พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1227-1228
บทที่ 1227 ที่สูงพ่ายแพ้ความหนาว
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากนั้นหนึ่งวัน ในที่สุดเหมียวอี้ที่แสดงละครก็ลุกขึ้นแล้ว
คนกลุ่มหนึ่งเหาะมาถึงนอกท้องฟ้าของดาวรอง กำลังสังเกตดาวรองที่อยู่ตรงหน้า หมอกเลือดที่อยู่บนดาวเสริมสิบเอ็ดดวงหายไปหมดแล้ว ส่วนหมอกเลือดที่อยู่บนดาวรองก็เหมือนจะลดลงครึ่งหนึ่งอย่างรวดเร็วเช่นกัน
เหมียวอี้เอามือลูบคางครุ่นคิดขณะจ้องมองดาวรอง กำลังครุ่นคิดว่าประโยค ‘ที่สูงพ่ายแพ้ความหนาว’ บนแผนที่ซ่อนสมบัติหมายความว่าอะไร จากประสบการณ์ค้นหาสมบัติที่ผ่านมา ประโยคนี้น่าจะซ่อนกุญแจสำคัญในการตามหาจุดซ่อนสมบัติเอาไว้…
“หมอกโฉมงามอาภัพที่อยู่บนดาวเสริมสิบเอ็ดดวงหายไปหมดแล้ว ทำไมหมอกที่อยู่บนดาวรองยังไม่สลายหายไปอีก?” เมิ่งหรูที่อยู่ข้างๆ เอ่ยถาม
ข้าก็ยังอยากจะถามเจ้าอยู่เลย แต่เจ้ามาถามข้างั้นเหรอ? เหมียวอี้ส่ายหน้าตอบว่า “ตอนนี้ยังตอบได้ไม่ชัดเจน รอดูไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง จู่ๆ สายตาก็กวาดไปเจอบนภูเขาทั้งเล็กทั้งใหญ่ที่โผล่ขึ้นมาจากหมอกเลือด ในใจเกิดความคิดบางอย่างทันที เขาขยับตัวเหาะขึ้นฟ้า เริ่มเหาะอ้อมสำรวจค้นหาที่ท้องฟ้ารอบดาวรอง
คนอื่นๆ ไม่รู้ว่าเขาค้นพบอะไร กลุ่มคนได้แต่เหาะตามอยู่ข้างหลังเขา
หลังจากวนอ้อมดาวรองไปหลายรอบ จู่ๆ เหมียวอี้ก็หยุดอยู่ที่เดิม จ้องมองยอดเขาสีดำขลับด้านล่างลูกหนึ่งที่สูงตระหง่านโดดเด่นที่สุด เขาเงียบไปครู่เดียว ก่อนจะชี้ถามว่า “นี่คือภูเขาที่สูงที่สุดบนดาวรองใช่รึเปล่า?”
หลังจากพิจารณาดูนิดหน่อย เมิ่งหรูก็ตอบอย่างไม่แน่ใจว่า “เมื่อหลายปีก่อน ตอนยังไม่ได้วางค่ายกล ภูเขาลูกนี้สูงที่สุดบนดาวเคราะห์ดวงนี้จริงๆ ในปีนั้นบนภูเขาปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน แต่ตั้งแต่ไหล่เขาลงมาเขียวชอุ่ม ไม่ได้เป็นสีดำเหมือนในตอนนี้ ทำไมเหรอ? เจ้ารู้สึกว่าประมุขขุนพลทั้งหกโดนขังอยู่บนภูเขาลูกนี้เหรอ?”
“ไม่ใช่หรอก” เหมียวอี้ส่ายหน้า แล้วถอนหายใจบอกอีกว่า “ก่อนหน้านี้ขุนพลใหญ่บอกไว้ว่าบนดาวรองมีค่ายกลโจมตีที่ร้ายกาจที่สุด ค่ายกลที่เชื่อมโยงกันบนดาวเสริมสิบเอ็ดดวงถูกกำจัดไปแล้ว แต่ไม่รู้ว่าค่ายกลโจมตีที่อยู่บนดาวรองจะยังอยู่หรือเปล่า? วรยุทธ์ของข้ามีจำกัด ไม่สะดวกจะไปตรวจดู แต่ถ้าข้าไม่ลงไปสำรวจดูสถานที่จริง ก็ไม่มีทางหาจุดที่ประมุขขุนพลทั้งหกโดนขังพบได้เลย”
เมิ่งหรูเข้าใจความหมายที่เขาจะสื่อ เขาอยากจะให้คนไปสำรวจเส้นทาง จึงหันกลับมาสั่งทันทีว่า “ลงไปลองดูสักคน”
ฝ่ายนี้ให้ยอดฝีมือระดับบงกชกลายเคลื่อนไหวทันที พุ่งฝ่าชั้นบรรยากาศของดาวรองออกไปสำรวจ
กลุ่มคนที่อยู่ในท้องฟ้าด้านนอกต่างก็ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์จ้องมองคนคนนั้น เห็นเพียงนักพรตคนนั้นเหาะไปทั่วอยู่บนดาวรอง สุดท้ายก็เหยียบลงบนภูเขาลูกนั้น ถึงขั้นกำหมัดทุบด้วย ทำให้ยอดเขาที่อยู่ใต้เท้าพังทลายแล้ว แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีปฏิกิริยาอะไร
ผ่านไปไม่นาน นักพรตคนนั้นก็เหาะกลับ กุมหมัดคารวะเมิ่งหรู “ขุนพลใหญ่ ค่ายกลโจมตีบนดาวรองหายไปแล้ว”
เมิ่งหรูมองไปที่เหมียวอี้พร้อมบอกว่า “สงสัยค่ายกลที่เชื่อมโยงกันนั่นจะโดนเจ้าทำลายสิ้นซากแล้ว เหลือแค่ ‘หมอกโฉมงามอาภัพ’ ข้างล่างที่ยังจัดการได้ยาก ยังต้องรบกวนให้เจ้าลงมืออีกครั้ง”
