พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1221-1224
บทที่ 1221 ใช่ผู้หญิง ไม่ใช่ผู้หญิง!
โดย
Ink Stone_Fantasy
ถ้าหากจำไม่ผิด มีใครบางคนบอกมาตลอดว่าตอนเข้ามาทดสอบในนรกจะต้องโดนตรวจค้น พร้อมทั้งบอกด้วยว่าตอนการทดสอบจบและได้ออกจากนรกก็จะโดนค้นตัวเช่นกัน ไม่มีทางพาคนเข้าออกจากนรกได้เลย เวรตะไลเอ๊ย! ตอนนี้กลับมาเปิดเผยว่ารู้จักกับทูตขวาตรวจการเกาก้วนแห่งตำหนักสวรรค์ที่จัดการทดสอบนี้ สามารถพาพวกเขาออกจากนรกได้ หมายความว่ายังไงกัน?
หารู้ไม่ว่าเป็นเพราะเหมียวอี้เห็นพวกเขาห้าคนวางแผนลับกันโดยหลบเลี่ยงเขา เขาจึงค่อนข้างสงสัยว่าห้าคนนี้จะเปิดโปงสถานะผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ของเขาเพื่อปกป้องชีวิตตัวเองหรือเปล่า โจรกบฏนรกพวกนี้เป็นศัตรูคู่แค้นของตำหนักสวรรค์ ถ้ารู้ความจริงแล้วจะปล่อยเขาไปได้เหรอ เลยจำเป็นต้องให้ความหวังห้าคนนี้ล่วงหน้าสักหน่อย หวังว่าหลังจากพยายามทำให้ห้าคนนี้สงบลงแล้วอาจจะยังมีโอกาสรอดชีวิต
ยามเขาเผชิญหน้ากับวิกฤต เขาใช้การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเพื่อปกป้องชีวิตตัวเองมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
“เจ้าบอกเองไม่ใช่เหรอว่าการทดสอบครั้งนี้เวลาเข้าออกนรกจะโดนค้นตัว ไม่มีทางพาพวกเราออกไปได้?” มู่ฝานจวินถามเสียงต่ำ
เหมียวอี้ตอบอย่างมีเหตุผลของตัวเองว่า “ข้าเคยพูดอย่างนั้น แต่ข้าไม่พูดอย่างนั้นได้ด้วยเหรอ? พวกเจ้าห้าคนกล้าบอกมั้ยว่าไม่มีเรื่องปิดบังข้า? ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นใครจะกล้าวางใจพึ่งพาพวกเจ้า?”
แบบนี้เรียกว่าเหตุผลได้เหรอ? แต่เหตุผลนี้ก็อุดปากให้ทั้งห้าคนเถียงไม่ออกแล้ว
“เจ้าบอกว่ารู้จักกับทูตขวาตรวจการเกาก้วนของตำหนักสวรรค์ที่รับผิดชอบการทดสอบนี้เหรอ พวกเราจะอาศัยอะไรมาเชื่อเจ้าล่ะ? เจ้าพูดว่าอะไรก็แปลว่าเป็นอย่างนั้นเหรอ เจ้าจะเอาอะไรมาพิสูจน์ให้พวกเราเชื่อ?” จีฮวนถาม
เหมียวอี้ตอบว่า “พวกเจ้าเองก็ได้ยินเรื่องที่ข้ามีเรื่องเข่นฆ่าในการทดสอบครั้งนี้มาแล้ว พอเปิดสนามทดสอบข้าก็ทำลายกลองสะท้านฟ้าของตำหนักสวรรค์ ถ้าไม่ใช่เพราะรู้จักเกาก้วนอยู่บ้างนิดหน่อย ข้าจะกล้าทำลายความน่าเกรงขามของตำหนักสวรรค์ได้อย่างไร ทำลายความน่าเกรงขามของตำหนักสวรรค์แล้วจะยังมีชีวิตรอดมาจนถึงตอนนี้เหรอ?”
ทั้งห้าแน่ใจว่าเขาพูดแบบนี้ออกมาเพื่อปกป้องชีวิตตัวเอง อยากจะเพิ่มแต้มต่อในการปกป้องชีวิตตัวเอง จะได้ทำให้พวกเขาชั่งน้ำหนักสักหน่อย ว่าถ้าเปิดโปงเหมียวอี้พวกเขาก็เลิกคิดไปได้เลยว่าจะได้ออกจากนรก ต่อให้โจรกบฏในนรกในฆ่าพวกเขา แต่พวกเขาก็จะต้องโดนขังอยู่ในนี้ตลอดไปเหมือนโจรกบฏพวกนั้นโดยไม่ได้ทำอะไร ได้แต่รอให้ดาบของตำหนักสวรรค์มาจ่อคอในสักวันหนึ่ง แต่เหมียวอี้เป็นความหวังเดียวที่จะพาพวกเขาให้รอดออกไปได้
ถึงแม้ทั้งห้าจะรู้อยู่แก่ใจว่าเป็นการวางแผนของเหมียวอี้ แต่ความจริงก็ได้พิสูจน์แล้วว่ามีความเป็นไปได้นั้น ชื่อเสียงอันโด่งดังของทูตขวาหน้าตายของตำหนักสวรรค์ พวกเขาก็เคยได้ยินมาก่อนเช่นกัน บังคับใช้กฎหมายอย่างไร้ความปรานีมาตลอด และดูจากข่าวที่ได้รับมาก่อนหน้านี้ เจ้าเวรนี่ก็เคยคุยกับเกาก้วนแบบต่อหน้าแล้วจริงๆ จึงไม่ตัดความเป็นไปได้เรื่องที่ทั้งสองมีการสร้างความสัมพันธ์กัน
ก็เพราะด้วยเหตุนี้เอง ทั้งห้าหน้าดำคร่ำเครียดพร้อมกันแล้ว เจ้าเวรนี่มีทางพาพวกเขาออกไปก็ไม่รีบบอกก่อน ดึงดันจะพาพวกเขามาประสบพบเจอเรื่องแบบนี้ให้ได้ ครั้งนี้โดนวางกับดักจนแย่แล้ว
เพื่อที่จะเพิ่มน้ำหนักของเรื่องนี้ เหมียวอี้บอกอีกว่า “ไม่ปิดบังพวกเจ้านะ ถ้าไม่ใช่เพราะการทดสอบครั้งนี้ราชินีสวรรค์เป็นคนจัด ข้าคงได้ย้ายไปรับตำแหน่งเป็นลูกน้องเกาก้วนที่หน่วยตรวจการฝ่ายขวาของตำหนักสวรรค์แล้ว เกาก้วนรับปากข้าแล้ว ขอเพียงหลังจากการทดสอบข้ารอดชีวิตกลับไปได้ ถ้าอยู่ที่ตลาดสวรรค์ไม่ได้อีกต่อไป เขาก็จะหาทางย้ายข้าไปเป็นลูกน้องเขา”
“เจ้ามาพูดตอนนี้ยังจะมีความหมายบ้าอะไรล่ะ? ถ้าอยากจะขู่พวกเราก็ต้องดูด้วยว่าจะผ่านด่านนี้ไปได้รึเปล่า!” อวิ๋นอ้าวเทียนกล่าว
เหมียวอี้หัวเราะแห้งๆ ท่าทางจัญไรแบบนั้น ทำให้ห้าคนที่เหลือบมองเขาแค้นจนอยากจะเล่นงานเขาให้ตาย
ตูหยวนฮ่าวเพียงหันกลับมามองแวบหนึ่งเท่านั้น แน่นอนว่าเขาสังเกตได้ว่าหกคนนี้กำลังถ่ายทอดเสียงสื่อสารกัน แต่ระหว่างทางที่มาก็ได้เตือนทั้งหกแล้วว่าห้ามใช้ระฆังดาราติดต่อกับภายนอก นอกจากสิ่งนี้ก็ไม่ได้จำกัดอะไรพวกเขาแล้ว ยิ่งไม่มีอะไรที่ล่วงเกินด้วย
เหมียวอี้เผชิญหน้ากับสายตาเคียดแค้นของทั้งห้าคนด้วยความอับอายเล็กน้อย เขาหยิบแผนที่ดาวออกมา อยากจะดูว่าตูหยวนฮ่าวต้องการจะพาพวกเขาไปที่ไหนกันแน่
เป็นเพราะสถานการณ์ในนรกแปลกเกินไป มีบางแห่งที่ตูหยวนฮ่าวเองก็ไม่สามารถผ่านไปได้โดยตรงเช่นกัน พาพวกเขาอ้อมทางนั้นทีทางนี้ที ตอนนี้อ้อมจนวุ่นวายไปหมด ไม่รู้ว่าตัวกำลังอยู่ตรงทิศไหนแล้ว
ผลก็คือตอนที่ยังไม่ได้ดูก็ยังไม่รู้ แต่หลังจากได้รู้แล้ว เหมียวอี้ก็อึ้งทันที
พอทั้งห้าคนเห็นปฏิกิริยาของเขาตอนหยิบแผนที่ดาว ก็รีบหยิบแผนที่ดาวออกมาตรวจดูบ้างอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง
หลังจากอ่านแล้วก็อึ้งเช่นเดียวกัน มู่ฝานจวินกล่าวเสียงต่ำว่า “พวกเรากำลังเข้าใกล้บริเวณดาวหลักปิ่งจื้อฮ่าว เหมือนใกล้จะถึงแล้ว”
“บังเอิญขนาดนี้เชียวเหรอ?” ซือถูเซี่ยวก็แปลกใจเช่นกัน
เดิมทีพวกเขาก็ต้องการมาที่บริเวณนี้อยู่แล้ว แต่ไม่น่าเชื่อว่าตูหยวนฮ่าวจะเป็นฝ่ายพาพวกเขามาส่งเอง ไม่รู้เหมือนกันว่าจุดหมายปลายทางของตูหยวนฮ่าวคือบริเวณนี้ หรือว่าแค่ผ่านมาทางนี้เฉยๆ ถ้าดูจากขอบเขตแดนอเวจีที่แผนที่ดาวในปัจจุบันครอบคลุมไปถึง บริเวณดาวหลักปิ่งจื้อฮ่าวก็น่าจะเป็นจุดศูนย์กลางของแดนอเวจีแล้ว
ทั้งห้าแทบจะมองไปทางเหมียวอี้อย่างตะลึงงันพร้อมกัน เมื่อนึกเชื่อมโยงกับปฏิกิริยาของเขา มู่ฝานจวินก็ถามว่า “เหมียวอี้ เจ้าคิดจะไปทำอะไรที่บริเวณดาวหลักปิ่งจื้อฮ่าวกันแน่?”
เหมียวอี้เก็บแผนที่ดาว แล้วถามกลับพวกเขาว่า “พวกเจ้าตามติดข้าไม่ปล่อยเพราะคิดจะทำอะไรกันแน่?”
เมื่อถามมาแบบนี้ ก็ให้ความรู้สึกเหมือนพวกเขากำลังสร้างเงื่อนไขมาแปลกเปลี่ยนกัน
ทั้งห้าก็อยากจะบอกให้เขารู้อยู่หรอก แต่เป็นเพราะกังวลในอานุภาพแห่งคำทำนายของเทพพยากรณ์อยู่นิดหน่อย กลัวว่าถ้าไม่เคารพคำทำนายแล้วจะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่คาดเดาไม่ได้ตามมา ความหวังเดียวในการรอดชีวิตตอนนี้ ก็แทบจะฝากไว้ที่คำทำนายของเทพพยากรณ์หมดแล้ว
พวกเขาไม่บอก ก็ย่อมต้องให้เหตุผลกับเหมียวอี้เช่นกันว่าทำไมไม่บอก ทุกคนต่างก็รักษาความลับ ต่างก็ไม่ถามแล้ว
ผ่านไปไม่นาน ดาวหลักปิ่งจื้อฮ่าวก็ปรากฏอยู่ในขอบเขตที่ดวงตาอิทธิฤทธิ์ของพวกเขาสามารถมองถึง เป็นดวงอาทิตย์ดวงหนึ่ง!
