ลำนำบุปผาพิษ 1215-1224

 บทที่ 1215 ข้าเกือบจะมองเห็นเขาแล้วจริงๆ!


ตี้ฝูอีไม่ได้ลืมตา สุ้มเสียงอ่อนแรง “ซีจิ่ว ยามนี้ ข้ายังบาดเจ็บอยู่ เจ้าทนเห็นข้าใช้วิชาต้องห้ามสลับร่างให้เจ้าได้หรือ?”


กู้ซีจิ่วบอก “…วิชาต้องห้าม? เป็นไปไม่ได้มั้ง? หลงซือเย่บอกว่าการสลับร่างไม่ต้องใช้พลังวิญญาณนี่”


“เจ้าเชื่อเขาหรือเชื่อข้า?”


กู้ซีจิ่วไม่พูดจาอันใดแล้ว


ทั้งสองต่างไม่มีใครพูดอะไรชั่วขณะ


หลังจากที่กู้ซีจิ่วทายาให้เขาเรียบร้อย จึงสงบจิตใจ อดไม่ได้ที่จะพูด “เจ้ามีอะไรปิดบังข้าหรือไม่? ข้ารู้สึกว่าด้วยความสัมพันธ์แบบนี้ของพวกเรา ไม่ควรมีอะไรปิดบังกันอีก จริงๆ ข้าไม่อยากสงสัยในตัวเจ้า แต่ข้ารู้สึกว่าเจ้าไม่ปรารถนาให้สลับร่างคืนแม้แต่น้อย เจ้าหวาดระแวงอันใดหรือเปล่า?”


ตี้ฝูอีนิ่งเงียบครู่หนึ่งและไม่ได้ลืมตา “เจ้าคิดมากไปแล้ว ความจริง ข้าเพียงไม่เข้าใจว่าเหตุใดเจ้าถึงยืนกรานที่จะสลับร่างเยี่ยงนี้ ข้าบอกแล้ว ความสามารถร่างนี้ของเจ้าดีกว่าคุณหนูจวนแม่ทัพนั่นอีก…”


“แต่ข้าชอบร่างนั้นนี่ ร่างนั้นมีกำไลคู่บุพเพ อีกอย่าง ตอนนี้ข้าไม่มีทางติดต่อกับเสี่ยวชางได้แล้ว…”


“เด็กโง่ มีกำไลคู่บุพเพหรือไม่ อย่างไรเจ้าก็เป็นภรรยาข้า เหตุใดต้องใส่ใจกับแค่กำไลวงเดียว? ส่วนปัญหาเรื่องการติดต่อของเจ้ากับหยกนภา เดี๋ยวข้าจะไปถามสาเหตุมัน หาวิธีให้มันติดต่อกับเจ้าในร่างนี้ได้”


กู้ซีจิ่วกล่าวอันใดไม่ออก ความหมายของเขาก็คือยังคงไม่อยากให้เธอสลับร่าง…


เธอไม่ยอมลดละ ยังเล่าที่หลงซือเย่พูดเรื่องความสอดคล้องด้านยีนพันธุกรรมของหลงฟั่นกับเธอออกมา


ตี้ฝูอีแทบไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ จึงลองให้นางสัมผัสถึงตำแหน่งที่อยู่ของหลงฟั่น กู้ซีจิ่วอธิบาย “ก่อนหน้านี้ ข้าเคยลองสัมผัสแล้ว แต่สัมผัสไม่ถึงตัวเขา ไม่แน่อาจเป็นการสัมผัสได้เพียงทางเดียวก็ได้”


ถึงแม้จะอธิบายขนาดนี้แต่ท้ายที่สุดก็ตั้งใจสัมผัสอยู่ครู่หนึ่ง ยังคงปกคลุมไปด้วยหมอก ขณะที่ลืมตากลับรู้สึกเย็นยาบไปทั้งตัว ราวกับร่างกายอยู่ในสถานที่อันหนาวเหน็บยิ่งนัก รอบด้านล้วนเป็นน้ำแข็งสีคราม และภายในน้ำแข็งสีครามนั้นมีเงาร่างซ่อนอยู่ เธอพยายามมองดู ทั้งตัวกลับร้อนผ่าวขึ้นมา เหมือนเธอถูกปลุกจากห้วงความฝัน ลืมตาขึ้นฉับพลัน “ข้าเกือบจะมองเห็นเขาแล้วจริงๆ!”