“ก็ได้! พวกท่านรออยู่ตรงนี้ก่อน อย่ามารบกวนข้า ให้เวลาข้าสักหลายๆ วัน ให้ข้าได้ตั้งใจตรวจดูให้ดี ครุ่นคิดให้ละเอียดสักหน่อย” หลังจากเหมียวอี้พูดทิ้งท้าย ก็ไม่ได้พาพวกอวิ๋นอ้าวเทียนไปด้วย เขาเหาะลงไปข้างล่างเพียงลำพัง
พวกอวิ๋นอ้าวเทียนสบตากันแวบหนึ่ง รู้สึกกระตุกวูบในหัวใจทันที กังวลนิดหน่อยว่าเหมียวอี้จะขังพวกเขาไว้แล้วเข้าไปซ่อนใน ‘หมอกโฉมงามอาภัพ’ คนเดียว ถึงอย่างไรก็รู้สึกว่าเจ้าเวรอย่างเหมียวอี้ไม่ใช่คนดีอะไร
และเมื่อมีความสำเร็จในการทำลายค่ายกลที่เชื่อมโยงกันก่อนหน้านี้ กลุ่มโจรกบฏจึงไม่ได้มีความเห็นแย้งอะไร ปล่อยเหมียวอี้ไปคนเดียวอย่างที่คาดไว้ ไม่ได้ตามไปอีก
ภายใต้การจับตาดูจากดวงตาอิทธิฤทธิ์ของกลุ่มคน เหมียวอี้ไปเหยียบลงบนยอดเขาที่สูงทีสุด แล้วหันตัวเดินอย่างเนิบนาบ ทอดสายตามองภูเขาหลายลูกที่อยู่ท่ามกลางทะเลเมฆสีเลือด ปากแอบพึมพำว่า “ที่สูงพ่ายแพ้ความหนาว ไม่รู้ว่าใช่ที่นี่หรือเปล่า…”
เขาเงยหน้ามองสีของท้องฟ้า จากการคำนวณเวลาของที่นี่ ตอนนี้น่าจะเป็นเวลาบ่ายแล้ว ถ้าอยากจะพิสูจน์ว่าสิ่งที่ตัวเองเดาถูกหรือไม่ ก็ต้องรอให้ยามตะวันและจันทราส่องแสงพร้อมกันตอนเช้าตรู่ของวันพรุ่งนี้
อาศัยช่วงเวลานี้ เหมียวอี้เอามือไขว้หลังเดินช้าๆ อยู่บนยอดเขา สำรวจการวางหมากของยอดเขาจากไกลมาใกล้ รอให้ถึงเวลาฟ้าสางวันพรุ่งนี้เช้า
กลุ่มคนที่กำลังใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองจากท้องฟ้าด้านนอกไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไร แต่มองออกว่าเหมียวอี้กำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
ถ้ายังไม่ได้รับอนุญาตจากเหมียวอี้ กอปรกับเหมียวอี้ไม่ได้เพ่นพ่านไปทั่ว จึงไม่มีใครลงมารบกวนเหมียวอี้ กลุ่มคนได้แต่มองดูอยู่ที่ท้องฟ้าด้านนอก
เหมียวอี้เหมือนจะ ‘ครุ่นคิด’ แล้วหนึ่งคืน กลุ่มคนที่อยู่บนท้องฟ้าด้านนอกก็รอเขาเป็นเวลาหนึ่งคืนเช่นกัน
ตัวอยู่บนยอดเขา วันต่อมาตอนที่แสงสีทองปรากฏตรงเส้นขอบฟ้า เหมียวอี้ที่เดินไปเดินมาอยู่บนยอดเขาทั้งคืนก็หยุดอยู่ตรงตำแหน่งกลางยอดเขาแล้ว เขาลอยขึ้นฟ้าอย่างช้าๆ ขณะที่ลอยขึ้นเขาก็รีบสำรวจรอบๆ อย่างรวดเดียว แอบจดจจำตำแหน่งยอดเขารอบๆ ที่อยู่เหนือทะเลเมฆสีเลือดเอาไว้
ถ้าไม่จดจำไว้ล่วงหน้าก็คงไม่ได้ บนฟ้ามีคนมากมายกำลังดูอยู่ เขาไม่สะดวกจะหยุดอยู่บนตำแหน่งสูงหกพันจั้งบนท้องฟ้านาน ไม่อย่างนั้นจะโดนสงสัยได้ ถ้าจุดซ่อนสมบัติตรงกับการตัดสินของตัวเองขึ้นมา ก็ต้องรีบระบุตำแหน่งให้เร็วไว จะหยุดอยู่กับที่นานๆ ไม่ได้
ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่าการวินิจฉัยของเขาไม่ผิด ‘ที่สูงพ่ายแพ้ความหนาว’ ก็หมายถึงยอดเขาที่สูงที่สุดของดาวเคราะห์ดวงนี้
ตอนที่ลอยขึ้นบนฟ้าสูงหกพันจั้ง ภายใต้เค้าโครงเงาของยอดเขาที่ถูกแสงสีทองสาดส่อง ภาพขนาดใหญ่ที่งดงามอลังการก็ปรากฏอยู่บนทะเลเมฆสีเลือด สตรีทะยานฟ้าที่ทำให้เหมียวอี้แอบดีใจโผล่ออกมาแล้ว กำลังทำท่ากางแขนอรชรอ้อนแอ้นทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
ถ้าจะบอกว่าตอนอยู่ที่ปราสาทดำเนินเซียนเห็นสตรีทะยานฟ้าสวมชุดกระโปรงสีขาว เช่นนั้นสตรีทะยานฟ้าของที่นี่ก็เปลี่ยนเครื่องแต่งกายแล้ว เปลี่ยนเป็นชุดกระโปรงสีแดงทั้งตัว ในจุดซ่อนสมบัติที่ต่างกัน ราวกับเปลี่ยนชุดที่แตกต่างกันให้สตรีทะยานฟ้าแล้ว การวางหมากแบบนี้ช่างทำให้คนรู้สึกทึ่งจริงๆ
