กระบี่จงมา - ตอนที่ 122.2-123.2

 ตอนที่ 122.2

 

วิชาสายฟ้าจับปีศาจ

โดย

ProjectZyphon

นักพรตเต๋าตาบอดไม่ตอบรับและไม่ได้ปฏิเสธ เขาพลันเงยหน้าขึ้น ยกนิ้วทำมุทรา สีหน้าไม่ตกตะลึงกลับยินดี “ฟ้าเปลี่ยนแล้ว กลิ่นอายปีศาจเข้มข้นยิ่งนัก ถึงขนาดทำให้บรรยากาศของพื้นที่แถบหนึ่งเปลี่ยนแปลงได้! ดีๆๆ ในที่สุดก็ล่องูออกจากรูได้แล้ว จิ่วเอ๋อร์น้อย เตรียมไปกำจัดมารผดุงคุณธรรมพร้อมอาจารย์!”


แม่นางน้อยพยักหน้ารับอย่างแรก เผชิญหน้ากับภูตผีปีศาจที่ชาวบ้านล่างภูเขาได้ยินชื่อแล้วต้องหน้าเปลี่ยนสี นางกลับไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย


แม่นางน้อยควักมีดเล่มเล็กสีเงินยาวไปเกินชุ่นกว่าเล่มหนึ่งออกมา ม้วนชายแขนเสื้อขึ้น เตรียมจะใช้มีดกรีดลงบนแขนของตัวเอง เอ่ยถามว่า “อาจารย์ จะใช้ยันต์น้ำพุตอนนี้เลยหรือไม่?”


นักพรตเต๋าชราพยักหน้ารับ “ถึงแม้ว่าอาจารย์ยังมีเหลืออยู่อีกเล็กน้อย แต่กันไว้ดีกว่าแก้ เอามาก่อนสักเล็กน้อย อาจารย์จะได้เตรียมไว้ก่อน หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกปีศาจเล่นงานจนทำอะไรไม่ถูก ถึงเวลานั้นกลับจะเป็นการทำร้ายพวกเจ้าสองพี่น้อง”


แม่นางน้อยสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ใช้มีดเล่มเล็กกรีดลงบนแขนตัวเองจนเกิดบาดแผลหนึ่งเส้น เลือดสดไหลทะลักออกมาทันควัน จึงรีบชูมือขึ้นสูง “อาจารย์ เรียบร้อยแล้ว”


นักพรตเต๋าตาบอดยื่นนิ้วมือขวานิ้วหนึ่งออกมา แบฝ่ามือข้างซ้ายอย่างคุ้นเคย จากนั้นใช้นิ้วมือวาดอักขระตัวหนึ่งกลางฝ่ามืออย่างรวดเร็ว แล้วจึงเปลี่ยนมือ กลางฝ่ามือขวาจึงมีอักขระยันต์ตัวหนึ่งเช่นกัน


แม่นางน้อยที่สีหน้าเริ่มซีดขาวขึ้นเรื่อยๆ ถามอย่างจริงจัง “อาจารย์ พอหรือไม่?”


นักพรตเต๋าชราหัวเราะร่า “ตอนนี้พอแล้ว อาจารย์จะให้ปีศาจใหญ่ที่ยึดครองภูเขาแห่งนี้ได้ลิ้มลองรสชาติของการโจมตีจากห้าอสนีซะบ้าง!”


บนทางเดินภูเขาที่ห่างจากอาจารย์และลูกศิษย์คู่นี้ไปประมาณหนึ่งลี้ เฉินผิงอันพลันหยุดเท้า ชูมีดผ่าฟืนขึ้นสูงให้สามคนด้านหลังระวัง


เห็นเพียงว่าห่างออกไปไกลมีเด็กหนุ่มในมือถือธงประหลาดคนหนึ่งกระโดดออกมาจากป่ารกทึบดุจวานรภูเขาที่ปราดเปรียว หันหลังให้กับพวกเฉินผิงอัน เมื่อเท้าของเด็กหนุ่มเหยียบลงบนเส้นทางภูเขา เขาก็โบกสะบัดธงแรงๆ อยู่หลายครั้ง จากนั้นจึงคิดจะเลียบไปตามเส้นทางภูเขาที่สะดวกต่อการวิ่งไปรวมตัวกับนักพรตเฒ่า ผลกลับกลายเป็นว่าเมื่อเด็กหนุ่มหันหน้ามากลับเห็นว่าบนเส้นทางมีพวกเฉินผิงอันยืนขวางอยู่ เด็กหนุ่มที่เหงื่อหลั่งรินเต็มสันหลังเริ่มร้อนใจ ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็กัดฟันเปลี่ยนความคิด แล้ววิ่งหนีลงไปทางด้านล่างของภูเขา เลือกจะอ้อมไปทางอื่น


ขณะเดียวกันเด็กหนุ่มก็ไม่ลืมทำมือบอกพวกเฉินผิงอันว่าให้รีบหนีไป


หลี่ไหวปากอ้าตาค้าง “นั่นเขาทำอะไร?”


หลินโส่วอีขมวดคิ้ว “น่าจะมีสิ่งชั่วร้ายบางอย่างไล่ล่าเด็กหนุ่มมา ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของความชั่วร้ายขุมหนึ่ง”


แล้วก็จริงดังคาด เรือนกายพร่าเลือนร่างหนึ่งที่ถูกห่อหุ้มด้วยควันดำตลบปั่นป่วนตามมาด้านหลัง พอเห็นพวกเฉินผิงอันก็หยุดชะงักอยู่ชั่วครู่ แผ่กลิ่นอายอึมครึมชวนน่าขนลุกเข้มข้น แต่สุดท้ายก็ยังเลือกจะตามเด็กหนุ่มขาเป๋ที่ถือธงผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว


เฉินผิงอันพูดกับหลินโส่วอี “ถามท่านผู้อาวุโสเทพหยินหน่อย เขาว่าอย่างไร?”


ครู่หนึ่งต่อมาหลินโส่วอีก็ตอบว่า “ผู้อาวุโสเทพหยินบอกให้พวกเราเดินทางต่อ ไม่ต้องรั้งรอ เขาจะคอยดูสถานการณ์ให้ แต่เขาก็พูดแล้วว่าตัวเองแค่รับผิดชอบหน้าที่คุ้มครองพวกเราไปส่งชายแดนต้าหลีเท่านั้น และเตือนพวกเราว่าเป้าหมายในการเดินทางครั้งนี้ของพวกเราคือเดินทางไปขอศึกษาต่อเท่านั้น ไม่ได้เป็นคนใจบุญที่ช่วยจับปีศาจปราบมาร เขาไม่หวังให้พวกเราหาเรื่องใส่ตัว”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “บอกกับผู้อาวุโสเทพหยินสักคำว่า ให้พลิกแพลงไปตามสถานการณ์ หากช่วยได้ก็ช่วย ช่วยไม่ได้ก็ไม่ต้องฝืน อีกอย่าง หลินโส่วอีเจ้าเองก็เตรียมยันต์สามแผ่นนั้นไว้ให้ดี หลังจากนี้เจ้ามาเป็นคนนำทาง ข้าจะคุมอยู่ด้านหลังขบวนเอง เป่าผิง หลี่ไหว จำไว้ว่าหากเจอกับภูตผีปีศาจตามคำเล่าลือจริงๆ ก็ไม่ต้องกลัว ยิ่งไม่ต้องลนลาน อย่าได้ทำเหมือน…ช่างเถอะ พวกเรารีบเดินทางกันต่อเถอะ!”


