พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1225-1226
บทที่ 1225 แกนค่ายกล
โดย
Ink Stone_Fantasy
เหมียวอี้ไม่มีทางแน่ใจได้ว่าสถานที่นี้คือแกนค่ายกลหรือเปล่า หลังจากสำรวจดาวเสริมดวงนี้อย่างเต็มที่แล้ว เขาก็เหาะไปสำรวจดาวเสริมดวงถัดไปต่อ
เขาทำแบบนี้ต่อเนื่องหนึ่งปีกว่า ถึงได้สำรวจดาวเสริมทั้งสิบเอ็ดดวงจนหมด
สุดท้ายก็ยังกลับไปที่ตำแหน่งดาวเสริมดวงที่ห้าที่กำหนดไว้ เมื่อเปิดตาทิพย์จ้องตำแหน่งนั้นให้ละเอียดอีกครั้ง บนมือก็หยิบแผ่นหยกแผ่นหนึ่งออกมาวาดลักษณะพื้นภูมิด้านล่างลงไป พอวาดเสร็จแล้วก็เก็บดวงตาอิทธิฤทธิ์ แล้วนำแผ่นหยกโบนให้เมิ่งหรู “ท่านดูหน่อยว่าตำแหน่งนี้ใช่แกนค่ายกลหรือเปล่า”
หลังจากเมิ่งหรูถืออ่าน ก็ถามเบาๆ ว่า “ก็เหมือนค่ายกลค่ายหนึ่งอยู่นะ นี่คือลักษณะพื้นภูมิข้างล่างเหรอ?”
เหมียวอี้พยักหน้า “ข้าสำรวจดาวเคราะห์สิบเอ็ดดวงทั้งหมดแล้วรอบหนึ่ง มีแค่ที่นี่ที่น่าสงสัย แต่ข้าไม่มีทางแน่ใจได้ว่านี่คือแกนค่ายกลหรือเปล่า และไม่มีทางแน่ใจด้วยว่าหลังจากทำลายที่นี่แล้วจะกำจัดค่ายกลใหญ่ทิ้งได้หรือเปล่า”
เมิ่งหรูเงียบงันพูดไม่ออก นำแผ่นหยกในมือส่งต่อให้ขุนพลใหญ่คนอื่นๆ ตรวจดู
หลังจากพวกเขาผลัดกันดูแล้ว สืออวิ๋นเปียนก็กล่าวอย่างไม่แน่ใจว่า “มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นที่นี่ ในปีแรกๆ ที่นี่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงลักษณะพื้นภูมิเด่นชัดขนาดนี้ ถ้าหากมีการเปลี่ยนแปลง ก็เป็นไปไม่ได้ที่ก่อนหน้านี้พวกเราจะไม่สังเกตเห็น”
เหลิ่งจัวฉุนบอกว่า “ต่อให้ตรงนี้คือแกนค่ายกล แต่ข้างล่างมีหมอกโฉมงามอาภัพเป็นอุปสรรค จะลงไปทำลายค่ายกลได้ยังไง? เจ้ามีวิธีการหรือเปล่า?” เขามองไปที่เหมียวอี้พร้อมเอ่ยถาม
“การจะเข้าไปที่ดาวรองแล้วช่วยประมุขขุนพลทั้งหกออกมา จำเป็นจะต้องทำลายแกนค่ายกลนี้ทิ้งให้ได้เลยใช่มั้ย?” เหมียวอี้ถามหยั่งเชิง
ตานฉิงบอกว่า “ถ้าไม่ทำลายค่ายกลที่เกี่ยวโยงกัน ก็ไม่มีทางเข้าไปในดาวรองได้เลย ทั้งด้านบนและด้านล่างของดาวรองไม่ใช่แค่มีหมอกโฉมงามอาภัพเป็นอุปสรรค ทั้งยังมีค่ายกลโจมตีที่ร้ายกาจสุดๆ ด้วย ไม่มีทางบุกเข้าไปได้ง่ายๆ มีแค่การทำลายแกนค่ายกล ปิดค่ายกลใหญ่ป้องกันเท่านั้น ถึงจะไม่กระตุ้นจุดต้องห้ามของประมุขขุนพลทั้งหกที่โดนขัง ถ้าดันทุรังบุกเข้าไป นอกจากจะเข้าไปได้ยากแล้ว ยังมีโอกาสเป็นอันตรายต่อชีวิตของประมุขขุนพลทั้งหกด้วย”
“ยังมีค่ายกลโจมตีที่ร้ายกาจสุดๆ ด้วยเหรอ?” เหมียวอี้จ้องดาวรองที่หมุนรอบอยู่ตรงกลางพร้อมพึมพำ เขาไม่ได้ล้มเลิกความคิดที่จะหาสมบัติ พอมาดูตอนนี้แล้ว ถ้าอยากจะหาสมบัติที่ซ่อนให้พบก็ต้องทำลายค่ายกลที่เกี่ยวโยงกันนี้ทิ้งด้วย
หลังจากครุ่นคิดพักหนึ่ง เขาก็มีวิธีการปลีกตัวหนีแล้ว หันกลับมาถามว่า “พวกท่านรู้หรือเปล่าว่าประมุขขุนพลทั้งหกถูกขังอยู่ตำแหน่งไหนของดาวรอง?”
ขุนพลใหญ่ทั้งหกส่ายหน้าพร้อมกัน เมิ่งหรูตอบว่า “ตอนที่วางค่ายกลประมุขไป๋ทำให้คนอื่นสับสน ไม่ยอมให้พวกเราเห็นเหตุการณ์ตอนที่วางค่ายกล พวกเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาขังประมุขขุนพลทั้งหกไว้ที่ตำแหน่งไหน”
ในใจเหมียวอี้มีความมั่นใจยิ่งกว่าเดิมแล้ว ถามต่อว่า “บนดาวเสริมสิบเอ็ดดวงมีค่ายกลโจมตีหรือเปล่า?”