ตลอดทางที่เหมียวอี้เคยค้นหาสมบัติมา จุดซ่อนสมบัติที่ประมุขไป๋จัดไว้มีบางที่ที่หยาบไปบ้าง เหมือนจะทำไปด้วยความรีบร้อน ยกตัวอย่างเช่นบนภาพดาวที่อยู่บนแผนที่ซ่อนสมบัติ อีกฝ่ายไม่ได้ใช้ความพยายามสักเท่าไรเลย ไม่ได้วาดภาพดาวที่มากมายหนาแน่นลงไปจนครบด้วย แต่สิ่งเดียวที่จะทำอย่างลวกๆ ไม่ได้นั่นก็คือภาพของสตรีทะยานฟ้า มีเพียงภาพสตรีทะยานฟ้าที่วาดได้งดงามประณีตที่สุด จะเห็นได้ว่าประมุขไป๋ตกหลุมรักสตรีทะยานฟ้าท่านนี้อย่างไร
ว่ากันตามจริง เหมียวอี้อยากจะรู้จริงๆ ว่าประมุขไป๋ท่านนั้นเป็นคนอย่างไร ไม่รู้ว่ามีกิริยาท่าทางสง่าระดับไหน อย่างน้อยเมื่อดูจากการวางแผนที่เป็นขั้นเป็นตอนต่อเนื่องกัน ก็รู้แล้วว่าประมุขไป๋เป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมไร้เทียมทานแน่นอน ทั้งยังวางแผนได้ล้ำลึกด้วย
สิ่งนี้ทำลายความมั่นใจของเหมียวอี้นิดหน่อย ขนาดตัวละครอย่างประมุขไป๋ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของประมุขชิงและประมุขพุทธะเลย บุคคลที่จะได้ครอบครองใต้หล้าล้วนต้องมองโลกด้วยความหยิ่งสโยแบบนี้เหมือนกันหมดหรือเปล่า?
เมื่อเทียบตัวเองกับอีกฝ่ายแล้ว เหมียวอี้ทำได้เพียงแอบยิ้มอย่างขมขื่น ตัวเองเทียบไม่ติดเลย หวังว่าอีกฝ่ายจะหน้าตาขี้เหร่กว่าตนสักหน่อยก็แล้วกัน! ในเมื่อความสามารถสู้อีกฝ่ายไม่ได้ ขอแค่หน้าตาดีกว่าก็ยังดี
ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาคิดอะไรเยอะแยะ สายตาของเหมียวอี้รีบมองตามตำแหน่งแขนที่รองถือของของสตรีทะยานฟ้า ตรงนั้นมียอดเขาห้าลูกเรียงรายเป็นรูปวงกลม ตรงกลางที่โดนล้อมรอบเป็นสีขาว
เหมียวอี้รีบจดจำตำแหน่งไว้ในสมอง หลังจากทั้งตัวเหาะขึ้นสูงอีกระดับ จู่ๆ เขาก็รีบเหาะไปยังทิศทางตรงกันข้ามอย่างรวดเร็ว ไปเหยียบอยู่บนยอดเขาที่ไม่เกี่ยวข้องกันแล้วมองสำรวจไปรอบๆ
พอเหยียบลงบนเขาลูกนี้แล้วก็ไปเหยียบบนเขาอีกลูกแล้วมองสำรวจ เขาหยุดอยู่ที่ภูเขาแต่ละลูกเป็นเวลาหนึ่งวัน แทบจะวนครบทั้งดาวเคราะห์หนึ่งรอบแล้ว เขาเหยียบลงบนภูเขาหลายสิบลูก ใช้เวลาเกือบหนึ่งเดือนเต็มเพื่อทำให้โจรกบฏสับสน
เขาดันทำท่าทางเหมือนค้นพบอะไรบางอย่าง ทำให้กลุ่มโจรกบฏไม่กล้ารบกวนเขา ทำได้เพียงติดตามเขาอยู่ที่ท้องฟ้าด้านนอก
กลับเป็นพวกอวิ๋นอ้าวเทียนที่ยิ่งมองก็ยิ่งสงสัย ฉงนใจว่าเหมียวอี้มาที่นี่ด้วยจุดประสงค์อะไร
หลังจากนั้นหนึ่งเดือน เหมียวอี้เหาะพุ่งฝ่าท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ออกมาจากดาวเสริม เมิ่งหรูรีบเข้ามาถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง?”
“มีเบาะแสแล้วนิดหน่อย สามารถลองดูได้” เหมียวอี้กล่าวด้วยสีหน้าลังเล
เมิ่งหรูจึงกล่าวว่า “ต้องระวังให้ดีนะ อย่าฝืนดันทุรัง ประมุขไป๋บอกว่าเขาเตรียมแผนสำรองไว้ ถ้าฝืนดันทุรังจะส่งผลต่อชีวิตของประมุขขุนพลทั้งหก ถ้าเกิดอะไรผิดพลาดกับประมุขขุนพลทั้งหก พวกเจ้าก็จะคิดว่าจะได้มีชีวิตต่อไป”
“รู้แล้ว!” เหมียวอี้หันกลับมาเรียกพวกอวิ๋นอ้าวเทียน “พวกเจ้าตามข้ามา พวกเราร่วมมือกันทดลองดูหน่อย”
ต้องแสดงละครให้ความร่วมมือเจ้าอีกแล้วเหรอ? ทั้งห้าโล่งอกนิดหน่อย ก่อนหน้านี้ยังกังวลว่าเหมียวอี้จะหนีไปคนเดียว
พวกโจรกบฏไม่ได้ขัดขวาง ทั้งหกคนพุ่งเข้าไปในดาวรองด้วยกัน ตอนที่เข้าใกล้หมอกสีเลือด ทั้งห้าให้เหมียวอี้เป็นจุดศูนย์กลางอีกครั้ง หันหลังให้พลางร่ายอิทธิฤทธิ์ สายฟ้ากะพริบอยู่ท่ามกลางปราณปีศาจมารผี ชนเข้าไปในหมอกเลือดแล้ว ทั้งหกคนหายไปพร้อมกัน
เมิ่งหรูมองซ้ายมองขวาพร้อมบอกว่า “เหมียวอี้รีบอยากเก็บสมุนไพรเซียนซิงหัวหมายความว่าอะไร? พวกเจ้าว่าถ้าเจ้าหนุ่มนั่นเจอประมุขขุนพลทั้งหกแล้ว จะเอาชีวิตของประมุขขุนพลทั้งหกมากดดันมั้ย?”
