ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 1226-1239
ตอนที่ 1226 พยายามอย่างช้าๆ
อันที่จริงเหมยเหมยก็ไม่ได้โมโหมากนักหรอกก็แค่โมโหแวบหนึ่งเท่านั้น เหยียนหมิงซุ่นปลอบหน่อยก็ดีขึ้นแล้ว เธอสูดหายใจเข้าไป ถูเสื้อของเหยียนหมิงซุ่นอย่างเก้อเขิน
“เดิมทีฉันยังอยากจะขอบคุณเขา แต่เขาพูดจาไม่น่าฟังเกินไป ฉันถึงอดไม่ได้จนต้องด่าไปสักที” เหมยเหมยก้มหัวบีบนิ้วทำเหมือนลูกสะใภ้ตัวน้อยได้รับความไม่เป็นธรรม
เหยียนหมิงซุ่นหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาแล้วเช็ดหน้าให้เธอ ปลายจมูกแดงเล็กน้อย ดูน่าสงสารแต่ดูน่าขันมากกว่า
พ่อบุญธรรมของเขาก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไรเห็นได้ชัดว่าชอบเหมยเหมยจะตาย แต่มักจะแหย่ให้เหมยเหมยโมโหอยู่เรื่อย พูดจาไม่ลดราวาศอกบ้างเลย สองคนนี้เจอกันทีไรเป็นต้องเถียงกันทุกที วันไหนที่สามารถอยู่ด้วยกันได้อย่างสันติเขาคงจะประหลาดใจมาก!
“เป็นความผิดของพ่อเขาแหละ อีกเดี๋ยวพี่จะต้องสั่งสอนตาเฒ่านั่นแน่นอน”
เหมยเหมยหัวเราะทั้งน้ำตาหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับหน้า “ฉันต้องกลับแล้ว แม่บอกให้กลับไปกินข้าวเย็น คืนนี้ที่บ้านต้องมีเรื่องกวนใจแน่”
นึกถึงใบหน้าที่ไม่สบอารมณ์ตอนที่คุณปู่และจ้าวอิงหย่งจากไป อารมณ์ของเหมยเหมยก็แย่อีกครั้ง
อยากจะกลับเมืองจินจัง!
“ไม่ต้องกลัว ตอนนี้เธอคือคนของพี่ ไม่ว่าจะเป็นคุณปู่ของเธอหรือว่าพวกลุงสามจะพูดอะไร เธอก็บอกให้พวกเขามาหาพี่ อย่างอื่นก็ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น” เหยียนหมิงซุ่นสอนวิธีรับมือ เหมยเหมยพยักหน้ารับรัว ๆ
เรื่องที่สวนฟาร์มเยอะมากจริง ๆ พอเหยียนหมิงซุ่นส่งเหมยเหมยถึงบ้านตระกูลจ้าวแล้วก็ไปเลย ไม่ได้อยู่พูดคุยกับพวกคุณปู่
”ยังดีที่กลับมา……”
จ้าวอิงหย่งอดไม่ได้ที่จะพูดเหน็บแนม เพิ่งจะพูดได้แค่เพียงประโยคเดียวเขาก็โดนอันหย่าฟางถีบเข้าให้ แถมยังจ้องมองอย่างดุร้าย จ้าวอิงหย่งจึงรีบปิดปากของเขาทันที
“เหมยเหมยกลับมาแล้ว รีบกินข้าวเร็ว วันนี้เชฟหยวนทำหมูตุ๋นหน่อไม้แห้งที่เธอชอบกินมาก ๆด้วยนะ หน่อไม้แห้งที่หนูเอากลับมายังไงล่ะ!” ใบหน้าของอันหย่าฟางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ไม่พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่ฟาร์มเมื่อตอนกลางวันเลยสักนิด
คุณปู่ก็ไม่เอ่ยถึงเช่นกัน พูดแค่เพียงว่ารีบกินข้าว พวกพี่น้องจ้าวเสวียไห่ก็รีบหยิบถ้วยทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง ตอนกลางวันได้แต่ดูความวุ่นวายจึงไม่ทันได้กินอิ่ม
เหมยเหมยแอบถอนหายใจ ถึงแม้ว่าการแสดงออกของพวกคุณปู่จะต่างจากที่คิดเอาไว้ แต่เป็นแบบนี้ก็ดีจะได้ไม่ต้องเปลืองแรงพูด
หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ จ้าวอิงหย่งและคุณปู่ก็พูดคุยกันที่ห้องหนังสือ พวกจ้าวเสวียเฟิงไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ จึงพูดปฏิเสธโดยอ้างว่ามีนัดกับเพื่อนแล้วก็ออกไป
“พ่อ ทำไมพ่อถึงไม่ว่าเหมยเหมยล่ะ ดูที่วันนี้เธอพูดสิ นี่ไม่ใช่ว่าอยากเอาใจออกห่างจากตระกูลจ้าวหรือยังไง?” จ้าวอิงหย่งพูดอย่างไม่พอใจ
ใบหน้าของคุณปู่ยังคงนิ่ง เขาหยิบบุหรี่หนึ่งซองออกมาจากกระเป๋าของจ้าวอิงหย่ง เขย่าบุหรี่ออกมาหนึ่งมวนภายใต้สายตาที่ประหลาดใจของจ้าวอิงหย่ง และเริ่มสูบบุหรี่
เมื่อสิบปีก่อนเขาทำตามคำแนะนำของแพทย์และเริ่มเลิกสูบบุหรี่ จนเลิกบุหรี่ไปสิบปีไม่แตะบุหรี่อีกเลยแม้แต่มวนเดียว แต่วันนี้เขาอึดอัดใจจริง ๆจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสูบบุหรี่เพื่อกำจัดความกลุ้มใจนั่น
สูบไปสามมวนคุณปู่ถึงได้หยุด สีหน้าดูดีขึ้นมาหน่อย เขาถอนหายใจพูดกับจ้าวอิงหย่งว่า “วันหลังอย่าเอาเรื่องเฮ่อเหลียนชิงไปรบกวนเหมยเหมย รอแม่ของลูกไปแล้ว พวกเราทั้งครอบครัวก็ย้ายออกจากที่นี่ ไปใช้ชีวิตสงบสุขกันเถอะ”
“พ่อ…”
จ้าวอิงหย่งร้องขึ้นอย่างตกใจ ไม่สามารถเข้าใจได้ว่าทำไมพ่อของเขาถึงได้ไม่แสวงหาความก้าวหน้า!
คุณปู่โบกไม้โบกมืออย่างรำคาญบอกให้เขาออกไป ตอนนี้เขารู้สึกรำคาญเมื่อเห็นลูกชายทั้งสามคนนี้ไม่มีประโยชน์เลยสักนิด ข้างกายไม่มีแม้แต่คนที่จะให้คำแนะนำได้เลยสักคน
แน่นอนว่าเขาไม่สามารถใช้ชีวิตเรียบง่ายได้อย่างปากพูด แต่เขาจะรีบร้อนไม่ได้
วันนี้ที่สวนเห็นได้ชัดว่าเหมยเหมยตัดความสัมพันธ์กับตระกูลจ้าว มีอคติต่อตระกูลจ้าว เขาจะใจร้อนไม่ได้ ไม่อย่างนั้นมันจะกลับตาลปัตรกันไปหมด
ต้องให้เป็นไปอย่างช้า ๆ เขาไม่เชื่อหลานสาวของเขาจะทนมองดูตระกูลจ้าวต้องทนทุกข์ทรมานใจร้ายได้ลงคอหรอก!
เหมยเหมย ‘คุณปู่เชื่อเถอะ คนที่ลงมือคือไอ้บ้าสารเลวนั่น!’
……………………………………………
ตอนที่ 1227 สืบทอดวงศ์ตระกูล
จ้าวอิงหย่งโดนคุณปู่และภรรยาดึงหูสั่งสอนไปแล้วก็ไม่กล้าไปหาเหมยเหมยขอร้องให้เฮ่อเหลียนชิงช่วยอีกแล้ว การเชื่อฟังเป็นจุดเด่นที่ดีที่ใหญ่ที่สุดของเขาเลยก็ว่าได้!
สุขภาพของคุณย่าแย่ลงเรื่อย ๆ อาจจะวันสองวันนี้ จ้าวอิงหัวบินกลับมาอีกครั้งเพราะกลัวว่าจะไม่ทันช่วงเวลาสุดท้ายของคุณย่า
จ้าวอิงหัวได้ฟังเหยียนซินหย่าเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้นที่สวนให้ฟังก็ด่าตัวเองในใจไม่หยุด
เหยียนหมิงซุ่นเจ้าชั่ว ฉวยโอกาสที่เขาไม่อยู่พูดเกลี้ยกล่อมจนภรรยาของเขามอบลูกสาวให้ โธ่เว้ย!
ด่าไปด่ามาจนสุดท้ายจ้าวอิงหัวก็ยอมรับเช่นกันว่าเหยียนหมิงซุ่นเด็กหนุ่มคนนี้ถือว่าไม่เลวเลย นอกจากเรื่องการแต่งงานที่ใจร้อนมากไปหน่อย เรื่องอื่นก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติ
พูดถึงสถานะของเหยียนหมิงซุ่นในตอนนี้อยากได้ผู้หญิงแบบไหนก็ได้เลือกเอาได้เลยด้วยซ้ำ หากเขายังไม่พอใจอีก เกรงว่าคนอื่นจะว่าเขาเรื่องมากไร้เหตุผลเอาได้!
สำหรับสิ่งที่เหมยเหมยพูดในสวนฟาร์ม ถึงแม้ว่าบางอย่างจะไม่เหมาะสมมากนัก แต่จ้าวอิงหัวก็ไม่รู้สึกว่าลูกสาวของเขาพูดผิดอะไร ต้องฉวยโอกาสขีดเส้นให้ชัดเจนแต่เนิ่น ๆเพื่อที่พ่อเขาและพวกพี่ชายทั้งสามคนจะได้ไม่ต้องมาวางแผนคิดร้ายกับลูกสาวของเขาอีก
พูดได้ดี!
เพราะว่าจ้าวอิงหัวสนับสนุนลูกสาวของเขาอย่างไม่มีเงื่อนไข เขาเกือบจะทะเลาะวิวาทกับจ้าวอิงหย่งอยู่แล้ว โชคดีที่อันหย่าฟางมาห้ามได้ทันเวลา พาจ้าวอิงหย่งกลับไปสั่งสอนหนึ่งชุดก็ไม่มีเหตุการณ์วุ่นวายเกิดขึ้นอีก
เหมยเหมยถามจากเซียวเซ่อ วันที่สองของงานแจกลายเซ็น แม่ลูกโอหยางซานซานก็ถูกครอบครัวตระกูลโอหยางไล่ตะเพิดอีกครั้ง ยังไม่รู้ว่าจะสามารถกลับมาได้อีกเมื่อไหร่!
ส่วนชื่อเสียงของโอหยางซานซานก็ฉาวโฉ่เหม็นเน่าไปหมด
ไม่ว่าใครที่พูดถึงโอหยางซานซานก็จะมีเพียงคำเดียวที่ใช้พรรณนา —— ขโมย!
สำหรับโอหยางสยงออกไปต่างประเทศเพื่อผ่าตัด เพราะเหยียนหมิงซุ่นตัดหูของเขาในวันนั้นและยังใจดีโยนหูลงโถชักโครก ดังนั้น——
โอหยางสยงต้องใส่หูปลอม ตอนนี้ในประเทศยังไม่มีเงื่อนไขทางการแพทย์ที่สมบูรณ์แบบ ดูท่าคงไม่ได้กลับประเทศมาเร็ว ๆนี้แน่
และเฮ่อเหลียนเช่อ
ตั้งแต่กลับจากงานเลี้ยงวันนั้น หนิงเฉินเซวียนที่ได้รับความสะเทือนใจเป็นอย่างมากจึงอาละวาดใส่เฮ่อเหลียนเช่อ สั่งให้เขาหาทางแต่งงานให้ได้ภายในสามปีและต้องให้กำเนิดหลานชายให้เขาด้วย
เขาไม่สามารถให้ตาแก่นั่นพูดทิ่มแทงได้!
วงศ์ตระกูลหนิงจะขาดคนสืบทอดไม่ได้!
“ฉันให้เวลาแกสามปี ถ้าแกไม่หาลูกสะใภ้คลอดลูกให้ฉัน ฉันก็จะฆ่าไอ้คนแซ่หานหน้าขาวนั่น” หนิงเฉินเซวียนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“พ่อ…”
เฮ่อเหลียนเช่อร้องออกมาอย่างกะทันหันไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เรียกว่าอา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเรียกพ่อ แม้ว่าเขาจะเรียกมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วในความฝัน
หนิงเฉินเซวียนตะลึงอยู่นาน เหมือนกับเอ๋อกินไปแล้ว
“แกเรียกฉันว่าอะไร?”
“พ่อ” เฮ่อเหลียนเช่อเรียกอีกครั้ง หนิงเฉินเซวียนรีบหันศีรษะหนีไม่อยากให้ลูกชายเห็นดวงตาแดงก่ำ
ในไม่ช้าหนิงเฉินเซวียนก็สงบลง พยายามกลั้นความตื่นเต้นและความสุขไว้ข้างใน ทำหน้าเคร่งเครียดแล้วพูดว่า “อย่าคิดว่าเรียกฉันว่าพ่อแล้วฉันจะเปลี่ยนใจนะ วงศ์ตระกูลหนิงของฉันจะต้องไม่ขาดทายาท ฉันไม่สนใจว่าแกจะเล่นลับหลังแบบไหนอะไรอย่างไร แต่ต่อหน้าไอ้หมิงนั่นแกจะปล่อยให้ฉันขายขี้หน้าไม่ได้ ทั้งลูกสะใภ้และหลานชายต้องมีมาห้ามขาด!”
