ลำนำบุปผาพิษ 1227-1232
บทที่ 1227 นางก็…ก็หนีไปเองเลย…
คล้ายเกรงว่าเธอจะหลบหนีไป จึงล้อมเธอไว้กลายๆ
“ประมุขของพวกเราต้อนรับเจ้าอย่างมีไมตรี ทว่าเจ้ากลับทำร้ายองค์หญิงของพวกเรา!”
“พวกมนุษย์ล้วนเป็นไม่รู้ดีรู้ชั่วเช่นนี้กันหมดหรือ?”
“เหตุใดต้องทำร้ายองค์หญิงของพวกเราด้วย? เจ้ารู้ไหมว่าองค์หญิงของพวกเราไม่อาจบาดเจ็บได้?”
“จับนางไว้! อย่าให้นางหนีไปได้!”
กู้ซีจิ่วเอ่ยอย่างเยียบเย็น “วางใจเถอะ ข้าไม่หนีหรอก!” แล้วเหลือบมองสนมนางนั้นแวบหนึ่ง “เจ้าไม่คิดจะมอบคำอธิบายให้ชาวเผ่าของเจ้าหน่อยหรือ?”
สนมนางนั้นอ้าปากค้าง “อะ…อธิบายอะไร?”
กู้ซีจิ่วยิ้ม กล่าวอย่างเฉยชา “เจ้าไม่ต้องอธิบายก็ได้ แต่เรื่องนี้พอน้ำลดตอจะผุดขึ้นมาง่ายดายยิ่งนัก! วางใจเถอะ ข้าไม่หนีหรอก! อีกสองชั่วยามให้หลังข้าจะกลับมาทวงความเป็นธรรม!” ร่างกายสองแส่งวาบ หายไปจากจุดเดิม
ฝูงชนตกตะลึง
ผู้ใดก็นึกไม่ถึงว่ากู้ซีจิ่วจะมีทักษะเช่นนี้ด้วย มองอย่างโง่งมกันไปชั่วขณะ!
สนมนางนั้นร้อนรนแล้ว รีบออกคำสั่ง “นางหนีไปได้ไม่ไกลหรอก รีบไปตามหาเร็ว!”
ฝูงชนกระจายตัวออกไป พากันไปตามหา
สนมนางนั้นครุ่นคิดครู่หนึ่ง รีบไปตามหาเช่นกัน
ตามความคิดของชาวเงือกเหล่านี้ เหตุผลที่จู่ๆ กู้ซีจิ่วก็อันตรธานหายไปน่าจะเป็นเพราะใช้วิชาพรางกายหลบหนีไป ด้วยระดับการบำเพ็ญที่ต่ำต้อยถึงเพียงนั้นของนาง ต่อให้ใช้วิชาพรางกายก็ยืนหยัดได้ไม่นาน มากสุดก็หนึ่งเค่อ…
อีกอย่างภายในวังนี้ก็มีกลไกอยู่ทุกหนทุกแห่ง เส้นทางมากมายวกวนเสมือนเขาวงกต ถ้ามิใช่ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่มานานหลายปีหากว่าไม่มีคนนำทาง ไม่มีทางหนีออกไปจากวังเงือกได้
สนมนางนี้ยังค่อนข้างมีอิทธิพลในตำหนักเงือกอยู่ สามารถเรียกระดมพลได้ไม่น้อย แต่ทุกคนค้นหาไปทั่ววังอย่างละเอียดปานร่อนด้วยตะแกรงแล้ว ก็ไม่เห็นแม้แต่มุมชุดของกู้ซีจิ่ว!
ไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวเวลาก็ผ่านไปหนึ่งชั่วยามแล้ว
สองมือของสนมนางนั้นยังคงว่างเปล่าเช่นเดิม คนทั้งหมดที่ออกไปค้นหาล้วนกลับมาแล้ว ไม่พบร่องรอยของสตรีผู้นั้นเลย
สนมนางนั้นตื่นตระหนกแล้ว ที่นี่คือใต้มหาสมุทรลึก หากว่ากู้ซีจิ่วทะเล่อทะล่าออกไปจากอาณาจักรเงือก เข้าไปในมหาสมุทร แรงดันน้ำมหาศาลสามารถบดขยี้นางได้อย่างสมบูรณ์!
นางไม่มีวิธีแล้ว ไม่กล้ากระทำโดยพลการอีก ตัดสินใจไปหาประมุขเงือกที่ตำหนักน้ำแข็ง…
เพิ่งจะวิ่งเข้าประตูไป ก็เกือบชนกับตี้ฝูอีที่ก้าวออกมาอย่างร้อนรนแล้ว เป็นตี้ฝูอีที่สะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง ทำให้นางยืนอยู่ที่เดิมอย่างมั่นคง ตี้ฝูอีถามเข้าประเด็นทันที “พระสนมจะวิ่งไปไหน? ซีจิ่วล่ะ?”
สนมนางนั้นตะลึงงัน ตอบอย่างตะกุกตะกัก “แม่นางกู้นาง…นางกลัวอาญาจึงหนีไปแล้ว…”
สีหน้าตี้ฝูอีแปรเปลี่ยนทันที “นางไปแล้ว?!”
“ช…ใช่เจ้าค่ะ พวกท่านจากมาได้ไม่นาน นางก็…ก็หนีไปเองเลย…”
“นางไม่ได้กลัวอาญาจึงหนีไป!” น้ำเสียงของตี้ฝูเยียบเย็นลง “หลังจากข้ามา พวกเจ้าเล่นงานนางใช่ไหม?!”
