ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 122-125
ตอนที่ 122 วิหคปีศาจกับวานรยักษ์
โดย
Ink Stone_Fantasy
พอชื่อหยาง หลิงอวี้ และคนอื่นๆ ได้ยินก็รู้สึกตะลึงงันอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็แสดงสีหน้าแปลกๆ ออกมา
“ศิษย์นิกายข้าทั้งสิบคนที่เข้าไปในแดนลึกลับนั้น สหายเหลิ่งเยวี่ยก็เคยเห็นกับตามาแล้ว ท่านคิดว่ามีใครเข้าตาท่านบ้าง?” มู่หรงเซวี่ยนได้ยินก็อึ้งไปทันทีแต่ก็รีบถามกลับไปด้วยรอยยิ้ม
“ศิษย์คนอื่นๆ นั้นพูดยาก แต่ศิษย์สองคนที่มีใบหน้าคล้ายกันนั้นคงจะฝึกฝนเคล็ดวิชาพลังจิตบางอย่างโดยเฉพาะใช่ไหม?” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่กล่าวอย่างราบเรียบ
“ไม่ผิด! ข้าเองก็สนใจพวกเขาทั้งสอง ถึงแม้การฝึกฝนของทั้งสองจะยังตื้นเขิน แต่คลื่นพลังจิตที่แผ่ออกมานั้นศิษย์ทั่วไปไม่อาจทำเช่นนี้ได้” อาจารย์อาเยี่ยนเองก็กล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
“เฮ่อๆ! พลังจิตที่ผิดปกติของสองพี่สองแซ่หลานนั้นไม่อาจปิดบังสหายทุกท่านได้ แท้จริงแล้วพวกเขาทั้งสองไม่ใช่ศิษย์ธรรมดา ไม่เพียงแต่จะมีพลังจิตแข็งแกร่งเท่านั้น แต่ยังมีพรสวรรค์ในการครอบงำจิต ดังนั้นวิชาที่พวกเขาฝึกก็เป็นเคล็ดวิชาพลังจิตที่ร้ายกาจที่สุดของนิกายเอกะ” มู่หรงเซวี่ยนหัวเราะแล้วกล่าวด้วยสีหน้าทระนงองอาจ
“ครอบงำจิต? คือการรวมพลังจิตของคนหลายคนเข้าด้วยกันดังในตำนาน และคนๆ เดียวสามารถแสดงวิชาได้เทียบเท่ากับคนหลายคน!” สีหน้าเหลิ่งเยวี่ยซือไท่ค่อยๆ เปลี่ยนไป
“สหายเหลิ่งเยวี่ยมีความรู้กว้างไกลเป็นอย่างมาก ไม่คาดคิดว่าครู่เดียวก็รู้วิธีการใช้ประโยชน์ของพลังนี้แล้ว แต่พลังเช่นนี้ใช้ได้กับพวกเขาแค่สองคนเท่านั้นไม่อาจครอบงำพลังจิตของคนอื่นๆ ให้มารวมกันได้” มู่หรงเซวี่ยนตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“นี่เป็นพรสวรรค์ที่ร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง พลังจิตของศิษย์นิกายเอกะทั้งสองนี้แข็งแกร่งกว่าศิษย์ทั่วไปมาก ถ้าสามารถแสดงเคล็ดวิชาการครอบงำจิตได้อีกล่ะก็ ผู้ฝึกฝนระดับเดียวกันก็ไม่อาจต้านทานพวกเขาได้ มิน่าล่ะสหายมู่หรงยอมจ่ายค่าตอบแทนเป็นอย่างมากเพื่อโอกาสในการเข้าแดนลึกลับนี้ ไม่ทราบว่านิกายของท่านหาศิษย์ผู้มีพรสวรรค์อันเหลือเชื่อนี้มาได้อย่างไร” หลวงจีนหลิงอวี้ถอนหายใจกล่าวอย่างฉิจฉา
“พี่หลิงอวี้กล่าวผิดแล้ว นิกายเอกะของพวกเราไม่ได้เป็นคนเสาะหาพี่น้องตระกูลหลานนี้ แต่พวกเขาเป็นทายาทสายตรงของผู้อาวุโสท่านหนึ่งในสองสามรุ่นก่อนนั้นที่บากหน้านำสิ่งของมายืนยันตัวตน และมาอยู่นิกายของพวกเราได้ไม่ถึงปีกว่าๆ เมื่อตอนที่เข้ามานั้นพวกเขาก็เป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังเข้ามาอยู่ในตำแหน่งสิบศิษย์แกนนำของนิกายเราได้อย่างง่ายดาย” มู่หรงเซวี่ยนส่ายหน้ากล่าวออกมา
“บากหน้ามาเอง? นิกายเอกะได้ของล้ำค่าจริงๆ!” อาจารย์ปู่เยี่ยนกล่าวพึมพำ โดยที่ไม่สามารถปิดบังความอิจฉาที่ปรากฏบนใบหน้าได้
ตอนนี้เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงศิษย์หญิงนิกายปีศาจที่มีร่างละเมอฝันอย่างเจียหลาน
ถ้าร่างละเมอฝันของเจียหลานเผชิญหน้ากับศิษย์นิกายเอกะทั้งสองล่ะก็ ร่างละเมอฝันไม่เพียงแต่จะใช้ไม่ได้ผลกับพวกเขา แต่ยังอาจจะถูกควบคุมไปด้วย
“เฮ่อๆ! นี่ก็กล่าวได้ว่านิกายของเราดวงดีมาก ถึงได้มีศิษย์เช่นนี้มาขอเข้านิกายเอง” มู่หรงเซวี่ยนกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ
คนอื่นๆ สบตากันสักพักแล้วต่างก็รู้สึกเป็นห่วงศิษย์ของตนเองขึ้นมาเล็กน้อย
ด้วยวิชาครอบงำจิตของสองพี่น้องตระกูลหลาน ถ้าหากแสดงเคล็ดวิชาพลังจิตที่มีอานุภาพร้ายแรงออกมา มันก็เพียงพอที่จะทำร้ายคู่ต่อสู้ในลักษณะที่ไร้ตัวตนได้ ซึ่งใครก็ไม่อาจบอกได้ว่าศิษย์ในนิกายของตนจะสามารถต้านทานมันได้
……
สองวันต่อมา บริเวณด้านล่างหน้าผาสูงชันตรงเชิงยอดเขาใหญ่ เจียหลานจ้องมองศิษย์หนุ่มนิกายจันทราสวรรค์ที่อยู่ไกลออกไปสิบกว่าจั้งด้วยใบหน้าที่ไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา แต่ในตาของนางมีแสงสีม่วงหมุนวนอยู่ไม่หยุด
ชายผู้นั้นถือกระบี่ยาวสีเงินยืนจ้องมองเจียหลานโดยไม่ขยับเขยื้อน แต่การแสดงออกบนใบหน้าเดี๋ยวก็ยิ้มแหยๆ เดี๋ยวก็กัดฟันกรอดๆ กระบี่ยาวในมือเขาเดี๋ยวก็ยกขึ้นเดี๋ยวก็วางลง ราวกับว่ามีคนสองคนอยู่ในร่างเดียวกัน
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ก็มีหยดเหงื่อโผล่ขึ้นมาบนหน้าผากเจียหลาน แต่หลังจากส่งเสียงฮัดฮัดออกมาแล้ว แสงสีม่วงในตาทั้งสองกลับเข้มขึ้นมากกว่าเดิม ถ้ามองดูอย่างละเอียดจะพบว่าในส่วนลึกของลูกตาทั้งสองจะมีอักขระขนาดเท่าเมล็ดข้าวสารปรากฏอยู่ลางๆ
ร่างของชายนิกายจันทราสวรรค์เริ่มสั่นสะท้านก่อนที่จะยิ้มแหยๆ ออกมา จากนั้นก็ไม่ได้แสดงสีหน้าในแบบอื่นออกมาอีกเลย เขาค่อยๆ ยกกระบี่ยาวขึ้น สุดท้ายก็มาจี้อยู่บนต้นคอของตนเอง
สีหน้าของเจียหลานไร้ความรู้สึก แต่ก็คำรามเสียงต่ำออกมาในฉับพลัน
เสียงดัง “ตุ๊บ!”
