เทพปีศาจหวนคืน 1221-1227

 เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1221 ความรักมาหา


แปลโดย iPAT 


ได้ยินพี่ชายของเขาต้องการมอบวิญญาณอมตะให้ ฟางหยวนเผยรอยยิ้มบาง


ในกรณีของฟางหยวน เขาไม่ขาดแคลนวิญญาณอมตะระดับหกและยังมีวิญญาณอมตะระดับเจ็ดอีกมากมาย สำหรับวิญญาณอมตะระดับแปด ฟางหยวนมีวิญญาณทัศนคติ วิญญาณปีไหลผ่านราวกับสายน้ำ และวิญญาณดาบแห่งปัญญา


ในแง่ของตัวเลข ฟางหยวนกระทั่งเหนือกว่าวูหยง


ยังไม่ต้องกล่าวถึงวิญญาณสติปัญญาระดับเก้า เพราะมันไม่ได้เป็นของเขาอย่างสมบูรณ์


ในคลังสมบัติของตระกูลวูมีวิญญาณที่มีประโยชน์และทรงพลังเก็บไว้มากมาย มีโอกาสสูงที่จะมีวิญญาณอมตะบางดวงที่เหมาะสมกับฟางหยวน


อย่างไรก็ตามสิ่งที่ฟางหยวนต้องการมากที่สุดคืออาณาจักรแห่งความฝัน!


ตราบเท่าที่เขาสามารถเข้าสู่อาณาจักรแห่งความฝัน เขาจะใช้ท่าไม้ตายอมตะคลี่คลายความฝันเพื่อยกระดับความสำเร็จของตน


เมื่อความสำเร็จของเขาเพิ่มสูงขึ้น เขาจะสามารถกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้มากขึ้น


ไม่เหมือนกับตอนนี้ที่เขาถูกจำกัดด้วยความสำเร็จและไม่สามารถกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์มากมาย


โลกใบนี้มีผู้อมตะไม่มาก


ในภูมิภาคหนึ่งๆมีผู้อมตะทั้งหมดไม่กี่ร้อยคน ส่วนใหญ่เป็นผู้อมตะระดับหก ผู้อมตะระดับเจ็ดและแปดมีน้อยลงตามลำดับ


ท่ามกลางผู้อมตะเหล่านี้ ฟางหยวนสามารถกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับหกและเจ็ดได้เพียงบางส่วน มีเพียงแดนศักดิ์สิทธิ์บางเส้นทางเท่านั้นที่เขาสามารถกลืนกิน ตอนนี้ฟางหยวนไม่สามารถไปยังภาคกลาง สำหรับสี่ภูมิภาคที่เหลือ มีผู้อมตะมากมายที่ฟางหยวนไม่สามารถแตะต้องเช่นผู้อมตะระดับแปดหรือผู้อมตะระดับเจ็ดบนจุดสูงสุดเช่นฟงจิวเก้อหรือซื่อเล่ย


สรุปแล้วมีแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ฟางหยวนไม่สามารถกลืนกินอยู่มากมาย


ก่อนหน้านี้ฟางหยวนสามารถกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์ของบางคนและยกระดับการบ่มเพาะของตนเป็นเพราะความสำเร็จที่เขาสะสมมาตลอดรวมถึงโชคที่เพียงพอ


ด้วยเหตุนี้ความสำเร็จบนเส้นทางสายต่างๆจึงมีความสำคัญต่อฟางหยวนเป็นอย่างมาก


เพราะมันจะทำให้เขาสามารถกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์และยกระดับการบ่มเพาะของตนเองอย่างรวดเร็ว


‘ก่อนหน้านี้ข้ากลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์และสามารถยกระดับการบ่มเพาะจากระดับหกสู่ระดับเจ็ด แต่หลังจากกลายเป็นผู้อมตะระดับเจ็ด การกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับหกทำให้ข้าก้าวข้ามภัยพิบัติได้น้อยมาก’


‘การบ่มเพาะของข้าเพิ่มขึ้นด้วยอัตราเร็วที่ช้าลงอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยง แต่หลังจากความสำเร็จของข้าเพิ่มสูงขึ้น การบ่มเพาะของข้าจะพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วอีกครั้ง แม้แดนศักดิ์สิทธิ์ระดับเจ็ดจะหายากกว่าแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับหก แต่เปรียบเทียบกับวิธีการบ่มเพาะตามปกติ มันยังรวดเร็วกว่ามาก!’


ฟางหยวนไม่สามารถประเมินความเร็วที่แน่ชัดเพราะมันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ หากเขาโชคดีพอ เขาอาจสามารถกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับเจ็ดจำนวนมากได้ในครั้งเดียว


เมื่อกลืนกินได้มากพอ การก้าวเข้าสู่ระดับแปดก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้!


หลังจากทั้งหมดนี่คือความสามารถอันเป็นที่สุดของมิติช่องว่างจักรพรรดิ


หากเป็นผู้อมตะทั่วไป การบ่มเพาะวิธีนี้เป็นไปไม่ได้สำหรับพวกเขา


‘อย่างไรก็ตามแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับเจ็ดมีไม่มากนักแม้จะรวมทั้งห้าภูมิภาค การก้าวเข้าสู่ระดับแปดยังเป็นไปไม่ได้สำหรับตอนนี้’


ฟางหยวนคิดและตระหนักว่าโอกาสก้าวเข้าสู่ระดับแปดมีน้อยเกินไป


ฟางหยวนไม่ได้โลภมากเกินไป เขารู้ว่าสิ่งใดสำคัญและสิ่งใดน่ากังวล


ดังนั้นเขาจึงตอบกลับวูหยง “ข้าไม่จำเป็นต้องไปที่คลังสมบัติ ข้ารู้ว่าตนเองต้องการสิ่งใด”


“โอ้?” วูหยงรู้สึกประหลาดใจ


จากนั้นฟางหยวนจึงกล่าวชื่อวิญญาณอมตะสองดวงออกมา หนึ่งเป็นวิญญาณอมตะระดับหกและอีกหนึ่งเป็นวิญญาณอมตะระดับเจ็ด


วูหยงรู้สึกประหลาดใจมากขึ้น ตอนนี้เขาต้องประเมินฟางหยวนใหม่อีกครั้ง


วูหยงตระหนักถึงความต้องการของฟางหยวนแต่ยังแสร้งทำเป็นไม่รู้ “วิญญาณอมตะสองดวงนี้เป็นส่วนหนึ่งของค่ายกลวิญญาณ พวกมันถูกใช้เพื่อปิดผนึกอาณาจักรแห่งความฝัน เจ้าแน่ใจแล้วหรือว่าต้องการพวกมัน?”


ฟางหยวนพยักหน้าโดยไม่ลังเลและแสดงให้เห็นว่าเขาตัดสินใจแล้ว


เพื่อสร้างค่ายกลวิญญาณปิดผนึกอาณาจักรแห่งความฝัน ฝ่ายธรรมะของภาคใต้ทั้งหมดต้องให้การสนับสนุนทั้งด้านกำลังคนและทรัพยากร ตระกูลวูใช้วิญญาณอมตะหกดวง ข้อมูลนี้ไม่ใช่เรื่องที่ต้องปกปิด


ฟางหยวนเรียนรู้เรื่องนี้มาจากผู้อมตะตระกูลเฉียว


สำหรับเหตุผลที่เขาเลือกวิญญาณอมตะสองดวงนี้เป็นเพราะพวกมันมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อค่ายกลวิญญาณ


อาจกล่าวได้ว่าหากฟางหยวนกลายเป็นเจ้าของวิญญาณอมตะเหล่านี้ เขาจะกลายเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดที่นั่น


ฟางหยวนกล่าวอย่างจริงจัง “ท่านพี่ ท่านอยู่ในตระกูลมาตั้งแต่เกิด ท่านได้รับการสนับสนุนจากกองกำลังอันดับหนึ่งของภาคใต้ แต่ข้าแตกต่างจากท่าน ข้าเติบโตขึ้นที่ทะเลตะวันออกโดยปราศจากผู้สนับสนุน ท่านไม่เคยเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษ ท่านย่อมไม่เข้าใจความเจ็บปวดของพวกเรา”


“ครั้งนี้เมื่อข้ามายังภาคใต้และเข้าร่วมกับตระกูลวู ข้าก็ไม่ต้องการกลับทะเลตะวันออกอีก”


“ข้ายอมรับว่าข้ามีความทะเยอทะยาน แต่ผู้อมตะคนใดที่ไม่มีความทะเยอทะยาน”


“ท่านพี่ ข้าขอกล่าวตามตรง ท่านเป็นผู้อมตะระดับแปด ท่านมีวิญญาณอมตะระดับแปด ท่านเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลวู ท่านสามารถทำทุกสิ่งในตระกูล แต่ข้า ข้ามาจากทะเลตะวันออก ข้าเป็นเพียงผู้อมตะระดับเจ็ด ข้ามีทักษะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง แต่ข้าจะแข่งขันกับท่านได้อย่างไร? ข้าไม่เคยคิดที่จะต่อสู้กับท่าน!”


“ข้าเพียงต้องการบ่มเพาะต่อไป ข้ามีข้อตกลงกับตระกูลเฉียว ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงสนับสนุนข้า โดยปราศจากความช่วยเหลือจากพวกเขา ข้าจะไม่สามารถมาร่วมงานศพของท่านแม่”


“แต่ข้ายังเป็นคนของตระกูลวู สายเลือดของตระกูลวูไหลเวียนอยู่ในร่างกายของข้า ท่านแม่ทิ้งข้าไปตั้งแต่ข้ายังเด็ก แต่นางก็ขอให้ข้ากลับมาในวันสุดท้ายของชีวิต ไม่ว่านางจะคิดอย่างไร นางก็ยังคงเป็นมารดาของข้า นางเป็นผู้ให้กำเนิดข้า!”


“สองสามวันที่ผ่านมา ข้าตัดสินใจว่าอาณาจักรแห่งความฝันคือสถานที่ที่ข้าต้องการไป ข้าเต็มใจที่จะออกจากตระกูลวูและปิดประตูฝึกตนอยู่ที่นั่นตลอดไป ทั้งหมดที่ข้าต้องการมีเพียงการสนับสนุนจากตระกูลู ด้วยวิธีนี้ข้าจะมีทรัพยากรเพียงพอในการบ่มเพาะ สิ่งนี้จะสามารถเติมเต็มความต้องการของข้า!”


ฟางหยวนกล่าวอย่างจริงใจ พวกมันล้วนเป็นถ้อยคำที่สะเทือนอารมณ์


ในตอนท้ายดวงตาของเขายังเปลี่ยนเป็นสีแดง เขาก้มศีรษะให้กับวูหยงอย่างสุดซึ้ง


วูหยงรู้สึกหวั่นไหว


เขาลุกขึ้นจากที่นั่งและเดินเข้าไปจับไหล่ฟางหยวน


“น้องชายของข้า!” เขากล่าวเสียงสั่นและแสดงออกด้วยความตื่นเต้น


“เจ้าเป็นน้องชายของข้า เรามีมารดาคนเดียวกัน!”


“ข้าเข้าใจความตั้งใจของเจ้า ข้าเข้าใจความยากลำบากของเจ้าและข้าดีใจที่เจ้าเข้าใจความยากลำบากของข้า”


“ข้ายอมรับคำขอของเจ้าและเจ้าก็อย่าลืมสิ่งที่เจ้ากล่าวในวันนี้!”


“ท่านพี่!” ฟางหยวนสะอื้นพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาจากหางตา “ข้าจะไม่ลืมคำกล่าวของข้าในวันนี้ ท่านพี่ผู้ประเสริฐของข้า ข้าจะสนับสนุนท่านอย่างเต็มที่ในอนาคต หากท่านพี่ไม่อนุญาต ข้าจะไม่ทำสิ่งใดโดยพละกาล ข้าจะไม่ก้าวเข้าสู่ฐานทัพใหญ่ของตระกูลวู ข้าจะไม่ติดต่อกับผู้อมตะของตระกูลวูมากเกินไป!”


วูหยงจับมือฟางหยวน “ข้าแน่ใจว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังและข้าก็จะไม่ทำให้เจ้าผิดหวังเช่นกัน!”


ครู่ต่อมาฟางหยวนก็เดินออกจากห้องทำงานของวูหยง


‘ในที่สุดข้าก็สามารถเข้าสู่ค่ายกลวิญญาณและสำรวจอาณาจักรแห่งความฝันได้อย่างเปิดเผย!’ ความตื่นเต้นในใจของเขาไม่สามารถบรรยายให้ผู้ใดฟัง


ในเวลาเดียวกันวูหยงนั่งลงบนเก้าอี้และมองไปในระยะไกล


‘น้องชายของข้ารู้ว่าสิ่งใดดีต่อตัวเขา เขาเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันอย่างชัดเจน ไม่เลว ไม่เลว’


‘เขาไม่ได้กล่าวถึงวิญญาณอมตะของท่านแม่และยังบอกว่าจะออกจากฐานทัพใหญ่ของตระกูลวู เมื่อเขาไม่อยู่ ข้าจะสามารถควบคุมตระกูลได้ง่ายขึ้น’


‘อาณาจักรแห่งความฝันไร้ประโยชน์ ในปัจจุบันไม่มีผู้ใดสามารถขุดค้นขุมทรัพย์แห่งนี้ ตราบเท่าที่เขาอยู่ที่นั่นเพื่อปกป้องอาณาจักรแห่งความฝันอย่างเงียบๆและบ่มเพาะอย่างสงบโดยไม่พยายามช่วงชิงอำนาจในตระกูลวู นั่นย่อมเป็นเรื่องดี แต่เขาจะขอทรัพยากรมากมายเพียงใด?’


‘อาณาจักรแห่งความฝันเป็นเช่นนี้แต่ในอนาคตยังไม่มีสิ่งใดแน่นอน โดยเฉพาะคำทำนายเกี่ยวกับเทพอมตะแห่งความฝัน ฮ่าฮ่า กล่าวไปแล้วความทะเยอทะยานของน้องชายข้าก็ไม่น้อยเลย’


‘อย่างไรก็ตามเช่นที่เขากล่าว มีผู้อมตะคนใดที่ไม่มีความทะเยอทะยาน มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้คนจะมีความทะเยอทะยาน แต่มันจะน่ากลัวหากความทะเยอทะยานของพวกเขาใหญ่โตเกินไป เป็นเรื่องโง่เขลาหากพวกเขาทำบางสิ่งที่เกินขีดจำกัดของตน ตัวอย่างเช่นตระกูลเฉียว ฮืม!’


…..