เดิมทีเฉินผิงอันคิดจะพูดว่าอย่าได้ทำเหมือนจูลู่ตอนอยู่บนภูเขาฉีตุนเด็ดขาด ทั้งๆ ที่มีตบะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสองขั้นสูงสุด แต่พอเจอกับงูขาวกลับไม่กล้าแม้แต่จะลงมือ


แต่พอนึกถึงประโยคที่อาเหลียงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า ‘ผู้ที่นินทาว่าร้ายคนอื่นลับหลัง ย่อมไม่ใช่คนดี’ เฉินผิงอันจึงกลืนคำพูดที่มารอตรงริมฝีปากกลับลงท้อง


หลินโส่วอีสีหน้าผ่อนคลายเป็นธรรมชาติ


ยันต์อันเป็นสมบัติก้นกรุที่สกุลหลี่ในเมืองเล็กเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีปึกนั้น สามแผ่นที่ระดับต่ำที่สุด ตอนนี้หลินโส่วอีพอจะนำมาใช้ได้อย่างกล้อมแกล้ม


แผ่นหนึ่งที่ชื่อว่าไข่มุกในอ่างคือยันต์น้ำ อีกแผ่นหนึ่งที่ชื่อว่าฝนไฟคือยันต์ไฟ สุดท้ายคือยันต์ทำลายอาคมอำพรางตาห้าขุนเขา ถือว่าอยู่ในขอบเขตของยันต์ภูเขา


แต่สิ่งที่หลินโส่วอีอาศัยอย่างแท้จริงกลับไม่ใช่ยันต์สามแผ่นที่มีอานุภาพมากน้อยไม่เท่ากัน แต่เป็นตัวของเขาเอง


เป็นวิชาสายฟ้าที่สืบทอดกันมาอย่างลับๆ ซึ่งบันทึกไว้ในตำรา ‘เหนือเมฆพร่างพราว’ เล่มนั้น


แต่แน่นอนว่าหลินโส่วอีไม่มีทางหาเรื่องใส่ตัว ทำให้ทุกคนต้องตกอยู่ในอันตรายเพียงเพราะแค่อยากทดสอบอานุภาพของพลังสายฟ้านี้แน่นอน


คนทั้งกลุ่มเดินหน้าต่อไปอย่างรวดเร็ว หลี่ไหวเดินพลางชูมือขึ้นสูง กล่าวคลางแคลงใจ “อยู่ดีๆ ก็ฝนตกหรือนี่? ทำไมไม่บอกไม่กล่าวกันสักคำ?”


ม่านฝนมืดครึ้มโปรยปราย ไม่ได้ตกกระหน่ำ แต่กลับทำให้บรรยากาศในป่าทึบเย็นและมืดมัวขึ้นหลายส่วน


เฉินผิงอันหยิบงอบสี่อันออกมาจากในตะกร้าด้านหลัง ทั้งหมดล้วนซื้อมาจากเมืองหงจู๋ ก็เพื่อเวลาที่ต้องเร่งเด่นทางท่ามกลางอากาศที่มีทั้งลมและฝนแบบนี้


หลังจากทุกคนสวมงอบไว้บนศีรษะแล้วก็ยังไม่หยุดเดิน ส่วนเฉินผิงอันก็คอยหันกลับไปมองด้านหลังเป็นระยะ


ห่างออกไปไกล นักพรตเต๋าชราหันหน้าเข้าหาเด็กหนุ่มขาพิการที่วิ่งตะบึงเข้ามาหาตนแล้วกล่าวกลั้วหัวเราะ “มาได้ดี! เจ้าสิ่งชั่วร้ายตัวน้อย รนหาที่ตาย! จงตายให้นักพรตผู้ต่ำต้อยเดี๋ยวนี้!”


นักพรตชราสาวเท้าเร็วรี่ ตบฝ่ามือที่วาดยันต์เข้าด้วยกัน จากนั้นจึงเอ่ยเตือนเด็กหนุ่มขาเป๋ “หมอบลง!”


เด็กหนุ่มกระโจนตัวมาด้านหน้า พลิกตัวกลิ้งตลบอยู่บนทางภูเขาที่มีแต่ดินโคลน


ฝ่ามือของผู้เฒ่าทอแสงสีทองเปล่งประกาย ทุกเส้นที่วาดขึ้นเป็นยันต์ล้วนส่องแสงสีทอง ฝ่ามือคล้ายจะมีเสียงฟ้าร้องดังแว่วรำไร


แสงสีทองนี้เมื่อมาปรากฏอยู่บนภูเขาเปลี่ยวร้างที่ถูกปกคลุมไว้ด้วยลมฟ้าลมฝนจึงสะดุดตามากเป็นพิเศษ


ควันดำด้านหลังเด็กหนุ่มหยุดชะงัก เพิ่งจะคิดถอยหนีก็ถูกแสงสีทองกระแทกเข้าใส่คล้ายถูกตาข่ายสีทองขนาดใหญ่ปกคลุมไปทั่วร่าง เสียงตาข่ายทองออกฤทธิ์ดังซี่ๆ เงาดำร้องโหยหวนไม่หยุด เพียงไม่นานก็สลายกลายเป็นควัน


เด็กหนุ่มค้อมตัวต่ำวิ่งไปหยุดอยู่ด้านหลังผู้เฒ่า หอบหายใจดังฮักๆ ปักธงเรียกวิญญาณลงไปบนพื้นดิน พอเห็นสีหน้าเป็นกังวลของแม่นางน้อยเขาก็ยิ้มกว้างส่ายหัว บอกให้รู้ว่าตัวเองไม่เป็นอะไร


เพียงฝ่ามือเดียวก็โจมตีให้สิ่งชั่วร้ายกลุ่มนั้นแหลกสลาย นักพรตเฒ่าจึงหัวเราะก้องอย่างเบิกบานใจ “เป็นเพียงสิ่งชั่วร้ายปลายแถวที่เกิดขึ้นมาจากซากโครงกระดูกก็ยังกล้ามาเผยโฉมต่อหน้านักพรตผู้ต่ำต้อยเช่นข้า?!”


ควันสีเทาเส้นหนึ่งลอยหายเข้าไปในธงผืนนั้นคล้ายถูกคนกระชากเข้ามา


ผู้เฒ่าทะยานร่างขึ้นกลางอากาศจากตำแหน่งเดิมที่ยืนอยู่ หมุนตัวมาพร้อมโบกมือ “มาๆๆ มากันให้หมด จะได้กลายมาเป็นผลบุญอันไร้ที่สิ้นสุดของนักพรตผู้ต่ำต้อย!”


สิ่งชั่วร้ายอีกตนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังเด็กหนุ่มและแม่นางน้อยถูกวิชาสายฟ้าในฝ่ามือของนักพรตเฒ่าตบจนแหลกสลายไปอีกครั้ง และไม่นานก็มีควันสีเทาอีกกลุ่มหนึ่งบินเข้าไปในธง


บนทางภูเขา ร่างของนักพรตเฒ่าหมุนซ้ายหมุนขวาขยับเคลื่อนฉวัดเฉวียน เปลี่ยนพลัดมือสองข้างไปมา บ้างตบ บ้างโบก ทุกครั้งต้องมีแสงสีทองเปล่งวูบวาบพร้อมเสียงฟ้าร้องครืนครั่น พลังอำนาจน่าตื่นตะลึง


ผู้เฒ่าหัวเราะกังวานอย่างสาแก่ใจ ท่ามกลางบรรยากาศมืดสลัวพร้อมเม็ดฝนโปรยปราย แสงสายฟ้าสาดสะท้อนใบหน้าแก่ชราของผู้เฒ่าตาบอดให้ดูดุดันน่าเกรงขาม มองดูแล้วเหมือนคนมีความสามารถในการปราบปีศาจกำจัดมารอยู่หลายส่วนจริงๆ “วิชาสายฟ้าของนักพรตผู้ต่ำต้อยเกรียงไกร มีหรือที่สิ่งชั่วร้ายอย่างพวกเจ้าจะต้านทานได้ไหว ปีศาจใหญ่ที่ทำลับๆ ล่อๆ ซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังตนนั้นยังจะส่งให้พวกเจ้ามาตายเปล่าอีกหรือ? รีบยอมแพ้ มอบทรัพย์สมบัติครึ่งหนึ่งมาให้เสียโดยดี ไม่แน่ว่าหากนักพรตผู้ต่ำต้อยเวทนาสงสารอาจจะยอมปล่อยเจ้าไปสักครั้ง!”