หนิงเฉินเซวียนเองก็ทำเอาเฮ่อเหลียนชิงโมโหไม่เบา พยายามอย่างแรงกล้าที่จะไม่ใจอ่อน กัดไม่ปล่อยเลยแม้แต่น้อย
เฮ่อเหลียนเช่อกลับไปที่บ้านพักของเหมยซูหานอย่างหดหู่ กินบะหมี่หมูผักดองหนึ่งชามอารมณ์ก็ดีขึ้นมาหน่อย เขาพูดคุยกับเหมยซูหานเกี่ยวกับคำขอร้องของหนิงเฉินเซวียน แต่ไม่ได้กล่าวถึงการใช้อำนาจคุกคามของหนิงเฉินเซวียนเพราะกลัวว่าจะทำให้เหมยซูหานตกใจ
อันที่จริงต่อให้เขาไม่พูด เหมยซูหานก็รู้ว่าตัวเองต้องแย่แน่ ๆ แม้แต่ชีวิตน้อย ๆนี้ก็อาจจะรักษาเอาไว้ไม่ได้
“อาเช่อ ฉันว่าอาของนายให้ความสำคัญมากที่สุดก็คือหลาน ฉันได้ยินมาว่าตอนนี้สามารถทำการผสมเทียมได้แล้ว ถ้างั้นพวกเราก็หาผู้หญิงมาอุ้มบุญ คลอดหลานชายเพื่อคลายความกดดันก่อนเป็นไง?”
เหมยซูหานแนะนำอย่างระมัดระวัง สเปิร์มของเฮ่อเหลียนเช่อนั้นใช้ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ใช้ของคนอื่นสิ
ตอนที่ 1228 การแต่งงานจอมปลอม
เหมยซูหานเสนอวิธีการที่เขาคิดเอาไว้นานแล้ว สีหน้าของเฮ่อเหลียนเช่อเปลี่ยนไปจ้องเหมยซูหานในทันที
มวลอากาศถูกบีบชั่วขณะ ความกดอากาศต่ำจนทำให้อึดอัดมาก
“อาเช่อ…นายเป็นอะไร?”
เหมยซูหานทำลายความเงียบไม่เข้าใจว่าทำไมเฮ่อเหลียนเช่อถึงไม่พอใจ เห็นได้ชัดว่าวิธีการที่เขาเสนอคือทางออกที่ดีที่สุดในตอนนี้แล้ว!
“นายผลักไสฉันไปแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น? ฉันรู้ว่านายไม่อยากจะอยู่ข้างกายฉัน…นายคิดหนีมาตลอดเวลาเลยล่ะสิ…”
เฮ่อเหลียนเช่อกัดฟันกรอด ตอนที่เขาฟังคำพูดของเหมยซูหาน ความคิดแรกก็คือเหมยซูหานอยากจะไปจากเขา ความโกรธพุ่งปรี๊ดทันทีแล้วจมดิ่งสู่ความมืดมิด
เหมยซูหานถอนหายใจอย่างเอือมระอา รู้สึกเสียใจอยู่บ้าง เมื่อก่อนเขาอาจจะคิดหนีตีจาก แต่พอผ่านไปสามปีเขาก็ไม่ใช่ท่อนไม้จะไร้ความรู้สึกได้อย่างไร?
เฮ่อเหลียนเช่อกลับยังไม่เชื่อใจเขาขนาดนี้
เหมยซูหานรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง แต่พอเขาเห็นบาดแผลความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ในดวงตาของเฮ่อเหลียนเช่อก็อดไม่ได้ที่จะใจอ่อนอีกครั้ง
“อาเช่อ นายต้องเชื่อใจฉันสิ ฉันไม่เคยคิดจะจากไปไหน ฉันแค่เสนอความคิดเห็นช่วยนายเฉย ๆ เวลานี้ควรรีบทำให้อาของนายพอใจก่อน พวกเราหาผู้หญิงมาแต่งงานปลอม ๆ พูดกับเธอให้ชัดเจนเอาไว้ก่อนแต่เนิ่น ๆ หลังจากนั้นค่อยทำเด็กผสมเทียมอย่างไรก็ต้องมีลูกแน่นอน”
เสียงที่ทุ้มนุ่มนวลทำให้หัวใจที่ยุ่งเหยิงหงุดหงิดของเฮ่อเหลียนเช่อสงบลง เขาสงบลงมาอย่างรวดเร็วเมื่อรู้ว่าเหมยซูหานกำลังวางแผนเพื่ออนาคตของพวกเขา เฮ้อเหลียนเช่อยิ้มอย่างมีความสุข แต่พอนึกถึงความน่ารำคาญของอาและร่างกายของตัวเองเฮ่อเหลียนเช่อก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง
“นายก็ใช่ว่าไม่รู้ว่าร่างกายของฉัน…มีลูกไม่ได้!” เฮ่อเหลียนเช่อยิ้มเจื่อน ๆ
เหมยซูหานคิด ๆแล้วก็พูดว่า “ไม่อย่างนั้นก็ใช้สเปิร์มของคนอื่นไหม?”
เฮ่อเหลียนเช่อส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด “ไม่ได้ อาฉันไม่ได้สายตาเลอะเลือนขนาดนั้น”
“อาเช่อ ไม่อย่างนั้นนายก็พูดกับอาไปว่าไม่ใช่ว่านายไม่อยากมีลูกแต่ก็รับรองไม่ได้ว่าคลอดลูกออกมาแล้วลูกของนายจะปกติไหม”
เหมยซูหานพิจารณาถ้อยคำของเขาอย่างระวัง กลัวว่าจะทำร้ายจิตใจของเฮ่อเหลียนเช่อ
เฮ่อเหลียนเช่อหันมายิ้มเย้ยหยันให้ตัวเอง “ขอแค่คลอดได้ก็รับรองได้แล้วว่าลูกต้องปกติ ต่างประเทศมีเทคโนโลยี สามารถตรวจเลือดก่อนเพื่อรับประกันว่าลูกที่ออกมาจะแข็งแรง”
เหมยซูหานคาดไม่ถึงว่าตอนนี้จะมีวิชาการแพทย์ที่ทันสมัยก้าวหน้าขนาดนี้ เขาใจเต้นนึกได้ รู้สึกว่าเฮ่อเหลียนเช่อน่าจะไม่มีสเปิร์มที่แข็งแรงเลยแม้แต่ตัวเดียว ต่อให้มีโอกาสก็น้อยมาก อย่างมากก็แค่ลองหลายครั้งหน่อย ต้องเจออันที่ปกติบ้างแหละน่า?
“เป็นไปไม่ได้ ฉันเคยทดสอบมาก่อน ยีนของฉันมีโอกาส98%ที่จะมีลูกที่ผิดปกติซึ่งเท่ากับว่า 100%…ฉันไม่สามารถมีทายาทที่เป็นปกติได้”
เฮ่อเหลียนเช่อบอกความลับที่ซ่อนอยู่ในใจของเขา ถึงแม้จะยิ้มแต่มันน่าเกลียดเสียกว่าร้องไห้อีก เหมยซูหายรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดในหัวใจของเขา
“อาเช่อ ไม่ใช่ความผิดของนายหรอกนะ”
ถ้าผิดก็เป็นความผิดของหนิงเฉินเซวียน มีลูกกับผู้หญิงคนไหนไม่มีดันไปมีลูกกับน้องสาวตัวเองเสียอย่างนั้น?
ต่อให้พี่ชายน้องสาวจะรักกันแต่ก็สามารถเลือกที่จะไม่มีลูกได้ ลูกหลานของการร่วมประเวณีระหว่างพี่น้องเก้าในสิบมักจะไม่ปกติ
เหมยซูหานกอดเฮ่อเหลียนเช่อปลอบด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าสถานการณ์ของเฮ่อเหลียนเช่อจะร้ายแรงขนาดนี้ แต่ทำไมเขาถึงไม่อธิบายกับหนิงเฉินเซวียนล่ะ?
ถ้าหากแค่เพียงต้องการสืบทอดตระกูลหนิงเฉินเซวียนก็ใช้สเปิร์มของหนิงเฉินเซวียนได้นี่!
“ห้ามให้อารู้เรื่องที่ฉันไม่สามารถมีลูกได้เด็ดขาด ถ้าหากเขามีทายาทคนอื่นเขาต้องทอดทิ้งฉันไปแน่…ฉันไม่อยากโดนทอดทิ้ง”
เฮ่อเหลียนเช่อมุดอยู่ในอ้อมกอดของเหมยซูหานเผยความอ่อนแอที่ไม่เคยมีมาก่อน ไร้ที่พึ่งพิงและลังเลไม่รู้จะทำเช่นไรต่อไปดี
…………………………………………….
ตอนที่ 1229 วิธีที่ดี
อันที่จริงเฮ่อเหลียนเช่อเคยคิดที่จะให้หนิงเฉินเซวียนไปมีลูกด้วยตัวเอง แต่เขาไม่กล้าลอง
ไม่มีใครเข้าใจหนิงเฉินเซวียนเท่าเขาอีกแล้ว ตอนนี้เขาเป็นทายาทคนเดียวของอา ดังนั้นเขาจึงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อฝึกฝนตนเองและไม่มีเกราะป้องกันใจไว้เลย
แต่ถ้าเขาไม่ใช่คนที่ถูกเลือกเพียงคนเดียว ด้วยความสงสัยและเลือดเย็นของหนิงเฉินเซวียน เฮ่อเหลียนเช่อจะไม่มีอิทธิพลเหมือนตอนนี้แน่และไม่สามารถปกป้องคนที่เขารักได้เช่นกัน
ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าลอง อีกทั้งสภาพร่างกายของเขาจะต้องถูกเก็บเป็นความลับ ห้ามให้หนิงเฉินเซวียนรู้เด็ดขาด มิฉะนั้นเขาจะกลายเป็นลูกชายที่ถูกทอดทิ้งทันที
“งั้นจะทำอย่างไร?” เหมยซูหานร้อนใจอยู่บ้าง
ท้ายที่สุดแล้วมันก็เกี่ยวข้องถึงชีวิตของเขาด้วย เป็นไปไม่ได้ที่จะนิ่งอยู่เฉย ๆ
เฮ่อเหลียนเช่อใจเต้น นึกถึงวิธีอื่นได้ ด่าตัวเองในใจว่าเลอะเลือน ทำไมถึงได้ไม่เปลี่ยนมุมมองความคิดนะ?
อยู่ดี ๆเขาก็หัวเราะร่า จิตใจกลับมาสดใสมีชีวิตชีวาอีกครั้ง เหมยซูหานพลันรู้สึกสบายใจ เฮ่อเหลียนเช่อแบบนี้สิที่ทำให้อุ่นใจมากกว่า!
“ไม่ต้องกลัว แค่แต่งเอาภรรยาเข้ามาก่อน” เฮ่อเหลียนเช่อหันไปมองเหมยซูหาน พูดปลอบใจว่า “ฉันก็แค่ในนามเท่านั้นแหละ แต่งให้อาเห็นก็แค่นั้น”
เหมยซูหานก็ไม่รู้ทำไมกลับถอนหายใจ เห็นด้วยก็ดีแต่ในใจเขากลับรู้สึกหึงหวงอยู่บ้าง แม้กระทั่งตัวเองก็ยังไม่เข้าใจว่าท้ายที่สุดแล้วเขากำลังคิดอะไรอยู่
เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งตารอเฮ่อเหลียนเช่อแต่งงานในเร็ววัน แบบนั้นเขาจึงจะเป็นอิสระ แต่ตอนนี้…
“แต่ผู้หญิงคนไหนที่เต็มใจที่จะแบกรับชื่อเสียงแบบนี้ได้? ถ้าเกิดก่อเรื่องขึ้น อาของนายรู้จะยิ่งวุ่นวายไปกว่าเดิมเอาได้” เหมยซูหานกล่าวอย่างจงใจ
เฮ่อเหลียนเช่อพูด “ก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้นหรอก หาคนที่มีพื้นหลังเป็นครอบครัวธรรมดาควบคุมได้ง่าย ถ้ากล้าสร้างปัญหาฉันก็ฆ่าเธอเสีย!”
เหมยซูหานมองค้อนเขา พูดว่า “นายว่าอู่เยวี่ยล่ะเป็นไง? เธอคงจะไม่สร้างปัญหาแน่ รับรองควบคุมง่าย”
หน้าของเฮ่อเหลียนเช่อดุดันขึ้นเหมือนพายุฝนฟ้าคะนองกำลังจะมา ในใจของเหมยซูหานเข้าใจทันทีว่าเจ้าหมอนี่จะต้องหึงหวงอีกแล้วแน่นอน
“เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นแล้ว อู่เยวี่ยต้องหาคนแต่งด้วยไม่ได้แล้วแน่นอน อีกทั้งเธอเป็นคนปากหนัก ขอเพียงแค่บอกเธอให้ชัดเจนแต่เนิ่น ๆ แน่นอนว่าจะต้องไม่ก่อเรื่องแน่ ปลอดภัยกว่าผู้หญิงคนอื่นเยอะ”
เพราะเหตุนี้เหมยซูหานเลยแนะนำอู่เยวี่ย นอกจากต้องการช่วยอู่เยวี่ยให้พ้นจากสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นก็เพื่อความปลอดภัย ถึงอย่างไรอู่เยวี่ยก็เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นแล้ว เธอยังจะสามารถเลือกแต่งงานกับใครได้อีก?
ตัวเขาเองยังไม่รู้หลังจากที่รู้ว่าอู่เยวี่ยเกิดเรื่อง แม้ว่าเขาจะสงสารกับสิ่งที่อู่เยวี่ยประสบพบเจอแต่กลับดูถูกเธอโดยไม่รู้ตัว
เห็นสีหน้าของเฮ่อเหลียนเช่อยังไม่ค่อยดี เหมยซูหานจึงพูดยิ้ม ๆว่า “นายคิดไปถึงไหนแล้ว ฉันคิดกับอู่เยวี่ยเหมือนน้องสาว ไม่ได้คิดเป็นอย่างอื่น ถ้านายไม่เต็มใจก็ช่างมันเถอะ พวกเราก็แค่หาคนอื่น”
“ไม่ต้อง อู่เยวี่ยนั้นแหละ”
เฮ่อเหลียนเช่อเห็นด้วยแล้ว เขาคิดแล้วก็เข้าใจ แทนที่จะปล่อยให้เหมยซูหานกังวลกับเรื่องนี้ตลอดทั้งวัน สู้เอาผู้หญิงคนนี้มาไว้ข้างกายดีกว่า
หากสมรู้ร่วมคิดกันขึ้นมาจริง ๆ รับรองว่าปิดบังเขาไม่ได้
เหมยซูหานถอนหายใจ ถามอีกครั้งว่า “งั้นเด็กจะทำยังไง? จะไปทำเด็กที่ไหน?”