ภาคกลาง


จ้าวเหลียนหยุนยังคุกเข่าอยู่บนพื้นราวกับรูปปั้น


บ้านด้านหน้าของนางถูกปิดแน่นและไม่มีสิ่งใดสามารถเข้าไป


ฟงจินฮวงไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่อีกแล้ว


จ้าวเหลียนหยุนรู้เรื่องนี้แต่นางยังคุกเข่าอยู่ที่นี่


เพราะนางรู้ดีว่านี่คือความหวังเดียวของนาง นางต้องคว้ามันมาให้ได้!


ตอนนี้ขาของจ้าวเหลียนหยุนกลายเป็นไร้ความรู้สึกไปแล้ว ความมึนงงพุ่งเข้าโจมตีจิตใจของนาง ความทรงจำในอดีตปรากฏขึ้นในความคิดของนางอย่างต่อเนื่อง


มีทุ่งหญ้า มีดอกไม้ป่าผลิบาน


“ดอกไม้เหล่านี้สำหรับคุณหนูเสี่ยวหยุน พวกเขาบอกว่าผู้หญิงชอบดอกไม้” หม่าหงหยุนถือช่อดอกไม้มายืนอยู่ด้านหน้าจ้าวเหลียนหยุนด้วยรอยยิ้มเขินอาย


“เหม็น!” จ้าวเหลียนหยุนปิดจมูกของนางและกล่าวด้วยความรังเกียจ “เจ้านำดอกไม้มาจากที่ใด? มันเหม็นมาก พวกมันอาจเติบโตขึ้นบนกองอึของสัตว์ป่า นำพวกมันออกไปห่างๆข้า!”


หม่าหงหยุนตกตะลึง “ถูกต้อง พวกมันเติบโตขึ้นจากอึก้อนใหญ่!”


จ้าวเหลียนหยุนกลอกตาและเหยียบเท้าหม่าหงหยุนด้วยความโกรธ “งี่เง่า! เหตุใดเจ้าถึงนำดอกไม้เหล่านี้มาให้ข้า เจ้าคิดว่าทำเช่นนี้แล้วมารดาผู้นี้จะพอใจงั้นหรือ!?”


หม่าหงหยุนแทบจะกระโดดขึ้นด้วยความเจ็บปวด เขาเร่งกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “ข้าต้องการขอบคุณคุณหนูที่ช่วยข้า มิฉะนั้นข้าอาจถูกประหารชีวิตไปแล้วเพราะข้อหาขโมยรองเท้า”


ภาพในอดีตค่อยๆจางหายไป จ้าวเหลียนหยุนกลับสู่ความจริงที่แสนหนาวเหน็บ


‘คนโง่!’


‘แต่สิ่งที่ข้ากำลังทำอยู่ในตอนนี้ก็เป็นเรื่องที่โง่เขลามาก’


‘ผู้ใดจะคิดว่าข้าจ้าวเหลียนหยุนจะทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้!’


‘เจ้าทำเรื่องงี่เง่าเสมอแต่ผลลัพธ์กลับจบลงด้วยดีทุกครั้ง ข้าไม่เหมือนเจ้า แต่นี่เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ข้าสามารถทำ…ข้าเป็นเพียงคนธรรมดา’


เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ น้ำตาก็ไหลลงมาจากดวงตาของจ้าวเหลียนหยุน ความโศกเศร้าและความเจ็บปวดในใจของนางไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูด


เป็นเพียงเวลานี้ที่สายตาอันพร่ามัวของนางมองเห็นวิญญาณบางดวง


วิญญาณแห่งความรัก!


วิญญาณอมตะระดับเก้า!


มันบินเข้ามาหาจ้าวเหลียนหยุน


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1222 ผู้นำรุ่นต่อไป


แปลโดย iPAT 


วิญญาณอมตะระดับเก้า วิญญาณแห่งความรัก!


จ้าวเหลียนหยุนไม่รู้จักวิญญาณดวงนี้ แต่นั่นไม่ได้หยุดนางจากการสังเกตเห็นเอกลักษณ์พิเศษของมัน


นางรู้สึกราวกับวิญญาณดวงนี้เป็นจุดศูนย์กลางของทุกสิ่ง มันเหมือนเปลวไฟหลากหลายสีสันที่ร้อนแรงที่สุดในจักรวาล ความเป็นจริงทั้งหมดจะถูกพลิกกลับ ทุกอย่างในโลกใบนี้จะหมุนรอบตัวมัน


‘นี่คือ…ปาฏิหาร์ย์?’ ความคิดหนึ่งปรากฏขึ้นในใจของจ้าวเหลียนหยุน


จากนั้นนางก็ล้มลงหมดสติอยู่บนพื้น


นิกายคฤหาสน์วิญญาณตกลงสู่ความปั่นป่วนทันที


วิญญาณแห่งความรักเป็นวิญญาณอมตะที่เป็นสัญลักษณ์ของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ


มันบินออกมาจากที่อยู่ของมันและมาหาจ้าวเหลียนหยุน สิ่งสำคัญที่สุดคือเมื่อจ้าวเหลียนหยุนหมดสติ มันไม่ได้บินหนีไปและยังเกาะอยู่บนไหล่ของนาง


ในคืนนั้นนิกายคฤหาสน์วิญญาณต้องจัดการประชุมฉุกเฉินเพื่อหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้


ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่ง สอง และสามของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ รวมถึงฟงจิวเก้อ เทพธิดาไป่ชิง ซูเฮา หลี่จุนอิง และตัวตนระดับสูงทั้งหมดของนิกายมารวมตัวกันเป็นครั้งแรกในรอบหลายร้อยปี


“ทุกคนย่อมรู้กฎของนิกายเป็นอย่างดี ตอนนี้วิญญาณแห่งความรักยอมรับจ้าวเหลียนหยุน ดังนั้นนางก็คือผู้นำนิกายรุ่นต่อไป!” ซูเฮากล่าวโดยไม่สามารถปกปิดความสุขในน้ำเสียง


ก่อนหน้านี้เขาเป็นผู้แนะนำให้จ้าวเหลียนหยุนกระทำการดังกล่าวเพื่อทำลายชื่อเสียงของฟงจินฮวงและสร้างชื่อเสียงที่ดีให้กับตัวจ้าวเหลียนหยุนเอง


เขาไม่คิดว่าจ้าวเหลียนหยุนจะดื้อรั้นคุกเข่าอยู่ที่นั่นอย่างไม่ยอมแพ้


ซูเฮาไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร


เขาเลี้ยงดูจ้าวเหลียนหยุนและใช้นางเป็นตัวหมากเพื่อจัดการฟงจินฮวง แต่เป้าหมายที่แท้จริงของเขาคือการโจมตีบิดาของนาง ฟงจิวเก้อ


ทุกองค์กรล้วนมีความขัดแย้งภายใน


องค์กรขนาดใหญ่มักจะแบ่งออกเป็นหลายฝ่าย


ในปัจจุบันฝ่ายของฟงจิวเก้อมีอำนาจสูงสุดในนิกายคฤหาสน์วิญญาณ


ซูเฮา หลี่จุนอิง และคนอื่นๆถูกกำหราบโดยฝ่ายของฟงจิวเก้อและไม่สามารถเงยศีรษะขึ้น โชคดีที่ผู้อมตะระดับแปดทั้งสองของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งและสองมีความยุติธรรมะ พวกเขาไม่ได้เข้าข้างฝ่ายใดแต่มองผลประโยชน์ของนิกายเป็นสำคัญ สิ่งนี้ทำให้ซูเฮาและหลี่จุนอิงยังมีสถานะบางอย่างแม้จะด้อยกว่าฝ่ายของฟงจิวเก้อก็ตาม


จ้าวเหลียนหยุนคุกเข่าขอร้องฟงจินฮวง เรื่องนี้เป็นเพียงฉากหน้า แต่แท้จริงแล้วมันเป็นความขัดแย้งทางการเมืองภายในของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ


จ้าวเหลียนหยุนเป็นเพียงผู้ใช้วิญญาณระดับมนุษย์ แต่หลังจากได้รับมรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจปล้นสวรรค์ นางจึงมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะแข่งขันกับฟงจินฮวงเพื่อชิงตำแหน่งผู้นำนิกายรุ่นต่อไป


ซูเฮาทำใช้จ้าวเหลียนหยุนเป็นเครื่องมือทางการเมืองของเขา


ก่อนหน้านี้ซูเฮาคิดว่าเขาไม่สามารถปล่อยให้จ้าวเหลียนหยุนคุกเข่าต่อไป ในความคิดของเขา ผลงานทางการเมืองที่นางทำเพียงพอแล้ว หากจ้าวเหลียนหยุนคุกเข่าต่อไป นางจะดูเหมือนคนงี่เงา เรื่องนี้ไม่มีประโยชน์ต่อนาง


แต่หลายชั่วโมงก่อนที่ซูเฮาจะลงมือ เขากลับได้ยินว่าวิญญาณแห่งความรักบินเข้ามาหาจ้าวเหลียนหยุน เขาตกใจมาก


หลังจากตะลึง เขารู้สึกมีความสุข


เขารู้สึกอย่างแรงกล้าว่านี่คือโอกาส ของขวัญชิันนี้มีค่ามากเกินไป เขาแทบหมดสติเพราะความสุขอันเหลือล้น


นี่เป็นโอกาสที่หายากอย่างไม่น่าเชื่อ


เขาจำเป็นต้องใช้โอกาสนี้เพื่อทำให้จ้าวเหลียนหยุนกลายเป็นผู้นำรุ่นต่อไปของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ!


ด้วยวิธีนี้เขาจะสามารถตอบโต้ฝ่ายของฟงจิวเก้อ นี่เป็นโอกาสที่ไม่เคยมีมาก่อนสำหรับซูเฮา ตราบเท่าที่เขาได้รับโอกาสนี้ อนาคตของเขาในนิกายจะเปลี่ยนแปลงไปมาก


ซูเฮาไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้


ดังนั้นเขาจึงเป็นคนแรกที่ยืนหยัดและสนับสนุนให้จ้าวเหลียนหยุนเป็นผู้นำนิกายรุ่นต่อไป


เขากล่าว “กฎของนิกายระบุไว้อย่างชัดเจน ในการเลือกผู้นำ อันดับแรกพวกเราต้องฟังเสียงสมาชิกส่วนใหญ่ ต่อมาพวกเราจะพิจารณาเกี่ยวกับพรสวรรค์ สุดท้ายพวกเราจะทำตามมติของตัวตนระดับสูง”


ความหมายก็คือไม่ว่าสมาชิกนิกายจะคิดเห็นอย่างไร ไม่ว่าผู้เข้าแข่งขันจะมีพรสวรรค์หรือไม่ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้อมตะระดับสูง


ซูเฮายังกล่าวต่อ “ตอนนี้ในสายตาของสมาชิกนิกาย จ้าวเหลียนหยุนอาจเป็นปีศาจต่างโลก แต่นางมีความรักและภักดีต่อคนรักของนาง นางคุกเข่าต่อหน้าคู่ต่อสู้ของนาง เรื่องนี้ทุกคนรู้ดี ในแง่ของพรสวรรค์ มันไม่สำคัญตราบเท่าที่พวกเราเต็มใจ เราสามารถยกระดับพรสวรรค์ของนางได้อย่างง่ายดาย ข้าเชื่อว่าทุกท่านเคยได้ยินประสบการณ์ของนางในภาคเหนือมาแล้ว นางเป็นชนชั้นสูงที่มีความสามารถอันโดดเด่น และสุดท้ายในแง่ของความเห็นชอบของทุกคนที่นี่ เริ่มจากข้า ข้ายอมรับจ้าวเหลียนหยุน ข้าสนับสนุนให้นางเป็นผู้นำนิกายรุ่นต่อไป!”


“ข้าเห็นด้วย” หลี่จุนอิงเร่งสนับสนุน


นางเป็นภรรยาของซูเฮา ทั้งสองย่อมมีความคิดเห็นเหมือนกันในเรื่องนี้


นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก


แต่ฉากต่อไปกลับสร้างความตกตะลึงให้กับทุกคน


“ข้าเห็นด้วยกับซูเฮา”


“ข้าเห็นด้วยกับความคิดของซูเฮา”


“กระทั่งวิญญาณแห่งความรักยังยอมรับจ้าวเหลียนหยุน แล้วข้าจะกล่าวสิ่งใดได้อีก”


ในครั้งเดียวผู้อมตะระดับหกห้าคนเห็นด้วยกับคำกล่าวของซูเฮา


เทพธิดาไป่ชิงไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป


นางรู้สึกว่า ‘ดูเหมือนทุกคนที่นี่จะเห็นด้วยกับซูเฮา พวกเขาคิดว่าตำแหน่งผู้นำรุ่นต่อไปของนิกายคฤหาสน์วิญญาณควรเป็นของจ้าวเหลียนหยุน’


เทพธิดาไป่ชิงเป็นผู้อมตะของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ แต่มากกว่านั้นนางเป็นมารดาของฟงจินฮวง


ตำแหน่งผู้นำรุ่นต่อไปของนิกายคฤหาสน์วิญญาณมีความพิเศษมาก


นางจะกลายเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ได้รับการดูแลอย่างดีจากนิกาย พวกเขาจะลงทุนกับนางและทำให้นางเติบโตเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ


นิกายคฤหาสน์วิญญาณไม่เพียงต้องการผู้เชี่ยวชาญรุ่นเก่าแต่พวกเขายังต้องการผู้อมตะรุ่นใหม่เพื่อทำให้ระบบสามารถดำเนินต่อไป


เทพธิดาไป่ชิงเคยเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณมาก่อน นางมีประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับเรื่องนี้


แม้ฟงจิวเก้อและเทพธิดาไป่ชิงจะสามารถดูแลฟงจินฮวงและทำให้นางก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะได้อย่างง่ายดาย แต่การสนับสนุนชนิดนี้จะเปรียบเทียบกับการสนับสนุนจากนิกายได้อย่างไร


เทพธิดาไป่ชิงไม่ต้องการเห็นบุตรสาวของนางสูญเสียโอกาสสำคัญ


แต่นางก็เข้าใจอย่างลึกซึ้ง ‘ตอนนี้สถานการณ์ของฮวงเอ๋อเสียเปรียบมาก!’


