหยุนจึงก้มศีรษะลงและเห็นเบาะวางอยู่บนพื้น
นางคุกเข่าลงบนเบาะ ร่างกายส่วนบนของนางตั้งตรงขณะที่นางมองไปที่หญิงชรา
หญิงชรากล่าว “จงมองไปข้างหน้า”
จ้าวเหลียนหยุนมองไปข้างหน้าและรู้สึกว่าห้องลับเริ่มสว่างขึ้น จ้าวเหลียนหยุนอ้าปากค้างขณะที่ดวงตาเบิกกว้าง
เพราะนางเห็นป้ายหยกจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่บนผนัง
“นี่คือวิญญาณป้ายหยกแห่งชีวิต มันเป็นชื่อของผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณทั้งหมดตั้งแต่รุ่นที่หนึ่งจนถึงปัจจุบัน…” ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งกล่าวอย่างช้าๆ
จ้าวเหลียนหยุนสูดหายใจลึกและรู้สึกตื่นตากับสิ่งที่เห็น
ที่มุมบนด้านซ้ายเป็นชื่อของผู้นำนิกายรุ่นแรก ซุ้ยหนี่
ผู้นำรุ่นที่สอง ซุ้ยหยู
ผู้นำรุ่นที่สาม ซุ้ยซิน
นางยังเห็นชื่อโม่เหยา เหลียนเซียง และอีกหลายคนที่นางรู้สึกคุ้นเคย
จ้าวเหลียนหยุนมองชื่อเหล่านี้ด้วยความตื่นเต้น นางเหมือนเด็กที่กำลังจ้องมองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาวจำนวนนับไม่ถ้วน
นางรู้ว่าคนเหล่านี้ล้วนเป็นดวงดาวของโลกผู้อมตะ ผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณทุกรุ่นมีชื่อเสียงโด่งดังในทุกยุคสมัย พวกเขาทำให้นิกายคฤหาสน์วิญญาณเจิดจรัสและรุ่งเรืองมากตลอดช่วงเวลาอันยาวนาน
จ้าวเหลียนหยุนรู้สึกงุนงงขณะที่ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งกล่าวต่อ “ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปเจ้าคือผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณ ป้ายหยกแห่งชีวิตของเจ้าอยู่ที่นั่นแล้ว”
ร่างกายของจ้าวเหลียนหยุนกลายเป็นแข็งค้าง
นางจ้องมองด้วยดวงตาเบิกกว้างและกล่าวด้วยความสงสัย “เป็นไปได้อย่างไร? ข้ากำลังฝันอยู่หรือไม่? ตามกฎของนิกาย ข้ายังไม่มีคุณสมบัติ…”
นางยังกล่าวไม่จบประโยคขณะที่นางนึกถึงบางสิ่งและหันหน้าไปทางวิญญาณที่อยู่บนไหล่ “เป็นเพราะวิญญาณดวงนี้งั้นหรือ?”
ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งพยักหน้าเล็กน้อย “นี่คือวิญญาณแห่งความรัก ตอนนี้มันยอมรับเจ้าแล้ว”
เมื่อนางตื่นขึ้น นางก็อยู่ในห้องลับแห่งนี้แล้ว นางไม่แน่ใจว่าวิญญาณแห่งความรักเป็นอย่างไร แต่นางรู้ว่าวิญญาณแห่งความรักเป็นวิญญาณที่มีความสำคัญกับนิกายคฤหาสน์วิญญาณ
“นี่คือวิญญาณแห่งความรัก!?” จ้าวเหลียนหยุนอุทานเสียงแหลม
ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งพยักหน้าอีกครั้ง
จ้าวเหลียนหยุนรู้สึกมีความสุข แต่ความสุขนี้กะทันหันเกินไป มันยอดเยี่ยมเกินไป นั่นทำให้นางเริ่มกังวลและไม่สบายใจ
นางกลัวว่าทุกสิ่งจะไม่ใช่เรื่องจริงแต่เป็นความฝัน
ดังนั้นนางจึงเริ่มถามด้วยความประหม่า “เพราะเหตุใด?”
เหตุใดวิญญาณแห่งความรักถึงเลือกนาง?
เหตุใดนางถึงกลายเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณ?
เหตุใดเรื่องทั้งหมดนี้ถึงเกิดขึ้น?
ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งไม่ตอบ นางถอนหายใจก่อนจะกล่าวอย่างช้าๆ “เจ้าเคยอ่านตำนานมนุษย์คนแรกหรือไม่? มีบทหนึ่งกล่าวไว้”
เมื่อมนุษย์ได้รับวิญญาณแห่งความรัก วิญญาณความเด็ดเดี่ยว และวิญญาณทรยศ เขาสามารถเดินหน้าต่อไป
วันหนึ่งเขาได้ยินเสียงมาจากด้านหลัง “โอ้ มนุษย์ ในที่สุดข้าก็พบเจ้า ช้าก่อน รอข้าด้วย”
มนุษย์คนแรกหันหลังกลับเพื่อพบกับมนุษย์หิมะที่วิ่งเข้ามาหาเขา
“มนุษย์หิมะ?” มนุษย์คนแรกสงสัย
มนุษย์หิมะกล่าว “โอ้ มนุษย์ ในที่สุดข้าก็พบเจ้า ข้าเป็นมนุษย์หิมะที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่า พวกเขากล่าวว่ามนุษย์หิมะกลัวไฟ ข้าต้องการพิสูจน์ว่ามันไม่เป็นความจริง ข้าเดินทางไปทั่วโลกและสามารถกำหราบแสงแห่งความรุ่งโรจน์ที่อยู่บนท้องฟ้า เพลิงเทพปฐพีบนพื้นพิภพ และเพลิงมังกรล่องคลื่นในทะเล แต่ข้าได้ยินว่ามีเพลิงชนิดที่สี่อยู่บนโลกใบนี้ มันเรียกว่าเพลิงรัก เมื่อถูกเผาผลาญ มันจะเปลี่ยนรูปแบบชีวิตทั้งหมดให้กลายเป็นเถ้าถ่าน ข้าไม่เชื่อมัน ข้าได้ยินมาว่าเจ้ามีวิญญาณแห่งความรัก ดังนั้นข้าจึงต้องการทดลองมัน”
“เพลิงรัก?” มนุษย์คนแรกประหลาดใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเรื่องนี้
ดังนั้นเขาจึงนำวิญญาณแห่งความรักออกมาและถาม “โอ้ วิญญาณ เจ้าสามารถปลดปล่อยเพลิงรักออกมาหรือไม่?”
วิญญาณแห่งความรักตอบ “ข้าสามารถและไม่สามารถ”
มนุษย์คนแรกและมนุษย์หิมะรู้สึกสับสน พวกเขาถามต่อ “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
วิญญาณแห่งความรักอธิบาย “ข้าสามารถเพราะข้าเป็นผู้จุดเพลิงรัก แต่ข้าไม่สามารถเพราะเพียงตัวข้ายังไม่พอแต่ต้องมีหัวใจสองดวง”
“หัวใจสองดวง?” มนุษย์หิมะกังวล นางถอดหัวใจออกมาจากหน้าอก
หัวใจดวงนี้ทั้งใหญ่และแข็ง
มนุษย์หิมะกล่าว “นี่คือหัวใจจักรพรรดินีของข้า แต่น่าเสียดายที่มีเพียงดวงเดียว”
มนุษย์กล่าว “ไม่จำเป็นต้องกังวล ข้าก็มีหัวใจดวงหนึ่ง”
มนุษย์คนแรกเคยมีหัวใจดวงหนึ่งแต่เขามอบมันให้กับวิญญาณแห่งความหวังไปแล้ว
ต่อมาเขาได้รับหัวใจแห่งความเดียวดายแต่วิญญาณตัวตนครอบครองมันอยู่
เขามีหัวใจที่แห้งแล้งเช่นกัน
ดังนั้นเขาจึงนำมันออกมา
หัวใจที่แห้งแล้งทั้งเหี่ยวแห้งและอ่อนแอ นี่เป็นเพราะครั้งหนึ่งมนุษย์คนแรกเคยใช้เลือดจากหัวใจในเหวธรรมดาเพื่อหล่อเลี้ยงต้นไม้แห่งความสำเร็จ
วิญญาณแห่งความรักบินเข้าไปในหัวใจที่แห้งแล้งก่อนจะบินเข้าไปในหัวใจจักรพรรดินีและบินกลับออกมา
มันบินขึ้นสู่ท้องฟ้าและกล่าวว่า “เอาล่ะ หากต้องการเพลิงรัก ให้หัวใจทั้งสองดวงสัมผัสกัน”
มนุษย์หิมะกับมนุษย์คนแรกนำหัวใจทั้งสองดวงมารวมกัน
ประกายไฟปะทุขึ้น
เปลวเพลิงลุกไหม้ขึ้นอย่างรวดเร็ว
เพลิงรัก!
เพลิงรักแผดเผาหัวใจที่แห้งแล้งของมนุษย์คนแรกและทำให้มันกลายเป็นเถ้าถ่านไปในพริบตา
มนุษย์คนแรกตะลึง
วิญญาณแห่งความรักกล่าว “ความรักมีราคาที่ต้องจ่ายแต่มนุษย์ก็เต็มใจที่จะเสียสละเพื่อมัน”
มนุษย์หิมะหัวเราะ “โอ้ มนุษย์ โชคดีที่เจ้ามีหัวใจสองดวง มิฉะนั้นเจ้าอาจตายไปแล้ว”
มนุษย์หิมะมองหัวใจจักรพรรดินีในมือของนาง
เพลิงรักห่อหุ้มหัวใจดวงนี้เอาไว้แต่มันกลับทำให้หัวใจดวงนี้เปล่งประกายมากขึ้น
มนุษย์หิมะกล่าว “โอ้ เพลิงรักค่อนข้างน่าประทับใจ มันไม่เหมือนแสงแห่งความรุ่งโรจน์ เพลิงเทพปฐพี หรือเพลิงมังกรล่องคลื่น”
หลังกล่าวจบคำ นางเก็บหัวใจจักรพรรดินีกลับไปที่หน้าอก
หลังจากนั้นร่างกายของนางก็เริ่มลุกไหม้ขึ้น หิมะบนร่างของนางเริ่มหลอมละลายภายใต้ดวงตะวัน
นางตกใจและรีบตบเบาๆเพื่อดับเพลิงรัก
แต่เพลิงรักไม่อาจมอดดับ
ในที่สุดร่างกายของมนุษย์หิมะก็ละลายจนหมดสิ้นและทิ้งไว้เพียงหัวใจที่ลุกโชนด้วยเพลิงรักเท่านั้น
มนุษย์คนแรกตกใจมาก เขารู้สึกว่ามนุษย์หิมะผู้นี้แข็งแกร่งมาก แต่ผู้ใดจะคิดว่านางจะหายไปในลักษณะนี้
“เพลิงรักช่างบ้าคลั่งนัก” มนุษย์คนแรกตกตะลึง
วิญญาณแห่งความรักกล่าว “ผลลัพธ์ของความรักจะแตกต่างกันไปในหัวใจแต่ละดวง หัวใจของมนุษย์หิมะเป็นหัวใจจักรพรรดินี แต่เจ้ามีหัวใจที่แล้งแห้งและมันถูกเผาทำลายลงอย่างสมบูรณ์ นี่คือผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น”
ผลลัพธ์ของความรักจะแตกต่างกันไป ความรักที่เกิดขึ้นแต่ละครั้งเหมือนการเสี่ยงโชค
มนุษย์คนแรกคิดถึงบางสิ่ง “โอ้ วิญญาณแห่งความรัก เจ้ากล่าวว่าความรักทำให้มนุษย์เต็มใจที่จะเสียสละ นี่วิเศษมาก ข้าจะรักกับมนุษย์วิหคและทำให้พวกมันเต็มใขบินเพื่อข้า ด้วยวิธีนี้ข้าจะสามารถช่วยบุตสาวออกจากเหวธรรมดา”
แต่ในจังหวะนี้เสียงสายหนึ่งกลับดังขึ้น “ท่านพ่อ”
จากเปลวเพลิงที่ลุกไหม้อยู่บนหัวใจจักรพรรดินี เด็กชายผู้หนึ่งกระโดดออกมา
เขาคือเยี่ยนฮวงเล่ยซื่อ
เยี่ยนฮวงเล่ยซื่อกระโดดเข้าสู่อ้อมกอดของมนุษย์คนแรก “ท่านพ่อ ดังนั้นข้าก็มีพี่สาว ข้าสนับสนุนท่าน ไปช่วยพี่สาวกันเถอะ”
มนุษย์คนแรกดีใจมาก เขาลูบศีรษะของบุตรชายและกล่าว “บุตรชายของข้า เจ้าฉลาดมาก!”
มนุษย์คนแรกออกเดินทางอีกครั้ง เขากลับไปที่รังของมนุษย์วิหค
มนุษย์คนแรงกล่าวกับมนุษย์วิหค “พวกเจ้ามีหัวใจหรือไม่?”