“ถ้าเปลี่ยนเป็นเจ้าจะทำแบบนี้หรือเปล่า? ถ้าข้าเจอกับสถานการณ์แบบนี้ เพื่อที่จะปกป้องชีวิตตัวเอง ข้าจะต้องเอาประมุขขุนพลทั้งหกมาป้องป้องตัวเองแน่นอน” สืออวิ๋นเปียนกล่าว
เมิ่งหรูบอกว่า “ข้าแค่สงสัยนิดหน่อย ถ้าหกคนนั้นคือคนที่ประมุขไป๋ส่งมาทำลายค่ายกลจริงๆ ทำไมไม่ตรงไปตรงมาสักหน่อยนะ? ถ้าจะบอกว่าหกคนนี้ไม่ใช่คนที่ประมุขไป๋ส่งมา ข้าก็ไม่เชื่อหรอก คิดว่าใครก็ทำลายค่ายกลที่ประมุขไป๋วางไว้ได้เหรอ ถ้าเจ้าหนุ่มนี่เอาประมุขขุนพลทั้งหกมาทำเป็นทางหนีทีไล่จริงๆ งั้นข้าก็คิดไม่ตกแล้ว”
จ่างหงบอกว่า “จะเอาชีวิตของประมุขขุนพลทั้งหกมากดดันหรือไม่ก็ไม่สำคัญหรอก ที่สำคัญคือพวกเขาอยากจะมีชีวิตรอด ตราบใดที่พวกเขาอยากมีชีวิตรอด พวกเขาก็ไม่กล้าทำอะไรประมุขขุนพลทั้งหกอยู่ดี นอกเสียจากพวกเขาจะไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว ขอเพียงสามารถช่วยชีวิตประมุขขุนพลทั้งหกออกมาได้ ถ้าโดนพวกเขากดดัน จะปล่อยให้พวกเขารอดชีวิตไปสักครั้งก็ไม่เป็นอะไร มิหนำซ้ำประมุขขุนพลทั้งหกก็ยินดีถูกประมุขไป๋ควบคุม แสดงว่าประมุขไป๋ต้องพูดอะไรที่ทำลายความเคลือบแคลงสงสัยของประมุขขุนพลแน่นอน ตราบใดที่พวกเราทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับประมุขไป๋ แผนที่ประมุขไป๋วางไว้ก็จะไม่เกิดอันตรายต่อชีวิตของประมุขขุนพลทั้งหกแน่นอน แล้วอีกอย่าง ถ้าคนที่ประมุขไป๋กำหนดให้มาทำลายค่ายกลฆ่าประมุขขุนพลทั้งหกแล้ว จากนั้นพวกเราฆ่าผู้ที่มาทำลายค่ายกลอีก แล้วแผนที่ประมุขไป๋วางไว้จะยังมีความหมายอะไรล่ะ? ถ้าต้องการจะฆ่าประมุขขุนพลทั้งหกจริงๆ ประมุขไป๋ก็สามารถลงมือเองได้เลย ไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมมากขนาดนี้ ดังนั้นพวกเจ้าวางใจเถอะ ตราบใครที่คนพวกนี้คือคนที่ประมุขไป๋กำหนดไว้ ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องประมุขขุนพลทั้งหกเลย!”
“อืม! ที่พูดก็มีเหตุผล!” คนที่เหลือได้ฟังแล้วพยักหน้า ต่างก็คิดว่าสิ่งที่จ่างหงพูดมีเหตุผล
แต่เมิ่งหรูก็ยังส่ายหน้าเล็กน้อย “อย่างไรเสียประมุขไป๋ก็ตกอยู่ในมือประมุขชิงกับประมุขพุทธะแล้ว จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ไม่มีใครรู้ กลัวก็แต่เจ้าพวกนั้นจะเป็นสายลับที่โจรกบฏส่งมา”
“คิดมากไปแล้ว ถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับประมุขไป๋จริงๆ เกรงว่าทัพใหญ่ของโจรกบฏคงจะมาล้อมโจมตีนรกตั้งนานแล้ว มีหรือที่จะทำอะไรมากขนาดนี้ เรื่องราวเบื้องลึกในนั้น เกรงว่าประมุขขุนพลทั้งหกจะรู้ดีที่สุด ไม่อย่างนั้นคงไม่สมัครใจโดนควบคุม รอให้ประมุขขุนพลทั้งหกออกมาได้ก่อนแล้วค่อยถามรายละเอียดก็ได้ ตอนนี้ก็ได้แต่หวังว่าเจ้าพวกนั้นจะช่วยชีวิตประมุขขุนพลทั้งหกออกมาได้อย่างราบรื่น” จ่างหงกล่าว
“ระวังไว้จะได้ไม่ผิดพลาดมาก!” เหลิ่งจัวฉุนหันกลับมาสั่งลูกน้องตัวเองว่า “วางค่ายกลล้อมดาวรองเอาว้ ตัดขาดการเชื่อมต่อของระฆังดารากับภายนอก”
“รับทราบ!” มีคนเหาะไประดมพลมาช่วยกันวางค่ายกลทันที
เหมียวอี้ในตอนนี้กำลังเหาะอย่างรวดเร็วเพียงลำพังภายใต้หมอกสีเลือด บางครั้งก็ใช้ตาทิพย์แยกแยะทิศทาง รีบไปยังตำแหน่งที่ตัวเองจดจำไว้ให้หัวอย่างรวดเร็ว
…………………………
บทที่ 1228 โลงศพแดงหกโลง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ต่อให้จำตำแหน่งได้แล้ว แต่ก็เดินทางทะลุหมอกหนา ไม่สามารถสำรวจจากบนฟ้าได้ ถ้าอยากจะหาตำแหน่งที่แน่นอนพบก็ยุ่งยากอยู่เหมือนกัน
ใช้ความพยายามไปเยอะมาก ถึงได้หาจุดที่มีภูเขาห้าลูกล้อมรอบพบ เป็นบริเวณพื้นกรวดที่ราบเรียบ ตรงกลางมีลำธารตัดผ่านสายหนึ่ง ดูจากโดยรวมนับว่าเป็นแอ่งกระทะ
รอบข้างมีหมอกเลือดลอยผุบๆ โผล่ๆ เหมียวอี้มองดูโดยรอบ ตอนมองจากบนฟ้าที่นี่ดูไม่ใหญ่ แต่พอตัวมาอยู่ในบริเวณนี้แล้วก็กลับพบว่าไม่เล็กเลย
รีบเดินไปทั่วทุกที่รอบหนึ่ง บริเวณที่ราบไม่มีทางเข้าใดๆ ที่สู่จุดซ่อนสมบัติ เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลก สถานที่คงจะไม่ได้ผิดพลาดหรอกใช่มั้ย!