“อยู่ที่ไหน?”


“เหมือนอยู่บนทุ่งน้ำแข็งหรือท้องทะเลอันเยือกเย็น เขาถูกแช่แข็งภายในน้ำแข็ง…” กู้ซีจิ่วพยายามอธิบายสิ่งที่เธอ ‘มองเห็น’ ออกมาอย่างสุดกำลัง


ตี้ฝูอีพึมพำครู่หนึ่ง “สัญชาตญาณนี้ของเจ้ากำลังหลอนกระมัง?”


“หา?”


“เจ้าลองคิดดู ร่างโคลนนิ่งที่หลงซือเย่สร้างออกมาอยู่ภายในตำหนักน้ำแข็ง ในวังใต้พิภพเจ้าก็ตื่นขึ้นมาในโลงผลึกแก้วอันหนาวเหน็บ เจ้ายังเห็นร่างโคลนนิ่งของโม่เจ้าถูกเก็บไว้ในโลงผลึกแก้วน้ำแข็ง…บางทีนี่อาจทำให้เจ้าสร้างการตอบสนองภายใต้จิตสำนึกแบบมีเงื่อนไข คิดว่าเมื่อใดที่ฟื้นคืนสติขึ้นมาจะต้องอยู่ในน้ำแข็งอันหนาวเหน็บ และหากไม่มีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้น หลงฟั่นไม่มีทางหลบหนีจากวังใต้พิภพและตายจากไป หากเขาต้องการฟื้นคืนชีพจำเป็นต้องฟื้นคืนชีพในร่างโคลนนิ่งอื่น ดังนั้น การตอบสนองภายใต้จิตสำนึกแบบมีเงื่อนไขของเจ้าเป็นเยี่ยงนี้ก็ไม่แปลกอันใด”


กู้ซีจิ่วนิ่งอึ้ง เธอขมวดคิ้ว ‘เป็นเช่นนี้หรอกหรือ?’


คำพูดนี้ของตี้ฝูอีฟังดูสมเหตุสมผล…


เธอหลุบตาลง สัมผัสถึงฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจสัมผัสได้แล้ว


……


ทวีปหลานเฟิงมีความคล้ายคลึงกับทวีปแอนตาร์กติกาในยุคปัจจุบัน เป็นดินแดนที่เกิดจากน้ำแข็ง มีพายุหิมะตลอดทั้งปี ปกคลุมด้วยภูเขาน้ำแข็งและยอดเขาน้ำแข็งเป็นทิวแถว อุณหภูมิตลอดทั้งปีต่ำกว่าลบสี่สิบถึงห้าสิบองศา ไร้ซึ่งร่องรอยมนุษย์ เวิ้งว้างหาที่เปรียบไม่ได้ นอกจากผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณน้ำที่เดินทางมาเป็นครั้งคราวเพื่อพัฒนาการฝึกฝนของตัวเองแล้ว โดยปกติจะไม่มีผู้ใดเข้ามา