เฮ่อเหลียนเช่อคิดไว้นานแล้ว พูดเสียงเบาว่า “ฉันจะพยายามคิดหาวิธีเอาสเปิร์มของอามาแล้วให้อู่เยวี่ยตั้งท้อง”
มีเพียงแค่วิธีนี้ถึงจะสามารถปิดบังความจริงจากหนิงเฉินเซวียนได้ถึงที่สุด
ใบหน้าของเหมยซูหานดูลำบากใจจึงพูดว่า “ให้ผู้หญิงคนอื่นท้องไม่ได้เหรอ? ฉันต้องการควบคุมอู่เยวี่ยแค่ห้าปี อีกห้าปีก็จะปล่อยเธอไปเป็นอิสระและอู่เยวี่ยอาจไม่เห็นด้วยที่จะมีลูก”
เฮ่อเหลียนเช่อแค่นเสียง “ในเมื่อมาถึงถิ่นของฉันแล้วจะคลอดหรือไม่คลอดนั้นคงตามใจเธอไม่ได้ หากเธอไม่ตกลง ฉันก็แค่หาผู้หญิงคนอื่น”
เหมยซูหานสายตาเป็นประกาย ในใจตีกันอย่างหนัก คิดทบทวนแล้วก็พยักหน้า “ฉันจะคุยกับอู่เยวี่ยให้ชัดเจน”
อู่เยวี่ยเป็นแบบนั้นแล้ว เฮ่อเหลียนเช่อจะต้องไม่สนใจเธอแน่นอน แต่ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นเขากลับไม่มั่นใจ
เรื่องราวบนโลกใบนี้ช่างยากที่คาดเดาได้!
ตอนที่ 1230 คุณย่าไปแล้ว
วันรุ่งขึ้นหลังจากที่จ้าวอิงหัวกลับมา ในที่สุดตอนตีสามคุณย่าก็จบชีวิตอันรุ่งโรจน์และเลอะเลือนของเธอ เนื่องจากเสมหะปิดกั้นหลอดลมจนไม่สามารถหายใจได้
แพทย์และพยาบาลที่ดูแลคุณย่าต่างก็ตำหนิตัวเอง แต่ทุกคนในครอบครัวตระกูลจ้าวกลับรู้สึกโล่งใจ ในที่สุดก็จบสิ้นลงเสียที
ถ้ายังยื้อกันต่อไป คนที่ยังมีชีวิตอยู่จะโดนดึงให้ตายไปด้วยแน่ ๆ!
ทั้งยังสภาพตอนนี้ของคุณย่ากล่าวได้ว่ามีชีวิตยังไม่สู้ตายไปเสียยังดีกว่า บางทีความตายสำหรับเธออาจจะเป็นการหลุดพ้นก็เป็นได้!
เหมยเหมยไม่ได้รู้สึกอะไรกับการตายของคุณย่ามากนัก ไม่สุขไม่เศร้า มีแค่เพียงความรู้สึกเหี่ยวแห้งเล็กน้อยก็เท่านั้นเอง
คนตายก็เหมือนไฟตะเกียงที่มอดดับ บุญคุณความแค้นในอดีตได้กลายเป็นหมอกควันไป แม้ว่าจะแค้นเคืองไม่พอใจคุณย่าแต่เธอก็ยังพูดว่าขอให้ไปสู่สุขคติ!
ถึงอย่างไรก็เป็นคุณย่าแท้ ๆสายเลือดเดียวกันของเธอ!
แม้ว่าคุณย่าจะไม่มีหน้าที่การงานแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ถือว่าเป็นนักปฏิวัติที่ยังหลงเหลืออยู่จนถึงปัจจุบัน แน่นอนว่าการตายของเธอไม่ใช่เรื่องเล็ก แม้แต่นายใหญ่ก็ยังมาเข้าร่วมพิธีไว้อาลัยเป็นการส่วนตัว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้หลักผู้ใหญ่คนอื่น ๆ
หลังจากงานศพคุณปู่ก็เรียกประชุมครอบครัว เขาประกาศการตัดสินใจที่จะกลับบ้านเกิดเพื่อใช้ชีวิตในบั่นปลายที่นั่น จ้าวอิงหย่งคัดค้านเป็นอย่างมาก
”ไม่ได้ ที่ภูเขาไกลโพ้นนู่นไม่มีแม้กระทั่งคลีนิคด้วยซ้ำ รถก็ขับเข้าไปไม่ได้ พ่อไปที่นั่นพวกเราอยากจะเจอพ่อก็ยังต้องเสียเวลาหลายวัน จะทรมานไปทำไม!”
ครั้งนี้จ้าวอิงหย่งไม่ได้เห็นแก่ตัวอะไรทั้งนั้นแต่มาจากการพิจารณาทางกายภาพของคุณปู่ล้วนๆ ชนบทที่ไกลและห่างความเจริญแบบนั้น หากเกิดอะไรขึ้นมาจริง ๆคงทำได้แค่เพียงส่งเฮลิคอปเตอร์ไปแล้วล่ะ ไม่สะดวกเลยสักนิด
จ้าวอิงหัวและจ้าวอิงหนานต่างก็ให้การสนับสนุนจ้าวอิงหย่งคัดค้านเรื่องที่คุณปู่จะกลับไปอยู่ที่บ้านเกิด
“พ่อถ้าพ่อชอบบ้านนอก พวกเรามาหาที่อยู่แถวชานเมืองกันเถอะ ทั้งเงียบสงบทั้งสะดวก ดีกว่ากลับบ้านเกิดตั้งเยอะ” จ้าวอิงหัวแนะนำ
“แบบนี้ก็ดี” จ้าวอิงหย่งและจ้าวอิงหนานยกมือเห็นด้วย
คุณปู่คิด ๆแล้วก็รู้สึกว่ามีเหตุผล เมื่อก่อนเขาคิดพิจารณาไม่รอบคอบเกินไป และเมื่อเขาเสนอที่จะกลับไปบ้านเกิดเพื่อใช้ชีวิตบั้นปลายก็แค่แผนการที่จงใจถอยมาตั้งหลักก็เท่านั้น จ้าวอิงหย่งพูดแบบนี้ก็ตรงใจเขาพอดี
ดังนั้นในวันที่สามหลังจากที่คุณย่าเสียชีวิต ตระกูลจ้าวก็ย้ายออกจากบริเวณนั้นไปอาศัยอยู่ในบ้านแถบชานเมือง ซึ่งอันที่จริงคือบ้านของเหมยเหมยที่เธอซื้อเมื่อสามปีก่อน
แต่เธอไม่ได้บอกใคร แม้แต่คู่สามีภรรยาจ้าวอิงหัวเธอก็ไม่ได้บอก บอกเพียงว่าเป็นบ้านที่เธอขอให้เหยียนหมิงซุ่นหาให้ เธอจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าเป็นเวลาสามปีให้คุณปู่อยู่ดูแลไปแค่นั้น
จากนี้ไปตระกูลจ้าวก็ได้ออกจากวงการนั้นแล้วกลายเป็นคนไม่มีอะไรอีกต่อไป
หลังจากที่คุณย่าจากไปอารมณ์จิตใจของคุณปู่ก็ไม่ค่อยดีนัก ดูแล้วแก่ขึ้นเยอะ พวกพี่น้องจ้าวอิงหัวยังนึกไปว่าเป็นเพราะเศร้าและเหงาหลังจากที่สูญเสียภรรยาจึงปรึกษากันอย่างลับ ๆว่าหลังจากวันครบรอบที่คุณย่าจากไป พวกเขาจะหาคู่หูสุขภาพแข็งแรงและสามารถดูแลคุณปู่ได้มาให้คุณปู่สักคน แถมยังช่วยแก้เหงาได้ด้วย
แต่มีแต่เพียงตัวคุณปู่เองที่รู้
เขาตรอมใจเพราะออกห่างจากแวดวงนั้นแล้ว
เดิมทีเขาคิดว่าเขาน่าจะปรับตัวกับการตกต่ำแบบนี้ได้ แต่กระทั่งย้ายออกจากที่นั้นเขาถึงได้ตระหนักว่าเขาไม่สงบอย่างที่แสดงออกมา
เขายังคิดอยากจะกลับไป
ความคิดของคุณปู่มีเพียงแค่เขาคนเดียวที่รู้ แม้กระทั่งจ้าวอิงหย่งก็ไม่ได้บอก เก็บซ่อนเอาไว้ก้นบึ้งหัวใจ
เหตุการณ์ที่เมืองหลวงสิ้นสุดลง เหมยเหมยเตรียมพร้อมที่จะกลับเมืองจินแล้ว คราวนี้เธอขาดเรียนไปครึ่งเดือนแล้ว หลังจากกลับไปเจียงซินเหมยและอู่เชาจะต้องติวเข้มทีเดียว ไม่อย่างนั้นการสอบปลายภาคจบเห่แน่นอน
ก่อนไปหนึ่งวันจ้าวอิงหัวและจ้าวอิงหนานไปที่เรือนจำพิเศษเพื่อเยี่ยมจ้าวอิงสยง ที่นั่นนอกจากเรื่องที่ไม่มีอิสระแล้ว ชีวิตก็แสนสุขสบายมาก แม้ว่าจ้าวอิงสยงจะผอมลงไปหน่อยแต่ดูมีชีวิตชีวาดี มีชีวิตที่ไม่แย่เท่าไรนัก
“พี่รอง พี่นึกเสียใจขึ้นมาบ้างหรือยัง?” จ้าวอิงหัวถาม ใบหน้าไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ
จ้าวอิงสยงนิ่งตะลึงไป ก้มหัวลงอย่างรวดเร็ว ส่งเสียงสะอึกสะอื้น “อิงหัว พี่เสียใจ แม้กระทั่งเจอหน้าแม่ครั้งสุดท้ายพี่ก็ยังไม่ได้เจอ พี่เสียใจมาก…”
จ้าวอิงหัวและจ้าวอิงหนานถอนหายใจ ในใจกลับรู้สึกไม่ดี ถึงอย่างไรก็เป็นพี่น้องแท้ ๆ ไหนเลยจะทำใจแข็งได้จริง ๆกันเล่า?
แต่พวกเขากลับไม่ทันได้สังเกต จ้าวอิงสยงซ่อนใบหน้าที่ร้องไห้อย่างขมขื่นเอาไว้แล้วฉายความแค้นในดวงตาของเขา
……………………………………………
ตอนที่ 1231 การกระทำที่ไม่มีเหตุผลของเหอปี้อวิ๋น
เหมยเหมยได้รู้ถึงสถานการณ์ปัจจุบันของหานซู่ฉินจากจ้าวเสวียหลิน เพราะเมื่อก่อนหานซู่ฉินเคยพึ่งพาอำนาจของตระกูลจ้าว วางอำนาจบาตรใหญ่ที่บ้านตัวเองไว้ทำให้มีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีกับพี่สะใภ้ทั้งสองคน
ตอนนี้หานซู่ฉินโดนตระกูลจ้าวตัดขาดและยังเป็นเหตุผลที่ดูไม่ดีแบบนั้นอีกจึงต้องกลับไปที่บ้านเกิดอย่างหมดอะไรตายอยาก งานก็ไม่น่าเชื่อถือ เมื่อไม่ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลจ้าว สถานการณ์ของเธอก็พอจินตนาการได้ว่าคงไม่สวยงามอย่างแน่นอน
โชคดีที่เธอมีลูกชายสามคนและต่างก็โตกันหมดแล้ว ถึงแม้ว่าพวกพี่น้องจ้าวเสวียเฟิงจะรู้สึกแย่กับแม่ตัวเองอยู่บ้าง แต่ถึงอย่างไรก็คือแม่แท้ ๆ พวกเขาไม่สามารถละเลยได้
จ้าวเสวียเฟิงมีผู้หญิงที่หมายปองเรียบร้อยเป็นหญิงสาวมาจากครอบครัวธรรมดา เป็นแพทย์ในโรงพยาบาลทหาร ทั้งสองกำลังจะแต่งงานกันหลังปีใหม่
ดังนั้นจ้าวเสวียเฟิงจึงวางแผนที่จะพาหานซู่ฉินไปอยู่กับเขา แต่หานซู่ฉินปฏิเสธ
พิธีไว้อาลัยของคุณย่าหานซู่ฉินก็มาด้วย ร่างกายผอมซูบในเวลาเพียงไม่กี่วัน ผิวเหลืองเหี่ยวย่นดูแก่ไปมาก
หลังจากนั้นไม่นานหานซู่ฉินก็ลาออกจากงานหายไปจากเมืองหลวง สามพี่น้องจ้าวเสวียเฟิงก็ไม่รู้ว่าเธอไปไหน หานซู่ฉินทิ้งจดหมายที่เขียนด้วยลายมือเอาไว้บอกว่าเธอจะออกไปใช้ชีวิตข้างนอก บอกให้สามพี่น้องจ้าวเสวียเฟิงไม่ต้องคิดถึงหล่อน
เพราะว่าการหายสาบสูญไปของหานซู่ฉิน พวกพี่น้องจ้าวเสวียเฟิงสามคนจึงรู้สึกไม่ค่อยดี ช่องว่างระหว่างพวกเขากับเหมยเหมยก็ยิ่งมากขึ้นจนมองหน้ากันอย่างไม่สนิทใจกว่าเดิม
ชีวิตนี้แล้วเธอและสามพี่น้องจ้าวเสวียเฟิงคงไม่มีทางที่จะกลับไปสนิทสนมกันเหมือนก่อนได้อีกแล้ว
แต่เธอกลับไม่รู้สึกเสียใจ ถ้าหากย้อนเวลากลับไปได้เธอก็ยังเลือกที่จะทำแบบนั้น
ส่วนหานป๋อหย่วนก็เสื่อมโทรมลงไปเรื่อย ๆอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ตระกูลหานมีแค่เขาเป็นหลานชายเพียงคนเดียว เมื่อก่อนเป็นเพราะเขาโดดเด่นในเรื่องเรียนและมีหน้าตาที่หล่อเหลากว่าพี่น้องคนอื่น ดังนั้นถึงได้รับความสำคัญจากวงศ์ตระกูล
แต่ตอนนี้ร่างกายเหลือแค่ครึ่งชีวิตแถมยังมีลูกหลานไม่ได้อีก ที่สำคัญก็คือยังล่วงเกินเหยียนหมิงซุ่นและเฮ่อเหลียนเช่อทั้งสองคนอีกด้วย
ตระกูลหานของพวกเขาเป็นตระกูลเล็ก ๆ ไหนเลยจะกล้าล่วงเกินปีศาจดาวร้ายสองคนนั้นได้ล่ะ!