“มะ…ไม่ใช่เจ้าค่ะ…” อำนาจรอบกายตี้ฝูอีแข็งแกร่งเกินไป ทำให้สนมนางนั้นติดอ่างไปเสียดื้อๆ
“เกิดอะไรขึ้น?” หลานเหยากวงก็เดินอกมาจากในห้องแล้ว ขมวดคิ้วมองสนมรักของบ้านตน
สนมนางนั้นโผเข้าใส่อ้อมอกเขา “ฝ่าบาท!”
หลานเหยากวงพยุงนางให้ยืนตรงๆ “เจ้าว่าอะไรนะ? แม่นางกู้ไปแล้ว?”
สนมนางนั้นถึงได้เล่าเรื่องที่หลังจากพวกหลานเหยากวงจากไป กู้ซีจิ่วก็หายไปทันทีออกมา
แน่นอนว่านางไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่ข้าราชบริพารชาวเงือกล้อมกู้ซีจิ่วไว้ และถ้อยคำทั้งหมดที่กู้ซีจิ่วกล่าวไว้ ก็บอกเพียงว่ายามที่กู้ซีจิ่วจะจากไปได้พูดว่า ‘อีกสองชั่วยามให้หลังจะกลับมา’
หลานเหยากวงรู้สึกเพียงว่าเส้นเลือดที่หน้าเต้นตุบๆ แล้ว อดไม่ได้ที่จะมองไปทางตี้ฝูอีแวบหนึ่งอย่างขออภัย “พี่หวง ขออภัยด้วย ท่านพาคู่หมั้นมาที่นี่เป็นครั้งแรกก็…ผู้น้องจะส่งคนออกไปตามหาโดยขยายขอบเขตให้กว่าขึ้น จะต้องตามหานางกลับมาได้แน่นอน อันที่จริงนางไม่จำเป็นต้องหนีไปเพราะเกรงอาญาเลย…”
——————————————————————-
บทที่ 1228 ใครลงมือก่อน?
สีหน้าของตี้ฝูอีเยียบเย็นลง “ข้าบอกแล้วไง นางไม่ได้เกรงอาญาจนหนีไป!” สายตาเขาร่อนลงบนร่างของสนมนางนั้น “เอาความจริง! บอกความจริงของเรื่องราวก่อนหน้านี้มา!”
สนมนางนั้นสั่นสะท้าน กล่าวอย่างหลบเลี่ยงความรับผิดชอบ “ก็เป็น…ก็เป็นแบบที่คุณชายหวงเห็น แม่นางกู้กับองค์หญิงมีปากเสียงกันไม่กี่ประโยค จากนั้น…จากนั้นพวกนางก็ลงมือกัน…”
“มีปากเสียงกันด้วยเรื่องใด? ใครลงมือก่อน?”
สนมนางนั้นนิ่งงัน
….
กู้ซีจิ่วย่อมไม่ได้ไปจากอาณาจักรเงือกจริงๆ เธอยังไม่โง่ถึงขนาดนั้น ที่นี่คือใต้มหาสมุทรลึก ต่อให้เธอเคลื่อนย้ายออกไปสิบลี้ได้ ถ้าหากด้านนอกยังคงเป็นมหาสมุทรลึกอยู่จะทำยังไงล่ะ?
หลงทางอยู่ในมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ไพศาลไม่ใช่เรื่องสนุกเลย
ตอนนี้เธออยู่ที่งานชุมนุมบุปผา
วันนี้มีงานชุมนุมบุปผาของชาวเงือกที่จัดขึ้นปีละครั้ง เป็นงานที่จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ และเป็นตลาดนัดของเผ่าบาดาลด้วย ทุกคนที่เป็นชาวบาดาลล้วนเข้าร่วมได้ ของที่ขายที่นี่ในวันนี้จะครบครันเป็นที่สุด ของวิเศษล้ำค่าอันใดล้วนเป็นไปได้หมดว่าจะมี ไม่เพียงแต่มีข้าวของขายอย่างครบครันแล้ว ยังมีการแสดงสารพัดอย่างด้วย
อันที่จริงกู้ซีจิ่วไม่สนใจการแสดงมากนัก ก่อนหน้านี้ตอนที่เธอคุยกับสนมนางนั้น ได้ทราบว่างานชุมนุมบุปผานี้มีถนนสายโอสถด้วย จะขายสมุนไพรล้ำค่าบางส่วนของเผ่าบาดาล กู้ซีจิ่วตรวจสอบพบว่าในน้ำยาที่หลงซือเย่ผลิตขึ้นเพื่อเธอ มีสมุนไพรของเผ่าบาดาลชนิดหนึ่งอยู่ด้วย เรียกได้ว่าพบเห็นบนแผ่นดินได้ยากยิ่งนัก ยามนี้ยากนักกว่าจะได้มาเดินเล่นที่เผ่าบาดาลสักครั้ง เธอจึงคิดจะลองเสี่ยงโชคสักหน่อย ดูว่าจะซื้อหาได้หรือไม่
ถนนสายโอสถเส้นนี้มีแผงขายสมุนไพรไม่น้อยเลย แน่นอนว่าที่นี่ก็มีชาวเงือกเดินเตร่อยู่มากมายเช่นกัน แต่แทบจะไม่มีมนุษย์เลย
เธอพบว่าในแผงซึ่งไม่สะดุดตาแห่งหนึ่งที่อยู่ด้านหน้ามีสมุนไพรที่ตนต้องการอยู่จริงๆ ถึงขั้นที่อีกหลายชนิดที่เธอต้องการก็ แต่บนบกไม่อาจซื้อหาได้อยู่ด้วย แถมราคายังไม่แพง ราคาของสมุนไพรทั้งหมดที่เธออยากซื้อรวมกันแล้วก็เท่าราคาเสื้อผ้าสองชุดเท่านั้น
ที่น่าหดหู่ก็คือ สกุลเงินของชาวเงือกที่นี่ไม่ใช่เงินตรา แต่เป็นไข่มุกชนิดหนึ่ง
กู้ซีจิ่วย่อมไม่มีสกุลเงินชนิดนี้ สักเม็ดก็ไม่มีเลย
นี่กลับไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเธอ คนอย่างเธอไม่ว่าจะไปที่ไหน ไม่มีทางเดือดร้อนเรื่องเงินเด็ดขาด เธอมีลู่ทางหาเงิน