————————————————————————————-


บทที่ 1216 ไม่มีทางสิ่งสู่เข้าร่างได้สำเร็จ


โดยเฉพาะดินแดนห่างไกลในทวีป ยิ่งไม่มีผู้ใดย่างกรายไปถึง


แต่ภายในยอดเขาลูกหนึ่งในดินแดนห่างไกลของทวีปนี้ กลับมีตำหนักน้ำแข็งแห่งหนึ่ง หากบอกว่าเป็นตำหนักน้ำแข็งไม่สู้เรียกถ้ำน้ำแข็ง เพราะที่นี่มีขนาดเล็กมาก พื้นที่ของตำหนักน้ำแข็งเพียงแค่สี่สิบถึงห้าสิบตารางเมตร มีเสาน้ำแข็งแปดต้นตั้งอยู่รอบด้านของตำหนักน้ำแข็ง ซ่อนยันต์แปดทิศของพระเจ้าฝูซี ทั้งที่เป็นเสาน้ำแข็งแต่ด้านบนกลับมีลวดลายซับซ้อนราวกับเป็นคาถาบางอย่าง เปล่งแสงวิบวับภายในถ้ำน้ำแข็งสีน้ำเงินเข้ม


เสาน้ำแข็งทั้งหนาและสูงอยู่ใจกลางของตำหนักน้ำแข็ง สามคนโอบไม่มิด ภายในเสาน้ำแข็งมีเงาร่างเลือนรางซ่อนอยู่…


คนผู้นั้นยืนอยู่ด้วยท่าทางแปลกประหลาด ไม่รู้ว่าถูกผนึกไว้ภายในนานเท่าไรแล้ว ไม่ขยับเขยื้อน


เสาน้ำแข็งทั้งแปดต้นภายในตำหนักน้ำแข็งพลันสว่างไสว คาถาเหล่านั้นเหมือนถูกกระตุ้นด้วยบางสิ่งที่หมุนวนอย่างบ้าคลั่ง เมื่อมองอย่างละเอียด คาถาเหล่านั้นไม่ได้ถูกสลักไว้ แต่เป็นแมลงจิ๋วที่เปล่งแสงสีน้ำเงินชนิดหนึ่งกำลังบิดตัวไปมา แมลงจิ๋วชนิดนี้ยังมีขนาดเล็กกว่าเมล็ดข้าวเสียอีก ปีกที่เปล่งแสงสีน้ำเงินคู่หนึ่ง เมื่อกระพือจะมีระลอกแสงระยิบระยับ หากหยุดนิ่ง ลำแสงนั้นก็จะหายไป…


โดยปกติ แมลงจิ๋วนี้เหมือนกำลังจำศีล ไม่ได้กระพือปีกมาเนิ่นนาน ยามนี้ราวกับตื่นตระหนก กระพือปีกบ่อยครั้งขึ้น ทำให้คาถานั้นประหนึ่งพลันเปลี่ยนเป็นมีชีวิตขึ้นมา หลังจากนั้นแมลงจิ๋วเหล่านี้ก็ทะยานสู่ท้องนภาดังหมู่มวลดารา โผไปทางเสาน้ำแข็งตรงกลางต้นนั้น พุ่งชนและค่อยๆ ร่วงหล่น…


พุ่งชนเข้าไปทีละชั้น ร่วงหล่นทีละชั้นเป็นเช่นนี้ จนเสาน้ำแข็งต้นนั้นเหมือนถูกกัดเซาะ เริ่มละลายอย่างรวดเร็วเมื่อมองด้วยตาเปล่า


หลังจากแมลงจิ๋วเหล่านั้นพุ่งชนเสาน้ำแข็ง ในที่สุด คนที่ถูกผนึกในเสาน้ำแข็งก็ปรากฏรูปลักษณ์ออกมา คนผู้นั้นมีรูปโฉมงดงามสดใส ท่าทางสง่างาม แม้ถูกผนึกในน้ำแข็งนานขนาดนี้ ใบหน้ากลับยังเหมือนมีชีวิต


ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง หน้าอกของเขาเริ่มกระเพื่อม หลังจากนั้นอีก แพขนตาของเขาสั่นระรัว ในที่สุดก็ลืมตาขึ้น…


เขาขยับตัวในเสาน้ำแข็ง อ้าปากราวกับจะหายใจออกมา คาดไม่ถึงเมื่อริมฝีปากเปิดกว้างแล้ว กลับไม่มีลมหายใจสักเพียงน้อย ดวงตาของเขาฉายแววความตื่นตระหนก ริมฝีปากบางเปิดกว้างยิ่งกว่าเดิม ท้ายที่สุด ลมหายใจยังคงไม่อาจปลดปล่อยออกมาได้…