มีดาวรองสิบกว่าดวงอยู่ทั้งใกล้และไกลในระยะที่ไม่เท่ากัน กำลังหมุนรอบดวงอาทิตย์
ตูหยวนฮ่าวที่เป็นผู้นำขบวนนี้เบี่ยงทิศทางเล็กน้อย พุ่งไปหาดาวรองดวงหนึ่งที่อยู่ใกล้พวกเขาที่สุดซึ่งมืดเย็นและห่างไกลจากดวงอาทิตย์ที่สุด หลังจากเข้าใกล้แล้วก็เหาะวน เห็นได้ชัดว่ากำลังเตรียมจะหาจุดเหาะลง
การกระทำนี้ทำให้เหมียวอี้กึ่งดีใจกึ่งกลุ้มใจ
ดีใจที่จุดหมายปลายทางของตูหยวนฮ่าวคือบริเวณดาวหลักปิ่งจื้อฮ่าวที่เขาต้องการจะไปจริงๆ เขาได้เห็นสภาพอันตรายตลอดทางด้วยตาตัวเองแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะมีตูหยวนฮ่าวนำทาง ความเป็นไปได้ที่ตัวเองจะมาถึงที่นี่ได้อย่างราบรื่นก็แทบจะเป็นศูนย์ จะไม่พูดว่าตัวเองดวงดีก็คงไม่ได้ ที่ซ่อนสมบัติที่ประมุขไป๋เตรียมไว้จะต้องมีไว้ให้คนที่สามารถมาถึงที่นี่ได้อย่างราบรื่นแน่นอน และคงไม่ใช่สิ่งที่คนเป็นเชลยศึกอย่างเขาจะบังเอิญพบ
ที่กลุ้มใจก็คือจะผ่านด่านตรงหน้านี้ไปได้อย่างไร ถ้าไม่สามารถรอดพ้นเงื้อมมือโจรกบฏกลุ่มนี้ไปได้ สมบัติที่ซ่อนไว้ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาแล้ว
ส่วนพวกอวิ๋นอ้าวเทียนก็พากันประเมินปฏิกิริยาของเหมียวอี้อย่างเงียบๆ ในใจเรียกได้ว่าแอบคาดคะเนอย่างสงสัยประหลาดใจ ดูจากตำแหน่งที่อยู่บนแผนที่ดาว ก็พบว่าอยู่ที่ใจกลางของแดนอเวจี ดีไม่ดีอาจจะเป็นฐานใหญ่ของโจรกบฏก็ได้ เหมียวอี้วางแผนไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะมาที่ฐานใหญ่โจรกบฏเหรอ?
เหยียบลงพื้นแล้ว!
ไม่ได้ผ่านประตูดวงดาวใดๆ ใช้เวลาเหาะอันยาวนานเกือบหนึ่งเดือนกว่า ในที่สุดก็ได้เหยียบลงพื้นแล้ว
ดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่สีของท้องฟ้าขมุกขมัวเพราะถูกเมฆครึ้มปกคลุม ภูเขาสูงลาดชัน ทุกที่ล้วนเป็นแบบนี้ พืชพรรณสีดำมืดแย้มบานจุดแสงหลากสีสันอยู่ในอากาศหนาวชื้น ไม่ใช่พืชพรรณประเภทที่เติบโตด้วยการอาบแสงอาทิตย์
บนหน้าผาสูงชะโงกขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่หันหน้าเข้าหามหาสมุทรดำทะมึน ด้านบนหน้าผามีตำหนักใหญ่หลังหนึ่ง แกะสลักเป็นภาพกระดูกคนหรือไม่ก็สัตว์ป่าและนกชนิดต่างๆ
บนพื้นราบนอกตำหนัก มีคนยืนอยู่สามสิบกว่าคน หกคนที่อยู่ข้างหน้ายืนเรียงแถวหน้ากระดาน นอกจากพระชราที่สวมชุดคลุมสีเทา อีกห้าคนที่เหลือก็นอกจากสีชุดจะไม่เหมือนกันแล้ว แต่ละคนก็ล้วนเป็นชายชราที่เครายาวและผมเผ้ายุ่งสยาย
ข้างหลังหกคนนี้มีคนยืนอยู่ด้วยอีกหลายคน ทุกคนเงยหน้ามองตูหยวนฮ่าวนำคนหกคนเหาะลงมาเหยียบบนหน้าผา
พอพวกเหมียวอี้เห็นหกคนที่ยืนเรียงแถวอยู่ ในใจก็ร่ำร้องทันที มองจากสัญลักษณ์อิทธิฤทธิ์ของจริงตรงหว่างคิ้วก็สามารถรู้ได้ ว่าทั้งมดเป็นนักพรตระดับสำแดงฤทธิ์ ถ้าต้องการจะทำให้พวกเขาตาย ก็เกรงว่าจะง่ายจนไม่จำเป็นต้องยกนิ้วขึ้นมาด้วยซ้ำ
ตูหยวนฮ่าวทิ้งพวกเขาไว้แล้ว เดินก้าวยาวไปหาชายชราชุดดำหนึ่งในนั้น แล้วกุมหมัดคารวะ “รายงานท่านขุนพลใหญ่ ข้าน้อยพาพวกเขามาแล้ว”
สายตาเร่าร้อน! ชั่วพริบตาเดียวคนหลายสิบคนนั่นก็มองพวกเหมียวอี้ด้วยสายตาเร่าร้อนไร้ที่เปรียบ ในสายตาเต็มไปด้วยการเฝ้าคอย
พวกเหมียวอี้โดนสายตาแบบนั้นมองจนรับไม่ได้นิดหน่อย เหมือนกับตัวเองเป็นยอดหญิงงามที่แก้ผ้าหมดแล้วบังเอิญเจอฝูงชายหื่น รู้สึกว่าคนพวกนี้ตามันแผล็บจนแทบจะเป็นสีเขียวแล้ว
ชายชราชุดดำพยักหน้าเล็กน้อย สายตาไปหยุดอยู่บนตัวซือถูเซี่ยวที่สวมหน้ากากผี แล้วถามว่า “เจ้าแน่ใจนะว่าเขาฝึกเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยาง?”
“ข้าน้อยทดสอบมาแล้ว เขาฝึกเคล็ดวิชาพิเศษของประมุขปราชญ์จริงๆ” ตูหยวนฮ่าวตอบ
ทันใดนั้นชายชราชุดดำก็ยกมือขยุ้มนิ้ว พวกเหมียวอี้รูสึกทันทีว่าอากาศรอบข้างหนักยิ่งกว่าภูเขา กดดันจนพวกเขาหายใจไม่ออก พยายามร่ายอิทธิฤทธิ์ต้านทานแต่ก็ยากที่จะต้านทานได้ ชายชราขยุ้มนิ้วอีกครั้ง เกิดเสียงดังแคว่ก หน้ากากผีบนใบหน้าซือถูเซี่ยวปลิวออกไปทันที ผ้าสีดำที่คลุมศีรษะก็ขาดกระจายเช่นกัน ผมยาวเด้งสยายออกมา
หน้ากากผีของซือถูเซี่ยวเลี้ยวมาอยู่บนมือชายชราชุดดำในชั่วพริบตาเดียว ชายชราชุดดำตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด “เป็นผู้หญิง!”
ชั่วพริบตานี้แรงกดดันมหาศาลบนตัวของทุกคนได้หายไปแล้ว พวกเหมียวอี้ได้ยินแล้วยื่นหัวไปมองพร้อมกัน เห็นเพียงซือถูเซี่ยวที่ถูกกำจัดหน้ากากผีทิ้งปล่อยผมยาวสยาย กำลังเม้มริมฝากแน่น หน้าตาเหมือนผู้หญิงคนหนึ่งที่งามล่มเมือง
เหมียวอี้และคนอื่นๆ ตะลึงตาค้าง โดยเฉพาะพวกอวิ๋นอ้าวเทียน คลุกคลีอยู่กับซือถูเซี่ยวมาหลายปีขนาดนี้ วันนี้ถึงได้พบว่าซือถูเซี่ยวเป็นผู้หญิง
ฉางเหลยที่ยืนอยู่ข้างกายซือถูเซี่ยวถามอย่างประหลาดใจว่า “ผีเฒ่า เจ้าเป็นผู้หญิงเหรอ?”
ซือถูเซี่ยวหันกลับมาอย่างเดือดดาล แล้วกล่าวเสียงเย็นเยือกว่า “พระเถระ เจ้าฟังข้าให้ดีนะ ข้าไม่ใช่ผู้หญิง แค่หน้าตาเหมือนผู้หญิงเฉยๆ”
เห็นได้ชัดว่ากำลังพูดสิ่งนี้ให้กลุ่มคนที่อยู่ตรงข้ามฟัง
“อามิตตาพุทธ เป็นผู้หญิงก็ไม่เป็นไรหรอก” ฉางเหลยประนมมือส่ายหน้า
ซือถูเซี่ยวกล่าวเสียงดุว่า “ข้าจะพูดอีกครั้งนะ ข้าไม่ใช่ผู้หญิง แค่หน้าตาเหมือนผู้หญิงเฉยๆ”
จีฮวนที่อยู่อีกด้านพลันยื่นมือไปลูบหน้าอกเขา ซือถูเซี่ยวไหวตัวเร็ว รีบเอาแขนป้องเงื้อมมือมารของอีกฝ่ายที่กำลังยื่นมาถึงหน้าอกตัวเอง แล้วถามอย่างโมโหว่า “ปีศาจเฒ่า เจ้ารนหาที่ตายใช่มั้ย?”
ชายชราชุดดำพลันกางนิ้วทั้งห้าอีกครั้ง ทำให้ร่างกายของซือถูเซี่ยวนิ่งชะงัก ทั้งตัวขยับเขยื้อนไม่ได้ แล้วถลันตัวเข้าไปหา
พอเข้ามาใกล้ตรงหน้า ชายชราชุดดำก็ใช้มือกดที่บ่าของเขา หลังจากเงียบไปพักหนึ่งก็ปล่อยเขา แล้วพยักหน้าบอกว่า “ไม่ใช่ผู้หญิง เป็นผู้ชายจริงๆ ผู้ชายที่หน้าตาเหมือนผู้หญิงขนาดนี้หาพบได้น้อยมาก ถ้าจะเข้าใจผิดก็ไม่แปลก”
พวกเหมียวอี้มองหน้ากันเลิกลั่ก พอเป็นแบบนี้ก็พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมซือถูเซี่ยวถึงใส่หน้ากากเอาไว้ตลอดและไม่ยอมใช้หน้าจริงพบคนอื่น
ซือถูเซี่ยวเหมือนจะไม่พอใจมากที่มีคนบอกว่าเขาเป็นผู้หญิง ต่อให้จะเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง แต่ก็ยังถามด้วยน้ำเสียงโมโหว่า “ข้ากับพวกท่านไม่มีบุญคุณความแค้นต่อกัน พาพวกเรามาที่นี่เพราะคิดจะทำอะไรกันแน่?”
ชายชราชุดดำคืนหน้ากากผีให้เขา แล้วกล่าวอย่างเนิบนาบว่า “ข้าก็ฝึกเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางเหมือนกัน ท่องเคล็ดวิชาที่เจ้าฝึกให้ข้าฟังสักส่วนหนึ่ง ถ้าแน่ใจว่าเป็นพวกเดียวกันจะได้คุยกันง่าย ไม่อย่างนั้นจะฆ่าไม่ปราณี!”