เธอตามหาบ่อนพนันก่อน ทักษะการพนันของเธอนั่นเป็นเลิศ ชนะเดิมพันที่บ่อนพนันเป็นช่องทางหาเงินที่เร็วที่สุดของเธอเสมอมา
นึกไม่ถึงว่าอาณาจักรเงือกแห่งนี้จะแตกต่างกับแดนมนุษย์ ที่นี่ไม่มีบ่อนพนันเลย เธอทำได้เพียงหาทางอื่นอีกครั้ง
เธอเดินวนบนถนนใหญ่ดูรอบหนึ่ง ในที่สุดเธอก็หาโอกาสทำการค้าพบแล้ว
สุดปลายถนนใหญ่ตั้งเวทีที่งดงามตระการตาหลังหนึ่งไว้ หน้าเวทีมีผู้คนคับคั่ง บนเวทีมีคนทำการแสดงอยู่
กู้ซีจิ่วสอบถามดู ทราบว่าที่นี่มีการแข่งขันร้องเพลงอยู่ กล่าวกันว่านักร้องที่แข่งได้จนจบจะได้รับของขวัญพระราชทานชิ้นหนึ่งจากประมุขเผ่าเงือก นั่นคือไข่มุกราตรีเม็ดหนึ่งที่มีขนาดใหญ่เท่าชาม ที่วางอยู่บนโต๊ะเล็กบนเวทีทอแสงเย้ายวนใจคน
ชาวเงือกชำนาญการร้องรำที่สุด ร่ำลือกันว่าในมหาสมุทรยามราตรี จะได้ยินเสียงเพลงของนางเงือกเป็นประจำ และเรือที่เดินทางอยู่นแถบนั้นก็จะถูกเสียงเพลงของนางเงือกดึงดูดให้ลุ่มหลง จนแล่นเข้าไปในตาพายุ ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมอันน่าสลดขึ้นกับคนทั้งเรือ…
อันนั้นในสายตาของมนุษย์บนบก นางเงือกคือพรายทะเล เสียงเพลงของพรายทะเลล่อลวงเอาชีวิตมนุษย์
กู้ซีจิ่วชมอยู่ด้านล่างเวทีพักหนึ่ง พบว่านางเงือกที่ร้องเพลงอยู่บนเวทีร้องได้ยอดเยี่ยมนัก และชาวเงือกที่อยู่ด้านล่างเวทีก็ใจกว้างต่อนางเงือกดาวเด่นที่ร้องเพลงอยู่เวทียิ่งนัก ถ้าร้องได้ดี ก็จะพากันโยนไข่มุกขึ้นไปบนเวทีเพื่อให้กำลังใจ
เมื่อนางเงือกที่ขับร้องอย่างยอดเยี่ยมเหล่านั้นร้องจบหนึ่งเพลง ไข่มุกที่ถูกโยนขึ้นไปบนเวทีก็เพียงพอให้เธอซื้อสมุนไพรเหล่านั้นได้แล้ว
กู้ซีจิ่วมั่นใจในการขับร้องของตนมาก…
————————————————————–
บทที่ 1229 ไม่หรอก!
กู้ซีจิ่วมั่นใจในการขับร้องของตนมาก ต่อให้ไม่ก้องสะท้อนอยู่สามวัน[1] แต่ถ้าเทียบกับหญิงสาวที่ร้องได้ดีที่สุดบนเวทีในยามนี้แล้ว เธอยังเหนือกว่าอยู่เล็กน้อย
กู้ซีจิ่วรีบไปลงชื่อที่หลังเวที ต้องการประชัน
อันที่จริงถึงแม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นการแข่งขันร้องเพลง ผู้ใดก็สามารถเข้าร่วมได้ทั้งนั้น แต่เนื่องจากเป็นการแข่งร้องเพลงในงานชุมนุมบุปผา กติกาย่อมแตกต่างจากยามปกติเป็นธรรมดา ผู้ที่เข้าแข่งขันร้องเพลงล้วนป็นนักร้องที่มีชื่อเสียงของเผ่าเงือก ชาวเงือกทั่วไปไม่มีทางกล้าไปรนหาที่อับอายขายขี้หน้าเช่นนี้
นักร้องที่อยู่บนเวทีสุ่มเลือกออกมาสักคนก็ล้วนเป็นนักร้องดาวเด่นของเผ่าเงือกทั้งสิ้น ร้องส่งๆ ออกมาสักเพลงก็ก่อให้เกิดเสียงกรีดร้องชื่นชมได้แล้ว
ดังนั้นเมื่อกู้ซีจิ่วเข้าไปลงชื่อ เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบเรื่องการรับสมัครจึงประหลาดใจอย่างยิ่ง เนื่องจากพวกเขาไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของเธอมาก่อนเลย…
ยิ่งไปกว่านั้นคือกู้ซีจิ่วยังเป็นชาวมนุษย์ขนานแท้อีกด้วย ชาวมนุษย์ที่เข้าร่วมงานชุมนุมบุปผาว่าพบเห็นได้น้อยยิ่งนักแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมนุษย์ที่แล่นมาแข่งร้องพลงบนเวทีเลย
แน่นอนว่าเจ้าหน้าที่คนนี้ประหลาดใจก็ส่วนประหลาดใจ ทว่าไม่ได้ขัดขวางเธอ เพียงเกลี้ยกล่อมเธออย่างหวังดีประโยคหนึ่ง “แม่นางน้อย ที่นี่ถ้าร้องดีจะได้เงิน ถ้าร้องไม่ดีจะถูกปาไข่เต่าใส่นะ”
การปาไข่เต่าของที่นี่ไม่ต่างจากการปาไข่เน่าของแดนมนุษย์เลย เป็นการดูถูกเหยียดหยามผู้อื่น
กู้ซีจิ่วเพียงยิ้มบางๆ แวบหนึ่ง กล่าวสั้นๆ สองคำ “ไม่หรอก!”