ศิษย์นิกายจันทราสวรรค์ใช้กระบี่ยาวตัดศีรษะตนเองจนหลุดจากบ่า
ร่างไร้ศีรษะล้มลงบนพื้น แต่ศีรษะกลิ้งไปบนพื้นได้สองสามรอบก็หยุดลง แต่ใบหน้ายังยิ้มแหยๆ เช่นเดิม
เจียหลานถอนหายใจยาวออกมา แต่แก้มทั้งสองข้ามกลับมีสีแดงเข้มผิดปกติ นางรีบหยิบเม็ดโอสถสีฟ้าใส่ปากกลืนลงไป
จากนั้นแสงสีม่วงในตาทั้งสองก็จางหายไป นางกลับมาเป็นดรุณีน้อยธรรมดาที่สวยสดงดงามตามเดิม นางรีบนั่งขัดสมาธิลงเพื่อกำหนดลมหายใจเข้าฌานโดยไม่สนใจสิ่งใด จนเมื่อชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป เจียหลานถึงได้ลุกขึ้นมาด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายลง
เขาจ้องมองร่างไร้ศีรษะก่อนที่จะส่ายหน้า แล้วก็จ้องมองไปยังต้นหญ้าเล็กสีเหลืองทองต้นหนึ่งที่อยู่บนหน้าผาสูง
ก่อนหน้านั้นที่ศิษย์นิกายจันทราสวรรค์โจมตีนางแบบไม่ทันตั้งตัวก็เพื่อหญ้าหอกทองคำในตำนานต้นนี้
……
สามวันต่อมา หลิ่วหมิงปรากฏตัวบริเวณเนินเขาลูกหนึ่งที่ตั้งอยู่ตรงไหล่เขายักษ์ เขาเงยหน้ามองเขาสูงชันที่เป็นเส้นแนวดิ่งจนต้องขมวดคิ้วขึ้นมา
หลายวันนี้เขาค้นหาพืชหญ้าจิตวิญญาณจากบริเวณด้านล่างของเขายักษ์ และเก็บเกี่ยวมาได้ค่อนข้างมาก ในระหว่างนั้นยังฆ่าปีศาจอสูรไปสองสามตัว แถมยังพบกับศิษย์นิกายอื่นๆ หลายครั้ง
แต่ต่างก็หวาดกลัวซึ่งกันและกันจึงไม่มีใครคิดจะลงมือ และพวกเขาต่างก็ทำเป็นมองไม่เห็นกันและกัน
เห็นได้ชัดว่าผู้คนเหล่านี้เข้าใจดีว่าคนที่ยังมีชีวิตรอดมาถึงบนเขาได้ คงไม่ใช่ผู้ที่อ่อนแออย่างแน่นอน
ถ้ายังไม่มีความมั่นใจ ต่างก็ย่อมไม่กล้าหลับหูหลับตาไปหาเรื่องอีกฝ่ายอย่างแน่นอน
พอเห็นว่ามีเวลาเหลือไม่ค่อยมากแล้ว หลิ่วหมิงถึงได้ออกไปจากหุบเขาเล็กๆ ที่มีพืชจิตวิญญาณค่อนข้างมากเพื่อขึ้นไปด้านบนอย่างน่าเสียดาย
เพราะว่าด้านบนเขาใหญ่ยังมียอดเขามากถึงห้าลูก หลิ่วหมิงย่อมเลือกไปยังยอดเขาที่อยู่ใกล้กับตัวเขาที่สุด
แต่ว่าตอนที่เขาเดินมาถึงสถานที่แห่งนี้ ด้านหน้าก็ไม่มีทางที่สามารถเดินไปต่อได้แล้ว ถ้าไม่ใช้มือเท้าทั้งสี่ปีนป่าย ก็ต้องแสดงวิชาทะยานเวหาเพื่อขี่เมฆเหาะขึ้นไป
ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังคิดไตร่ตรองอยู่นั้น ก็มีเสียงร้องดังยาวอย่างน่าเวทนาดังมาจากบนยอดเขา จากนั้นก็มีเสียงแผดร้องดังขึ้น สิ่งของสีดำหล่นลงมาจากฟ้า มันดูราวกับจะหล่นลงมาโดนตัวเขาพอดี
เขารู้สึกหวาดกลัว ก่อนที่จะถอยไปไกลหลายจั้ง
ผลลัพธ์คือหลังจากที่มีเสียง “ตู้ม!” ดังขึ้น ร่างที่สวมชุดของศิษย์นิกายปีศาจก็หล่นลงบนหินแตกละเอียดตรงเนินเขาด้วยเลือดเนื้อที่ดูพร่ามัว
ใบหน้าหลิ่วหมิงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เขารีบมองขึ้นไปบนฟ้าแต่ก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ จึงเดินไปข้างหน้าสองสามก้าวแล้วก้มหน้าดูอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงใช้เท้าแตะให้พลิกตัวให้หงายขึ้นมา
“หมิ่นโซ่ว!”
ถึงแม้ใบหน้าจะถูกก้อนหินบนพื้นทุบจนเลือดไหลอยู่ตลอด แต่พอเขามองไปก็จำเจ้าของร่างนั้นได้ทันที ตอนนี้นี้ตกใจขึ้นมาจริงๆ แล้ว
ก่อนหน้านั้นไม่นาน ศิษย์นิกายปีศาจสังกัดสาขาพิษจิตวิญญาณผู้นี้เคยกล่าวคำพูดข่มขู่เขาอยู่ ไม่คาดคิดว่าตอนนี้จะมาเสียชีวิตอยู่ข้างหน้าเขาเช่นนี้
หรือว่าจะมีคนแอบโจมตีอยู่ด้านบน?
หลิ่วหมิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็รีบเรียกสติกลับมาแล้วก็สังเกตดูร่างไร้วิญญาณอยู่ไม่หยุด
ถึงแม้บนตัวศพจะเต็มไปด้วยเลือด แต่มันก็ไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้เขาเสียชีวิต
เขามองไปยังศีรษะของศพด้วยตาที่เป็นประกาย
บนศีรษะมีรูเลือดขนาดใหญ่ และเลือดสดๆ ก็ไหลทะลักออกมาอยู่ไม่หยุด
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วก้มลงหยิบสิ่งของบางอย่างขึ้นมาจากเส้นผมของศพ จากนั้นก็วางมันลงบนฝ่ามือแล้วเริ่มตรวจสอบอย่างละเอียด
มันเป็นขนนกสีดำที่ดูแข็งแกร่งมาก ขอบของมันบางอย่างน่าอัศจรรย์ และแหลมคมยาวกับคมดาบ
หลังจากตรวจสอบดูขนนกสีดำในมือแล้ว สีหน้าเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป
เกิดเรื่องยุ่งยากเข้าแล้ว ไม่คาดคิดว่าบนนั้นจะมีวิหคปีศาจอยู่
ถึงแม้จะไม่ทราบว่าวิหคปีศาจตนนี้มีลักษณะอย่างไร แต่ดูจากรอยกรงเล็บบนศีรษะของหมิ่นโซ่วก็พอจะจินตนาการถึงความดุร้ายของมันได้
มิเช่นนั้นผู้ที่มีพิษไปทั้งตัวอย่างหมิ่นโซ่วคงไม่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
เดิมทีวิหคปีศาจก็เป็นปีศาจอสูรที่รับมือยากอยู่แล้ว ต่อให้จะเป็นศัตรูที่ร้ายกาจแค่ไหนเพียงแค่มันกระพือปีกบิน ไม่ว่าใครก็ตามก็ได้แต่ยืนมองตาปริบๆ เท่านั้น
ถ้าถูกวิหคปีศาจโจมตีจากระยะไกล ก็คงได้แต่ภาวนาให้ตัวเองโชคดีแค่นั้น
หลิ่วหมิงส่ายศีรษะระงับความคิดที่จะขึ้นไปข้างบน หลังจากค้นเอาสิ่งของบนตัวหมิ่นโซ่วมาเก็บไว้แล้วก็ปล่อยลูกเปลวไฟออกมาเผาร่างนั้นจนกลายเป็นขี้เถ้า
เขาเปลี่ยนทิศทางไปยังยอดเขาอีกลูกที่อยู่ใกล้ๆ
……
สองชั่วยามผ่านไป หลิ่วหมิงยืนอยู่บนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เขากำลังมองดูความคึกคักตรงป่าดงดิบที่อยู่ไม่ไกลแห่งหนึ่งด้วยความตะลึงจนตาค้าง
เขาเห็นชายหน้าดำที่มีปีกสีเงินติดอยู่ที่หลังกำลังกวัดแกว่งกระบองสีทองขนาดใหญ่ต่อสู้กับวานรยักษ์สูงหลายจั้งที่โอบท่อนไม้ใหญ่ด้วยเสียงอันดัง
คนหนึ่งเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว กระบองสีทองในมือกวัดแกว่งอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นเงากระบองจำนวนมาก อีกตนหนึ่งก็หอบท่อนไม้ขนาดยาวสิบกว่าจั้ง มันแค่ปัดกวาดไปมาแบบง่ายๆ เพียงไม่กี่ครั้ง แต่มันก็รุนแรงราวกับหินแตกกระจายจนสวรรค์ตะลึง และทำให้คู่ต่อสู้ต้องถอยอยู่ไม่หยุด
สถานที่ที่หนึ่งคนหนึ่งวานรผ่าน ต้นไม้จำนวนมากแตกละเอียดเป็นจุน พริบตาเดียวก็มีหลุมขนาดต่างๆ เกิดขึ้นในป่าดงดิบมากมาย ทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกอกสั่นขวัญหายอยู่ไม่หยุด
ตอนนี้ไม่ว่าใครก็ตามที่เข้าไปใกล้สักหน่อย ไม่ว่าจะโดนท่อนไม้ใหญ่หรือกระบองสีทอง ก็คงเละเป็นชิ้นจนต้องร้องขอชีวิต
แต่หลังจากที่สอดส่ายสายตาไปมาเล็กน้อย ก็ค้นพบว่ายังมีคนหลายคนแอบซ่อนตัวอยู่บริเวณแถวนั้น
ไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นพวกเดียวกับชายหน้าดำหรือเป็นคนอื่นๆ ที่มีความคิดเช่นเดียวกับเขา
และในขณะนี้เองดูเหมือนว่าชายหน้าดำจะลุกฮือขึ้นมา พร้อมกับหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เขาตบสิ่งของบางอย่างตรงหน้าอกทันทีก่อนที่จะมีเสียงดังครืดคราดออกมา จากนั้นเสื้อเกราะสีเลือดก็ปรากฏขึ้น ขณะเดียวกันก็มีหนามไผ่สิบกว่าอันพุ่งออกมาจากด้านในของเสื้อเกราะ มันทั้งหมดแทงออกมาจากบริเวณหน้าอกของชายหนุ่ม
……………………………………….