มนุษย์วิหคตอบ “เราทุกคนมีหัวใจแห่งเสรีภาพ”
มนุษย์หัวเราะ “เช่นนั้นเรามารักกันเถอะ ข้ามีหัวใจและยังมีวิญญาณแห่งความรัก”
มนุษย์วิหคส่ายศีรษะ “หัวใจแห่งเสรีภาพของพวกเราจะถูกเพลิงรักเผ่าทำลายลงอย่างสมบูรณ์”
ความรักคือการสูญเสียอิสรภาพ
มนุษย์ยังยืนกราน “ผลลัพธ์ของความรักจะแตกต่างกันไปในหัวใจแต่ละดวง อย่ามองหัวใจเพียงดวงเดียว หัวใจแห่งความเดียวดายของข้าจะเข้าสู่กระบวนการนี้เช่นกัน”
แต่ไม่ว่ามนุษย์จะหว่านล้อมอย่างไร มนุษย์วิหคก็ไม่ตกลง
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1230 วิญญาณแห่งความรัก (2)
แปลโดย iPAT
มนุษย์คนแรกไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร เขาถามวิญญาณแห่งความรัก “โอ้ วิญญาณ พวกเขาไม่ต้องการรักข้า เจ้าต้องช่วยข้าและจุดเพลิงรักในหัวใจของพวกเรา”
วิญญาณแห่งความรักถอนหายใจ “นี่เกินขีดความสามารถของข้า ข้าไม่สามารถบังคับให้ผู้ใดรักกัน ไม่ว่าอย่างไรหัวใจสองดวงก็ต้องสัมผัสกัน”
มนุษย์คนแรกส่ายศีรษะ “ไม่ นี่เป็นโอกาสที่ดีที่จะช่วยบุตรสาวของข้า ข้าไม่สามารถยอมแพ้ วิญญาณตัวตน ข้าต้องพึ่งเจ้าแล้ว”
วิญญาณตัวตนพยักหน้าและใช้ความแข็งแกร่งของตนเอง
มันเคยกินวิญญาณความแข็งแกร่งเข้าไป นั่นทำให้มนุษย์คนแรกมีความแข็งแกร่งของตนเอง
ดังนั้นมนุษย์วิหคจึงถูกจับโดยมนุษย์คนแรก หัวใจของพวกมันถูกนำออกมาสัมผัสกับหัวใจของมนุษย์คนแรก
แต่ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น หัวใจเหล่านั้นไม่ก่อให้เกิดประกายไฟแห่งรัก
วิญญาณแห่งความรักถอนหายใจ “โอ้ มนุษย์ การบังคับหัวใจของผู้อื่นเป็นไปไม่ได้ มันเป็นเพียงการสร้างความเกลียดชังเท่านั้น”
หลังวิญญาณแห่งความรักกล่าวจบประโยค วิญญาณดวงหนึ่งก็ปรากฏขึ้นต่อหน้ามนุษย์คนแรก
มนุษย์คนแรกมองวิญญาณดวงนี้ แน่นอนว่ามันคือวิญญาณความเกลียดชัง
วิญญาณความเกลียดชังบินเข้าไปในหัวใจของมนุษย์วิหค
พวกมันเริ่มตะโกน “มนุษย์ เจ้าทำเกินไปแล้ว เจ้าข่มเหงพวกเรา พวกเราจะตอบแทนเจ้าอย่างสาสม!”
ดังนั้นพวกมันจึงบินขึ้นสู่ท้องฟ้าและปล่อยแสงออกมาจากปีก
วิญญาณอิสรภาพ
วิญญาณอิสรภาพจำนวนมากหลอมรวมกันกลายเป็นวิญญาณเสรีภาพขนาดใหญ่
วิญญาณเสรีภาพพรากวิญญาณแห่งความรักไปจากมนุษย์คนแรก
“จากนี้ไปความรักจะเป็นอิสระ” วิญญาณเสรีภาพกล่าว
วิญญาณตัวตนของมนุษย์คนแรกบินออกมาและต้องการแย่งวิญญาณแห่งความรักกลับคืน แต่มันไม่สามารถเอาชนะวิญญาณเสรีภาพ มันทำได้เพียงกัดวิญญาณแห่งความรักเท่านั้น
วิญญาณตัวตนกล่าวด้วยความโกรธ “ความรักเป็นของตนเองเช่นกัน!”
…..
หลังจากจ้าวเหลียนหยุนได้ยินคำกล่าวของผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่ง นางยังรู้สึกมึนงง
จ้าวเหลียนหยุนเคยได้ยินตำนานมนุษย์คนแรกมาก่อน แต่นางคิดว่ามันเป็นเรื่องสมมติ
ในความเป็นจริงนางไม่ได้คาดหวังว่าคุณย่าที่เข้มงวดผู้นี้จะพูดคุยกับนางเกี่ยวกับตำนานมนุษย์คนแรกในบรรยากาศที่หนักหน่วงและจริงจังเช่นนี้
ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของนิกายคฤหาสน์วิญญาณเห็นการแสดงออกของจ้าวเหลียนหยุนและตระหนักว่าเด็กหญิงผู้นี้ไม่เคยใส่ใจเกี่ยวกับตำนานมนุษย์แรก
ดังนั้นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งจึงเปิดปากกล่าว “วิญญาณแห่งความรักบนไหล่ของเจ้าคือวิญญาณอมตะระดับเก้า แต่มันมีข้อบกพร่องที่สำคัญอยู่เช่นกัน”
“ข้อบกพร่องใด?” จ้าวเหลียนหยุนถาม
“มันไม่สามารถปรับแต่ง” ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“ท่านหมายความว่าอย่างไร? กระทั่งผู้อมตะก็ไม่สามารถปรับแต่งมันงั้นหรือ?” จ้าวเหลียนหยุนถาม
ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งยิ้ม “ไม่เพียงผู้อมตะ กระทั้งผู้อมตะระดับเก้าก็ไม่สามารถทำได้ ในประวัติศาสตร์มีหลายคนเคยทดลองเรื่องนี้ เทพอมตะตะวันเดือดพยายามปรับแต่งวิญญาณแห่งความรักเป็นเวลาสามปีติดต่อกันโดยไม่หยุดพัก แต่เขายังล้มเหลวอย่างน่าสังเวช”
จ้าวเหลียนหยุนเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเรื่องนี้ นางอุทาน “มีสิ่งที่เทพอมตะหรือเทพปีศาจไม่สามารถทำได้อยู่ด้วย!?”
“เทพอมตะเป็นเพียงผู้ที่มีพลังการต่อสู้สูงที่สุดบนโลกใบนี้ แต่พวกเขาไม่สามารถทำทุกสิ่ง ในอดีต เทพปีศาจปล้นสวรรค์และเทพอมตะตะวันเดือดต้องขอให้บรรพชนผมยาวหลอมรวมวิญญาณให้กับพวกเขา นี่คือข้อสรุปที่เห็นชัด” ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งกล่าวอย่างช้าๆ
“ดังนั้นวิญญาณแห่งความรักจึงไม่สามารถควบคุมได้ มันเป็นอิสระและไม่มีผู้ใดสามารถสั่งมันได้” ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งกล่าวทิ้งท้าย
“แต่เหตุใดมันถึง…” จ้าวเหลียนหยุนไม่รู้ว่าควรกล่าวสิ่งใด นางมองไปที่วิญญาณแห่งความรักบนไหล่ของนาง
ในสายตาของนาง วิญญาณแห่งความรักช่างสดใสและเปล่งประกาย
ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งกล่าว “นี่คือการยอมรับจากวิญญาณแห่งความรัก สถานการณ์นี้เกิดได้ยากมาก ครั้งสุดท้ายที่มันเกิดขึ้นคือเทพธิดาโม่เหยา”
“เหตุใดมันถึงเลือกข้า?” จ้าวเหลียนหยุนถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งส่ายศีรษะ “ข้าไม่แน่ใจ แต่นิกายของเราได้สรุปไว้สองประเด็น ประการแรก คนผู้นั้นต้องเชื่อมั่นในความรัก ประการที่สอง ความรักของคนผู้นั้นต้องบรรลุถึงระดับที่ยิ่งใหญ่มาก ยิ่งความรักของเจ้าลึกซึ้งเท่าใด เจ้าก็มีโอกาสได้รับการยอมรับจากวิญญาณแห่งความรักมากเท่านั้น”
“เป็นเช่นนี้” จ้าวเหลียนหยุนกระพริบตาขณะฟังคำตอบ
นางตระหนักว่าเพราะนางรักหม่าหงหยุนอย่างสุดซึ้งและยินดีที่จะสละชีวิตของตนเพื่อความรัก นั่นทำให้วิญญาณแห่งความรักยอมรับนาง
เหตุใดสิ่งนี้จึงไม่เกิดขึ้นกับฟงจินฮวง?
เพราะนางไม่มีคนรัก
ความรักชนิดนี้ไม่ใช่ความรักของคนในครอบครัวหรือมิตรภาพ
ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งกล่าวต่อ “แน่นอนเพราะวิญญาณแห่งความรักไม่สามารถควบคุม เราจึงต้องใช้ประโยชน์จากความรักเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากวิญญาณแห่งความรัก ดังนั้นกฎของนิกายคฤหาสน์วิญญาณของเราจึงถูกสร้างขึ้น กฎข้อนี้กล่าวว่าผู้ใดก็ตามที่ได้รับการยอมรับจากวิญญาณแห่งความรัก ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย คนผู้นั้นจะกลายเป็นผู้นำนิกายรุ่นต่อไป”
จ้าวเหลียนหยุนกระพริบตา “มีผู้นำชายด้วยงั้นหรือ?”
ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งยิ้ม “นิกายของเรามีสมาชิกหญิงเป็นส่วนใหญ่ แต่เราก็มีสมาชิกผู้ชายเช่นกัน เหตุใดพวกเขาจะไม่สามารถเป็นผู้นำ? ดูที่ป้ายหยกแห่งชีวิตที่อยู่ตรงกลาง มันเป็นชื่อของเฉิงหยูซาน ที่มุมล่างด้านขวายังมีชื่อเฉียนหยวนเหลียง คนเหล่านี้ล้วนเป็นบุคคลที่อุทิศตนเพื่อความรักในประวัติศาสตร์ของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ”
“แท้จริงแล้ววิญญาณแห่งความรักมีพลังอำนาจที่หลากหลายและแตกต่างกันไปในแต่ละคน ในสายตาเจ้า มันดูเป็นอย่างไร?”
จ้าวเหลียนหยุนกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “มันดูเหมือนสายรุ้งหลากหลายสีสันที่ส่องประกายงดงาม”
ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งพยักหน้า “ในสายตาของข้า มันดูเหมือนหินสีเทาที่ไม่น่าสนใจแม้แต่น้อย”
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?”
ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งเผยรอยยิ้มบางก่อนจะปิดเปลือกตาลงและกล่าว “ข้าเลิกเชื่อในความรักมานานแล้ว ดังนั้นข้าจึงเห็นวิญญาณแห่งความรักเป็นเช่นนี้ ในอดีต ผู้นำนิกายแต่ละคนเห็นวิญญาณแห่งความรักแตกต่างกันไป บางคนเห็นมันเหมือนน้ำที่ใสสะอาด บางคนเห็นดอกท้อ และยังมีรูปลักษณ์ที่หลากหลายในสายตาของแต่ละคน”
“วิญญาณแห่งความรักสามารถปลดปล่อยพลังอำนาจที่แตกต่างกันไปในแต่ละคน”
“โปรดชี้แนะด้วย” จ้าวเหลียนหยุนกล่าว
ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งกล่าวต่อ “โดยปกติแล้วไม่ว่าจะเป็นวิญญาณระดับมนุษย์หรือวิญญาณอมตะ พวกมันจะสามารถปลดปล่อยพลังอำนาจได้เพียงหนึ่งเดียวเช่นวิญญาณศรวารี มันสามารถยิงศรวารีออกไป แต่วิญญาณแห่งความรักแตกต่างกัน กล่าวได้ว่าพลังอำนาจของมันไร้ขีดจำกัด ตัวอย่างเช่นมันสามารถยิงเปลวเพลิงออกไป มันสามารถรักษาอาการบาดเจ็บ มันสามารถป้องกันการโจมตีของศัตรู หรืออื่นๆ”
จ้าวเหลียนหยุนมีความสุขมากเมื่อได้ยินเรื่องนี้ “น่าทึ่งมาก!”
ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งส่ายศีรษะ “วิญญาณแห่งความรักเป็นวิญญาณอมตะระดับเก้า มันมีความพิเศษตามธรรมชาติ มันมีพลังอำนาจที่ไร้ขีดจำกัด แต่มันไม่สามารถควบคุมได้ หากเจ้าต้องการใช้มันโจมตี มันอาจพาเจ้าบินหนี หากเจ้าต้องการใช้มันป้องกัน มันอาจรักษาอาการบาดเจ็บของเจ้า บ่อยครั้งเมื่อเจ้าต้องการใช้งานมัน มันจะไม่ทำสิ่งใดเลย แต่เมื่อเจ้าไม่ต้องการมัน มันจะทำงานและปลดปล่อยพลังอำนาจของมันออกมา”
จ้าวเหลียนหยุนรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ในไม่ช้านางก็รวบรวมสติ “ถึงเป็นเช่นนั้นมันก็ยังเป็นวิญญาณอมตะระดับเก้า พลังอำนาจของมันย่อมไม่ธรรมดา”
ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งกล่าว “เจ้ากล่าวได้ถูกต้อง แต่เจ้าลืมบางสิ่ง พลังอำนาจมีราคาที่ต้องจ่าย ทุกครั้งที่เจ้าใช้วิญญาณแห่งความรัก มันจะพรากบางสิ่งไปจากเจ้า”
จ้าวเหลียนหยุนรู้สึกประหม่า “มันคือสิ่งใด?”
“สี่งที่ธรรมดาที่สุด นั่นคือพลังงานอมตะ แต่เจ้าไม่ใช่ผู้อมตะ มันอาจพรากความงามของเจ้า สายตาของเจ้า หรืออายุขัยของเจ้าไป” ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งกล่าวอย่างเคร่งขรึม
ใบหน้าของจ้าวเหลียนหยุนกลายเป็นซีดเผือด นางต้องมองวิญญาณแห่งความรักที่เกาะอยู่บนไหล่ของนางอีกครั้ง
แต่ตอนนี้สายตาของนางกลับเปลี่ยนไปจากก่อนหน้า
“วิญญาณอมตะต้องการเอาชีวิตของข้างั้นหรือ? หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็จะใช้มันให้คุ้มค่า!” จ้าวเหลียนหยุนตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว
นางรวบรวมความกล้าและกล่าวกับผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่ง “หากสามารถช่วยท่านพี่หม่าหงหยุนแม้ต้องจ่ายด้วยราคามหาศาล ข้าก็ยินดี ผู้อาวุโส หากข้ากลายเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณ ข้าสามารถยืมพลังของนิกายเพื่อไปที่ภาคเหนือหรือไม่?”
ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งไม่ตอบจ้าวเหลียนหยุนในทันที
นางแสดงออกอย่างซับซ้อน
เมื่อไม่นานมานี้ราชันมังกรของวังสวรรค์ได้ตื่นขึ้น เมื่อข่าวนี้แพร่กระจายออกไป สิบนิกายโบราณตกลงสู่ความโกลาหล
ราชันมังกรอยู่ในระดับเดียวกับโป้ชิงในแง่ของความแข็งแกร่ง ด้วยความแข็งแกร่งนี้ เขาได้สร้างเผ่าพันธุ์มนุษย์มังกรขึ้นมาด้วยตัวของเขาเอง
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เขาเป็นตำนานที่มีชีวิต แต่ชื่อของเขาไม่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ กระทั่งสิบนิกายโบราณก็มีผู้คนที่รู้จักเขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ราชันมังกรมีความอาวุโสมาก เขาอายุมากอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อเขาตื่นขึ้น เทพธิดาจื่อเว่ยต้องสละตำแหน่งผู้นำให้เขาทันที
ผู้อมตะวังสวรรค์ทั้งหมดต่างเห็นด้วยกับเรื่องนี้
ราชันมังกรทำความเข้าใจสถานการณ์อย่างรวดเร็วและถ่ายทอดคำสั่งให้จ้าวเหลียนหยุนเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นต่อไป
ไม่เพียงเท่านั้นแต่ราชันมังกรยังมอบมิติช่องว่างเทียมให้กับจ้าวเหลียนหยุนเพื่อทำให้นางกลายเป็นผู้อมตะเทียม ยิ่งไปกว่านั้นเขายังสั่งให้สิบนิกายโบราณร่วมมือกับจ้าวเหลียนหยุนเพื่อนำคณะเดินทางมุ่งหน้าไปภาคเหนือและช่วยหม่าหงหยุนออกมา
สิบนิกายโบราณไม่สามารถคัดค้านและไม่มีผู้ใดกล้าตั้งคำถาม
จ้าวเหลียนหยุนยังไม่ได้รับข่าวดังกล่าว
ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งไม่ต้องการให้นางรู้
จ้าวเหลียนหยุนเห็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งไม่ตอบคำถาม นางรู้สึกกังวลมากและเกรงว่าหญิงชราจะปฏิเสธ
แต่ในไม่ช้าผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งก็เปิดปากกล่าว “จ้าวเหลียนหยุน เจ้าเป็นปีศาจต่างโลกที่ได้รับมรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจปล้นสวรรค์ บางทีเจ้าอาจกลายเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณที่โดดเด่นที่สุด”
“และอาจเป็นเพราะลักษณะพิเศษของเจ้า…”
“ไม่จำเป็นต้องกังวล วังสวรรค์ถ่ายทอดคำสั่งลงมาแล้ว สิบนิกายโบราณจะจัดตั้งคณะเดินทางเพื่อมุ่งหน้าไปยังภาคเหนือและช่วยเหลือหม่าหงหยุนคนรักของเจ้า”
“อา…” จ้าวเหลียนหยุนเบิกตากว้าง นางทั้งมีความสุขและประหลาดใจมาก
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1231 กึ่งปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งวารี
แปลโดย iPAT
ภาคใต้ ภายในค่ายกลวิญญาณ
ปาฉวนฟงมองไปยังทิศทางของตระกูลวูและรู้สึกสงสัย “เกิดสิ่งใดขึ้น? วูอี้ไห่ผู้นี้อดทนมาก เขาบ่มเพาะอย่างสันโดษและไม่ออกมาข้างนอกเลยงั้นหรือ?”
เขาพบว่ามันยากที่จะเชื่อ
สมาชิกตระกูลวูมักทำตัวเอาแต่ใจและสร้างปัญหาให้ผู้อื่นเสมอ
วูอี้ไห่เป็นน้องชายของวูหยง เขามีสถานะสูงมากในตระกูลวู แต่เขากลับบ่มเพาะอย่างเงียบสงบและไม่ติดต่อผู้ใดเลย
ปาเต๋อส่ายศีรษะ
เขากล่าวอย่างเคร่งขรึม “ดูเหมือนวูอี้ไห่ผู้นี้จะไม่ง่ายเลย”
“เขารับมือได้ยากกว่าผู้อมตะระดับเจ็ดคนก่อนของตระกูลวู”
ปาฉวนฟงหัวเราะ “จะเป็นไปได้อย่างไร? เขาเป็นเพียงผู้บ่มเพาะสันโดษจากทะเลตะวันออก”
เฒ่าพฤกษาปาเต๋อมองปาฉวนฟง “หากเขาเป็นเพียงผู้บ่มเพาะสันโดษ เขาจะจัดการธุรกิจซื้อขายโอกาสได้ดีถึงเพียงนี้งั้นหรือ? กระทั่งพวกเราจะกดดันธุรกิจของพวกเรา แต่เราก็ไม่สามารถทำสิ่งใดวูอี้ไห่”
“หลายวันที่ผ่านมาเราได้เตรียมการมากมาย แต่คนผู้นี้เพิกเฉยต่อพวกเราอย่างสิ้นเชิง แม้จะถูกเย้ยหยัน เขาก็ยังเลือกที่จะเงียบและอดทนกับมัน บุคคลเช่นนี้อันตรายกว่าผู้อมตะตระกูลวูคนอื่นๆมาก”
การแสดงออกของปาฉวนฟงเปลี่ยนไป เขาสูดหายใจลึก “ผู้อาวุโส กระทั่งท่านก็ยังยกย่องเขา ดูเหมือนเขาจะโดดเด่นจริงๆ เหตุใดเราไม่ไปทำลายธุรกิจซื้อขายโอกาสนี้เพื่อบังคับให้เขาลงมือ?”
ปาเต๋อส่ายศีรษะ “เป็นไปไม่ได้ เขาจะไม่ทำสิ่งใดอย่างแน่นอน หากเราเปิดโปง ธุรกิจซื้อขายโอกาสจะพังทลายลงเนื่องจากมันไม่ได้รับอนุญาตตั้งแต่แรก แต่เราจะไม่สามารถทำสิ่งใดวูอี้ไห่และมันจะเป็นการรุกรานอีกหกตระกูลใหญ่ พวกเราจะดึงดูดความเกลียดชังขณะที่วูอี้ไห่จะได้รับประโยชน์จากมันและทำให้ความร่วมมือทางการเมืองของพวกเขาแข็งแกร่งมากขึ้น”
ปาฉวนฟงเบิกตากว้างและกรีดร้อง “แล้วเราจะทำเช่นไร?”
“รอ”
“รอ?”
“รอโอกาส” เฒ่าพฤกษาปาเต๋อกล่าว “โอกาสที่เราสามารถสร้างได้ตอนนี้แทบไร้นัยสำคัญ ในกรณีนี้เราต้องรอโอกาสที่ดีกว่าในอนาคต”
ปาฉวนฟงกัดฟันแน่น “หากเป็นเช่นนั้นตระกูลวูก็จะอยู่เหนือพวกเราไปอีกนาน เราต้องรอนานเท่าใด บางทีเราอาจต้องรอไปอีกนานมาก!”
การแสดงออกของปาเต๋อเปลี่ยนเป็นเย็นชา เขาไม่กล่าวสิ่งใดแต่มองไปที่ปาฉวนฟงอย่างเงียบๆ
ปาฉวนฟงรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลจากการจ้องมองของเฒ่าพฤกษา
เขาถอยหลังกลับไปสามก้าวและลดศีรษะลงด้วยเหงื่อที่ไหลลงมาจากหน้าผาก “ผู้อาวุโส…ข้า…ข้า…”
“เจ้าใจร้อนเกินไป เสี่ยวฟง หลายวันที่ผ่านมา จิตใจของเจ้าปั่นป่วนมาก” ปาเต๋อกล่าวอย่างช้าๆ
“ถูก…ถูกต้อง…ผู้อาวุโส ข้าผิดไปแล้ว” ปาฉวนฟงยอมรับความผิด
“ตระกูลวูสูญเสียผู้อมตะระดับแปดไปแล้ว แต่พวกเขายังมีขุมกำลังที่ยิ่งใหญ่ กองกำลังอื่นกำลังเฝ้ามองตระกูลวูอย่างใกล้ชิดแต่ไม่มีฝ่ายใดกล้าโจมตีก่อนเพราะเรายังไม่สามารถเปิดเผยความแข็งแกร่งที่แท้จริงของตระกูลวู หากตระกูลปาลงมือก่อนและต้องเผชิญหน้ากับหมัดเหล็กของตระกูลวู พวกเราจะเป็นฝ่ายสูญเสียขณะที่กองกำลังอื่นจะฉวยโอกาสฉกชิงผลประโยชน์ เข้าใจหรือไม่?”
“ข้าเข้าใจแล้ว”
“เจ้าจงไปบ่มเพาะอย่างเงียบๆ หากวูอี้ไห่ไม่ออกมา เจ้าก็ยังไม่สามารถออกมา” ปาเต๋อกล่าวอย่างไร้อารมณ์
“ทราบแล้ว” ปาฉวนฟงรับคำสั่งและจากไปด้วยใบหน้าขมขื่น
ฟางหยวนยังอยู่ในอาณาจักรแห่งความฝัน
ผู้อมตะด้านนอกคิดว่าเขากำลังปิดประตูฝึกตน คนส่วนใหญ่คิดว่านี่เป็นธรรมชาติของวูอี้ไห่ในฐานะผู้บ่มเพาะสันโดษของทะเลตะวันออก เขายังไม่ได้ปรับเปลี่ยนวิธีคิดของตน ท้ายที่สุดผู้บ่มเพาะสันโดษก็ชอบการบ่มเพาะอยู่อย่างเงียบสงบ
คนส่วนน้อยเช่นปาเต๋อคิดว่าฟางหยวนตั้งใจทำสิ่งนี้ มันเป็นวิธีทางการเมืองของเขา
แต่ไม่มีผู้ใดคิดว่าฟางหยวนลอบเข้าไปในอาณาจักรแห่งความฝัน
ภายในอาณาจักรแห่งความฝัน ตอนนี้กำลังเป็นช่วงเวลาสำคัญ
นายน้อยหลงได้เปรียบมากในการต่อสู้ เขาหัวเราะเย้ยหยันฟางหยวน “เจ้าไม่เหลือโอกาสแล้ว เจ้าไม่มีทางชนะ หากเจ้ายอมแพ้ตอนนี้ เจ้ายังสามารถรักษาใบหน้า”
ฟางหยวนได้รับบาดเจ็บสาหัส เขากัดฟันแน่นและไม่กล่าวสิ่งใด
นี่เป็นฉากที่เจ็ดของอาณาจักรแห่งความฝัน
ฟางหยวนเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับห้าเช่นเดียวกับฝ่ายตรงข้าม
แต่นายน้อยหลงแข็งแกร่งกว่าเพราะเขาเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับห้าขั้นสุดยอด
ไม่เพียงเท่านั้น นายน้อยหลงยังมีวิญญาณที่มีประโยชน์มากมาย ด้วยร่างมนุษย์มังกรของเขา ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันจากเกล็ดมังกรที่แข็งแกร่ง คุณสมบัติงอกใหม่ของเลือดมังกร พวกมันล้วนเทียบเท่ากับวิญญาณระดับห้า
นี่คือข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่!
ไม่ว่าจะเป็นระดับการบ่มเพาะ วิญญาณ หรือร่างมังกร ฟางหยวนถูกกำหราบอย่างสมบูรณ์
เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมากสำหรับผู้ชมทั้งหมดที่การต่อสู้ดำเนินมาอย่างยาวนาน
ในความคิดเห็นของพวกเขา แม้จิตวิญญาณของฟางหยวนจะน่ายกย่อง แต่ผลการต่อสู้ครั้งนี้ถูกตัดสินแล้ว
“ตอนนี้เจ้าเหลือพลังวิญญาณไม่ถึงห้าส่วน มาดูกันว่าเจ้าจะป้องกันการโจมตีของข้าอย่างไร?” นายน้อยหลงตะโกนและพุ่งเข้าตะครุบฟางหยวน
แม้ฟางหยวนจะอยู่ในสภาพที่เลวร้าย แต่สายตาของเขายังชัดเจน เขาถอยศีรษะไปด้านหลัง
หลังจากล้มเหลวในการสำรวจอาณาจักรแห่งความฝันฉากนี้มาหลายครั้ง ฟางหยวนได้เรียนรู้ว่าเขาไม่จำเป็นต้องเอาชนะนายน้อยหลงในการต่อสู้ครั้งนี้ เขาเพียงต้องยื้อเวลาให้มากพอ
เมื่อเวลามาถึง โอกาสจะปรากฏขึ้น
‘เหลือเวลาอีกเจ็ดลมหายใจ ครั้งนี้ข้าควรจะลองใช้ท่าไม้ตายอมตะคลี่คลายความฝัน!’ ฟางหยวนคิด
“ปัง”
นายน้อยหลงพุ่งเข้าโจมตีฟางหยวนด้วยความเย่อหยิ่ง แต่ในจังหวะนี้เขากลับสะดุดก้อนหินและล้มคว่ำลงกับพื้น
เงียบกริบ!
ผู้ใช้วิญญาณหญิงทุกคนที่เฝ้ามองและให้กำลังใจนายน้อยหลงตั้งแต่แรกเงียบเสียงลง
‘ข้าทำพลาดเช่นนี้ได้อย่างไร?’ ใบหน้าของนายน้อยหลงเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความอับอาย
เขารีบลุกขึ้นตะโกนและพุ่งเข้าโจมตีฟางหยวนอีกครั้ง
ฟางหยวนแทบไม่สามารถยืนอยู่ อาการบาดเจ็บของเขาสาหัสเกินไป เขาทำได้เพียงรอความพ่ายแพ้
เสียงโห่ร้องดังขึ้นอีกครั้ง
“ไปเลยนายน้อยหลง! เอาชนะผู้ท้าชิงที่มั่นใจเกินไปผู้นี้!”
“อา…ข้าจะจำฉากนี้ไว้ในหัวใจตลอดไป นายน้อยหลงช่างมีเสน่ห์นัก หากมีเพียงข้าที่ได้ยืนเคียงข้างท่าน นั่นจะดีมาก”
“หากเขาคุยกับข้า มันก็คุ้มค่าที่ได้เกิดมาแล้ว”
ผู้ใช้วิญญาณชายคำรามขณะที่ผู้ใช้วิญญาณหญิงกรีดร้อง
ท่าไม้ตายอมตะคลี่คลายความฝัน!