ตามกฎของนิกาย เมื่อวิญญาณแห่งความรักยอมรับบางคน ไม่ว่าพวกเขาจะไม่ชอบหรือคนผู้นั้นจะมีพรสวรรค์ที่เลวร้ายเพียงใด พวกเขาก็จะกลายเป็นผู้นำนิกายคนใหม่อย่างไม่มีข้อแม้


เนื่องจากกฎข้อนี้ หลังจากซูเฮากล่าวจบ ผู้อมตะหลายคนจึงออกปากอนุมัติและสนับสนุน


ในความเป็นจริงอำนาจทางการเมืองของซูเฮาไม่มั่นคง โดยปกติเขาจะไม่ได้รับการสนับสนุนเช่นนี้


‘แม้กฎของนิกายจะเป็นเช่นนั้น แต่มันยังไม่ใช่สถานการณ์ที่สิ้นหวังเพราะในประวัติศาสตร์ของนิกาย เราเคยมีผู้นำที่ได้รับการคัดเลือกจากกฎข้อนี้แต่สุดท้ายนางกลับ…’


เทพธิดาไป่ชิงคิดถึงเรื่องนี้และกำลังจะกล่าว


แต่ในจังหวะนี้ฟงจิวเก้อกลับกดมือนางเบาๆ


“อย่ากระวนกระวาย”


“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการกล่าวถึงโม่เหยา เวลานั้นนางเป็นเพียงทาสมนุษย์หมึก แต่นางได้รับการยอมรับจากวิญญาณแห่งความรักและได้รับการสนับสนุนจากทุกคนและยังสามารถปฏิรูปโป้ชิง แต่สุดท้ายนางกลับทรยศต่อนิกายและท้าทายวังสวรรค์”


ฟงจิวเก้อถ่อยทอดเสียง


เทพธิดาไป่ชิงหยักหน้าและตอบกลับอย่างลับๆ “ถูกต้อง นี่เป็นความหวังเดียวของฮวงเอ๋อ ตราบเท่าที่เราใช้จุดนี้โต้แย้ง  ด้วยความแข็งแกร่งทางการเมืองของพวกเรา เราอาจสามารถเอาชนะกฎข้อนี้ ท้ายที่สุดกฎก็ถูกสร้างขึ้นโดยผู้คน กฎนี้ไม่สมเหตุสมผล!”


แต่ฟงจิวเก้อปฏิเสธความคิดของเทพธิดาไป่ชิง “ซูเฮาเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา เหตุใดเขาจึงไม่พูดถึงกฎของนิกายในประโยคก่อนหน้านี้ เขากล่าวถึงเงื่อนไขสามข้อแรกเท่านั้นและดูเหมือนจะลืมกฎข้อนี้ที่ทำให้เขาได้เปรียบมากที่สุดไป”


เทพธิดาไป่ชิงตะลึง


ฟงจิวเก้อกล่าวต่อ “นี่คือแผนการของเขา มันเป็นกับดักที่ล่อลวงให้เจ้ากล่าวถึงเรื่องนี้ เจ้าจะตกหลุมพรางของเขา แม้โป้ชิงและโม่เหยาจะก่อเหตุเหล่านั้น กฎของนิกายก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง หลังการต่อสู้ที่ภูเขาอี้เทียน นิกายของเราถูกกดันอย่างหนัก แต่กฎของเราก็ยังไม่เปลี่ยน นี่เป็นปัญหาฝังลึกเกินกว่าที่ตาเห็น หากเจ้าต้องการใช้อำนาจทางการเมืองเพื่อท้าทายมัน เราจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้และสูญเสียอย่างน่าสังเวช ขณะที่ซูเฮาจะได้รับทุกสิ่งที่เขาต้องการ”


ร่างกายของเทพธิดาไป่ชิงปกคลุมไปด้วยเหงื่ออันเย็นเยียบเมื่อได้ยินเรื่องนี้


“ข้าใจร้อนเกินไป” เทพธิดาไป่ชิงตระหนักถึงข้อผิดพลาดของตน


“เพราะมันเกี่ยวข้องกับฮวงเอ๋อ ข้าร้อนใจเนื่องจากความรัก ไม่ มีเหตุผลอื่น ข้ากลายเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดและได้รับวิญญาณอมตะระดับเจ็ด นี่ทำให้ข้ามั่นใจในตนเองมากเกินไป เพราะข้าเป็นฝ่ายธรรมะที่พลังการต่อสู้ไม่ใช่ทุกสิ่ง หากสามีไม่เตือนข้า ข้าคงทำเรื่องผิดพลาดร้ายแรงไปแล้ว”


เทพธิดาไป่ชิงมองฟงจิวเก้อโดยไม่รู้ตัว


นางรู้สึกราวกับได้รับการปกป้องจากสามี แม้ฟงจิวเก้อจะมาจากเส้นทางสายปีศาจ แต่หลังจากหลายปีเขาสามารถแสดงทักษะของการอยู่ในนิกายได้อย่างไร้ที่ติ นิกายของฝ่ายธรรมะไม่ได้ต้องการเพียงพลังการต่อสู้แต่ความสามารถทางการเมืองเป็นสิ่งสำคัญมาก มิฉะนั้นฝ่ายของฟงจิวเก้อจะมีวันเวลาที่สดใสเช่นทุกวันนี้ได้อย่างไร


“เนื่องจากท่านสามารถเปิดโปงกับดักของซูเฮา ข้าก็จะมอบความไว้วางใจให้กับท่าน” เทพธิดาไป่ชิงถ่ายทอดเสียงอย่างลับๆด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรัก


ฟงจิวเก้อเผยรอยยิ้มขมขื่น “เรื่องนี้ข้าจะไม่เข้าไปยุ่งเพราะการแทรกแซงไม่มีประโยชน์”


“ท่านหมายความว่าอย่างไร?” เทพธิดาไป่ชิงตะลึง


ฟงจิวเก้อไม่ได้กล่าวสิ่งใดแต่มองขึ้นไปบนท้องฟ้า


‘พวกเขาไม่ตกลงหลุมพราง…’ ซูเฮากำลังรอให้บางคนกระโดดลงไป แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับไม่มีผู้ใดกล่าวคัดค้าน กระทั่งฟงจิวเก้อยังนิ่งเงียบ นี่ทำให้ซูเฮารู้สึกเสียดายมาก


เขารวบรวมความคิดและกลับมามั่นใจ ‘ลืมมันไปซะ! เมื่อไม่มีผู้ใดคัดค้าน เรื่องก็ถูกตัดสินแล้ว’


แต่ในจังหวะนี้ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งกลับเปิดปากกล่าว “ข้าเข้าใจความคิดของพวกเจ้า แต่จ้าวเหลียนหยุนมีภูมิหลังที่พิเศษ นางเป็นปีศาจต่างโลก ข้าจะรายงานผลการประชุมให้กับตัวตนระดับสูงและให้พวกเขาตัดสินใจ”


“อันใด!?” ซูเฮาตกตะลึงไปอย่างสมบูรณ์


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1223 เข้าสู่ค่ายกลวิญญาณ


แปลโดย iPAT 


ภาคใต้


ภูเขาอี้เทียน


“ท่านวูอี้ไห่เชิญทางนี้” วูอันโค้งคำนับและนำทาง


ฟางหยวนพยักหน้าตอบรับอยู่ด้านหน้าค่ายกลวิญญาณ


“เชิญท่านก่อน” วูอันหลีกทางให้ฟางหยวนด้วยรอยยิ้ม


ตอนนี้ตัวตนของวูอี้ไห่เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในโลกของผู้อมตะภาคใต้


ฟางหยวนมายังค่ายกลวิญญาณและกลายเป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบอาณาจักรแห่งความฝันของตระกูลวู วูอันเป็นเพียงผู้อมตะระดับหก ดังนั้นเขาจึงกลายเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาสายตรงของฟางหยวน


วูอันบินออกมาจากค่ายกลวิญญาณและเดินทางเป็นเวลาสองวันสองคืนเพื่อออกไปรับฟางหยวนด้วยตนเอง


เมื่อเขาพบฟางหยวน เขาก้มศีรษะลงทันที ไม่ว่าฟางหยวนจะถามสิ่งใด เขาก็จะตอบคำถามอย่างสุดความสามารถ หากฟางหวนต้องการเตะก้นเขา เขาจะย้ายก้นไปที่ขาของฟางหยวนเพื่อที่ฟางหยวนจะได้เตะก้นของเขาได้สะดวกสบายมากขึ้น


นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ฟางหยวนเข้าใจสถานการณ์ในปัจจุบันเป็นอย่างดี


ฟางหยวนเดินเข้าไปในค่ายกลวิญญาณโดยมีวูอันติดตามอยู่ด้านหลัง


ผู้อมตะหลายคนลอบมองฉากนี้อย่างลับๆ


“วูอี้ไห่มายังภาคใต้เมื่อไม่นานมานี้ เขาใช้ท่าไม้ตายอมตะของตระกูลวูเพื่อกำจัดสถานะผู้อมตะของทะเลตะวันออก ตอนนี้เขากลายเป็นผู้อมตะของภาคใต้ที่แท้จริงไปแล้ว” ปาฉวนฟงกล่าวกับผู้อมตะที่อยู่ด้านข้างอย่างระมัดระวัง


คนที่อยู่ด้านข้างไม่ใช่ผู้ใดนอกจากผู้อมตะระดับเจ็ดบนจุดสูงสุดของภาคใต้เฒ่าพฤกษาปาเต๋อ


ปาเต๋อกล่าว “คอยดูกันต่อไป”


หลังกล่าวจบคำ ปาเต๋อหันหลังและจากไปทันที


เขาแสดงออกราวกับการปรากฏตัวของวูอี้ไห่ไม่มีความสำคัญกับเขา


ปาฉวนฟงรู้สึกผิดหวัง


เขาต้องการเห็นการตอบสนองจากปาเต๋อ วูอี้ไห่มาที่นี่แต่เขาเป็นคนใหม่ ไม่ว่าจะเป็นโลกของผู้อมตะภาคใต้หรือในค่ายกลวิญญาณ เขาก็เป็นคนใหม่


วูตู๋ซิ่วเสียชีวิตไปแล้ว ตระกูลวูเหลือผู้อมตะระดับแปดเพียงคนเดียว นั่นทำให้ความแข็งแกร่งของตระกูลวูลดลงอย่างมาก หลายกองกำลังกำลังรอเวลาที่จะโจมตีพวกเขาโดยเฉพาะตระกูลปา


ในอดีตตระกูลวูมีความแข็งแกร่ง ปาฉวนฟงไม่พอใจกับเรื่องนี้ แต่ตอนนี้เมื่อวูตู๋ซิ่วเสียชีวิตไปแล้วขณะที่วูอี้ไห่เป็นเพียงคนใหม่ ดังนั้นปาฉวนฟงจึงต้องการกำหราบวูอี้ไห่เพื่อระบายความหงุดหงิด


น่าเสียดายที่ปาเต๋อไม่ตอบสนองความต้องการของเขา


ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ความสามารถที่แท้จริงของวูอี้ไห่


ปาเต๋อเป็นจิ้งจอกเฒ่าที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ หากวูอี้ไห่ไร้เดียงสาหรือมีความแข็งแกร่งไม่เพียงพอ เขาก็ไม่รังเกียจที่จะทำให้ตระกูลปาเป็นผู้ปกครองและมีอำนาจสูงสุดในค่ายกลวิญญาณแห่งนี้


ในค่ายกลวิญญาณมีพื้นที่กว้างใหญ่ สิบสามกองกำลังฝ่ายธรรมะกระจายตัวกันไปปกป้องพื้นที่ต่างๆ พื้นที่ของตระกูลวูมีขนาดใหญ่เป็นอันดับหนึ่ง กองกำลังเดียวที่สามารถเทียบเคียงตระกูลวูมีเพียงตระกูลปา กระทั่งตระกูลไท่และตระกูลเฉิงก็ยังด้อยกว่า


ฟางหยวนได้รับข้อมูลจากตระกูลวูและมีวูอันคอยนำทาง ดังนั้นเขาจึงไม่หลงทางไปที่อื่น


ในไม่ช้าพวกเขาก็พบกับผู้อมตะของตระกูลวูอีกคน วูเหลียว


คนผู้นี้มีไหล่กว้าง เอวบาง มีเคราเหมือนเข็มอยู่ใต้คาง และดูกล้าหาญ เขาทักทายฟางหยวนโดยไม่มีท่าทีอ่อนน้อม “ท่านวูอี้ไห่ โปรดอภัยให้ข้าด้วยที่ไม่ได้ออกไปรับท่าน ข้าได้รับมอบหมายให้อยู่ที่นี่”


น้ำเสียงของเขาสงบนิ่งและเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจในตัวเอง


ฟางหยวนรู้สึกขบขัน วูอันกับวูเหลียวเป็นผู้อมตะระดับหกทั้งคู่ แต่ทัศนคติของพวกเขากลับตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง


เดิมทีมีผู้อมตะระดับเจ็ดของตระกูลวูอยู่ที่นี่ แต่เมื่อฟางหยวนเข้ามา ผู้อมตะระดับเจ็ดผู้นั้นก็ถูกย้ายออกไป


ตระกูลวูเป็นกองกำลังอันดับหนึ่งของภาคใต้ แต่พวกเขามีผู้อมตะอยู่อย่างจำกัด ผู้อมตะทุกคนมีความสำคัญและต้องใช้อย่างชาญฉลาด


“เรามาแก้ปัญหาหลักกันก่อน ข้าแน่ใจว่าเจ้าได้ยินคำสั่งจากตระกูลของเราแล้ว นำข้าไปปรับแต่งวิญญาณอมตะทั้งสองของข้า” ฟางหยวนกล่าว


นี่เป็นภารกิจที่สำคัญที่สุด


วูเหลียวเห็นวูอี้ไห่เริ่มทำงานทันที นั่นทำให้เขาเริ่มยอมรับฟางหยวน


วูอันรีบวิ่งไปเข้าไปหาฟางหยวนและเผยรอยยิ้มเย้ยหยันให้กับวูเหลียว “นายท่าน เชิญทางนี้ ข้าจะนำทางท่านไปเดี๋ยวนี้”


ครู่ต่อมาฟางหยวนประสบความสำเร็จในการปรับแต่งวิญญาณอมตะทั้งสองดวง


การปรับแต่งวิญญาณอมตะของผู้อื่นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ด้วยความร่วมมือของตระกูลวู มันจึงแตกต่างออกไป


ในที่สุดฟางหยวนก็สามารถถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก


เขารู้ว่าในคลังสมบัติของตระกูลวูมีวิญญาณอมตะที่ดีกว่าและเหมาะสมกับเขามากกว่า แต่เขายังเลือกวิญญาณอมตะสองดวงนี้


เขาทำเช่นนี้เพราะขามีเป้าหมาย


ด้วยวิญญาณอมตะสองดวงนี้ ฟางหยวนจะสามารถบ่มเพาะอยู่ในค่ายกลวิญญาณแห่งนี้


จากนี้ไปกระทั่งตระกูลวูจะต้องการย้ายฟางหยวนออกไป พวกเขาก็ต้องพิจารณาถึงประเด็นนี้!