ใบหน้าที่เมื่อสักครู่ยังมีเลือดฝาดกลับกลายเป็นสีเขียวคล้ำ เป็นซีดเผือด ราวกับจมน้ำ จากนั้นก็ไม่มีลมหายใจอีก


สถานการณ์ของเขาประหนึ่งกายจิตอ่อนแอเกินไป ดังนั้น จึงไม่มีทางสิ่งสู่เข้าร่างได้สำเร็จ


และก็ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด คนในเสาน้ำแข็งนั้นมีความคิดที่จะมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ทว่าไม่ทันได้มีลมหายใจก็หยุดการเคลื่อนไหวไปอีกครั้ง


หากมีคนมองอยู่ ณ ที่แห่งนั้น ก็จะมองเห็นเงาสีเขียวอ่อนเงาหนึ่งกำลังเคลื่อนไหววนรอบร่างกายนั้น พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อโผเข้าสู่ร่างนั้น บางคราวก็ถูกขับไล่ออกมา บางคราวก็ยากนักที่จะโผเข้าร่างนั้นแต่ผ่านไปไม่นานก็ถูกขับไล่ออกมาอีกครั้ง…


ไม่รู้ว่าล้มเหลวไปกี่ครั้งกี่หน ในที่สุดก็สำเร็จจนได้ ตอนที่เขาลืมตาอีกครั้งก็ปล่อยลมหายใจเฮือกแรกออกมาอย่างลำบากยากเข็ญ ร่างกายสั่นเทา ร่วงหล่นลงมาจากเสาน้ำแข็งอย่างรุนแรง!


เห็นได้ชัดว่าเขาควบคุมร่างกายเอาไว้ไม่ได้ นอนลงบนพื้นน้ำแข็ง ไม่มีทางนิ้วมือเหยียดงอได้ มือและเท้ากลับไม่ฟังเขาแม้แต่น้อย…


“สมควรตาย!” เขาบ่นพึมพำออกมาสามคำ ที่แห่งนี้เพียงน้ำหยดเป็นน้ำแข็ง ขนาดลมหายใจที่เพิ่งปล่อยออกมาก็ควบแน่นกลายเป็นน้ำแข็งลูกเล็กๆ ได้


————————————————————————————-


บทที่ 1217 ไปแล้วเดี๋ยวเจ้าก็จะรู้


ด้วยความเลินเล่อ เขาเพียงเตรียมร่างโคลนนิ่งไว้ที่นี่ แต่กลับลืมคิดไปว่าร่างกายของเขาในตอนนี้ไม่อาจทนรับความเหน็บหนาวในที่แห่งนี้ได้…



แต่ภายในวังค้ำนภาที่ห่างไกลออกไปเป็นหมื่นลี้ กู้ซีจิ่วย่อมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นภายในตำหนักน้ำแข็งนั้น


เมื่อเธอพยายามสัมผัสติดต่อกันอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่มีผลอันใด เธอจึงยอมแพ้ และเชื่อคำพูดของตี้ฝูอีไปชั่วขณะ


เข็มฉีดยาของหลงซือเย่ก็แตกไปแล้ว น้ำยาที่เหลือก็ไม่อาจใช้งานได้อีก พลังวิญญาณของตี้ฝูอีก็ยังฟื้นฟูไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถสลับร่างให้เธอได้ มันทำให้เธอค่อนข้างหดหู่ ดังนั้นหลังจากที่เปลี่ยนยาให้ตี้ฝูอีเรียบร้อย เธอกำชับให้ตี้ฝูอีพักฟื้นให้ดีอีกสองสามวัน หันกายกำลังคิดจะเดินออกไป กลับถูกตี้ฝูอีดึงรั้งไว้


เธอเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “มีอะไรอีกเหรอ?”


ตี้ฝูอีดึงนางเข้ามาในอ้อมกอดทันที สายตาจ้องมองสายตานาง “โกรธแล้วหรือ?”