นับพันปีที่ผ่านมา วิชาสายฟ้าครองตำแหน่งวิชาสูงส่งอันดับต้นๆ ของหมื่นคาถาแห่งลัทธิเต๋า หากร่ายใช้เมื่อไหร่ก็ได้รับการยอมรับโดยทั่วกันว่ามีอานุภาพมหาศาล พลังอำนาจไม่อาจสกัดขวาง


เพียงแต่ว่าวิชาห้าอสนีที่ผู้คนเรียกขานกันนั้น นอกจากสำนักลัทธิเต๋าเพียงหยิบมือในแจกันสมบัติทวีปที่สามารถทำความเข้าใจได้อย่างถึงแก่นแท้แล้ว วิชาที่คนส่วนใหญ่ได้รับการสืบทอดมาล้วนไม่สมบูรณ์ หรือไม่ก็เป็นเพียงวิชาลอกเลียนแบบที่เหมือนแต่เพียงรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น ดังนั้นคนที่ร่ายใช้เวทคาถานี้จึงมักจะถูกพลังแว้งโจมตีกลับ นานวันเข้าพลังชีวิตก็จะแห้งขอด จนกระทั่งกลายมาเป็นสาเหตุที่ทำให้อายุขัยสั้น


ดังนั้นอาการตาบอดของนักพรตเฒ่าผู้นี้ต้องไม่ได้เป็นโรคที่มีมาตั้งแต่เกิดแน่นอน


ควันดำซัดตลบปั่นป่วนหลายกลุ่มที่เดิมทีพุ่งโฉบไปมาอย่างรวดเร็วท่ามกลางผืนป่ารอบเส้นทางภูเขาเริ่มหายไปทีละน้อย เสียงสะอึกสะอื้น เสียงร้องโหยหวน เสียงคำรามต่ำๆ ที่รวมกันเป็นเสียงน่าสะอิดสะเอียนชวนขนหัวลุกก็จางหายไป ทุกอย่างกลับคืนมาเป็นปกติ


แม่นางน้อยเอ่ยขึ้นเบาๆ “อาจารย์ ด้านหลัง มีโคมไฟมากมายถูกจุดขึ้น”


ผู้เฒ่าตาบอดหันกลับไป ‘มอง’ สัมผัสได้ว่าเส้นทางภูเขาทางทิศเหนือมีโคมกระดาษสีขาวหลายดวงปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่าและติดไฟขึ้นมาได้เอง มองดูคล้ายมังกรไฟตัวหนึ่งที่ลำตัวยาวนับร้อยนับพันจั้งค่อยๆ เลื้อยอยู่ท่ามกลางบึงใหญ่ของภูเขา


สีหน้าของผู้เฒ่าเคร่งเครียด ถูฝ่ามือเข้าด้วยกัน อักขระยันต์กลางฝ่ามือที่ใช้เลือดสดของลูกศิษย์หญิงเป็นดั่งชาดแดงถูกเผาผลาญไปพอสมควรแล้ว


ผู้เฒ่ายื่นมือไปชักกระบี่ไม้ท้อออกมาจากด้านหลัง ตั้งท่าเหมือนเจอกับศัตรูตัวร้าย


สตรีสวมชุดแต่งงานสีแดงสดคนหนึ่งเดินเนิบนาบเข้ามาใกล้ มือข้างหนึ่งของนางถือพัดกระดาษน้ำมัน เห็นได้ชัดว่าริมฝีปากของนางไม่ได้ขยับ แต่กลับมีเสียงวังเวงดังขึ้นข้างหูของอาจารย์และศิษย์สามคน “นักพรตท่านนี้เชิญวาดยันต์ต่อได้ตามสบาย จะวาดทั่วร่างเลยก็ได้ เชี่ยเซิน (คำเรียกอย่างถ่อมตัวของสตรีในสมัยโบราณ) รอได้ และหลังจากนี้เชี่ยเซินก็จะเชิญทั้งสามท่านไปเป็นแขกที่จวน ล้างหน้า ดึงเส้นเอ็น คว้านหัวใจให้พวกเจ้าสามคนด้วยตัวเอง”


ผีสาวชุดแดงมือถือพัดคล้ายจะสนใจแม่นางน้อยหน้ากลมมากที่สุด น้ำเสียงแหบพร่าของนางยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันนางก็ยื่นมือข้างหนึ่งขึ้นมาบังใบหน้าสีขาวหิมะเล็กๆ ของตัวเอง “ยกตัวอย่างเช่นการล้างหน้า ก็คืออย่างนี้”


นาทีถัดมาแม่นางน้อยหน้ากลมก็ตกใจจนหลับตาปี๋


ที่แท้พอผีสาวชุดแดงยกมือข้างที่ปิดหน้าออกแล้วปาดเบาๆ หนึ่งที ผิวหนังตลอดทั้งใบหน้าของนางก็เหมือนถูกกรีดแล้ว ‘ล้าง’ ให้หลุดออกมา เผยให้เห็นใบหน้าโชกไปด้วยเลือดสดน่าสยดสยอง

 

 

 


ตอนที่ 123.1

 

พบพานบนทางแคบ

โดย

ProjectZyphon

ในมือของผู้เฒ่าตาบอดถือกระบี่ไม้ท้อ ปลายกระบี่ชี้ไปยังผีสาวสวมชุดแต่งงาน “เจ้าเป็นปีศาจหรือเป็นผีกันแน่?!”


ผีสาวสวมชุดแต่งงานสีแดงสดบิดด้ามพัดเบาๆ นางที่ยืนอยู่บนเส้นทางภูเขาห่างไกลเพียงลำพังให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวแปลกแยก ตลอดทางที่นางเดินมา ชายกระโปรงเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบดินโคลน ไม่รู้ว่าทำไมนางถึงไม่ใช้คาถาปีศาจ ร่ายปรานสกปรกไร้รูปลักษณ์ในภูเขาให้มารวมตัวกันเป็นอาภรณ์ที่สะอาดเอี่ยมไร้ฝุ่นเกาะ ชุดแต่งงานสีแดงสดของนางชุดนี้เห็นได้ชัดว่าทอจากผ้าแพรของจริง ไม่แน่ว่าอาจเป็นฝีมือของช่างตัดเย็บล่างภูเขา


ตอนนี้มือข้างเดิมของผีสาวค่อยๆ เอาหนังหน้าทั้งแผ่นที่นางปลดลงก่อนหน้านี้แปะกลับไปช้าๆ เผยให้เห็นดวงหน้าซีดขาวดังเดิม ดวงหน้าของนางงดงามดุจดรุณีในห้องหอ หากไม่เป็นเพราะสีหน้าซีดเซียวเหมือนคนป่วย แท้จริงแล้วนางก็ไม่ต่างจากสตรีทั่วไปบนโลกมนุษย์ เมื่อนางขยับเข้ามาใกล้ในระยะประชิด แม้แต่นักพรตเต๋าชราก็ยังสัมผัสไม่ถึงกลิ่นอายปีศาจจากบนร่างของนาง