พอเอามือลูบคางครุ่นคิดไปได้ครู่หนึ่ง เหมียวอี้ก็ถลันตัวทะยานขึ้นฟ้า แต่ไม่ได้เหาะออกจากหมอกเลือด ไปหยุดอยู่ตรงจุดที่ใกล้จะฝ่าหมอกเลือดอออกไป แล้วใช้ตาทิพย์กวาดมองแอ่งกระทะที่ราบเรียบผืนนี้อีกครั้ง
มองดูซ้ำไปซ้ำมา แต่ไม่เห็นจุดน่าสงสัยที่เหมือนจะเป็นทางเข้าที่ซ่อนสมบัติเลยจริงๆ
ตาทิพย์ไปหยุดอยู่ตรงน้ำตกที่ไหลซู่จากบนหน้าผาลงมาข้างล่าง แล้วกวาดมองสายน้ำที่ไหลตัดผ่านไปตลอดทาง สายตามองทะลุไปถึงใต้น้ำ สุดท้ายก็ไปหยุดอู่ตรงปากทางระบายน้ำของแม่น้ำแล้ว
แต่ก็ยังไม่พบทางเข้าที่ซ่อนสมบัติใดๆ เหมียวอี้สงสัยนิดหน่อยว่าตัวเองเข้าใจผิดไปแล้วหรือเปล่า แต่ดูจากประสบการณ์ในการหาสมบัติเมื่อก่อน ก็น่าจะไม่ได้เข้าใจผิดสิ
หาทั่วทั้งแอ่งกระทะแล้ว ไม่มีที่ไหนให้หาแล้วจริงๆ สุดท้ายเหมียวอี้ก็ยังถลันตัวไปตรงปากทางระบายน้ำของแม่น้ำ เป็นช่องเขาช่วงหนึ่งที่คดเคี้ยว
เข้ามาในช่องเขาที่กระแสน้ำไหลเชี่ยวเนื่องจากลักษณะพื้นต่างระดับกัน กระแสน้ำไหลแรงจนเกิดเสียงซู่ๆ และหมอกละอองน้ำ
เมื่อไปข้างหน้าต่อสักระยะหนึ่ง ข้างหน้าก็ปรากฏปากทางเข้าอุโมงค์ใต้ดินแห่งหนึ่ง กระแสน้ำแรงที่ไหลมาถึงตกลงไปใต้ดินอย่างกะทันหันราวกับไหลลงกรวย ในช่องเขาปรากฏถ้ำหลุมดำที่สีดำมืดแห่งหนึ่ง
มองดูปากถ้ำมืดตึ๊ดตื๋อที่โดนน้ำสาดซัดจนเกิดละอองน้ำ แล้วก็มองดูภูเขาหินรอบๆ ช่องเขา จากนั้นก็มองทางที่เดินมาอีก พบว่าออกจากจุดที่เป็นแอ่งกระทะมาแล้ว หรือว่าสมบัติจะซ่อนอยู่ด้านล่างนี้?