ฟางหยวนใช้สิ่งนี้อีกครั้งเพราะเขาไม่สามารถสู้ต่อไป
“อา…”
การเคลื่อนไหวของนายน้อยหลงหยุดลงอย่างกะทันหัน
เกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดอีกครั้ง
เขาอาจก้าวเท้ากว้างเกินไปและทำให้กางเกงของเขาขาดระหว่างการต่อสู้
ลมพัดมาทำให้นายน้อยหลงรู้สึกหนาวเย็นที่เป้ากางเกงของเขา
เงียบ…
กระทั่งฟางหยวนยังรู้สึกประหลาดใจ ‘ผลกระทบของท่าไม้ตายอมตะคลี่คลายความฝันครั้งนี้ค่อนข้างประหลาดจริงๆ’
“อา…” ผู้ใช้วิญญาณหญิงกรีดร้อง
เสียงของผู้คนระเบิดขึ้นทันที
“เกิดสิ่งใดขึ้น?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า”
“กางเกงของนายน้อยขาด!”
“นายน้อยหลงไม่ใส่กางเกงชั้นใน!?”
ผู้ใช้วิญญาณชายเฝ้ามองด้วยความสนใจขณะที่ผู้ใช้วิญญาณหญิงรีบยกมือขึ้นปิดใบหน้าของพวกนาง
“นายน้อยหลง…เล็กมาก…”
นายน้อยหลง “…”
ร่างกายของเขาสั่นสะท้านขึ้นอย่างรุนแรง ใบหน้าของเขากลายเป็นสีแดง เส้นเลือดบนหน้าผากโป่งพองขึ้น ตอนนี้เขาดูน่ากลัวมาก
“อ๊าก…ข้าจะฆ่าเจ้า!” ความอับอายทำให้นายน้อยหลงคลั่งและพุ่งเข้าโจมตีฟางหยวนอย่างดุร้าย
อย่างไรก็ตามฟางหยวนกลับเผยรอยยิ้มอย่างผู้ชนะ
เจ็ดลมหายใจผ่านไปแล้ว
“บึม”
ร่างของนายน้อยหลงระเบิดตัวเอง!
เลือดมังกรของเขาสาดกระเซ็นลงบนใบหน้าของฟางหยวน
สนามประลองตกสู่ความสับสนวุ่นวายทันที
“นายน้อยหลง!”
“มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?” ผู้ใช้วิญญาณหญิงหลายคนหมดสติ ณ จุดเกิดเหตุ
“นายน้อยหลงฆ่าตัวตายเพราะความอับอายงั้นหรือ?”
“ต้องเป็นเขา!” ผู้ใช้วิญญาณบางคนชึ้นิ้วไปที่ฟางหยวน “เขาต้องใช้วิธีการที่ชั่วร้ายเพื่อสังหารนายน้อยหลง! เขาเป็นปีศาจบนเส้นทางแห่งเลือด!”
“บึม บึม บึม…”
ในช่วงเวลาต่อมามนุษย์มังกรที่อยู่รอบๆก็ระเบิดตัวเองทีละคน
เลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว ผู้ใช้วิญญาณที่รอดชีวิตตกสู่ความโกลาหล
ฟางหยวนกระพริบตาด้วยความกังวลว่าคนเหล่านี้จะนำปัญหามาสู่เขา แต่ทันใดนั้นอาณาจักรแห่งความฝันกลับนำเขาไปยังฉากต่อไป
“ฉากที่เจ็ดจบลงแล้ว” ฟางหยวนถอนหายใจ
เขาติดอยู่ในฉากที่เจ็ดมาสามวันแล้ว ตามลักษณะพิเศษของอาณาจักรแห่งความฝัน เขาต้องผ่านทีละฉาก มิฉะนั้นเขาจะต้องทำซ้ำอย่างไม่รู้จบสิ้น
ครู่ต่อมาฟางหยวนออกจากอาณาจักรแห่งความฝันหลังจากล้มเหลวในฉากที่แปด
หลังจากฟื้นคืนสติ เขารีบรักษาอาการบาดเจ็บทางจิตวิญญาณ
อาณาจักรแห่งความฝันสร้างความเสียหายที่รุนแรงต่อจิตวิญญาณของเขา
โชคดีที่รากฐานจิตวิญญาณของฟางหยวนโดดเด่นมาก นอกจากนั้นเขายังมีวิญญาณความเด็ดเดี่ยว ดังนั้นอาการบาดเจ็บเหล่านี้จึงไม่ใช่ปัญหา
หลายสิบลมหายใจต่อมา จิตวิญญาณของฟางหยวนก็ฟื้นฟูขึ้นอย่างสมบูรณ์
จากนั้นเขาเริ่มตรวจสอบผลประโยชน์ที่ได้รับ
“ไม่เลว ข้ากลายเป็นกึ่งปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งวารีแล้ว”
เดิมทีความสำเร็จบนเส้นทางแห่งวารีของฟางหยวนอยู่ในระดับทั่วไป แต่ตัวละครหลักของอาณาจักรแห่งความฝันนี้คือผู้บ่มเพาะบนเส้นทางแห่งวารี ดังนั้นเมื่อฟางหยวนผ่านฉากที่เจ็ด ความสำเร็จบนเส้นทางแห่งวารีของฟางหยวนจึงพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ดูเหมือนตัวเอกของอาณาจักรแห่งความฝันนี้จะมีความสำเร็จสูงมาก การบ่มเพาะของเขาต้องสูงกว่าระดับหกอย่างแน่นอน”
“ตอนนี้ความสำเร็จบนเส้นทางแห่งวารีของข้าอนุญาตให้ข้าสามารถกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์ส่วนใหญ่ในเมืองจิ๋วที่ทะเลตะวันออกแล้ว วิเศษมาก!”
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1232 หลอมรวมกายา
แปลโดย iPAT
‘อย่างไรก็ตามวิญญาณระดับมนุษย์บนเส้นทางแห่งความฝันถูกใช้จ่ายไปเป็นจำนวนมาก ตอนนี้ข้าสามารถใช้ท่าไม้ตายอมตะคลี่คลายความฝันได้อีกไม่ถึงสิบครั้ง’
คิดถึงเรื่องนี้ ฟางหยวนขมวดคิ้วเบาๆ
นี่คือปัญหา
ท่าไม้ตายอมตะคลี่คลายความฝันมีประสิทธิภาพมากแต่ค่าใช้จ่ายของมันก็สูงมากเช่นกัน
เนื่องจากวิญญาณระดับมนุษย์บนเส้นทางแห่งความฝันถูกหลอมรวมขึ้นด้วยตัวของฟางหยวนเอง เขาไม่สามารถเพิ่มการผลิตได้มากนัก
มอบวิธีบนเส้นทางแห่งความฝันให้กับนิกายหลางหยาและใช้ผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนช่วยหลอมรวมให้เขางั้นหรือ?
ฟางหวนไม่มีความคิดนี้
ในยุคนี้คุณค่าของเส้นทางแห่งความฝันสูงกว่าวิญญาณอมตะมาก!
แน่นอนว่าฟางหยวนเชื่อว่าจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาสามารถจ่าย แต่หากมันถูกเปิดเผยออกไป ผลกระทบที่เกิดขึ้นย่อมไม่น้อย
หากวิธีบนเส้นทางแห่งความฝันถูกเผยแพร่ออกไป ความได้เปรียบของฟางหยวนจะหมดลง
นี่คือสิ่งที่ฟางหยวนไม่ต้องการเห็น
ดังนั้นเขาจึงต้องหลอมรวมวิญญาณระดับมนุษย์บนเส้นทางแห่งความฝันด้วยตนเอง แม้เขาจะผลิตมันได้น้อย แต่เขาก็ต้องรักษามันไว้กับตนเอง
‘ข้าไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น แต่ข้าสามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งต่างๆเช่นผลไม้แห่งความฝันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการหลอมรวมวิญญาณของข้า’
ผลไม้แห่งความฝันเป็นพืชชนิดพิเศษ
มันเป็นทรัพยากรบนเส้นทางแห่งความฝันที่ไม่มีรูปร่างที่แท้จริง มันอาศัยต้นไม้ที่มีอยู่จริงบนโลกใบนี้เพื่อความอยู่รอด
ฟางหยวนเคยเก็บเกี่ยวผลไม้แห่งความฝันมาก่อน
แต่เขาไม่สามารถเพาะปลูกหรือเคลื่อนย้ายต้นไม้แห่งความฝัน
นอกจากนั้นภาคกลางยังเป็นถ้ำราชสีห์ ฟางหยวนไม่สามารถไปที่นั่นได้ในเวลานี้
ท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคยอาจทำให้เขาสามารถปลอมตัว แต่เขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงการอนุมานของผู้อมตะ วิญญาณอมตะขีดจำกัดความมืดสามารถช่วยเหลือ แต่มันก็เป็นวิญญาณระดับหกเท่านั้น
ฟางหยวนไม่สามารถแก้ปัญหานี้
เขาไม่รู้จักต้นไม้แห่งความฝันต้นที่สอง ดังนั้นเขาจึงทำให้เพียงยอมแพ้ต่อความคิดนี้เท่านั้น
หลังจากพักผ่อนชั่วระยะเวลาหนึ่ง ฟางหยวนยังไม่ได้รีบเข้าสู่อาณาจักรแห่งความฝัน
เขาจำเป็นต้องสรุปฉากที่แปด
เขาเป็นปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งปัญญา การอนุมานสิ่งต่างๆล่วงหน้าจะช่วยให้เขาสำรวจอาณาจักรแห่งความฝันได้ดีขึ้น นี่คือข้อได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด
ในแง่ของเส้นทางแห่งปัญญา เขาไม่ขาดแคลนความสำเร็จ
ฟางหยวนไม่ได้อนุมานเพียงอาณาจักรแห่งความฝัน แต่เขายังอนุมานเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของตนอีกด้วย
‘หากข้าเดาถูก ตระกูลปาคือศัตรูตัวฉกาจของข้า ก่อนหน้านี้พวกเขาพยายามหาเรื่องข้า แต่ข้าสามารถแก้ปัญหาทั้งหมด ตอนนี้ดูเหมือนพวกเขากำลังเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ข้างสนาม’
ความเฉยเมยของตระกูลปาทำให้ฟางหยวนระวังตัวมากขึ้น
‘สรุปแล้วสถานการณ์ของข้าค่อนข้างดี ตัวตนของวูอี้ไห่มีประโยชน์มากในเวลานี้’
‘ธุรกิจซื้อขายโอกาสไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป นอกจากนั้นมันยังกลายเป็นกับดักล่อลวงผู้อมตะที่โง่เขลา’
ท้ายที่สุดแล้วผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาก็มีอยู่น้อยมาก
แม้จะมีผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาอยู่บ้าง พวกเขาก็อาจไม่ใช่ฝ่ายธรรมะ
สำหรับวูอันและวูเหลียว พวกเขาทำงานได้อย่างเหมาะสม ฟางหยวนไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับคนทั้งสอง
วูเหลียวมารายงานบางเรื่องกับฟางหยวนก่อนหน้านี้ แต่ฟางหยวนตั้งใจทิ้งงานไว้ที่พวกเขาและบอกว่าอย่ารบกวนหากไม่มีเรื่องสำคัญ
วูเหลียวรู้สึกผิดหวังมาก เขาคิดว่าฟางหยวนเหมือนผู้อมตะระดับเจ็ดคนก่อนหน้า ดังนั้นทัศนคติของเขาที่มีต่อฟางหยวนจึงกลายเป็นเย็นชา
ฟางหยวนรู้แต่เขาไม่สน
อาณาจักรแห่งความฝันขยายตัวออกไปอย่างช้าๆตลอดเวลา
แม้ฟางหยวนจะสำรวจอาณาจักรแห่งความฝันและทำให้มันหดตัวลง แต่เปรียบเทียบกับอาณาจักรแห่งความฝันทั้งหมด มันยังไร้นัยสำคัญ
เขาสามารถปิดซ่อนการกระทำของตนได้อย่างง่ายดาย
โดยเฉพาะเมื่อปีศาจอมตะและผู้บ่มเพาะสันโดษยังเข้ามาในอาณาจักรแห่งความฝันผ่านธุรกิจซื้อขายโอกาส นี่เป็นตัวช่วยที่ยิ่งใหญ่ของฟางหยวน
คนเหล่านี้พบกับความยากลำบากในอาณาจักรแห่งความฝัน แต่มีหนึ่งหรือสองคนที่ได้รับทรัพยากรบนเส้นทางแห่งความฝันบางอย่างแม้พวกเขาจะไม่ประสบความสำเร็จในการคลี่คลายความฝันก็ตาม
ทรัพยากรบนเส้นทางแห่งความฝันเหล่านี้สามารถใช้เป็นวัสดุในการหลอมรวมวิญญาณบนเส้นทางแห่งความฝัน
ผู้อมตะเหล่านี้ปฏิบัติต่อพวกมันเหมือนสมบัติล้ำค่า แม้มันจะเล็กน้อยเพียงใด พวกเขาก็รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
ฝ่ายธรรมะลอบซื้อทรัพยากรเหล่านี้จากพวกเขาอย่างลับๆ
ตระกูลวูก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
อย่างไรก็ตามผู้อมตะส่วนใหญ่ที่ได้รับทรัพยากรบนเส้นทางแห่งความฝันไม่ต้องการขายพวกมัน พวกเขาต้องการเก็บไว้กับตนเอง
ตระกูลวูซื้อทรัพยากรบนเส้นทางแห่งความฝันได้ประมาณสิบชิ้น ฟางหยวนไม่กล้าแตะต้องทรัพยากรเหล่านี้เพราะตระกูลวูกำลังจับตามองพวกมันอยู่
หลังจากพักผ่อน ฟางหยวนเข้าสู่อาณาจักรแห่งความฝันอีกครั้ง
มันไม่ใช่อาณาจักรแห่งความฝันของภาคใต้แต่เป็นอาณาจักรแห่งความฝันของเขาเอง
เพื่อให้ได้รับทรัพยากรบนเส้นทางแห่งความฝัน อาณาจักรแห่งความฝันของตนเองเป็นทางเลือกที่ดีและปลอดภัยที่สุด
น่าเสียดายที่ผู้อมตะเหล่านั้นไม่รู้เรื่องนี้
…..