เจ้าหน้าที่คนนั้นส่ายหน้า บันทึกลงไปอย่างไม่อาจทำอย่างไรได้
เขาย่อมไม่ได้มองกู้ซีจิ่วในแง่ดี รู้สึกว่าสาวน้อยชาวมนุษย์คนนี้ช่างไม่ประมาณตนเหลือเกิน ประเดี๋ยวยามที่ถูกไข่เต่ากระทบร่างนางก็จะรู้เองว่าอะไรคือการอับอายขายขี้หน้าคน…
ไข่เต่าที่ปาขึ้นไปบนเวทีของที่นี่ล้วนเป็นไข่เน่าของเต่าชนิดหนึ่ง เต่าชนิดนี้ต่อให้ไม่ได้ผสมพันธุ์ก็วางไข่ได้ ไข่ที่วางไม่อาจฟักออกมาเป็นเต่าน้อย และไม่สามารถกินได้ เมื่อแตกจะมีกลิ่นเหม็นที่พิลึกพิลั่นเป็นอย่างยิ่ง ซ้ำยังล้างออกยากด้วย…
เนื่องจากต้องเรียงลำดับ ดังนั้นหลังจากกู้ซีจิ่วลงชื่อแล้ว ก็ชมอยู่ด้านล่างเวลาอีกพักใหญ่ มองเห็นนักร้องคนหนึ่งซึ่งน่าจะประหม่าเกินไป ยามที่ร้องเพลงจึงหลุดทำนองไปช่วงสองช่วง ผลคือไม่เพียงแต่ไม่ได้รับไข่มุกเท่านั้น ยังถูกปาไข่เต่าใส่ด้วย
ไข่ขาวไข่แดงเปื้อนทั่วร่างนักร้องคนนั้นกระโดดลงไปจากเวทีด้วยสีหน้าซีดเซียว หนีไปท่ามกลางเสียงโห่ร้องของผู้คน
อยู่ห่างออกไปก็ยังได้กลิ่นเหม็นนั้นอยู่ เหม็นเน่ายิ่งกว่ากลิ่นซากศพเสียอีก
กู้ซีจิ่วลูบจมูก ระยะนี้เธอค่อนข้างอ่อนไหวต่อกลิ่นเหม็นอยู่บ้าง ได้กลิ่นสิ่งนี้แล้วเธออึดอัดใจ
โชคดีที่คนที่ถูกปาไข่เต่าผู้นั้นจากไปแล้ว ตอนนี้คนที่ยืนอยู่บนเวทีคือหนุ่มหล่อที่ดูรูปงามยิ่งนักผู้หนึ่ง เส้นผมมิได้เป็นสีฟ้าเหมือนชาวเงือก เขามีเรือนผมยาวสีเขียวเข้ม ยาวสยายเหมือนสาหร่ายทะเล เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนดังของที่นี่ พอขึ้นเวทีก็ชนะด้านเสียงปรบมือทันที ยังไม่ทันอ้าปากร้องก็มีสาวน้อยโยนไข่มุกขึ้นมาบนเวทีแล้ว ไข่มุกมีสีขาวน้ำนม โปรยปรายลงบนเวทีดั่งหิมะตก กลิ้งเกลื่อนกลาดเต็มเวที
จากเสียงพูดคุยของฝูงชนรอบข้าง กู้ซีจิ่วจึงทราบว่าเด็กหนุ่มคนนั้นเป็นนักร้องที่มีชื่อเสียงที่สุดของเผ่าเงือก และมีความหวังที่สุดว่าจะได้รับรางวัล เป็นขวัญใจของประชาชนชาวเงือก
กล่าวกันว่านอกจากประมุขเงือกแล้ว เขาเป็นคนที่ได้รับความนิยมที่สุดในเผ่าเงือก และเป็นชายในฝันของเหล่าหญิงสาวนับไม่ถ้วน ปกติพบเห็นได้ยากนัก พบเห็นเงาร่างของเขาได้แค่ที่งานชุมนุมบุปผาแห่งนี้เท่านั้น และของรางวัลก็เป็นสิ่งที่เขาสนใจ ร่ำลือกันว่าขอเพียงเขาเข้าร่วมการแข่งร้องเพลงเช่นนี้ คนอื่นก็หมดโอกาสแล้ว
กู้ซีจิ่วมองไปรอบๆ เป็นความจริงที่ว่าพอเด็กหนุ่มคนนี้ขึ้นเวที หน้าเวทีก็มีคนเนืองแน่นมากกว่าเดิม สามารถใช้คำว่าผู้คนล้นหลามมาบรรยายได้ เทียบได้กับคอนเสิร์ตรอบพิเศษของนักร้องชื่อดังยุคปัจจุบันเลย
เด็กหนุ่มคนนั้นนามว่าหลานเฝ่ย เมื่อเขาอ้าปากร้องรอบข้างก็เงียบสงบลง
———————————————————————
บทที่ 1230 มาที่นี่เป็นครั้งแรกใช่หรือไม่?