ปีศาจใหญ่ที่ฝึกตนจนประสบความสำเร็จประเภทนี้ เมื่อมาเดินอยู่ในหมู่คนธรรมดาก็แทบไม่มีอุปสรรคขัดขวางอะไรแล้ว ขอแค่ไม่เป็นฝ่ายขยับเข้าไปใกล้ศาลเทพอภิบาลเมืองหรือศาลบุ๋นบู๊สองแห่งก็ไม่มีทางถูกพลังอำนาจของกองกำลังใดในโลกมนุษย์สยบได้ แน่นอนว่าก่อนจะเป็นเช่นนั้น ปีศาจใหญ่ประเภทนี้ต้องยินยอมเก็บปราณ ระงับดวงจิตที่กระหายการเข่นฆ่า ไม่สร้างเรื่องก่อราวในโลกมนุษย์เสียก่อน


ผีสาวกระตุกมุมปาก ริมฝีปากยังคงไม่ขยับแต่เสียงดังขึ้นได้เองดังเดิม


“ท่านนักพรตมีปณิธานว่าจะกำจัดมารปราบปีศาจ สั่งสมคุณความดีไร้ที่สิ้นสุด ดังนั้นเชี่ยเซินจึงเผยกายแล้ว และเชี่ยเซินก็ยิ่งตั้งตารอในวิชาห้าอสนีของท่านนักพรต”


ในใจนักพรตเฒ่ายิ่งตกตะลึง เข็มทิศพลิกกลับที่ทั้งด้านในด้านนอกนับรวมกันได้สี่ชั้น แบ่งเป็นสอดคล้องกับภูตผีปีศาจ สัตว์ประหลาด สิ่งชั่วร้ายและเทพภูเขาเทพแม่น้ำกำลังหมุนคว้างอย่างบ้าคลั่ง นอกจากชั้นของสัตว์ประหลาดแล้ว ที่เหลืออีกสามชั้นต่างก็หมุนคว้างสั่นสะเทือนรุนแรง นี่หมายความว่าสถานะของสิ่งที่อยู่ตรงหน้านี้ซับซ้อนมาก มีความเป็นไปได้มากว่าตอนมีชีวิตอยู่อาจจะเป็นปีศาจใหญ่ที่ฝึกตนประสบความสำเร็จ เมื่อตายไปแล้วก็กลายมาเป็นผีร้ายที่อาละวาดอยู่ในพื้นที่แถบหนึ่ง ทว่าก่อนหน้าที่ตกสู่วิถีแห่งกัณหธรรมอย่างสิ้นเชิงได้มีคุณสมบัติที่จะเลื่อนขั้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำภูเขาและแม่น้ำเสียก่อน


นักพรตเฒ่าตาบอดร้องคร่ำครวญในใจไม่หยุด เทียบกับผีภูเขาตัวอันตรายในภูเขาซานจือนั่นแล้ว นี่รับมือยากกว่าไม่ใช่แค่ระดับสองระดับเท่านั้นเลย? ผู้เฒ่าพยายามรักษาสีหน้าให้ไม่แปรเปลี่ยนและไม่ให้หัวใจเต้นแรงเกินไป เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกผีสาวสัมผัสได้ถึงความร้อนตัวของตัวเอง เขาค่อยๆ เก็บกระบี่ไม้ท้อโดยการพลิกปลายแหลมลงเบื้องล่างเพื่อแสดงให้เห็นถึงเจตนาดี แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “แม้ว่าคุณหนูท่านนี้จะมีปราณปีศาจเปี่ยมไพศาล มีกลิ่นอายของผู้ที่เฝ้าพิทักษ์ครอบครองของพื้นที่แถบนี้ ช่างเป็นเกียรติที่นักพรตผู้ต่ำต้อยได้ใช้ใจมองท่าน เห็นได้ชัดว่าบนร่างของคุณหนูมีปราณสังหารน้อยมาก ทำบาปไม่มาก ต่อให้มีความอาฆาตล้อมวนอยู่รอบกาย แต่นั่นก็เป็นเพียงส่วนตกค้างของเมื่อหลายปีก่อน ไม่มีค่ามากพอให้พูดถึง นักพรตผู้ต่ำต้อยเป็นผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่งก็ถือว่าเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันกับคุณหนูครึ่งตัว เพราะน้ำเชี่ยวจึงชนปะทะวังพญามังกร (เปรียบเปรยว่าคนกันเอง ไม่ยอมรอมชอม จนต้องมาปะทะกันให้เกิดความเสียหาย) รบกวนการฝึกตนของคุณหนูแล้ว ผิดไปแล้ว ผิดไปแล้ว”


ผีสาวสวมชุดแต่งงานที่เงยหน้ามองไปบนร่มกระดาษน้ำมันอยู่ตลอดเวลาพลันถอนสายตากลับมาจ้องนักพรตเฒ่าที่เชี่ยวชาญวิชาสายฟ้าเขม็ง คราวนี้นางขยับปากพูดโดยตรง “คุณหนู? ไม่เห็นชุดของข้าหรือไร? เรียกข้าว่าฮูหยิน!”


สี่คำสุดท้ายผีสาวชุดแต่งงานแทบจะคำรามออกมา


พริบตานั้นฝนก็พลันเทกระหน่ำ ลมภูเขาพัดหวีดหวิวรุนแรง


เสียงฟุ่บดังขึ้นหนึ่งครั้ง


ผีสาวหุบร่มกระดาษน้ำมัน มือหนึ่งถือร่ม อีกมือหนึ่งลูบไปบนตัวร่มปาดน้ำฝนออกอย่างอ่อนโยน แต่ใบหน้าที่มองไปยังอาจารย์และศิษย์สามคนกลับบิดเบี้ยวไม่หยุด “เป็นคนตาบอดจริงๆ ด้วย เจ้าเฒ่าตาบอด! เจ้าสามารถใช้ใจมองได้ใช่หรือไม่ เชี่ยเซินจะพาเจ้าไปที่จวนพอดี ให้ตาเฒ่าจมูกสุนัขจิตใจต่ำช้าอย่างเจ้าได้รู้ซะบ้างว่าอะไรคือความเจ็บปวดราวหัวใจถูกคว้าน”


นักพรตเฒ่าพยายามคลายบรรยากาศตึงเครียด ถอนหายใจกล่าวว่า “เหตุใดฮูหยินต้องบีบคั้นกันถึงเพียงนี้เล่า? เรื่องนี้ไม่ถึงขั้นไร้หนทางให้แก้ไขไม่ใช่หรือ?”


ผีสาวเริ่มเดินไปข้างหน้าช้าๆ เหยียบลงกลางดินโคลนบนเส้นทางสายเล็กทีละก้าว มือหนึ่งถือร่ม อีกมือหนึ่งยกชายกระโปรงเผยให้เห็นรองเท้าปักลายดอกไม้ทั้งคู่ที่ทั้งเปียกชื้นและสกปรก นางยิ้มบางๆ “เวทคาถาไม่ลึกล้ำ แต่จองหองเจตนาชั่วร้าย ตายไปก็ดี ตายไปก็ดี วันหน้าจะได้ไม่ต้องเป็นตัวถ่วงการเล่าเรียนของหลางจวิน จะได้ไม่เป็นตัวถ่วงการสอบของเขา…”


พูดมาถึงช่วงท้าย น้ำเสียงของผีสาวแผ่วเบา สายตาอ่อนโยน ราวกับว่านั่นคือคำกระซิบกระซาบที่กำลังเอ่ยใครบางคน เมื่ออยู่ท่ามกลางลมฝนที่ซัดกระหน่ำก็ถูกกลบทับไปเสียสิ้น


ผู้เฒ่าตาบอดหัวเราะเสียงเย็น “ฮูหยินท่านนี้ คิดจะให้พังพินาศกันไปทั้งสองฝ่ายจริงๆ หรือ?”