เมิ่งหรูตอบว่า “ประมุขไป๋ไม่ได้บอก แต่หมอกโฉมงามอาภัพนั่นก็นับว่าเป็นค่ายกลโจมตีที่ร้ายกาจสุดๆ เหมือนกัน ถ้าอยากจะทำลายค่ายกลก็ต้องผ่านด่านนี้ไปก่อน”
เหมียวอี้กล่าวเสียงต่ำว่า “หมอกโฉมงามอาภัพขัดขวางข้าไม่ได้ ข้าลองดูหน่อยก็ได้”
ทุกคนมองมาอย่างประหลาดใจทันที พวกอวิ๋นอ้าวเทียนตกตะลึงสงสัย กลุ่มโจรกบฏก็ทำสายตาตื่นเต้นฮึกเหิม
“เถ้าเจ้าต้องการความร่วมมืออะไรก็บอกมาได้เลย ขอเพียงฝั่งพวกเราสามารถทำได้ก็จะทำให้” สืออวิ๋นเปียนกล่าว
เหมียวอี้บุ้ยปากไปทางพวกอวิ๋นอ้าวเทียนที่ถูกจับตามองอยู่ตลอด “ไม่จำเป็นต้องขอความร่วมมืออะไรมากเกินไปหรอก เคล็ดวิชาฝึกตนของพวกเขาใช้ประโยชน์ในการทำลายค่ายกลนี้ได้ ให้พวกเขาตามข้าเข้าไปทำลายค่ายกลในหมอกโฉมงามอาภัพก็พอ”
เหลิ่งจัวฉุนจึงบอกว่า “เคล็ดวิชาที่พวกเขาฝึก พวกเราก็ฝึกเหมือนกัน ไม่สู้ให้พวกเราช่วยก็สิ้นเรื่องแล้ว”
เห็นได้ชัดว่ายังไม่ค่อยวางใจให้พวกเหมียวอี้อยู่ด้วยกัน
เหมียวอี้ไม่เกรงใจเลยสักนิด ปฏิเสธตรงๆ ว่า “ข้ากับพวกเขาร่วมมือกันมานานแล้ว การทำลายค่ายกลนี้ต้องใช้ความร่วมมือที่คุ้ยเคยกัน พวกท่านแน่ใจเหรอว่าจะสามารถส่งสัญญาณลับกับข้าได้? ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นมาจนพลาดพลั้งจะทำยังไง?”
เหลิ่งจัวฉุนยังอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกเมิ่งหรูยกมือห้ามไว้ แล้วส่งสายตาให้เหลิ่งจัวฉุน พร้อมแอบถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ให้พวกเขาเข้าไปเถอะ อยู่ใต้หนังตาแบบนี้จะหนีไปไหนได้เหรอ?”
เหลิ่งจัวฉุนไม่พูดอะไรแล้ว เมิ่งหรูหันกลับมาพยักหน้าให้กลุ่มลูกน้อง พวกอวิ๋นอ้าวเทียนที่ถูกจับตามองมาตลอดถึงได้รับอิสระ แล้วเหาะไปข้างกายเหมียวอี้ด้วยกัน
“ตามข้ามา!” เหมียวอี้เรียกทั้งห้าคน แล้วนำพวกเขาเหาะลงไปยังดาวเสริมที่อยู่ใต้เท้าด้วยกัน
ขุนพลใหญ่หกลัทธิก็นำคนพุ่งฝ่าชั้นบรรยากาศตามไปเช่นกัน พอบุกเข้ามาบนฟ้าเหนือดาวเสริมดวงนั้นแล้ว ใครจะคิดว่าตอนที่เข้าใกล้หมอกสีเลือดประหลาด เหมียวอี้กลับโบกมือบอกใบ้ให้พวกเขาหยุดและไม่ต้องตามเข้าไป
ขุนพลใหญ่หกลัทธิสบตากันแวบหนึ่ง ต่างก็โบกมือควบคุมลูกน้องเอาไว้ ได้แต่มองดูพวกเหมียวอี้ลอยอยู่บนฟ้าเหนือหมอกสีเลือด เตรียมจะดูว่าพวกเหมียวอี้จะบุกเข้าไปในหมอกโฉมงามอาภัพได้อย่างไร
ด้านบนของหมอกสีเลือด หลังจากทั้งหกคหยุดนิ่งแล้ว อวิ๋นอ้าวเทียนก็ถ่ายทอดเสียงถามว่า “เจ้ามีทางเข้าไปทำลายค่ายกลในหมอกโฉมงามอาภัพนี่จริงเหรอ?”
เหมียวอี้ตอบว่า “ก็มีวิธีเข้าไปในหมอกโฉมงามอาภัพอยู่หรอก แต่กลับไม่มั่นใจสักนิดว่าจะทำลายค่ายกลได้มั้ย ข้าไม่เข้าใจเรื่องค่ายกลเลย มาเพื่อทดลองล้วนๆ ถ้าทำลายได้ก็ทำลาย แต่ถ้าทำลายไม่ได้จริงๆ พวกเราก็หลบอยู่ในนี้ไม่ต้องออกมา แล้วดูว่าจะสามารถล่อให้ทัพใหญ่ของตำหนักสวรรค์มาที่นี่ได้หรือเปล่า”
“อันตรายตลอดทาง กอปรกับมีโจรกบฏเฝ้ารบกวน เกรงว่ากำลังพลของตำหนักสวรรค์จะเข้าใกล้ได้ยากมาก” มู่ฝานจวินกล่าว
เหมียวอี้ถามกลับว่า “เรื่องมาจนป่านนี้แล้ว เจ้ายังมีวิธีการที่ดีกว่านี้อีกเหรอ? ถ่วงเวลามาสองปีแล้ว นี่ถ้าไม่ใช่เพราะข้าใช้ตาทิพย์ทำให้พวกเขาสงบก่อน พวกเจ้าคิดว่าจะถ่วงเวลาแบบนี้ต่อไปได้เหรอ? อีกฝ่ายไม่ได้โง่นะ”
“เจ้าคิดจะทำยังไง?” อวิ๋นอ้าวเทียนถาม
“ตบตาต่อไป แสดงละครเป็นเพื่อนข้าสักฉากก่อน…” เหมียวอี้แอบสั่ง
บนท้องฟ้า สืออวิ๋นเปียนจ้องมองด้านล่างพร้อมถามว่า “คนกลุ่มนั้นกำลังวางแผนลับอะไรกันรึเปล่า?”