ภาคใต้ ถ้ำสวรรค์ไป่เซียง
ที่จุดศูนย์กลางของค่ายกลวิญญาณ ไป่หนิงปิงนั่งลงอย่างยากลำบาก
จิตวิญญาณสวรรค์ไป่เซียงลอยอยู่กลางอากาศ เขากำลังควบคุมค่ายกลวิญญาณนี้
แสงหลากหลายสีสันส่องประกายขึ้นราวกับธารแสง บางครั้งมันปะทุขึ้นราวกับดอกไม้
ใบหน้าของไป่หนิงปิงซีดขาวแต่กลิ่นอายของเขายังมั่นคง
นี่เป็นเพราะเขาใช้ร่างกายบรรจุเพลิงมังกรล่องคลื่นและทำให้ชีวิตของตนตกอยู่ในอันตราย
“ต่อไปคือขั้นตอนที่สำคัญที่สุด เราจะจัดการเพลิงมังกรล่องคลื่นในร่างของท่าน!” จิตวิญญาณสวรรค์ไป่เซียงกล่าวด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “นายน้อย ท่านต้องอดทนและมีสมาธิ ท่านต้องหลอมรวมกับค่ายกลวิญญาณและกำหราบเพลิงมังกรล่องคลื่น ขั้นตอนนี้จะใช้เวลาสี่สิบเก้าวัน ระหว่างนี้ท่านจะไม่สามารถพักผ่อน หากข้าไม่บอกให้หยุด ท่านก็ไม่สามารถสูญเสียสมาธิ มิฉะนั้นท่านต้องตายอย่างแน่นอน”
ไป่หนิงปิงรู้สึกเวียนศีรษะจนแทบไม่สามารถทนนั่งอยู่ได้
ในสถานการณ์เช่นนี้ไม่ต้องกล่าวถึงสี่สิบเก้าวัน เพียงครึ่งวันเขาก็แทบทนไม่ไหวแล้ว
แต่เมื่อถึงทางแยกที่สำคัญ ริมฝีปากของไป่หนิงปิงกลับยกตัวขึ้นเป็นรอยยิ้ม
‘ฮ่าฮ่าฮ่า นี่สนุกมาก’
‘ในสภาพปัจจุบันของข้า มันแทบเป็นไปไม่ได้…’
‘นี่เป็นการทดสอบขีดจำกัดที่แท้จริงของร่างกายข้า’
‘แม้ข้าจะตาย มันก็น่าสนใจมาก!’
ร่างกายของเขาอ่อนล้ามากแต่จิตใจของเขายังเต็มไปด้วยพลังงาน
ไป่หนิงปิงสูดหายใจลึกและเรียกจิตวิญญาณสวรรค์ไป่เซียง “เจ้ารอสิ่งใดอยู่? เหตุใดยังไม่เริ่ม?’
จิตวิญญาณสวรรค์ไป่เซียงยิ้มและคิด ‘ข้ารอคนเช่นนี้มานานแล้ว ดูเหมือนเขาจะไม่เกรงกลัวต่อความตาย’
เมื่อคิดได้เช่นนี้จิตวิญญาณสวรรค์ไป่เซียงก็กระตุ้นการทำงานของค่ายกลวิญญาณ
“บึม!”
ในช่วงเวลาต่อมาค่ายกลวิญญาณก็ระเบิดแสงสว่างออกไปทุกทิศทุกทาง
“อ๊าก…”
เปลวไฟพุ่งออกมาจากดวงตา รูจมูก และรูหูของไป่หนิงปิง
เพลิงลุกไหม้ขึ้นบนร่างกายของเขาและเปลี่ยนไป่หนิงปิงให้เป็นมนุษย์เพลิง
ไป่หนิงปิงขมวดคิ้วและกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
ในช่วงเวลาที่เขากรีดร้อง เขาตระหนักถึงบางสิ่ง วิธีหลอมรวมวิญญาณมนุษย์เปลี่ยนเป็นมังกรไม่ใช่การกำหราบเพลิงมังกรล่องคลื่นเท่านั้น แต่มันยังส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตวิญญาณทั้งหมดของเขา ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าค่อยๆแยกออกจากร่างของเขาอย่างช้าๆ
นี่เหมือนการปรับแต่งทรัพยากรอมตะแต่ทรัพยากรอมตะชนิดนี้คือร่างกายของไป่หนิงปิง
‘อดทนไว้!’ จิตวิญญาณสวรรค์ไป่เซียงกรีดร้องด้วยความกระวนกระวายใจ
ดวงตาของไป่หนิงปิงกลายเป็นพร่าเลือน เขากำลังจะหมดสติ
หากเขาหมดสติในเวลานี้ เขาจะถูกเพลิงมังกรล่องคลื่นเผ่าทำลายจนกลายเป็นกองเถ้าถ่าน!
…..
ภาคเหนือ แดนศักดิ์สิทธิ์ภูเขาหิมะ ยอดเขาที่หนึ่ง
หม่าหงหยุนกรีดร้อง
“ปุ” เส้นเลือดที่ลำคอของเขาแตก
ประกายสายฟ้าแลบลั่นอยู่บนร่างกายของหม่าหงหยุนอย่างดุเดือด ตอนนี้ร่างกายของเขากำลังชักกระตุกอย่างรุนแรง
หลังจากชั่วครู่ประกายสายฟ้าก็จางหายไปขณะที่หม่าหงหยุนหอบหายใจอย่างหนักหน่วงพร้อมกับเหงื่อที่ไหลออกมาจากรูขุมขนทั้งร่างของเขา
“ล้มเหลวอีกครั้ง” ท่านหญิงหว่านซูขมวดคิ้วด้วยความโกรธ
หม่าหงหยุนถูกปรับแต่งโดยบอลสายฟ้ามาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แม้เขาจะพบกับความทุกข์ทรมาน แต่เขาก็ยังไม่ตาย นอกจากนี้ระดับการบ่มเพาะของเขายังพุ่งสูงขึ้นถึงระดับห้าขั้นสุดยอดอีกด้วย
สิ่งนี้ทำให้ท่านหญิงหว่านซูรู้สึกพูดไม่ออก
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1233 การรวมตัวของผู้อมตะภาคกลาง
แปลโดย iPAT
ภาคกลาง หมู่บ้านแห่งหนึ่ง
“ครืน…”
เสียงดังขึ้นบนภูเขา
หินและดินถล่มลงมาราวกับคลื่นน้ำ
“หนี! รักษาชีวิต!”
“ข้าจะตาย! ข้ากำลังจะตาย!”
“ท่านพ่อ ท่านอยู่ที่ใด อย่าทิ้งข้า!”
หมู่บ้านที่เคยเงียบสงบตกสู่ความสับสนวุ่นวาย
ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนพากันวิ่งหนีอย่างบ้าคลั่ง บางคนนอนอยู่บนพื้นด้วยความสิ้นหวัง เสียงเด็กร้องไห้ดังขึ้นภายใต้อ้อมกอดของมารดา หลายคนยอมแพ้ต่อภัยพิบัติครั้งนี้ไปแล้ว
ในสถานการณ์นี้มีร่างหนึ่งลอยอยู่บนท้องฟ้า
มันคือผู้อมตะระดับเจ็ด!
เขาอยู่ในชุดคลุมสีฟ้า ผมยาวถึงไหล่ และดูค่อนข้างบอบบาง
เขาขมวดคิ้วและพึมพำ “การไหลของดินโคลนเหล่านี้ค่อนข้างแปลก”
โดยปกติโคลนจะไหลลงมาเพราะฝนตกหนัก แต่ตอนนี้อากาศแจ่มใสมาก
ความจริงก็คือสภาพแวดล้อมในรัศมีหนึ่งหมื่นลี้ถูกจัดการอย่างลับๆโดยผู้อมตะระดับเจ็ดผู้นี้ เขามั่นใจว่าที่นี่จะมีฝนและแสงแดดในปริมาณที่เหมาะสมต่อการเพาะปลูก
“บึม!”
ทันใดนั้นหินสีเหลืองทองพลันปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน
ผู้อมตะระดับเจ็ดในชุดคลุมฟ้ามองไปที่ฉากนี้
เขาขมวดคิ้วก่อนจะคลายมันออก “โอ้ มันคือปูบึง”
ปูบึงเป็นสัตว์อสูรเดียวดายที่มีร่างกายปกคลุมด้วยเปลือกแข็ง มันปราศจากดวงตา นั่นทำให้มันไร้จุดอ่อน
มันเป็นราชาแห่งหนองน้ำ
ก้ามปูของมันเหมือนเสาเหล็กปลายแหลมที่ดูราวกับสามารถแยกภูเขาหรือผ่าร่างมังกร เท้าของมันหนาราวกับต้นไม้อายุมากกว่าร้อยปีและยังแหลมคมมาก
ผู้อมตะระดับเจ็ดในชุดคลุมฟ้ามองปูบึงตัวนี้และรู้สึกยินดี
เขาเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งวารี ส่วนปูบึงตัวนี้เป็นสัตว์อสูรบนเส้นทางแห่งวารีและปฐพี การฆ่ามันจะทำให้เขาได้รับทรัพยากรอมตะ
“แต่ปูบึงตัวนี้เป็นเพียงสัตว์อสูรเดียวดาย หากข้าเลี้ยงดูมันให้ดี มันอาจเติบโตขึ้นเป็นปูบึงบรรพกาลหรืออาจเป็นได้ถึงปูบึงแรกกำเนิด แต่หยุดฝันถึงสัตว์อสูรแรกกำเนิดไปก่อน มิติช่องว่างของข้าไม่สามารถรองรับสัตว์อสูรแรกกำเนิด อย่างไรก็ตามตอนนี้ข้าควรจับมันก่อนเป็นอันดับแรก”
เมื่อคิดได้เช่นนี้ผู้อมตะระดับเจ็ดในชุดคลุมฟ้าก็เริ่มโจมตีทันที
เขายื่นมือออกจากแขนเสื้อและเผยให้เห็นผิวสีขาวซีดกับนิ้วอันเรียวยาวของเขา
นิ้วทั้งสิบของเขาเคลื่อนไหวไปรอบๆอย่างงดงามและสร้างแสงหลากหลายสีขึ้น
นี่เป็นวิธีจัดการวิญญาณเฉพาะตัวของเขา
กลิ่นอายของวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนปะทุออกมาจากร่างกายของเขาและกระจายออกไปรอบๆ
ปูบึงไม่มีดวงตาแต่สัญชาตญาณสัตว์ป่าทำให้มันสัมผัสได้ถึงภัยคุกคาม
ปูบึงเร่งล่าถอย
เปลือกสีเหลืองทองของมันเริ่มจมลงสู่พื้นโคลน
แต่การจัดเตรียมของผู้อมตะระดับเจ็ดชุนคลุมฟ้าเสร็จสิ้นแล้ว ท่าไม้ตายอมตะของเขาถูกปลดปล่อยออกมา
คลื่นน้ำพุ่งเข้าโจมตีปูบึง
ปูบึงไม่สามารถหลบและถูกคลื่นซัดสาด แต่ร่างกายของมันยังไม่ขยับเขยื้อน
ริมฝีปากของผู้อมตะระดับเจ็ดชุดคลุมฟ้ายกตัวขึ้นเป็นรอยยิ้มแห่งชัยชนะ นิ้วทั้งสิบของเขาขยับอย่างรวดเร็วและทิ้งภาพติดตาเอาไว้เบื้องหลัง
นี่เป็นท่าไม้ตายอมตะที่ไม่ธรรมดา
ลูกพลัมแดงอมตะของเขาถูกใช้งานอย่างต่อเนื่อง คลื่นน้ำสีฟ้าอ่อนเปลี่ยนเป็นคลื่นน้ำสีน้ำเงินเข้มและมีพลังเพิ่มขึ้นสามเท่า
เกลียวคลื่นก่อตัวขึ้นภายใต้การชักใยของผู้อมตะระดับเจ็ด
ปูบึงไม่สามาถต่อต้าน ร่างกายที่ใหญ่โตของมันหมุนรอบตัวเองอย่างไม่สามารถควบคุม
ผู้อมตะระดับเจ็ดชุดคลุมฟ้าเคลื่อนไหวอีกครั้งและสร้างคลื่นยักษ์ขึ้น
“ตูม!”
คลื่นยักษ์พุ่งเข้าปะทะแผ่นหลังของปูบึง
เปลือกของปูบึงแข็งมากแต่ภายใต้พลังอำนาจของคลื่นยักษ์ มันกลับเกิดรอยแตกร้าวขึ้น
ปูบึงหมดสติลงทันที
ผู้อมตะระดับเจ็ดชุดคลุมฟ้าหัวเราะเสียงดัง เขายกนิ้วชี้ขึ้น
คลื่นน้ำปะทุขึ้นราวกับน้ำพุธรรมชาติและส่งร่างของปูบึงเคลื่อนที่เข้ามาหาผู้อมตะระดับเจ็ด
ผู้อมตะระดับเจ็ดเปิดทางเข้ามิติช่องว่างของตนและส่งปูบึงเข้าไป
“ผู้อมตะ! ผู้อมตะ!”
“ขอบคุณนายท่านผู้อมตะที่ช่วยหมู่บ้านของพวกเรา!”
“นายท่านผู้อมตะสามารถกำหราบสัตว์ประหลาดภูเขา!”