เมื่อนักพรตเฒ่าเห็นว่าสถานการณ์อยู่ในขั้นไม่ตายไม่ยอมเลิกราแล้ว เขาเองก็ท่องพเนจรมาหลายสิบปี เดินทางไปเกือบครึ่งหนึ่งของบุรพแจกันสมบัติทวีป ไม่ใช่คนขี้กลัวอะไร จึงตวาดเบาๆ ว่า “เจ้าเป๋น้อย ขอแค่ครั้งนี้สามารถร่วมมือกันต้านศัตรูให้ถอยไปได้ นักพรตผู้ต่ำต้อยรับปากเจ้าว่าจะไม่ให้จิ่วเอ๋อร์น้อยต้องกรีดเลือดวาดยันต์น้ำพุอีกหนึ่งปีเต็ม”


เด็กหนุ่มขาเป๋พยักหน้ารับ ยื่นมือไปจับธงเรียกวิญญาณ “ปราบปีศาจจับผี กำจัดมารผดุงคุณธรรม” แล้วเอ่ยเสียงหนัก “พร้อมแล้ว”


ผู้เฒ่าตาบอดกระทืบลงไปบนพื้นแรงๆ หนึ่งครั้ง สิบนิ้วประกบทำท่าเวทกระทบี่ของลัทธิเต๋า ท่องคาถากระบี่ในใจอย่างรวดเร็วหนึ่งจบ สุดท้ายจบด้วยประโยคว่า “ข้าขออัญเชิญมา ณ บัดนี้”


เห็นเพียงว่าธงกวักวิญญาณที่ปักอยู่บนพื้น หน้าธงที่เดิมทีม้วนเข้าด้วยกันพลันสะบัดออกส่งเสียงพึ่บพั่บเหมือนรับลม อักษรแปดตัวด้านบนเปลี่ยนมาเป็นซีดจาง คล้ายนายทหารแปดคนสวมเสื้อเกราะสีเงินบนสมรภูมิรบที่เริ่มฟังคำบัญชาจากแม่ทัพ วิ่งไปวิ่งมาบนหน้าธง เข้าแถวจัดเรียงกันเป็นค่ายกลรบ


จากนั้นตัวอักษรสี่คำว่า “ปราบปีศาจจับผี” ก็วิ่งเลียบมาตามหน้าธง ท่อนไม้ กล้ามเนื้อช่วงแขนและไหล่ของเด็กหนุ่มขาเป๋ปูดนูนไล่ขึ้นมาเบื้องบนอย่างรวดเร็ว สุดท้ายแยกย้ายกันไปที่หูและจมูกสี่รูทวารของเด็กหนุ่ม


ดวงตาของเด็กหนุ่มเปลี่ยนเป็นสีขาวในชั่วพริบตา ทุกครั้งที่สูดลมหายใจเข้าออก ทวารทั้งเจ็ดบนใบหน้าล้วนมีควันดำล้อมววน


เด็กหนุ่มขาเป๋กำหมัดทั้งสองข้างแน่น แหงนหน้าร้องคำราม ควันดำซัดตลบไปทั่วร่าง เม็ดฝนขนาดเท่าเมล็ดถั่วเหลืองที่อยู่ห่างจากศีรษะเขาไปสามชื่อถึงขนาดระเหยกลายเป็นไอน้ำในชั่วเสี้ยววินาที


เมื่อเทียบกับผีสาวที่เก็บปราณมืดดำไว้ในร่างแล้ว เด็กหนุ่มขาเป๋กลับคล้ายภูตผีปีศาจที่กินคนไม่เลือกหน้ามากยิ่งกว่า


ผีสาวสวมชุดเจ้าสาวมองประเมินแม่นางน้อยหน้ากลมอยู่ตลอดเวลา รอจนเด็กหนุ่มเริ่มวิ่งตะบึงเข้ามาหานาง นางถึงได้หันไปมองผู้เฒ่าตาบอดที่ทำท่าเหมือนยกภูเขาออกจากอก แล้วกล่าวเสียงเรียบเฉยว่า “ช่างทำให้เชี่ยเซินผิดหวังยิ่งนัก ไม่แม้แต่จะใช่วิชาข้างเคียง ก็แค่พวกนอกรีตปลายแถวเท่านั้น โจรร้องจับโจร ไม่ควรตาย แต่ควรอยู่ไม่สู้ตายมากกว่า”


เด็กหนุ่มรองเท้าแตะพลันวิ่งมาถึงด้านหน้าผีสาวแล้วกระโดดตัวขึ้นสูง เหวี่ยงเท้าเตะเข้าที่ศีรษะของฝ่ายหลัง


ผีสาวชุดแต่งงานทั้งไม่หลบเลี่ยง แล้วก็ไม่ยกมือขึ้นบัง มือทั้งสองข้างของนางกำชายกระโปรงเอาไว้ตลอดเวลา เรือนกายอรชรนั้นเอาแต่เดินมุ่งไปข้างหน้าอย่างเดียว


เสียงปังดังสนั่นหวั่นไหว


ทั้งศีรษะของผีสาวถูก “ถอนรากถอนโคน” ปลิวกระเด็นไปด้านล่างภูเขาไม่รู้ว่าไปตกอยู่ตรงไหน


เพียงแต่ว่าผีสาวหัวขาดกลับยังคงเดินหน้าต่อไป


เด็กหนุ่มที่เท้าแตะพื้นกวาดขาออกไปอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้พุ่งเป้าไปที่ช่วงเองของผีสาวไร้หัว


มือข้างที่ถือร่มของผีสาวทำเพียงแค่ใช้หลังมือสกัดกั้นพละกำลังที่หนักอึ้งนับพันชั่งของเด็กหนุ่ม


ทว่าเท้านั้นของเด็กหนุ่มกลับไม่สามารถทำให้หลังมือของผีสาวขยับเขยื้อนได้แม้แต่น้อย


เด็กหนุ่มอาศัยแรงดีดกลับมหาศาลขุมนั้นพลิกตัวกลางอากาศหนึ่งรอบ จากนั้นก็ใช้ฝ่ามือตบเข้าที่หัวใจของผีสาวสวมชุดแต่งงาน กล่าวเสียงหนัก “ปราบปีศาจ!”


คำว่าปราบปีศาจสีเงินสองคำลอยมาปรากฏบนหลังมือของเด็กหนุ่ม จากนั้นขีดอักษรแต่ละขีดก็แยกตัวจากกันโดยอัตโนมัติ สุดท้ายมารวมตัวกันเป็นกระบี่สั้นสีเงินที่เปี่ยมไปด้วยปราณสังหารเล่มหนึ่งซึ่งบินหลุดออกจากมือเด็กหนุ่มไปพร้อมแสงสีดำตัดขาว บินแทงตรงไปยังหัวใจของผีสาว


ผีสาวใช้สองนิ้วคว้ากระบี่บินแหลมคมที่เกือบจะกรีดชุดเจ้าสาวสีแดงสดของนางขาด


กระบี่บินที่ยาวแค่หนึ่งชุดสั่นสะท้านไม่หยุดส่งเสียงดังวึงๆ


เสียงของผีสาวดังขึ้นมาเนิบนาบ “ศีรษะไม่เอาก็ได้ ทว่าอาภรณ์ชุดนี้ห้ามเสียหายเด็ดขาด หากสกปรก สามารถซักให้สะอาด แต่หากขาดแล้วต้องมาปะชุนทีหลังย่อมไม่งาม หาไม่แล้วหลางจวินคงหัวเราะเยาะอาภรณ์ของข้า…”


หลังจากส่งฝ่ามือหนึ่งออกไป เด็กหนุ่มขาเป๋ก็ปล่อยหมัดซ้ำแทบจะในเวลาเดียวกัน แต่กลับไม่ได้ตะโกนคำว่า “จับผี” ออกมา แต่กระนั้นบนหมัดก็มีตัวอักษรของผืนธงผุดขึ้นมาแล้วก่อตัวขึ้นเป็นกระบี่บิน เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มที่ท่าทางทึ่มทื่อกลับไม่ได้ซื่อบื้ออย่างที่แสดงออกภายนอกจริงๆ


ลงมือสังหารศัตรู ควบคู่ร่วมมือประสาน


เสียงตวาดหนึ่งดังขึ้นกึกก้อง “เจ้าผีต่ำช้า ครั้งนี้นักพรตผู้ต่ำต้อยจะต้องทวงความยุติธรรมแทนสวรรค์ ไม่มีหัวแล้ว แต่ข้าก็ยังจะให้เจ้ารับอานุภาพของห้าอสนี!”