“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพวกเขาอยู่ใต้หนังตาพวกเราแบบนี้แล้วจะหนีพ้น” เหลิ่งจัวฉุนแสยะยิ้ม แล้วหันกลับมาสั่งลูกน้องว่า “สั่งให้คนล้อมค่ายกลรอบดาวเคราะห์ดวงนี้ไว้ ตัดขาดไม่ให้ระฆังดาราติดต่อกับภายนอกได้ ข้าจะดูว่าพวกเขายังจะวางกลอุบายอะไรได้อีก”
“ขอรับ!” มีคนเอ่ยรับคำสั่งแล้วไปจัดการทันที
“พวกเขากำลังทำอะไรกัน?” จู่ๆ กุยอู๋ที่ประนมมือเงียบๆ ก็เอ่ยถาม
ทุกคนจ้องเขม็งไปที่ด้านล่างทันที เห็นจู่ๆ พวกอวิ๋นอ้าวเทียนก็หันหลังให้เหมียวอี้ หันหน้าไปห้าทิศโดยให้เหมียวอี้เป็นจุดศูนย์กลาง ทั้งห้าโบกแขนร่ายอิทธิฤทธิ์พร้อมกัน บนตัวอวิ๋นอ้าวเทียนมีปราณมารไหลกลิ้งออกมา บนตัวจีฮวนมีปราณปีศาจไหลม้วนขึ้นมา ส่วนบนตัวซือถูเซี่ยวก็มีปราณหยินไหลม้วนออกมาเช่นกัน
ปราณมาร ปราณปีศาจและปราณหยินหมุนวนราวกับมังกรบินสามตัว ครอบทั้งหกคนไว้ในนั้นอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปไม่นาน ก็เห็นอัสนีบาตหลายสายหมุนวนออกมาจากไอหมอกสีดำเทา ฉากนี้ดูค่อนข้างประหลาด ทำให้ขุนพลใหญ่หกลัทธิที่อยู่บนท้องฟ้ามองหน้ากันอย่างงุนงง
จู่ๆ ไอหมอกที่กะพริบแสงอัสนีบาตก็พุ่งลงไปที่หมอกสีเลือดด้านล่าง ทำให้ทุกคนข้างบนมองตาไม่กะพริบ
เหมียวอี้ที่หลบอยู่ในปราณมารผีและปีศาจส่งสัญญาณมือ พวกอวิ๋นอ้าวเทียนที่อยู่รอบๆ รีบเข้ามาอยู่ในกระเป๋าสัตว์ของเขา เหมียวอี้เรียกเพลิงดาราออกมาปกป้องร่างกายทันที วินาทีที่ปราณมารผีและปีศาจชนกับหมอกสีเลือดด้านล่าง เหมียวอี้ก็อาศัยตอนที่มีอุปสรรคบังสายตาอีกฝ่ายหนีเข้าไปในหมอกสีเลือดอย่างกะทันหัน
และในสายตาของทุกคนที่อยู่ด้านบน ก็ได้แต่มองดูปราณมารผีปีศาจที่ตัดสลับกับอัสนีบาตกลุ่มนั้นชนกับหมอกสีเลือด จากนั้นก็ไม่เห็นอัสนีบาตแล้ว ปราณมารผีปีศาจสลายหายไป พวกเหมียวอี้หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว มองไม่เห็นแล้ว
กลุ่มโจรกบฏสบตากันอย่างงุนงง เป็นเพราะพวกเหมียวอี้เข้าไปในนั้นอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่เกินไป
“พวกเขาเข้าไปจริงๆ เหรอ? ต้านทานหมอกโฉมงามอาภัพได้จริงเหรอ?” สืออวิ๋นเปียนถามอย่างประหลาดใจ
เหลิ่งจัวฉุนกล่าวช้าๆ ว่า “จากภาพเหตุการณ์ที่เพิ่งเห็น…หรือว่าหกเคล็ดวิชาพิเศษร่วมมือกันแล้วจะสามารถฝ่าหมอกโฉมงามอาภัพได้? เจ้าเหมียวอี้นั่นไม่ได้ฝึกมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงไม่ใช่เหรอ?”