ค่ายกลวิญญาณถูกสร้างขึ้นแล้ว วิญญาณอมตะทั้งหมดเชื่อมต่อถึงกัน การเปลี่ยนวิญญาณอมตะแม้แต่ดวงเดียวจะส่งผลกระทบต่อค่ายกลวิญญาณทั้งหมด เรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อขั้วอำนาจต่างๆอย่างรุนแรง


“นายท่าน ข้าเตรียมอาหารเย็นไว้ให้ท่านแล้ว” หลังจากฟางหยวนปรับแต่งวิญญาณอมตะ วูอันเร่งเข้ามาปรนนิบัติเขา


ฟางหยวนไม่ตอบแต่ก่นเสียงฮึดฮัด


วูอันรู้สึกราวกับได้ยินเสียงดนตรีจากสวรรค์ เขารีบนำทาง “นายท่าน เชิญทางนี้”


วูเหลียวก่นเสียงเย็นและแสดงออกด้วยสายตารังเกียจ


แต่ฟางหยวนกลับเปิดปากกล่าว “วูเหลียว ตามเรามา ข้ามีบางอย่างจะถามพวกเจ้าทั้งสอง”


“ทราบแล้ว” วูเหลียวตอบกลับ


งานเลี้ยงจัดได้ค่อนข้างดี มันเต็มไปด้วยอาหารและสุราเลิศรส


ฟางหยวนนั่งอยู่บนเก้าอี้หลักขณะที่วูอันและวูเหลียวนั่งทางซ้ายและขวาตามลำดับ


ฟางหยวนไม่สามารถฟังความข้างเดียวจากวูอัน มิฉะนั้นข้อมูลบางอย่างอาจไม่ตรงกันความเป็นจริง ดังนั้นระหว่างงานเลี้ยง เขาจึงถามคำถามมากมายกับคนทั้งสอง


วูอันและวูเหลียวตอบทุกคำถาม


หลังจากงานเลี้ยงจบลง ฟางหยวนได้รับความเข้าใจที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับสถานการณ์ในค่ายกลวิญญาณแห่งนี้


ฟางหยวนวางแผนที่จะบ่มเพาะอยู่ที่นี่อย่างลับๆไปอีกนาน


เขาต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย


ฝ่ายธรรมะกับฝ่ายปีศาจแตกต่างกัน  ฝ่ายปีศาจสามารถทำทุกสิ่งได้อย่างอิสระขณะที่ฝ่ายธรรมะต้องทำตามกฎ แล้วกฎของฝ่ายธรรมะคือสิ่งใด? มันไม่ใช่สิ่งใดนอกจากประเพณีที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างยาวนาน แต่ทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์


ฟางหยวนเข้าใจตั้งแต่แรกว่าต้องจัดการเรื่องต่างๆโดยใช้วิธีของฝ่ายธรรมะ หากเขาใช้วิธีของฝ่ายปีศาจ ศัตรูของเขาจะหัวเราะอย่างมีความสุขขณะที่ตระกูลของเขาจะผลักเขาออกไป กระทั่งวูหยงก็ยังต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของตระกูลเป็นหลักและย้ายฟางหยวนไปอยู่ที่อื่น


ตระกูลวูเคยเป็นตระกูลอันดับหนึ่ง แต่ตระกูลปา ตระกูลไท่ และตระกูลเฉิงไม่เต็มใจที่จะอยู่ภายใต้ตระกูลวู สำหรับตระกูลเฉียว พวกเขาป็นพันธมิตรที่ซื่อสัตย์ของตระกูลวูมาตลอด


แต่หลังจากการเสียชีวิตของวูตู๋ซิ่ว สถานการณ์เปลี่ยนไปมาก ตระกูลปากำลังตื่นเต้นและพร้อมที่จะโจมตีตระกูลวูโดยเฉพาะเฒ่าพฤกษาปาเต๋ิอ


ฟางหยวนได้เรียนรู้ว่าตระกูลปาเป็นคู๋แข่งหลักของพวกเขา


สำหรับตระกูลเฉียว


ฟางหยวนรู้สึกปวดหัวอยู่บ้าง


เขามาที่นี่และทำผิดข้อตกลงกับตระกูลเฉียว สำหรับทัศนคติของตระกูลเฉียวจะเป็นอย่างไร พวกเขาจะให้การสนับสนุนฟางหยวนต่อหรือไม่ เขายังไม่แน่ใจ


หลังงานเลี้ยงจบลง วูอันต้องการกล่าวบางสิ่งกับฟางหยวน แต่เขายังลังเล


วูเหลียวจากไปอย่างเงียบๆ เขามีความประทับใจที่ดีขึ้นต่อฟางหยวน คำถามที่ฟางหยวนถามระหว่างงานเลี้ยงเป็นคำถามที่ตรงประเด็นทั้งหมด วูเหลียวมีปัญหาในการตอบบางคำถาม แต่นั่นก็ทำให้เขารู้สึกมั่นใจในความสามารถของฟางหยวน


ความแข็งแกร่งเป็นรากฐานของฝ่ายธรรมะ แต่มันยังไม่เพียงพอ พวกเขาจำเป็นต้องมีทักษะทางการเมืองอีกด้วย


อย่างไรก็ตามหลังจากงานเลี้ยงผ่านไปหลายวัน ฟางหยวนยังไม่ปรากฏตัวในที่สาธารณะและเก็บตัวฝึกตนอยู่ในห้องของเขาเท่านั้น


“วูอี้ไห่เป็นเพียงผู้บ่มเพาะสันโดษจริงๆงั้นหรือ?” การกระทำของฟางหยวนคล้ายกับผู้บ่มเพาะสันโดษอย่างมาก


วูเหลียวรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เขาต้องการเจ้านายที่สามารถควบคุมสถานการณ์ ไม่ใช่เจ้านายที่เก็บตัวฝึกตนโดยไม่สนใจโลกภายนอก


วูอันรู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน


หลายวันที่ผ่านมา เขาหว่านล้อมฟางหยวนด้วยเหตุผลมากมาย แต่ฟางหวนปฏิเสธทั้งหมดและยังบอกว่าห้ามผู้ใดรบกวนหากไม่มีเรื่องสำคัญ


วูอันไม่สามารถบอกได้ว่าฟางหยวนกำลังคิดสิ่งใดอยู่ ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าใด เขาก็ยิ่งวิตกกังวลมากเท่านั้น


นอกจากวูอันยังมีผู้อมตะตระกูลอื่นที่รู้สึกกังวลเช่นกัน


เหตุผลง่ายมาก


มันเกี่ยวกับธุรกิจซื้อขายโอกาส!


ก่อนหน้านี้พวกเขาทำธุรกิจนี้ได้เพราะมีตระกูลวูเป็นผู้นำ


แต่เมื่อวูอี้ไห่ถูกย้ายมาแทนผู้อมตะระดับเจ็ดคนเดิมของตระกูลวู ธุรกิจซื้อขายโอกาสจึงต้องหยุดลงเพราะวูอี้ไห่เป็นเจ้าของวิญญาณอมตะที่สำคัญทั้งสองดวง


วูอันต้องการกอบกู้ธุรกิจซื้อขายโอกาสเพราะเขาได้รับประโยชน์มากมายจากเรื่องนี้ ในความเป็นจริงนี่เป็นแรงกระตุ้นที่ยิ่งใหญ่และทำให้เขากระตือรือร้นที่จะปรนนิบัติฟางหยวน


เดิมทีความสัมพันธ์ระหว่างฟางหยวนกับวูอันกำลังพัฒนาไปได้ด้วยดี แต่เมื่อฟางหยวนทำตัวผิดปกติ วูอันจึงรู้สึกแย่มาก


ธุรกิจซื้อขายโอกาสไม่สามารถกล่าวได้อย่างเปิดเผย หลังจากทั้งหมดนี่คือเรื่องทุจริต


วูอันรู้สึกไม่สบายใจมาก ดังนั้นเขาจึงกัดฟันและตัดสินใจเสี่ยง!


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1224 การล่อลวงของเทพธิดากระต่ายขาว (1)


แปลโดย iPAT 


“ผู้น้อยทักทายนายท่านวูอี้ไห่” ผู้อมตะหญิงคุกเข่าลงต่อหน้าฟางหยวน


นางอยู่ในชุดขนสัตว์สีขาวผืนเล็กๆสองผืนที่พันรอบอกและสะโพก นางเผยให้เห็นผิวสีขาวราวหิมะ นางมีหูเหมือนกระต่าย ดวงตาของนางเป็นสีแดงทับทิม จมูกของนางเล็กและน่ารัก ในแง่ของความงาม นางเป็นรองเพียงเฉิงซินซื่อและฟงจินฮวงเท่านั้น


ผู้อมตะหญิงก้นหน้าลงและวางหน้าผากไว้บนพื้น หน้าอกขนาดใหญ่ของนางถูกบีบรัดขณะที่สะโพกของนางเชิดขึ้นด้านบน นี่เป็นท่าทางที่ดึงดูดสายตาของผู้คนเป็นอย่างมาก


นางไม่ใช่ผู้ใดนอกจากเทพธิดากระต่ายขาว


นางดูบริสุทธิ์ น่ารัก ขณะเดียวกันก็ดูเย้ายวนใจและมีเสน่ห์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทัศนคติที่ศิโรราบของนางที่ทำให้เป้ากางเกงของผู้ชายส่วนใหญ่พุ่งออกมาได้อย่างง่ายดาย


เมื่อไม่นานมานี้ฟางหยวนเคยเสนอทรัพยากรให้กับหญิงผู้นี้เพื่อแลกกับข้อมูลของโลกผู้อมตะภาคใต้ แต่ผู้ใดจะคิดว่าตอนนี้หญิงคนเดิมกลับคุกเข่าลงและอ่อนน้อมราวกับยอมทำทุกอย่างเพื่อเขาเช่นนี้


‘นี่เป็นความพยายามที่จะล่อลวงข้า’


‘วูอันผู้นี้ยอมเสี่ยงและโกหกข้าโดยบอกว่ามีบางคนต้องการรายงานเรื่องสำคัญกับข้า สุดท้ายมันกลับเป็นเทพธิดากระต่ายขาว’


‘ดูเหมือนที่ผ่านมาข้าจะเก็บตัวนานเกินไป นั่นทำให้พวกเขากังวลมากและต้องใช้วิธีนี้’


‘วิธีโบราณและซ้ำซากแต่มันมีประสิทธิภาพสูง’


ฟางหยวนยืนขึ้นจากเก้าอี้และเดินเข้าไปหาเทพธิดากระต่ายขาว


หน้าผากของเทพธิดากระต่ายขาวยังวางอยู่บนพื้น แต่ฟางหยวนยังสังเกตเห็นร่างกายที่สั่นเทาของนาง


นางรู้สึกประหม่า


ฟางหยวนเคยพบเทพธิดากระต่ายขาวมาก่อน และด้วยประสบการณ์ห้าร้อยปี เขาสามารถบอกได้ว่าหญิงผู้นี้เป็นผู้บ่มเพาะสันโดษที่บริสุทธิ์ นี่ต้องเป็นครั้งแรกที่นางเสนอร่างกายให้กับบางคน


แน่นอนว่าการตัดสินของฟางหยวนอาจผิดพลาด แต่มีไม่กี่คนในห้าภูมิภาคที่สามารถหลอกลวงเขา


เทพธิดากระต่ายขาวรู้สึกประหม่ามาก


ความประหม่าทำให้หัวใจและร่างกายของนางสั่นสะท้าน


‘ปรากฏว่าการล่อลวงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย’ เทพธิดากระต่ายขาวลอบถอยหายใจอยู่ภายใน


นอกจากนี้นางยังรู้สึกอับอายและโกรธตนเอง


‘ข้าจะทำเช่นนี้จริงๆงั้นหรือ? เหตุใดข้าถึงทำตัวเช่นนี้? ข้าพยายามล่อลวงผู้ชายที่ไม่เคยพบมาก่อน!’ เทพธิดากระต่ายขาวรู้สึกซับซ้อน


นี่ไม่ใช่นิสัยของนาง ก่อนหน้านี้นางเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษที่บริสุทธิ์และไม่เคยขัดแย้งกับผู้ใด นางบ่มเพาะอยู่อย่างเงียบสงบ หากบางคนล้อเลียนนางเกี่ยวกับเรื่องนี้ในอนาคต นางจะต่อสู้จนตัวตายอย่างแน่นอน


‘ข้ามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร?’ เทพธิดากระต่ายขาวคิด


ก่อนหน้านี้วูอันไปหานางและบอกว่ามีโชคลาภมหาศาลที่ต้องการแบ่งปันกับนาง


ย้อนกลับไปเทพธิดากระต่ายขาวรู้สึกสงสัยและระวังตัวมาก นางคิดว่าเหตุใดจึงมีโชคลาภก้อนใหญ่เข้ามาหานางโดยไม่คาดคิด นางรู้สึกว่าวูอันอาจพยายามโกงเงินหรือต้องการร่างกายของนาง


แต่ไม่ใช่


เทพธิดากระต่ายขาวกลายเป็นผู้จัดการธุรกิจซื้อขายโอกาส นางเป็นคนกลางที่คอยติดต่อปีศาจอมตะและผู้บ่มเพาะสันโดษเพราะคนเหล่านั้นรู้สึกเชื่อใจนาง


แรกเริ่มธุรกิจยังไม่ดีนัก แต่หลังจากการบอกต่อของผู้คน ธุรกิจนี้ก็เริ่มดีขึ้น ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาหานางอย่างไม่ขาดสาย


เทพธิดากระต่ายขาวสามารถสะสมความมั่งคั่งได้มากกว่าความพยายามในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา


นางทั้งตกใจและดีใจมาก


แต่อุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดกับเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน


นางรู้ว่าวูตู๋ซิ่วเสียชีวิตขณะที่วูอี้ไห่รอดชีวิตและกลับมาถึงภาคใต้


แต่สิ่งที่เทพธิดากระต่ายขาวไม่คาดคิดก็คือเรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อนาง วูอี้ไห่ที่มีสถานะสูงส่งกลายเป็นผู้ดูแลค่ายกลวิญญาณของตระกูลวู


ธุรกิจซื้อขายโอกาสของนางต้องหยุดลง!


เนื่องจากธุรกิจนี้ไม่สามารถเปิดเผย ก่อนหน้าผู้อมตะระดับเจ็ดของตระกูลวูเป็นผู้อยู่เบื้องหลังธุรกิจนี้


แต่ตอนนี้เขาจากไปแล้วขณะที่วูอี้ไห่เข้ามาแทนที่


วูอันและคนอื่นๆไม่สามารถดำเนินธุรกิจนี้ได้อีกต่อไปเพราะพวกเขาไม่มีอำนาจ


พวกเขาไม่สามารถมองข้ามฟางหยวนและดำเนินธุรกิจลับหลังเขา


เนื่องจากธุรกิจนี้เกี่ยวข้องกับเจ็ดตระกูลเท่านั้น ตระกูลปา ตระกูลไท่ ตระกูลเฉิงไม่ได้เข้าร่วม


ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการผู้สนับสนุนที่มีอำนาจ


หยุดอยู่ตรงนี้?