เพราะเหตุนี้หานป๋อหย่วนจึงกลายเป็นของไร้ค่าที่ถูกทอดทิ้ง อีกทั้งยังเป็นของไร้ค่าที่กองไว้บนพื้นก็ยังไม่มีใครเก็บขึ้นมาเลย
ใช้ชีวิตเช่นไรใช้เท้าหลังคิดก็ยังคิดออก
อากาศค่อย ๆเย็นขึ้น ทั้งครอบครัวเหมยเหมยก็กลับมาถึงเมืองจิน ถึงแม้ว่าจะไปแค่ครึ่งเดือน แต่เหมยเหมยกลับรู้สึกเหมือนนานมากเสมือนอยู่อีกโลกหนึ่งไปเลย
มีหลายสิ่งเกิดขึ้นมากมายในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมา มากกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในสามปีที่ผ่านมาเสียอีก!
เมืองหลวงมีพายุซัดกระหน่ำ เมืองจินเองก็วุ่นวายไม่แพ้กัน
หลังจากที่กลับมาบ้านเหมยเหมยถึงมีความคิดที่จะถามเรื่องของเหอปี้อวิ๋น
“เหอปี้อวิ๋นเป็นบ้าไปแล้วจริง ๆ ท่าทางในตอนนั้นที่ถือมีดเดินเข้ามามันช่างน่ากลัวมากจริง ๆ โชคดีที่เซ่อเซ่อช่วยแม่ไว้ เหมยเหมยลูกต้องขอบคุณเซ่อเซ่อให้มาก ๆนะ”
เพียงแค่เหยียนซินหย่านึกถึงดวงตาแดงก่ำของเหอปี้อวิ๋นในวันนั้น ท่าทางบ้าคลั่งถือมีดเปื้อนเลือด แม้เหตุการณ์นั้นจะผ่านไปแล้วแต่ในใจยังคงหวาดผวาอยู่
ถือว่าโชคดีแล้ว!
โชคดีที่เธอได้รับการช่วยเหลือ กลับเป็นหร่วนเป่าฮุ่ยที่ได้รับบาดเจ็บแทน อันที่จริงผู้หญิงคนนี้ไม่สมควรได้รับความเห็นใจอยู่แล้ว
“ทำไมจู่ ๆ เหอปี้อวิ๋นถึงได้เป็นบ้าอาละวาดขึ้นมาล่ะ?” เหมยเหมยรู้สึกแปลกใจมาก
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเธอแล้วว่าเหอปี้อวิ๋นไม่ได้เป็นบ้า เหยียนซินหย่าและคนอื่น ๆนั้นเชื่อในสิ่งที่ได้ยินมา ถึงขั้นนึกไปว่าเพราะอาการบ้ากำเริบเหอปี้อวิ๋นถึงได้อาละวาดทำร้ายคนอื่น
แต่เธอกลับรู้เพราะอาการบ้าของเหอปี้อวิ๋นทั้งหมดคือเรื่องที่เธอแต่งขึ้นมา ชาติก่อนเหอปี้อวิ๋นเป็นปกติดีตลอด จิตปกติดีจะตายไป
เหยียนซินหย่าขมวดคิ้วแน่นลังเลว่าจะบอกลูกสาวเรื่องสกปรกพวกนั้นดีไหม แต่ก็คิดแล้วว่าลูกสาวหมั้นแล้ว บางเรื่องก็ถึงเวลาที่ควรรู้แล้ว
“สามีและลูกเลี้ยงปัจจุบันของเหอปี้อวิ๋นรังแกอู่เยวี่ย โดนเหอปี้อวิ๋นพบเข้าจนได้รับความกระทบกระเทือนใจอย่างใหญ่หลวงจนฆ่าผู้ชายสองคนนั้น”
เรื่องนี้เหมยเหมยได้ยินเซียวเซ่อพูดนานแล้ว เธอก็รู้สึกแปลกใจ เรื่องที่เหอปี้อวิ๋นฆ่าผู้ชายสองคนนั้นก็ถือว่าสมเหตุสมผลอยู่ ถึงอย่างไรอู่เยวี่ยก็คือแก้วตาดวงใจในชีวิตของเธอ
เหอปี้อวิ๋นฆ่าคนไปแล้วสองคน ทำไมถึงยังตั้งใจไปหอศิลป์เพื่อฆ่าแม่ของเธออีกล่ะ?
มันไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด!
ตอนที่ 1232 เยี่ยมนักโทษที่อยู่ในคุก
เหมยเหมยรู้สึกว่าเรื่องเหอปี้อวิ๋นคิดจะฆ่าเหยียนซินหย่ามันทะแม่ง ๆ แต่เธอกลับนึกไม่ออกว่าแปลกตรงไหน หลังจากคิดไปสักพักเธอก็ขี้เกียจคิดแล้ว วางแผนว่าจะรอให้เหยียนหมิงซุ่นกลับมาค่อยให้เขาช่วยวิเคราะห์อีกที
“เหอปี้อวิ๋นโดนตัดสินโทษหรือยัง?” เหมยเหมยถาม
ถ้าเหอปี้อวิ๋นถูกตัดสินว่าเป็นผู้ป่วยทางจิตจริง เกรงว่าจะให้พ้นโทษ
“ติดคุกห้าปี พ่อของลูกลงแรงใช้เส้นสายนิดหน่อย” เหยียนซินหย่าพูดยิ้ม ๆ
เหมยเหมยกลับไม่ค่อยพอใจ ทำไมถึงไม่ลงโทษประหารชีวิต?
ห้าปีออกมาก็กลับมาสร้างหายนะได้อีก!
แต่หลังจากติดคุกห้าปีก็เพียงพอแล้วสำหรับเหอปี้อวิ๋น ได้ยินมาว่าเรือนจำหญิงก็คล้ายกับเรือนจำชาย ผู้ที่มาใหม่ก็ไม่ได้มีชีวิตสบายนักหรอก วันไหนว่างเธอจะหาเวลาไปดูเสียหน่อย หากเห็นว่าเหอปี้อวิ๋นมีช่วงเวลาที่ลำบากถึงจะวางใจ!
กลับมาได้สองวันเหมยเหมยก็ไปเรียน ในโรงเรียนกลับไม่เห็นโอหยางซานซานและอู่เยวี่ยทั้งสองคนนั้นเลย
“ได้ยินมาว่าโอหยางซานซานไปต่างประเทศแล้ว หากไม่ไปต่างประเทศเธอจะมีหน้าที่ไหนมาโรงเรียนอีก เมื่อก่อนยกยอตัวเองเสียสูงส่งขนาดนั้น!”
เจียงซินเหมยรู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น ศรัทธาเหมยเหมยอย่างเปี่ยมล้ม แล้วถามอย่างประหลาดใจว่า “เธอรู้เรื่องจ้างมือปืนของโอหยางซานซานนานแล้วเหรอ? ฉันจำสิ่งที่เธอพูดในตอนนั้นได้ ยิ่งอยู่สูงก็ยิ่งตกลงมาเจ็บ!”
“ฉันก็แค่มองการณ์ไกล คนอย่างโอหยางซานซานจะสามารถเขียนบทความอะไรดี ๆออกมาได้เหรอ? คนโง่ก็ยังคิดได้เลย”
เหมยเหมยเหน็บแนมไปชุดหนึ่ง เจียงซินเหมยฟังไม่ออกก็นิ่งไปแถมยังพยักหน้าระรัวรู้สึกว่าเหมยเหมยพูดถูก เหมยเหมยพยายามกลั้นหัวเราะแล้วถามถึงอู่เยวี่ย
“อู่เยวี่ยลาออกจากโรงเรียนไปแล้ว ลุงรองมาทำเรื่องลาออกด้วยตัวเองเลย” คนที่ตอบคืออู่เชา สีหน้าท่าทางเคร่งขรึม
“งั้นตอนนี้อู่เยวี่ยพักที่ไหน?” เหมยเหมยรู้สึกได้ว่าเธอกำลังจะจับอะไรได้ แต่มันก็ลอยหายไปอย่างรวดเร็ว
ยังไม่ทันได้คิดอะไรออกเลย
“ลุงรองของฉันรับไปอยู่กับปู่ย่านู่นแล้ว” อู่เชาบอก
เหมยเหมยขมวดคิ้วแน่น ถามอีกว่า “ลุงรองของนายไม่ได้รังเกียจที่อู่เยวี่ยทำให้ขายขี้หน้าหรอกเหรอ? ทำไมถึงได้เห็นด้วยที่จะรับอู่เยวี่ยกลับไปล่ะ?”
อู่เชายักไหล่ “ลุงรองของฉันก็ไม่อยาก แต่เหอปี้อวิ๋นก็เข้าคุกเข้าตะรางไปแล้ว อู่เยวี่ยไม่อยู่กับลุงรองจะให้อยู่กับใคร? คงจะไม่สามารถใช้ชีวิตคนเดียวได้หรอกนะ!”
หัวสมองมีอะไรแล่นผ่านเข้ามาในความคิด เหมยเหมยรีบหลับตาทำสมาธิ แต่ความคิดเมื่อครู่เหมือนประกายไฟมันรวดเร็วขนาดแค่เธอหลับตาลงมันก็วิ่งหายไปไม่เห็นเงาแล้ว
เหมยเหมยถอนหายใจอย่างหงุดหงิด เธอมักจะรู้สึกอยู่เสมอว่าความคิดแวบเข้ามาถึงสองครั้งนั้นสำคัญมาก น่าเสียดาย
หวังว่าวันหลังจะนึกขึ้นมาได้อีก
ณ เรือนจำหญิงของเมืองจิน
อู่เยวี่ยกำลังรอให้เหอปี้อวิ๋นออกมาที่ห้องรับรอง เธอมาเพื่อให้เงินกับเหอปี้อวิ๋นเพราะได้ยินมาว่าเงินก็จำเป็นในคุกเช่นกัน ไม่อย่างนั้นชีวิตจะลำบากมาก
เธอไม่ได้ขาดแคลนเงิน ถ้าหากสามารถให้เหอปี้อวิ๋นได้มีชีวิตที่สบายหน่อย เธอก็จะให้เงินได้อย่างไม่นึกเสียดายถือว่าเป็นการขอบคุณเหอปี้อวิ๋นไปแล้วกัน!
ถึงอย่างไรหากไม่ได้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่จากเหอปี้อวิ๋น เธอก็คงไม่มีปัญญากลับไปหาอู่เจิ้งซือ
เสียงโลหะกระแทกดังลอยมา อู่เยวี่ยเหยียดหลังตรง ตอนนี้เธอเป็นลูกสาวของผู้จัดการใหญ่ ไม่ว่าจะที่ไหนเวลาใด เธอต้องแสดงมารยาทที่สมบูรณ์แบบที่สุดออกมา
เหอปี้อวิ๋นสวมชุดนักโทษ เดินก้มหัวออกมาอย่างช้า ๆ มือและเท้าถูกใส่กุญแจมือ ผมเผ้ายุ่งเหยิงและเกือบจะขาวทั้งหัว ดูแก่เหลือจะทน
พอเห็นอู่เยวี่ย เหอปี้อวิ๋นที่กำลังรู้สึกหดหู่ใจก็เกิดประกายความดีอกดีใจในดวงตา ดูมีชีวิตชีวามากขึ้นมาหน่อย
“เยวี่ยเยวี่ย…”
เหอปี้อวิ๋นตะโกนใส่ไมโครโฟนอย่างตื่นเต้น น้ำตาไหลพราก
อู่เยวี่ยก็ขอบตาร้อนผ่าวเช่นกัน เห็นเหอปี้อวิ๋นแบบนี้ในใจของเธอก็รู้สึกไม่ดีเลย แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจภายหลังอยู่ดี
เหอปี้อวิ๋นติดคุกแค่เพียงห้าปี ขอเพียงแค่เธอได้กลายเป็นคุณหญิงของตระกูลหานย่อมต้องมีวิธีช่วยแม่ออกมาได้แน่ ตอนนี้ทนทุกข์ทรมานชั่วคราวไปก่อนก็เท่านั้น
…………………………………………
ตอนที่ 1233 เหอปี้อวิ๋นที่โดนเหยียดหยาม
อู่เยวี่ยหยิบเงินจำนวนหนึ่งออกมาจากกระเป๋าของเธอ ทั้งหมดรวมกันแล้วห้าสิบหยวน ประหยัดใช้หน่อยคงเพียงพอให้เหอปี้อวิ๋นใช้ได้อยู่หลายเดือน
“เยวี่ยเยวี่ยลูกเก็บเอาไว้ใช้เถอะ แม่อยู่ที่นี่ก็ไม่รู้จะเอาไปใช้ที่ไหน ลูกเอาเงินไปไว้ซื้อเอกสารเรียน ตั้งใจเรียนนะลูกนะ พยายามสอบเข้ามหาวิทยาลัยดี ๆให้ได้…”
เหอปี้อวิ๋นเริ่มพูดมากอีกครั้ง ปณิธานของเธอก็คือการส่งลูกสาวเรียนมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง เก็บเกี่ยวเกียรติยศชื่อเสียงแทนเธอ
ในใจอู่เยวี่ยเจ็บปวด เธอไม่สามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้อีกต่อไปตลอดกาล เกิดเรื่องเยอะแยะมากมายขนาดนั้น เธอถูกทำลายจนย่อยยับหมดแล้ว ไหนเลยจะยังสงบจิตสงบใจเรียนได้?