ตรงหน้าโจรกบฏเหล่านี้ เหมียวอี้ไม่กล้าบอกชื่อหนิวโหย่วเต๋ออันโด่งดังของตัวเอง อีกฝ่ายมีการติดต่อกับภายนอก ถ้าบอกว่าตัวเองคือหนิวโหย่วเต๋อ อีกฝ่ายก็จะต้องจับได้แน่นอนว่าตัวเองเป็นคนของตำหนักสวรรค์ จึงใช้ชื่อจริงของตัวเองแล้ว
เมิ่งหรูกล่าวว่า “สงสัยนี่จะเป็นวิชาลับของหกเคล็ดวิชาพิเศษที่คนยังไม่รู้ ประมุขไป๋ก็ไม่ได้บอกพวกเรา ตอนนี้สามารถแน่ใจได้ ว่าคนพวกนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับประมุขไป๋แน่นอน ไม่อย่างนั้นจะรู้จักวิชาลับในการต้านทานหมอกโฉมงามอาภัพได้ยังไง”
ในหมอกสีเลือด เหมียวอี้ที่เหาะมาตลอดทางเปิดตาทิพย์อีกครั้ง เมื่อเล็งตำแหน่งแม่นแล้วก็ค่อยๆ เหาะลงไปสำรวจบนยอดเขาที่สลักลายค่ายกลอีกครั้ง จนกระทั่งเหยียบลงพื้นอย่างมั่นคงและไม่เห็นค่ายกลตอบสนองกลับ เขาถึงได้วางใจลงเล็กน้อย
ยอดเขาที่โดนตัดราบน่าจะมีพื้นที่ประมาณหนึ่งหมู่[1] เหมียวอี้ที่กวาดตามองรอบๆ เก็บดวงตาอิทธิฤทธิ์เพื่อไม่ให้สูญเสียพลังอิทธิฤทธิ์มากเกินไป ขณะที่เหลียวซ้ายแลขวาเขาก็วนอ้อมยอดเขาหลายรอบ สุดท้ายก็ไปยืนอยู่ใต้เสาผลึกแดงตรงกลางแล้วเงยหน้ามองขึ้นไป
เสาใหญ่หยาบเท่าต้นขา และมีความสูงประมาณหนึ่งจั้ง
นี่ใช่แกนค่ายกลหรือไม่ เหมียวอี้ไม่มีทางแน่ใจได้ เขายื่นมือไปลูบบนเสาผลึกแดงพร้อมร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดู
ถ้าไม่ตรวจดูคงไม่รู้ พอได้ตรวจแล้วเหมียวอี้ก็ค้นพบทันทีว่าเสาผลึกแดงนี้ไม่ได้ยาวแค่ที่เห็นจากภายนอกเท่านั้น ยังมีอีกประมาณสิบจั้งที่ปักอยู่ใต้ดิน
เมื่อร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจสภาพภายในเสา ก็รู้สึกได้ถึงพลังลึกลับกลุ่มหนึ่งทันที ตามเส้นชีพจรที่พลังงานกระจายออกมา ภาพภาพหนึ่งก็ปรากฏอยู่ในหัวเขาอย่างรวดเร็ว เป็นภาพเหมือนที่แผ่กระจายออกมาจากสัมผัสมือ ภาพที่ก่อตัวกันเป็นใยแมงมุมประหลาดยิงเข้ามาในหัวเขา เป็นเส้นสายน้ำและภูเขาที่อยู่ใกล้ๆ นี่เอง และเป็นภาพค่ายกลที่เหมียวอี้เห็นจากที่สูงตอนใช้ตาทิพย์มองด้วย
พลังลึกลับกลุ่มนั้นขยายออกไปตามสายน้ำและภูเขาที่เหมือนใยแมงมุม เหมียวอี้รู้สึกได้รางๆ ถึงการโคจรของดาวเคราะห์ทั้งดวง แรงโคจรเหมือนจะสะท้อนกลับจากแกนดาวเคราะห์มาบนเสาต้นนี้ และเสาต้นนี้ก็ทำให้กลายเป็นพลังลึกลับกระจายไปที่สายน้ำและภูเขาที่โยงเหมือนใยแมงมุม แผ่รังสีไปทั้งดาวเคราะห์ หมุนวนซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น เกิดขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่หยุดหย่อน และเสาต้นนี้ก็เหมือนจะเป็นจุดศูนย์กลางการโคจรของดาวเคราะห์ทั้งดวง
ต่อให้เหมียวอี้จะไม่เข้าใจว่าเป็นค่ายกลอะไร แต่ก็สามารถตัดสินได้ว่าเสาผลึกแดงต้นนี้ก็คือแกนค่ายกลของค่ายกลใหญ่ ถ้าถอนเสาต้นนี้ออก ค่ายกลที่อาศัยเสาต้นนี้เป็นพลังงานศูนย์กลางรับน้ำหนักก็จะพังทลายแน่นอน
เหมียวอี้แอบทึ่งในใจไม่หยุด วันนี้เขาเพิ่งจะได้รับรู้ถึงความมหัศจรรย์ของค่ายกลอย่างแท้จริง ที่จริงค่ายกลยังสามารถอาศัยยาเจี๋ยตันมาเป็นพลังงานได้ อาศัยพลังงานจากดวงดาวที่หมนุรอบตัวเองโดยตรงก็สามารถวางค่ายกลได้แล้ว ตราบใดที่ดวงดาวไม่พังทลาย สามารถหมุนวนอยู่ในดาราจักรต่อไป ค่ายกลก็ยังจะสามารถคงอยู่ตลอดไปได้
สามารถอาศัยพลังดวงดาวเพื่อวางค่ายกลได้ ชัดเจนว่าประมุขไป๋คนนี้เก่งกาจสมคำร่ำลือจริงๆ! ในใจเหมียวอี้มีแค่ความทึ่งและเลื่อมใสนับถือ
ในหัวมีเค้าโครงของค่ายกลแล้ว เหมียวอี้รู้แล้วว่าจะทำลายค่ายกลนี้อย่างไร เขาใช้สองมือกอดเสาผลึกแดงไว้ แล้วออกแรงถอน
อาศัยวรยุทธ์ของเขาเพียงพอที่จะผลักภูเขาคว่ำทะเลได้ แต่ใครจะคิดว่าเสาต้นนั้นกลับไม่ขยับเลยสักนิดราวกับเป็นเข็มเทพใต้ทะเล ต่อให้เขาออกแรงเต็มที่ก็ไม่สามารถถอนเสาขึ้นมาได้