…………………………
บทที่ 1222 ผู้วางค่ายกล
โดย
Ink Stone_Fantasy
ภายนอกของเคล็ดวิชาสามารถปลอมแปลงกันได้ แต่สูตรท่องจำของเคล็ดวิชากลับไม่สามารถปลอมแปลงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลานี้ สมาชิกของตำหนักสวรรค์ที่เข้าร่วมการทดสอบบุกเข้ามาพอดี เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายกำลังป้องกันว่าพวกเขาเป็นสายลับที่ตำหนักสวรรค์ส่งมาหรือไม่
ถ้าไม่ตอบตกลงก็จะฆ่าอย่างไม่ปรานี ไม่มีที่เหลือให้เจรจาต่อรองใดๆ ซือถูเซี่ยวสามารถปฏิเสธได้เหรอ? ไม่มีทางปฏิเสธได้!
เขานำหน้ากากใส่ไว้บนหน้าอีกครั้งอย่างช้าๆ แล้วบอกว่า “ข้าท่องทั้งหมดไม่ได้หรอก ข้าฝึกแค่ภาคดิน”
“ข้าก็ฝึกแค่ภาคดินเหมือนกัน ท่องของภาคดินมาแค่ส่วนหนึ่งก็พอ” ชายชราชุดดำกล่าว
“ท่านพูดคำไหนคำนั้นนะ?” ซือถูเซี่ยวถาม
“เจ้ามีทางเลือกด้วยเหรอ?” ชายชราชุดดำตอบ
“ไม่มี!” ซือถูเซี่ยวส่ายหน้า แล้วถามอีกว่า “ท่องต่อหน้าคนเยอะๆ จะเหมาะเหรอ?”
“ถ่ายทอดเสียงท่อง” ชายชราชุดดำตอบ
ซือถูเซี่ยวถอนหายใจอย่างอับจนปัญญา จะไม่เชื่อฟังก็ไม่ได้ เพราะไม่มีทางหนีทีไล่ใดให้รับมือ ทำได้เพียงเริ่มถ่ายทอดเสียงท่อง
พวกเหมียวอี้ล้วนกำลังจ้องมองมาทางนี้ ทุกคนล้วนจ้องมาทางนี้
พอสูตรของเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางถูกถ่ายทอดเสียงท่องออกมาจากปากซือถูเซี่ยว ก็เห็นชายชราชุดดำทำสีหน้านิ่งขรึมทันที สายตาจ้องเขม็งที่ตัวซือถูเซี่ยว ในแววตาเต็มไปด้วยความสับสนประหลาดใจ
ยังไม่ทันรอให้ซือถูเซี่ยวท่องจบ ชายชราชุดดำก็ถอนหายใจเบาๆ แล้ว เขาบอกต่อหน้าทุกคนว่า “ไม่ต้องท่องแล้ว! ชายชราผู้นี้คือเหลิ่งจัวฉุน ขุนพลของประมุขปราชญ์ลัทธิผี เจ้าชื่ออะไร?”
“ซือถูเซี่ยว!” ซือถูเซี่ยวตอบ แล้วถามว่า “ตอนนี้ปล่อยพวกเราไปได้รึยัง?”
ชายชราชุดดำมองซ้ายมองขวาพร้อมบอกว่า “นั่นก็ต้องถามความเห็นพวกเขาก่อน”
พอพูดจบ พระที่สวมจีวรสีเทาก็พลันยื่นมือออกมา ฉางเหลยถูกอีกฝ่ายดูดเข้ามาหาอย่างจนใจมาก พระชราไม่พูดพร่ำทำเพลง บอกเพียงว่า “ถ่ายทอดเสียงท่องหฤทัยสูตรสุขาวดีให้ข้าฟังหน่อย”
ขณะมองดูพระตรงหน้าที่ผิวกายค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีทองแดงประหลาด ฉางเหลยก็หันมองซือถูเซี่ยวที่อยู่ข้างกาย เมื่อมีบทเรียนให้ดูเป็นตัวอย่างแล้ว แล้วเขาจะทำอย่างไรได้อีก ทำได้เพียงถ่ายทอดเสียงท่องหฤทัยสูตรสุขาวดีเช่นกัน
หลังจากท่องไปได้ส่วนหนึ่ง พระที่ผิวสีทองแดงก็พยักหน้าพูดตัดบทว่า “ไม่ต้องท่องแล้ว” จากนั้นก็หันซ้ายหันขวา “ทางข้าไม่ผิดพลาด” จากนั้นหันมามองฉางเหลยอีก “อาตมามีฉายานามว่ากุยอู๋ ท่านล่ะ?”
“ฉางเหลย!” ฉางเหลยประนมมือตอบ
“ตูหยวนฮ่าว คนไหนฝึกเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทาน?” ชายชราชุดดำที่ปล่อยผมกระเซิงเหมือนคนบ้าพลันเอ่ยถาม
ตูหยวนฮ่าวชี้ไปที่อวิ๋นอ้าวเทียน “เขา ชื่อว่าอวิ๋นอ้าวเทียน”
ชายชราที่สภาพเหมือนคนบ้ากลับไม่ได้ลากตัวอวิ๋นอ้าวเทียนเข้ามา แต่ตะโกนสั่งโดยตรงว่า “ข้าคือตานฉิง ถ่ายทอดเสียงท่องเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานให้ข้าฟังหน่อย”
อวิ๋นอ้าวเทียนเอียงหน้าเล็กน้อยมองเหมียวอี้ที่กำลังเหลียวซ้ายแลขวาเหมือนวางแผนร้ายอะไรอยู่ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็หันมาท่องเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานให้คนที่ชื่อตานฉิงฟัง
หลังจากท่องไปได้ส่วนหนึ่ง ตานฉิงก็พูดตัดบท “พอแล้ว! ของข้าก็ไม่ผิดพลาดเหมือนกัน”
นักพรตปีศาจคนหนึ่งที่ตาโตเหมือนระฆังทองแดงยื่นกรงเล็บเข้ามา จีฮวนที่เป็นนักพรตปีศาจเช่นเดียวกันไถลตัวไปตรงหน้าเขาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ ตูหยวนฮ่าวเป็นฝ่ายแนะนำเองว่า “คนนี้ชื่อจีฮวน”
ชายชราที่ตาโตเหมือนระฆังกล่าวเสียงหยาบทุ้มว่าว่า “ข้าชื่อจ่างหง ท่อง!”
จีฮวนยังไม่ทันท่องจบ ตูหยวนฮ่าวก็แนะนำเหมียวอี้กับมู่ฝานจวินแล้ว ทั้งสองถูกร่ายอิทธิฤทธิ์ดึงออกไปพร้อมกัน
ชายชราชุดขาวดุจหิมะที่เรียกตัวเองว่า ‘เมิ่งหรู’ มองสำรวจมู่ฝานจวินศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง แล้วถามว่า “เจ้าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย?”
เห็นได้ชัดว่ามองออกแล้วว่ามู่ฝานจวินเป็นผู้หญิง แต่เป็นเพราะเคยเข้าใจผิดซือถูเซี่ยว ท่านนี้จึงดูเหมือนไม่ค่อยกล้าแน่ใจ
“ผู้หญิง” มู่ฝานจวินตอบ
เมิ่งหรูเอียงหน้ามองซือถูเซี่ยวแวบหนึ่ง แล้วขมวดคิ้วพึมพำว่า “สังคมภายนอกเป็นอะไรไปหมดแล้ว? ทำไมผู้ชายถึงไม่เหมือนผู้ชาย ผู้หญิงถึงไม่เหมือนผู้หญิง…ท่อง!”
ส่วนเหมียวอี้ก็โดนชายชราชุดคลุมเหลือที่ชื่อว่า ‘สืออวิ๋นเปียน’ จ้องแล้ว สั่งคำเดียวว่า “ท่อง!”
“ท่องอะไร?” เหมียวอี้ถามด้วยท่าทางกินปูนร้อนท้อง
อวิ๋นอ้าวเทียน จีฮวน ฉางเหลย ซือถูเซี่ยวที่ท่องเสร็จแล้วหันมามองเหมียวอี้ที่อยู่ทางนี้พร้อมกัน
“ก็ต้องเป็นมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงอยู่แล้ว” สืออวิ๋นเปียนกล่าว
“อ๋อ!” เหมียวอี้คิดเงียบๆ ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถ่ายทอดเสียงท่อง ตอนแรกที่เขาอยากจะฝึกวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้ากับมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง เขาก็จดจำได้บ้างเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าตอนนี้จะได้นำออกมาใช้งานแล้ว
สืออวิ๋นเปียนกำลังหรี่ตาฟัง แต่ใครจะคิดว่าหลังจากเหมียวอี้ท่องไปได้นิดหน่อย ก็เป็นฝ่ายหยุดท่องเองโดยที่เขาไม่ได้สั่งให้หยุด
สืออวิ๋นเปียนลืมตาขึ้น แล้วถามว่า “ทำไมไม่ท่องแล้ว?”
พวกอวิ๋นอ้าวเทียนได้ยินแล้วหัวใจกระตุกวูบ
เหมียวอี้อบร้องในใจว่าซวยแล้ว เขาฝึกมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงไม่สำเร็จ จำได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้ฝึกช่วงหลังจึงไม่ได้ท่องไว้ เขาพยายามท่องอย่างช้าๆ แล้ว หวังว่าจะสามารถตบตาได้ แต่ใครจะคิดว่าตาแก่ที่อยู่ตรงข้ามจะไม่สั่งให้หยุด เขาทำได้เพียงหยุดเอง ประเด็นสำคัญคือถ้าท่องมั่วก็จะตบตาอีกฝ่ายไม่ได้
โชคดีที่ยามหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้เขาไม่ได้อ่อนด้อยฝีมือ กล่าวด้วยท่าทางสบายใจไร้กังวลว่า “ข้าไม่ได้ฝึกมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงเสียหน่อย อ่านแล้วรู้สึกว่าไม่มีอะไรน่าสนใจก็เลยล้มเลิก จะไปจำหมดได้ยังไง ผู้อาวุโสสือ ท่านจะให้ข้าท่องสิ่งนี้ไปทำไม?”
ชั่วพริบตานั้น ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นเงียบกริบ ทุกสายตาจับจ้องไปที่เหมียวอี้คนเดียว
หลังจากสืออวิ๋นเปียนชะงักไปพักหนึ่ง ก็ถามเสียงต่ำว่า “มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง หนึ่งในหกเคล็ดวิชาพิเศษ เจ้าบอกว่าไม่สนใจงั้นเหรอ?”
เหมียวอี้รีบแก้คำพูด “ก็ไม่เชิงว่าไม่สนใจ แค่ตอนนี้ยังไม่ได้ฝึกก็เท่านั้นเอง”
สืออวิ๋นเปียนทำสีหน้าเหมือนโดนตะคริวกิน ยื่นมือกล่าวว่า “งั้นเอาเคล็ดวิชาออกมาให้ข้าดูหน่อย”
เหมียวอี้จะกล้านำเคล็ดวิชาติดตัวไว้ได้อย่างไรกัน ตอนเข้านรกจะต้องถูกค้นตัว หากถูกพบว่าบนตัวมีมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงก็แย่แล้ว เขาย่อมไม่ได้พกมาด้วย จะนำออกมาได้อย่างไรกัน เขาตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “ไม่ได้พกติดตัว ซ่อนเอาไว้แล้ว”
“…” สืออวิ๋นเปียนพูดไม่ออกนิดหน่อย ได้แต่จ้องเหมียวอี้ และไม่มีทางแน่ใจด้วยว่าสิ่งที่เหมียวอี้พูดเป็นความจริงหรือโกหก ถึงอย่างไรเหมียวอี้ก็ท่องออกมาส่วนหนึ่งแล้วจริงๆ
ตอนนี้เหมียวอี้กังวลมากว่าเจ้าหมอนี่จะมาค้นตัวเขา เพราะบนร่างกายเขามีของของตำหนักสวรรค์อยู่ ถ้าถูกค้นและจับได้ว่าตัวเองเป็นคนของตำหนักสวรรค์ โจรกบฏกลุ่มนี้จะต้องจับเขาถลกหนังทั้งเป็นแน่นอน
จู่ๆ สืออวิ๋นเปียนก็ยื่นมือมาดึงคอเสื้อของเหมียวอี้เอาไว้ แล้วถามด้วยน้ำเสียงเดือดดาลว่า “เจ้าไม่ได้ฝึกมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงแล้วถ่อมาทำอะไรที่นี่?”