กู้ซีจิ่วหยุดชะงัก เธอส่ายหน้า “เปล่า” ถึงแม้เขาจะขับไล่หลงซือเย่ไปอย่างโหดร้าย แต่เธอรู้ว่าเขาทำเพื่อเธอ เธอรู้สึกไม่สบายใจจริงๆ แต่ก็ไม่ถึงกับโกรธ เพียงแต่ตอนนี้เธอค่อนข้างหดหู่ที่สลับคืนร่างตัวเองไม่ได้


สายตาของตี้ฝูอีฉายแววขอโทษ ทว่าพูดพลางยิ้มขึ้นมาทันใด “ไป ข้าพาเจ้าไปที่แห่งหนึ่ง” และลากนางออกไปโดยไม่ฟังคำกล่าวอันใด


“ไปไหน? เจ้าไม่ฝึกฝนฟื้นฟูแล้วรึ?” กู้ซีจิ่วประหลาดใจไม่น้อย เธอรู้สึกว่าสิ่งสำคัญที่สุดของเขาในตอนนี้ก็คือการฝึกฝน


“ไปแล้วเดี๋ยวเจ้าก็จะรู้”



ดวงจันทร์บนท้องนภากลมโตราวกับจานกลมอันใหญ่ เมฆขาวดังเส้นด้ายลอยล่อง ซ่อนเร้นกึ่งหนึ่งของดวงเดือน สงบเงียบ เยือกเย็น


สาดสะท้อนทะเลสาบอันกว้างไกลสุดลูกตา จากการคาดคะเนด้วยสายตาของกู้ซีจิ่ว ทะเลสาบนี้ใหญ่กว่าทะเลสาบต้งถิงเป็นเท่าทวี


ชายฝั่งทะเลสาบไม่ใช่เขื่อนทะเลสาบธรรมดา แต่เป็นหาดทรายขาวผ่องสาดส่องแสงจันทร์ชนิดหนึ่ง เมื่อเหยียบเท้าลงไปแล้วรู้สึกสบายยิ่งนัก


ทะเลสาบอันกว้างไกล คลื่นน้ำรวดเร็วดังคลื่นทะเล ระลอกคลื่นกระทบฝั่งดังครืนครืน ห่างจากชายฝั่งทะเลสาบไปไม่ไกลเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่มีดอกสีม่วงอ่อนบานสะพรั่ง ลำต้นดังเหมย กิ่งก้านคดเคี้ยว ดอกที่กำลังผลิบานมีขนาดเท่ากับดอกท้อ รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนที่ปลายกิ่ง ยามเมื่อลมพัด กลีบดอกปลิวลอยล่อง ร่วงหล่นใต้ต้นไม้ พัดไปตามชายฝั่งทะเลสาบ ปลิดปลิว กระจัดกระจาย ดังสายฝนกลีบดอกไม้ ทิวทัศน์ช่างงดงามเหลือเกิน


และทิวทัศน์ที่สวยงามขนาดนี้ ยามนี้กลับมีคนชื่นชมเพียงสองคน


กู้ซีจิ่วเหยียบลงบนหาดทรายขาวผ่องสาดส่องแสงจันทร์นั้นด้วยเท้าเปล่า ดังถูกทิวทัศน์เช่นนี้สะกดไว้ ที่นี่สวยงามราวกับอยู่ในความฝัน เป็นภาพลวงตา ไม่เหมือนโลกมนุษย์


กู้ซีจิ่วรู้จักทะเลสาบนี้ มันอยู่ห่างจากเมืองหลวงของอาณาจักรเฟยซิงหนึ่งร้อยลี้ ชื่อทะเลสาบแสงจันทร์


ในสายตาของผู้คน ทะเลสาบแห่งนี้คือทะเลสาบปีศาจ เพราะมีเรื่องเล่าขานกันว่ามีราชาปีศาจกินคนอาศัยอยู่ในทะเลสาบแห่งนี้ กลืนกินผู้ที่กล้ามาสำรวจที่นี่ไม่เหลือแม้แต่กระดูก


ผู้คนโดยรอบแทบจะบอกว่าทะเลสาบแสงจันทร์เปลี่ยนสี กู้ซีจิ่วคาดไม่ถึงว่าตี้ฝูอีจะพาเธอมาที่นี่ และยิ่งคาดไม่ถึงว่าที่นี่จะงดงามขนาดนี้!