หลังจากออกแรงหลายครั้งแล้วไม่ได้ผล เหมียวอี้ก็ร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจดู จากนั้นถึงได้เข้าใจ ว่าแรงโคจรของทั้งดาวเคราะห์ถูกกำหนดไว้บนเสาต้นนี้ มันดูดเสาต้นนี้ไว้อย่างมั่นคง การที่ตัวเองฝืนดึงแบบนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการต่อต้านกับแรงโคจรของดาวเคราะห์ทั้งดวง อาศัยพลังอย่างเขาจะถอนขึ้นมาได้อย่างไร
…………………………
[1] หมู่(亩) คือหน่วยวัดของจีน มีขนาดประมาณ 666.667 ตารางเมตร
บทที่ 1226 ทำลายค่ายกล
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อวิธีการนี้ไม่ได้ผล เหมียวอี้ก็เปลี่ยนวิธีการทันที ใช้กำปั้นทุบที่ผิวดินหนึ่งครั้ง
บึ้ม! เสียงระเบิดดังขึ้น เสียงเหล็กและโลหะกระทบกันดังก้องไปทั่วสารทิศไม่หยุด ผิวดินเกิดเป็นปากแอ่งเหมือนชามใบหนึ่ง
เหมียวอี้ที่กำลังกำหมัดอึ้งเล็กน้อย มองดูหมัดของตัวเองที่กำแน่น นึกไม่ถึงว่าผิวดินจะแข็งแกร่งขนาดนี้ อาศัยวรยุทธ์ของตนไม่น่าเชื่อว่าจะโจมตีจนเกิดเป็นแอ่งเหมือนปากชามเท่านั้น
หลังจากอึ้งครู่หนึ่ง ก็พบว่าหลังจากที่นี่โดนร่ายอิทธิฤทธิ์วางค่ายกลแล้ว การบีบอัดที่แรงโคจรดาวเคราะห์นำพามาก็ทำให้มันเกาะตัวกันอย่างแข็งแรงทนทาน ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางที่จะดูดเสาต้นนั้นไว้อย่างแน่นหนาจนตนถอนขึ้นมาไม่ไหว
บอกสะบัดมือหนึ่งครั้ง ทวนเกล็ดย้อนก็มาอยู่ในมือแล้ว ปั้ง! พอแทงทวนไปที่ผิวดิน ก้อนหินก็พังกระจายปลิวว่อน
เขาลองมองดู พบว่าการใช้อาวุธได้ผลดีกว่าใช้มือเปล่าอย่างเห็นได้ชัด รูขนาดเท่าเตาไฟปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว
เหมียวอี้เงยหน้ามองเสาผลึกแดง ข้างล่างยังลึกอีกสิบจั้ง ถ้าขุดลงไปแบบนี้เกรงว่าต่อให้ใช้เวลาหนึ่งวันก็ขุดขึ้นมาไม่ได้
เพี้ยะ! เขายกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเอง เหมือนนึกอะไรขึ้นได้แล้ว เขาเก็บทวนเกล็ดย้อน แล้วโบกมือโยนตั๊กแตนตัวหนึ่งออกมาทดลอง สังเกตการณ์ว่าหมอกสีแดงนี้จะทำให้ตั๊กแตนมีความผิดปกติอะไรหรือไม่ เขาเองก็ไม่กล้าแน่ใจว่าหมอกเลือดของที่นี่เหมือนกับที่พิภพเล็กทุกอย่างหรือเปล่า ถึงอย่างไรหมอกเลือดของที่นี่ก็ไม่เกิดปรากฏการณ์เปลี่ยนสีขาวสลับแดง
ผลลัพธ์ไม่เลวเลย หมอกเลือดของที่นี่ไม่ทำให้ตั๊กแตนได้รับผลกระทบใดๆ เขาจึงปล่อยตั๊กแตนสามสิบห้าตัวที่พกมาด้วยออกมาทั้งหมดทันที
ก่อนที่จะมาเดิมทีอวิ๋นจือชิวอยากจะให้เหมียวอี้พกตั๊กแตนแปดสิบห้าตัวมาไว้ป้องกันตัว แต่เหมียวอี้รู้สึกว่าถ้าพกมาสามสิบห้าตัวแล้วยังใช้ประโยชน์ไม่ได้ การพกมาแปดสิบตัวห้าก็ไม่มีประโยชน์อะไรเหมือนกัน ตอนนี้ตั๊กแตนฝูงนั้นคุ้นคยกับวิธีการเลี้ยงในปัจจุบันแล้ว ต่อให้เหมียวอี้ไม่อยู่แล้ว แต่ก็ยังสามารถทิ้งไว้ให้พวกอวิ๋นจือชิวทำเป็นต้นทุนเพื่อตั้งหลักตั้งตัวได้
ใช้พลังจิตเป็นสื่อนำ พอโบกมือชี้ไปที่ผิวดิน ตั๊กแตนสามสิบห้าตัวก็เริ่มไปล้อมทำงานรอบๆ เสาผลึกแดงอย่างรวดเร็ว ใช้ทั้งฟันแหลมและกรงเล็บคม ออกแรงขุดลงไป ประสิทธิภาพในการขุดไม่เลวเลย ไม่นานก็ทำให้ผิวดินที่แข็งแกร่งทนทานกลายเป็นรูเหมือนรังต่อแล้ว ตั๊กแตนสามสิบห้าตัวมุดลงไปใต้ดินทั้งหมด มีเสียงขุดดังฉ่าๆ ขึ้นมาด้านบน
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม เหมียวอี้ที่ตรวจดูความคืบหน้าไม่หยุดก็เห็นว่าขุดใกล้จะถึงโคนของเสาผลึกแดงแล้ว ขณะกำลังจะทดลองว่าสามารถถอนเสาขึ้นมาได้หรือไม่ ตอนที่มือเพิ่งจะสัมผัสเสาสีหน้าเขาก็พลันเปลี่ยนไป
รู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงกลิ่นอายลึกลับที่พรั่งพรูออกมาจากรูที่ตั๊กแตนสามสิบห้าตัวขุด ผิวดินมีการสั่นไหวเล็กน้อย ขณะที่สั่นไหวก็ปรากฏให้เห็นรอยแยกรางๆ
เหมียวอี้ตกใจทันที พอโบกมือ ตั๊กแตนสามสิบห้าตัวก็บินออกจากรูอย่างรวดเร็ว
เหมียวอี้ที่เก็บตั๊กแตนแล้วรีบหนีขึ้นมากลางอากาศ แทบจะเป็นชั่วพริบตาเดียวที่เท้าของเขาออกจากพื้น ด้านล่างก็มีเสียงดินแยกเป็นวงกว้าง ผิวดินพลันปรากฏเป็นร่องรอยแยก บ้างก็จมลงบ้างก็พลิกขึ้น
ได้รับผลกระทบจากหมอกสีเลือด เหมียวอี้ที่ลอยขึ้นมาบนฟ้ามองไม่เห็นภาพเหตุการณ์อยู่ข้างล่างชัดเจน
โครม!