การต่อสู้ครั้งใหญ่ทำให้มนุษย์ในหมู่บ้านตกตะลึง
หลังการต่อสู้สิ้นสุดลง พวกเขาจึงตอบสนองด้วยการโห่ร้องและกราบไหว้
ผู้อมตะระดับเจ็ดในชุดคลุมฟ้าเผยรอยยิ้มบางขณะมองลงไปที่ผู้คนด้านล่าง
ปรากฏว่าระหว่างที่เขาต่อสู้กับปูบึง เขายังแบ่งความสนใจไปจัดการดินโคลนที่ถล่มจากภูเขา
“ดังคาด สมกับเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งวารีที่มีชื่อเสียงของภาคกลาง มู่หลิงหลาน” เป็นเพียงเวลานี้ที่เสียงสายหนึ่งดังลงมาจากก้อนเมฆด้านบน
ผู้อมตะระดับเจ็ดชุดคลุมฟ้าขยับนิ้วเก็บน้ำทั้งหมดกลับไป
จากนั้นเขาก็บินเข้าไปในกลุ่มเมฆเพื่อพบกับผู้อมตะอีกคน
ผู้อมตะผู้นี้อยู่ในชุดคลุมสีน้ำเงิน เขามีใบหน้ารูปสี่เหลี่ยม คิ้วหนา ดั้งจมูกสูง และดูเที่ยงธรรม
มู่หลิงหลานยิ้มและทักทาย “ผู้อาวุโสซือเก้อมาแล้ว”
ซือเก้อทักทายตอบ “ข้าพึ่งมาถึง แต่ผู้ใดจะคิดว่าข้าจะได้เห็นวิธีการกำหราบปูบึงของเจ้า”
มู่หลิงหลานโบกมืออย่างอ่อนน้อม “วิธีการของข้าเป็นเพียงกลเล็กๆสำหรับท่าน แต่ผู้อาวุโสซือเก้อ ข้าได้ยินว่าท่านได้รับคำสั่งจากวังสวรรค์ให้เข้าร่วมการต่อสู้ที่ภาคเหนือ?”
ซือเก้อพยักหน้า “ถูกต้อง มู่หลิงหลาน เจ้าก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน เหตุใดพวกเราไม่ไปพร้อมกัน”
มู่หลิงหลานตอบ “เป็นเกียรติสำหรับข้าที่ได้เดินทางร่วมกับผู้อาวุโส”
ดังนั้นทั้งสองจึงออกเดินทางพร้อมกัน
มนุษย์ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง พวกเขามองดูท้องฟ้าและถอนหายใจ
มู่หลิงหลานและซือเก้อพูดคุยกันตลอดทาง
แม้พวกเขาจะเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดเช่นเดียวกัน แต่ซือเก้ออาวุดสกว่า เขาผ่านภัยพิบัติใหญ่ไปแล้วสองครั้งขณะที่มู่หลิงหลานยังไม่ผ่านภัยพิบัติใหญ่ครั้งแรก ดังนั้นมู่หลิงหลานจึงขอคำแนะนำขณะที่ซือเก้อชี้แนะบางสิ่งกับเขา
อย่างไรก็ตามระหว่างทางซือเก้อกลับบินลงไปด้านล่างอย่างกะทันหันขณะที่มู่หลิงหลานลอยอยู่กลางอากาศ
มู่หลิงหลานไม่เข้าใจ ที่นี่ไม่ใช่จุดรวมตัว
ซือเก้อยิ้ม “ขอโทษด้วย ข้ามีบุตรชายชื่อเจิ้งอี้ เขาพึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ เขายังขาดประสบการณ์และยังเด็กมาก ข้าตั้งใจจะพาเขาไปเที่ยวที่ภาคเหนือด้วยเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์”
“เป็นเช่นนั้น” มู่หลิงหลานเข้าใจในที่สุด
ด้านล่างมีเมืองเล็กๆตั้งอยู่
ในโรงเตี้ยมแห่งหนึ่งมีนักเล่านิทานกำลังเล่านิทานเกี่ยวกับความยุติธรรมและความกล้าหาญ
“ดี ฆ่ามัน!” ท่ามกลางผู้ฟังมากมาย มีเด็กหนุ่มคิ้วหนาผู้หนึ่งแต่งตัวเหมือนชาวนา เขาปรบมืออย่างมีความสุขเมื่อได้ยินเรื่องราวของตัวเอกที่สังหารคนรวยและช่วยเหลือคนจน
เสียงกรีดร้องของเด็กหนุ่มทำให้ผ้าม่านสั่นสะเทือนเล็กน้อย
นักเล่านิทานตกใจและหยุดพูดชั่วคราว
ผู้ฟังพึมพำอย่างไม่มีความสุข “เจ้าจะกรีดร้องเพื่อสิ่งใด?”
“เสียงกรีดร้องของเจ้าแทบทำให้พวกเราตกใจกลัว!”
“เหตุใดต้องกรีดร้อง ฟังอย่างเงียบๆ มิฉะนั้นพวกเราจะไล่เจ้าออกไป เจ้าชาวนาตัวน้อย!”
ใบหน้าของเด็กหนุ่มกลายเป็นแดงก่ำ เขาเกาศีรษะและมองไปรอบๆด้วยความลำบากใจ “ขอโทษทุกท่านด้วย”
เด็กหนุ่มค่อยๆนั่งลง แต่ทันใดนั้นการแสดงออกของเขากลับเปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหัน เขาผุดลุกขึ้นและทำให้โต๊ะพลิกคว่ำ นี่ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นอีกครั้ง
“เกิดสิ่งใดขึ้นอีก เจ้าเด็กบ้า!”
“เจ้าเด็กบ้า อยากเจ็บตัวงั้นหรือ?”
ผู้คนรอบๆโกรธมาก แต่ทันใดนั้นร่างของเด็กหนุ่มกลับส่องประกาบขึ้นขณะที่เขาพุ่งออกจากโรงเตี้ยมราวกับลูกศรและบินขึ้นไปบนท้องฟ้า
โรงเตี้ยมตกสู่ความโกลาหลครั้งใหญ่ ผู้คนแตกตื่นและส่งเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจ
เด็กหนุ่มบินเข้าไปหาซือเก้อกับมู่หลิงหลานและป้องหมัดขึ้นทักทายอย่างสุภาพ
เขาเป็นบุตรของซือเก้อ ซือเจิ้งอี้
ผู้อมตะทั้งสามเดินทางต่อไปอีกไม่กี่วันก่อนจะบรรลุถึงเทือกเขาแห่งหนึ่ง
มีคฤหาสน์วิญญาณอมตะหลังหนึ่งตั้งอยู่ที่นี่
มันเป็นศาลาที่งดงามที่แขวนกรงนกจำนวนมากเอาไว้ขณะเดียวกันก็มีเสียงนกร้องดังขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง
มันคือคฤหาสน์วิญญาณอมตะของนิกายบัวสวรรค์ ศาลานกขมิ้น
ซือเก้อพยักหน้าเล็กน้อยเมื่อเห็นสิ่งนี้ “ข้าได้ยินมาว่าคฤหาสน์วิญญาณอมตะจะถูกส่งออกมา แต่ผู้ใดจะคิดว่าวังสวรรค์จะเลือกศาลานกขมิ้น นี่เป็นทางเลือกที่ดี”
มู่หลิงหลานกล่าวเสริม “นิกายบัวสวรรค์ถูกสร้างขึ้นโดยเทพอมตะบัวสวรรค์ พวกเขามีคฤหาสน์วิญญาณอมตะระดับสูงหลายหลัง แต่ดูเหมือนพวกเขาจะนำออกมาเพียงหลังเดียว”
ซือเจิ้งอี้ถามด้วยความสับสน “นิกายบัวสวรรค์มีศาลานกขมิ้น วังเย่หยาง และสระสวรรค์ นอกจากนี้พวกเขายังมีคฤหาสน์วิญญาณอมตะหลังที่สี่อีกงั้นหรือ?”
มู่หลิงหลานยิ้ม “เสี่ยวอี้ เจ้าอาจไม่รู้ ในปัจจุบันนิกายบัวสวรรค์สามารถสร้างคฤหาสน์วิญญาณอมตะหลังที่สี่ขึ้นมาแล้วแต่มันถูกเก็บเป็นความลับ”
ซือเจิ้งอี้ได้ยินเรื่องนี้และคิด ‘ผู้อาวุโสมู่หลิงหลานมาจากนิกายผีเสื้อจิตวิญญาณ นิกายนี้มีทักษะที่โดดเด่นด้านการรวบรวมข้อมูล มันไม่แปลกหากเขาจะรู้ความลับบางอย่าง แต่นิกายบัวสวรรค์มีคฤหาสน์วิญญาณอมตะหลังที่สี่แล้ว นี่เป็นเรื่องที่น่าตกใจจริงๆ’
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1234 วิญญาณอมตะระดับสิบ
แปลโดย iPAT
ภาคกลาง นิกายคฤหาสน์วิญญาณ
“ท่าไม้ตายอมตะฝนดาวตก!” จ้าวเหลียนหยุนตะโกนพร้อมกับแสงสว่างที่พุ่งออกมาจากร่างของนาง
แสงพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าและหายไปในพริบตา
ในช่วงเวลาต่อมาพื้นที่สีขาวที่ถูกสร้างขึ้นจากค่ายกลวิญญาณพลันเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน
“ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว…”
ฝนดาวตกร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าสร้างเป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจ
ฝนดาวตกพุ่งเข้าโจมตีเต่าอสูรเดียวดายที่มีร่างกายใหญ่โตราวกับภูเขา
แขนขาทั้งสี่และหัวของมันหดเข้าไปในกระดอง
ฝนดาวตกปะทะแผ่นหลังของเต่าอสูรเดียวดายและระเบิดทำลายกระดองของมันออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยขณะที่พื้นที่รอบๆกลายเป็นหลุมบ่อ
ฝนดาวตกกินเวลานานถึงยี่สิบลมหายใจก่อนจะหยุดลง
ใบหน้าของจ้าวเหลียนหยุนปกคลุมไปด้วยเม็ดเหงื่อขณะที่นางรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก
เสียงสายหนึ่งดังขึ้น “ไม่เลว จ้าวเหลียนหยุน เจ้าเชี่ยวชาญท่าไม้ตายนี้มาก เช่นนั้นต่อไปฝึกท่าไม้ตายสายป้องกัน”
ซากศพเต่าอสูรเดียวดายกลายเป็นอีกาสีดำ
ฝูงอีกาหลายหมื่นตัวพุ่งเข้าโจมตีจ้าวเหลียนหยุนจากทุกทิศทาง
ดวงตาของจ้าวเหลียนหยุนส่องประกายขึ้น นางกัดฟันแน่นและกระตุ้นใช้วิญญาณอมตะเพื่อป้องกันการโจมตีจากฝูงอีกา
ครั้งนี้ร่างกายของนางถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีเงิน
ชั้นแสงสีเงินปกป้องนางจากจงอยปากอีกาจำนวนนับไม่ถ้วน
“ปัง ปัง ปัง ปัง…”
ฝูงอีกาโจมตีโล่แสงสีเงินของจ้าวเหลียนหยุนอย่างไม่หยุดยั้ง
พลังงานอมตะของนางถูกใช้จ่ายไปอย่างรวดเร็ว
‘ข้าต้องคิดแผน!’ จ้าวเหลียนหยุนคิดและเริ่มใช้ท่าไม้ตายอมตะสายป้องกัน
นางประสบความสำเร็จในการกระตุ้นใช้งานท่าไม้ตายอมตะสายป้องกันตั้งแต่ครั้งแรก
ท่าไม้ตายอมตะโซ่เงินสังหาร!
แสงสีเงินบนร่างของนางเปลี่ยนเป็นโซ่สีเงินหกเส้นบินออกมา
โซ่เงินเคลื่อนไหวราวกับมังกรและพุ่งเข้าสังหารฝูงอีกาอย่างไม่รู้สิ้นสุด
อีกาจำนวนมากตกตายลง ในรัศมีสิบเมตรรอบตัวจ้าวเหลียนหยุนไม่เหลืออีกาที่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป
โซ่เงินเคลื่อนที่เป็นทรงกลมและกลายเป็นปราการที่แข็งแกร่งปกป้องจ้าวเหลียนหยุนเอาไว้ภายใน อีกาที่พุ่งเข้ามาจะถูกฉีกกระชากเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทันที
‘ท่าไม้ตายอมตะนี้ยอดเยี่ยมมาก มันสามารถโจมตีและป้องกันได้ในเวลาเดียวกัน’ จ้าวเหลียนหยุนรู้สึกมีความสุขมาก
ผู้อมตะที่ควบคุมค่ายกลวิญญาณลอบถอนหายใจ ‘จ้าวเหลียนหยุนเป็นปีศาจต่างโลก การบ่มเพาะของนางถูกยกขึ้นสู่ระดับห้าขั้นสุดยอดโดยความช่วยเหลือของวิญญาณอมตะ หลังจากได้รับมิติช่องว่างเทียมจากวังสวรรค์ นางแสดงความสามารถที่โดดเด่นออกมาทันที หลังจากฝึกฝนเพียงเล็กน้อย นางก็เชี่ยวชาญท่าไม้ตายอมตะเหล่านี้แล้ว’
แน่นอนว่าท่าไม้ตายอมตะเหล่านี้ได้รับการคัดเลือกมาเป็นพิเศษสำหรับจ้าวเหลียนหยุนโดยวังสวรรค์ พวกมันทั้งทรงพลัง ควบคุมง่าย และใช้วิญญาณเพียงไม่กี่ดวง
“เอาล่ะ ต่อไปเราจะฝึกวิธีการรักษาของเจ้า เจ้าจะได้รับบาดเจ็บ แต่ไม่จำเป็นต้องกังวลหรือตกใจ ตราบเท่าที่เจ้าใช้ท่าไม้ตายอมตะ เจ้าจะหายดี” ผู้อมตะผู้ควบคุมค่ายกลวิญญาณกล่าว
จ้าวเหลียนหยุนพยักหน้าและเห็นฝูงอีกาหายไป
นางแสดงความกังวลออกมาและถาม “ข้าฝึกมาครึ่งปีแล้ว ข้าจะสามารถเดินทางไปภาคเหนือได้เมื่อใด?”