ไม่อย่างแน่นอน!


ผู้อมตะมากมายได้รับผลประโยชน์จากเรื่องนี้ พวกเขายังต้องการดำเนินธุรกิจต่อไป


ดังนั้นฟางหยวนจึงกลายเป็นคนสำคัญของเรื่องนี้


วูอันได้รับมอบหมายให้ทำภารกิจนี้ วูเหลียวเป็นคนที่ไม่สามารถพึ่งพาเพราะเขาเป็นคนหัวโบราณและเคร่งครัดในกฎระเบียบ


วูอันพยายามตีสนิทฟางหยวนแต่ฟางหยวนกลับปิดประตูฝึกตน


สิ่งนี้ทำให้วูอันและผู้อมตะคนอื่นๆรู้สึกกังวลใจมาก


สถานการณ์ของปีศาจอมตะและผู้บ่มเพาะสันโดษก็แย่มากเช่นกัน


พวกเขาไม่สามารถเข้าสู่ค่ายกลวิญญาณและสำรวจอาณาจักรแห่งความฝัน เรื่องนี้ทำให้พวกเขารู้สึกผิดปกติและคิดว่าฝ่ายธรรมะต้องการโกงพวกเขาหรือไม่?


ผู้อมตะจำนวนมากปิดล้อมคฤหาสน์วิญญาณระดับมนุษย์บนยอดเขาของเทพธิดากระต่ายขาวและเรียกร้องคำตอบ


เทพธิดากระต่ายขาวตระหนักว่าตนเองตกอยู่ในอันตราย


หากธุรกิจนี้ไม่สามารถดำเนินต่อไป ไม่เพียงนางจะหมดอนาคตแต่นางอาจถูกหมาป่าเหล่านี้ฉีกกระชากเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและมีจุดจบที่น่าสมเพช


ในสถานการณ์นี้วูอันเข้ามาและใช้ลิ้นสองแฉกของเขาโน้มน้ามเทพธิดากระต่ายขาว


เทพธิดากระต่ายขาวถูกบังคับโดยสถานการณ์ นางไม่มีทางเลือกนอกจากต้องแต่งตัวยั่วยวนและมาพบฟางหยวนโดยใช้ความงามของนางล่อลวงผู้อมตะตระกูลวูผู้นี้เพื่อขอให้เขาออกมาจัดการธุรกิจซื้อขายโอกาส


“เงยหน้าขึ้น” เป็นเพียงเวลานี้ที่เทพธิดากระต่ายขาวได้ยินเสียงของฟางหยวน


ร่างของเทพธิดากระต่ายขาวสั่นสะท้าน หัวใจของนางเต้นผิดจังหวะ


นางสูดหายใจลึกและเงยหน้าขึ้นมองฟางหยวน


ฟางหยวนมองหญิงผู้นี้ด้วยท่าทางสง่างาม


“ยืนขึ้น” ฟางหยวนกล่าวต่อ


เทพธิดากระต่ายขาวเหมือนหุ่นไม้ที่ยืนขึ้นอย่างเชื่อฟัง


นางมีรูปร่างที่งดงามแต่ความสูงของนางอยู่ที่ระดับอกของฟางหยวนเท่านั้น นี่ทำให้นางเหมือนลูกสาวที่น่ารักของเพื่อนบ้าน


ทั้งสองยืนห่างกันไม่ถึงห้าเมตร


หัวใจของเทพธิดากระต่ายขาวเต้นระรัว การหายใจของนางผิดปกติ ขณะที่นางอ้าปากค้าง


เมื่อนางจำคำแนะนำของวูอันได้ นางจึงเริ่มก้าวเท้าออกไปและสวมกอดฟางหยวน


นางใช้แขนโอบรอบเอวของฟางหยวนและกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ายวน “นาย…นายท่านโปรดลงโทษสาวใช้ผู้นี้อย่างรุนแรง!”


นางพูดตะกุกตะกักและรู้สึกอับอายมาก


แม้นางจะบ่มเพาะมานานหลายปี แต่เทพธิดากระต่ายขาวก็ไม่เคยสนใจความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง สิ่งที่นางทำคือคำแนะนำจากวูอันทั้งหมด


‘กระต่ายขาว โอ้ กระต่ายขาว เจ้ากล่าวถ้อยคำที่น่าอับอายเช่นนี้อย่างมาได้อย่างไร? เจ้าพูดมันออกมาจริงๆ!’ ใบหน้าของเทพธิดากระต่ายขาวกลายเป็นสีแดง นางกำลังถามตัวเองอยู่ในใจเพราะนางไม่กล้าเชื่อว่าตนเองกำลังทำเรื่องเช่นนี้อยู่


ด้านนอก วูอันเดินไปรอบๆด้วยความกังวล


หากธุรกิจซื้อขายโอกาสหยุดลงและฟางหยวนปฏิเสธที่จะรับช่วงต่อ นั่นหมายความว่าเขาไม่ชอบความคิดนี้และจะเปิดเผยมัน


นี่มีความเป็นไปได้สูงมาก วูอี้ไห่ยังเป็นเด็ก เขาพึ่งกลับเข้าสู่ตระกูลวู เขาจำเป็นต้องพิสูจน์ตัวเองกับตระกูล


พี่ชายของเขาคือวูหยง เขาไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับทรัพยากรในการบ่มเพาะ ตอนนี้ผลประโยชน์มีความสำคัญน้อยกว่าชื่อเสียงของเขา


ในกรณีนี้ แม้เทพธิดากระต่ายขาวจะไม่ตาย แต่นางจะถูกผลักไปอยู่ฝ่ายปีศาจ


แม้วูอันจะไม่ตายเพราะเป็นสมาชิกของตระกูลวู เขาก็ยังต้องสูญเสียผลประโยชน์และถูกลงโทษ อนาคตของเขาจะพังทลายลง


เป็นเพียงเวลานี้ที่เขาได้ยินเสียงฝีเท้า


วูอันหันกลับไปมองเพียงเพื่อเห็นคนผู้หนึ่งยืนตัวตรงราวกับหอกที่ปลดปล่อยกลิ่นอายอันน่าประทับใจออกมา


วูอันรู้สึกไม่ดีนัก “วูเหลียว เจ้ามาที่นี่เพื่อสิ่งใด?”


วูเหลียวตะคอกเสียงเย็น “เพื่อสิ่งใดงั้นหรือ? มีคนไร้ยางอายต้องการล่อลวงท่านวูอี้ไห่ให้ทำความผิดร้ายแรง! ข้ามาที่นี่เพื่อบอกนายท่านทุกอย่างที่เจ้าทำ ข้าต้องการให้เขารู้แผนการและเจตนาร้ายของเจ้า!”


วูอันโกรธมากจนแทบระเบิด เขาชี้นิ้วไปที่วูเหลียวและกัดฟันกล่าว “วูเหลียว เจ้ากล้างั้นหรือ?”


เขาไม่พยายามติดสินบนวูเหลียว


เพราะวูเหลียวจะปฏิเสธมัน นี่คือบุคลิกของคนผู้นี้


ผู้อมตะทุกคนของตระกูลวูรู้จักบุคลิกของวูเหลียวเป็นอย่างดี


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1225 การล่อลวงของเทพธิดากระต่ายขาว (2)


แปลโดย iPAT 


 


วูเหลียวไม่ใสาใจวูอัน เขาโค้งคำนับไปที่ประตูและตะโกน “วูอันมีเจตนาร้าย วูเหลียวขอเข้าพบนายท่านเพื่อรายงานเขา!” 


 


หัวใจของวูอันราวกับถูกแช่แข็ง 


 


เขากลัว เขากลัวมาก 


 


เขากลัวว่าเมื่อประตูบานนี้ถูกเปิดออก เทพธิดากระต่ายขาวจะวิ่งออกมาพร้อมกับน้ำตา 


 


เมื่อเวลานั้นมาถึง เขาจะทำเช่นไร 


 


อย่างไรก็ตามประตูยังคงปิดราวกับฟางหยวนไม่ได้ยินสิ่งใด 


 


แต่มันจะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร 


 


ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ทั่วไป มันอยู่ในค่ายกลวิญญาณ ขณะที่ฟางหยวนเป็นเจ้าของวิญญาณอมตะที่สำคัญสองดวง เขาสามารถรับรู้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในอาณาเขตของตระกูลวู 


 


การกระทำของวูอันและวูเหลียวอยู่ภายใต้การรับรู้ของฟางหยวนทั้งหมด 


 


แล้วเขาจะไม่ได้ยินเสียงตะโกนของวูเหลียวได้อย่างไร 


 


เป็นไปไม่ได้! 


 


เมื่อเห็นฟางหยวนไม่สนใจ วูเหลียวผู้มีความมั่นใจกลับตกตะลึง 


 


เขารู้ว่าวูอันพยายามทุกวิถีทางเพื่อขอพบฟางหยวน วูเหลียวรู้จุดประสงค์ของเขา 


 


วูเหลียวไม่ได้ขัดขวางเพราะเขารู้ว่ามนุษย์ย่อมมีความโลภและเห็นแก่ตัว ผู้อมตะระดับเจ็ดคนก่อนหน้าเป็นหนึ่งในนั้น 


 


แต่ฟางหยวนไม่ได้พบวูอันในช่วงเวลาที่ผ่านมา นี่ทำให้วูเหลียวมีความสุขมาก 


 


เขาคิดว่าฟางหยวนปฏิเสธวูอันและไม่มีความสุขกับธุรกิจซื้อขายโอกาส 


 


‘ท่านวูอี้ไห่จะคิดอย่างไรหลังจากได้รับข้อเสนอ เขาพึ่งกลับเข้าตระกูล เขาต้องกังวลเกี่ยวกับชื่อเสียงของตน มิฉะนั้นเขาจะนำตระกูลวูสู่ความรุ่งโรจน์ในอนาคตได้อย่างไร?’ วูเหลียวคิด 


 


วูเหลียวหวังว่าฟางหยวนจะให้เขาเข้าพบ 


 


แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ? 


 


ประตูยังปิดแน่นราวกับกำแพงหรือภูเขาสูงที่ปิดกั้นหัวใจของวูเหลียว 


 


วูอันหัวเราะเสียงดัง 


 


เขาเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผาก จิตใจของเขากลับสู่ความสงบ 


 


การขอเข้าพบของวูเหลียวเป็นการตรวจสอบที่ดีที่สุด 


 


วูอันคิดทันทีว่าเขาเข้าใจความตั้งใจของฟางหยวนแล้ว 


 


วูเหลียวไม่เชื่อ เขาตะโกนอีกครั้งแต่ประตูยังปิดสนิทและไม่มีเสียงตอบรับ 


 


วูอันหัวเราะดังขึ้น ตอนนี้เขารู้สึกมั่นใจมาก 


 


เขากล่าว “วูเหลียว หยุดกรีดร้อง นายท่านมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ อย่ารบกวนท่าน” 


 


การแสดงออกของวูเหลียวกลายเป็นมืดมนและน่าเกลียด 


 


วูอันยิ้มเยาะและส่ายศีรษะ 


 


วูเหลียวดูแคลนวูอันขณะที่วูอันรู้สึกว่าวูเหลียวเป็นคนดื้อรั้นเกินไป เขาไม่รู้วิธีสร้างความสัมพันธ์กับผู้คน 


 


‘ดูเหมือนว่าผลลัพธ์จะเป็นที่น่าพอใจ’ 


 


‘เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เทพธิดากระต่ายขาวงดงามมาก เมื่อข้าเห็นนางครั้งแรกในชุดนั้น หัวใจของข้าแทบพุ่งออกมาทางปาก ข้าอยากกอดและถูไถร่างกายของนาง!’ 


 


‘เมื่อได้เห็นความงามของเทพธิดากระต่ายขาว ตราบเท่าที่คนผู้หนึ่งเป็นผู้ชาย พวกเขาย่อมถูกล่อลวง! ท่านวูอี้ไห่เป็นเด็กหนุ่มและแข็งแรง อำนาจและหญิงงามย่อมสามารถตอบสนองอัตตาของเขา นอกจากนี้เขายังเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษของทะเลตะวันออกขณะที่เทพธิดากระต่ายขาวก็เป็นผู้บ่มเพาะสันโดษของภาคใต้ การบ่มเพาะอย่างสันโดษย่อมทำให้พวกเขาเข้าใจกัน สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเทพธิดากระต่ายขาวเป็นหญิงพรหมจรรย์ เมื่อชายหญิงพบกัน พวกเขาจะหลอมรวมกันกันอย่างเร้าร้อน! ฮ่าฮ่าฮ่า’ 


 


ขณะที่เขากำลังคิดถึงเรื่องนี้ มันกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น 


 


ประตูเปิดออก เทพธิดากระต่ายขาวยืนอยู่ต่อหน้าผู้อมตะทั้งสองของตระกูลวู 


 


“เกิดสิ่งใดขึ้น? เจ้าออมาแล้วงั้นหรือ? เหตุใดจึงรวดเร็วนัก!?” วูอันประหลาดใจมาก 


 


“นายท่านต้องได้ยินคำกล่าวของข้าและส่งหญิงผู้นี้ออกมา” วูเหลียวดีใจมากแต่เมื่อเขาเห็นเทพธิดากระต่ายขาว ร่างกายของเขากลับแข็งค้าง 


 


ความงามของเทพธิดากระต่ายขาวทำให้หัวใจของเขาสั่นไหว เขาต้องยอมรับว่าเทพธิดากระต่ายขาวงดงามมาก 


 


“เจ้าทำไม่สำเร็จงั้นหรือ?” หัวใจของวูอันจมดิ่งลงสู่ก้นบึ้ง 


 


แต่ในไม่ช้าเขาก็สังเกตเห็นว่าเทพธิดากระต่ายขาวเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้ว นางไม่ได้สวมชุดขนสัตว์สีขาวอีกต่อไป 


 


นอกจากนี้! 