กลางอากาศเหนือจากเส้นทางภูเขาไปหลายสิบจั้ง สายฟ้าสีขาวเส้นหนึ่งผ่าเปรี้ยงลงมา


ผีสาวยังคงใช้มือหนึ่งถือร่ม อีกมือหนึ่งที่ก่อนหน้านี้ใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้คีบกระบี่บิน “ปราบปีศาจ” เล่มแรกเอาไว้ตวัดขึ้นเบาๆ ใช้นิ้วนางกับนิ้วก้อยรับกระบี่บิน “จับผี” เล่มที่สอง


จากนั้นใช้ศอกถองไปที่หน้าผากของเด็กหนุ่มด้วยท่วงท่าผ่อนคลาย ฝ่ายหลังปลิวหวือไปทั้งร่าง หลังจากหล่นกระแทกลงบนทางสายเล็กที่เต็มไปด้วยดินโคลนแล้วยังไถลไปด้านหลังอีกหนึ่งจั้งกว่า


ผีสาวชูมือข้างที่ถือร่มขึ้นแล้วกางออกเบาๆ ดังพรึ่บ


สายฟ้าสีขาวกระแทกลงบนยอดร่มกระดาษน้ำมัน เกิดประกายแสงระเบิดพร่างพราว


ผีสาวที่ยืนอยู่ใต้ร่มเพิ่มแรงบนนิ้วทั้งสี่เล็กน้อย กระบี่บินสองเล่มก็หักคานิ้วมือของนาง พอร่วงลงบนพื้นก็กลายมาเป็นกองของเหลวสีเงินยวงสองกอง และเพียงไม่นานก็ก็ปะปนรวมกับดินโคลน


มือหนึ่งยกขึ้นกวัก ศีรษะก็บินกลับมาประกบบนลำคอใหม่อีกครั้ง เลือดเนื้อเชื่อมติด ไม่นานก็กลับคืนสู่สภาพเดิม


ผีสาวสวมชุดแต่งงานยมือข้างที่ว่างขึ้นปัดหญ้าสองต้นที่ติดบนผมทิ้ง


“มาอีก!”


ผู้เฒ่าตาบอดใจสั่น รู้ดีว่าควรต้องมองความตายดั่งคืนสู่มาตุภูมิ ปล่อยความสามารถทั้งหมดที่มีออกมา ดังนั้นหลังจากสูดลมหายใจเข้าหนักๆ หนึ่งครั้ง สีหน้าที่เคร่งเครียดเต็มไปด้วยบารมีอำนาจของเขามีแสงสีเหลืองจางๆ ชั้นหนึ่งแผ่ปกคลุม


ผู้เฒ่ายกเท้าข้างหนึ่งเหนือพื้น มือข้างหนึ่งกำเป็นหมัดทุบหนักๆ ลงตรงหน้าท้อง มืออีกข้างหงายฝ่ามือขึ้นฟ้า ถลกชายแขนเสื้อขึ้น บนแขนเผยให้เห็นอักขระยันต์สีชาดเรียงกันเป็นทอด


ผู้เฒ่ากล่าวเสียงหนัก “ถอนหายใจกลายเป็นเมฆและฝน แผดเสียงหัวเราะดุจอสนีคำราม! เหนือเมฆพร่างพราว เซียนชี้นำแนวทาง!”


มุมปากของผีสาวที่ถือร่มกระดาษน้ำมันกระตุก เดินผ่านเด็กหนุ่มขาเป๋ที่บาดเจ็บไม่เบาก็รังเกียจที่เขาเกะกะขวางทางจึงเท้าขึ้นเตะหนึ่งที เด็กหนุ่มขาเป๋จึงปลิวไปด้านล่างภูเขา ทว่าระหว่างที่ร่างของเขาลอยลิ่วกลับหายวับไปกลางอากาศเสียก่อน

 

 

 


ตอนที่ 123.2

 

แม่นางน้อยหน้ากลมคล้ายคลุ้มคลั่ง ใช้มีดเล็กกรีดลงบนฝ่ามือและแขนตัวเอง ก่อนจะลูบใบหน้าเปะปะ จากนั้นก็พุ่งเข้าแลกชีวิตกับผีสาว


แต่เด็กหญิงลืมไปว่าเวลานี้ฝนกำลังตกหนัก อีกทั้งนางยังไม่มีวิธีการของตระกูลเซียนที่จะกักเก็บปราณวิญญาณของยันต์ได้อย่างผู้เฒ่าตาบอด รอจนนางพุ่งไปถึงด้านหน้าของผีสาวสวมชุดแต่งงาน ใบหน้าของนางก็สะอาดเอี่ยมแล้ว มีเพียงเม็ดฝนที่กลิ้งหลุนๆ ต่อเนื่อง เลือดสดถูกน้ำฝนล้างจนสะอาดสะอ้านไปนานแล้ว


ผีสาวยกมือขึ้นตบลงบนซีกแก้มของแม่นางน้อยอย่างไม่ใส่ใจ เรือนกายเล็กบางผอมแห้งก็ปลิวคว้างขึ้นกลางอากาศ กระเด็นไปไกล แล้วก็หายวับไปอย่างรวดเร็วไม่ต่างจากเด็กหนุ่มขาเป๋


หลังจากนั้นทุกก้าวที่ผีสาวชุดแดงเดินออกมาก็มีสายฟ้าสีขาวขนาดใหญ่เท่าถังน้ำผ่าลงมาบนร่มกระดาษน้ำมัน ครั้นแล้วสายฟ้าก็สาดกระเซ็นเป็นสะเก็ดแตกออกสี่ทิศ


หากเวลานี้มีคนมองมายังภูเขาลูกนี้จากที่ไกลๆ ก็จะเห็นว่ามีสายฟ้าเหมือนงูขาวหลายเส้นร่วงลงมาจากกลางอากาศที่ไม่สูงนักครั้งแล้วครั้งเล่า จากนั้นประกายแสงสว่างจ้าก็เปล่งวาบๆ ขึ้นท่ามกลางเทือกเขา


……


เม็ดฝนโปรยปรายที่แค่สวมงอบก็สามารถต้านทานไว้ได้กลับกลายมาเป็นฝนห่าใหญ่อย่างไม่มีลางบอกเหตุ ยากที่จะเดินทางต่อได้อีก


เมื่อเฉินผิงอันเสนอว่าควรหาที่หลบฝน หลินโส่วอียื่นมือข้างหนึ่งไปประคองงอบเพื่อไม่ให้ถูกฝนเม็ดใหญ่กระแทกจนเอียงกะเท่เร่ เอ่ยเสียงหนักว่า “ผิดปกติ”


หลี่ไหวกระตุกชายแขนเสื้อของหลี่เป่าผิง ตะโกนเสียงดัง “ข้ารู้สึกกลัวเล็กน้อย”


หลี่เป่าผิงเอ่ยสั่งสอน “ผู้อาวุโสเทพหยินก็เป็นผีไม่ใช่หรือ? เจ้ายังจะต้องกลัวอะไรอีก?”