เหมียวอี้ชี้ไปที่ตูหยวนฮ่าว พลางตอบอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “พวกเราก็ไม่ได้อยากมาหรอก เป็นขุนพลที่จับพวกเรามา
ตูหยวนฮ่าวอ้าปากค้างพูดไม่ออก
“เจ้า…” สืออวิ๋นเปียนเดือดดาลมาก
“เฒ่าสือ!” กลับเป็นเมิ่งหรูที่เพิ่งตรวจสอบมู่ฝานจวินเสร็จที่เอ่ยห้ามเขาไว้ “อย่าบุ่มบ่าม”
สืออวิ๋นเปียนกล่าวเสียงต่ำว่า “คนคนนี้มีปัญหา ใครจะไปรู้ว่าเขาพูดจริงหรือโกหก ดีไม่ดีอาจจะมีปัญหากันหมดทั้งหกคน”
เมื่อกล่าวมาแบบนี้ ก็ทำให้พวกอวิ๋นอ้าวเทียนอกสั่นขวัญแขวนทันที
เมิ่งหรูโบกมือ แล้วชี้ไปด้านนอกท้องฟ้า เหมือนกำลังบอกใบ้อะไรสักอย่าง
สืออวิ๋นเปียนพ่นเสียงทางจมูก แล้วใช้มือผลักเหมียวอี้ออกไป
เมิ่งหรูมองเหมียวอี้ศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง แล้วก็กวาดสายตามองพวกอวิ๋นอ้าวเทียนอีก “ทุกคนตามข้ามา”
เขาเหาะขึ้นฟ้านำไปก่อน แล้วสืออวิ๋นเปียนก็ตะคอกสั่งพวกเหมียวอี้ที่กำลังมองหน้ากันเลิกลั่กว่า “ยังไม่รีบตามไปอีก”
สิ่งที่เรียกว่า ‘อีกฝ่ายมีอำนาจชี้เป็นชี้ตาย แต่ตัวเองเป็นเนื้อบนเขียง’ คืออะไรล่ะ? พวกเหมียวอี้มีควารู้สึกแบบนี้แหละ แต่ก็ช่วยไม่ได้ ทำได้เพียงพุ่งตัวขึ้นฟ้าตามไป
ไม่ใช่แค่พวกเขาเท่านั้น คนหลายสิบคนที่ยืนอยู่นอกตำหนักก็พุ่งขึ้นฟ้าเช่นกัน
ทุกคนพุ่งฝ่าเมฆดำ เหาะฝ่าชั้นบรรยากาศออกไปอยู่ในดาราจักร ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์หกคนเหาะนำทางอยู่ข้างหน้า พวกเหมียวอี้ตามอยู่ข้างหลัง พอหันกลับมามองข้างหลัง แต่ละคนก็เรียกได้ว่าอกสั่นขวัญแขวน ตอนนี้ถึงได้พบว่าสามสิบกว่าคนที่ตามอยู่ข้างหลังล้วนเป็นนักพรตที่มีระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพ
พวกเขาไม่ได้เหาะไปไกลนัก หยุดลอยอยู่ในท้องฟ้านอกดาวรองดวงหนึ่งที่โคจรรอบดาวหลัก ที่ดาวรองดวงนั้นมีดาวเสริมสิบเอ็ดดวงโคจรอยู่รอบๆ ดาวเคราะห์สิบสองดวงนี้ล้วนถูกหมอกสีเลือดปกคลุม มองเห็นสถานการณ์บนดาวเคราะห์ได้ไม่ชัดเจน
พวกอวิ๋นอ้าวเทียนไม่รู้ว่าโจรกบฏกลุ่มนี้พาพวกเขามาทำอะไรที่นี่ มีเพียงเหมียวอี้ที่พอกวาดสายตาเจอดาวเคราะห์สิบสองดวงแล้ว สายตาก็ไปหยุดอยู่ตรงดาวรองตรงกลางที่ถูกโคจร ในใจแอบมีความสุขเล็กน้อย
ตำแหน่งคร่าวๆ ของภาพพิกัดดาวบนแผนที่ซ่อนสมบัติ เมื่อเจอตำแหน่งคร่าวๆ แล้วถึงจะหาตำแหน่งที่เฉพาะเจาะจงได้
แค่มองปราดเดียวเขาก็รู้แล้วว่าเป็นที่ซ่อนเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางภาคดิน มันอยู่บนดาวรองที่มีดาวเสริมสิบสองดวงโคจรรอบๆ นั่นเอง พยายามหาแทบตายแต่ไม่เจอ พอเลิกหาเลิกสนใจ กลับได้มาง่ายๆ แบบคาดไม่ถึงเสียอย่างนั้น
มองซ้ายก็แล้วมองขวาก็แล้ว ก็ยังไม่เข้าใจว่าการที่โจรกบฏกลุ่มนี้พาตัวเองมาถึงที่ซ่อนสมบัติหมายความว่าอย่างไร
เมิ่งหรูที่จ้องมองอยู่พักหนึ่งหันตัวมามองพวกเหมียวอี้ แล้วชี้ไปยังดาวเคราะห์สิบสองดวงพร้อมถามว่า “เห็นดาวเคราะห์สิบสองดวงนั่นหรือยัง?”
พวกเหมียวอี้สบตากันแวบหนึ่ง แล้วพยักหน้าตอบพร้อมกันว่า “เห็นแล้ว”
เมิ่งหรูกล่าวอธิบายว่า “หลังจากประมุขปราชญ์หกท่านตายแล้ว พวกเราก็ล่าถอยมาที่แดนอเวจี เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้กระจัดกระจายจนติดต่อกับโจรกบฏภายนอกได้ยาก ทั้งหกลัทธิจึงเลือกประมุขขุนพลหนึ่งคนมาบัญชาการพวกเรา ตอนนี้ประมุขขุนพลหกท่านถูกขังบนบนดาวรองที่มีดาวเสริมสิบเอ็ดดวงโคจร และบนดาวสิบสองดวงนั้นก็ถูกใครบางคนใช้พลังอิทธิฤทธิ์อันแข็งแกร่งวางค่ายกลขนาดใหญ่ไว้ ค่ายกลใหญ่กับชีวิตของประมุขขุนพลหกท่านมีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น ถ้าอยากจะช่วยชีวิตประมุขขุนพลหกท่านออกมาจากดาวรอง ก็ต้องทำลายค่ายกลที่เกี่ยวโยงกันบนดาวเสริมสิบเอ็ดดวงก่อนถึงจะเข้าไปได้ ที่พาพวกเจ้าหกคนมาที่นี่ ก็เพราะต้องการจะให้พวกเจ้าทำลายค่ายกล ถ้าสามารถทำลายค่ายกลได้ เราก็จะไว้ชีวิตพวกเจ้า แต่ถ้าพวกเจ้าทำลายค่ายกลไม่ได้ ข้าก็จะเอาชีวิตพวกเจ้า!”
ทั้งหกคนเหม่อทันที อวิ๋นอ้าวเทียนถามว่า “ขนาดอาศัยวรยุทธ์ของพวกท่านยังไม่สามารถทำลายค่ายกลได้เลย ให้พวกเราไปทำลายค่ายกลนี่กำลังล้อเล่นรึเปล่า แบบนี้ต่างอะไรกับการกดดันให้พวกเราเอาชีวิตไปทิ้ง?”
“ในปีนั้นคนที่เคยวางค่ายกลนี้เคยบอกเอาไว้ ว่าให้รอจนผู้สืบทอดมหาเคล็ดวิชาพิเศษของประมุขปราชญ์หกท่านมาถึง ก็จะเป็นเวลาที่ประมุขขุนพลหกท่านจะได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกครั้ง” เมิ่งหรูกล่าว
ทั้งหกคนเข้าใจทันทีว่าทำไมโจรกบฏกลุ่มนี้จึงพิสูจน์ยืนยันเคล็ดวิชาฝึกตนของพวกเขา ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง
เหมียวอี้ที่เหลือบมองชายชราสามคนถามหยั่งเชิงว่า “ผู้อาวุโสทั้งหกท่านก็ฝึกหกเคล็ดวิชาพิเศษไม่ใช่เหรอ? ทำไมไม่ทำลายเองล่ะ?”
เมิ่งหรูส่ายหน้าบอกว่า “พวกเราฝึกแค่หกเคล็ดวิชาพิเศษภาคดิน และเป็นผู้วางค่ายกลท่านนั้นที่ถ่ายทอดวิชาให้เรา เป้าหมายในการถ่ายทอดวิชาก็เพื่อให้ต้อนรับและนำทางคนทำลายค่ายกล พวกเราก็เคยลองทำลายค่ายกลแล้วเหมือนกัน แต่จนใจที่หาวิธีการไม่ได้ ไม่กล้าฝืนทดลอง ไม่กล้าเอาชีวิตประมุขขุนพลหกท่านมาเสี่ยงอันตราย”
มีคนที่กุมหกเคล็ดวิชาพิเศษไว้ในมือเหรอ? เหมียวอี้ตาเป็นประกาย นึกเชื่อมโยงอะไรบางอย่าง รีบถามต่อว่า “ไม่ทราบว่าคนวางค่ายกลคือใคร ในมือถึงมีมหาเคล็ดวิชาพิเศษของประมุขปราชญ์หกท่านได้?”
“ประมุขไป๋!” เมิ่งหรูตอบเสียงดัง
เป็นเขาจริงๆ ด้วย! เหมียวอี้ถามอีกว่า “ในมือประมุขไป๋มีหกเคล็ดวิชาพิเศษได้อย่างไร?”
เมิ่งหรูค่อยๆ หลับตาสองข้าง แล้วถามว่า “เจ้าถามเยอะเกินไปหรือเปล่า?”
หลายปีมานี้ถูกหกเคล็ดวิชาพิเศษที่ประมุขไป๋ซ่อนคอยจูงจมูกให้เดินมาตลอด เหมียวอี้ย่อมอยากคลายปริศนาในใจอยู่แล้ว จึงอธิบายว่า “พวกท่านบังคับให้พวกเราทำลายค่ายกล ถ้าพวกเราไม่รู้แม้แต่ต้นสายปลายเหตุ แล้วจะให้พวกเราทำลายค่ายกลได้อย่างไร?”
หลังจากตรงนั้นเงียบไปครู่หนึ่ง กุยอู๋ พระที่ผิวสีทองแดงก็ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “หกเคล็ดวิชาพิเศษเป็นสิ่งที่ประมุขปราชญ์หกท่านมอบให้ประมุขไป๋”
เหมียวอี้ยิ่งฟังยิ่งแปลกใจ “ประมุขไป๋กับประมุขปราชญ์หกท่านเป็นศัตรูคู่แค้นกันไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงมอบเคล็ดวิชาให้เขาได้?”
กุยอู๋กล่าวด้วยน้ำเสียงขื่นขมว่า “ในปีนั้นประมุขพุทธะ ประมุขชิง ประมุขไป๋ระดมกำลังพลกลุ่มใหญ่เพื่อร่วมมือกันก่อกบฏ หลังจากศึกใหญ่ผ่านไป ประมุขไป๋ก็คาดคะเนเส้นทางหนีของพวกเราได้อย่างแม่นยำ จึงดักซุ่มสกัดพวกเราไว้ แต่ประมุขปราชญ์หกท่านร่วมมือกันก็ยังสู้ประมุขไป๋ไม่ได้ ภายใต้ความจนตรอกไร้ทางไป ประมุขปราชญ์หกท่านสละหกเคล็ดวิชาพิเศษให้แล้วปลิดชีพตัวเอง ประมุขไป๋ซาบซึ้งใจจึงปล่อยให้พวกเรารอดชีวิต เป็นประมุขปราชญ์หกท่านที่สละชีวิตตัวเอง พวกเราถึงได้ถอยทัพเข้ามาในแดนอเวจี ไม่อย่างนั้นคงพินาศย่อยยับไปหมดตั้งนานแล้ว จะมีวันนี้ได้อย่างไรกัน!”