ตอนที่ 123 ร่วมมือ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ครู่ต่อมากลิ่นไอบนตัวชายหน้าดำก็เข้มขึ้นมาทันที เส้นโลหิตบนผิวหนังสั่นไหวจนนูนออกมาเป็นสีเขียวราวกับไส้เดือน ท่ามกลางเสียงที่ดังราวกับจุดประทัดร่างของเขาก็สูงขึ้นมาประมาณหนึ่งช่วงศีรษะ อักขระสีแดงเลือดจำนวนมากพุ่งออกมาจาก มันโอบล้อมร่างของชายหนุ่มไว้
ชายหน้าดำหัวเราะ ขณะที่กระบองสีทองในมือก็ขยายใหญ่ไปกว่าเดิมเกือบครึ่งหนึ่ง มือทั้งสองจับมันไว้แน่นจากนั้นก็หวดไปปะทะกับท่อนไม้ใหญ่สีเขียวในมือวานรยักษ์
พริบตาเดียวก็มีเสียงดังสนั่นดังออกมาติดต่อกันจากป่าดงดิบ
พอหลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกแสบแก้วหูราวกับว่ามีเสียงฟ้าแลบฟ้าร้องดังอยู่ข้างหนู
เขารับทำท่ามือด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป หลังจากส่งพลังเวทย์ขึ้นไปที่หูแล้วถึงค่อยรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง แต่ก็อดรู้สึกหวาดกลัวไม่ได้
ตั้งแต่ที่เขาฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำ ก็คิดเอาเองมาตลอดว่าพลังของตนเองแข็งแกร่งกว่าศิษย์ทั่วไปมาก แต่เมื่อเทียบกับชายหน้าดำกับวานรยักษ์ตรงหน้าแล้วมันแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ถ้าหากเขาเข้าไปต่อสู้กับทั้งสองด้วยลักษณะที่ปะทะกันเช่นนี้ เกรงว่าภายในไม่กี่กระบวนท่าเขาคงกระอักเลือดถอยออกมาแล้ว
แต่ในขณะที่เขากำลังตกใจอยู่นั้นกลับค้นพบถึงสาเหตุที่พลังของชายหน้าดำเปลี่ยนไปจนน่าตกตะลึงเช่นนี้ มันดูเหมือนจะเกิดจากการใช้เคล็ดวิชาบางอย่างกระตุ้นพลังศักยภาพออกมา และความแข็งแกร่งของมันก็มีมากกว่าเคล็ดวิชาทั่วไปมากนัก แต่ก็ไม่รู้ว่าหลังจากการกระตุ้นแล้วมันจะมีผลกระทบอะไรหรือไม่
ขณะนี้ ดูเหมือนว่าบริเวณรอบๆ ป่าดงดิบจะมีเงาร่างของคนสามสี่คนเคลื่อนไหวอยู่ ประจักษ์ชัดว่าพวกเขาเหล่านั้นต่างก็ได้รับผลกระทบของเสียงจนต้องหลบซ่อนตัว
อย่างไรก็ตาม หลิ่วหมิงมองเห็นเพียงเงาร่างที่เคลื่อนไหว และไม่สามารถมองเห็นใบหน้าที่ชัดเจนของพวกเขาได้ เพราะพวกเขาอยู่ค่อนข้างไกล
แน่นอน ถ้าหากเข้าไปใกล้อีกหน่อยจะต้องมองเห็นได้อย่างชัดเจน แต่ถ้าทำเช่นนี้ก็เท่ากับว่าเปิดเผยตำแหน่งของตัวเองไปด้วย
การทำเช่นนี้ในขณะที่ยังไม่รู้ว่าคนเหล่านี้เป็นมิตรหรือศัตรู มันย่อมเป็นเรื่องที่อันตรายเป็นอย่างมาก
หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว แต่พริบตาเดียวก็นึกอะไรบางอย่างได้อย่างรวดเร็ว เขาทำท่ามือพร้อมกับหยิบผลึกมุกสีขาวเม็ดหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ และปล่อยวิชาต่างๆ ใส่มัน
ครู่ต่อมา ผลึกมุกก็เปล่งแสงสีขาวสลัวออกมา ขณะเดียวกันก็มีจุดสีดำขนาดเล็กเท่าเมล็ดข้าวสารจุดหนึ่งปรากฏอยู่ในนั้น
ไม่คาดคิดว่าจะมีศิษย์นิกายปีศาจอยู่ที่นั่นด้วย!
หลังจากที่หลิ่วหมิงกะดูตำแหน่งคร่าวๆ ของจุดสีดำในผลึกมุก และมองไปยังป่าดงดิบแล้วก็ปรากฏสีหน้าประหลาดใจขึ้นมา
และในขณะนั้นเองการต่อสู้อันดุเดือดในป่าดงดิบนั้นก็สิ้นสุดลง
หลังจากที่ชายหนุ่มหน้าดำแสดงเคล็ดวิชาเฉพาะที่ทำให้พลังในร่างเพิ่มขึ้นเท่ากว่าๆ แล้วก็คำรามเสียงต่ำออกมา กระบองสีทองในมือก็โจมตีท่อนไม้ใหญ่สีเขียวจนแตกละเอียด และถือโอกาสฟาดลงบนไหล่ข้างหนึ่งของวานรยักษ์อย่างรุนแรง
วานรยักษ์สีเทาส่งเสียงร้องแหลมอย่างน่าเวทนาออกมาพร้อมกับแขนของมันที่ร่วงลงไปอย่างไร้เรี่ยวแรง เห็นได้ชัดว่ามันถูกกระบองยักษ์ฟาดเข้าที่ไหล่จนบาดเจ็บสาหัสมาก ในที่สุดดวงตาทั้งสองที่เต็มไปความฮึกเหิมก็ฉายแววหลาดกลัวออกมา มันหมุนตัวกระโดดถอยออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่รอให้ชายหน้าดำโจมตีอีกครั้ง
ชายหน้าดำทำเสียงฮึดฮัดแล้วคิดที่จะถือกระบองไล่ตามไป แต่เท้าทั้งสองพลันอ่อนแรงแล้วล้มลงไปบนพื้น
ดูเหมือนว่าการต่อสู้อันดุเดือดเมื่อครู่จะทำให้เขาสูญเสียพลังไปไม่ใช่น้อย
เกราะโลหิตกับอักขระโลหิตบนตัวของชายหน้าดำหายไปอย่างรวดเร็ว กระบองสีทองในมือก็ค่อยๆ ลดขนาดจนเล็กลง
ขณะเดียวกัน ตอนที่วานรยักษ์ตนนั้นเพิ่งจะหนีมาถึงอีกฝั่งของชายป่าดงดิบ พลันมีเสียงดังขึ้นมาจากพื้นบริเวณนั้น ท่ามกลางเศษดินจำนวนมากที่ปลิวว่อน ปีศาจกระดูกขนาดใหญ่ที่มีหัวเป็นวัวร่างเป็นมนุษย์ก็พุ่งออกมาพร้อมกับไอสีดำที่ปกคลุมอยู่ หลังจากที่คำรามเสียงต่ำออกมาแล้วก็กระโจนเข้าใส่วานรยักษ์จนล้มลงบนพื้น
พริบตานั้นสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาสองตัวก็เริ่มต่อสู้และกัดกันอย่างรุนแรง
มีเงาร่างเคลื่อนไหวออกมาจากต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ตรงหลังชายหน้าดำ ชายชุดคลุมสีเทาสวมหน้ากากสีเงินผู้หนึ่งเดินเข้ามาโดยไร้สุ้มเสียง และถามออกไปอย่างราบเรียบ
“เป็นอย่างไรบ้าง ยังเคลื่อนไหวได้อยู่ไหม?”