เสียงภูเขาถล่มแผ่นดินแยกด้านล่างดังขึ้นอย่างกะทันหัน ตาทิพย์ตรงหว่างคิ้วถูกเปิดใช้อีกครั้งทันที เสาแสงสายหนึ่งยิงออกมา กวาดมองความเปลี่ยนแปลงด้านล่าง
เห็นแท่นราบบนยอดเขาพลังทลายแล้ว เสาผลึกแดงต้นนั้นปักเอียงอยู่ด้านบน ยอดเขาที่สูญเสียสมดุลในการรับแรงเหมือนจะได้รับการบีบอัดจากพลังงานประหลาดกลุ่มหนึ่ง ภูเขาที่ใหญ่โตขนาดนี้กำลังถูกบีบอัดให้ลอยสูงขึ้นด้วยความเร็วที่ตาเปล่าสามารถมองเห็นได้
ภูเขาและสายน้ำรอบๆ ยอดเขาที่แผ่ขยายพลังเป็นรูปใยแมงมุมบิดเบี้ยวเสียงดังครืนราวกับมังกรที่ตัวขาด มันเหมือนฟื้นคืนชีพกลับมาอีกครั้ง รอยแยกหลายสายบิดเบี้ยว แต่ละสายโค้งขึ้นและพังทลายลงมา ฝุ่นดินที่ตลบอบอวลไหลกลิ้งขึ้นไปรวมกับหมอกสีเลือด
“วูบ…วูบ…”
ผิวดินเพิ่งจะเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน จู่ๆ บนท้องฟ้าก็มีเสียงลมพายุรุนแรง หมอกสีเลือดที่มืดฟ้ามัวดินกระเพื่อมม้วนกลิ้งอย่างรุนแรง เหมียวอี้ที่ไม่รู้ว่าผลที่ตามมาเป็นอย่างไรรีบหันมองไปรอบๆ
บนท้องฟ้าสูง กลุ่มโจรกบฏก็ได้ยินเสียงแผ่นดินแยกภูเขาถล่มด้านล่างเช่นกัน ขณะกำลังเงี่ยหูตั้งใจฟัง จู่ๆ ลมพายุก็พัดขึ้นมา ตามติดด้วยกระแสลมรอบข้างที่ค่อยๆ รุนแรงขึ้น ลมพายุพัดอย่างบ้าคลั่ง หมอกสีเลือดที่อยู่ด้านล่างเหมือนจะสูญเสียการควบคุม จู่ๆ ก็ทำลายขีดจำกัดที่รักษาไว้อย่างมั่นคง หมอกพ่นออกมาจากทั่วทุกทิศ
ทุกคนตกใจทันที ไม่ใช่แค่โดน ‘หมอกโฉมงามอาภัพ’ พ่นขึ้นมาใส่เท่านั้น พวกเขารีบรวมกลุ่มกันเหาะขึ้นท้องฟ้าสูง ไปที่ดาราจักรเพื่อจ้องมองการเปลี่ยนแปลงอันฉับพลันของดาวเคราะห์ข้างล่าง
ไม่มีใครพูดอะไร กลุ่มโจรกบฏรวมทั้งขุนพลใหญ่หกลัทธิจ้องมองการเปลี่ยนแปลงของดาวเคราะห์ด้านล่างอย่างตาไม่กะพริบ
“รีบดูสิ!” จู่ๆ ก็มีบางคนชี้ไปที่ดาวเสริมสิบดวงที่เหลือ
ขุนพลใหญ่หกลัทธิรีบกวาดสายตามองซ้ายมองขวา ไม่ใช่แค่ดวงที่อยู่ใต้เท้าเท่านั้น ดาวเสริมที่เหลืออีกสิบดวงก็เกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่เช่นกัน ความเคลื่อนไหวแรกที่ปรากฏสู่สายตาก็คือหมอกสีเลือดพัดม้วนอย่างรุนแรง
ผ่านไปไม่นาน ‘หมอกโฉมงามอาภัพ’ ที่ปกคลุมอยู่บนดาวเสริมสิบเอ็ดดวงก็สูญเสียการควบคุมพร้อมกัน ทั้งหมดพ่นทะลักขึ้นมาราวกับไอน้ำที่อยู่บนลังถึง ราวกับมีดอกไม้สีเลือดสิบเอ็ดดอกเบ่งบานอยู่ในดาราจักร งดงามน่าประทับใจ โอ่อ่าอลังการ!