…………………………
บทที่ 1223 หมอกโฉมงามอาภัพ
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อกล่าวมาแบบนี้ ก็ไม่ใช่แค่กุยอู๋ แต่ขุนพลใหญ่หกลัทธิ รวมทั้งกลุ่มนักพรตพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพที่อยู่ข้างหลังก็ทำสีหน้าเศร้าสลด
พวกอวิ๋นอ้าวเทียนหะนกลับมามองแวบหนึ่ง ถึงขั้นสังเกตเห็นว่าในดวงตาบางคนมีน้ำตาคลอ ภาพนี้ฉากนี้ทำให้พวกอวิ๋นอ้าวเทียนแอบทำสีหน้าสะเทือนใจ จินตนาการได้ไม่ยากว่าภาพที่หกมหาราชันปาดคอตัวเองเพื่อจะปกป้องลูกน้องมิตรสหายในปีนั้นเศร้าสลดและยิ่งใหญ่ขนาดไหน
เอาใจเขามาใส่ใจเรา การสละชีวิตตัวเองเพื่อปกป้องคนอื่นไม่ใช่สิ่งทุกคนจะทำได้ และก็ไม่แปลกใจที่ประมุขไป๋ที่คิดจะเล่นงานคนกลุ่มนี้ให้ตายจะซาบซึ้งใจและปล่อยให้รอดชีวิต และไม่แปลกใจที่หลังจากหกมหาราชันตายแล้ว โจรกบฏพวกนี้ยังต่อต้านตำหนักสวรรค์มาจนถึงปัจจุบันโดยไม่ยอมจำนน
“ในเมื่อประมุขไป๋ปล่อยให้พวกท่านรอดชีวิตแล้ว ทำไมถึงยังวางค่ายกลใหญ่ขังประมุขขุนพลหกท่านไว้อีก?” เหมียวอี้แปลกใจ
ตานฉิง ขุนพลใหญ่แห่งลัทธิมารถอนหายใจยาวแล้วตอบว่า “เรื่องที่ประมุขขุนพลหกท่านโดนขังเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นหลายปี ได้ยินว่าข้างนอกมีประมุขปีศาจโผล่มาอีกคน ไม่รู้ว่าเพราะอะไรประมุขพุทธะกับประมุขชิงจึงยืนอยู่ฝ่ายเดียวกัน และแปรพักตร์ให้ประมุขไป๋กับประมุขปีศาจแล้ว ได้ยินว่าประมุขปีศาจตกเป็นตัวประกันอยู่ในมือของประมุขพุทธะและประมุขชิง ตอนนี้ไม่รู้ว่าประมุขไป๋เข้ามาในจนกที่ถูกปิดปนึกจากทางไหน มาหาตัวพวกเราพบ หลังจากคุยกันอยู่นาน ประมุขขุนพลหกท่านก็ยินดีถูกประมุขไป๋ขังไว้ในค่ายกลใหญ่ โดยขังมาจนกระทั่งวันนี้”
“ประมุขขุนพลหกท่านยินดีถูกขังเองเหรอ? ทำไมถึงยินดีถูกประมุขไป๋ขังล่ะ?” เหมียวอี้ตกตะลึงปนประหลาดใจ
เหลิ่งจัวฉุน ขุนพลใหญ่ลัทธิผีตอบว่า “พวกเราก็ไม่รู้เหตุผลโดยละเอียดเหมือนกัน ประมุขขุนพลหกท่านไม่ได้บอกชัดเจน บอกเพียงว่ารอให้ผู้สืบทอดมหาเคล็ดวิชาของประมุขปราชญ์หกท่านมาถึง ก็จะเป็นเวลาที่พวกเขาหลุดพ้น เวลาออกจากนรกไปโค่นล้มประมุขชิงกับประมุขพุทธะก็จะมาถึงแล้ว พวกเราก็คิดเพียงว่าประมุขไป๋เตรียมแผนการอะไรไว้ แต่ใครจะคิดว่าไม่นานหลังจากนั้น ก็ได้ข่าวว่าประมุขไป๋โดนสยบไว้ในเจดีย์สยบปีศาจ ข่าวนี้ทำให้พวกเราเหมือนโดนฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ แต่พวกเราก็ไม่สามารถทำลายค่ายกลใหญ่เพื่อช่วยชีวิตประมุขขุนพลหกท่านออกมาได้ ทำได้เพียงรอคอยตามคำฝากฝังของประมุขขุนพลหกท่าน หนึ่งแสนกว่าปีแล้ว เดิมทีพวกเราหมดหวังไปแล้ว นึกไม่ถึงว่าพวกเจ้าจะปรากฏตัว”
พวกเหมียวอี้มองหน้ากันเลิกลั่ก พวกเขารู้ดีอยู่แก่ใจ รู้ว่าตัวเองกับประมุขไป๋ท่านนั้นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน แล้วอีกอย่าง ประมุขไป๋ท่านนั้นก็ถูกขังอยู่ในเจดีย์สยบปีศาจแล้ว จะมาเกี่ยวข้องกับพวกเขาได้อย่างไร
ถ้าจะบอกว่ามีอะไรเกี่ยวข้องกับประมุขไป๋จริงๆ เหมียวอี้ก็ยอมรับว่าเกี่ยวข้องอยู่นิดหน่อย เพราะเขามาขุดหาสมบัติที่ประมุขไป๋ที่ไว้ แต่ความเกี่ยวข้องเล็กน้อยแค่นี้ เป็นเพราะภายใต้โอกาสที่เหมาะเจาะ เขาได้บังเอิญได้กุญแจไขปปริศนาของเผ่าปีศาจจนเปิดใช้งานแผนที่ซ่อนสมบัติได้ที่สถานที่ไร้ระเบียบ ไม่ได้รับการชี้แนะใดๆ ทั้งนั้น เป็นความบังเอิญล้วนๆ
และสำหรับพวกอวิ๋นอ้าวเทียน แม้แต่ประมุขไป๋หน้าตาเป็นอย่างไรก็ยังไม่รู้เลย พวกเขาก็ยิ่งไม่คิดว่าตัวเองกับประมุขไป๋มีความเกี่ยวข้องกัน ที่บอกว่าประมุขไป๋ส่งมาทำอะไร เป็นผู้สืบทอดมหาเคล็ดวิชาของหกมหาราชันอะไรนั่นเพื่อมาทำลายค่ายกลช่วยชีวิตประมุขขุนพล พวกเขาไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย และไม่เคยได้ยินใครเอ่ยถึงด้วย วันนี้เพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรก
แต่ในใจของพวกเขาก็เคลือบแคลงเช่นกัน หกมหาราชันตายไปแล้ว ประมุขไป๋ถูกขังอยู่ในเจดีย์สยบปีศาจ แล้วหกเคล็ดวิชาพิเศษตามคนกลุ่มนั้นหนีไปถึงพิภพเล็กได้อย่างไร? ตอนอยู่ที่พิภพใหญ่พวกเขาก็เคยได้ยินเรื่องเมื่อหนึ่งแสนปีก่อนเช่นกัน แต่ตอนนั้นมีคนยกทัพไปปราบเยอะเกินไป ไม่รู้ชัดเหมือนกันว่าคนกลุ่มไหนหนีมาตายอยู่ที่พิภพเล็กแล้ว
มู่ฝานจวินเหมือนนึกอะไรบางอย่างได้ หลังจากสายตาวูบไหวอยู่พักหนึ่งก็เงยหน้าถามว่า “พวกท่านแน่ใจได้อย่างไรว่าประมุขไป๋ถูกขังอยู่ในเจดีย์สยบปีศาจ?”
“ถ้าไม่ได้ถูกขัง แล้วข้างนอกจะสงบสุขแบบนี้ได้อย่างไร?” เมิ่งหรูถาม
“ประมุขไป๋หน้าตาเป็นอย่างไร?” มู่ฝานจวินถามอีก
พวกเหมียวอี้หันหน้าไปมองนางทันที แปลกใจนิดหน่อยว่านางสนใจหน้าตาของประมุขไป๋ไปทำไม หน้าตาแบบไหนแล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้า?
จ่างหง ขุนพลใหญ่ลัทธิปีศาจตะคอกตอบว่า “ถ้าพวกเจ้าอยากจะรู้สถานการณ์โดยละเอียด ก็มีแค่ต้องทำลายค่ายกล รอจนประมุขขุนพลหกท่านหลุดพ้นออกมาก่อน มีอะไรก็ถามขอคำชี้แนะประมุขขุนพลหกท่านได้เลย พวกเราก็รู้ไม่เยอะเหมือนกัน”
สืออวิ๋นเปียนบอกอีกว่า “เลิกชักช้าได้แล้ว สิ่งที่ควรพูดหรือไม่ควรพูดก็บอกพวกเจ้าไปหมดแล้ว ทำลายทำลายค่ายกลให้ข้าเดี๋ยวนี้ ถ้าทำลายค่ายกลไม่ได้ก็แปลว่าพวกเจ้าคือสายลับที่โจรกบฏส่งมา”
ฉางเหลยถอนหายใจแล้วถามอีกว่า “ทำลายค่ายกลไม่ได้ก็แปล่วาเป็นสายลับของโจรกบฏ นี่มันหลักการอะไรกัน?”
สืออวิ๋นเปียนเหล่ตาตอบว่า “หกเคล็ดวิชาพิเศษอยู่ในมือประมุขไป๋ ประมุขไป๋ถูกประมุขพุทธะกับประมุขชิงขังไว้ เป็นไปได้สูงว่าหกเคล็ดวิชาพิเศษจะตกอยู่ในมือโจรกบฏ แล้วพวกเจ้าก็ฝึกหกเคล็ดวิชาพิเศษ ถ้าจะบอกว่าพวกเจ้าเป็นสายลับก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินไป”
อยากเล่นงานใคร ย่อมหาข้ออ้างได้เสมอ! ทั้งหกเหลือบมองดาวเคราะห์สิบสองดวงนั่น ไม่มีที่ให้ลงมือเลย การให้พวกเขาทำลายค่ายกลช่างเป็นเรื่องล้อเล่นจริงๆ
“ค่ายกลนี้ข้าไม่มีทางทำลายได้หรอก” อวิ๋นอ้าวเทียนกล่าว
สายตาที่เจือด้วยความดุร้ายหลายสิบดวงจ้องมาทันที
เหลิ่งจัวฉุนแสยะยิ้มถามว่า “พวกเจ้าแน่ใจเหรอว่าทำลายไม่ได้?”
ในคำพูดแฝงรสชาติขู่เข็ญไว้เต็มเปี่ยม เหมือนเป็นคำขาดสุดท้าย
อวิ๋นอ้าวเทียนเม้มริมฝีปากแน่น แล้วถามเสียงต่ำว่า “พวกเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะทำลายค่ายกลนี้ยังไง ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับค่ายกลนี้เลย แล้วจะไปทำลายได้ยังไง?”
กลิ่นอายสังหารพรั่งพรูขึ้นมาบนตัวเหลิ่งจัวฉุนในชั่วพริบตาเดียว “ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นก็อย่าหาว่าพวกเรา…”
“ช้าก่อนๆๆๆ ทำลายได้ ทำลายได้” เมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังจะลงมือสังหาร เหมียวอี้ก็รีบออกเสียงห้าม
สายตาของทุกคนไปรวมอยู่บนตัวเขา เหลิ่งจัวฉุนรีบถามว่า “เจ้าทำลายได้เหรอ?”