อีกทั้งต้องอยู่กับเพื่อนร่วมชั้นที่บริสุทธิ์และไร้เดียงสาเหล่านั้น เธอก็ยิ่งรู้สึกสมเพชตัวเอง ไม่อยากจะอยู่ต่อเลยแม้แต่นาทีเดียว
ประจวบกับที่อู่เจิ้งซือไม่เต็มใจให้เธอขายขี้หน้าในโรงเรียนอีกต่อไปจึงทำเรื่องลาออกจากโรงเรียนให้เธอ
“หนูยังมีเงินใช้อยู่ ตอนนี้หนูพักอยู่กับพ่อ ไม่ขาดแคลนเรื่องเงินหรอกค่ะ”
อู่เยวี่ยไม่ได้บอกเรื่องที่ว่าตัวเธอเองลาออกจากโรงเรียนแล้ว กลัวจะกระทบกระเทือนจิตใจของเหอปี้อวิ๋น
เหอปี้อวิ๋นตกตะลึงแล้วถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าคนในครอบครัวโดนเธอฆ่าไปหมดแล้ว แถมเธอยังต้องมาติดคุกอีก อู่เยวี่ยจึงทำได้แค่ไปอยู่กับอู่เจิ้งซือแล้วล่ะ
เวลานี้เธอรู้สึกปิติยินดีอีกครั้ง เธอพูดเบา ๆอย่างลำพองใจ “เยวี่ยเยวี่ย แม่ทำลายใบหน้าของนังจิ้งจอกตัวนั้นไปแล้ว พ่อของลูกคงจะไม่ต้องการนังสารเลวนี่อีกแน่นอน ลูกก็ออดอ้อนพ่อเขาหน่อย อย่าให้เขามอบทรัพย์สินของเขาให้หญิงอื่น…จำไว้นะ…”
มุมปากอู่เยวี่ยกระตุก เพียงแค่ฟังเหอปี้อวิ๋นสาธยายไปไม่ได้พูดขัดอะไรสักคำ
ถึงแม้ว่าเธอจะกลับไปอยู่กับอู่เจิ้งซือ แต่ก็เป็นเพราะว่าอยู่ดี ๆหานป๋อหย่วนก็กลับเมืองหลวง การนัดเจอกันกับอู่เจิ้งซือถูกผลัดครั้งแล้วครั้งเล่า อู่เจิ้งซือเริ่มสงสัยคำพูดของเธอแล้วและมีท่าทีเย็นชากับเธอมากขึ้น ตั้งแต่เช้าจรดค่ำไม่ได้เห็นแม้แต่หน้า
ส่วนหร่วนเป่าฮุ่ย อู่เยวี่ยก็คร้านที่จะแก้ไขคำของเหอปี้อวิ๋น หร่วนเป่าฮุ่ยเสียโฉมก็จริงแต่ก็ต้านคนรวยอย่างเธอไม่ได้ ได้ยินมาว่าจะไปต่างประเทศเพื่อทำศัลยกรรมความงาม หากทำสำเร็จอู่เจิ้งซือคงไม่ทิ้งผู้หญิงคนนี้ไปแน่
เวลาเยี่ยมสิ้นสุดลงแล้ว อู่เยวี่ยเดินออกจากคุก ยืนอยู่นอกประตูคุกแล้วมองไปที่กำแพงสูงที่มีป้อมปราการ อู่เยวี่ยถอนหายใจอย่างเงียบ ๆ
พรุ่งนี้จะไปถามที่โรงเรียนของหานป๋อหย่วนหน่อย ดูว่าหานป๋อหย่วนกลับมาแล้วหรือยัง เธอต้องทำให้อู่เจิ้งซือเชื่อว่าเธอจะสามารถแต่งเข้าตระกูลหานได้แน่นอน แบบนี้เธอถึงจะใช้ชีวิตสุขสบายได้
เหอปี้อวิ๋นกลับมาที่ห้องพร้อมกับเงินห้าสิบหยวนในครอบครอง เงินถูกเธอซ่อนอย่างมิดชิด ห้องของเธออาศัยอยู่กันหกคน คนอื่นอีกห้าคนนั้นต่างก็ไม่ใช่คนที่จะต่อกรด้วยง่าย ๆ เธอต้องรีบกลับไปทำความสะอาดโดยเร็ว หากช้าขึ้นมาตอนกลางคืนก็จะถูกทุบตีอีก
เพียงแต่——
เมื่อผู้คุมเพิ่งจะจากไป เหอปี้อวิ๋นก็ถูกเพื่อนร่วมห้องขังในห้องเดียวกันผลักล้มลงกับพื้น ผู้ต้องขังทั้งห้านี้เป็นพวกที่ทำความผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดนจับครั้งที่สองครั้งที่สามล้วนก็มีทั้งนั้น จ้าวอิงหัวตั้งใจขอให้คนด้านล่างเลือกผู้ร่วมขังเป็นพิเศษ
นักโทษทั้งห้านี้มีประสบการณ์สูงมาก ความสนุกที่สุดของทุกวันก็คือการกดขี่มือใหม่หน้าใหม่อย่างเหอปี้อวิ๋น เมื่อเห็นเธอถูกทุบตีอย่างหนักจนไม่มีแรงต่อสู้กลับ พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกมีความสุข
แม้ว่าเหอปี้อวิ๋นจะซ่อนเงินไว้เป็นความลับ แต่นักโทษทั้งห้ามีประสบการณ์อย่างโชกโชนจึงหาเงินห้าสิบหยวนออกมาได้อย่างง่ายดายแบ่งคนละสิบหยวนอย่างพอดิบพอดี นอกจากนี้ยังทุบตีเหอปี้อวิ๋นอย่างรุนแรงอีกชุดใหญ่ และตอนกลางคืนก็ทำได้แต่นอนบนพื้นแข็ง ๆเพื่อเป็นการลงโทษที่เธอไม่สำเหนียกตัวเอง
ตอนกลางคืนลมในฤดูใบไม้ร่วงพัดมา พื้นเย็นราวกับน้ำแข็ง เหอปี้อวิ๋นแทบจะแข็งไปทั้งตัวทำเช่นไรก็นอนไม่หลับ
เธอหลั่งน้ำตาให้ตัวเองอย่างเวทนา รู้สึกว่าตัวเองยังน่าสงสารเสียยิ่งกว่าภรรยาของเสียงหลินอีก แต่ไม่นานเธอก็มีกำลังใจขึ้นอีกครั้ง
เยวี่ยเยวี่ยจะต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แน่นอน ขอเพียงแค่เยวี่ยเยวี่ยมีอนาคตที่ดีจะต้องรับเธอออกไปเสวยสุขได้แน่นอน!
เมื่อมีความหวังเหอปี้อวิ๋นก็เคลิ้มหลับไป นอนขดตัวเหมือนกุ้งก็ไม่ปาน และไอออกมาสองสามครั้งเป็นครั้งคราว
ตอนที่ 1234 ข้อสงสัยถมเป็นชั้น
เหมยเหมยนึกอยู่หลายวันก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆเหอปี้อวิ๋นจะไปฆ่าเหยียนซินหย่า เธอให้เซียวเซ่อและสยงมู่มู่อู่เชาช่วยกันคิดวิเคราะห์
“ฉันแค่รู้สึกว่าเรื่องนี้มันแปลก ๆนิดหน่อย แต่ฉันก็บอกไม่ถูกว่าแปลกตรงไหน โอ๊ย สองวันมานี้ฉันคิดจนผมร่วงไปตั้งเยอะแล้ว”
เหมยเหมยทึ้งผมอย่างหงุดหงิด ใต้ตาดำคล้ำ ถ้าหากเหยียนหมิงซุ่นอยู่ก็คงจะดี เขาฉลาดขนาดนั้นจะต้องนึกถึงสิ่งที่ผิดปกติได้แน่นอน
น่าเสียดายที่เหยียนหมิงซุ่นยังอยู่ที่เมืองหลวง ตาแก่โรคจิตจัดตารางงานให้เขาทำตั้งมากมาย ตั้งแต่เช้าจรดเย็นยุ่งจนหัวหมุน ช่วงนี้ยังกลับมาไม่ได้
วันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ พวกเขานัดรวมตัวกันที่โรงแรมของเซียวเซ่อ ไม่ว่าจะเป็นห้องของตัวเซียวเซ่อเองหรือของเหมยเหมยต่างก็ไม่มีใครมาปัดกวาดเช็ดถูมาเป็นเวลานาน คิดอยากจะอยู่ก็ต้องทำความสะอาดยกใหญ่ วุ่นวายมากเกินไป ไม่สะดวกเหมือนอยู่โรงแรม
“ฉันกลับไม่รู้สึกว่าจะแปลกตรงไหน เหอปี้อวิ๋นเกลียดแม่เธอจะตาย ถ้าคิดจะไปฆ่าน้าเหยียนถึงที่นั่นก็เป็นเรื่องปกติจะตาย!” อู่เขารู้สึกว่าเหมยเหมยขี้ระแวงไปหน่อย ในความคิดของเขาเหอปี้อวิ๋นไม่ฆ่าเหยียนซินหย่าสิถึงจะแปลก!
สยงมู่มู่ก็เห็นด้วยเหมือนกัน “เจ้าอ้วนพูดถูก เรื่องนี้ไม่แปลก เหมยเหมยคิดมากไปหรือเปล่า?”
เหมยเหมยส่ายหัว “ไม่นะ ลางสังหรณ์บอกฉันว่าต้องมีบางจุดทะแม่ง ๆ ฉันต้องหามันออกมาให้ได้ถึงจะสบายใจ”
เหอปี้อวิ๋นก็เป็นเหมือนระเบิดเวลา ถ้ายังไม่กู้ระเบิดบางทีมันอาจจะระเบิดได้ทุกเมื่อซึ่งอันตรายเกินไป
ทันใดนั้นเซียวเซ่อก็ตบฝ่ามือของเธอลงบนโต๊ะ ตะโกนเสียงดังว่า “มันผิดปกติจริง ๆ ฉันคิดได้แล้ว”
“ตรงไหนผิดปกติ?” เหมยเหมยทั้งสามคนหันหน้ามากันอย่างพร้อมเพรียง จ้องมองไปที่เซียวเซ่ออย่างเอาเป็นเอาตาย
เซียวเซ่อลูบคางสีหน้าดูมีลับลมคมในขาดก็แค่ซิการ์เท่านั้น แล้วพูดว่า “สาเหตุที่เหอปี้อวิ๋นฆ่าคน มันเป็นเพราะว่าได้รับการกระทบกระเทือนจิตใจจนทำให้อาการกำเริบจนอาละวาดใช่ไหม?”
“ใช่ อันนี้ได้รับการยืนยันแล้ว สภาพจิตใจของเหอปี้อวิ๋นนั้นไม่ปกติอย่างแน่นอน ไม่สามารถได้รับการกระทบกระเทือนจิตใจได้” อู่เชาพยักหน้า หากไม่ได้รับการตรวจสอบเหอปี้อวิ๋นคงไม่สามารถถูกตัดสินจำคุกเพียงห้าปี จะต้องโดนยิงแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์
เหมยเหมยงุดหน้าลง อย่างไรเสียเธอก็คาดไม่ถึงว่าชาตินี้เหอปี้อวิ๋นจะโดนเธอสาปแช่งจนป่วยทางจิตจริง ๆ หรือว่าเธอยังมีความสามารถมีในการสาปแช่งอยู่นะ?
เซียวเซ่อพูดต่อไปว่า “เนื่องจากเหอปี้อวิ๋นได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจจึงทำให้จิตไม่ปกติถึงขั้นฆ่าคนได้ อย่างนั้นสติของเธอต้องพร่าเบลอไปด้วย คนที่สติพร่าเบลอจะวิ่งอย่างใจเย็นไปขึ้นรถบัสได้อย่างไร แล้วการเปลี่ยนอาวุธเป็นกรรไกรล่ะ?”
“ใช่แล้ว จากที่พักของเหอปี้อวิ๋นไปจนถึงหอศิลป์ต้องขึ้นรถเมล์สองต่อ ขั้นตอนยุ่งยากขนาดนี้มันไม่เหมือนคนที่มีอาการป่วยทางจิตจะทำได้เลย”
สยงมู่มู่และอู่เชาตระหนักถึงจึงหันไปมองเซียวเซ่อด้วยความชื่นชม สมแล้วที่เป็นลูกครึ่งอังกฤษมีบุคลิกท่าทางเหมือนเชอร์ล็อกโฮมส์เลย!
เซียวเซ่อยังคงวางมาดนิ่งอยู่ แต่ความภาคภูมิใจในดวงตากลับซ่อนไว้ไม่ได้ คางเชิดขึ้นสูง
เหมยเหมยกระจ่างแจ้งขึ้นมาทันที “ที่ฉันรู้สึกแปลกก็คือตรงนี้แหละ ตอนนั้นเหอปี้อวิ๋นโกรธจนฆ่าคนไปแล้วใช่ไหม? ทำไมถึงได้สงบนิ่งขนาดนั้นได้อีก?”
มีเซียวเซ่อเริ่มเปิดหัวออกมาแบบนี้ พวกเขาก็เหมือนได้เบิกเนตรเกิดความสงสัยขึ้นมากมาย
“เหอปี้อวิ๋นฆ่าไปสองคนแล้ว ฉันได้ยินมาว่าใช้กรรไกรแทงซ้ำลงไปตั้งหลายสิบทีเลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว ถ้าอย่างนั้นร่างของเหอปี้อวิ๋นจะต้องเต็มไปด้วยเลือดแต่ที่หอศิลป์วันนั้นฉันเห็นอย่างชัดเจนว่าใบหน้าของเหอปี้อวิ๋นสะอาดเกลี้ยงเกลา” สยงมู่มู่พูด
อู่เชาเสริม “ถ้าหากบนตัวเหอปี้อวิ๋นมีแต่เลือด เธอไปนั่งรถเมล์จะต้องโดนคนสงสัยแน่ และแน่นอนว่าจะต้องโดนตำรวจจับตัวไปตั้งแต่ครึ่งทางแล้ว”
“ดังนั้นก่อนที่เหอปี้อวิ๋นมาคงต้องล้างหน้ามาก่อนแล้ว เธอเจตนาไปที่หอศิลป์โดยคิดไตร่ตรองมาล่วงหน้าอย่างดีแล้ว”
เซียวเซ่อสรุป
……………………………………………….