“เฮ่อๆ วางใจเถอะ ข้าแค่สูญเสียพลังไปเล็กน้อยเท่านั้น พักผ่อนอีกสักหน่อยก็ไม่เป็นไรแล้ว แต่ถ้ามีเจ้าอยู่ล่ะก็ เจ้าพวกที่คิดจะฉวยโอกาสคงไม่กล้าเข้ามาแล้ว” ชายหน้าดำกล่าว
“ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ รู้ทั้งรู้ว่าหุบเขาเก้าช่องชำนาญวิชาควบคุมหุ่นมากที่สุด เจ้าเป็นถึงศิษย์พี่ใหญ่ของหุบเก้าช่องกลับไปฝึกวิชาต่อสู้แบบประจัญบานสำหรับร่างฝึก แต่ด้วยพลังอันดุร้ายของเจ้าในตอนนี้ เกรงว่าเมื่อศิษย์หอสายธารโลหิตผู้นั้นเห็นเข้าคงต้องร้องปวดหัวเลยล่ะมัง” ชายชุดคลุมสีเทาผู้นั้นก็คือหยางเฉียนนั่นเอง ฟังจากน้ำเสียงแล้วเขากล่าวด้วยความรู้สึกไม่พอใจ
“ครั้งก่อนวิชาฝึกร่างของข้ายังไม่ถึงขั้นสมบูรณ์แบบ ถ้าหากครั้งนี้ยังได้พบเจอกับอสรพิษตนนั้นอีกล่ะก็ จำต้องขอคำชี้แนะดูว่าวิชาดาบโลหิตของมันว่าฝึกฝนไปถึงขั้นไหนแล้ว” ชายหน้าดำหัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น
“ช่างเถอะ! ข้าไม่ได้สนใจชัยชนะเลยแม้แต่น้อย แต่อยากจัดการวานรยักษ์บนเขาเหล่านี้ให้หมดโดยเร็ว จะได้ค้นหาของล้ำค่าได้มากขึ้น นั่นถึงเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับข้า” หยางเฉียนทำเสียงฮึดฮัดกล่าวออกมา
“ถ้าจะจัดการวานรยักษ์บนเขาจริงๆ ลำพังแค่เราสองคนคงต้องใช้พลังเยอะหน่อย เพียงแค่หลอกล่อตนนี้ให้ออกมาได้ก็ใช้เวลาไปสามสี่วัน ถ้าใช้วิธีเดียวกันนี้กับวานรยักษ์ที่เหลือล่ะก็ เกรงว่าคงมีเวลาไม่มากพอ อย่าลืมสิ! พวกเราต้องเผื่อเวลาสำหรับกลับไปตรงทางเข้าด้วย” ชายหน้าดำกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งครึม
“ในเมื่อเราสองคนไม่เพียงพอ งั้นก็หาอีกสองคนเถอะ! ถ้าข้าดูไม่ผิดล่ะก็คนที่แอบหลบดูอยู่เมื่อครู่นั้น คงมีคนหนึ่งที่เป็นศิษย์หุบเขาเก้าช่องของพวกเจ้า ส่วนอีกคนนั้น…” ขณะที่หยางเฉียนกล่าวออกมานั้น ก็หยิบผลึกมุกสีขาวออกมาแล้วกวาดสายตามองดูอยู่ครู่หนึ่ง
หลังจากที่ผลึกมุกเปล่งแสงสีขาวออกมาก็มีจุดสีดำอยู่ในนั้นหนึ่งจุด
ขณะนี้ ท่ามกลางการต่อสู้ของสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาทั้งสองนั้น เนื่องจากแขนของวานรยักษ์บาดเจ็บไปข้างหนึ่งทำให้ไม่สามารถใช้การได้ เห็นได้ชัดว่ากำลังเสียเปรียบอยู่ ตอนนี้มันโดนปีศาจกระดูกขนาดใหญ่กดอยู่บนพื้น และใช้เขาวัวอันแหลมคมทั้งสองแทงเข้าไปตรงอกจนโลหิตสดๆ ทะลักออกมาเป็นจำนวนมาก
วานรยักษ์ร้องออกมาอย่างเวทนาในทันที มันใช้แขนอีกข้างที่เหลืออยู่โจมตีไปยังร่างของปีศาจกระดูก แต่กลับไม่สามารถทำอะไรได้เลยแม้เต่น้อย สุดท้ายมันก็ค่อยๆ อ่อนแรงลง
ในขณะที่ปีศาจกระดูกแหงนหน้าคำรามเสียงต่ำออกมานั้น เขาทั้งสองของมันผ่าเข้าตรงอกของวานรยักษ์จนแยกออกมา อวัยวะสีสดจำนวนหนึ่งเผยออกมาในทันที
วานรยักษ์ร้องโหยหวนพยายามเอาชีวิตรอด สุดท้ายคอก็บิดงอสิ้นลมหายใจไป
หลิ่วหมิงที่อยู่บนต้นไม้ใหญ่เห็นฉากนี้ก็ส่ายหน้าแล้วคิดที่จะไปจากตรงนี้
ในเมื่อยอดเขาลูกนี้มีคนร้ายกาจเช่นนี้หมายตาไว้แล้ว เขาย่อมต้องเปลี่ยนไปยอดเขาลูกอื่นแล้ว
แต่ในขณะนั้นเอง หยางเฉียนที่อยู่ในป่าดงดิบก็หันหน้ามองมาทางเขาอย่างรวดเร็ว และยกมือขึ้นโบกมาทางเขา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกตะลึงเล็กน้อย ขณะที่กำลังคิดว่าฝ่ายตรงข้ามโบกมือเรียกเขาหรือเปล่านั้น พลันได้ยินเสียงราบเรียบของหยางเฉียนดังเข้ามาในหู
“ไม่ว่าศิษย์น้องจะเป็นใครก็ตาม ตอนนี้ไม่ต้องหลบซ่อนแล้ว เข้ามานี่เถอะ! ข้ากับพี่อวิ๋นมีเรื่องอยากจะพูดคุยกับพวกเจ้าเจ้า”
“พวกเจ้า?”
หลิ่วหมิงเป็นผู้ที่ปราดเปรื่องมาก พอได้ยินคำพูดนี้ ก็ตอบสนองอย่างรวดเร็ว และจ้องมองออกไปด้วยความแปลกใจ
ในป่าดงดิบฝั่งนั้น ไม่รู้ว่าชายหน้าดำใช้วิธีการสื่อสารแบบไหน ถึงได้เรียกคนอีกผู้หนึ่งเดินออกมาจากป่าบริเวณนั้นได้ ซึ่งคนผู้นั้นก็เป็นศิษย์หุบเขาเก้าช่องที่สวมชุดคลุมสีน้ำเงินเช่นกัน เพียงแต่สีหน้าค่อนข้างจะหม่นหมอง
“คือเขา”
พอหลิ่วหมิงเห็นใบหน้าที่ชัดเจนของชายหนุ่มก็รู้สึกเหนือความคาดหมายเป็นอย่างมาก
ชายหนุ่มที่โผล่ออกมานี้ คือ ‘จินอวี่’ ศิษย์หุบเขาเก้าช่องที่ถูกเขาเอาชนะได้ในครั้งก่อนนั้น
“ฮึ! เจ้ายังลังเลอะไรอยู่อีก หรือว่าต้องให้ข้าไปเชิญเจ้าด้วยตนเองหรือ? ในเมื่อข้าเรียกเจ้าย่อมมีผลประโยชน์ดีๆ ให้กับเจ้า” ในขณะที่หลิ่วหมิงกำลังลังเลอยู่นั้น พลันได้ยินเสียงของหยางเฉียนที่ส่งเข้ามาอย่างทนรำคาญไม่ได้
หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งสอง แต่หลังจากที่คิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็กระโดดลงจากต้นไม้ใหญ่แล้วเดินไปยังทิศทางที่อยู่ไกลๆ
ไม่นานเขาก็มาปรากฏตัวขึ้นในป่าดงดิบ และยืนอยู่หน้าหยางเฉียนกับคนอีกสองคน
“คือเจ้า ไป๋ชงเทียน!”
พอจินอวี่เห็นใบหน้าของหลิ่วหมิงชัดเจน ก็กล่าวเสียงต่ำออกมาโดยที่มือกำหมัดไว้แน่น
“ต่อให้ศิษย์น้องจินกับข้าจะรู้จักกันมาก่อน แต่ก็ไม่ต้องตื่นเต้นขนาดนี้ก็ได้” หลิ่วหมิงกลับตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนยิ้ม
“เจ้าพูดเหลวไหลอะไร ถึงแม้ครั้งก่อนข้าจะพ่ายแพ้ให้แก่เจ้า แต่นั่นเป็นเพราะว่าข้าชะล่าใจเกินไป มันไม่ใช่เพราะว่าเจ้าแข็งแกร่งกว่าข้า ในเมื่อตอนนี้ได้พบกันแล้วข้ากับเจ้าจะได้มาต่อสู้กันอีกสักครั้ง” จินอวี่ได้ยินก็กล่าวอย่างไม่เกรงใจด้วยความโมโห
“ที่แท้เจ้าก็คือไป๋ชงเทียนที่ศิษย์น้องจินพูดถึงอยู่บ่อยๆ มิน่าล่ะศิษย์น้องของพวกเราถึงได้มีปฏิกิริยาตอบสนองเช่นนี้ แต่ศิษย์น้องจิน ที่ครั้งนี้ข้ากับพี่หยางเรียกพวกเจ้ามาไม่ได้ให้พวกเจ้าต่อสู้กันเอง แต่มีเรื่องสำคัญที่จะหารือกับพวกเจ้าจริงๆ” หลังจากที่ชายหน้าดำได้ยินก็มองดูหน้าหลิ่วหมิงด้วยความประหลาดใจ แต่ครู่เดียวก็หันมากล่าวกับจินอวี่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ทราบ! ศิษพี่อวิ๋น งั้นก็รอจัดการเรื่องนี้เสร็จก่อน แล้วข้าค่อยคิดบัญชีกับเจ้าเด็กแซ่ไป๋ก็แล้วกัน” ดูเหมือนจินอวี่จะรู้สึกยำเกรงชายหน้าดำมาก แต่ยังคงจ้องมองหลิ่วหมิงด้วยสายตาที่โหดเหี้ยม
“ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่เจ้า!” รอยยิ้มบนใบหน้าหลิ่วหมิงหายไปก่อนที่ตอบกลับไปอย่างไม่สะทกสะท้าน
หยางเฉียนกลับยืนกอดอกยืนอยู่อีกฝั่งโดยไม่คิดที่จะเอ่ยปากแทรกแซงอะไรใดๆ
“ไม่ทราบว่าศิษย์พี่ทั้งสองเรียกพวกข้ามามีเรื่องสำคัญอันใดหรือ?” หลิ่วหมิงหันหน้าไปถามหยางเฉียน
“พวกเจ้าอยากได้ทรัพยากรล้ำค่าบนยอดเขาแห่งนี้หรือไม่?” หยางเฉียนถามด้วยแววตาที่เป็นประกาย
“ความหมายของศิษย์พี่หยางคือ…” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป
“ถ้าหากพวกเจ้าช่วยพวกข้าจัดการวานรยักษ์ที่เหลือบนเขาล่ะก็ อีกประเดี๋ยวก็สามารถขึ้นเขาไปหาพืชจิตวิญญาณพร้อมกันกับพวกเราได้ ยอดเขาแห่งนี้สูงใหญ่เช่นนี้ ต่อให้พวกเราทั้งสี่ขึ้นไปพร้อมกันก็คงได้สิ่งของกลับไปมากมาย” ชายหน้าดำกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ
……………………………………….