พวกอวิ๋นอ้าวเทียนย่อมมองเหมียวอี้อย่างประหลาดใจสงสัย อดนึกเชื่อมโยงไม่ได้ว่าเดิมทีเหมียวอี้ก็ต้องการจะมาที่นี่อยู่แล้ว
เหมียวอี้ยิ้มแห้งพร้อมตอบว่า “ถ้าไม่ลองดูแล้วจะรู้ได้ยังไงว่าทำลายไม่ได้”
ลักษณะการทำงานของเขาเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เรื่องไหนที่ไม่เคยลองก็จะไม่ยอมล้มเลิกง่ายๆ อย่างน้อยก็ไม่ตัดโอกาสในรวดเดียว ถ้าถ่วงเวลาสักหน่อยอาจจะหาข้ออ้างมาตบตาได้ ไม่อย่างนั้นก็จะสิ้นชีพตอนนี้ ตายแบบนี้อาจจะไร้ความยุติธรรมเกินไปหน่อย
ทว่าฝ่ายนี้ไม่ให้โอกาสพวกเขาหาข้ออ้างมาตบตาเลย เหลิ่งจัวฉุนเอียงหน้าบอกใบ้ทนัที “ถ้าทำลายได้ก็รีบไปทำลาย”
“ทำลายยังไง?” เหมียวอี้ถามส่งเดช
คำถามนี้มีชั้นเชิงเกินไปแล้ว พูดในเหตุการณ์และบรรยากาศแบบนี้ก็สามารถทำให้สำลักตายได้ พวกอวิ๋นอ้าวเทียนพูดไม่ออก กลุ่มโจรกบฏทำสีหน้าเหมือนโดนปั่นหัวทันที
เหลิ่งจัวฉุนถามอย่างเดือดดาลทันทีว่า “ถ้ารู้ว่าทำลายยังไงแล้วยังจะให้พวกเจ้ามาทำลายอีกเหรอ?”
“ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น” เหมียวอี้รีบพูดเสริม ตระหนักได้แล้วว่าตัวเองสื่อสารผิด ช่างเป็นการรนหาที่ตายจริงๆ รีบแก้คำพูดว่า “ข้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับค่ายกลนี้เลย พวกท่านต้องแนะนำข้าสักหน่อยสิ”
ไฟโกรธที่ล้นทะลักของเหลิ่งจัวฉุนถูกคำพูดนี้ข่มเอาไว้ ถลึงตาจ้องเหมียวอี้ ส่วนคนที่ถูกจ้องก็อกสั่นขวัญแขวน
ยังเป็นเมิ่งหรูที่ก้าวขึ้นมาขวางเหลิ่งจัวฉุนไว้ แล้วชี้ไปที่ดาวเคราะห์สิบสองดวงนั้น พร้อมชี้แนะว่า “ประมุขไป๋บอกไว้หลังจากวางค่ายกลใหญ่ ว่าเขาอาศัยพลังโคจรของดาวเสริมสิบเอ็ดดวงเพื่อวางค่ายกลผนึกดาวรองที่อยู่ตรงกลาง ส่วนค่ายกลที่เกี่ยวโยงกันบนดาวรองก็เชื่อมต่อกับชีวิตของประมุขขุนพลหกท่าน ถ้าฝืนบุกเข้าไปก็จะกระตุ้นค่ายกลและทำให้ประมุขขุนพลหกท่านตายทันที เขาบอกว่าพวกเราห้ามบุกเข้าไป ถ้าอยากจะเข้าดาวรอง ก็ต้องทำลายค่ายกลที่เกี่ยวโยงกันระหว่างดาวเคราะห์สิบสองดวงให้ได้ก่อน ส่วนการทำลายแกนค่ายกลค่ายกลก็อยู่บนดาวเสริมสิบเอ็ดดวง”
ประมุขไป๋ทท่านนั้นเหนื่อยบ้างรึเปล่า? เหมียวอี้พึมพำในใจ เอามือลูบคางจ้องมองดาวเคราะห์สิบสองดวงนั้นพร้อมถามว่า “ถ้าเป็นแบบนี้ ขอแค่หาแกนค่ายกลบนดาวเสริมเจอ ก็จะสามารถทำลายค่ายกลที่เกี่ยวโยงกันและเข้าไปช่วยชีวิตประมุขขุนพลหกท่านออกมาจากดาวรองได้เหรอ?”
“ถูกแล้ว!” เมิ่งหรูพยักหน้า แล้วส่ายหน้าอีก “แต่จนใจที่หมอกหนาปกคลุม เป็นเรื่องยากมากที่จะหาพบ”
“อาศัยวรยุทธ์อย่างพวกท่าน หมอกเล็กน้อยแค่นี้เป็นอุปสรรคต่อการร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูเหรอ?” เหมียวอี้หันกลับมาถามอย่างฉงนใจ
เมิ่งหรูอธิบายว่า “นั่นไม่ใช่หมอกธรรมดา เป็นพิษประหลาด ‘หมอกโฉมงามอาภัพ’ ที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของพลังดวงดาว ไม่ว่าจะเป็นมารปีศาจหรือว่ามนุษย์ หากไปสัมผัสโดนมันก็จะสลายวิญญาณกร่อนกระดูกจนกลายเป็นน้ำสีดำทันที สามารถกัดกร่อนพลังอิทธิฤทธิ์ได้ ไม่มีทางร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจได้เลย พวกเราก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามบุกเข้าไปเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่รอให้พวกเจ้ามาทำลายค่ายกลหรอก”
ขณะจ้องมองหมอกสีเลือดที่ปกคลุมดาวเคราะห์สิบสองดวง พวกเหมียวอี้ก็ตะลึงงันเล็กน้อย ผ่านไปพักใหญ่ถึงได้หันกลับมามองหน้ากันเลิกลั่ก ต่างก็มองออกจากสายตาของกันและกันว่ามีความคิดแบบเดียวกัน ทำไมฟังดูคล้ายๆ แดนหมอกเลือดหมื่นจั้งของพิภพเล็กเลยล่ะ?
มู่ฝานจวินขมวดคิ้วมุ่น ยิ่งทำสายตาพิศวงขึ้นเรื่อยๆ
ฉางเหลยกล่าวถามอย่างทอดถอนใจเล็กน้อย “ผู้อาวุโสทุกท่าน นี่คือ ‘หมอกโฉมงามอาภัพ’ แม้แต่พวกท่านยังหวาดกลัว แล้วพวกเราจะทำอะไรได้ล่ะ?”
ไม่มีใครสนใจ เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่กลุ่มโจรกบฏพิจารณาถึง
แต่ใครจะคาดคิด ว่าจู่ๆ เหมียวอี้จะถามว่า “ขุนพลใหญ่เมิ่ง ในหมอกโฉมงามอาภัพนี้มีตั๊กแตนหรือเปล่า?”
เขาเคยทดลองเข้าแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งของพิภพเล็กมาแล้ว ถ้าสองแห่งนี้มีสัตว์ชนิดเดียวกัน เช่นนั้นหมอกโฉมงามอาภัพนี้ก็ไม่มีอะไรน่ากลัว กลัวก็แต่ในนั้นจะมีตั๊กแตนทมิฬ เขาเคยได้บทเรียนคามน่าหวาดกลัวของสิ่งนั้นมาแล้ว อาศัยวรยุทธ์ของเขาในตอนนี้ไปมีเรื่องด้วยไม่ไหวเลย
“ตั๊กแตน?” เมิ่งหรูงุนงง “ตั๊กแตนอะไร? ไม่เคยเห็นว่ามีตั๊กแตนอะไรนะ”
เขาไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอะไร แต่พวกอวิ๋นอ้าวเทียนกลับเข้าใจว่าเหมียวอี้กำลังพิสูจน์ว่าที่นี่ใช่แดนหมอกเลือดหมื่นจั้งของพิภพเล็กหรือเปล่า
“ไม่เคยเห็น…” เหมียวอี้พึมพำกับตัวเอง แล้วถามอีกว่า “หมอกโฉมงามอาภัพนี้ จะเปลี่ยนจากสีแดงกลายเป็นสีขาวทุกช่วงสั้นๆ หรือเปล่า?”
“เป็นสีแดงมาตลอด ยังไม่เคยเห็นเปลี่ยนเป็นสีขาว” เมิ่งหรูกล่าว
“ไม่มี…” เหมียวอี้ขมวดคิ้วพึมพำ “หรือว่าจะไม่ใช่?”
มีบางคนทนรอไม่ไหวแล้ว ตานฉิงตะคอกว่า “เจ้าจะชักช้าไปถึงเมื่อไรถึงจะลงมือ? หรือว่าเจ้าคิดว่าจะถ่วงเวลาต่อไปได้?”
“ไป!” เหมียวอี้กวักมือเรียกพวกอวิ๋นอ้าวเทียน “พวกเราวนอ้อมเพื่อดูสถานการณ์ก่อน
คนที่เหลือมองเห็นสายตาของเขาแล้ว ถึงได้เหาะตามไปด้วยกัน โดยมีขุนพลใหญ่หกลัทธินำคนเหาะตามหลัง
พวกเขาหันกลับมามองกำลังพลที่ตามหลังตัวเองอยู่ แล้วอวิ๋นอ้าวเทียนก็ถ่ายทอดเสียงถามว่า “เหมียวอี้ เจ้ามั่นใจเหรอว่าจะทำลายค่ายกลได้?”
“ไม่มั่นใจหรอก” เหมียวอี้ตอบ
“งั้นเจ้ายังรับปากอีกเหรอว่าจะทำลายค่ายกล?” จีฮวนถามอย่างโมโห
เหมียวอี้ “คนพวกนี้ไม่คุยกันด้วยเหตุผลเลย จะปฏิเสธได้ยังไง? ปฏิเสธก็ตายน่ะสิ! รออีกประเดี๋ยวข้าจะลองดูก่อน ดูว่าจะหาทางต้านทานหมอกโฉมงามอาภัพนี้ได้มั้ย ถ้าสามารถทำได้ ข้าก็จะลองดูอีกว่าจะทำลายค่ายกลได้หรือเปล่า ถ้าทำลายไม่ได้จริงๆ พวกเจ้าก็เข้ามาในกระเป๋าสัตว์ของข้าทันที พวกเราเข้าไปหลบอยู่ในหมอกโฉมงามอาภัพนี้ด้วยกัน ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่กล้าบุกเข้ามาอยู่แล้ว และไม่กล้าฝืนทำอะไรค่ายกลใหญ่นี้ด้วย”
ฉางเหลยถอนหายใจแล้วบอกว่า “ต่อให้เจ้าจะสามารถพาพวกเราเข้าไปหลบ แต่จะหลบได้นานแค่ไหนล่ะ คงไม่ต้องหลบไปทั้งชีวิตแล้วออกไปไม่ได้หรอกใช่มั้ย? ไม่มีทางที่จะหลบอยู่ในนั้นได้นานเกินไป!”