ผู้อมตะผู้ควบคุมค่ายกลวิญญญาณอธิบาย “อย่ากังวล ที่นี่คือค่ายกลวิญญาณ หนึ่งปีของที่นี่เท่ากับหนึ่งวันของโลกภายนอกเท่านั้น มีเวลาค่อนข้างจำกัดขณะที่การต่อสู้ระหว่างผู้อมตะไม่เหมือนการฝึกซ้อม มีสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา”
“เช่นนั้นให้ข้าฝึกการต่อสู้จริง!” จ้าวเหลียนหยุนตะโกน
ค่ายกลวิญญาณบนเส้นทางแห่งกาลเวลานี้ตั้งอยู่ในนิกายคฤหาสน์วิญญาณ
แต่ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นภายในอยู่ภายใต้การเฝ้ามองของวังสวรรค์
วังสวรรค์
เทพธิดาจื่อเว่ยมองจ้าวเหลียนหยุนและแสดงออกด้วยความกังวล “ท่านราชันมังกร ท่านคิดว่าการฝึกเช่นนี้จะช่วยให้จ้าวเหลียนหยุนสามารถปรับตัวกับสนามรบได้หรือไม่? มันเร่งรีบเกินไป พลังการต่อสู้ของนางไม่สามารถพึ่งพาได้”
แม้ราชันมังกรจะดื่มวารีมังกรสวรรค์ที่แท้จริงเข้าไปแล้ว แต่มันไม่ได้ช่วยเพิ่มอายุขัยของเขา
ตอนนี้เขายังดูสูงอายุและอ่อนแอมาก
เขานั่งอยู่ตรงข้ามกับเทพธิดาจื่อเว่ยโดยมีกระดานหมากรุกคั่นอยู่ตรงกลาง
กระดานหมากรุกนี้มีต้นกำเนิดที่ยิ่งใหญ่ มันเป็นคฤหาสน์วิญญาณอมตะที่ถูกสร้างขึ้นโดยเทพอมตะกลุ่มดาว เทพอมตะกลุ่มดาวเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาและนี่เป็นคฤหาสน์วิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาอันดับหนึ่งของแผ่นดิน
เทพธิดาจื่อเว่ยมีคุณสมบัติเพียงพอ แต่หลังจากราชันมังกรตื่นขึ้น เขาได้รับตำแหน่งผู้นำคนใหม่ของวังสวรรค์ทันที สำหรับคฤหาสน์วิญญาณอมตะในตำนาน มันถูกมอบให้กับเทพธิดาจื่อเว่ย นี่ทำให้ความสามารถในการอนุมานของนางบรรลุถึงระดับที่น่ากลัว
เมื่อได้ยินข้อสงสัยของเทพธิดาจื่อเว่ย ราชันมังกรเผยรอยยิ้มบาง “เราไม่สามารถพึ่งพาจ้าวเหลียนหยุน แต่ข้าก็ไม่คิดที่จะพึ่งพานาง”
ดวงตาของเทพธิดาจื่อเว่ยส่องประกายขึ้น “ท่านราชันมังกรต้องการกล่าวถึงวิญญาณแห่งความรัก?”
“ถูกต้อง” ราชันมังกรพยักหน้า “วิญญาณแห่งความรักมีความพิเศษมาก มันเป็นวิญญาณอมตะระดับเก้า วิญญาณอมตะทั่วไปมีพลังอำนาจเพียงหนึ่งเดียว แต่วิญญาณแห่งความรักสามารถทำทุกสิ่ง สิ่งสำคัญที่สุดคือวิญญาณแห่งความรักสามารถต่อต้านโชคชะตาและโชค”
“ต่อต้านโชคชะตา?” เทพธิดาจื่อเว่ยพึมพำด้วยความตกใจเล็กน้อย
“ถูกต้อง ความรักสามารถต่อต้านโชคชะตา มิฉะนั้นเทพปีศาจบัวแดงจะสามารถทำร้ายวิญญาณชะตากรรมได้อย่างไร?” ราชันมังกรกล่าวความลับที่น่าตกตะลึงออกมา เมื่อเขากล่าวถึงเทพปีศาจบัวแดง น้ำเสียงของเขากลายเป็นเคร่งขรึมและซับซ้อน
เทพธิดาจื่อเว่ยตกใจเล็กน้อย “อันใด? ย้อนกลับไปเทพปีศาจบัวแดงได้รับการยอมรับจากวิญญาณแห่งความรักเช่นนั้นหรือ?”
“ถูกต้อง” ราชันมังกรยืนยันเรื่องนี้ “เทพปีศาจบัวแดงไม่ใช่ปีศาจต่างโลก แล้วเขาจะทำลายวิญญาณชะตากรรมได้อย่างไรหากปราศจากความช่วยเหลือจากวิญญาณแห่งความรัก”
“หลังการต่อสู้บนภูเขาอี้เทียน กองกำลังพันธมิตรผีดิบถูกกำจัดออกไป เหลือสมาชิกนิกายเงาเพียงไม่กี่คนและเทพปีศาจจิตวิญญาณที่ถูกขังอยู่ในอาณาจักรแห่งความฝัน ผู้คนที่หลบหนีจากโชคชะตาจำนวนมากถูกทำลาย วิญญาณชะตากรรมจึงฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว นี่เป็นตัวช่วยที่ดี”
ราชันมังกรหยุดพักก่อนกล่าวต่อ “อย่างไรก็ตามกระทั่งวิญญาณชะตากรรมจะฟื้นตัวขึ้นอย่างสมบูรณ์ แต่วังสวรรค์ของเรายังไม่สามารถกู้คืนความรุ่งโรจน์ในอดีต”
“นี่…เป็นเพราะเทพอมตะตะวันเดือดงั้นหรือ?” เทพธิดาจื่อเว่ยอนุมานและได้รับคำตอบทันที
ราชันมังกรสูดหายใจลึก “ถูกต้อง ในอดีตโชคชะตาไม่สามารถเปลี่ยนแปลง ตราบเท่าที่พวกเรามีวิญญาณชะตากรรม วังสวรรค์จะมีช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ แต่ตอนนี้มีเส้นทางแห่งโชคเกิดขึ้นเนื่องจากเทพอมตะตะวันเดือด โชคเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน”
“แม้วิญญาณชะตากรรมจะฟื้นตัวขึ้นอย่างสมบูรณ์ แต่เราไม่สามารถควบคุมความไม่แน่นอน มีเพียงการควบคุมเส้นทางแห่งโชคเท่านั้นที่จะทำให้วังสวรรค์กลายเป็นกฎของห้าภูมิภาคอย่างแท้จริง”
“ดังนั้นท่านราชันมังกรจึงถ่ายทอดคำสั่งให้ผู้อมตะระดับสูงจากสิบนิกายโบราณเดินทางไปภาคเหนือและช่วงชิงวิญญาณอมตะโชคชะตาท้าทายสวรรค์ หากพวกเราได้รับวิญญาณอมตะดวงนี้ วังสวรค์จะสามารถควบคุมโชค?” เทพธิดาจื่อเว่ยถาม
ราชันมังกรพยักน้าและส่ายศีรษะ “เทพอมตะตะวันเดือดมีมรดกที่แท้จริงสามอย่าง โชคของตนเอง โชคของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด และโชคแห่งสวรรค์พิภพ วิญญาณอมตะโชคชะตาท้าทายสวรรค์เป็นหนึ่งในมรดกโชคของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด มันจะดูดซับโชคจากสิ่งมีชีวิตที่อยู่รอบๆ”
“ลองมองไปที่หม่าหงหยุน ผลกระทบของวิญญาณอมตะโชคชะตาท้าทายสวรรค์ส่งผลกระทบต่อผู้คนรอบข้างเขา มันดูดซับโชคจากผู้คนเหล่านั้นและนำมาให้หม่าหงหยุน นั่นเป็นเหตุผลที่ปีศาจอมตะเซี่ยหูและท่านหญิงหว่านซูล้มเหลวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อมันเป็นวิญญาณอมตะระดับแปด โอกาสประสบความสำเร็จในการหลอมรวมมันต่ำมาก”
“วิญญาณอมตะโชคชะตาท้าทายสวรรค์อาจเป็นวิญญาณอมตะระดับแปดแต่พลังอำนาจของมันถือเป็นกึ่งระดับเก้า หากวิญญาณอมตะโชคชะตาท้าทายสวรรค์มีเวลาดูดซับโชคจากสิ่งมีชีวิตที่อยู่รอบๆมากพอ มันจะมอบโชคที่ยิ่งใหญ่ให้กับคนผู้หนึ่ง นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่เทพอมตะตะวันเดือดตั้งชื่อมันว่าโชคชะตาท้าทายสวรรค์ มันเป็นสิ่งที่สามารถท้าทายสวรรค์พิภพอย่างแท้จริง!”
“เป็นเช่นนั้น” ได้ยินคำกล่าวของราชันมังกร เทพธิดาจื่อเว่ยเกิดความเข้าใจมากขึ้น
แม้ราชันมังกรจะมาจากยุคดึกดำบรรพ แต่ระหว่างการจำศีล เขาได้ตื่นขึ้นหลายครั้งและได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างที่สูญหายไปแล้วตามกาลเวลา
ราชันมังกรกล่าวต่อ “หากเราได้รับวิญญาณอมตะโชคชะตาท้าทายสวรรค์ มันก็เหมือนกับเราได้รับการบ่มเพาะครึ่งชีวิตของเทพอมตะตะวันเดือด”
“ในอนาคตหากเรามีโอกาส เราต้องค้นหาโชคแห่งสวรรค์พิภพเพื่อควบคุมเส้นทางแห่งโชคทั้งหมด”
“เมื่อวิญญาณชะตากรรมฟื้นตัวขึ้นอย่างสมบูรณ์ วังสวรรค์จะกลายเป็นผู้ปกครองโลกอย่างแท้จริง”
“หากพวกเราสามารถหลอมรวมวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งโชคกับวิญญาณชะตากรรม พวกเราอาจสามารถสร้างวิญญาณอมตะระดับสิบ พรหมลิขิต! ด้วยวิธีนี้วังสวรรค์จะเข้าใจเจตจำนงสวรรค์อย่างลึกซึ้ง เราจะเป็นผู้ปกครองจักรวาลทั้งหมด!”
ราชันมังกรกล่าวอย่างแผ่วเบาแต่ในตอนท้ายดวงตาของเขากลับส่องประกายด้วยความคลั่งไคล้และร้อนแรง
“วิญญาณอมตะระดับสิบ!?” กระทั่งผู้อมตะระดับเทพธิดาจื่อเว่ยก็ยังรู้สึกพูดไม่ออกเมื่อได้ยินความลับดังกล่าว
“เหนือระดับเก้ามีระดับสิบอยู่จริงงั้นหรือ?” เทพธิดาจื่อเว่ยถามด้วยความตกใจและไม่อยากจะเชื่อ
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1235 จุดจบของงานประลองทุ่งโลหิต
แปลโดย iPAT
ราชันมังกรถอนหายใจ “ข้าไม่สามารถบอกเจ้าได้ว่ามีขอบเขตของผู้อมตะระดับสิบ แต่วิญญาณอมตะระดับสิบมีอยู่จริง นี่เป็นสิ่งที่ได้รับการยืนยันแล้วโดยเทพอมตะสวรรค์พิภพ”
เทพอมตะสวรรค์พิภพเป็นผู้อมตะระดับเก้าหลังจากเทพปีศาจจิตวิญญาณ เขาเป็นคนดีและมีเมตตา เขาไม่ค่อยติดต่อกับผู้คน เขารักความสงบ เช่นเดียวกับเทพอมตะตะวันเดือด เทพอมตะสวรรค์พิภพไม่ได้เข้าร่วมกับวังสวรรค์
ตลอดระยะเวลาอันยาวนานในประวัติศาสตร์ วังสวรรค์มีผู้อมตะระดับเก้าเพียงไม่กี่คนได้แก่เทพอมตะแรกกำเนิด เทพอมตะกลุ่มดาว และเทพอมตะบัวสวรรค์
…..