ตอนที่ 124 ร่างสื่อสารจิตวิญญาณกระบี่กับเซวี่ยชื่อ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“บนเขาลูกนี้ยังมีวานรยักษ์ตนอื่นๆ?” จินอวี่ที่เพิ่งเห็นวานรยักษ์ที่น่ากลัวกับตา ได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกเสียวสะท้านขึ้นมา
“ไม่ผิด นอกจากจะมีตนทีเพิ่งสังหารไปเมื่อครู่แล้วบนเขายังมีอีกเจ็ดตน และวานรยักษ์สีเทาเมื่อครู่มีพลังแค่ปานกลางเท่านั้น ในนั้นมีตนหนึ่งที่มีขนสีทอง พลังอันน่ากลัวของมันด้อยกว่าอาจารย์จิตวิญญาณเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ต่อให้ลงมือพร้อมกันสองคนก็ไม่อาจรับมือกับมันได้” หยางเฉียนกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หลิ่วหมิงฟังถึงจุดนี้สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป
“แต่พวกเจ้าไม่ต้องกังวลจนเกินไป ถึงวานรยักษ์เหล่านี้จะค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่สติปัญญาไม่ค่อยสูง เพียงแค่ใช้กลอุบายเล็กน้อยล่อให้มันออกทีละตัวได้ ปัญหาเพียงหนึ่งเดียวก็คือการทำเช่นนี้ต้องใช้เวลานานเกินไป แต่ถ้าตอนนี้มีพวกเจ้าเข้าร่วมล่ะก็ พวกเราสามารถเสี่ยงอันตรายหลอกล่อมาได้ทีละสองตน” ชายหน้าดำกล่าวเสริม
“ด้วยพลังของศิษย์พี่ทั้งสองกับพวกข้าสองคน คิดว่าการรับมือกับมันครั้งละสองสามตนคงไม่มีปัญหาอะไร แต่ในนั้นไม่รวมถึงปีศาจวานรยักษ์ขนทองที่ร้ายกาจตนนั้น!” หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วค่อยๆ กล่าวออกมา
“ย่อมเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว พวกเราจะต้องจัดการกับหกตนนั้นก่อน จากนั้นค่อยรวมพลังกันรับมือกับปีศาจวานรขนทองตนนี้ ใช่สิ! เกรงว่าศิษย์น้องทั้งสองอาจจะยังไม่รู้ ถ้าทานถุงน้ำดีของปีศาจวานรเหล่านี้กับสุราโอสถเข้าไปล่ะก็ จะสามารถเพิ่มพลังได้หนึ่งถึงสองเท่า แน่นอนว่าของสิ่งนี้ต้องทานตอนที่มันยังสดๆ ครั้งหนึ่งก็ไม่สามารถทานได้มาก และถ้าพลังยิ่งมากก็จะยิ่งแข็งแกร่ง ถ้าหากพวกเราทำสำเร็จก็จะแบ่งได้คนละสองถุงพอดี” ตอนแรกชายหน้าดำดูเหมือนไม่ได้ใส่ใจมากนัก แต่สุดท้ายก็กล่าวออกมาด้วยสีหน้าที่ดูลึกลับ
“มีเรื่องนี้เช่นนี้ด้วย!” พอจินอวี่ได้ยินก็กล่าวออกมาอย่างคาดไม่ถึง แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการดีใจมากนัก
นี่ก็เป็นเรื่องปกติ เขาไม่ใช่ผู้ฝึกร่าง ต่อให้พลังจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงเล็กน้อย ก็ไม่มีความหมายกับเขามากนัก
แต่หลิ่วหมิงได้ยินแล้วกลับใจเต้นขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า และยังขมวดคิ้วถามออกไป
“ศิษย์พี่ทั้งสองจำเป็นต้องขึ้นยอดเขาลูกนี้เท่านั้นหรือ? ในเมื่อปีศาจวานรเหล่านี้รับมือยากเช่นนี้ก็สามารถเปลี่ยนไปยอดเขาลูกอื่นได้ หรือว่ายอดเขาลูกอื่นก็มีปีศาจอสูรที่แข็งแกร่งเช่นกัน?”
“ฮ่าๆ ศิษย์น้องไป๋กล่าวได้ถูกต้องหลายวันก่อนพวกข้าได้สำรวจดูยอดเขาทั้งห้าไปรอบหนึ่งแล้ว นอกจากยอดเขาลูกนี้ที่มีปีศาจวานรแล้ว ยอดเขาอีกสี่ลูกก็ถูกเหยี่ยวขนเหล็ก อสรพิษหงอนสีเงิน เป็นต้น ครอบครองอยู่ ซึ่งมันเป็นปีศาจอสูรที่แข็งแกร่งกว่า ปีศาจวานรเหล่านี้ถึงแม้จะร้ายกาจแต่นับว่ารับมือได้ง่ายกับปีศาจอสูรตนอื่นๆ พวกเราไม่สามารถอยู่ในแดนลึกลับแห่งนี้ได้นาน ย่อมต้องเลือกเขาที่สามารถขึ้นไปได้ง่ายสุด คนอื่นที่ต้องการขึ้นเขาลูกอื่นก็ต้องร่วมมือกันเหมือนกับพวกเรา” ชายหน้าดำหัวเราะกล่าวออกมา
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นเรื่องการร่วมมือกันนี้ข้าไม่มีข้อคัดค้านใดๆ แล้ว” หลิ่วหมิงถอนหายใจกล่าวออกมา แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีตกใจมากนัก
จินอวี่ก็ไม่มีข้อคัดค้านใดๆ เช่นกัน
“ดีมาก ในเมื่อศิษย์น้องทั้งสองต่างก็รับปากแล้ว พวกเรามาพูดคุยถึงรายละเอียดขั้นตอนการลงมือกันเถอะ! ถึงแม้การหลอกในก่อนหน้านั้นจะได้ผล แต่ตอนนี้ต้องการหลอกล่อออกมาทีละสองตนนั้นก็ย่อมต้องเปลี่ยนสถานที่ไปด้วย” ชายหน้าดำกล่าวด้วยความดีใจ
จากนั้นพวกก็ปรึกษาหารือกันในป่าดงดิบเป็นเวลาหนึ่งมื้อข้าว สุดท้ายถึงได้แผนการที่เป็นรูปธรรม
ครั้งนี้ปีศาจกระดูกหัววัวร่างมนุษย์ตนนั้นได้ลากศพของปีศาจวานรมาวางไว้ด้านหน้าพวกเขา ชายหน้าดำหยิบมีดแหลมคมออกมาจากอก และกรีดลงไปบนหน้าอกของศพไปมา จนในที่สุดก็หาถุงน้ำดีสีดำที่มีขนาดเท่าพุทราจีนเจอ ซึ่งมันได้ส่งกลิ่นเหม็นคาวออกมาด้วย
ชายหน้าดำไม่สนใจกลิ่นอันแปลกประหลาดของมัน แต่กลับเอามันใส่ปากกลืนลงไปด้วยจิตใจที่เบิกบาน และคว้าสุรามาดื่มเข้าไปสองอึก จากนั้นก็หรี่ตาลงเล็กน้อยราวกับว่ากำลังลิ้มรสอาหารชั้นเลิศบางอย่าง ทำให้หลิ่วหมิงที่เห็นฉากนี้ถึงกับพูดอะไรไม่ออก
ดูเหมือนว่าอุปนิสัยของศิษย์พี่ใหญ่ของหุบเขาเก้าช่องผู้นี้จะแตกต่างจากคนทั่วไปมากจริงๆ แต่ก็ไม่รู้ว่ามาสนิทกับหยางเฉียนได้อย่างไร
ขณะนี้ศพที่เหลือของปีศาจวานร นอกจากหัวของมันที่ถูกหยางเฉียนตัดออกมาแล้ว ส่วนอื่นก็ถูกลูกเปลวไฟลูกหนึ่งเผาไหม้จนเป็นเถ้าถ่าน
“เรื่องนี้ไม่อาจชักช้าได้! พี่อวิ๋นพาพวกเขาทั้งสองไปวางกับดักตามสถานที่ที่ได้คุยกันไว้ และถือโอกาสฟื้นฟูพลังอยู่ที่นั่น ข้าจะขึ้นเขาไปสังเกตดูความเคลื่อนไหวของปีศาจวานรที่เหลือ พอพรุ่งนี้เช้าพวกเราจะดำเนินการกัน” หยางเฉียนกล่าว
ทั้งสามคนได้ยินเช่นนี้ก็ไม่ได้ขัดข้องแต่ประการใด
ดังนั้นหลังจากที่หยางเฉียนเก็บปีศาจกระดูกขนาดใหญ่เข้าไปแล้ว ก็เหาะไปยังบนยอดที่อยู่ไม่ไกล
ชายหน้าดำก็สะบัดแขนเสื้อ ลูกกลมๆ สีเหลืองกลิ้งออกมาลูกหนึ่ง หลังจากที่มีเสียงดังออกมามันก็กลายเป็นหุ่นหมาป่ายักษ์ยาวจั้งกว่าๆ
ชายหน้าดำขึ้นไปขี่มันด้วยท่าทีหยิ่งยโส จากนั้นมันก็วิ่งไปยังทิศทางหนึ่งของป่าดงดิบ
จินอวี่กับหลิ่วหมิงตามไปอย่างว่าง่าย
……
บริเวณตีนเขาของยอดเขาอีกลูกหนึ่ง ศิษย์นิกายเอกะชายหญิงใบหน้าคล้ายกันสองคนกำลังยืนอยู่บนหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง พวกเขากำลังจ้องมองไปยังส่วนบนสุดของยอดเขา แต่สีหน้านั้นดูไม่ได้เลยทีเดียว