ไม่ว่าจะอย่างไร เหมียวอี้ก็จะต้องสำรวจให้รู้กันไป จึงกระโดดลงไปตามกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว
พอเข้ามาถึงจุดลึกของถ้ำน้ำ ก็รู้สึกได้รางๆ ถึงพลังลึกลับกลุ่มหนึ่ง เขาใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองไปรอบๆ พบว่าหมอกเลือดไม่ได้ลอยมาถึงใต้ดิน เขาทดลองยื่นนิ้วออกไปจากเกราะเพลิงดารา แต่ก็ไม่พบปัญหาใดๆ ‘หมอกโฉมงามอาภัพ’ บุกรุกมาไม่ได้ถึงจุดนี้จริงๆ ด้วย
พอเป็นแบบนี้ ก็เห็นเบาะแสจากตรงนี้แล้ว เมื่อมีร่องรอย เหมียวอี้ก็กระปรี้กระเปร่าทันที เก็บเพลิงดาราที่ปกป้องร่างกาย กวาดดวงตาอิทธิฤทธิ์มองปรอบๆ ลงลึกต่อไปตามกระแสน้ำไหลเชี่ยวที่อยู่ใต้เท้า หลังจากเดินทางต่อไปข้างหน้าหลายร้อยจั้ง บนผนังถ้ำก็ปรากฏห้องถ้ำแห่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดว่าเกิดขึ้นจากฝีมือมนุษย์
เหมียวอี้ย่อมไม่พูดพร่ำทำเพลง ใช้ฝ่ามือข้างเดียวผลักออกไป ดันพลังอิทธิฤทธิ์เปิดทางข้างหน้า เข้าไปในถ้ำหินที่คดเคี้ยววกวนและไปต่ออีกประมาณร้อยจั้ง จากนั้นพื้นที่ว่างใต้ดินก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว
ด้านบนของพื้นที่ว่างฝังเลี่ยมไข่มุกราตรีที่ส่องแสงสวยละมุน ข้างล่างมีโลงศพที่ทำจากผลึกแดงที่ยาวตั้งแต่ศีรษะจดเท้าจำนวนหกโลง วางกระจายเป็นวงกลม บนโลงศพไม่มีการประดับตกแต่งลวดลายใดๆ ทำได้ค่อนข้างหยาบ เพียงแต่การที่โลงศพโลหะแดงปรากฏอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้รวดเดียวหกโลง ก็ทำให้คนรู้สึกสะเทือนขวัญอยู่บ้างเหมือนกัน
เหมียวอี้เข้าใจทันทีว่าตัวเองมาหาถูกที่แล้ว เป็นไปได้สูงว่าในโลงศพหกโลงนั้นจะเป็นประมุขขุนพลทั้งหก ไม่อย่างนั้นคงไม่บังเอิญมีหกโลงเหมือนกันหรอก
หลังจากสำรวจพื้นที่ว่างใต้ดินไปรอบหนึ่ง เหมียวอี้ก็สาวเท้าเดินเข้าไปในพื้นที่ว่างใต้ดินนั้น ทำให้รู้สึกได้ถึงคลื่นพลังลึกลับกลุ่มหนึ่งทันที ทั้งยังชัดเจนมากด้วย
หลังจากร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูโดยรอบแล้วไม่พบความผิดปกติใดๆ เหมียวอี้ก็เดินไปอยู่ตรงหน้าระหว่างโลงศพหกโลงนั้น เขาหันมองรอบวง อันที่จริงเขาก็คันไม้คันมือนิดหน่อย อยากจะเปิดดูในโลงศพว่าใช่ประมุขขุนพลทั้งหกนั่นหรือไม่
ความอยากรู้อยากเห็นคือเรื่องธรรมชาติของคน มิหนำซ้ำไม่ช้าก็เร็วก็ต้องเห็นประมุขขุนพลทั้งหกนี้อยู่ดี เดิมทีเหมียวอี้คิดจะจับหกคนนี้เป็นตัวประกัน ดังนั้นในขณะที่ข่มความสงสัยของตัวเองไว้ เขาเดินไปข้างๆ โลงศพแดงโลงหนึ่ง คว้ากระบี่วิเศษผลึกแดงเตรียมไว้ แล้วยื่นมือไปร่ายอิทธิฤทธิ์ลูบคลำตรวจดูในรอยแยก
เขาพบในโลงศพมีคนหนึ่งคนนอนอยู่ เพียงแต่ใช้พลังอิทธิฤทธิ์สำรวจแล้วก็ยังไม่มีทางตัดสินหน้าตาได้ มือที่สัมผัสอยู่บนฝาโลงศพร้อนรนอยากจะเปิดออก แต่ก็กังวลอีกว่าถ้าเปิดแล้วคนที่อยู่ในนั้นจะวิ่งออกมา ถ้าเป็นแบบนั้นตัวเองรับไม่ไหว
แต่พอลองคิดดูอีกมุม ขนาดขุนพลใหญ่หกลัทธิยังมีวรยุทธ์ถึงระดับสำแดงฤทธิ์เลย วรยุทธ์ของประมุขขุนพลหกลัทธินี้ก็ย่อมไม่ต้องพูดถึงแล้ว ของที่ทำจากผลึกแดงขังยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ไว้ไม่ได้หรอก คนข้างในจะต้องถูกควบคุมไว้แน่นอน ไม่อย่างนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่จะขังคนข้างในไว้ได้นานขนาดนี้
หลังจากตัดสินได้แบบนี้แล้ว เหมียวอี้ก็ยกมือผลักฝาโลงออก แต่ผลักแล้วไม่ขยับเขยื้อน เลิกออกก็เลิกไม่ได้ จึงเดินวนดูรอบๆ ทำให้พบว่ารอบโลงศพล้วนมีสิ่งของที่คล้ายกับเหมินติงกลมประดับประตู จึงยื่นมือไปลูบคลำและลองกดดู
“แกร๊ก” ในโลงศพมีเสียงประหลาดดังขึ้น
จากนั้นเหมียวอี้ก็ดันเลิกฝาโลงอีก แต่ก็ยังเปิดไม่ออก จึงรีบอ้อมไปยังด้านที่สามของโลงศพแล้วกด พอกดวัตถุที่คล้ายกับเหมินติงประดับประตู ก็มีเสียง “แกร๊ก” ดังอยู่ในโลงศพทุกอย่างอย่างที่คาดไว้
เมื่อทำแบบนี้ครบสี่ด้าน เหมียวอี้ก็จับขอบฝาโลงศพแล้วออกแรง ฝาโลงศพพลันเปิดออก พลิกตกไปอยู่บนพื้นข้างๆ จนเกิดเสียงดัง
เหมียวอี้ที่ถือกระบี่วิเศษไว้ในมือเพื่อเตรียมป้องกันรีบเหลือบมองในโลงศพแวบหนึ่ง พอมองแวบเดียวก็ตะลึงทันที อย่าบอกนะว่าผู้หญิงคนนี้คือหนึ่งในประมุขขุนพลหกลัทธิ?