เหมียวอี้ตอบว่า “อยู่รอดได้อีกหนึ่งวันก็คือหนึ่งวัน ดีกว่าโดนประหารเสียเดี๋ยวนี้เลยใช่มั้ยล่ะ? ขอเพียงสามารถหลบภัยได้ชั่วคราว เดี๋ยวข้าค่อยติดต่อกับทูตขวาตรวจการเกาก้วนตำหนักสวรรค์ รายงานภาพเหตุการณ์ที่เจอมาตลอดทางให้เขารู้ ดูว่าจะสามารถนำทางให้ทัพใหญ่ของตำหนักสวรรค์มาล้อมปราบได้หรือเปล่า สรุปว่าตอนนี้อย่าเพิ่งสนใจอะไรมากขนาดนั้น หาทางมีชีวิตอยู่ต่อไปก่อน อย่างอื่นค่อยๆ คิดทีละก้าวแล้วกัน”
“เจ้าเด็กนี่รู้จักกับทูตขวาตรวจการเกาก้วนของตำหนักสวรรค์จริงเหรอ?” อวิ๋นอ้าวเทียนโมโหแล้ว
คนอื่นๆ ก็สีหน้าบึ้งตึงแล้วเช่นกัน ก่อนหน้านี้คิดว่าเหมียวอี้แค่พูดไปเพื่อปกป้องชีวิตตัวเองเฉยๆ แต่ตอนนี้มาฟังดูแล้วเหมือนเขาจะรู้จักกับเกาก้วนจริงๆ เจ้าเวรนี่ไม่คิดจะพาพวกเขาออกจากนรก กลับพาพวกเขามาชนกำแพงรนหาที่ตายด้วยกัน ช่างน่าแค้นจริงๆ!
…………………………
บทที่ 1224 เปิดดวงตาทิพย์
โดย
Ink Stone_Fantasy
เหมียวอี้เองก็รู้ว่าตัวเองพลั้งปากไป ยั่วยุคนแก่พวกนี้อีกแล้ว
แต่จะว่าไปแล้ว เขาเองก็รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะเกิดสถานการณ์แบบนี้ ตอนแรกเขาแค่อยากมาสืบดูสถานการณ์ให้ชัดเจนว่าจะสามารถนำสมบัติที่ซ่อนมาไว้ในมือได้หรือไม่ แต่ใครจะคิดว่าพอโผล่หน้ามาก็โดนจับแล้ว ไม่มีแม้แต่โอกาสจะสำรวจด้วยซ้ำ ถ้ารู้ตั้งแต่แรกเขาคงจะไม่มาแน่นอน
แต่เขาย่อมมีเหตุผลที่จะเถียงกลับ “พ่อคนนี้กำลังคิดหาทางช่วยพวกเจ้า พวกเจ้ายังไม่รู้จักแยกแยะดีชั่วอีก ถ้ารังเกียจข้าก็หาทางเอาเองได้ อย่ามาตามข้า”
“เจ้า…” จีฮวนโมโหจนแทบกระอักเลือด ใครเป็นพ่อใครกันแน่? ยกลูกสาวให้แต่งงานโดยสูญเปล่าแล้ว
อวิ๋นอ้าวเทียนเองก็อยากจะตบเจ้าเวรตะไลนี่ให้ตายเหมือนกัน คนอื่นๆ ก็ทำสีหน้าไม่สบอารมณ์ แต่ตอนนี้ไม่มีทางเลือกอื่น ทำได้เพียงตามเหมียวอี้ไปทดลองสักครั้ง
“ถึงแม้หกคนนี้จะวรยุทธ์ไม่สูง แต่ก็ไม่ใช่ตัวละครธรรมดา พวกเขามีจิตใจที่โอหังอวดดี”
เมิ่งหรูที่ติดตามอยู่ข้างหลังถ่ายทอดเสียงบอกคนทางซ้ายและขวา
เหลิ่งจัวฉุนขานรับ แล้วบอกว่า “ดูไม่ค่อยปกติ เมื่อเผชิญหน้ากับพวกเราก็มองไม่ออกถึงความตระหนกหวาดกลัวอะไร แต่ละคนข่มอารมณ์ได้ดี”
ดาวเสริมสิบเอ็ดดวงกำลังโคจรรอบดาวรอง ส่วนเหมียวอี้ก็นำกลุ่มคนเหาะวนอ้อมดาวเคราะห์สิบสองดวงที่ปกคลุมไปด้วยหมอกสีเลือด
ขุนพลใหญ่หกลัทธิไม่รู้ว่าคนกลุ่มนี้เตรียมจะทำลายค่ายกลอย่างไร พวกอวิ๋นอ้าวเทียนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหมียวอี้มีวิธีการอะไรที่จะหลบเข้าไปอยู่ในหมอกสีเลือดได้ ต้องทราบไว้ว่าถ้ากลุ่มคนที่กำลังจับตาดูตนอยู่รู้ตัวและลงมือขึ้นมา ความเร็วในการหลบหนีจะต้องช้ากว่าความเร็วที่พวกเขาลงมือแน่นอน
“พวกเจ้ารออยู่ตรงนี้ก่อน ข้าจะไปสำรวจดูก่อนสักหน่อย”
เหมียวอี้ที่วนอ้อมรอบหนึ่งหยุดอยู่กับที่ หลังจากสั่งพวกอวิ๋นอ้าวเทียนแล้ว ก็เหาะไปที่ดาวเสริมดวงหนึ่งเพียงลำพัง
ขุนพลใหญ่หกลัทธิที่อยู่ข้างหลังเข้ามาใกล้แล้ว หยุดยืนอยู่กลางอากาศกับพวกอวิ๋นอ้าวเทียน ทุกคนกำลังจ้องมองการกระทำของเหมียวอี้
ฝ่าเข้ามาในชั้นบรรยากาศของดาวเสริม ก็รู้สึกได้ถึงแรงถ่วงทันที ขณะมองดูหมอกสีเลือดด้านล่าง เหมียวอี้ก็ค่อยๆ เข้าไปใกล้ เขาไม่รู้ว่าหมอกสีเลือดนี้กับแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งเป็นของประเภทเดียวกันหรือเปล่า และไม่กล้าเข้าไปเสี่ยงอันตรายด้วย
เขาพลิกฝ่ามือหยิบปลาสองตัวที่ล้างสะอาดและปิ้งเสร็จแล้วออกมา ล้วนเป็นของกินที่อันหรูอวี้เตรียมไว้ให้ลูกเขยอย่างเขาตอนที่ซ่อนตัวอยู่ก่อนหน้านี้ เตรียมไว้ไม่น้อยเลย
พอปลาปิ้งตัวหนึ่งหลุดมือออกไป ก็ย่อมตกลงไปในหมอกสีเลือดที่พัดม้วนเปลี่ยนแปลงตามแรงถ่วง เห็นเพียงชั่วพริบตาที่มันตกลงในหมอกสีเลือด ปลาปิ้งตัวนั้นก็ไหม้เกรียมและกลายเป็นเถ้าถ่านปลิวไปอย่างรวดเร็ว ถ้าเป็นสัตว์เป็นๆ ที่ยังไม่ได้ย่าง คาดว่าคงจะกลายเป็นน้ำสีดำเหมือนที่โจรกบฏพวกนั้นบอกแล้ว พอได้เห็นอานุภาพของหมอกสีเลือดนี้คร่าวๆ ชั่วพริบตาเดียวก็กระโดดหายลงไปในจุดลึกของหมอกหนาแล้ว
เหมียวอี้หันกลับไปมองกลุ่มคนที่กำลังจ้องตัวเองอยู่ที่ด้านนอกท้องฟ้า แล้วโยนปลาปิ้งอีกตัวที่อยู่ในมือออกไปอีก แต่ครั้งนี้กลับแอบปล่อยเพลิงดาราให้ครอบไว้บนปลาปิ้งเงียบๆ ลดความเร็วเวลาตกลงข้างล่างให้ช้าลงเล็กน้อย
พอวัตถุเข้าไปอยู่ในหมอกสีเลือด ก็ไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงใดๆ พิสูจน์แล้วว่าเพลิงดาราของตนสามารถปกป้องการกัดกร่อนจากหมอกเลือดนี้ได้จริงๆ เหมียวอี้แอบดีใจ แล้วคลายเพลิงดาราออกจากปลาปิ้งตัวทันที แอบเก็บเพลิงดาราเงียบๆ จะได้ไม่ทำให้กลุ่มโจรกบฏสงสัย ทำให้ปลาย่างที่ตกลงไปในหมอกไหม้กลายเป็นถ่านทันที ตกหายไปในจุดลึกของหมอกหนา
หลังจากสำรวจทดสอบเสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็มีความมั่นใจแล้วว่าจะเข้าไปหลบซ่อนในหมอกหนานี้ได้ เพียงแต่รู้สึกว่าประมุขไป๋อาจจะวางค่ายกลนี้อย่างเกินความจำเป็นไปหน่อย วางค่ายกลไว้บนดาวรองโดยตรงก็พอแล้ว ตรงนี้มีคนมากมายเฝ้าอยู่ ไม่จำเป็นต้องเล่นใหญ่วางค่ายกลไว้บนดาวเสริมสิบเอ็ดดวงก็ได้
พอครุ่นคิดดูครู่หนึ่ง เขาก็พอจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว การที่ประมุขไป๋วางค่ายกลใหญ่นี้ไว้ อาจจะไม่ใช่เพื่อป้องกันใคร ดีไม่ดีอาจจะทำไปเพื่อป้องกันไม่ให้โจรกบฏในนรกกลุ่มนี้ระงับอารมณ์ไม่ได้และมุทะลุช่วยประมุขขุนพลทั้งหกที่โดนขังออกมา ถึงอย่างไรโจรกบฏกลุ่มนี้ก็ไม่ธรรมอยู่แล้ว เป็นไปได้สูงว่าวางค่ายกลนี้ไว้เพื่อเพิ่มระดับความยากในการช่วยชีวิต
ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพิจารณาเรื่องนี้ เหมียวอี้เรียกสติกลับมาแล้วหันตัวพุ่งออกไปที่ด้านนอกท้องฟ้า ทอดสายตามองไปที่ดาวเสริมสิบเอ็ดดวงนั้น แกนค่ายกลซ่อนอยู่ในดาวเสริมสิบเอ็ดดวงนี้ ตัวเองสามารถเข้าไปสำรวจได้ แต่ดาวเคราะห์ที่ใหญ่ขนาดนั้นตั้งสิบเอ็ดดวง ถ้าเข้าไปสำรวจเพียงลำพังก็ไม่ต่างอะไรกับงมเข็มในมหาสมุทร
สายตาเขาไปหยุดอยู่บนดาวรองที่อยู่ตรงกลาง สมบัติซ่อนอยู่ตรงนั้น…
คนกลุ่มหนึ่งเหาะอยู่ทางซ้ายและขวาของเขา ตานฉิงถามว่า “อืดอาดเชื่องช้านานขนาดนี้ หรือคิดจะอาศัยวิธีการแบบนี้ถ่วงเวลาต่อไป?”