“ท่านว่าในทะเลสาบแห่งนี้มีปีศาจจริงไหม?” กู้ซีจิ่วยืนมองออกไปไกลตรงชายฝั่งทะเลสาบ “ดูแล้วช่างเงียบสงบเหลือเกิน”


“วางใจเถิด ต่อให้มีปีศาจก็ไม่มีทางกินเจ้าหรอก” ตี้ฝูอีอมยิ้ม “เพียงแต่เงือกไม่อยากให้คนในโลกมนุษย์มารบกวน จงใจกุเรื่องขึ้นมาให้คนกลัวก็เท่านั้นเอง”


“เงือก?” กู้ซีจิ่วเลิกคิ้ว “ในทะเลสาบนี้มีเงือก? เงือกในตำนานไม่ได้อยู่ในทะเลทั้งหมดหรือ?”


ตี้ฝูอีอมยิ้ม “อีกประเดี๋ยวเจ้าก็จะรู้”


กู้ซีจิ่วเริ่มสนใจขึ้นมาแล้ว เธอเคยได้ยินว่ามีเงือก แต่ไม่เคยพบเจอมาก่อน


ตำนานเกี่ยวกับนางเงือกมากมายนับไม่ถ้วนต่างผุดขึ้นมาในหัวเธอ ที่โด่งดังที่สุดก็คือเรื่องเล่าของเงือกเรื่องนั้น…


————————————————————————————-


บทที่ 1218 เข้าสู่ห้วงทะเล


“ท่านพาข้ามาเพื่อมาดูเงือก? พบพวกเขาได้ที่ไหน? ต้องดำน้ำลงไปในทะเลสาบใช่หรือไม่?”


“ไม่จำเป็น มีวิธีดึงดูดให้พวกเขาปรากฏตัวมารับพวกเราเองได้”


กู้ซีจิ่วตื่นเต้นดีใจ “วิธีใดเล่า?”


ตี้ฝูอีหยิบขลุ่ยขึ้นมาหนึ่งเลา “มา เจ้าร้องเพลงสักเพลง ข้าจะบรรเลงไปพร้อมกับเจ้า”


กู้ซีจิ่วนิ่งอึ้ง เขาพาเธอมาที่นี่เพื่อฟังเธอร้องเพลงที่ชายฝั่งทะเลสาบนี้หรือ?


อย่างไรเสีย เธอยังคงเฉลียวฉลาด “เงือกชำนาญการร้องเพลงใช่หรือไม่ เจ้าให้ข้าประชันกับพวกเขา ดึงดูดให้พวกเขาออกมา?”


“ทายถูกกึ่งหนึ่ง ให้เจ้าร้องไม่ใช่การประชันอะไร แต่เพื่อได้รับคุณสมบัติการเข้าสู่เผ่าเงือก เงือกรักการร้องเพลง และชอบคนเสียงดีเป็นที่สุด หากใครมีเสียงร้องที่ทำให้กลีบดอกของต้นไม้สีม่วงชายฝั่งทะเลสาบลุกขึ้นมาเต้นระบำได้ ก็คือแขกผู้มีเกียรติของพวกเขา สามารถเข้าตลาดกลางคืนของพวกเขาไปซื้อของได้”


กู้ซีจิ่วรู้ว่ามีตลาดทะเลในกลุ่มเงือกจากตำนานเหล่านั้น ข้าวของที่ขายด้านในล้วนเป็นสิ่งของมีค่าที่หายากบนโลกใบนี้