พอหมอกเลือดมาถึงดาราจักร มันก็สลายให้ไปอย่างช้าๆ
หมอกสีเลือดที่อยู่บนดาวรองตรงกลางก็พัดม้วนอย่างรุนแรงเช่นกัน แต่กลับไม่ได้พ่นขึ้นมาเหมือนหมอกที่อยู่บนดาวเสริม แต่หดลีบลงทีละนิด หดลงเร็วมากอย่างเห็นได้ชัด ค่อยๆ มียอดเขาสีดำขลับที่ถูกหมอกสีเลือดปกคลุมมาหนึ่งแสนกว่าปีโผล่ออกมาท่ามกลางหมอกเลือด
สายตาของกลุ่มโจรกบฏไปรวมอยู่บนดาวรอง มีคนไม่น้อยทำสายตาตื่นเต้นฮึกเหิม
ทว่าความเปลี่ยนแปลงบนดาวรองกลับไม่ได้เป็นไปตามที่พวกเขาคาดหวัง ยังไม่ทันเห็น ‘หมอกโฉมงามอาภัพ’ สลายไปหมด เพียงหดหายไปส่วนหนึ่งเท่านั้น ยอดเขาโผล่ออกมาให้เห็นไม่น้อยเลย สถานการณ์บนดาวรองนิ่งสงบลงเร็วมาก ยังคงมีหมอกเลือดผืนใหญ่ปกคลุมอยู่ การเปลี่ยนแปลงที่ดุเดือดรุนแรงกลับสู่ความสงบ
กลับมามองดาวเสริมสิบเอ็ดดวงนั่น หมอกเลือดเหมือนจะสูญเสียความสามารถในการสร้างและเกิดใหม่ สีสันขอมันอ่อนจางลงทีละนิด บนดาวเคราะห์ที่ถูกหมอกเลือดปกคลุมมาหลายปีเริ่มมีทัศนวิสัยที่แจ่มชัดแล้ว
รอไม่นานเกินไป ดาวเคราะห์สิบเอ็ดดวงที่เปลี่ยนสีเป็นดำมืดปรากฏตรงหน้าทุกคนอีกครั้ง
เหมียวอี้ที่จ้องมองการเปลี่ยนแปลงรอบข้างอย่างไม่ละสายตาเห็นว่าสภาพแวดล้อมสว่างแจ่มชัดแล้ว หลังจากหมอกเลือดหายไปโดยสิ้นเชิง เขาก็โยนปลาปิ้งอีกตัวออกมา เมื่อเห็นว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลง ถึงได้ค่อยๆ ใช้นิ้วมือแหย่ออกมานอกเพลิงดาราเพื่อทดสอบ ทำให้พบว่าไม่มีผลกระทบด้านร้ายใดๆ
เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่เจ็บไข้ได้ป่วย เหมียวอี้ถึงได้เก็บเพลิงดาราที่ปกป้องร่างกายจนหมด แล้วโบกมือปล่อยพวกอวิ๋นอ้าวเทียนออกมา
ทั้งห้าคนลอยอยู่บนฟ้าและหันมองโลกที่สดใสรอบข้าง เห็นดวงอาทิตย์ส่องลงมาตามปกติ พื้นดินภูเขาและสายน้ำสีดำคดเคี้ยวและสูงต่ำไม่เสมอกัน มีเพียงยอดเขาใต้เท้าที่ยังลอยสูงขึ้นต่อไป เห็นได้ชัดว่าการเปลี่ยนแปลงของแรงดันที่อยู่ใต้ดินยังคงปรับสมดุลที่เสียไป
“ทำลายค่ายกลแล้วเหรอ?” อวิ๋นอ้าวเทียนถาม
“น่าจะทำลายไปแล้วมั้ง”
เหมียวอี้ที่ตอบอย่างไม่ใส่ใจถลันตัวลงมาท่ามกลางสายตาตกตะลึงของทั้งห้าคน เสาผลึกแดงที่เอนเอียงอยู่บนยอดเขาถูกดึงขั้นมาโดยตรง ในบ้านเลี้ยงผู้หญิงไว้เป็นโขยง เขาต้องหาเงินหาทองไปเลี้ยง!
พวกอวิ๋นอ้าวเทียนทำสีหน้าไม่ถูก คาดว่าว่าเจ้าหมอนี่คงร่ำรวยอีกแล้ว
บังเอิญว่าขุนพลใหญ่หกลัทธินำกำลังพลเหาะลงมาจากฟ้าพอดี กลุ่มคนได้แต่มองดูเหมียวอี้อุ้มเสาผลึกแดงที่ยาวสิบกว่าจั้งขึ้นมา
เมื่อเห็นกลุ่มโจรกบฏจ้องตัวเองอยู่ เหมียวอี้ที่เก็บเกี่ยวอะไรได้นิดหน่อยก็เหาะกลับขึ้นไปบนฟ้า แล้วยิ้มแห้งพร้อมบอกว่า “ถ้าโดนกลบฝังทิ้งไปก็น่าเสียดาย”
ตอนนี้ขุนพลใหญ่หกลัทธิไม่สนใจสิ่งนี้เลย ในใจรู้สึกตื่นเต้นฮึกเหิมมาก แต่ภายนอกกลับมองไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงใดๆ เมิ่งหรูจ้องยอดเขาด้านล่างที่ยังคงผุดขึ้นมาเสียงดังโครมคราม พร้อมถามว่า “ค่ายกลยังพังไม่หมดเหรอ?”
“น่าจะพังลงแล้ว คาดว่าพลังงานใต้ดินเสียสมดุล เลยกำลังปรับตัวอยู่ รอให้พลังงานสมดุลแล้ว มันก็น่าจะหยุด” เหมียวอี้ตอบ
เมิ่งหรูบอกว่า “หมอกโฉมงามอาภัพบนดาวเสริมสิบเอ็ดดวงหายไปหมดแล้ว บนดาวรองมีความเปลี่ยนแปลงไม่มาก เกรงว่ายังต้องรบกวนให้เจ้าไปดูสักหน่อย” คำพูดฟังดูสุภาพเกรงใจขึ้นไม่น้อยเลย
“ก็ได้!” เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวเราะ จากนั้นก็ไอแห้งๆ แล้วพูดเบี่ยงประเด็น “สมุนไพรเซียนซิงหัวเป็นของดีสำหรับของเยียวยารักษา บนดาวเคราะห์นี้เหมือนจะมีไม่น้อยเลย”
พวกอวิ๋นอ้าวเทียนแอบด่าในใจ เวลาแบบนี้ยังคิดจะแสวงหาความร่ำรวยอีก