เขาเป็นบุรุษที่มีเสียงโทนกลาง ใสกระจ่าง แจ่มชัด มีจังหวะจะโคน เสมือนสายลมโชยผ่านคลื่นสมุทร ระลอกคลื่นซัดสู่ฝั่ง ฟองคลื่นสีขาวราวหิมะสาดกระเซ็น
ผู้คนที่อยู่ด้านล่างเวทีฟังจนตกอยู่ในภวังค์หลงลืมตัวตน ทุกคนต่างกลั้นหายใจ ด้วยเกรงว่าถ้าหายใจดังไป จะขัดจังหวะเสียงสวรรค์เช่นนี้เอาได้
ด้านหลังเวทีมีพิณโบราณบรรเลงทำนองให้เขา ทำนองพิณเนิบนาบ เมื่อคลอกับเสียงเพลงของเขาก็ส่งเสริมเต็มกันและกัน
เมื่อบทเพลงจบลง ฝูงชนจึงพ่นลมหายใจออกมา
ไข่มุกมากมายนับไม่ถ้วนร่วงลงบนเวทีประหนึ่งสายฝน เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มคนนั้นมีวรยุทธ์ เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ไข่มุกพวกนั้นสาดเทไปทั่วชัดๆ ทว่าไม่มีสักเม็ดเลยที่กระทบโดนตัวเขา
กู้ซีจิ่วยืนอยู่ค่อนไปทางด้านหน้าอยู่บ้าง ผู้คนรอบตัวเธอตะโกนชื่อหลานเฝ่ยออกมาเสมือนบ้าคลั่ง โปรยเงินออกมาอย่างบ้าคลั่ง
และเนื่องจากกู้ซีจิ่วไม่มีเงิน จึงยืนมองอยู่ตรงนั้น ทำได้เพียงปรบมือแปะสองแปะ
เนื่องจากฝูงชนรอบข้างขับให้ดูเด่นชัด กู้ซีจิ่วที่ดูสุขุมเยือกเย็นเช่นนี้จึงดูผิดแผกแปลกแยกไปอย่างเห็นได้ชัด นักร้องนามหลานเฝ่ยผู้นั้นเดิมทีมองทุกสิ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย เงินทองมากมายโปรยปรายลงมาเช่นนี้ ขนตาของเขากลับไม่แม้แต่จะขยับเลย จิตใจเยอกเย็น สงบนิ่งดั่งขุนเขา
ทันใดนั้นเอง สายตาเขาพลันร่อนลงบนร่างกู้ซีจิ่ว สบตากับเธอแวบหนึ่ง กู้ซีจิ่วสบตากับเขาอย่างใจกว้างผ่าเผย หยักยิ้มให้เขาแวบหนึ่งอย่างเป็นมิตร
คิ้วของหลานเฝ่ยขยับเล็กน้อย ยกมือขึ้น ทำท่าอย่างหนึ่ง ฝูงชนรอบข้างเงียบลงในทันใด
“แม่นางท่านนั้น…” จู่ๆ หลานเฝ่ยก็เอ่ยขึ้น “มิพึงใจกับบทเพลงที่หลานเฝ่ยขับร้องหรือ?” น้ำเสียงยามพูดของเขาใสพิสุทธิ์ยิ่งนัก ดึงดูดปานก้อนหยกกระทบกัน
กู้ซีจิ่วมองซ้ายมองขวา จากนั้นมือน้อยๆ ก็ชี้เข้าที่ตน “ท่านถามข้าหรือ?”
หลานเฝ่ยพยักหน้า “มิผิด”
กู้ซีจิ่วเอ่ยถามอย่างใสซื่อ “ท่านมองจากตรงไหนว่าข้าไม่พอใจบทเพลงของท่าน?
“เจ้าสงบเยือกเย็นยิ่งนัก เพียงใช้ฝ่ามือกระทบกันสองครั้งจนเกิดเสียงคล้ายว่าเป็นสัญญาณ”
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออก ที่แท้เขารังเกียจที่เธอไม่บ้าคลั่งเหมือนแฟนคลับของเขานี่เอง
“ข้าไม่มีเงิน” กู้ซีจิ่วตอบไปตามจริง “ดังนั้นจึงโยนไข่มุกให้ท่านไม่ได้”
ฝูงชนเงียบกริบ
นิสัยของชาวเงือกชมชอบความหรูหรา ส่วนใหญ่ล้วนมั่งมีกันทั้งสิ้น ต่อให้เป็นคนที่ยากจนที่สุดก็ยังพกไข่มุกหนึ่งร้อยแปดสิบเม็ดติตัวอยู่เสมอ อีกทั้งพวกเขารักหน้ายิ่งนัก ต่อให้ข้นแค้นจนไม่มีข้าวสารกรอกหม้อ ก็จะไม่ยอมให้ผู้อื่นมองออกเด็ดขาด ทาน้ำมันปลาลงบนปากสักหน่อยก็สามารถแสดงให้เห็นว่าความเป็นอยู่ของเขาดียิ่งนักได้แล้ว เสื้อผ้าที่สวมก็จะด้อยไม่ได้
ประเภทที่กล่าวออกมาต่อหน้าสาธารณชนว่าตนไม่มีเงินเช่นนี้ เพิ่งมีกู้ซีจิ่วเป็นรายแรก
หลานเฝ่ยไม่ถอดใจ “ไข่มุกสักเม็ดเจ้าก็ไม่มีเลยหรือ?”
กู้ซีจิ่วยิ้มอย่างกระดากยิ่งนัก “ไม่มีสักเม็ดเลยจริงๆ”
หลานเฝ่ยพูดไม่ออกแล้ว
มีเสียง ‘ฮู้’ แว่วมาจากฝูงชน คงจะเป็นเพราะไม่เคยเห็นคนที่ยากจนข้นแค้นก็แสดงออกมาตรงๆ อย่างกู้ซีจิ่วมาก่อน อีกอย่างดูจากเสื้อผ้าที่นางสวมใส่แล้วเห็นได้ชัดว่าเป็นหญิงสาวสูงศักดิ์ แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรสักแดงเดียวก็ไม่มีเลย?