ภาคเหนือ
งานประลองทุ่งโลหิตบรรลุถึงการต่อสู้ครั้งสุดท้าย
ชูตู๋เดินออกมาและกล่าว “ข้ารู้สึกเป็นเกียรตินัก”
เบื้องหน้าเขาคือผู้อมตะหญิงที่แต่งกายราวกับชาววัง นางดูสง่างามและปลดปล่อยกลิ่นอายที่ไม่สามารถสร้างความโกรธเคืองออกมา
มันคือกงหว่านถิง
ภรรยาขององค์ชายฟงเซี่ยน
กงหว่านถิงแสดงออกด้วยใบหน้าเคร่งขรึมขณะที่น่างถอนหายใจเบาๆ “จักรพรรดิอมตะ เจ้าช่างยอดเยี่ยมสมฉายานัก เจ้าเอาชนะหลิวจวนเฉิงและเหยาหยวนอิงติดต่อกัน ไม่ว่าผลของการต่อสู้ครั้งนี้จะเป็นอย่างไร ชื่อเสียงของจักรพรรดิอมตะก็ยังจะแพร่กระจายออกไปทั่วทั้งภาคเหนือ”
ใบหน้าของหลิวจวนเฉิงและเหยาหยวนอิงที่ถูกกล่าวถึงยังคงซีดขาว ชูตู๋แข็งแกร่งกว่าทั้งสองมาก
การต่อสู้ส่วนใหญ่ของงานประลองทุ่งโลหิต ตระกูลฮวงจินสามารถปราบปรามนิกายชูและพันธมิตรเผ่าไป่ซู
แต่ในตอนท้ายเมื่อชูตู๋เข้าสู่สนามรบ กองกำลังฝ่ายธรรมะก็ถูกกำหราบทันที
พลังอำนาจของจักรพรรดิอมตะทำให้ผู้อมตะตระกูลฮวงจินรู้สึกหวาดกลัว
นี่เป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้าย ฝ่ายธรรมะไม่สามารถส่งผู้ใดออกมาอีก ดังนั้นกงหว่านถิงจึงต้องออกมาด้วยตนเอง
นี่เป็นการต่อสู้ระหว่างผู้นำของทั้งสองฝ่าย
“เชิญ” ชูตู๋สุภาพมาก แม้เขาจะได้รับบาดเจ็บ แต่เขาก็ไม่ตื่นตระหนก
ความประหลาดใจปรากฏขึ้นในดวงตาของกงหว่านถิง นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “จักรพรรดิอมตะช่างกล้าหาญอย่างแท้จริง”
หลังกล่าวจบคำแสงสีม่วงก็พุ่งเข้าโจมตีชูตู๋ราวกับกระบี่อันแหลมคม
ชูตู๋คำรามและเดินไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ
การต่อสู้อันดุเดือดทำให้สวรรค์พิภพสั่นสะเทือน ทั้งสองฝ่ายแลกเปลี่ยนกระบวนท่าอย่างต่อเนื่อง หลังจากหลายร้อยกระบวนท่าก็ยังไม่ปรากฏผู้ชนะ ผู้อมตะที่เฝ้ามองการต่อสู้ครั้งนี้ต้องล่าถอยออกไปสามหมื่นลี้เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่ไม่คาดคิดจากการต่อสู้ระหว่างชูตู๋กับกงหว่านถิง
ชูตู๋อาจได้รับบาดเจ็บแต่เขายังโจมตีมากกว่าป้องกันขณะที่กงหว่านถิงทำตรงกันข้ามและมีพลังงานเต็มเปี่ยม
การต่อสู้ที่รุนแรงดำเนินไปอีกร้อยรอบ ชูตู๋ได้รับบาดเจ็บเพิ่มขึ้น แต่กงหว่านถิงก็ไม่มีช่วงเวลาที่สะดวกสบายอีกต่อไป นางมองชูตู๋ด้วยความเคร่งเครียดและไม่กล้าประมาท
ผู้ชมทั้งหมดรู้สึกอัศจรรย์ใจมาก พวกเขาต่างแสดงความคิดเห็นอย่างไม่รู้จบสิ้น นี่เป็นการปะทะกันระหว่างผู้อมตะระดับเจ็ดบนจุดสูงสุดที่เป็นรองเพียงผู้อมตะระดับแปดเท่านั้น
ดวงอาทิตย์ตก ดวงจันทร์ขึ้น ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ การต่อสู้ยังไม่สามารถตัดสิน
มันไม่แม้แต่จะลดความร้อนแรงลง
กระทั่งถึงรุ่งเช้าของวันที่สอง ทั้งสองฝ่ายนอ่อนแอลงมาก การต่อสู้กำลังจะถึงจุดสิ้นสุด
ผู้ชมต่างกลั้นหายใจและเฝ้ามองการต่อสู้ครั้งนี้โดยไม่กระพริบตา
แต่ในจังหวะนี้เสาแสงกลับพุ่งลงมาและแยกชูตู๋กับกงหว่านถิงออกจากกัน
“พอแล้ว การต่อสู้ครั้งนี้จะจบลงด้วยการเสมอ” ผู้อมตะระดับแปดเหยากวงปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ
เขามองไปในระยะไกลและกล่าว “จักรพรรดิสวรรค์เห็นด้วยกับข้าหรือไม่?”
จักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูปรากฏตัวขึ้นบนท้องฟ้าและพยักหน้า “เราจะต่อสู้กันบนท้องฟ้า”
หลังกล่าวจบคำ ผู้อมตะระดับแปดทั้งสองก็บินเข้าสู่สวรรค์สีขาวภายใต้การจ้องมองของทุกคน
ในไม่ช้าผู้อมตะทั้งหมดก็ได้ยินเสียงระเบิดที่รุนแรงมาจากสวรรค์สีขาว
จักรพรรดิอมตะชูตู๋พ่นลมหายใจออกมา เขาพอใจกับผลลัพธ์นี้
กงหว่านถิงมีสถานะพิเศษ นางเป็นภรรยาขององค์ชายฟงเซี่ยน ชูตู๋ต้องคิดถึงเรื่องนี้และไม่สามารถสังหารนางได้ หากเขาทำ มันจะเป็นการสร้างความขุ่นเคืองให้กับองค์ชายฟงเซี่ยน
หากชูตู๋เป็นผู้บ่มเพาะสันโดษ เขาอาจไม่กลัว แต่เมื่อเขาก่อตั้งนิกายชู ทุกอย่างจึงแตกต่างออกไป
นอกจากนั้นชูตู๋ยังแสดงความสามารถที่น่าทึ่งออกมาในงานประลองทุ่งโลหิต เพื่อประโยชน์ของเผ่าไป่ซู จักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูย่อมไม่ปล่อยให้ชูตู๋ตายอยู่ที่นี่
เช่นเดียวกับสิ่งที่เหยากวงและจักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูได้พูดคุยกันก่อนหน้านี้ การประลองครั้งนี้ทำให้ทั้งสองฝ่ายสามารถลดความสูญเสีย
“เหลือเชื่อ! สวรรค์สีขาวเกิดรอยแตกร้าว!”
“นี่สามารถบอกได้ว่าการต่อสู้ของพวกเขารุนแรงเพียงใด!”
“น่าเสียดายที่เราไม่สามารถเข้าไปในสวรรค์สีขาวและชมการต่อสู้โดยตรง”
ทุกคนพูดคุยเกี่ยวกับการต่อสู้ครั้งนี้
การต่อสู้ระหว่างจักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูกับเหยากวงจะตัดสินทุกอย่าง
ในงานประลองทุ่งโลหิต แม้จะมีการสูญเสียมากมาย แต่ผู้อมตะที่ตายก็มีไม่มาก ส่วนใหญ่เป็นผู้อมตะระดับหก มีผู้อมตะระดับเจ็ดเพียงเล็กน้อย การสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือเย่หลิวชุนซิง
หลังจากนั้นก็ไม่มีการเสียชีวิตเกิดขึ้นอีก
แน่นอนว่าอาการบาดเจ็บของผู้อมตะเป็นปัญหาใหญ่
เนื่องจากพลังงานแห่งเต๋า มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะรักษา ผู้อมตะต้องจ่ายด้วยราคามหาศาล
บนสวรรค์สีขาว
จักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูและเหยากวางนั่งตรงข้ามกันโดยมีกระดานหมากรุกคั่นอยู่ตรงกลาง
“เชิญชิมชาทองคำเปลวที่ข้าพึ่งคิดค้นขึ้นใหม่” เหยากวงหัวเราะเบาๆและแนะนำชาของเขา
จักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูดื่มมันและพยักหน้าก่อนจะหยิบขนมถุงใหญ่ออกมา
“นี่คือตะขาบทอดสูตรพิเศษของข้า”
ผู้อมตะระดับแปดทั้งสองดื่มชาและกินตะขาบทอดขณะเล่นหมากรุก กล่าวได้ว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ผ่อนคลาย
เหยากวงถอนหายใจ “ตะขาบทอดนี้สดใหม่และอร่อยมาก ข้าไม่เคยเบื่อหน่ายรสชาติของมัน มันถือเป็นอาหารเลิศรสอย่างแท้จริง”
จักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูกล่าวชมเช่นกัน “ชาทองคำเปลวของพี่เหยายอดเยี่ยมกว่าชาใบเงิน ดูเหมือนท่านเข้าใกล้ความสำเร็จในการหลอมรวมวิญญาณอมตะฟื้นคืนจากความตายแล้ว”
ชาหรือสุราทุกชนิดถือได้ว่าเป็นเคล็ดลับในการหลอมรวมวิญญาณบนเส้นทางอาหารที่ไม่สมบูรณ์
บ่อยครั้งที่การแข่งขันบนเส้นทางแห่งการหลอมรวมระหว่างผู้อมตะจะใช้การผลิตสุราหรือชาเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาหรือปกป้องชื่อเสียง
เมื่อผู้อมตะได้ลิ้มรสชาติของชาหรือสุราของฝ่ายตรงข้าม พวกเขาจะเข้าใจความสามารถในการหลอมรวมของอีกฝ่าย
แน่นอนว่านี่เป็นวิธีที่คลุมเครือมาก มันเป็นเพียงการตรวจสอบอย่างหยาบๆและไม่สามารถบ่งบอกทักษะที่แท้จริงของฝ่ายตรงข้าม
จักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูรับรู้ถึงรสชาติที่แตกต่างออกไปในชาชนิดใหม่ของเหยากวงเนื่องจากเขาเคยดื่มชาใบเงินของเหยากวงมาก่อน เมื่อเปรียบเทียบชาทั้งสอง จักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูสามารถตัดสินว่าทักษะการหลอมรวมของเหยากวงพัฒนาขึ้น
พัฒนาการนี้ชัดเจนว่าเกิดจากความพยายามหลอมรวมวิญญาณอมตะฟื้นคืนจากความตายของเหยากวง
สำหรับจักรพรรดิสวรรค์ไป่ซู ขนมที่เขาสร้างขึ้นไม่ง่ายเช่นกัน มันแสดงถึงความสำเร็จบนเส้นทางแห่งการหลอมรวมของเขา
แต่ในช่วงที่ผ่านมาจักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูยุ่งอยู่กับการสร้างเผ่าไป่ซูและการบุกโจมตีถ้ำสวรรค์ไห่ฟาน ดังนั้นทักษะบนเส้นทางแห่งการหลอมรวมของเขาจึงไม่ได้พัฒนาขึ้นมากนัก นี่เป็นเหตุผลที่ตะขาบทอดของเขาไม่แตกต่างจากเดิม
เป็นเพียงเวลานี้ที่เหยากวงมองลงไปด้านล่าง
ไม่ไกลจากพวกเขามีสองร่างกำลังต่อสู้กัน
คนหนึ่งมีลักษณะคล้ายกับจักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูขณะที่อีกคนดูคล้ายเหยากวง
บนพื้นพิภพด้านล่างสวรรค์สีขาว ผู้อมตะในทุ่งโลหิตยังส่งเสียงโห่ร้องอย่างไม่หยุดยั้ง
เหยากวงชมเชย “จักรพรรดิสวรรค์มีทักษะการสร้างร่างแยกที่ลึกล้ำนัก แท้จริงแล้วเจ้าสามารถสร้างร่างแยกที่มีพลังการต่อสู้ของผู้อมตะระดับแปดได้ถึงสามสิบส่วน”
จักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูหัวเราะ “ข้าไม่ควรได้รับคำชมนี้ ถ้ำสวรรค์นิรันดรครอบครองหนึ่งในท่าไม้ตายอมตะของเทพปีศาจปล้นสวรรค์ คู่เหมือน มันสามารถสร้างร่างแยกที่มีพลังทัดเทียมกับร่างจริง สำหรับวิธีการของข้า มันไม่สามารถเปรียบเทียบกับท่าไม้ตายอมตะของเทพปีศาจปล้นสวรรค์”
เหยากวงยิ้ม
เขาเข้าใจความตั้งใจของจักรพรรดิสวรรค์ไป่ซู
เหยากวงอธิบาย “อย่าได้กังวล จักรพรรดิสวรรค์ ตราบเท่าที่ผู้อมตะจากถ้ำสวรรค์นิรันดรไม่ปรากฏตัว เพียงป้ายคำสั่ง ไม่สามารถบีบบังคับพวกเรา”
“นอกจากนี้ไม่ใช่ว่าสถานการณ์ของทั้งห้าภูมิภาคขึ้นอยู่กับผู้อมตะระดับแปดที่ปกครองอยู่เช่นนั้นหรือ?”
“ตอนนี้ในภาคเหนือ ท่ามกลางผู้อมตะระดับแปด ปีศาจอมตะเซี่ยหูแข็งแกร่งที่สุด หากเขาประสบความสำเร็จในการหลอมรวมวิญญาณอมตะโชคชะตาท้าทายสวรรค์ เราจะไม่สามารถหยุดเขาได้อีก แต่ข้าเห็นว่าแดนศักดิ์สิทธิ์ภูเขาหิมะมีการป้องกันที่หนาแน่น กระทั่งพวกเราก็ยังพบกับความยากลำบากหากต้องการบุกเข้าไป”
“ความขัดแย้งระหว่างพวกเราเป็นเพียงความขัดแย้งภายในของฝ่ายธรรมะ แต่ปีศาจอมตะเซี่ยหูเป็นฝ่ายปีศาจ นั่นเป็นปัญหาที่แท้จริง”
เหยากวงกล่าวอย่างช้าๆขณะที่จักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูพยักหน้าเห็นด้วยกับการวิเคราะห์ของสหายเฒ่าผู้นี้
เมื่อวังแปดสิบแปดเปลวเพลิงที่แท้จริงพังทลายลง ฝ่ายปีศาจเริ่มมีอิทธิพลมากขึ้น หากปีศาจอมตะเซี่ยหูประสบความสำเร็จในการหลอมรวมวิญญาณอมตะโชคชะตาท้าทายสวรรค์ สถานการณ์จะไม่สามารถควบคุม
เปรียบเทียบกับการถือกำเนิดของกองกำลังใหม่ฝ่ายธรรมะ เหยากวงไม่เต็มใจที่จะเห็นกองกำลังฝ่ายปีศาจแข็งแกร่งขึ้น
“โชคดีที่ข้าเชิญผู้บ่มเพาะสันโดษและปีศาจอมตะหลายคนเข้าร่วมในการประลองครั้งนี้ หลังการประลองสิ้นสุดลง บางส่วนจะเข้าร่วมกับนิกายชูและบางส่วนจะเข้าร่วมกับเผ่าไป่ซู นี่จะทำให้ฝ่ายปีศาจอ่อนแอลงและส่งเสริมฝ่ายธรรมะของเรา” จักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูกล่าวด้วยรอยยิ้ม
การประลองครั้งนี้อาจทำให้ตระกูลฮวงจินอ่อนแอลง แต่จักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูและชูตู๋ก็ทำให้ฝ่ายปีศาจอ่อนแอลงเช่นกัน นี่ทำให้เกิดเสถียรภาพขึ้นในภาคเหนือ
แต่เหยากวงยังขมวดคิ้ว
“นิกายชูจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง”
“ภาคเหนือไม่อนุญาตให้นิกายเกิดขึ้น”
“หากชูตู๋ต้องการให้นิกายชูคงอยู่ เขาต้องเปลี่ยนมันเป็นเผ่าชู มิฉะนั้นกองกำลังฝ่ายธรรมะจะไม่พอใจ”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น