 


สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของวูอันมากที่สุดก็คือเทพธิดากระต่ายขาวสวมตุ้มหูหยกคู่หนึ่งที่มีรูปร่างเหมือนลูกบอล 


 


นี่เป็นประเพณีของภาคใต้ 


 


เมื่อผู้หญิงแต่งงาน พวกเขาจะสวมตุ้มหูชนิดนี้เพื่อแสดงว่านางได้เป็นหนึ่งเดียวกับผู้ชายของนางแล้ว 


 


วูอันดีใจมาก เขามีความสุขมาก 


 


ใบหน้าของวูเหลียวกลายเป็นซีดขาว เขาเห็นตุ้มหูหยกของเทพธิดากระต่ายขาวแล้ว 


 


“เจ้าทำสำเร็จหรือไม่?” วูอันเดินเข้าไปถามอย่างระมัดระวัง 


 


เทพธิดากระต่ายขาวแสดงท่าทางแปลกๆ นางพยักหน้าแต่ไม่พูด 


 


วูอันพ่นลมหายใจออกมา แรงกดดันทำให้เขาไม่สามารถปรับตัวกับความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและทำให้เขาแทบล้มลงบนพื้น 


 


‘แต่เหตุใดถึงเร็วนัก?’ วูอันคิด ‘อย่าบอกว่าท่านวูอี้ไห่เป็น…นกกระจอก…สิ่งนี้หาได้ยากในภาคใต้ ฮ่าฮ่า หากเป็นเช่นนั้นข้าจะเสนอวิญญาณที่มีประโยชน์ให้กับท่านวูอี้ไห่ในอนาคต แต่ท่านวูอี้ไห่เป็นผู้อมตะระดับเจ็ด วิญญาณเหล่านี้อาจไม่ได้ผล’ 


 


‘ไข่มุกหยกคู่นี้ถูกมอบให้ข้าโดยท่านวูอี้ไห่ ท่านให้ข้าไล่พวกเจ้าไป ท่านจะปิดประตูฝึกตน เจ้าสามารถปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าและอย่ามารบกวนท่านอีก’ เทพธิดากระต่ายขาวกล่าว 


 


หลังจากนางกล่าวจบประโยค วูอันหันหน้าไปมองวูเหลียวด้วยใบหน้าของผู้ชนะ 


 


ร่างกายของวูเหลียวสั่นสะท้านขึ้น เขาถอยหลังไปหนึ่งก้าวและมองวูอันด้วยความโกรธก่อนจะจากไปอย่างรวดเร็ว 


 


“ท่านวูอัน ไปด้วยกันเถอะ” เทพธิดากระต่ายขาวกล่าว 


 


“อย่าเรียกข้าว่าท่าน เรียกข้าด้วยชื่อของข้า” วูอันแสดงออกด้วยความสุภาพ 


 


ตอนนี้สถานะของเทพธิดากระต่ายขาวเปลี่ยนไปแล้ว 


 


วูอี้ไห่ไม่เพียงรับความบริสุทธิ์ของนางแต่ยังมอบตุ้มหูหยกให้นาง นี่หมายความว่าเขายอมรับนางเป็นนางบำเรอของเขา 


 


เทพธิดากระต่ายขาวรู้สึกได้ถึงทัศนคติที่เปลี่ยนไปของวูอัน นี่ทำให้นางเกิดความรู้สึกที่ซับซ้อน 


 


นางกล่าว “แท้จริงแล้วท่านวูอี้ไห่มีบางคำฝากถึงท่านโดยเฉพาะ” 


 


“เทพธิดา เชิญกล่าว” วูอันกล่าวอย่างเคร่งขรึม 


 


เทพธิดากระต่ายขาวพูดเรื่องที่น่าตกใจ “ในความเป็นจริง…ท่านวูอี้ไห่ไม่ได้เข้าหอกับข้า” 


 


“อันใด!?” วูอันตกใจมาก 


 


ฉากก่อนหน้านี้ปรากฏขึ้นในใจของเทพธิดากระต่ายขาวอีกครั้ง 


 


ขณะที่นางกำลังเดินเข้าไปสวมกอด นางรู้สึกถึงมือที่แข็งแกร่งคู่หนึ่งคว้าไหล่ของนางเอาไว้ 


 


พลังงานที่อบอุ่นถูกปล่อยออกมาจากมือคู่นี้และไม่ยอมให้มีการต่อต้านใดๆ เทพธิดากระต่ายขาวถูกผลักออกจากร่างของฟางหยวนอย่างแผ่วเบา 


 


ใบหน้าของเทพธิดากระต่ายขาวกลายเป็นเป็นซีดขาว นางรู้สึกราวกับกำลังจะหมดสติ 


 


แต่ในช่วงเวลาต่อมา นางกลับได้ยินเสียงของฟางหยวน “ก่อนหน้านี้ข้าเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษอยู่ในทะเลตะวันออก ข้าเข้าใจความเจ็บปวดของผู้บ่มเพาะสันโดษอย่างชัดเจน หากเจ้าต้องการรสชาติที่หอมหวาน เจ้าต้องจ่ายด้วยบางสิ่ง ข้าแน่ใจว่าตอนนี้เจ้าเข้าใจแล้ว อย่างไรก็ตามข้าไม่ต้องการฉกฉวยผลประโยชน์จากคนที่กำลังลำบาก” 


 


หลังกล่าวจบประโยค เทพธิดากระต่ายขาวเห็นวิญญาณดวงหนึ่งลอยเข้ามาหา 


 


“นี่คือวิญญาณอาภรณ์ เปลี่ยนชุดให้เรียบร้อยและมาคุยกัน” เสียงของฟางหยวนดังขึ้นอีกครั้ง 


 


เทพธิดากระต่ายขาวเปลี่ยนชุดอย่างเชื่อฟัง 


 


เมื่อนางเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง นางก็เห็นฟางหยวนเผยรอยยิ้มบางให้กับนาง “แม้ข้าจะเข้าร่วมตระกูลวู แต่ข้าก็ยังเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษและไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เจ้าสามารถพิจารณาว่าวิญญาณดวงนี้เป็นของขวัญจากสหายผู้บ่มเพาะสันโดษเช่นเดียวกัน’ 


 


หัวใจของเทพธิดากระต่ายขาวสั่นไหว นางรู้สึกประทับใจมาก 


 


ในครั้งเดียวนางเริ่มสะอื้น น้ำตาไหลลงมาจากดวงตาของนางและทำให้การมองเห็นของนางกลายเป็นพร่ามัว 


 


แต่ท่ามกลางความพร่ามัว นางสามารถสัมผัสได้ถึงรอยยิ้มของฟางหยวน มันทั้งอบอุ่นและอ่อนโยนเหมือนแสงแดดยามเช้าที่ส่องลงมาที่หัวใจของนาง มันทำให้นางรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย 


 


“อย่างไรก็ตามข้าเข้าใจความตั้งใจของเจ้าและวูอัน ดังนั้นนำสิ่งนี้ติดตัวไปด้วย” ฟางหยวนกล่าวขณะส่งตุ้มหูหยกคู่หนึ่งให้นาง 


 


ด้วยความสามารถของเขา การสร้างสิ่งนี้ต้องใช้เพียงหนึ่งความคิดเท่านั้น 


 


เทพธิดากระต่ายขาวรับตุ้มหูหยกไว้ด้วยน้ำตาคลอเบ้า 


 


“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเจ้าคือผู้หญิงของข้า” ฟางหยวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม 


 


เทพธิดากระต่ายขาวพยักหน้าเล็กน้อย 


 


“ทำธุรกิจของเจ้าต่อไป แต่ข้าจะไม่รับช่วงต่อ หากมีสิ่งใดเกิดขึ้น ข้าสามารถช่วยได้อย่างลับๆ แต่ข้าจะไม่ออกหน้าอย่างเป็นทางการ” 


 


“นี่เป็นการละเมิดผลประโยชน์ของกองกำลังฝ่ายธรรมะอื่นๆ ท้ายที่สุดค่ายกลวิญญาณทั้งหมดก็ถูกสร้างขึ้นจากความพยายามของทุกคน” 


 


“ข้าพึ่งมาถึงภาคใต้ ข้ายังไม่ได้สร้างตัว ข้าไม่สามารถรับผลประโยชน์เล็กๆน้อยๆเหล่านี้” 


 


“เจ้าเป็นคนฉลาด เจ้าเข้าใจความหมายของข้าใช่หรือไม่?” 


 


“ข้าเข้าใจ” เทพธิดากระต่ายขาวตอบด้วยเสียงสั่นเทา 


 


“กลับไปเถอะ ถ่ายทอดข้อความของข้ากับวูอันและคนรอบข้างเขา กำไรส่วนของข้าจะตกเป็นของเจ้า” ฟางหยวนส่งนางออกไป 


 


เทพธิดากระต่ายขาวต้องการมองฟางหยวนอีกครั้ง แต่นางไม่สามารถเงยหน้าขึ้นได้ 


 


นางก้มศีรษะลงขณะเดินจากไป 


 


สถานการณ์ดีกว่าที่นางคิดไว้มาก 


 


สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้ชื่อของวูอี้ไห่ถูกจารึกไว้ในส่วนลึกที่สุดของจิตวิญญาณของนางเรียบร้อยแล้ว 


 


“ข้าเข้าใจแล้ว!” หลังจากได้ยินเรื่องเล่าของเทพธิดากระต่ายขาว หน้าผากของวูอันก็เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ 


 


เขามองไปยังที่พักของฟางหยวน ความชื่นชมและความเคารพสามารถมองเห็นได้จากสายตาของเขา 


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1226 กฎของฝ่ายธรรมะ


แปลโดย iPAT 


ฟางหยวนค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นบนเตียง


ที่นี่คือค่ายกลวิญญาณที่กองกำลังฝ่ายธรรมะของภาคใต้ร่วมกันสร้างขึ้น มันปลอดภัยมาก แต่ฟางหยวนยังต้องตรวจสอบอย่างรอบคอบก่อนที่เขาจะลงมือกระทำการใดๆ


ตั้งแต่กำเนิดใหม่ ฟางหยวนฝึกฝนตนเองโดยไม่ยอมเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์


การนอนครั้งนี้ก็เช่นกัน


ฟางหยวนเข้าสู่อาณาจักรแห่งความฝันของตนเองและได้รับทรัพยากบนเส้นทางแห่งความฝันเพื่อหลอมรวมวิญญาณระดับมนุษย์บนเส้นทางแห่งความฝันจำนวนมาก


‘เมื่อข้าหลอมรวมพวกมัน ข้าจะได้รับวิญญาณระดับมนุษย์บนเส้นทางแห่งความฝันอีกห้าหรือหกดวง’ ฟางหยวนประเมิน


พัฒนาการบนเส้นทางแห่งความฝันของเขาชัดเจนมาก


ในอดีตการเข้าสู่อาณาจักรแห่งความฝันแต่ละครั้ง เขาจะได้รับทรัพยากรเพียงเล็กน้อยและสามารถหลอมรวมวิญญาณระดับมนุษย์บนเส้นทางแห่งความฝันเพียงหนึ่งหรือสองดวง แต่ตอนนี้กำไรของเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว


แน่นอนว่าองค์ประกอบสำคัญคือจิตวิญญาณของเขา


ทุกครั้งที่สำรวจอาณาจักรแห่งความฝัน จิตวิญญาณจะอ่อนแอลง


ดังนั้นยิ่งจิตวิญญาณแข็งแกร่งเท่าใด พวกเขาก็สามารถสำรวจอาณาจักรแห่งความฝันได้นานขึ้นเท่านั้น


สิ่งที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงคือความเข้มแข็งของจิตวิญญาณเป็นเพียงเงื่อนไขพื้นฐานของการสำรวจอาณาจักรแห่งความฝันแต่มันไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้คนผู้หนึ่งประสบความสำเร็จในการคลี่คลายความฝัน


บางคนกล่าวว่า อาณาจักรแห่งความฝันเหมือนทะเลทราย ยิ่งจิตวิญญาณของนักสำรวจแข็งแกร่งเท่าใด พวกเขาก็สามารถอดทนต่อความหิวโหยและอยู่ในทะเลทรายได้นานเท่านั้น


แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะสามารถเดินออกจากทะเลทรายได้


อย่างไรก็ตามเส้นทางแห่งความฝันพึ่งเริ่มต้น กองกำลังต่างๆพึ่งเริ่มค้นคว้าเกี่ยวกับมัน ผู้อมตะมากมายพบกับความทุกข์ทรมานจากการสำรวจอาณาจักรแห่งความฝันโดยที่ไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ


แม้ในปัจจุบันจะมีวิญญาณป่าระดับมนุษย์หรือวิญญาณอมตะป่าบนเส้นทางแห่งความฝันบางดวง มันก็ยังห่างไกลจากการเรียกว่าเส้นทางแห่งการบ่มเพาะที่แท้จริง


หลังจากทั้งหมดการสร้างเส้นทางแห่งการบ่มเพาะไม่ใช่เรื่องง่าย


ตัวอย่างเช่นมีวิญญาณบนเส้นทางแห่งวารีมากมายถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่ยุคแรกกำเนิด เมื่อเวลาผ่านไปมนุษย์ยังสามารถหลอมรวมวิญญาณบนเส้นทางแห่งวารีชนิดใหม่ขึ้นมาได้ด้วยตัวพวกเขาเอง อย่างไรก็ตามเส้นทางแห่งวารีพึ่งถูกสร้างขึ้นเมื่อซุ้ยหนี่ก่อตั้งนิกายคฤหาสน์วิญญาณ


ดังนั้นผู้อมตะทั้งห้าภูมิภาคจึงไม่สามารถทำสิ่งใดเกี่ยวกับเส้นทางแห่งความฝัน แม้พวกเขาจะรู้ว่ามันล้ำค่า แต่พวกเขาก็ไม่มีวิธีรับประโยชน์จากมัน


ผู้อมตะหลายคนเสียชีวิตในอาณาจักรแห่งความฝัน


สถานการณ์นี้เกิดขึ้นทุกหนทุกแห่งและเมื่อไม่นานมานี้ผู้อมตะหลายคนของภาคใต้ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากความพยายามสำรวจอาณาจักรแห่งความฝัน


แน่นอนว่าผู้อมตะฝ่ายธรรมะของภาคใต้สังเกตเห็นความจริงและตัดสินใจชะลอการสำรวจอาณาจักรแห่งความฝันออกไป


อย่างไรก็ตามผู้อมตะหลายคนมีความคิดที่แตกต่าง ดังนั้นธุรกิจซื้อขายโอกาสจึงถือกำเนิดขึ้น


หากผู้อมตะฝ่ายธรรมะมีวิธีสำรวจอาณาจักรแห่งความฝัน พวกเขาจะมอบผลประโยชน์มหาศาลนี้ให้กับปีศาจอมตะหรือผู้บ่มเพาะสันโดษได้อย่างไร?