“พี่ใหญ่ การรับรู้ของท่านคงไม่ผิดใช่ไหม กลิ่นไอของมังกรแดงตนนั้นมาจากบนนั้นจริงๆ? เห็นๆ อยู่ว่ามีอสรพิษหงอนสีเงินอยู่บนนั้น!” หญิงร่างอรชรถามออกมาในขณะที่คิ้วสีดำขมวดเข้าหากัน
“ไม่ผิดอย่างแน่นอน ในเมื่อข้าใช้โลหิตมังกรสมุทรขวดนั้นกับเคล็ดวิชาของเผ่าไปแล้ว ข้าสามารถรับรู้ได้ถึงกลิ่นไอของมังกรได้ถึงสิบวัน ข้อนี้คงไม่มีปัญหาแน่นอน บางทีอสูรมังกรอาจมีวิธีการอะไรบางอย่างในการเข้าไปในนั้นโดยที่ไม่ให้อสรพิษหงอนสีเงินเหล่านั้นค้นพบ” ชายหนุ่มละสายตากลับมาแล้วก็กล่าวเหมือนคิดอะไรอยู่
“ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็คงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างปวดหัวแล้วล่ะ เห็นได้ชัดว่าอสรพิษหงอนสีเงินเหล่านั้นโตเต็มวัยแล้ว ถึงแม้พวกเราสองคนจะร่วมมือกัน เกรงว่าคงต้องสูญเสียพลังไปไม่น้อย” หญิงร่างอรชรกล่าวท่าทีที่กลัดกลุ้มเล็กน้อย
“ต่อให้รับมือยากก็ต้องจัดการพวกมันให้สิ้นซาก ข้าได้ใช้โลหิตมังกรสมุทรหมดไปแล้วจะกลับไปมือเปล่าไม่ได้โดยเด็ดขาด อย่างมากพวกเราก็แค่กลับคืนร่างเดิมเพื่อใช้เคล็ดวิชาของเผ่าจัดการกับอสรพิษเหล่านี้” ชายหนุ่มกล่าวอย่างไม่ลังเล
“ในเมื่อศิษย์พี่ตัดสินใจแล้ว ข้าจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ข้าช่วยท่านวางค่ายกลกำจัดง่ายๆ ไว้บริเวณนี้ เช่นนี้แล้วเวลาลงมือก็ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกคนอื่นแอบดูแล้ว” หญิงร่างอรชรคิดใคร่ครวญเล็กน้อยก่อนที่จะกล่าวออกมา
“ดีมาก น้องข้ามีความสามารถในวิชาค่ายกลมาตั้งแต่เด็ก ถึงแม้ด้วยข้อจำกัดทางด้านการฝึกฝนและเวลาจะทำให้ไม่สามารถสร้างค่ายกลที่ซับซ้อนได้ แต่มันเหลือเฟือสำหรับรับมือกับศิษย์จิตวิญญาณที่เข้ามาในแดนลึกลับแห่งนี้ เช่นนี้พี่ก็สามารถลงมือได้อย่างเต็มที่แล้ว” ชายหนุ่มได้ยินก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก
“ถ้าอย่างนั้นขอพี่ใหญ่รออีกสองวัน เวลายาวนานเช่นนี้คงจะเพียงพอให้ข้าเตรียมทุกอย่างได้เสร็จสรรพ” หญิงร่างอรชรกล่าวด้วยท่าทีจริงจัง
ครั้งนี้ชายหนุ่มเพียงแค่คิดใคร่ครวญเล็กน้อยแล้วก็ตอบรับกลับไป
……
เนินเขาที่หมิ่นโซ่วตกลงมาเสียชีวิตในก่อนหน้านั้น ศิษย์นิกายจันทราสวรรค์ผู้หนึ่งสะพายกระบี่ยาวหิมะขาวยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ นางกำลังจ้องมองอะไรบางอย่างบนยอดเขาที่สูงชะโงกเงื้อม
หลังจากไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด หญิงนางนี้พลันเลื่อนมือเรียวยาวราวกับหยกไปจับด้ามกระบี่ตรงหลังไว้ ขณะเดียวกันก็หันหน้ามองไปยังหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“ใครหลบๆ ซ่อนๆ อยู่แถวนั้น ออกมาเดี๋ยวนี้!”
“เฮ่อๆ สมกับที่เป็นร่างสื่อสารจิตวิญญาณกระบี่ของนิกายจันทราสวรรค์ที่ปรากฏตัวในรอบพันปี ข้าเพียงแค่หายใจแรงหน่อยก็ถูกศิษย์น้องค้นพบแล้ว”
หลังจากมีเสียงหัวเราะดังมาจากหลังหินก้อนใหญ่ ชายชุดคลุมสีเลือดรูปร่างผอมสูงผู้หนึ่งก็เดินออกมาจากในนั้น
“เซวี่ยชื่อ เจ้านั่นเอง!” พอหญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์เห็นใบหน้าของชายชุดคลุมสีเลือดชัดเจนก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
“นอกจากข้าแล้ว ยังจะมีใครกล้าพูดจากับศิษย์น้องจางเช่นนี้เล่า ดูจากท่าทีของศิษย์น้องคงจะสนใจเหยี่ยวขนเหล็กเหล่านี้มาก วิหคปีศาจที่มีพลังแฝงอันแข็งแกร่งนี้ ถ้าหากได้ไข่ของมันมาสองสามใบ ต่อให้บนเขาไม่มีของล้ำค่าอันใดก็คุ้มค่าที่พวกเราจะเสี่ยงดูสักครั้ง” เซวี่ยชื่อกล่าวอย่างไม่รีบร้อน
“พวกเรา? ข้าบอกตอนไหนว่าจะร่วมมือกับเจ้า” หญิงนิกายจันทราสวรรค์ลังเลยอยู่ครู่หนึ่งแล้วหัวเราะกล่าวออกมา
“ศิษย์น้องจางล้อข้าเล่นแน่ๆ ถ้าพวกเราสองนิกายไม่ร่วมมือกัน เจ้าคิดจะรับมือกับเหยี่ยวขนเหล็กบนเขาเพียงคนเดียวหรือ?” เซวี่ยชื่อได้ยินเช่นนี้สีหน้าก็ดูไม่ได้ขึ้นมา
“ข้าจะทำอย่างไรจำเป็นต้องให้เจ้ามาสอนด้วยหรือ! ถ้าเจ้าไม่รีบไปตอนนี้ ก็รับกระบี่ของข้าให้ได้สามครั้งแล้วค่อยว่ากัน ถ้าหากว่าภายในสามกระบี่แล้วเจ้ายังสามารถยืนอยู่ได้โดยไม่ได้รับอันตรายใดๆ ข้าอาจจะพิจารณาเรื่องร่วมมือกันก็ได้” หญิงนิกายจันทราสวรรค์กล่าวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ทั้งยังดึงกระบี่หิมะขาวตรงหลังออกมาหลายชุ่นในทันที เผยให้เห็นถึงกระบี่อันแวววาว ไอกระบี่อันเย็นยะเยือกม้วนตัวไปยังฝั่งตรงข้ามในทันที
พอเซวี่ยชื่อสัมผัสกับไอเย็นนี้ก็สะดุ้งโหยงขึ้นมา แต่ก็คำรามเสียงต่ำออกมาด้วยความโมโห หลังจากที่กลิ่นไอบนตัวเพิ่มขึ้นในฉับพลันก็มีไอโลหิตจำนวนหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้า หลังจากที่มันหมุนรวมตัวกันแล้วก็ลอยลงมาพันล้อมตัวของชายหนุ่มไว้หลายรอบ มองดูไกลๆ จะเห็นราวกับว่ามันคืออสรพิษสีเลือดขนาดใหญ่เป็นพิเศษ
หญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์เห็นเช่นนี้ก็ไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา แต่หลังจากที่ค่อยๆ เคลื่อนไหวข้อมือ กระบี่ยาวตรงหลังก็ถูกดึงออกมาเกือบครึ่งหนึ่ง ไอเย็นยะเยือกแผ่ออกไปรอบทิศทางราวกับว่ามันมีตัวตน
สถานที่ที่ไออันเย็นยะเยือกม้วนตัวผ่านไปจะมีเสียงดังสนั่นขึ้น จากนั้นมันก็เกาะตัวตัวจนกลายเป็นน้ำค้างแข็งชั้นหนาๆ
“ดี! ในเมื่อศิษย์น้องอยากจะวัดความสามารถของข้า ข้าคงต้องขอรับคำชี้แนะจากร่างสื่อสารจิตวิญญาณกระบี่อันมหัศจรรย์นี้แล้ว” ชายชุดคลุมสีเลือดหรี่ตาทั้งสองจ้องมองหญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์ราวกับอสรพิษที่จ้องเหยื่ออยู่ครู่หนึ่ง แล้วถึงได้กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มอันดุร้าย
และเมื่อหญิงสาวได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ตะโกนออกมาอย่างไม่ลังเล
“กระบี่แรก!”
เสียงตะโกนเพิ่งจะสิ้นสุด กระบี่ยาวบนหลังของนางก็เลือนลางแล้วพุ่งเป็นแนวขวางเข้าไปยังด้านหน้าของชายหนุ่ม หลังจากที่มันสั่นไหวในฉับพลันก็แผ่แสงอันเย็นสะท้านออกมาพร้อมกับเสียงอันดังสั่น จากนั้นก็กลายเป็นเงากระบี่จำนวนมากพุ่งเข้าไปหาชายหนุ่ม
……………………………………….