ดวงตาหลี่ไหวเป็นประกาย “จริงด้วย”


แล้วจึงหันกลับมาสั่งสอนลาขาวน้อยที่อยู่ด้านหลังหลินโส่วอี “ลาขาวน้อย เจ้าห้ามหลงกับพวกเราเด็ดขาดเลยนะ”


ลาน้อยพ่นลมออกจากจมูก


เทพหยินตนนั้นปรากฏตัวอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน เอ่ยเสียงแหบพร่า “ที่นี่มีผีสาวตนหนึ่งพิทักษ์แม่น้ำและภูเขารอบด้าน ตอนนี้นางกำลังประมือกับนักพรตเฒ่าผู้นั้น หากไม่ผิดไปจากที่คาด ผีสาวน่าจะเป็นฝ่ายชนะอย่างขาดลอย ที่มาของนางไม่แน่ชัด ตบะไม่ต่ำ หากเจอกันที่อื่นข้ายังพอจะจับตัวนางไว้ได้ แต่หากเป็นที่นี่เวลานี้กลับยากมาก”


เทพหยินกวาดตามองไปรอบด้านด้วยความระมัดระวัง เอ่ยอธิบายว่า “บนทำเนียบของภูเขาและมหาสมุทร ขอแค่เป็นเทพแม่น้ำและเทพภูเขาที่มีชื่อแซ่ล้วนต้องมีพื้นที่บนภูเขาเป็นของตัวเอง หรือไม่ก็มีเขตการปกครองของตน เมื่อฆ่าคนในถิ่นของตัวเองจะได้เปรียบเพราะฟ้าลิขิตดินอำนวย นอกจากนี้หากเป็นแม่น้ำและภูเขาที่ทางราชสำนักยังไม่แต่งตั้งองค์เทพ ต่อให้เป็นภูตผีปีศาจหรือสัตว์ประหลาดใดๆ ที่มีพลังอำนาจโดดเด่น หากคิดจะมีสำนักศึกษาอย่างลัทธิขงจื๊อ พื้นที่มงคลอาณาจักรธรรมอย่างสำนักลัทธิเต๋า ซากปรักสมรภูมิโบราณอย่างนักพรตสำนัการทหารกลับยากยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์ นี่ไม่ใช่แค่ว่ามีตบะอันลึกล้ำก็จะครอบครองได้ ยังจำเป็นต้องมีโชควาสนาที่ยิ่งใหญ่อีกด้วย ทว่ากฎเกณฑ์แห่งสวรรค์ไม่เคยชื่นชอบวัตถุธาตุหยินที่ชั่วร้ายอย่างพวกข้า คิดจะยึดครองพื้นที่หนึ่งอย่างเปิดเผยก็ไม่ต่างอะไรไปจากการใช้กำลังยึดพื้นที่ทำให้ประเทศแตกแยกของราชวงศ์ในโลกมนุษย์ มีหรือจะง่ายดายขนาดนั้น?”


หลี่ไหวพึมพำกับตัวเองอย่างขลาดกลัว “ผู้อาวุโสเทพหยินท่านนี้ ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ต้องเป็นบัณฑิตเหมือนกันแน่ๆ”


คำพูดของเทพหยินลึกล้ำ ชี้ไปยังเส้นทางภูเขาใต้ฝ่าเท้าที่ทุกคนยืนอยู่ “มีข่าวหนึ่งที่ไม่ดีมากๆ นั่นก็คือผีสาวที่เป็นผู้นำของสถานที่แห่งนี้มีฐานะไม่เป็นรองเทพภูเขาเลย ไม่แน่ว่าขณะเดียวกันอาจจะยังควบตำแหน่งแม่ย่าลำคลองด้วย ถึงได้แสดงความแปลกประหลาดออกมาตลอดเวลา อีกเรื่องหนึ่งก็คือพื้นที่ใต้ฝ่าเท้าของพวกเจ้าที่ถูกผีสาวร่ายเวทตั้งแต่แรกเริ่ม ทำให้พวกเจ้าเดินอยู่บน ‘เส้นทางน้ำพุเหลือง’ ที่นางแอบร่ายไว้ ข้ามีร่างเป็นธาตุหยิน สามารถเข้าออกได้อย่างเสรี ทว่าหากคิดจะฝืนพาพวกเจ้าออกไปจากเส้นทางสายนี้ ไม่แน่ว่าอาจทำให้เรือนกายและจิตวิญญาณของเจ้าบาดเจ็บสาหัส”


หลินโส่วอีเอ่ยเรียบๆ “ผู้อาวุโสเทพหยิน ในเมื่อท่านเอาชนะนางไม่ได้ อีกทั้งพวกเราก็หนีออกไปไม่ได้เหมือนกัน จะทำอย่างไรกันดีล่ะ?”


เทพหยินกล่าวเสียงทุ้มหนัก “รอให้นางเผยกายค่อยว่ากัน วางใจเถอะ ข้าจะไม่มีทางปล่อยให้พวกเจ้าได้รับบาดเจ็บเด็ดขาด”


เขารู้สึกละอายใจเล็กน้อย เสียใจที่ก่อนหน้านี้ตนฝืนเดินทวนกระแสท่ามกลางปราณแห่งความเที่ยงธรรม แม้ว่าหลังจบเรื่องจะส่งผลดีต่อตบะของตัวเขาเอง ซ้ำยังถึงขั้นพูดได้ว่าผลประโยชน์ที่ได้รับนั้นมากจนเกินประเมิน แต่ปัญหาก็อยู่ตรงนี้ ความสามารถของเขาลดลงจนเหลือแค่เจ็ดแปดส่วนเท่านั้น แถมยังต้องหลุมพรางของผีสาว ซึ่งมีความเป็นไปได้มากว่าเป้าหมายแรกของผีสาวก็คือพวกเฉินผิงอัน ไม่ใช่อาจารย์และศิษย์สามคนนั้น


โคมกระดาษขาวที่ยาวเป็นระยะทางหลายลี้ เดิมทีก็คือเวทอำพรางตาที่ล่อให้เขาไปสืบให้รู้แน่ชัด


จิตใจของเทพหยินซับซ้อน ตบะของนักพรตเฒ่าคนนั้นไม่สูง ทว่าปากที่พูดจาเหลวไหลส่งเดชกลับร้ายกาจจริงๆ


เทพหยินกล่าว “พวกเจ้าทุกคนไปยืนอยู่ด้านหลังข้า”


เพียงไม่นานเทพหยินตนนี้ก็มายืนอยู่เบื้องหน้าสุดของทางสายเล็ก


เฉินผิงอันกับหลินโส่วอีอยู่เยื้องไปทางด้านหลัง คนหนึ่งยืนฝั่งซ้าย อีกคนยืนฝั่งขวา


เฉินผิงอันเปลี่ยนจากมีดผ่าฟืนเป็นยันต์มงคลเล่มนั้นแล้ว หลินโส่วอีปล่อยมือสองข้างลง ในชายแขนเสื้อแต่ละฝั่งมียันต์อยู่หนึ่งแผ่น


หลี่เป่าผิงและหลี่ไหวยืนอยู่ด้านหลังพวกเขาอีกที


ลาขาวที่อยู่ด้านหลังสุดปิดท้ายขบวนค่อนข้างจะหงุดหงิดงุ่นง่าน กระทืบเท้าลงบนพื้นหนักๆ จนโคลนสาดกระเซ็น