เมื่อนึกถึงธุรกิจซื้อขายโอกาส ฟางหยวนลุกขึ้นจากเตียง


ธุรกิจนี้ต้องมีอยู่แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่สามารถมีส่วนร่วมมากเกินไป


ธุรกิจซื้อขายโอกาสมีประโยชน์มากมาย


ในแง่หนึ่งมันสามารถสร้างกำไรมหาศาล ในทางกลับกันมันสามารถลดความขัดแย้งของฝ่ายธรรมะและฝ่ายปีศาจรวมถึงผู้บ่มเพาะสันโดษ


หากฝ่ายธรรมะปกป้องอาณาจักรแห่งความฝันอย่างเข้มงวด ฝ่ายปีศาจและผู้บ่มเพาะสันโดษของภาคใต้จะคิดอย่างไร?


“ฝ่ายธรรมะต้องได้รับผลประโยชน์มหาศาล แต่พวกเขาเก็บมันไว้เพื่อตนเองเท่านั้น เมื่อเวลาผ่านไปฝ่ายธรรมะจะแข็งแกร่งขึ้นในขณะที่พวกเราอ่อนแอลง ต่อไปพวกเราจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร? สิ่งนี้คือสถานที่บ่มเพาะของเทพอมตะแห่งความฝัน ผู้ใดบ้างที่ไม่ต้องการเป็นเทพอมตะ แล้วเหตุใดพวกเราต้องปล่อยให้ฝ่ายธรรมะช่วงชิงมันไปโดยที่พวกเราไม่ทำสิ่งใดเลย?”


พวกเขาจะคิดเช่นนี้


และมันอันตรายมาก


กองกำลังฝ่ายธรรมะของภาคใต้รู้ดีว่าหากฝ่ายปีศาจและผู้บ่มเพาะสันโดษถูกบีบบังคับมากเกินไป พวกเขาจะร่วมมือกันบุกโจมตีภูเขาอี้เทียนและส่งผลให้เกิดการต่อสู้นองเลือดเช่นเดียวกับภาคเหนือ


ด้วยธุรกิจซื้อขายโอกาส สุดท้ายปีศาจอมตะและผู้บ่มเพาะสันโดษจะตระหนักได้ว่าอาณาจักรแห่งความฝันอันตรายเกินไป ไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาสามารถทำได้ มิฉะนั้นฝ่ายธรรมะจะสร้างธุรกิจซื้อขายโอกาสและปล่อยให้พวกเขาสำรวจอาณาจักรแห่งความฝันเพื่อสิ่งใด?


ธุรกิจซื้อขายโอกาสถูกคิดขึ้นโดยผู้อมตะระดับเจ็ดของตระกูลวู เขาฉลาดมาก โชคไม่ดีที่ฟางหยวนใช้อิทธิพลของพี่ชายเพื่อขับไล่ผู้อมตะระดับเจ็ดผู้นี้ออกไป


ฟางหยวนต้องการความมั่นคง


ยิ่งมีเสถียรภาพมากเท่าใด มันก็ยิ่งดีต่อเขามากเท่านั้น


เขาต้องการสภาพแวดล้อมที่มั่นคงเพื่อสำรวจอาณาจักรแห่งความฝัน


ดังนั้นเพื่อป้องกันการบุกโจมตีของปีศาจอมตะและผู้บ่มเพาะสันโดษ ธุรกิจซื้อขายโอกาสจึงเป็นสิ่งจำเป็นและต้องดำเนินต่อไป


แต่ฟางหยวนไม่สามารถเข้าร่วม


เพราะไม่ใช่กองกำลังฝ่ายธรรมะทั้งหมดที่เข้าร่วมกับเรื่องนี้


นี่คือจุดสำคัญ


ของขวัญชิ้นนี้ไม่ถูกแจกจ่ายออกไปอย่างทั่วถึง


มีเพียงครึ่งหนึ่งของทั้งหมดเท่านั้นที่ได้รับประโยชน์จากธุรกิจนี้


แต่นี่เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล


ผู้อมตะทั้งหมดถูกขับเคลื่อนโดยผลประโยชน์ คนที่มีส่วนร่วมน้อยกว่าจะได้รับประโยชน์มากกว่าได้อย่างไร?


ดังนั้นผลลัพธ์ก็คือหากธุรกิจนี้ถูกเปิดเผย ผู้มีส่วนร่วมจะถูกลงโทษ เพราะนี่คือกฎของฝ่ายธรรมะ


ฟางหยวนไม่สามารถก้าวเข้าสู่กับดักนี้


วูอันและคนอื่นๆพยายามผูกมัดเขา แต่ฟางหยวนรู้ว่าเมื่อสิ่งนี้ถูกเปิดเผย แม้เขาจะเป็นเจ้าของวิญญาณอมตะที่สำคัญสองดวงและมีพี่ชายเป็นวูหยง แต่เขาก็จะไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป


ฟางหยวนจะไม่เสี่ยงกับเรื่องนี้


เขาทุ่มเทความพยายามอย่างมากเพื่อแทรกซึมเข้ามาที่นี่เพื่อสิ่งใด?


คำตอบก็คือเพื่ออาณาจักรแห่งความฝัน!


โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อวูหยงไม่ได้ชื่นชอบน้องชายผู้นี้ ทัศนคติของเขาขึ้นอยู่กับสถานการณ์เท่านั้น


แต่ตราบเท่าที่ฟางหยวนไม่ได้กระทำความผิดและยังเป็นเจ้าของวิญญาณอมตะอยู่ที่นี่ วูหยงจะไม่สามารถส่งเขาไปที่อื่น


ฟางหยวนเห็นรายละเอียดทั้งหมดอย่างชัดเจน


นี่ต้องขอบคุณประสบการณ์ชีวิตอันยาวนานในช่วงชีวิตแรกของเขา


แม้การบ่มเพาะของเขาจะไม่สูงนัก แต่เขาก็เคยอยู่ในกองกำลังฝ่ายธรรมะและเป็นทั้งปีศาจอมตะรวมถึงผู้บ่มเพาะสันโดษ เขามีประสบการณ์ชีวิตที่หลากหลายอย่างไม่น่าเชื่อ


สิ่งนี้ทำให้เขาสามารถแฝงตัวอยู่ในกองกำลังฝ่ายธรรมะได้อย่างไม่มีปัญหาขณะที่มันไม่ได้หยุดยั้งการบ่มเพาะของวูอี้ไห่ เขาเข้าใจสถานการณ์ทางการเมืองของที่นี่ เขารู้ว่าต้องทำอย่างไรเพื่อเล่นเกมส์แห่งชีวิตนี้


ดังนั้นเขาจึงเลือกเทพธิดากระต่ายขาว


ในช่วงเวลาสำคัญเขาสามารถใช้นางเป็นแพะรับบาปโดยบอกว่าเขาไม่รู้เรื่องใดๆทั้งสิ้น


ผลประโยชน์จากธุรกิจซื้อขายโอกาสในส่วนของเขาก็มอบให้เทพธิดากระต่ายขาวเช่นกัน


เขาไม่สามารถเก็บผลประโยชน์ไว้กับตนเอง


ฝ่ายธรรมะไม่เหมือนฝ่ายปีศาจและผู้บ่มเพาะสันโดษ บางผลประโยชน์พวกเขาไม่สามารถแตะต้อง


แต่หากฟางหยวนปฏิเสธจะเกิดสิ่งใดขึ้น? หากเทพธิดากระต่ายขาวและวูอันกลายเป็นศัตรูกับเขาจะเป็นอย่างไร?


นั่นยิ่งแย่กว่า


หากฟางหยวนทำเช่นนั้น แม้สถานการณ์ของเขาจะไม่วิกฤต แต่เขาจะกลายเป็นศัตรูกับกองกำลังทั้งหกที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องนี้ หากฟางหยวนไม่อนุญาต พวกเขาก็ไม่สามารถทำธุรกิจนี้ต่อไป แน่นอนว่าคนเหล่านี้จะรู้สึกไม่ดีต่อฟางหยวน


ฟางหยวนพึ่งเข้ามาในค่ายกลวิญญาณ เขาไม่สามารถสร้างความขุ่นเคืองต่อพันธมิตรของตระกูลวู


ขณะเดียวกันกองกำลังที่ไม่มีส่วนร่วมกับธุรกิจนี้เช่นตระกูลปา ตระกูลไท่ หรือตระกูลเฉิงก็กำลังหาโอกาสเล่นงานเขาอยู่


ในกรณีนี้การทำลายพันธมิตรของตนเองย่อมเป็นความคิดที่โง่เขลามาก


การตัดสินใจของฟางหยวนเป็นสิ่งที่ถูกต้อง


ธุรกิจซื้อขายโอกาสยังดำเนินต่อไป พันธมิตรทางการเมืองของเขามีความสุข ขณะที่ตระกูลปาและกองกำลังอื่นๆไม่สามารถทำสิ่งใดกับฟางหยวน


ในอนาคตหากเรื่องนี้ถูกเปิดเผยออกไป ฟางหยวนจะโยนความผิดให้กับเทพธิดากระต่ายขาวและบอกว่านางทำสิ่งเหล่านี้ลับหลังเขา เขาถูกซ่อนไว้ในที่มืดอย่างสมบูรณ์


โดยรวมแล้วมันจะทำให้ฟางหยวนมีเวลาล่าถอยหรือก้าวต่อไปข้างหน้า


สำหรับกำไรเหล่านั้น ฟางหยวนต้องละทิ้งพวกมันเท่านั้น


ตอนนี้เขาไม่ได้ขาดแคลนทรัพยากร ทรัพยากรที่อยู่ในมิติช่องว่างจักรพรรดิของเขา กระทั่งผู้อมตะระดับเจ็ดส่วนใหญ่ก็ยังต้องอับอาย


‘ต่อไปข้าจะเริ่มสำรวจอาณาจักรแห่งความฝันอย่างเป็นทางการ!’ ฟางหยวนเตรียมตัวเคลื่อนไหว


ในเวลาเดียวกันที่ภาคเหนือ


งานประลองทุ่งโลหิตกำลังจะสิ้นสุดลง


จักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูและเหยากวงไม่ได้ปรากฏตัวตั้งแต่ต้นจนจบ แต่อิทธิพลของพวกเขาก็ส่งผลกระทบต่อการประลองเป็นอย่างมาก


ชูตู๋มีการแสดงออกที่น่าเกลียด


สถานการณ์ไม่เป็นไปตามความต้องการของเขา


ห่าวเจิ้งได้รับบาดเจ็บสาหัส แขนทั้งสองข้างของเขาถูกตัดออก บริเวณที่ได้รับบาดเจ็บถูกปกคลุมไปด้วยพลังงานแห่งเต๋า ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรักษา


‘ฝ่ายธรรมะของภาคเหนือมีรากฐานที่ลึกซึ้งอย่างแท้จริง’ ชูตู๋ลอบถอนหายใจ เขาอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัดเพราะไม่สามารถส่งผู้ใดออกไปอีก


ห่าวเจิ้งกล่าวด้วยความโกรธและไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้ “ท่านชูตู๋ ข้ามีสหายที่แข็งแกร่งกว่าข้า แต่พวกเขาเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษที่ไร้ชื่อเสียง”


ชูตู๋มีความสุขและสงสัย “โอ้ เหตุใดเจ้าไม่แนะนำพวกเขาให้เร็วกว่านี้?”


ห่าวเจิ้งถ่ายทอดเสียงด้วยความระมัดระวัง “มีจุดที่น่ากังวลอยู่ประการหนึ่ง นั่นคือพวกเขาบ่มเพาะอยู่บนเส้นทางแห่งเลือด”


การแสดงออกของชูตู๋เปลี่ยนไป เขาปฏิเสธโดยไม่ลังเล “ไม่อย่างแน่นอน ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งเลือดไม่สามารถเข้าร่วมในการประลองครั้งนี้ นี่เป็นการประลองระหว่างกองกำลังฝ่ายธรรมะ แล้วผู้อมตะบนเส้นทางแห่งเลือดจะเข้าร่วมได้อย่างไร?”


หากพวกเขาเข้าร่วม ชูตู๋อาจถูกกล่าวหาว่าเป็นกองกำลังฝ่ายปีศาจ


นั่นจะส่งผลให้การทำงานหนักทั้งหมดที่ผ่านมาของชูตู๋กลายเป็นไร้ความหมาย


นี่คือกฎของฝ่ายธรรมะ!


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1227 มนุษย์มังกร


แปลโดย iPAT 


“นิกายเทพยุทธ์อมตะของพวกเราเป็นหนึ่งในสิบนิกายโบราณ เมื่อเจ้าได้รับการแนะนำจากศิษย์พี่ของข้า เจ้าต้องรู้เกี่ยวกับกฎของนิกายเทพยุทธ์อมตะ ทุกอย่างจะขึ้นอยู่กับผลการต่อสู้ของเจ้า”


ในมุมมองสายตาของฟางหยวน ผู้ใช้วิญญาณผู้หนึ่งมองมาที่เขาและกล่าว “หากเจ้าต้องการเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการของนิกายเทพยุทธ์อมตะ เจ้าต้องต่อสู้และเป็นหนึ่งในสิบผู้ชนะจากผู้เข้าแข่งขันหนึ่งร้อยคน”


‘นิกายเทพยุทธ์อมตะ…’


‘เหตุใดถึงมีความฝันเช่นนี้’


‘เทพปีศาจจิตวิญญาณไม่เคยเข้าร่วมกับนิกายเทพยุทธ์อมตะตลอดช่วงชีวิตของเขา’


‘ดูเหมือนเขาจะกลืนกินดวงวิญญาณของผู้อมตะหลายคนที่หลังประตูแห่งชีวิตและความตาย นั่นทำให้เขาได้รับประสบการณ์ของผู้อมตะมากมายและเป็นต้นกำเนิดของอาณาจักรแห่งความฝันนี้ใช่หรือไม่?’