ตอนที่ 1235 ให้ความร่วมมือกันอย่างดี
หลังจากผ่านการพินิจพิเคราะห์มาหลายชั้น นักสืบมือสมัครเล่นสี่คนวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นออกมาได้อย่างใกล้เคียงความเป็นจริง แน่นอนว่าแค่สามคนยังสู้กับขงเบ้งได้เลย
งั้นสี่คนรวมหัวกันคงบินขึ้นฟ้าได้แล้วล่ะ!
เหมยเหมยกัดฟันกรอดแล้วพูดว่า “ไม่ได้ ฉันต้องบอกพ่อ คดีนี้ต้องสืบสวนใหม่ เหอปี้อวิ๋นจะต้องถูกตัดสินประหารชีวิตจะปล่อยเธอไปไม่ได้”
เซียวเซ่อส่ายหัว “โทษประหารชีวิตน่าจะเป็นไปไม่ได้ ในความเห็นของฉันตอนที่เหอปี้อวิ๋นฆ่าพ่อลูกแซ่ซ่ง น่าจะได้รับการกระทบกระเทือนจิตใจจริง ๆ ทั้งสองคนถูกทำร้ายจนกลายเป็นแบบนั้น คนปกติไม่สามารถทำได้หรอก”
สยงมู่มู่เสริมขึ้นว่า “ดังนั้นหลังจากที่เหอปี้อวิ๋นฆ่าทั้งสองคนนั่นแล้วก็กลับมามีสติอีกครั้ง เธอคิดว่าในเมื่อทำแล้วก็ต้องทำให้ถึงที่สุดจึงวิ่งไปที่หอศิลป์เพื่อฆ่าคุณอาเล็กของฉัน อันนี้ถึงสามารถตัดสินได้ว่าเป็นการฆาตกรรมโดยเจตนา แต่นี่มันเป็นเพียงการพยายามฆ่ามันไม่ถึงโทษประหารชีวิต”
“แต่ว่าพวกเรายังสามารถพลิกคดีได้อยู่ ต่อให้จะไม่สามารถตัดสินโทษประหารชีวิตได้ก็ตาม แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะถูกตัดสินจำคุกเพียงแค่ห้าปี” เซียวเซ่อพูด
สยงมู่มู่พูดต่ออย่างเป็นธรรมชาติว่า “ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องได้รับโทษสิบปี ฉันได้ยินมาว่าในคุกสวรรค์กับนรกมีเพียงเส้นบาง ๆกั้นอยู่ เหอปี้อวิ๋นแบบนั้นยากที่จะอยู่รอดถึงสิบปี!”
“อาจจะไม่ถึงสิบปี เหอปี้อวิ๋นก็อาจจะฆ่าตัวตายประหยัดข้าวไปได้อีกหลายมื้อเลยนะ”
เซียวเซ่อสรุปอีกครั้ง
สองคนนี้ต่อบทรับส่งกันราวกับวิ่งแข่งผลัดอย่างไหลรื่น ทั้งเหมยเหมยและอู่เชาแทรกไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ได้แต่กะพริบตาปริบ ๆมองดูพวกเขาหันดูซ้ายทีขวาที
แต่ก็ถือว่าพูดจนจบ
เหมยเหมยและอู่เชาถอนหายใจยาวมองสยงมู่มู่และเซียวเซ่อสองคนนี้อย่างแปลกใจ ครู่ใหญ่ถึงได้ผิวปากหัวเราะแซว
“พวกเธอสองคนนี้รู้ใจกันดีเนอะ มีคำพูดอะไรที่มาเปรียบเปรยได้นะ” เหมยเหมยตั้งใจพูดเสียงดัง
อู่เชารีบรับช่วงต่อ “ใจสื่อถึงใจยังไงล่ะ”
“ใช่ คำนี้แหละ เซ่อเซ่อเธอและมู่มู่ช่างมีใจสื่อถึงใจเสียจริง ๆ!”
ยังมีอีกหนึ่งประโยคต่อตามมาด้วยแต่เหมยเหมยไม่กล้าพูดออกมา สองคนนี้ช่างเป็นชายหล่อสาวงาม เมื่อครู่ตอนที่วิเคราะห์คดีร่วมมือกันอย่างสมบูรณ์แบบ ความกลมเกลียวและความเข้าใจระหว่างคนสองคนเข้ากันได้ดีมากจริง ๆ!
แล้วก็ไม่รู้ว่าสามปีมานี้ทั้งสองคนไปมาหาสู่กันอย่างไรบ้าง?
“พูดจาไร้สาระ ฉันกับเขาเนี่ยนะจะเอาที่ไหนมาใจสื่อถึงใจ? พวกเธอตาบอดหรือไง?” เซียวเซ่อทำหน้าไม่พอใจ ถลึงตาใส่
“สมองพวกเธอมีปัญหาใช่ไหม? พูดดี ๆเป็นไหม?” สยงมู่มู่อายระคนโกรธ แต่ก็ไม่รู้จะโกรธใคร
เหมยเหมยและอู่เชาแลบลิ้นปลิ้นตา ไม่กล้าล้อเล่นกับสองคนนี้อีกแล้วกลัวว่าจะเป็นการไปกวนโมโหเซียวเซ่อ ผู้หญิงคนนี้ไม่น่าต่อกรด้วย
“ยังมีอีกหนึ่งเรื่องพ่อลูกตระกูลซ่งจะข่มขืนอู่เยวี่ยในเวลาเดียวกันได้ยังไง? หรือว่าพวกเธอไม่รู้สึกว่ามันแปลก?” เซียวเซ่อคิดถึงข้อสงสัยอีกอย่างได้อีกหนึ่งข้อ
สยงมู่มู่และอู่เชาหน้าแดง สองคนนี้ก็เป็นเพียงชายพรหมจรรย์ไร้เดียงสา หน้าไม่หนาเหมือนเซียวเซ่อและเหมยเหมยสองสาวนี่หรอก
“ใช่แล้ว ถึงแม้ว่าพ่อลูกตระกูลซ่งจะไม่ใช่คนดีอะไร แต่ก็ไม่ใช่สัตว์เดรัจฉานที่สองพ่อลูกจะทำในเวลาเดียวกันได้ ต่อให้จะซ่อนจิตใจที่ชั่วร้ายเอาไว้แค่ไหนก็ตามแต่ก็แบ่งกันทำก็ได้”
เหมยเหมยดวงตาเป็นประกาย นี่ก็เป็นข้อสงสัยที่ใหญ่ที่สุด
แม้ว่าในโลกนี้จะมีคนมากมายที่เลวเหมือนสัตว์เดรัจฉาน แต่พ่อลูกตระกูลซ่งข่มขืนลูกติด (น้องสาวที่ที่ติดตามมาด้วย) ในเวลาเดียวกัน มันหาได้ยากจริง ๆ
ดังนั้นท้ายที่สุดเพราะอะไรพ่อลูกคู่นี้ถึงได้ทำแบบนั้น?
เห็นได้ชัดว่ามีเวลาตั้งมากมาย จะทำตอนกลางวันกลางคืนก็ย่อมได้ทั้งนั้น ไม่เห็นจะต้องทำช่วงเวลาก่อนกินข้าวเลย อีกทั้งก็ไม่ได้ถูกวางยาด้วย!
“ยังมีกรรไกรเล่มนั้นที่เหอปี้อวิ๋นใช้ฆ่าคน ว่ากันว่ามักจะวางไว้ในครัวเพื่อฆ่าปลา แต่ทำไมวันนั้นมันถึงได้ปรากฏอยู่ในห้องของอู่เยวี่ยได้ล่ะ?” เซียวเซ่อพูดอีกครั้ง
สยงมู่มู่ตบโต๊ะด้วยความโกรธ “พวกตำรวจมันทำอะไรกันอยู่เนี่ย? เห็นได้ชัดว่ามีข้อสงสัยตั้งมากมาย ทำไมไม่สืบสวนต่อไป?”
เหมยเหมยพูดอย่างโมโห “ไม่ใช่เพราะว่าอยากจะลดปัญหาหรือไงล่ะ ถ้าพวกตำรวจไม่ทำเดี๋ยวฉันจะทำเอง!”
ตอนที่ 1236 อู่เยวี่ยผู้ตกเป็นผู้ต้องสงสัย
จุดที่เหมยเหมยสงสัยที่สุดก็คือเธอไม่เชื่อว่าในวันนั้นอู่เยวี่ยจะมีสถานะเป็นแค่เหยื่อที่บริสุทธิ์คนหนึ่ง
อู่เยวี่ยไม่ได้อ่อนแอถึงขั้นจะถูกข่มเหงง่าย ๆขนาดนั้น วันนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ?
เพียงแต่เสียดายที่พ่อลูกตระกูลซ่งกลายเป็นขี้เถ้าไปแล้ว อู่เยวี่ยคงไม่พูดความจริง เหลือแค่เหอปี้อวิ๋นคนเดียวแล้วล่ะที่รู้
ดูแล้วคงถึงเวลาที่จะต้องไปเรือนจำสักที
“ใช่แล้ว ยังมีข้อสงสัยข้อใหญ่อีกข้อ เกือบลืมไปแล้วนะเนี่ย!”
ทั้งสี่คนกำลังเตรียมตัวจะไปทานอาหารในร้านอาหาร เซียวเซ่ออยู่หน้าสุดตามมาด้วยสยงมู่มู่ เพิ่งจะเดินไปถึงที่ประตู จู่ ๆเซียวเซ่อก็ตะโกนขึ้นมาแล้วหันกลับมาอีกครั้ง ทำเอาสยงมู่มู่ตกใจยกใหญ่จนกระโดดสูงสามฟุต
“เธอเป็นบ้าอะไร? ฉันตกใจแทบตาย!” สยงมู่มู่ตบเบา ๆที่หน้าอกของเขา ดูน่าสงสารเหมือนผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เพียงแต่น่าเสียดายที่ด้านหน้าแบนมากไปหน่อย
เซียวเซ่อผลักเขาออก พูดอย่างตื่นเต้นว่า “ฉันเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่า เหอปี้อวิ๋นรู้ได้ยังไงว่าน้าเหยียนอยู่ที่หอศิลป์? เธอไม่ใช่กล้องส่องทางไกลเสียหน่อย”
เหมยเหมยใจวูบไปถึงตาตุ่ม ใช่แล้ว…วันนั้นที่เหยียนซินหย่าไปหอศิลป์เป็นเรื่องกะทันหัน มีแค่เพียงเธอและจ้าวอิงหัวเท่านั้นที่รู้ นอกจากนั้นก็พวกพนักงานในหอศิลป์
“เป็นไปได้มากว่าเหอปี้อวิ๋นรีบไปที่หอศิลป์ก่อนเพื่อสอบถามตารางงานของน้าเหยียน… ไม่ถูกสิ”
เซียวเซ่อปฏิเสธด้วยสีหน้าท่าทางอย่างไม่เข้าใจ “เหมยเหมยเธอเคยพูดว่า วันนั้นเดิมทีน้าเหยียนจะไปเมืองหลวง แต่หอศิลป์ดันเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นถึงได้เปลี่ยนแผน เหอปี้อวิ๋นคงไม่สามารถสืบรู้ได้หรอก แปลกจัง…ทำไมเธอถึงได้มั่นใจว่าน้าเหยียนจะอยู่ที่หอศิลป์ล่ะ?”
“ยังมีอีกหนึ่งจุด หร่วนเป่าฮุ่ยเป็นเหยื่อรายใหญ่ที่ได้รับบาดเจ็บที่สุดของหอศิลป์ในวันนั้น ทำไมเหอปี้อวิ๋นถึงเกลียดเธอมากขนาดนั้นล่ะ?” สยงมู่มู่ถามอย่างสงสัย
อู่เชารีบพูดต่อว่า “เรื่องนี้ฉันรู้ หร่วนเป่าฮุ่ยเป็นว่าที่ภรรยาคนต่อไปของลุงรองของฉันซึ่งจะแต่งงานกันอยู่แล้ว เหอปี้อวิ๋นฆ่าเธอก็น่าจะเป็นเพราะอิจฉาแหละ”
“ถ้างั้นผู้หญิงคนนี้ก็โชคร้ายจริง ๆ แค่ออกมาสัมภาษณ์ก็โดนทำให้เสียโฉมเสียอย่างนั้น” สยงมู่มู่รู้สึกเสียดายอยู่บ้าง เขารู้จักหร่วนเป่าฮุ่ย นี่เป็นเพียงความเห็นอกเห็นใจล้วน ๆ กลับได้รับการกลอกตามองบนของเหมยเหมยที่ทำโดยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ
“พวกเราไปกินข้าวกันก่อนเถอะ เรื่องนี้ค่อย ๆสืบหาเอา ช้าเร็วความจริงก็ต้องเปิดเผยออกมาอยู่ดี”
ในใจเหมยเหมหนักอึ้ง พวกเขาเป็นเพียงมือใหม่สมัครเล่นทั้งสี่คน แต่ทุกคนสามารถวิเคราะห์จุดที่น่าสงสัยมากมาย แล้วตำรวจพวกนั้นจะมองไม่ออกได้อย่างไร?
แต่คดีนี้ถูกปิดอย่างเร่งรีบ มันเร่งรีบมากเกินไป
เป็นฝีมือของใครกันนะ?
แล้วต้องการปกปิดความจริงอะไรกันแน่?