ตอนที่ 125 ดักซุ่มโจมตี
โดย
Ink Stone_Fantasy
ผ่านไปสักครู่ เซวี่ยชื่อก็ยังยืนตรงอยู่ที่เดิม แต่สีหน้ากลับซีดขาวผิดปกติ ขณะเดียวกันเส้นผมสีดำบนศีรษะก็กลายเป็นสีแดงเลือด
พื้นดินบริเวณนั้นเต็มไปด้วยร่องรอยของกระบี่กับร่องลึกขนาดใหญ่ร่องหนึ่งที่ยาวเจ็ดแปดจั้ง
“ไม่คาดคิดว่าเจ้าจะสามารถรับมือสามกระบี่ของข้าได้ ดูท่าเจ้าจะแข็งแกร่งกว่าที่ร่ำลือเล็กน้อย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ล่ะก็ข้าจะยอมร่วมมือด้วยก็ได้ แต่พอได้ไข่ของเหยี่ยวขนเหล็กมามากกว่าสองใบล่ะก็ ข้าจะเอาไปสองในสามส่วน ข้อนี้เจ้าจะคัดค้านหรือไม่!” หญิงสาวเก็บกระบี่ยาวในมือใส่ฝักจากนั้นก็กล่าวอย่างราบเรียบ
“คิดไม่ถึงว่าวิชากระบี่ของเจ้าฝึกฝนจนถึงขั้นนี้แล้ว พลังของข้าเทียบเจ้าไม่ได้ย่อมต้องทำตามที่เจ้าบอกอยู่แล้ว” เซวี่ยชื่อยกแขนขึ้นมองดูโลหิตที่เต็มง่ามมือแล้วกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มขมขื่น
“ดีมาก ถ้าหากพวกเราร่วมมือกันล่ะก็คงมีโอกาสรับมือกับเหยี่ยวขนเหล็กเหล่านั้นได้มากขึ้น” หญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์พยักหน้า จากนั้นก็เงยหน้ามองไปยังยอดเขาชะโงกเงื้อมที่อยู่ไกลๆ พร้อมกับเผยสีหน้าอันโหดเหี้ยมออกมาชั่วขณะหนึ่ง
……
บนลานหินกว้างโล่งบนยอดเขาที่อยู่ตรงกลางยอดเขาลูกอื่นๆ และเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดนั้น เกาชง เฟิงฉาน และศิษย์นิกายต่างๆ อีกเจ็ดแปดคนรวมตัวอยู่ด้วยกัน ซึ่งก็ไม่ได้ต่อสู้กันแต่อย่างใด แต่กลับพูดคุยอะไรบางอย่างอยู่เบาๆ ตอนที่พวกเขาพูดคุยกันนั้นต่างก็จ้องมองไปยังยอดเขาสูงใหญ่อยู่ตลอด ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความโลภ
……
ในถ้ำแห่งหนึ่งตรงตีนเขา ร่างเหลยเจิ้นถูกล้อมรอบด้วยสายฟ้า สองมือถือค้อนเล็กสีเงินที่มีสายฟ้าแลบแปลบปลาบอยู่เช่นกัน เขากำลังฟาดค้อนใส่หินยักษ์สีดำที่ฝังอยู่ตรงผนังถ้ำไปมาอยู่ไม่หยุด
ทุกครั้งที่โบกสะบัดจะมีเส้นสายฟ้าขนาดใหญ่โจมตีลงไปบนหินยักษ์นั้น จนทำให้มันค่อยๆ สั่นไหวจนปรากฏรอยร้าวบนผิวของมัน และค่อยๆ ลึกลงไปเรื่อยๆ
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป หลังจากที่เหลยเจิ้นตะโกนเสียงต่ำแล้วกวัดแกว่งค้อนโจมตีออกไปอย่างรุนแรงแล้วเส้นสายฟ้าบนร่างก็หายไปทันที จากนั้นเขาก็เก็บค้อนเงิน และนั่งขัดสมาธิกำหนดลมหายใจเพื่อเข้าฌาน
ตอนนี้กลิ่นไอบนตัวเขาลงมาก ประจักษ์ชัดว่าเขาสูญเสียพลังเวทย์มากเกินไป
แต่ขณะนี้ได้เกิดฉากอันน่าประหลาดใจขึ้นบนหินสีดำ
หลังจากที่ยุติการโจมตีลงรอยแตกบนผิวหินก็ค่อยๆ ผสานเข้าหากัน
ผ่านไปไม่นานหินสีดำก็กลับมาเกลี้ยงเกลาเป็นอย่างมาก เพียงแต่ขนาดของมันเล็กกว่าก่อนหน้านั้นเท่าตัว
หลายชั่วยามผ่านไป เมื่อเหลยเจิ้นลืมตาทั้งสองขึ้น กลิ่นไอบนตัวก็ฟื้นคืนกลับมาเป็นปกติ เขาเก็บเศษหินขึ้นมาจากแถวนั้นหนึ่งชิ้น และสะบัดข้อมือโยนมันไปยังหินสีดำขนาดใหญ่
เสียงดัง “ตู้ม!”
พอเศษหินเข้าใกล้หินสีดำที่อยู่ห่างออกไปจั้งกว่าๆ ก็ถูกพลังไร้รูปบางอย่างกระทบกระเทือนจนแตกละเอียด ขณะเดียวกันผงหินที่แตกละเอียดเหล่านั้นก็ค่อยๆ ลอยเข้าไปในหินสีดำยักษ์ และรวมตัวกันจนเป็นหนึ่งเดียว
“ไม่ได้! มันยังไม่ลดลงจนถึงระดับที่ข้าจะทนต่อมันได้ จำเป็นต้องดำเนินต่อไปอีกถึงจะนำของล้ำค่าในนั้นออกมาได้”
เหลยเจิ้นกล่าวพึมพำ สายตาที่จ้องมองหินสีดำนั้นเต็มไปด้วยความเร่าร้อน
หินสีดำก้อนนี้ เมื่อสองวันก่อนเขาไล่ล่าปีศาจอสูรมาถึงตรงนี้ถึงค้นพบมันโดยไม่ได้ตั้งใจ
เมื่อปีศาจอสูรที่ถูกไล่ล่าตนนั้นเข้าใกล้กับหินสีดำก็กลายเป็นเลือดถูกดูดเข้าไปในนั้น เขาถึงรู้ว่าตนเองค้นพบของล้ำค่ามหัศจรรย์ชิ้นหนึ่ง
ดังนั้นช่วงเวลาที่เหลือเขาจึงใช้พลังอัสนีที่ชำนาญที่สุดค่อยๆ โจมตีพลังด้านนอกที่แปลกประหลาดของหินก้อนนั้น
แต่ดูจากการโจมตีในสองวันที่ผ่านมา ถ้าจะเค้นพลังแปลกประหลาดในนั้นออกมาให้หมดสิ้น เกรงว่าถ้าไม่มีเวลาสิบวันถึงครึ่งเดือนคงจะทำไม่สำเร็จ แต่ยังดีที่เขาไม่จำเป็นต้องเค้นพลังเหล่านี้ออกมาทั้งหมด แต่เพียงแค่ทำให้มันอ่อนลงจนถึงระดับที่เขาสามารถรับมือได้ก็สามารถใช้อาวุธจิตวิญญาณเข้าไปโจมตีหินให้แตกละเอียด และนำสิ่งของในนั้นออกมาได้
ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าของล้ำค่าชิ้นนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร แต่ด้วยความแปลกประหลาดที่มันแสดงออกมา ทำให้เชื่อได้ว่าขอเพียงได้ของสิ่งนี้ไป สิ่งที่เขาได้รับจากแดนลึกลับจะต้องไม่ด้อยไปกว่าผู้ใดอย่างแน่นอน
……
ในบ่อน้ำเร้นลับที่มีพุ่มไม้เตี้ยปกคลุมอยู่รอบด้าน เจียหลานกำลังยืนอยู่ข้างบ่อน้ำโดยที่มีแสงสีม่วงเคลื่อนไหวอยู่ในตาทั้งสอง นางกำลังเผชิญหน้ากับอสูรน้อยในบ่อน้ำสามตนที่มีเขาอยู่ตรงหัวหนึ่งเขา เกล็ดสีเขียวกระจายไปทั่วลำตัวของมัน
อสูรน้อยทั้งสามตนนี้ใช้กรงเล็บทั้งสี่เกาะอยู่บนผิวน้ำไม่ขยับเขยื้อน แสงสีน้ำเงินเปล่งประกายอยู่ในดวงตาทั้งหก มันจ้องมองเจียหลานโดยไม่แสดงความหวาดกลัวใดๆ ออกมาเลยแม้แต่น้อย ดูเหมือนกับว่ามันจะเป็นปีศาจอสูรที่มีพลังจิตแข็งแกร่งตั้งแต่เกิด
และใจกลางบ่อน้ำด้านหลังของอสูรน้อย มีดอกบัวสีฟ้าที่โปร่งแสงแวววาวลอยอยู่บนผิวน้ำ และมันถูกล้อมรอบด้วยพลังปราณอันแน่นหนา
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เจียหลานทำเสียงฮึดฮัดออกมา และร่างของนางก็ถอยไปสองก้าวโดยไม่ได้ตั้งใจ
แสงสีฟ้าในดวงตาอสูรน้อยตรงหน้าทั้งสามก็เปล่งประกายขึ้น ร่างกายของมันก็สั่นไหวแล้วถอยไปหนึ่งก้าวเช่นกัน
เจียหลานจ้องมองอสูรน้อยทั้งสามอย่างละเอียดครู่หนึ่ง จากนั้นก็เคลื่อนไหวร่างหายเข้าไปในพุ่มไม้
สำหรับนางแล้ว การได้เจอกับ “บัวพลังวารี” ที่มีประโยชน์มากมายในแดนลึกลับแห่งนี้ นับว่าเป็นเรื่องไม่คาดฝันที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง
ของสิ่งนี้มีประโยชน์ต่อนางในภายหน้าเป็นอย่างมาก ถึงแม้อสูรวารีทั้งสามตนนี้จะจัดการได้ยาก แต่ก็ต้องหาวิธีจัดการให้ได้