เหมียวอี้กวาดสายตามองที่ดาวเคราะห์สิบเอ็ดดวงนั้น พร้อมตอบโดยที่ไม่หันหน้ากลับมา “วรยุทธ์ของข้าไม่สูงพอ ถ้าจะทำลายค่ายกลนี้ก็ต้องใช้เวลา”
ตานฉิงแสยะยิ้ม “รู้อยู่แล้วว่าเจ้ากำลังถ่วงเวลา ข้าว่า…” เสียงเงียบลงกะทันหัน สืออวิ๋นเปียนที่อยู่ข้างกันรีบเอามือมาป้องปากเขา บอกใบ้ให้เขาหุบปาก และเขาก็หุบปากแล้วจริงๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง ให้ความรู้สึกเหมือนตกใจจนค้างไป
ตอนนี้สายตาของทุกคนจ้องอยู่ที่เหมียวอี้แล้ว
เห็นเพียงรอยนูนสีแดงตรงหว่างคิ้วเหมียวอี้พลันเปิดออก เบิกดวงตาที่สามขึ้นมาแล้ว เผยให้เห็นลูกตาใสสีรุ้งดวงหนึ่ง เห็นเพียงเสาแสงรูปใบพัดที่ยาวสิบกว่าจั้งสายหนึ่งพลันยิงออกมา เสาแสงที่มีรัศมีสีรุ้งลอยวนเวียนดูแวววาว สง่างามและวิจิตรตระการตา แต่ในขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกระทึกขวัญ
ดวงตาที่สามของเหมียวอี้กำลังจ้องที่ดาวเสริมดวงนั้น ทำสีหน้าเหมือนกำลังพุ่งสมาธิไปที่จุดเดียว
สิ่งที่หว่างคิ้วของเขายิงออกไป รัศมีสีรุ้งที่เปลี่ยนแปลงและเสาแสงที่หดขยายไม่หยุดหย่อนเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเขากำลังตรวจดูโดยปรับระยะการมองเห็นและขอบเขตสายตา
ในดวงตาของเขา สายตามองทะลุผ่านหมอกสีเลือดอย่างรวดเร็ว เห็นภูเขาแม่น้ำและพื้นดินที่ซ่อนอยู่ข้างล่างทุกอย่าง
แผ่นดินใหญ่เป็นสีดำมืด สภาพที่เหมือนถ่านเหมือนกับสภาพที่เห็นในแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งของพิภพเล็กทุกอย่าง ทั้งยังมีสมุนไพรเซียนซิงหัวที่พลิ้วไหวอยู่ในโลกอันดำมืดด้วย บางครั้งก็จะเห็นสมุนไพรเซียนซิงหัวที่มีอายุสิบปีเต็มถึงขั้นออกผลแล้วด้วย จะเห็นได้ว่าไม่มีใครมาเก็บสมุนไพรเซียนซิงหัวที่นี่เลย
เหมียวอี้แอบตกใจ ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้เขาแทบจะแน่ใจได้ว่าสิ่งที่เรียกว่า ‘หมอกโฉมงามอาภัพ’ กับแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งของพิภพเล็กเป็นสิ่งเดียวกัน
เพียงแต่เขามองไปมองมาแต่ก็ยังไม่เห็นตั๊กแตนทมิฬสักตัวเลย
“ตาทิพย์?”
“อย่าบอกนะว่าเป็นตาทิพย์?”
ในบรรดาโจรกบฏ มีคนไม่น้อยที่อุทานออกมา จากนั้นขุนพลใหญ่หกลัทธิก็รีบโบกมือใส่พวกเขา บอกใบ้ให้ทุกคนเงียบเสียงอย่ารบกวนเหมียวอี้
เอาเป็นว่ากลุ่มโจรกบฏต่างก็ทำสีหน้าเฝ้าคอยและตื่นเต้นฮึกเหิม เป็นสีหน้าประเภท ‘ในที่สุดก็มองเห็นความหวังแล้ว’ เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้ถึงการมีอยู่ของตาทิพย์ประเภทนี้ ย่อมเข้าใจว่าหมอกเล็กน้อยพวกนี้ขัดขวางการสำรวจของตาทิพย์ไม่ได้
ตอนนี้ตานฉิงไม่คิดอีกแล้วว่าเหมียวอี้กำลังถ่วงเวลา เหมียวอี้ใช้ความจริงทำให้เขาหุบปาก ทำให้โจรกบฏกลุ่มนี้หุบปากแต่โดยดี
ขุนพลใหญ่หกลัทธิแอบถ่ายทอดเสียงคุยกันแล้ว
“นี่คงจะเป็นตาทิพย์ใช่มั้ย?”
“อาศัยวรยุทธ์บงกชทองของเขา จะมีของประเภทตาทิพย์ได้ยังไง?”
“เจ้าหนุ่มนี่เป็นมนุษย์หรือปีศาจกันแน่? บนตัวมนุษย์จะมีตาทิพย์ได้ยังไง?”
“ไม่ว่าจะยังไง ดูท่าแล้วเจ้าหกคนนี้คงจะเป็นคนที่ประมุขไป๋ส่งมาทำลายค่ายกลจริงๆ”
“หวังว่าประมุขขุนพลจะออกมาได้นะ หวังว่าสิ่งที่ประมุขขุนพลพูดไว้ในปีนั้นจะเป็นเรื่องจริง ถ้าพวกเขาสามารถหลุดพ้นออกมาได้ ก็แสดงว่าเวลาที่จะพ้นจากนรกไปโค่นล้มประมุขพุทธะกับประมุขชิงก็อยู่ไม่ไกลแล้ว”
ในชั่วขณะนั้น ภายใต้การใช้ตาทิพย์แสดงพลังปฏิหาริย์ ก็ทำให้ความสงสัยเคลือบแคลงของโจรกบฏหายไปหมดแล้ว
ตาทิพย์? พวกอวิ๋นอ้าวเทียนกลับมองเหมียวอี้ที่เบิกดวงตาประหลาดอย่างตกตะลึงไม่หาย สิ่งนี้คืออะไรกัน? บนตัวเจ้าหมอนี่มีของสิ่งนี้ด้วยเหรอ บนตัวเขาซ่อนความลับไว้เยอะเกินไปแล้ว?
พวกเขาอดไม่ได้ที่จะสงสัย ว่าการที่เหมียวอี้ดึงดันจะมาที่นี่เป็นเพราะพุ่งเป้ามาที่การทำลายค่ายกลหรือเปล่า
หลังจากผ่านไปสักพัก เสาแสงตรงหว่างคิ้วเหมียวอี้ก็พลันถูกเก็บ เขาปิดตาทิพย์แล้ว
“เป็นยังไงบ้าง? หาแกนค่ายกลเจอรึเปล่า?” ขุนพลใหญ่หกลัทธิรีบก้าวขึ้นมาถามทันที
เหมียวอี้ยืนยันอีกครั้งอย่างค่อนข้างอ่อนแรงว่า “ข้าวรยุทธ์ไม่สูงพอ ถ้าจะทำลายค่ายกลนี้ก็ต้องใช้เวลา” จากนั้นก็หยิบยาแก่นเซียนเม็ดหนึ่งออกมาใส่ปาก หลับตาสองข้าง นั่งขัดสมาธิอยู่กลางอากาศอย่างนั้น
ตอนนี้พวกเขาสังเกตเห็นแล้วว่าเหมียวอี้หน้าซีด อาศัยสายตาของพวกเขาก็ดูออกได้ไม่ยากว่าเหมียวอี้อยู่ในสภาวะสูญเสียพลังอิทธิฤทธิ์จำนวนมาก
เมิ่งหรูโบกมือไปที่คนอื่นๆ ทันที บอกใบ้ว่าอย่ารบกวน
คนที่เหลือพยักหน้าเบาๆ ต่างก็เข้าใจแล้วว่าเหมียวอี้วรยุทธ์ไม่สูงพอ การควบคุมตาทิพย์นี้ค่อนข้างเปลืองแรง และอย่าหวังเลยว่าพอเปิดตาทิพย์แล้วจะบังเอิญหาแกนค่ายกลเจอในทันที จะต้องใช้เวลาจริงๆ
หารู้ไม่ นี่ยังเป็นตอนที่เหมียวอี้บรรลุวรยุทธ์ถึงระดับบงกชทองขั้นห้าแล้ว ถึงขยายเวลาในการใช้ตาทิพย์ได้ ไม่อย่างนั้นเหมียวอี้ก็ไม่มีทางยืนหยัดได้นานขนาดนี้เลย
แต่สำหรับโจรกบฏกลุ่มนี้ เวลาในการใช้ตาทิพย์จะยาวหรือสั้นก็ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือเหมียวอี้มีวิธีการทำลายค่ายกลจริงๆ และไม่ได้กำลังตบตาพวกเขา พวกเขาโดนขังอยู่ในนรกมาหลายปีขนาดนี้ ไม่ถือสากับเวลาเล็กน้อยเท่านี้เหมือนกัน
แต่สำหรับเหมียวอี้แล้ว จะทำลายค่ายกลแล้วช่วยประมุขขุนพลทั้งหกออกมาได้หรือเปล่าก็ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือต้องทำให้คนพวกนี้สงบลงและไม่รีบร้อนลงมือกับเขาก่อน ทำให้คนพวกนี้ลดความระวังตัวก่อน เขาถึงจะหนีได้สะดวก ไม่อย่างนั้นถ้าอาศัยวรยุทธ์ของคนพวก เลือกใครสักคนมาโจมตีระยะไกลเขาก็ทนไม่ไหวเลย วินาทีที่หนีเข้า ‘หมอกโฉมงามอาภัพ’ อีกฝ่ายก็สามารถทำให้เจ้าตายได้แล้ว
ตั้งแต่นั้นมา พอเหมียวอี้ฟื้นตัวแล้วก็ใช้พลังอิทธิฤทธิ์เปิดตาทิพย์สำรวจอีก หลังจากใช้พลังอิทธิฤทธิ์หมดไปเยอะแล้วก็ฟื้นฟูตัวเองอีก
ทำแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ ใช้เวลาอยู่ในดาราจักรเป็นเวลาหนึ่งปีกว่า
ส่วนขุนพลใหญ่หกลัทธินั่นก็อยู่เป็นเพื่อนข้างกายเขาตลอด ไม่มีใครเร่งรัดเขาอีก ถ้าขออะไรที่มีเหตุผลก็จะตอบตกลงทุกอย่าง ให้ความรู้สึกเหมือนขออะไรก็ได้ทุกอย่าง ยกตัวอย่างเช่นอยากกินอะไรสักหน่อย ขอแค่ที่นรกมีสิ่งนั้น สามารถหามาได้ ฝ่ายนั้นก็จะสั่งให้คนหามาให้ทันที
เพียงแต่ทำให้พวกอวิ๋นอ้าวเทียนจนใจนิดหน่อย พวกเขาก็เสียเวลาอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน
ว่ากันว่ามีได้ก็ต้องมีเสีย ภายใต้การใช้ตาทิพย์ซ้ำแล้วซ้ำอีกแบบนี้ เหมียวอี้ก็ยิ่งสามารถควบคุมตาทิพย์ได้อย่างผ่อนคลายและอิสระกว่าเดิม
หลังจากนั้นหนึ่งปี ตอนที่สำรวจดาวเสริมดวงที่ห้า เสาแสงที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตรงหว่างคิ้วเหมียวอี้ก็พลันหยุดนิ่ง
การเปลี่ยนแปลงนี้ดึงดูดความสนใจของขุนพลใหญ่หกลัทธิทันที ทุกคนกลั้นหายใจมองไปที่เขา
สายตาของตาทิพย์หยุดอยู่บนสายน้ำและภูเขาใต้หมอกสีเลือด บนสายน้ำและภูเขานั้นแตกต่างจากสถานที่อื่นอย่างเห็นได้ชัด รูปแบบการวางตัวของสายน้ำและภูเขาเคยถูกคนแก้ไขอย่างชัดเจน ราวกับเป็นใยแมงมุมที่บิดเบี้ยวแปลกประหลาด ยอดเขาลูกหนึ่งกลางใยแมงมุมนั้นถูกคนตัดจนราบเรียบ กลางยอดเขาแกะสลักเป็นลวดลายจานกลมที่เป็นร่องลึก ตรงกลางมีเสาผลึกแดงต้นหนึ่งปักอยู่
เหมียวอี้ไม่รู้ว่าสิ่งนี้เรียกว่าแกนค่ายกลหรือเปล่า เป็นเพราะแกนค่ายกลนี้มีขอบเขตที่ใหญ่เกินไปจริงๆ
พอเก็บดวงตาอิทธิฤทธิ์ เหมียวอี้ก็หันกลับมาบอกว่า “ขุนพลใหญ่เมิ่ง สั่งให้คนจับตาดูดาวเสริมดวงนี้และตำแหน่งนี้ไว้ อย่าให้ดาวเสริมพวกนี้โคจรจนปนกันมั่ว” ขณะที่พูดเขาก็ชี้ไปยังตำแหน่งเมื่อครู่นี้
เมิ่งหรูพยักหน้า แล้วโบกมือสั่งคนที่อยู่ข้างหลังโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง “รีบไป”
มีนักพรตพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพคนหนึ่งถลันตัวไปทันที ไปหยุดที่ตำแหน่งนั้นเพื่อระบุพิกัด
…………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น