หลานเฝ่ยคล้ายจะนึกอะไรขึ้นได้ “เจ้ามาที่นี่เป็นวันแรกและครั้งแรกใช่หรือไม่?”
“มิผิด”
มีเสียง ‘ฮู้’ ดังมาจากฝูงชนรอบข้างอีกครั้ง
“เช่นนั้นที่แม่นางมาดูการแข่งร้องเพลงก็เป็นการมาชมเรื่องครื้นเครงโดยเฉพาะสินะ?”
“ไม่ ข้ามาหาเงิน” กู้ซีจิ่วยังคงตอบไปตามจริงเช่นเดิม
หลานเฝ่ยยิ้มออกมาอย่างอดไว้ไม่อยู่ “แม่นางคิดจะหาเงินอย่างไรเล่า?”
“ร้องเพลง”
ฝูงชนทึ่มทื่อไปแล้ว…
เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบเรื่องการลงสมัครจึงเอ่ยปากขึ้น “แม่นางท่านนี้ก็มาลงชื่อเข้าร่วมการแข่งร้องเพลงเช่นกัน แม่นางกู้ พอดีเลย ตาท่านขึ้นเวทีแล้ว”
สายตานับไม่ถ้วนกวาดผ่านร่างของกู้ซีจิ่วแวบหนึ่ง มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของฝูงชนดังหึ่งๆ หัวข้อวิพากษ์วิจารณ์ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าหัวข้อจำพวก ‘เด็กสาวชาวมนุษย์ผู้นี้ช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเอาเสียเลย กล้ามาร่วมการแข่งขันร้องเพลงในงานชุมนุมบุปผา’
——————————————————————
[1] วลีนี้มาจากเรื่องเล่าปรัมปราของชาวจีน กล่าวถึงนักร้องสาวชาวเกาหลีในยุคชุนชิวคนหนึ่งที่มีเสียงไพเราะเลิศล้ำ เมื่อได้ฟังบทเพลงของเธอถึงจะผ่านไปสามวันแล้วก็รู้สึกว่าเสียงเพลงนั้นยังกังวานอยู่ในหู ความไพเราะไม่เลือนหายไป
บทที่ 1231 ไม่เป็นไรหรอก
ถ้อยคำเยาะเย้ย ไม่เชื่อ เห็นเป็นเรื่องตลกต่างๆ นานา…
กู้ซีจิ่วไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ แสดงความเข้าใจถึงทัศนคติแบบนี้ของผู้คน
หากเป็นยุคสมัยใหม่ ก็เหมือนกับคนดังระดับซุปเปอร์สตาร์ร้องเพลงบนเวที แต่กู้ซีจิ่วก็เป็นผู้ชมด้านล่างที่ผ่านทางมา ยืนกรานจะขึ้นเวทีประชันกับเหล่าซูเปอร์สตาร์ เป็นธรรมดาที่จะถูกฝูงชนเย้ยหยัน
ท่ามกลาง ‘สายตาฝูงชนนับหมื่น’ กู้ซีจิ่วยิ้มออกมาอย่างเรียบเฉย จากนั้นเคลื่อนย้ายในพริบตาขึ้นเวที
ทักษะนี้เธอใช้ได้อย่างงดงาม ก่อนหน้านี้ฝูงชนยังเห็นเธอยืนอยู่ด้านล่างเวที ในพริบตาเดียว เธอก็ขึ้นไปอยู่บนเวทีประชันหน้ากับหลานเฝ่ยแล้ว
หลานเฝ่ยตกตะลึง ถอยหลังไปหนึ่งก้าว “วรยุทธ์แม่นางโดดเด่นยิ่งนัก!”
“มิได้”
“ดูจากวรยุทธ์ของแม่นางหากเป็นการแข่งขันประลองยุทธ์ เช่นนั้นควรค่าแก่การรับชมยิ่ง หากแต่น่าเสียดายว่านี่คือการแข่งขันร้องเพลง…หากร้องออกมาได้ไม่ดี จะถูกฝูงชนเยาะเย้ยเอาได้…”
“เข้าใจ ที่ข้าจะแสดงก็ไม่ใช่วรยุทธ์อันใดของข้า ข้ามาเพื่อแข่งขันร้องเพลง!” กู้ซีจิ่วพูดอย่างภาคภูมิใจ
หลานเฝ่ยกล่าวชื่นชมเบาๆ “ช่างน่าชื่นชมในความกล้าหาญของแม่นาง ข้าเลื่อมใสยิ่งนัก ความกล้าหาญของแม่นางนี้ ข้าควรชื่นชมเสียหน่อย น่าเสียดายที่ตำแหน่งการเรียงลำดับของเจ้านี่ไม่ค่อยดีนัก” เป็นลำดับต่อจากเขาพอดี มีไข่มุกเม็ดงามอย่างเขาก่อนหน้า ต่อให้กู้ซีจิ่วร้องจืดชืดแค่เพียงเล็กน้อยก็ถูกคนหัวเราะเยาะได้
ก็เหมือนกับผู้คนเพิ่งได้ลิ้มรสอาหารเลิศรส จู่ๆ จะให้มากินโจ๊กจืดชืดไม่มีราคา เกรงว่าทุกคนจะไม่เจริญอาหารงเสียแล้ว
กู้ซีจิ่วย่อมเข้าใจความหมายของคำพูดนี้ของเขา ส่งยิ้มบางๆ “ไม่เป็นไรหรอก”
แม่นางคนนี้ใจกว้างไม่ธรรมดา!