และเหมยเหมยก็ไม่พอใจจ้าวอิงหัวอีกด้วย ช่างไม่มีความตื่นตัวเลยจริง ๆ อย่างไรเสียก็เป็นถึงผู้นำในเมืองจิน ขอเพียงแค่จ้าวอิงหัวสั่งให้มีการสอบสวนอย่างเข้มงวด ลูกน้องก็คงจะไม่ถึงกับทำไปแบบส่ง ๆหรอก
อันที่จริงก็ไม่สามารถโทษจ้าวอิงหัวได้ทั้งหมด ช่วงนี้เขายุ่งมากจริง ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะมียาน้ำที่เหมยเหมยให้ไว้บำรุงร่างกายละก็ เขาคงทนไม่ไหวหรอก
และเขากับเหยียนซินหย่าต่างก็เป็นพวกเชื่อในสิ่งที่ได้ยินได้เห็นมาก่อน คิดไปว่าเหอปี้อวิ๋นป่วยทางจิตจึงได้ลงมือฆ่าคน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เอาเรื่องนี้มาใส่ใจ แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นเหมือนเหมยเหมยที่ตั้งใจวิเคราะห์คดีนี้โดยเฉพาะ
จ้าวอิงหัวก็ให้คนตัดสินจำคุกเหอปี้อวิ๋นเป็นเวลาห้าปีแล้ว เขารู้สึกว่าการลงโทษแบบนี้ร้ายแรงพอแล้ว เพราะถึงอย่างไรเหยียนซินหย่าก็ไม่ได้เป็นอะไร
หลังจากนั้นจ้าวอิงหัวก็ไม่เคยถามเกี่ยวกับคดีนี้อีกเลย การจากไปของคุณย่า งานยุ่ง และยังมีแผนการของตระกูลจ้าวที่ทำร้ายเหมยเหมย……ทุก ๆเรื่องราวเหมือนภูเขาที่กดลงบนหัวของจ้าวอิงหัว เขาจะมีกะจิตกะใจที่ไหนไปสนใจเรื่องอื่นกันล่ะ
หลังจากกินข้าวเสร็จเหมยเหมยก็กลับบ้าน ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามันแปลกทะแม่ง ๆ เธอโทรศัพท์หาพี่เสือ คิดจะให้พี่เสือตรวจสอบวันก่อคดีนั้นว่าอู่เยวี่ยทำอะไรบ้าง
ประสิทธิภาพในการทำงานของพี่เสือไม่เลวเลยทีเดียว เหตุผลที่สำคัญก็คืออู่เยวี่ยไม่ได้ตั้งใจซ่อนร่องรอยของเธอในวันนั้น ตอนเย็นเขาก็มาพร้อมกับข่าวคราว
“อู่เยวี่ยออกจากโรงพยาบาลในวันนั้น คนที่มารับเธอก็คือหร่วนเป่าฮุ่ย หร่วนเป่าฮุ่ยมาส่งเธอที่ทางเข้าบ้านแล้วจึงกลับไปที่สถานีโทรทัศน์”
………………………………………………
ตอนที่ 1237 กลุ้มใจเรื่องไอคิว
หร่วนเป่าฮุ่ยมารับอู่เยวี่ยออกจากโรงพยาบาล?
เธอสนิทชิดเชื้อกับอู่เยวี่ยขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน?
“วันนั้นหร่วนเป่าฮุ่ยมีสัมภาษณ์ไม่ใช่เหรอ? ทำไมยังมีเวลาไปรับที่โรงพยาบาลอีก?” เหมยเหมยพึมพำกับตัวเอง แล้วก็ถามพี่เสือ
พี่เสือยิ้ม “พูดขึ้นมาแล้วก็น่าแปลก เดิมทีการให้สัมภาษณ์ที่หอศิลป์ไม่ใช่วันนั้น น่าจะเป็นอีกสองวันหลังจากนั้น แต่หร่วนเป่าฮุ่ยบอกว่าอีกสองวันหลังจากนั้นเธอมีธุระดังนั้นจึงขอเปลี่ยนเป็นวันนั้น และบังเอิญเกิดเรื่องขึ้นจริง ๆ”
เขาชะงักครู่หนึ่งแล้วพูดต่ออีกว่า “อีกอย่างหร่วนเป่าฮุ่ยและหวงอวี้เหลียนสนิทสนมกันมาก พวกเขาคบหาเป็นเพื่อนกันมาสิบกว่าปีแล้ว”
เหมยเหมยสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย หวงอวี้เหลียนและหร่วนเป่าฮุ่ยเป็นเพื่อนกันมาก่อน?
ผู้หญิงสองคนนี้ต่างก็ไม่ใช่คนดีอะไร การอยู่ด้วยกันคงไม่มีวันทำเรื่องดีแน่ การลงมือฆ่าคนของเหอปี้อวิ๋นมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเธอหรือไม่นะ?
ในหัวของเหมยเหมยมักจะมีจุดบางอย่างแล่นผ่านแวบเข้ามาแต่ก็จับจุดไม่ได้สักที เพียงแค่คิดครู่หนึ่งก็เริ่มมีอาการปวดหัวขึ้นมาอีกครั้ง
เฮ้อ ไอคิวความฉลาดช่างบกพร่องจริง ๆ!
ถึงแม้ว่าเธอไม่อยากจะยอมรับว่าตัวเองโง่แต่มันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ เธอไม่ยอมรับก็คงไม่ได้ ดูเมื่อวานสิเซียวเซ่อเด็กเทพนั่นวิเคราะห์ได้อย่างง่ายดายเพียงใด มีเหตุมีผล แต่ทำไมพอเปลี่ยนเป็นเธอถึงได้ยากขนาดนี้?
รู้สึกเหมือนความยุ่งเหยิงกางอยู่ตรงหน้า เธอจะหาอย่างไรก็หาไม่เจอสักที ยิ่งคิดก็ยิ่งวุ่นวาย
พี่เสือเห็นท่าทางปวดหัวของเหมยเหมยก็อดหัวเราะไม่ได้ พูดเตือนขึ้นมาว่า “คุณหนู พนักงานที่ทำลายรูปภาพคนนั้นถูกติดสินบนโดยหร่วนเป่าฮุ่ย”
ดวงตาของเหมยเหมยเป็นประกายขึ้นมา หัวสมองเกิดความเข้าใจทะลุปรุโปร่งในทันที
หร่วนเป่าฮุ่ยติดสินบนให้คนทำลายรูปภาพ จุดประสงค์เพื่อให้เหยียนซินหย่าไปที่หอศิลป์ หลังจากนั้นหร่วนเป่าฮุ่ยก็ไปรับอู่เยวี่ยที่ออกจากโรงพยาบาลโดยบอกอู่เยวี่ยว่าเหยียนซินหย่าอยู่ที่หอศิลป์ อู่เยวี่ยก็บอกเหอปี้อวิ๋นต่อ……
แบบนี้ก็สามารถอธิบายได้แล้ว!
“แต่หร่วนเป่าฮุ่ยทำไมถึงอยากจะฆ่าแม่ของฉันล่ะ?” เหมยเหมยรู้สึกว่ามันแปลก ๆ แต่ว่าครั้งนี้เธอก็นึกหาเหตุผลขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว
“เป็นเพราะคุณตาของฉัน หร่วนเป่าฮุ่ยกลัวว่าเรื่องอื้อฉาวที่ทำโดยหร่วนหวาไฉ่พ่อของเธอจะถูกเปิดเผย แล้วจะโดนคนทั้งโลกเยาะเย้ย นั่นเป็นเหตุผลที่ต้องการจะกำจัดแม่ของฉัน เลวทรามต่ำช้าจริง ๆ!” เหมยเหมยพูดอย่างเคียดแค้น
เพราะว่าเหยียนซินหย่ายังคงอ่อนต่อโลกเกินไปในแวดวงศิลปะ จึงไม่ได้เปิดเผยเรื่องอื้อฉาวของสามปรมาจารย์หร่วนหวาไฉ่และลูกศิษย์ไปทั่วโลก ไม่ใช่ว่าต้องการไว้ชีวิตสามคนนี้แต่มันไม่มีประโยชน์ที่จะพูดตอนนี้และคงจะไม่มีใครเชื่อด้วย ซึ่งอาจจะทำให้ความจริงถูกฝังอยู่ใต้ดินตลอดไป
ยังไม่สู้ค่อย ๆสะสมความแข็งแกร่งอย่างช้า ๆ รอเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมค่อยโจมตีเข้ากลางเป้าอีกครั้ง ไม่ปล่อยให้หร่วนเป่าฮุ่ยและคนอื่น ๆได้มีโอกาสหายใจ
คาดไม่ถึงว่าเพื่อชื่อเสียงของพ่อหร่วนเป่าฮุ่ย เธอถึงได้ลงมืออย่างเหี้ยมโหด สมน้ำหน้าที่โดนเหอปี้อวิ๋นทำให้เสียโฉม
ทำชั่วก็ได้ชั่ว!
พี่เสือชี้นำอีกครั้ง “คนที่หร่วนเป่าฮุ่ยต้องการจัดการไม่ได้มีเพียงแค่คุณนายเท่านั้น เธอไม่รู้ว่าคุณหนูไปเมืองหลวงแล้ว วันนั้นเธอต้องการสัมภาษณ์คุณนายและจิตรกรรุ่นที่สองอย่างคุณหนูในเวลาเดียวกัน ผู้อำนวยการหอศิลป์ก็เห็นชอบด้วย และบอกกับคุณนายเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่คุณนายปฏิเสธไปเพราะคิดว่าคุณหนูต้องไปโรงเรียน”
ตรงหว่างคิ้วเธอเต้นระส่ำ เหมยเหมยยกมือขึ้นกดไว้ หัวสมองฟุ้งซ่านอีกครั้ง เธอคาดไม่ถึงว่าวันนั้นยังมีเรื่องอื่นแทรกขึ้นมาอีก ดูท่าแล้วหร่วนเป่าฮุ่ยคงต้องการที่จะจบมันทั้งหมดในครั้งเดียว!
“ขอบคุณนะพี่เสือ”
เธอหันไปยิ้มให้พี่เสืออย่าซาบซึ้ง เหยียนหมิงซุ่นหาคนได้ไม่เลวเลยจริง ๆ เธอแค่ให้พี่เสือไปสืบหามาลวก ๆ คาดไม่ถึงจะสืบหาข้อมูลที่มีประโยชน์ออกมาได้มากขนาดนี้
“อีกอย่างผมสืบได้ความอีกว่าก่อนที่หร่วนเป่าฮุ่ยจะเกิดเรื่องก่อนหน้านั้นหนึ่งวัน เธอไปดื่มกาแฟกับหวงอวี้เหลียนมา” พี่เสือชี้แนวทางอีกครั้ง
อันที่จริงเขาได้คาดการณ์สถานการณ์ความเป็นจริงได้แล้วแต่คุณชายหมิงพูดแล้ว ให้คุณหนูค่อย ๆค้นหาความจริงไป เขาทำได้เพียงช่วยเหลือและชี้แนวทางอยู่ข้าง ๆ ไม่สามารถบอกอะไรได้
เฮ้อ ความสามารถในการอนุมานของคุณหนูนั้นแย่มากจริง ๆ เขาอดไม่ได้ที่อยากจะพูดบทสรุปออกมาอยู่หลายครั้ง!
อึดอัดจะตายอยู่แล้ว!