“ทหาร! ไปเก็บรวบรวมสมุนไพรเซียนซิงหัวบนดาวเคราะห์ดวงนี้มา” สืออวิ๋นเปียนที่อยู่ข้างๆ ออกคำสั่งทันที แล้วหันกลับมาบอกเหมียวอี้ว่า “ขอเพียงสามารถช่วยชีวิตประมุขขุนพลทั้งหกออกมาได้ สมุนไพรเซียนซิงหัวบนดาวเคราะห์ดวงนี้ก็จะเป็นของเจ้าทั้งหมด ตอนนี้ไปดูบนดาวรองกันเถอะ”
เหมียวอี้จะย่อมปล่อยไปได้อย่างไร เขาวางแผนไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ถ้าทำลายค่ายกลนี้ได้ก็ทำลาย ถ้าทำลายไม่ได้ก็จะหลบอยู่ใน ‘หมอกโฉมงามอาภัพ’ และหาทางขอความช่วยเหลือ ในเมื่อตอนนี้มันถูกทำลายแล้ว ขั้นต่อไปที่จะเขาจะทำก็คือเตรียมหาประมุขขุนพลทั้งหกที่โดนขัง หลังจากได้สมบัติที่ซ่อนมาแล้ว ก็ค่อยฉวยโอกาสจับตัวประมุขขุนพลทั้งหกเป็นตัวประกัน ใช้ชีวิตของประมุขขุนพลทั้งหกเพื่อปกป้องให้ตัวเองออกไปจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัย
คนอื่นยังไม่รู้เรื่องที่ประมุขไป๋ซ่อนสมบัติเอาไว้ แต่เหมียวอี้กลับมีประสบการณ์ การจับตัวประกันจะต้องสำเร็จแน่นอน สามารถจับมาไว้ในมือเพื่อบีบจุดอ่อนได้โดยตรง ไม่ต้องใช้ความพยายามมากเท่าไร
พอเป็นแบบนี้ เขายังจะรอให้ช่วยประมุขขุนพลทั้งหกออกมาก่อนแล้วค่อยให้อีกฝ่ายเก็บสมุนไพรเซียนซิงหัวได้อย่างไร ถ้ากลางคืนยาวนานกลัวฝันจะเปลี่ยนแปลง ย่อมต้องนำของมาไว้ในมือตอนนี้อยู่แล้ว เพราะถ้าได้ตัวประกันมาแล้ว เขาก็จะหนีไปทันที ไม่อยู่ตรงนี้นาน
เหมียวอี้จึงทำสีหน้าจริงจังพร้อมบอกว่า “ตอนทำลายค่ายกลเมื่อครู่นี้เสียพลังอิทธิฤทธิ์ไปเยอะมาก จิงชี่เสินก็เสียไปเยอะเช่นกัน ข้าต้องพักผ่อนและฟื้นฟูจิงชี่เสินสักหน่อย ไม่สู้ถือโอกาสนี้เก็บสมุนไพรเซียนมาก่อนดีมั้ย…” เขาทำสีหน้าเหมือนบอกว่า ‘เจ้าคงเข้าใจนะ’
ขุนพลใหญ่หกลัทธิมองหน้ากันครู่หนึ่ง จกานั้นสืออวิ๋นเปียนก็มองเหมียวอี้ด้วยแววตาแฝงความหมายลึกซึ้ง แล้วหันหน้าช้าๆ กลับมาสั่งว่า “ไปจัดการ!”
“ขอรับ!” มีคนเอ่ยรับคำสั่งแล้วไปจัดการ
ผ่านไปไม่นาน ที่ด้านนอกท้องฟ้าก็มีกลุ่มโจรกบฏเหาะมาอย่างหนาแน่น เริ่มค้นหาสมุนไพรเซียนซิงหัวบนดาวเสริมดวงนี้
ส่วนเหมียวอี้ก็นั่งขัดสมาธิบนพื้น
หลังจากนั้นหลายวัน กำลังพลกลุ่มใหญ่ที่เก็บสมุนไพรเซียนซิงหัวก็มารวมตัวกันจากทั่วสารทิศ แล้วยื่นกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งในสืออวิ๋นเปียน
สืออวิ๋นเปียนดูของที่อยู่ในกำไลเก็บสมบัติ จากนั้นก็โยนให้ตรงหน้าเหมียวอี้ที่กำลังนั่งขัดสมาธิ “ได้ของที่เจ้าต้องการมาแล้ว เจ้าคงจะฟื้นตัวพอสมควรแล้วใช่มั้ย?”
เหมียวอี้เก็บกำไลเก็บสมบัติขึ้นมาร่ายอิทธิฤทธิ์ดู ของที่อยู่ข้างในเป็นประกายจนตาพร่า ทำให้คิ้วของเขากระตุกอย่างแรง!
ถึงแม้จะไม่แน่ใจว่าพวกเขานำสมุนไพรเซียนซิงหัวทุกต้นบนดาวเคราะห์ส่งมาให้ตนหมดหรือเปล่า แต่สิ่งที่อยู่ในกำไลเก็บสมบัติก็มีมากพอแล้ว ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ถ้ามาคิดเล็กคิดน้อยว่าได้หรือเสียไม่มีความหมายเหมือนกัน
แต่ในเมื่อแสดงละครแล้วก็อย่าแสดงให้แย่เกินไป ถ้าได้ของมาแล้วฟื้นตัวทันทีก็จะฟังไม่ขึ้น จึงถอนหายใจแล้วตอบว่า “ให้ข้าพักผ่อนอีกสักวันหนึ่งก็พอ” จากนั้นก็เก็บกำไลเก็บสมบัติเอาไว้อย่างเนียนๆ
สมุนไพรเซียนซิงหัวของทั้งดาวเคราะห์เชียวนะ! พวกอวิ๋นอ้าวเทียนมองดูเขาเก็บกำไลเก็บสมบัติ แต่ละคนเริ่มด่าในใจอย่างบ้าคลั่ง ไม่รู้ว่าเจ้าเวรนี่กอบโกยได้เท่าไรแล้ว ดูจากท่าทางก็คงจะได้ร่ำรวยอีกแล้ว
ทั้งห้านับว่าเข้าใจแล้วว่าอะไรเรียกว่า ‘พุงแตกตายจะกล้าหาญ หิวตายจะขี้ขลาด’ การที่พวกเขาห้าคนปล้นผู้บัญชาการตลาดสวรรค์สามคนก็รู้สึกเสี่ยงตายแล้ว ปรากฏว่ายังเจอคนที่ใจกล้ายิ่งกว่า ภายใต้เหตุการณ์แบบนี้ ใครบางคนกำลังทำตัวเหมือนถอนฟันในปากเสือจริงๆ
…………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น