ดวงตาของหลานเฝ่ยฉายแววนับถือ ปรบมือก่อนจะเอ่ย “เช่นนี้แล้วกัน หากแม่นางร้องดีได้ครึ่งหนึ่งของข้า วันนี้รางวัลนี้ก็เป็นของแม่นางไปเลย!”
ฝูงชนด้านล่างเวทีเบิกตาโพลง คาดไม่ถึงว่าองค์ชายหลานเฝ่ยจะวางเดิมพันเยี่ยงนี้ ต้องรู้ก่อนว่าองค์ชายหลานเฝ่ยรอคอยการแข่งขันครั้งนี้มาถึงสองปีแล้ว!
ทว่าฝูงชนด้านล่างเวทีกลับไม่กังวลใจเท่าใด หลานเฝ่ยร้องเพลงดังเสียงสวรรค์ ต่อให้สู้ได้กึ่งหนึ่งของเขานั่นก็เป็นเสียงที่งดงามแล้ว นักร้องที่เพิ่งผ่านไปมาตั้งมากมายก็ไม่อาจทำได้ถึงขั้นนี้…
สตรีมนุษย์ผู้นี้ยิ่งไม่อาจถึงขั้นนั้นกระมัง?
คาดไม่ถึงว่ากู้ซีจิ่วยังคงยิ้มอย่างไม่ไยดี “ข้าไม่สนใจรางวัล หากทุกคนรู้สึกว่าข้าร้องได้ไม่เลว ก็โยนไข่มุกให้ข้าหน่อย ไม่ต้องมากนัก หนึ่งพันเม็ดก็พอ” จำนวนนี้เป็นจำนวนที่เธอต้องการใช้ซื้อสมุนไพร เธอไม่ละโมบ
คนด้านล่างเวทีตะโกนขึ้นมา “แม่นางช่างรู้ตัวเองดี รู้ว่าแม้แต่ครึ่งหนึ่งขององค์ชายหลานก็สู้ไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่แย่งชิงรางวัลนี้ แต่เงินของพวกข้าก็ใช่ว่าจะได้มาง่ายๆ ในเมื่อเจ้ากล้าขึ้นเวที อย่างไรก็ต้องร้องออกมีให้พวกข้ารื่นหู เทียบเท่าได้กับองค์ชายหลานสักหนึ่งถึงสองส่วนก็ดีแล้ว”
กู้ซีจิ่วกวาดสายตาลงที่ฝูงชนด้านล่างเวที ใบหน้างดงามเผยให้เห็นลักยิ้มบางๆ “ข้าเชื่อว่าทุกท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญ ย่อมฟังออกว่าดีหรือไม่ดี ซีจิ่วเชื่อว่าทุกท่านจะตัดสินด้วยความยุติธรรม”
คำพูดนี้ของเธอใช้การได้กับฝูงชนด้านล่างเวที เดิมที คนที่คิดว่า ‘ไม่ว่ากู้ซีจิ่วจะร้องได้ดีแค่ไหนก็จะฮาป่าปาไข่เต่า’ เหล่านั้นก็ต้องเก็บพับความคิดนั้นไป ตัดสินอย่างยุติธรรมสักครั้ง
ร้องดีก็ให้เงิน ร้องไม่ดีก็ปาไข่เต่า!
“แม่นางกู้จะร้องเพลงอะไร? ต้องการคนบรรเลงทำนองเพลงคลอไปด้วยหรือไม่?”
กู้ซีจิ่วส่ายหน้า “ไม่จำเป็น ข้านำเครื่องดนตรีมาเอง” หยิบผีผาตัวหนึ่งออกมา “ใช้มันก็ได้แล้ว”
กู้ซีจิ่วคิดเพียงแต่จะรีบหาเงินไปซื้อสมุนไพร จากนั้นจะกลับไปที่วังเงือกนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ราชวงศ์และชาวเงือกเหล่านั้นคิดว่าเธอหลีกหนีอาญา
————————————————————————————-
บทที่ 1232 โลกมนุษย์ไหนเลยจะมีโอกาสได้ยิน
เธออยู่ด้านล่างเวทีฟังไปสี่ห้าเพลงแล้ว พอรู้ความชื่นชอบของชาวเผ่าเงือกคร่าวๆ ดังนั้น เธอจึงเลือกเพลง ‘รักนี้เป็นนิรันดร์’
“เวลาล่วงเลยมิอาจย้อนกลับ
กลีบแดงใบผลัดกลบฝังใต้ฝุ่นผง
เริ่มต้นสิ้นสุดมิอาจแปรผัน
ลอยบนผืนฟ้านอกเมฆาขาว…
รักชังเวียนวนในห้วงสมุทรอันขมขื่น
โลกนี้มิอาจหลีกหนีชะตากรรม
รักกันแต่มิอาจชิดใกล้…”
เสียงของผีผาเธอประสานเข้าด้วยกัน เดิมที ด้านล่างเวทีที่ค่อนข้างจอแจก็ค่อยๆ สงบลง ยามบทเพลงที่มีเสียงค่อนข้างทุ้มต่ำดังขึ้น ราวกับลมภูเขาพัด กลิ่นอายของความอ้างว้าง พัดปกคลุมไปทั่วแดนดิน…
เมื่อคนด้านล่างได้ฟังเสียงร้องดังเสียงสวรรค์เช่นนี้ กลั้นลมหายใจ ทุกคนเบิกตาโพลงจ้องมองบนเวที
กู้ซีจิ่วไม่ได้ยืนร้องเพลงอย่างเดียวอยู่ตรงนั้น เธอยังถือผีผาตัวนั้นร่ายรำตามจังหวะเพลงเล็กน้อย
จันทราเจิดจรัสบนท้องนภา เมฆาขาวลอยล่อง
เมื่อเธอร่ายรำสะบัดกระโปรงดังเทพธิดาจันทราลอยล่องมากับแสงจันทร์ ไร้เสียงอื้ออึงของโลกมนุษย์
บทเพลงไพเราะ ร่ายรำงดงาม!