แต่เวลาในแดนลึกลับยังเหลืออีกนาน อีกอย่างที่นี่ก็ค่อนข้างเร้นลับ นางไม่ต้องรีบเอาชีวิตเข้าแลกกับมัน รอคิดวิธีการที่แยบยลได้ก่อนแล้วค่อยมาก็ไม่สาย
……
เช้าวันที่สอง ตอนที่หลิ่วหมิงลืมตาทั้งสองขึ้นอีกครั้งในหุบเขาที่เร้นลับแห่งหนึ่ง ความแข็งแกร่งและพลังเวทย์ของเขาก็ได้ฟื้นฟูจนถึงจุดสูงสุด
ห่างจากเขาไปไม่ไกล หยางเฉียนและคนอีกสองคนก็นั่งกำหนดลมหายใจเข้าฌานอยู่เช่นกัน
การที่หลิ่วหมิงตื่นขึ้นมา ดูเหมือนว่าจะปลุกให้คนอื่นๆ ตื่นขึ้นมาด้วย ครู่ต่อมาทั้งสามคนก็หยุดกำหนดลมหายใจลืมตาขึ้นมา
“พี่อวิ๋น พลังของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง วันนี้อาจจะต้องต่อสู้แล้ว” หยางเฉียนถามชายหน้าดำด้วยความเป็นห่วง
หลังจากที่เขาสอดส่องดูการเคลื่อนไหวของปีศาจวานรแล้ว ก็กลับมารวมตัวกับหลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ตั้งแต่เย็นเมื่อวานแล้ว
“วางใจเถอะ! พลังข้าฟื้นฟูมาหมดแล้ว จะต้องไม่พลาดเรื่องสำคัญอย่างแน่นอน” ชายหน้าดำลุกขึ้นมาขยับแข้งขยับขาแล้วกล่าวด้วยความมั่นใจเป็นพิเศษ
“ดีมาก! ในเมื่อเป็นเช่นนี้วันนี้ก็ทำตามแผนที่วางไว้เถอะ! ข้าจะไปบนเขาอีกครั้งแล้วใช้หัวปีศาจวานรตนเมื่อวานล่อปีศาจวานรบนเขาออกมา และจะพยายามควบคุมจำนวนให้มันออกมาแค่สองสามตนเท่านั้น ถ้าหากว่ามีแค่สองตน พี่อวิ๋นกับข้าจัดการคนละตน ศิษย์น้องจินกับศิษย์น้องไป๋คอยช่วยอยู่ข้างๆ ก็พอแล้ว ถ้าหากออกมาสามตนล่ะก็ขอให้ศิษย์น้องทั้งสองแยกกันจัดการคนละตนก่อน ข้ากับพี่อวิ๋นจะรวมพลังกันจัดการอีกตนอย่างรวดเร็วแล้วรีบมาช่วยพวกเจ้า” หยางเฉียนกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ย่อมไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด
เวลาต่อมาหยางเฉียนก็แบกหัววานรสีเทาที่ออกจะแห้งเหี่ยวเล็กน้อยออกไปจากหุบเขา
หลิ่วหมิงและคนทั้งสองก็แยกย้ายกันหาที่ซ่อนตัวมิดชิดที่อยู่ไม่ห่างจากปากทางเข้าหุบเขามากนัก
หลิ่วหมิงซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ที่มีกิ่งและใบเป็นพุ่มๆ จินอวี่กลับซ่อนตัวอยู่หลังกองหินกลุ่มหนึ่ง
สิ่งที่ทำให้หลิ่วหมิงพูดไม่ออกก็คือ ชายหน้าดำกลับยืนวางกล้ามอยู่ด้านหนึ่งของปากทางเข้า จากนั้นก็ปล่อยหุ่นตัวนิ่มออกมาตัวหนึ่ง
หุ่นตัวนี้เพียงแค่ม้วนตัวก็ม้วนชายหน้าดำเจ้าไปอยู่ในนั้นด้วย จากนั้นมันก็เปลี่ยนรูปร่างไปเป็นหินสีเหลืองขนาดใหญ่
รูปร่างของมันเหมือนจริงมาก ต่อให้ไปดูใกล้ๆ ก็ดูไม่ออกว่าเป็นของปลอม
เวลาค่อยๆ ผ่านไป หลังจากไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ก็มีเสียงคำรามดังเข้ามาจากปากทางเข้า ตามด้วยเสียงดัง “ตึ้ง!” “ตึ้ง!” จนพื้นสั่นไหวราวกับว่ามีสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมากำลังเข้ามาอย่างรวดเร็ว
หลิ่วหมิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วตบลงไปบนถุงหนังโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง หลังจากที่แสงสีดำม้วนตัวลงไปยังด้านล่าง แมงป่องกระดูกขาวก็ปรากฏตัวใต้ต้นไม้ใหญ่ท่ามกลางไอสีม่วง
เขาส่งพลังจิตสื่อสารกับมัน จากนั้นมันก็รีบมุดลงไปใต้ดินอย่างไร้ร่องรอย
จินอวี่ที่อยู่หลังกองหินก็สะบัดแขนเสื้อก่อนที่จะมีลูกกลมๆ สามลูกที่มีสีสันแตกต่างกันกลิ้งออกมา จากนั้นมันก็อยู่นิ่งๆ ตรงบริเวณเท้าของเขา
แต่ชายหน้าดำที่ซ่อนตัวอยู่ในหินขนาดใหญ่ที่กลายร่างมาจากตัวนิ่มกลับไม่มีความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติใดๆ
และช่วงเวลานั้น เสียงคำรามก็ดังขึ้นกว่าเดิม!
ฉับพลันก็มีเสียงสนั่นหวั่นไหวดังมาจากปากทางเข้า หยางเฉียนพุ่งตัวเข้ามาราวกับลูกธนู เขาแค่เคลื่อนไหวไม่กี่ทีก็ไปได้ไกลหลายสิบจั้ง จากนั้นก็หยุดการเคลื่อนไหวลงพร้อมตะโกนออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“มีปีศาจวานรสามตน รีบทำตามแผนที่วางไว้”
เสียงเพิ่งจะสิ้นสุด เขาก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว ไอสีดำม้วนตัวพวยพุ่งออกมาจากถุงหนังบนเอว ปีศาจกระดูกหัววัวร่างมนุษย์ปรากฏออกมาในทันที และยังคำรามเสียงต่ำออกมาพร้อมกับจ้องมองปากทางเข้าหุบเขาตาไม่กระพริบ
หลังจากมีเสียง “ตึ้ง!” “ตึ้ง!” “ตึ้ง!” ดังสนั่นขึ้น ก็มีปีศาจวานรยักษ์สามตนกระโดดเข้ามาจากปากทางเข้าหุบเขา
ตนหนึ่งสูงสามจั้งกว่า มีขนสีดำทั้งตัว
อีกสองตนสูงสองจั้งกว่า มีขนสีขาวเทา พวกมันคล้ายกันกับปีศาจวานรเมื่อวาน
พอปีศาจวานรทั้งสามกระโดดเข้ามาในหุบเขา ก็ส่งเสียงคำราม และกระโจนเข้าหาหยางเฉียนทันที
หยางเฉียนทำเสียงฮึดฮัดก่อนที่ทำท่ามือด้วยมือเดียว ไอดำพวยพุ่งม้วนตัวออกมา หลังจากที่มันรวมตัวกันแล้วก็กลายเป็นฝ่ามือสีดำขนาดใหญ่ตบไปยังวานรยักษ์สีดำอย่างไม่ปรานี ขณะนั้นปีศาจกระดูกหัววัวที่อยู่ด้านข้างก็ก้าวยาวๆ พุ่งเข้าไป
ในขณะเดียวกันก็มีเสียงดัง “กรอบแกรบ!” มาจากทางด้านที่จินอวี่ซ่อนตัวอยู่ ครู่ต่อมาหุ่นเสือดาวสามตัวที่สูงจั้งกว่าๆ ก็พุ่งออกมาจากหลังกองหิน มันกระโจนเข้าใส่วานรสีเทาที่อยู่ใกล้กับพวกมันที่สุดอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวพวกมันก็ต่อสู้กันพัลวัน
อีกด้านหนึ่ง ร่างของปีศาจวานรอีกตนที่กำลังวิ่งอยู่พลันกลิ้งไปยังทิศทางหนึ่งทันที พื้นดินที่มันยืนอยู่แยกออกจากกันโดยฉับพลัน ก้ามยักษ์ทั้งสองหนีบผ่านอากาศอันว่างเปล่า
แต่ยังไม่ทันที่วานรยักษ์จะลุกขึ้นมาก็มีเสียงดัง “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” คมวายุเจ็ดแปดเส้นพุ่งออกมาจากบนต้นไม้ที่หลิ่วหมิงอยู่ มันกระพริบไม่กี่ทีก็มาถึงด้านหน้าของวานรยักษ์
ปีศาจวานรสีเทาคำรามออกมาด้วยความโมโห มันกระทืบเท้าลงพื้นอย่างรุนแรง ทันใดนั้นพื้นที่บริเวณนั้นก็สั่นสะเทือน กำแพงพสุธาผุดขึ้นมาจากพื้นดินอย่างรวดเร็ว
หลังจากมีเสียงดัง “ฉับ!” “ฉับ!” คมวายุก็โจมตีเข้าใส่กำแพงพสุธาจนทิ้งร่องรอยจางๆ ไว้เท่านั้น
และภายใต้ความโมโหของวานรตนนี้ มันก็กระโดดไปได้ไกลหลายจั้ง และกระโจนเข้าหาหลิ่วหมิงที่อยู่บนต้นไม้
ด้วยเหตุนี้ วานรยักษ์ทั้งสามจึงถูกแยกออกจากกันภายในพริบตา
……………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น