ในโลงศพมีสตรีวัยกลางคนที่สวมชุดกระโปรงสีทองคนหนึ่งกำลังนอนนิ่ง ผิวกายขาวดุจหิมะ หน้าตางดงามดุจภาพวาด ตรงหว่างคิ้วมีจุดสีแดงที่แสดงว่าวรยุทธ์ถึงระดับสำแดงฤทธิ์แล้ว แพขนตายาวปิดสนิทนอนนิ่งอยู่ในโลง ช่างเหมือนยอดหญิงที่งามที่สุดในแผ่นดิน งามจนจันทร์หลบโฉมสุดา มวลผกาละอายนาง
แต่สิ่งที่โหดร้ายมากก็คือ ตรงหัวใจของสตรีวัยกลางคนมีสิ่งของที่คล้ายกับขลุ่ยผลึกแดงปักอยู่ ด้านบนมีรู จากรอยเลือดสีแดงเข้มที่อยู่บนเสื้อผ้าตรงหน้าอกของสตรีวัยกลางคนก็สามารถตัดสินได้ ว่าวัตถุที่คล้ายขลุ่ยด้ามนี้ปักอยู่บนตัวนางมาหลายปีแล้ว
สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้ตื่นตัวก็คือ นอกจากวัตถุที่คล้ายขลุ่ยด้ามนี้แล้ว บนตัวของสตรีวัยกลางคนเหมือนจะไม่มีการผนึกอย่างอื่น
เหมียวอี้รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าหัวใจของผู้หญิงในโลงศพยังเต้นเป็นบางครั้ง คนยังไม่ตาย
เขาถือกระบี่ตีเบาๆ บนใบหน้าของสตรีวัยกลางคน ทดสอบไปหลายรอบแล้วไม่ได้ผลอะไร แน่ใจแล้วว่านางคงไม่ตื่นขึ้นมา กระบี่จึงย้ายลงไปที่แขนเสื้อของนาง เลิกแขนเสื้อนางดู แต่ไม่เห็นสิ่งของประเภทกำไลเก็บสมบัติเลย
คมกระบี่รีบย้ายไปเลิกดูตรงปากแขนเสื้ออีกข้าง แต่ก็ไม่มีกำไลเก็บสมบัติเช่นกัน บนนิ้วขาวเรียวก็ไม่สวมแหวนเก็บสมบัติด้วย
นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? เหมียวอี้ไม่เชื่อหรอก หนึ่งในประมุขขุนพลหกลัทธิผู้สง่าผ่าเผย ตามหลักแล้วควรจะเป็นคนที่มีทรัพย์สินเยอะสิ จะเป็นไปได้อย่างไรที่บนตัวไม่มีทรัพย์สินเลย
เหมียวอี้รีบถือกระบี่วิเศษคว่ำลงแล้วเอาไขว้ไว้ข้างหลัง มืออีกข้างยื่นเข้าไปในโลงศพ ร่ายอิทธิฤทธิ์ค้นบนตัวสตรีวัยกลางคนอยู่พักหนึ่ง
เขาไม่ถึงขั้นเกิดความคิดลามกกับคนที่นอนอยู่ในโลงศพเหมือนคนตาย เป็นการค้นหาสมบัติล้วน ตอนยังไม่รู้ฐานะของอีกฝ่ายก็ยังดีหน่อย แต่ในเมื่อรู้แล้วมีหรือที่จะปล่อยผ่านไป ถ้าได้สมบัติของหนึ่งในประมุขขุนพลหกลัทธิมาไว้ในมือ ก็จะต้องร่ำรวยมากแน่นอน
สิ่งที่ทำให้เขาผิดหวังก็คือ ค้นตัวสตรีวัยกลางคนผู้งดงามคนนี้ทั้งข้างบนข้างล่างไปแล้วรอบหนึ่ง แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีทรัพย์สมบัติอะไร
เขากำลังมีความคิดอยากจะร่ำรวย แต่กลับไม่สังเกตว่าดวงตาของสตรีผู้งดงามเหมือนกำลังขยับเล็กน้อย
ท่านขุนนางเหมียวไม่ยอมตัดใจ รีบเดินไปข้างโลงศพอีกโลง เสียง “แกร๊ก” ดังขึ้นสี่ครั้ง พอฝาโลงศพพลิกตกลงพื้นเสียงดังแกร๊ง ในโลงศพก็มีปราณหยินที่เย็นเยียบโผล่ขึ้นมาทันที
เหมียวอี้โบกแขนเสื้อกวาดปราณหยินที่พรั่งพรูออกมา พอยื่นหน้าไปดู ก็เห็นข้างในมีชายชราชุดดำคนหนึ่งนอนอยู่ ตรงหว่างคิ้วมีลายเมฆสีดำเสมือนจริง กำลังปิดตาหลับลึก คิ้วบางหรอมแหรม หนวดเคราก็มีอยู่ไม่กี่เส้น ทำให้คนรู้สึกเหมือนว่าเขาหน้าตาเหมือนโจร บนหัวใจมีวัตถุคล้ายขลุ่ยปักอยู่ด้ามหนึ่งเช่นกัน
แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าคนคนนี้คือนักพรตผี เหมียวอี้ไม่ได้สนใจอะไรมากขนาดนั้น รีบค้นตัวเขาอย่างรวดเร็วรอบหนึ่ง ยังคงไม่เจอสิ่งของอะไรทั้งนั้น
แกร๊ง! ฝาโลงศพอีกโลงตกลงพื้น ร่างที่อยู่ในโลงศพอีกโลงคือชายชราที่คิ้วหนาเชิดขึ้น แค่มองหน้าตาแวบเดียวก็รู้ว่าก้าวร้าวเผด็จการมาก แต่นี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เหมียวอี้สนใจ รีบค้นตัวอีกฝ่ายรอบหนึ่ง
เหมียวอี้ที่ไม่ได้อะไรเปิดฝาโลงของโลงศพที่สี่ พอยื่นหน้ามอง ก็เห็นพระชราที่สวมจีวรทีทออย่างดงาม หน้าตาดูสดใสมีกำลังวังชา หลับยาวไม่ตื่น ตรงหัวใจปัก ‘ขลุ่ย’ เอาไว้
เป็นอีกครั้งที่เขาค้นแล้วไม่เจออะไร ฝาโลงศพโลงที่ห้าถูกเหมียวอี้เลิกออก คนที่นอนอยู่ในนั้นคือสาวน้อยสวมชุดกระโปรงสีชมพู ทั้งยังแต่งตัวเปิดเผยเนื้อหนังด้วย หน้าตาสวยน่ารัก ขณะที่หลับลึกยังเผยกลิ่นอายความเป็นหนุ่มสาว
แต่สิ่งที่โหดร้ายจนทนมองไม่ได้ก็คือ ‘ขลุ่ย’ ด้ามนั้นปักอยู่บนหน้าผากอันเกลี้ยงเกลาของสายน้อย รอบๆ ปากแผลเป็นรอยสีเขียว
เงื้อมมือมารที่ไม่ได้ปะปนความคิดชั่วร้ายของขุนนางเหมียวค้นตัวอีกฝ่ายหนึ่งรอบ
ยังคงไม่ได้ผลอะไร โลงศพโลงที่หกก็ไม่ปล่อยผ่านเหมือนกัน พอฝาโลงเปิดออกและยื่นศีรษะมอง ข้างในก็เป็นชายชุดขาวที่หน้าตาสง่าดูมีความรู้
เหมียวอี้ที่ค้นตัวรอบหนึ่งแล้วไม่เจออะไรประคองขอบโลงศพ จ้องชายที่อยู่ในโลงศพพลางครุ่นคิด ว่าของที่อยู่บนตัวหกคนนี้ไปอยู่ที่ไหนแล้ว?