ฟางหยวนคาดเดาอยู่ในใจ


เป็นเพียงเวลานี้ที่ผู้ใช้วิญญาณคนเดิมนำวิญญาณสามดวงออกมา


วิญญาณดวงแรกมีลักษณะเหมือนผีเสื้อสีฟ้าอ่อนที่มีขนาดเท่านิ้วโป้งของมนุษย์


วิญญาณดวงที่สองเป็นผีเสื้อสีแดงที่ส่องประกายแสงอันอบอุ่น


วิญญาณดวงที่สามเป็นคางคกที่ดูเหมือนหินสีเทา


ผู้ใช้วิญญาณในอาณาจักรแห่งความฝันกล่าว “วิญญาณสามดวงนี้คือวิญญาณศรวารี วิญญาณอาภรณ์เพลิง และวิญญาณคางคกจิตวิญญาณ พวกมันล้วนเป็นวิญญาณระดับหนึ่ง เจ้าสามารถเลือกหนึ่งในนั้น”


“ข้าสามารถเลือกเพียงหนึ่งงั้นหรือ?” ฟางหยวนถาม


“ทุกคนจะได้รับวิญญาณเพียงดวงเดียวเท่านั้น” ผู้ใช้วิญญาณกล่าวอย่างไร้อารมณ์


ฟางหยวนพยักหน้า เขาประเมินอย่างรอบคอบ ‘วิญญาณศรวารีมีไว้สำหรับโจมตีแต่มันมีพลังโจมตีที่ไม่ดีนัก วิญญาณอาภรณ์เพลิงเป็นวิญญาณสายป้องกัน มันเป็นชุดคลุมเพลิงที่สามารถเผาทำลายศัตรูได้ในระดับหนึ่ง และวิญญาณคางคกจิตวิญญาณ มันใช้ในการรักษา’


‘หากข้าสามารถเลือกทั้งหมด นั่นจะดีที่สุด แต่หากเลือกได้เพียงหนึ่งเดียว นั่นหมายความว่าพวกเขาต้องการให้ผู้เข้าแข่งขันร่วมมือกัน ข้าอาจต้องเป็นหนึ่งในสิบผู้ชนะเพื่อก้าวต่อไปในอาณาจักรแห่งความฝัน’


“ข้าเลือกวิญญาณอาภรณ์เพลิง” ฟางหยวนตอบหลังจากไตร่ตรอง


เขาต้องแข่งขันกับเวลา


เวลาในการสำรวจอาณาจักรแห่งความฝันเป็นสิ่งสำคัญมาก จิตวิญญาณจะอ่อนแอลงเรื่อยๆเมื่ออยู่ในอาณาจักรแห่งความฝัน เมื่อมันอ่อนแอลงถึงระดับหนึ่ง ความสามารถในการรับรู้ของฟางหยวนจะลดลงอย่างมาก เขาจะไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างความจริงกับความฝัน ในที่สุดดวงวิญญาณของเขาจะติดอยู่ในความฝันจนกว่าเขาจะตาย ฟางหยวนจะเหลือเพียงร่างกายทิ้งไว้บนโลกแห่งความจริงเช่นผู้อมตะภาคใต้ที่น่าสงสารหลายคนก่อนหน้านี้


การสำรวจอาณาจักรแห่งความฝันอันตรายมาก


โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฟางหยวนสำรวจมันเพียงลำพังโดยไม่มีผู้ใดให้ความช่วยเหลือ หากเกิดปัญหาขึ้น เขาจะไม่สามารถช่วยเหลือตนเอง แต่ฟางหยวนจะสามารถไว้ใจผู้ใด?


เพื่อยกระดับความสำเร็จ ฟางหยวนต้องยอมรับความเสี่ยงนี้


‘แน่นอนว่าข้ามีไพ่ตาย ข้าไม่ได้เสี่ยงดวงอย่างไร้สติเหมือนผู้อมตะคนอื่นๆที่ต้องการทดสอบโชคของพวกเขา’ ฟางหยวนนึกถึงเรื่องนี้และกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะคลี่คลายความฝันทันที


วิญญาณระดับมนุษย์บนเส้นทางแห่งความฝันปลดปล่อยพลังงานลึกลับออกมา


หลังจากนั้นผู้ใช้วิญญาณผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น


ผู้ใช้วิญญาณคนเดิมตกใจและเร่งถาม “ศิษย์พี่ เหตุใดท่านถึงอยู่ที่นี่?”


ศิษย์พี่ตอบ “ข้ามาดูการแข่งขัน ศิษย์น้อง มอบวิญญาณคางคกจิตวิญญาณให้เด็กผู้นี้”


“แต่ศิษย์พี่ นี่เป็นการโกง หากถูกค้นพบ…” ศิษย์น้องกังวล


ศิษย์พี่หัวเราะ “อย่ากังวล วิญญาณคางคกจิตวิญญาณจะไม่ถูกค้นพบโดยคนนอกหากมันถูกใช้อย่างลับๆ เด็กคนนี้เลือกวิญญาณอาภรณ์เพลิง เมื่อเขาอยู่ภายใต้ชุดคลุมเพลิง ผู้ใดจะเห็นว่าเขากำลังรักษาตัวอยู่?”


ศิษย์น้องพยักหน้า “เมื่อศิษย์พี่กล่าวเช่นนี้ ข้าจะกล่าวสิ่งใดได้อีก รับไป”


เขาโยนวิญญาณสองดวงให้กับฟางหยวน


วิญญาณอาภรณ์เพลิงและวิญญาณคางคกจิตวิญญาณ


ฟางหยวนรับพวกมันเอาไว้ขณะที่อาณาจักรแห่งความฝันเปลี่ยนเป็นฉากที่สอง


ผลลัพธ์ของท่าไม้ตายอมตะคลี่คลายความฝันจะแตกต่างกันไปในแต่ละอาณาจักรแห่งความฝันแต่มันล้วนส่งผลกระทบที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งานทั้งสิ้น


‘แต่ข้าได้รับวิญญาณเพิ่มมาเพียงดวงเดียว ผลลัพธ์นี้ถือว่าค่อนข้างน้อย’


ฟางหยวนคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อเขาสำรวจอาณาจักรแห่งความฝันของเทพอมตะกลุ่มดาว ท่าไม้ตายอมตะคลี่คลายความฝันช่วยให้เขาสามารถคลี่คลายหญ้าปมลมได้ทันที แต่ในอาณาจักรแห่งความฝันนี้ ฟางหยวนได้รับวิญญาณเพิ่มขึ้นมาดวงเดียวเท่านั้น


ในอาณาจักรแห่งความฝันนี้ฟางหยวนเป็นเพียงผู้ใช้วิญญาณระดับสองที่มีพลังวิญญาณที่จำกัด แม้เขาจะมีวิญญาณสองดวง แต่เขาไม่สามารถใช้พวกมันมากเกินไป


‘อย่าบอกว่าอาณาจักรแห่งความฝันนี้ใหญ่เกินไป ดังนั้นพลังอำนาจของท่าไม้ตายอมตะคลี่คลายความฝันจึงลดน้อยลง?’


โดยไม่คำนึงถึงความคิดของฟางหยวน ฉากที่สองเริ่มต้นขึ้น


ฟางหยวนพบว่าเขาอยู่ท่ามกลางกลุ่มหมอกควัน


‘นี่คือพื้นที่ภายในค่ายกลวิญญาณสำหรับผู้เข้าแข่งขันหนึ่งร้อยคน ผู้ใช้วิญญาณที่ควบคุมค่ายกลวิญญาณนี้สามารถมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายใน’


ฟางหยวนวิเคราะห์ขณะที่เด็กหนุ่มในม่านหมอกผู้หนึ่งเดินเข้ามาหาเขา


ฟางหยวนคิดอย่างรวดเร็วและตะโกน “ช้าก่อน สหาย อย่าพึ่งโจมตี มีคนจำนวนมากเข้าร่วมการต่อสู้ครั้งนี้ พวกเราสามารถรวมกลุ่ม”


“รวมกลุ่ม? เจ้าต่อต้านนายน้อยหลงแต่เจ้ากลับต้องการรวมกลุ่มงั้นหรือ?” เด็กหนุ่มเย้ยหยันและส่งศรวารีออกมา


ฟางหยวนหลบมันได้อย่างง่ายดายและพุ่งไปข้างหน้า


เห็นฟางหยวนใกล้เข้ามา เด็กหนุ่มกลายเป็นตื่นตระหนก เขาเร่งยิงศรวารีดอกที่สองออกมาเพื่อบังคับให้ฟางหยวนล่าถอยกลับไป


แต่ฟางหยวนเต็มไปด้วยประสบการณ์ เพียงเมื่อเขาเห็นเด็กหนุ่มยกมือขึ้น เขาก็รู้แล้วว่าศรวารีจะพุ่งไปที่ใด


ฟางหยวนขยับเท้าและระเบิดความเร็วออกไปทำให้ศรวารีทั้งสองพลาดเป้าทั้งหมด


เด็กหนุ่มเร่งล่าถอยและพยายามยิงศรวารีออกมาอย่างต่อเนื่อง


ฟางหยวนยังไม่โจมตีแต่ใช้วิธีหลบ หลังจากไม่นานเด็กหนุ่มก็ไม่สามารถปล่อยศรวารีออกมาได้อีก


ฟางหยวนยิ้มและเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ “ตอนนี้ข้าสามารถจัดการเจ้าได้อย่างง่ายดาย แต่หากเจ้าร่วมมือกับข้า เราจะสามารถร่วมงานกันและกำจัดคนอื่นๆ”


“ฮืม!” เด็กหนุ่มก่นเสียงเย็น “พวกเราสองคนจะต่อสู้กับเก้าสิบแปดคนได้อย่างไร? เจ้าฝันไปหรือไม่? เจ้าทำให้นายน้อยหลงขุ่นเคือง เจ้าต้องการแย่งผู้หญิงของเขา เจ้าต้องการเข้าสู่นิกายเทพยุทธ์อมตะ เจ้ากำลังฝันไป! ข้าขอยอมแพ้ที่นี่ดีกว่าที่จะยั่วยุให้นายน้อยหลงโกรธอย่างโง่เขลา!”


หัวใจของฟางหยวนจมดิ่งลง


ในกรณีนี้ไม่ใช่ว่าเขาต้องต่อสู้เพียงลำพังงั้นหรือ?


นายน้อยหลง คนผู้นี้เป็นตัวปัญหาที่แท้จริง


‘ไม่แปลกใจเลยที่ก่อนหน้านี้ผู้อมตะฝ่ายธรรมะของภาคใต้พบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ อาณาจักรแห่งความฝันนี้ยากเกินไป มันยากกว่ากระทั่งอาณาจักรแห่งความฝันของเทพอมตะกลุ่มดาว!’ ฟางหยวนตระหนักว่าเขาถูกปิดล้อมโดยเด็กหนุ่มสามสิบคน


…..


ถ้ำสวรรค์ไป่เซียง


“ข้าทำสำเร็จ” ไป่หนิงปิงกล่าวเสียงเรียบ


สายตาของเขายังเย็นชา ใบหน้านิ่งเฉย แต่เสื้อผ้าของเขาขาดรุ่งริ่งและมีรอยไหม้เกรียมอยู่บนร่างกายราวกับเนื้อย่าง


เมื่อเขากล่าว ยังมีควันลอยออกมาจากลำคอของเขา


จิตวิญญาณสวรรค์ไป่เซียงพยักหน้า “เจ้าใช้ร่างกายของตนเองบรรจุเพลิงมังกรล่องคลื่น เจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งนี้อันตรายเพียงใด? มันมีโอกาสสำเร็จเพียงเล็กน้อย หากล้มเหลว ร่างกายของเจ้าจะกลายเป็นเถ้าถ่าน”


“แต่ข้าก็ทำสำเร็จ” ไป่หนิงปิงกล่าวด้วยความยากลำบาก ตอนนี้เขาสามารถพึ่งพาความแข็งแกร่งทางจิตใจของตนเท่านั้น


จิตวิญญาณสวรรค์ไป่เซียงหัวเราะเบาๆ “ตั้งแต่เจ้าประสบความสำเร็จ ตอนนี้เจ้าก็เป็นเจ้าของถ้ำสวรรค์ไป่เซียงคนใหม่แล้ว ทักทายนายน้อย”


ไป่หนิงปิงพยักหน้า เขาไม่ได้กล่าวสิ่งใด เขารู้สึกราวกับกำลังจะหมดสติและไม่สามารถกล่าวสิ่งใดออกมาได้อีก


แต่หากเขาหมดสติ ตามคำกล่าวของอิงอู๋เซี่ย เขาจะไม่สามารถควบคุมเพลิงมังกรล่องคลื่นในร่างกายและจะถูกเผ่าทำลายในพริบตา


เป็นเพียงเวลานี้ที่จิตวิญญาณสวรรค์ไป่เซี่ยงเปิดปากกล่าวอีกครั้ง “นายน้อย ท่านตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย หากท่านประมาท ท่านอาจตายได้ทันที กระทั่งดวงวิญญาณของท่านก็ไม่รอด หากท่านมีสุดยอดกายาสายฟ้าแห่งความรุ่งโรจน์ นั่นจะดีกว่า แต่ท่านกลับมีสุดยอดกายาน้ำแข็งแห่งความมืด ข้ามีวิธีบ่มเพาะที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันของท่าน แต่วิธีการหลอมรวมวิญญาณนี้จะใช้ร่างกายของตัวผู้อมตะเป็นวัสดุในการหลอมรวม ด้วยการผสานเพลิงมังกรล่องคลื่น ท่านจะสามารถหลอมรวมมัน นายน้อยจะหลุดพ้นจากการเป็นมนุษย์และกลายเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ชนิดหนึ่ง นั่นคือมนุษย์มังกร”


‘มนุษย์มังกร?’ ไป่หนิงปิงเบิกตากว้าง เขาคิด ‘ไม่มีการกล่าวถึงมนุษย์มังกรในตำนานมนุษย์คนแรก มีเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์ชนิดนี้อยู่บนโลกใบนี้ด้วยงั้นหรือ?’


ไป่หนิงปิงไม่ได้กล่าวออกมา แต่จิตวิญญาณสวรรค์ไป่เซี่ยงรู้ข้อสงสัยของเขา


จิตวิญญาณสวรรค์ไป่เซียงยังกล่าวต่อไป “มันไม่มีอยู่ในตำนานมนุษย์คนแรกเพราะมนุษย์มังกรถูกสร้างขึ้นในภายหลังโดยผู้เชี่ยวชาญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเผ่ามนุษย์ ราชันมังกร ความตั้งใจเดิมของเขาคือการยืดอายุขัย”


“ราชันมังกรเป็นผู้อมตะของวังสวรรค์ เขามีพลังการต่อสู้ระดับเดียวกับโป้ชิง ในอดีตเขาใช้วิธีนี้เพื่อเปลี่ยนตนเองให้เป็นมนุษย์มังกร’


ไป่หนิงปิงตกใจมากขึ้น เขาคิด ‘ราชันมังกร คนผู้นี้คือผู้ใด แม้ข้าจะพึ่งกลายเป็นผู้อมตะ แต่ความรู้ไม่ใช่จุดอ่อนของข้า ข้ารู้จักผู้อมตะที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่ หากราชันมังกรอยู่ในระดับเดียวกับโป้ชิง ชื่อของเขาจะไม่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ได้อย่างไร?’


‘จิตวิญญาณสวรรค์ไป่เซี่ยงกล่าวคำลวงหรือไม่?’


มีคำกล่าวที่ว่ามังกรในหมู่มนุษย์ นั่นแสดงให้เห็นถึงความเชื่อที่ว่ามังกรเป็นสิ่งมีชีวิตที่เหนือกว่ามนุษย์

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)