ตอนที่ 1238 ความจริง
วันต่อมาเหมยเหมยขอให้พี่เสือช่วยติดต่อเรือนจำหญิงไว้แล้วโดยมีพี่เสือไปเป็นเพื่อน เธอมีบางอย่างอยากจะถามเหอปี้อวิ๋น
เหอปี้อวิ๋นคิดว่าอู่เยวี่ยมาหาเธออีกจึงนึกดีใจมาก แต่ตอนที่เห็นเหมยเหมยพลันทำหน้าบึ้งตึงทันที หมุนตัวหันหลังคิดจะกลับเข้าไป
“เหอปี้อวิ๋น ทำไมคุณถึงไม่กล้าเจอหน้าฉันล่ะ? เป็นวัวสันหลังหวะหรือไง” เหมยเหมยพูดเสียงดัง เหอปี้อวิ๋นหยุดเดิน ค่อย ๆหันกลับมา
“นังสารเลวแกมาเพื่อหัวเราะเยาะฉันใช่ไหม? ตอนนี้ฉันเป็นแบบนี้แกมีความสุขหรือยัง? ไสหัวไป!” เหอปี้อวิ๋นกรีดร้องเสียงดัง ท่าทางดูบ้าคลั่ง
เงินโดนผู้ต้องขังด้วยกันแย่งเอาไปแบ่งกัน คนเหล่านี้เอาเงินไปซื้ออาหารอร่อย ๆ ทว่าเธอแม้แต่ซุปสักคำยังไม่ได้รับการแบ่งปัน ยังไม่พอพวกเขายังตบตีเธอ ปล่อยให้เธอทำงานที่สกปรกที่สุดและเหนื่อยที่สุด ไม่พอใจก็ทุบตีเธอ
และคนเหล่านี้ยังให้เหอปี้อวิ๋นเขียนจดหมายเพื่อให้คนในครอบครัวส่งเงินเข้ามา ไม่อย่างนั้นพวกเขาทั้งห้าคนจะปล่อยให้เหอปี้อวิ๋น ‘ปรนนิบัติรับใช้’ ทุกวันตอนกลางคืน มันน่าอับอายมาก
เมื่อผู้ชายเข้าเรือนจำก็เป็นไปได้ว่าจะถูกข่มขืนทางประตูหลัง แต่เรือนจำของผู้หญิงก็มีการล่วงละเมิดเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะผู้ต้องขังเหล่านี้ส่วนใหญ่อยู่ในวัยสามสิบและสี่สิบซึ่งเป็นเหมือนเสือและหมาป่า ความต้องการทางเพศมีสูงมาก
เมื่อก่อนทำได้แค่ระบายความใคร่ด้วยการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองเท่านั้น เพราะทั้งห้าคนนี้ไม่ใช่พวกที่จะแหย่ได้ง่าย ๆ ไม่มีใครกล้ากดใคร ตอนนี้เหอปี้อวิ๋นมาแล้ว แน่นอนว่าทั้งห้าพบวิธีที่จะระบายความใคร่
ให้เหอปี้อวิ๋นปรนนิบัติด้วยมือและปากทุกคืน ทั้งห้าคนมีความสุขมาก
แต่เหอปี้อวิ๋นกลับได้แต่กรีดร้องด้วยความขมขื่น ขยะแขยงอย่างไม่มีอะไรจะเปรียบได้ ทุกวันคือความทรมาน มีชีวิตแบบนี้ไม่สู้ตายไปดีกว่า
ดังนั้นเธอจึงเขียนจดหมายถึงอู่เยวี่ยต้องการให้อู่เยวี่ยส่งเงินเข้ามา เธอจึงจะสามารถใช้ชีวิตได้สุขสบายขึ้นเล็กน้อย แต่อู่เยวี่ยคนที่รอกลับไม่มา แต่คนที่เธอเกลียดเข้ากระดูกดำอย่างจ้าวเหมยกลับมาเสียอย่างนั้น เหอปี้อวิ๋นไม่คลั่งสิถึงจะแปลก
เหมยเหมยให้พี่เสือไปสืบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของเหอปี้อวิ๋นในเรือนจำในช่วงเวลานี้ แม้ว่าพี่เสือจะพูดแค่คร่าว ๆ แต่เหมยเหมยได้ฟังก็ยังแทบจะสำรอกข้าวออกมา
แน่นอนว่าเธอไม่ได้เห็นใจเหอปี้อวิ๋นอยู่แล้ว
แต่จุด ๆนี้สามารถเอามาใช้ประโยชน์ได้
เหมยเหมยก็ไม่พูดอะไร ทำเพียงแค่หยิบเงินออกมาจากกระเป๋าและยกขึ้น เหอปี้อวิ๋นก็สงบลงมาจริง ๆ ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความโลภและเริ่มนั่งลงด้วยตัวเอง
“หนึ่งคำถามสิบหยวน ฉันถามคุณตอบ คุณอย่าคิดจะโกหกฉัน ถ้าโกหกเงินก็จะไม่ได้สักแดงเดียว” เหมยเหมยหยิบไมโครโฟนขึ้นมาพูด
เหอปี้อวิ๋นพยักหน้าโดยไม่คิดอะไรทั้งนั้น เดิมทีเธอคิดว่าหลังจากฆ่าใครสักคนแล้วเธอจะถึงทางตันจนถึงที่ด้านล่างสุดของเหว แต่เธอกลับเพิ่งรู้ว่าตอนนี้สิถึงจะใช่
ขอเพียงแค่สามารถกระโดดออกจากเหวลึกนี้ได้ ให้เธอทำอะไรก็ย่อมได้ทั้งนั้น
เหมยเหมยถามคำถามธรรมดาอยู่หลายคำถาม เหอปี้อวิ๋นก็ตอบตามความจริงทำเงินไปได้ห้าสิบหยวนแล้ว จิตใจของเหอปี้อวิ๋นก็ค่อย ๆผ่อนคลายลง
“วันนั้นอู่เยวี่ยบอกคุณเหรอว่าแม่ของฉันอยู่ที่หอศิลป์?” อยู่ดี ๆเหมยเหมยก็ถามขึ้นมา
เหอปี้อวิ๋นพยักหน้าแต่ก็นึกขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วว่าไม่ถูกต้องจึงส่ายหัว เหมยเหมยยิ้มเยาะ นิ้วชี้ไปที่เงินห้าสิบหยวนแล้วพูดว่า “ระวังคำตอบหน่อยนะ ระวังจะไม่ได้สักแดงเดียว”
เหอปี้อวิ๋นลังเลอย่างรวดเร็ว ในใจกำลังตีกันอย่างหนัก ท้ายที่สุดก็ไม่ได้ส่ายหัว
ถึงอย่างไรคนที่ลงมือฆ่าก็คือเธอ เยวี่ยเยวี่ยไม่มีทางเป็นอะไรแน่นอน
เหมยเหมยแอบยิ้มเยาะในใจ ที่แท้ก็เป็นอู่เยวี่ยที่คอยป่วนหัวอยู่จริง ๆด้วย
“กรรไกรเล่มนั้นเป็นอู่เยวี่ยที่พูดเตือนคุณ คุณถึงได้เห็นมันใช่หรือไม่?” เหมยเหมยถามอีกครั้ง
ในดวงตาของเหอปี้อวิ๋นมีความสับสนฉายออกมา เธอกำลังคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น เสียงร้องไห้ของอู่เยวี่ยดังขึ้นในหูของเธออีกครั้ง “หนูไม่บริสุทธิ์แล้ว…หนูยังจะมีหน้ามีชีวิตอยู่ได้ยังไง…สู้หนูเอากรรไกรแทงคอตัวเองตายไปเสียดีกว่า…”
สีหน้าเหอปี้อวิ๋นเปลี่ยนเล็กน้อย รายละเอียดเล็กน้อยที่เธอมองข้ามปรากฎขึ้นมาอย่างชัดเจน หลังจากเธอได้ยินเสียงร้องของอู่เยวี่ยถึงได้สังเกตเห็นกรรไกรเล่มนั้น จากนั้น…
แต่กรรไกรเล่มนั้นเธอจำได้แม่น จำได้แม่นว่าก่อนหน้านั้นหนึ่งวันเพิ่งจะฆ่าปลาไป แล้วเธอก็ล้างอย่างสะอาดวางไว้ในห้องครัวแล้ว ทำไมถึงได้ไปอยู่ในห้องของเยวี่ยเยวี่ยได้นะ?
เหมยเหมยเพียงแค่เห็นสีหน้าท่าทางของเหอปี้อวิ๋นก็แน่ใจได้เลยว่าเธอเดาถูก
ดูท่าเหอปี้อวิ๋นก็โดนอู่เยวี่ยหลอกแล้วเหมือนกัน!
………………………………………………
ตอนที่ 1239 เหยียบซ้ำอีกที
อันที่จริงเหอปี้อวิ๋นนึกสงสัยขึ้นมาบ้าง ถึงแม้ว่าผู้ชายของเธอจะมีอารมณ์หื่นแต่ก็คงไม่ถึงขั้นสารเลวชาติชั่วขนาดนั้น และเมื่อไม่นานมานี้ผู้ชายของเธอบอกกับเธอว่าจะให้อู่เยวี่ยเป็นลูกสะใภ้ซ่งเป่าเลี่ยง ทำไมจู่ ๆถึงได้ไปข่มขืนอู่เยวี่ยได้ล่ะ?
แถมยังอยู่ด้วยกันกับลูกชายด้วย?
เหมยเหมยสังเกตเห็นว่าการแสดงออกของเหอปี้อวิ๋นเปลี่ยนไป จึงพูดเสียงเบาว่า “อู่เยวี่ยร้องไห้ได้อย่างน่าสงสารมากใช่ไหม? เธอบอกว่าเธอสูญเสียความบริสุทธิ์แล้ว อยู่ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว…”
คำพูดทุกประโยค เหมยเหมยให้ความสนใจกับสีหน้าของเหอปี้อวิ๋นอยู่ตลอด เมื่อเห็นความตื่นตระหนกและประหลาดใจในดวงตาของเหอปี้อวิ๋น มุมปากก็กระตุกขึ้นเล็กน้อย
ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง!
เธอใช้หลังเท้าคิดก็ยังคิดได้ว่าอู่เยวี่ยจะใช้คำพูดแบบไหนเพื่อหลอกลวงเหอปี้อวิ๋น ชาติที่แล้วเธอก็ทำแบบนี้ไม่ใช่หรอกหรือ? ทำต่อหน้าระหว่างผู้ชายสองคนอย่างเหยียนหมิงต๋าและเหมยซูหานจนช่ำชอง!
ตอนนี้เธอทำเอาเหอปี้อวิ๋นหัวหมุนไปหมด ดูเต็มใจจะฆ่าคนเพื่อเธอ
แต่จุดประสงค์ของอู่เยวี่ยคืออะไร?
เหมยเหมยวางปัญหานี้ไว้ก่อนชั่วคราว เธอมองไปที่เหอปี้อวิ๋นที่ไร้วิญญาณ ส่ายหัวและถอนหายใจ แน่นอนว่าเธอไม่ใจอ่อนและต้องการจะเหยียบซ้ำอีกด้วย
ชาติที่แล้วเธอตายได้อนาถขนาดนั้น ฆาตกรก็คืออู่เยวี่ย แต่เหอปี้อวิ๋นก็ลงแรงในนั้นไปไม่น้อยเช่นกัน!
ที่เหมยเหมยเกลียดมากที่สุดก็คือคำพูดตอนนั้นที่เหอปี้อวิ๋นพูดต่อหน้าตำรวจ ทำไมต้องให้อภัยผู้หญิงคนนี้ด้วยล่ะ?
ต่อให้ทุกข์ทรมานแค่ไหนความเกลียดชังในใจเธอก็ไม่สามารถกำจัดไปได้!
เหมยเหมยกระตุกริมฝีปาก หยิบรูปถ่ายสองสามใบออกมาจากกระเป๋าเป้ ฉากไม่เหมือนกันแบ่งเป็นสองสถานที่
อย่างไรเสียเหอปี้อวิ๋นก็เลี้ยงดูเธอมาช่วงระยะเวลาหนึ่ง แน่นอนว่าเธอก็คงจะไม่ทนดูเหอปี้อวิ๋นโดนคนรังแกอยู่เฉย ๆหรอกนะ!
”ความบริสุทธิ์ของอู่เยวี่ย อันที่จริงไม่มีมานานแล้ว… เห็นแล้วหรือยัง ผู้ชายคนนี้ชื่อหานป๋อหย่วน พวกเขามีอะไรกันที่ภูเขาเฟิ่งหวงซาน ร้อนแรงดุเดือดมากเลยล่ะ!”
เหมยเหมยวางรูปถ่ายไว้ตรงหน้าเหอปี้อวิ๋น ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วงต้องใส่เสื้อโค้ทแล้ว แต่อู่เยวี่ยในรูปภาพกลับสวมเสื้อแขนสั้น เหอปี้อวิ๋นไม่ใช่คนโง่ แน่นอนว่ามองออกว่ารูปถ่ายไม่ได้เพิ่งถูกถ่าย สีหน้าของเธอถอดสี ดวงตาจ้องจนแทบจะปูดถลนออกมา
ผู้หญิงที่ยิ้มอย่างเคลิบเคลิ้มในรูปถ่ายจะเป็นเยวี่ยเยวี่ยของเธอได้อย่างไร?
เยวี่ยเยวี่ยของเธอบริสุทธิ์ขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้!
เหมยเหมยยิ้มอย่างพอใจ เปิดให้ดูอีกสองสามรูป คราวนี้พื้นหลังเปลี่ยนเป็นร้านคาราโอเกะไห่เยี่ยน มันเป็นภาพที่โป๊เปลือยอนาจารที่เธอขอให้พี่เสือถ่ายเอาไว้
นักแสดงนำคืออู่เยวี่ยและ…ผู้ชายกลุ่มหนึ่ง…
“ยังมีตรงนี้ บนรูปภาพมีวันที่นะ ลูกสาวของคุณมีอะไรกับผู้ชายตั้งเยอะ กี่คนเนี่ย ขอฉันนับก่อนนะ… หนึ่ง… สอง… สาม…สิบหก…โอโฮ้ หนึ่งต่อสิบหก อู่เยวี่ยเก่งอะไรขนาดนี้ ช่างยอดเยี่ยมจริง ๆ!”
เหมยเหมยพูดอย่างชั่วร้ายพลางยิ้มตาหยี เสียงทั้งนุ่มทั้งอ่อนหวาน แต่เหอปี้อวิ๋นกลับดูเหมือนจะถูกแช่อยู่ในน้ำแข็ง เธอไม่อยากจะเชื่อทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเธอ
และก็ไม่กล้าเอาผู้หญิงสำส่อนในรูปถ่ายมาเชื่อมโยงกับลูกสาวของเธอ
แต่ความจริงที่วางอยู่ตรงหน้า ทำให้เธอจะไม่เชื่อก็ไม่ได้
“ไม่ใช่เรื่องจริง…จ้าวเหมยแกตั้งใจมาหลอกฉัน… ฉันไม่หลงกลหรอกนะ!” เหอปี้อวิ๋นกัดฟันกรอด ใบหน้าดุร้าย
เหมยเหมยยักไหล่เก็บรูปภาพขึ้นมา “คุณไม่เชื่อฉันก็จนปัญญาแล้วล่ะ ฉันก็แค่หวังดีกลัวคุณจะโดนหลอกถึงได้หวังดีบอกความจริงกับคุณ ในเมื่อคุณสมยอมถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าฉันยุ่งเรื่องของคุณมากไปก็แล้วกัน!”
เห็นเหอปี้อวิ๋นที่ใกล้จะบ้าคลั่ง เหมยเหมยก็ยิ้มอย่างลำพองใจ
ผลลัพธ์ที่ต้องการคือแบบนี้แหละ
รสชาติที่โดนลูกสาวแท้ ๆหลอกใช้มันแย่มากเลยใช่ไหมล่ะ?
รู้สึกแย่มากก็ถูกต้องแล้ว ทางที่ดีเจ็บปวดหัวใจแตกสลายไปเลย ให้เจ็บปวดจนกระอักตายไปเลยถึงจะระบายความอัดอั้นได้!
ส่วนเงินนั้นเหมยเหมยก็ไม่ได้ผิดสัญญาทั้งหมดแปดสิบหยวน เธอมอบให้กับเหอปี้อวิ๋นไปทั้งหมด ถึงอย่างไรก็ตามเงินก็อยู่ที่เหอปี้อวิ๋นได้แค่เพียงไม่กี่นาที อีกไม่นานจะถูกคนทั้งห้าฉกไป และตอนเย็นยังจะสั่งสอนเหอปี้อวิ๋นหนัก ๆอีก
เลขาโจวไม่รู้ว่าไปหาคนทั้งห้าคนนี้มาจากไหน เป็นยอดฝีมือทุกคนเลย!
…………………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น