แกร๊งๆๆ…
หลังจากกระบี่วิเศษในมือเคาะบนโลงศพช้าๆ พักหนึ่ง เหมียวอี้ที่กำลังครุ่นคิดก็พลันส่ายหน้ายิ้มเจื่อน ไม่ต้องบอกแล้วล่ะ เป็นใครกันที่ควบคุมคนพวกนี้เอาไว้ เดาได้ไม่ยากแล้วว่าสมบัติบนตัวคนพวกนี้ไปอยู่ที่ไหน จะต้องตกอยู่ในมือประมุขไป๋ท่านนั้นแน่นอน
“เฮ้อ! “เหมียวอี้ถอนหายใจ
ตอนเจอเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคดินที่ดาวดำเนินนภา เขาก็ไม่ได้สมบัติอะไร ตอนเจอมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงภาคดินที่ดาวสองขั้วแล้วได้ไฟหยินหยางมาช่วยให้ตัวเองเพิ่มวรยุทธ์อย่างรวดเร็ว ก็นับว่าได้กำไรไม่น้อยเหมือนกัน ตอนเจอเคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าภาคดินที่ดาวดำเนินเซียนก็ได้ร่ำรวยก้อนใหญ่ แต่ที่นี่กลับไม่มีอะไรให้กอบโกยเลย
ว่ากันว่าคนตายเพราะสมบัติ นกตายเพราะอาหาร เขายอมเสี่ยงชีวิตมาที่นี่เพื่ออะไรล่ะ? ก็เพื่อมาขุดสมบัติที่ประมุขไป๋ซ่อนไว้ไม่ใช่เหรอ ในบ้านเลี้ยงผู้หญิงไว้เป็นโขยง ยิ่งวรยุทธ์สูงขึ้นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้ว ตั๊กแตนแปดสิบห้าตัวกับเฮยทั่นก็มีค่าใช้จ่ายสูงมาก บนบ่าแบกความรับผิดชอบไว้ถึงได้มีแรงกระตุ้นให้ถ่อมาเสี่ยงอันตราย ตอนนี้ไม่ได้อะไรกลับไปก็ย่อมผิดหวังอยู่แล้ว
แต่พอนึกได้ว่าก่อนหน้านี้ได้สมุนไพรเซียนซิงหัวมาเป็นกอง ก็คิดว่ากลับไปคงพอให้ใช้จ่ายได้หลายปีเหมือนกัน ในที่สุดก็อารมณ์ดีขึ้นมาบ้างนิดหน่อย เขาส่ายหน้าพลางเก็บกระบี่วิเศษ จากนั้นมองไปรอบๆ สายตาไปจ้องอยู่ที่ห้องถ้ำเล็กๆ ห้องหนึ่ง
โลงศพที่หกเปิดฝาเอาไว้ถูกเขาทิ้งแล้ว พอถลันตัวเข้าไปในห้องถ้ำเล็กๆ ภาพแรกที่ปรากฏสู่สายตาก็คือภาพสตรีทะยานฟ้าบนฝาผนังห้องศิลา
สายตาเหมียวอี้ไปหยุดตรงจุดที่แขนของสตรีทะยานฟ้ารองถือ เป็นกล่องโลหะใบหนึ่งที่เหมือนหยกแดง เขากางนิ้วทั้งห้าร่ายอิทธิฤทธิ์ดูดเข้ามา
สิ่งที่ทำให้เขางุนงงก็คือ กล่องโลหะในครั้งนี้แน่นมาก ไม่น่าเชื่อว่าจะดูดออกมาไม่ได้ภายในรวดเดียว
เขาจึงร่ายอิทธิฤทธิ์เพิ่มพลังทันที เกิดเสียงดังแกร๊ก ออกแรงไปเยอะมาก ทำให้ผนังหินที่วาดภาพสตรีทะยานฟ้าถล่มลงมาทั้งแผง ถึงได้ดูดกล่องโลหะมาไว้ในมือได้
ชั่วพริบตานี้ พลังลึกลับกลุ่มหนึ่งกระเพื่อมราวกับระลอกน้ำ เหมียวอี้มองไปรอบๆ อย่างงุนงง
หารู้ไม่ว่า ในโลงศพหกโลงที่อยู่ในพื้นที่ว่างใต้ดินด้านนอก ในรูบน ‘ขลุ่ย’ ที่ปักอยู่บนตัวคนหกคน มีวัตถุไร้รูปร่างลอยเป็นเกลียวออกมาเล็กน้อยราวกับคลื่นน้ำแล้ว
…………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น