ผีสาวสวมชุดแต่งงานที่มือหนึ่งถือร่มกระดาษน้ำมันเดินเนิบช้ามาแต่ไกล อีกมือหนึ่งลากขาข้างหนึ่งของผู้เฒ่าตาบอดมาด้วย ขณะที่อยู่ห่างจากพวกเฉินผิงอันอีกหลายจั้ง ในที่สุดก็หยุดเท้า บนเส้นทางภูเขามีโคมไฟหลายดวงถูกจุดสว่างไสว แม้แต่ด้านหลังเฉินผิงอันก็ไม่เว้น แสงสีแดงหลายกลุ่มหลายดวงสาดสะท้อนให้ใบหน้าของทุกคนเป็นสีแดงปลั่ง


ผีสาวโยนนักพรตเฒ่าที่ไม่รู้ว่าเป็นหรือตายคั่นกลางไว้ระหว่างสองฝ่าย ทำสีหน้า “ประหลาดใจระคนยินดี” ราวกับไม่แปลกใจแม้แต่น้อย ซ้ำยังยื่นนิ้วออกมาชี้นับ “แขกผู้มีเกียรติเยอะขนาดนี้เชียว หนึ่ง สอง สาม มีนักเรียนสามคน เป็นลูกศิษย์ของปัญญาชนแห่งลัทธิขงจื๊อคนใดเล่า? หลางจวินของข้าเองก็เคยตั้งปณิธาน ชาตินี้ต้องได้เป็นปัญญาชนเป็นนักปราชญ์ เพื่อบ้านเมืองและปวงประชา คิดไม่ถึงว่าอายุน้อยเพียงเท่านี้พวกเจ้าทำความปรารถนาของหลางจวินข้าให้เป็นจริงได้แล้ว”


เฉินผิงอันคิดจะเดินออกไปด้านหน้าหนึ่งก้าว แต่เทพหยินกลับส่ายหน้า เอ่ยเบาๆ “ไม่ต้องรีบร้อน”


ผีสาวเอียงศีรษะมองซ้ายมองขวา ประเมินเด็กน้อยสามคนที่สะพายหีบหนังสือใบเล็ก “หลางจวินเคยพูดบ่อยๆ ว่าบัณฑิตที่มีพฤติกรรมเหมาะสมดีงามจึงจะเรียกว่าเป็นเมล็ดพันธ์บัณฑิต ดังนั้นทุกครั้งที่ข้านึกถึงหลางจวินที่เดินทางไกลไม่เคยหวนกลับของข้าก็มักจะเชิญเหล่าบัณฑิตที่ผ่านทางไปเป็นแขกที่บ้าน มอบสาวใช้งดงามอายุน้อย ตำราเก่าแก่หายาก พิณโบราณนับพันปีให้พวกเขา ข้าชอบฟังพวกเขาเอ่ยถ้อยคำซาบซึ้งสะเทือนใจ บนโลกนี้ก็มีเพียงบัณฑิตที่กินอิ่มมีเวลาเขียนบทกลอนเท่านั้นถึงจะพูดถ้อยคำเหล่านั้นได้อย่างวกวนอ่อนหวาน”


สุดท้ายสายตาของผีสาวสวมชุดเจ้าสาวก็ไปรวมอยู่ที่ร่างของเทพหยิน ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ผู้อาวุโสเทพหยินผู้นี้ช่างดวงไม่ดีเอาเสียเลย หากเป็นหลายปีหลังจากนี่ เชี่ยเซินคงไม่กล้าเผยตัวแน่”


นางพูดอยู่กับตัวเอง ก้มหน้าลงเล็กน้อย ก่อนจะปิดปาหัวเราะคิกคัก ดวงตามีประกายบางอย่างเปล่งวาบผ่านไป “เป็นสตรีออกเรือนแล้ว เปิดเผยหน้าตา ไม่ดีเลยจริงๆ”


ทว่าต่อให้อยู่ภายใต้แสงโคมที่สาดส่อง ดวงหน้าของนางก็ยังคงซีดขาวไร้สีเลือด ดูแล้วชวนขนพองสยองเกล้า


หลี่ไหวแค่ยื่นหน้าออกมามองแวบเดียวก็ตกใจจนสองขาสั่นพั่บๆ


นางถามยิ้มๆ “ข้าไม่ได้พูดคุยกับคนมานานมาแล้ว จึงยากที่จะควบคุมตัวเองได้ พวกเจ้าคงไม่ถือสากระมัง?”


นางนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงหุบร่มกระดาษน้ำมันเบาๆ


แทบจะเวลาเดียวกันนั้น ฝนห่าใหญ่ก็พลันหยุดตก ไม่มีเม็ดฝนเหลือค้างอยู่กลางอากาศแม้แต่เม็ดเดียว


หลินโส่วอีถามยิ้มๆ “ขอถามฮูหยินท่านนี้ บัณฑิตที่ถูกเชิญไปเป็นแขกของท่าน สุดท้ายมีจุดจบเช่นไร?”


นางเดินไปด้านหน้าต่ออีกครั้ง รอยยิ้มหายไปไม่มีเหลือ “พวกเขาน่ะหรือ สุดท้ายข้าก็ตัดเอวพวกบัณฑิตที่ชอบผิดคำสาบานเหล่านั้น หลังจากช่วยห้ามเลือดให้กับพวกเขา ก็พาพวกเขาไปปลูกไว้ในสวนดอกไม้ของจวนข้า”


“เพราะข้าอยากรู้ว่า เมล็ดพันธ์บัณฑิตตามที่หลางจวินเรียจะผลิดอกออกมาจากในดินได้หรือไม่ จะมีวันใดที่ออกผลให้เก็บเกี่ยวหรือไม่”


“แต่ข้าผิดหวังอย่างมาก พวกเขาแค่กลายมาเป็นซากโครงกระดูกเท่านั้น แต่อาจจะเป็นเพราะบัณฑิตพวกนั้นยังไม่ถือว่าเป็นเมล็ดพันธ์บัณฑิตที่แท้จริงกระมัง ดังนั้นการปรากฏตัวของพวกเจ้าจึงทำให้ข้าดีใจอย่างยิ่ง”


หลินโส่วอีหน้าเขียว


หลี่เป่าผิงโกรธจนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง


หลี่ไหวรีบยกมือสองข้างปิดหู “ข้าไม่ฟัง ข้าไม่ฟัง…”


“เมื่อก่อนข้าชอบบัณฑิตที่สุดเลย แต่ข้าก็เกลียดผู้ชายจิตใจโลเลที่สุด!”


ผีสาวชุดแต่งงานเงยหน้าขึ้นช้าๆ กรอบตามีน้ำตาเลือดหลั่งออกมา


ลุ่มหลงในรักเป็นหนึ่งในใต้หล้า แต่ถึงเวลากลับถูกทรยศ


โคมกระดาษขาวที่ลอยอยู่กลางอากาศสองฟากเส้นทางภูเขาล้วนมีเลือดสดหยดลงมาจากด้านบน สุดท้ายเปลวเทียนที่อยู่ด้านในก็มอดดับ


“สุดท้ายแล้วข้าก็ได้รู้ว่าใต้หล้านี้ไม่มีบัณฑิตคนใดที่ไม่ใช่คนทรยศโลเล”


เลือดสดไหลอาบเต็มหน้าผีสาว โยนร่มกระดาษน้ำมันที่เป็นของแทนใจระหว่างนางและสามีในอดีต ยกมือสองข้างปิดหน้า เสียงสะอึกสะอื้นที่พยายามสะกดกลั้นอย่างยากลำบากดังลอดร่องนิ้วมือ


“หลางจวิน เชี่ยเซินไม่โทษท่านแล้ว ท่านกลับมาเถอะ”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)