ชาวเงือกล้วนเป็นผู้ชำนาญการร้องรำ ยามนี้ได้เห็นการร้องรำเยี่ยงนี้แต่ละคนจิตใจล่องลอย ลุ่มหลงเสน่ห์ ลึกๆ รู้สึกว่าไม่เสียเที่ยวที่มางานชุมนุมบุปผาครั้งนี้แล้ว! และยังได้ชื่นชมการร้องรำที่งดงามเยี่ยงนี้!
พวกคนที่เดิมทีตั้งใจเตรียมฮาป่าปาไข่เต่าเมื่อกู้ซีจิ่วเริ่มร้องไม่กี่คำก็ลืมความตั้งใจแรกไปแล้ว มองดูหญิงสาวร้องรำอยู่บนเวทีอย่างตื่นตาตื่นใจ แม้แต่กระแอมเสียงหนึ่งยังไม่กล้า!
หลานเฝ่ยท่านนั้นยืนอยู่หลังเวที สายตาที่มองดูกู้ซีจิ่วฉายแววร้อนผ่าว…
เสียงร้องค่อยๆ หยุดลง ผู้ชมด้านล่างเวทียังคงลุ่มหลงอยู่กับเสียงเพลงที่หลงเหลือ มองอย่างตื่นตาตื่นใจอยู่ตรงนั้น ลืมแม้แต่ส่งกำลังใจ พื้นที่อันโล่งกว้างพลันเงียบสงัด
นิ้วมือกู้ซีจิ่ววางลงบนสายผีผา กวาดตามองด้านล่าง
เป็นไปไม่ได้มั้ง? พวกเขาไม่โยนไข่มุกมาให้สักเม็ดจริงๆ?!
เธอยังไม่ทันได้ประมวลความคิด คนด้านล่างเวทีก็รู้สึกตัว ส่งเสียงปรบมือดังสนั่น!
ไข่มุกมากมายนับไม่ถ้วนร่อนลงบนเวทีดังลูกเห็บร่วงหล่น…
บนเวทีมีคนเก็บไข่มุกโดยเฉพาะ โดยปกติเมื่อคนหนึ่งร้องจบก็จะมีคนมาเก็บไข่มุกอย่างรวดเร็ว เมื่อนักร้องลงเวทีไปก็ส่งมอบให้กับนักร้อง
อย่างหลานเฝ่ย เขาเพิ่งร้องจบไปก็ได้รับไข่มุกไปทั้งหมดหนึ่งหมื่นเม็ด ทั้งหมดตั้งหลายโตว
ข้ารับใช้ที่เก็บไข่มุกนั้นเพิ่งได้นั่งพักครู่หนึ่ง คาดไม่ถึงว่าพอกู้ซีจิ่วร้องจบ ก็มีไข่มุกเต็มเวทีอีกแล้ว ไข่มุกที่ได้รับยังมากกว่าของหลานเฝ่ยอีกด้วย!
เห็นได้ชัดว่าผู้คนด้านล่างเวทียังอยากฟังต่อ ต่างทยอยกันเรียกร้อง “เอาอีก!”
“โอ้ สวรรค์ ช่างไพเราะเหลือเกิน! บทเพลงบนสรวงสวรรค์ โลกมนุษย์ไหนเลยจะมีโอกาสได้ยิน!”
“กู้ซีจิ่ว ร้องอีกเพลงเถิด! ท่านร้องอีกเพลง ท่านอยากได้ไข่มุกเท่าใดก็มีเท่านั้น!”
เสียงดังระเบ็งเซ็งแซ่ เกือบจะทะลุชั้นฟ้า
กู้ซีจิ่วกลับไม่มีความทะเยอทะยานจะหาเงินอีก สำหรับเธอแล้ว เงินไม่ต้องมากมาย แค่พอใช้ก็พอแล้ว เพลงที่ร้องเมื่อสักครู่ก็ได้เงินมามากพอจะซื้อของที่เธออยากได้แล้ว
ดังนั้นเธอจึงยิ้ม ขณะที่กำลังจะลงจากเวที
“กู้ซีจิ่ว ประเดี๋ยวก่อน!” หลานเฝ่ยผายมือออกสองข้างหยุดยั้งฝีเท้าของเธอ
กู้ซีจิ่วเลิกคิ้ว “เจ้ายังมีธุระอันใด?”
“กู้ซีจิ่ว ท่านร้องอีกสักเพลงเถิด ขอแค่ท่านร้องอีกเพลง รางวัลใหญ่นั้นก็เป็นของท่านแล้ว!” หลานเฝ่ยยื่นข้อเสนอ
คนด้านล่างต่างเรียกร้อง
กู้ซีจิ่วกลับส่ายหน้า “ไม่สนใจ”
“แม่นาง ไข่มุกราตรีเม็ดนั้นมีค่านับล้าน หากนำขึ้นไปบนบกสามารถแลกทรัพย์สมบัติได้มากมายนับไม่ถ้วน…”
กู้ซีจิ่วยังคงไม่ไหวติง “ขอโทษด้วย ข้าไม่นิยมของหายาก”
“เช่นนั้นแม่นางสนใจสิ่งใด? ขอเพียงแค่ท่านพูดออกมา ข้าจะทำทุกวิถีทางให้สำเร็จ! ขอเพียงท่านร้องอีกเพลง” หลานเฝ่ยไม่ยอมลดละ
—————————————————————————–
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น