ผู้คนมั่งคั่งร่ำรวยมากมายในทวีปนี้พยายามทุกวิถีทางเพื่อได้เข้าไปเดินสักครั้ง แต่โดยพื้นฐานแล้วไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้เข้าไปได้ หลายปีมานี้คนที่เคยเข้าไปตลาดทะเลได้นั้นหาได้ยากนัก มีพูดถึงในพงศาวดารท้องถิ่นเพียงเล็กน้อย ผู้คนก็มองว่ามันเป็นความแปลกประหลาดชนิดหนึ่ง…


นึกไม่ถึงว่ากลับมีที่ทะเลสาบแสงจันทร์ และมีกฎเกณฑ์ที่แปลกประหลาดมาก


กู้ซีจิ่วมั่นใจในเสียงร้องของตัวเองมาก เสียงของเธอในชาติที่แล้วเทียบได้กับพวกนักร้องเหล่านั้น ตอนนั้น หากว่าเธอไม่เป็นนักฆ่า ไม่แน่เธออาจจะกลายเป็นนักร้องที่มีแฟนคลับมากมายนับไม่ถ้วนก็ได้…


ยามนี้ ร่างนี้เหมือนกันกับร่างชาติที่แล้วทุกประการ แม้แต่น้ำเสียงก็เหมือนกัน ดังนั้นกู้ซีจิ่วไม่กลัวว่าเสียงนี้จะร้องออกมาได้ไม่ดี


เพลงที่เธอร้องคือ “จันทร์กระจ่างฟ้าจักมีในยามใด”


เพลงโบราณ ที่มีท่วงทำนองเพราะพริ้ง เป็นเพลงที่เธอเคยชอบ


เมื่อเพลงดังขึ้น กู้ซีจิ่วเพิ่งเริ่มร้องริมฝั่งทะเลสาบไปได้หนึ่งประโยค ก็พบว่าร้องเพลงที่นี่กับร้องเพลงที่อื่นไม่เหมือนกัน


เสียงประกอบที่นี่ดีกว่าเสียงที่ร้องออกมาจากไมโครโฟนอีก!


และตอนที่เสียงขลุ่ยของตี้ฝูอีบรรเลงตามขึ้นมา เสียงนั้นน่าทึ่งยิ่งนัก สมบูรณ์แบบยิ่งกว่าเสียงก้องเหล่านั้นของวงดนตรีมืออาชีพ!


เสียงขลุ่ยอันไพเราะ เสียงเพลงอันงดงาม เสียงเพลงกับเสียงขลุ่ยประสานกันได้อย่างลงตัว ยอดไม้ของต้นไม้ข้างกายที่อยู่ไม่ไกลบิดพลิ้วปลิวสไวไปตามเสียงเพลงของเธอ ดอกไม้ร่วงหล่นเร็วขึ้น กลีบดอกมาตามเสียงเพลง หมุนวนล้อมรอบทั้งสองคน…


ทิวทัศน์เช่นนี้ประหนึ่งอยู่ท่ามกลางความฝันอันงดงาม แต่ที่ยิ่งทำให้คนรู้สึกว่าเหมือนกับอยู่ในห้วงแห่งความฝันคือภาพฉากต่อไป


ผืนทะเลสาบที่เดิมทีสงบเงียบกลับมีเกลียวคลื่นก่อตัวขึ้น เกลียวคลื่นใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ คลื่นน้ำปรากฏเป็นแท่นแท่นหนึ่งดังดอกบัวกำลังผลิบาน ท่ามกลางแท่นคลื่นน้ำมีหญิงสาวอาภรณ์ฟ้าสองนางกล่าวต้อนรับพวกเขาอย่างงดงาม “เฟิ่งสุ่ยจวินมีรับสั่ง ให้ท่านทั้งสองเข้าสู่นครเงือก”


ตี้ฝูอีจูงมือเล็กๆ ของกู้ซีจิ่วทะยานตัวร่อนลงบนแท่น “โปรดนำทาง”


แท่นปิดตัวลงดังดอกบัวตูมจมลงไปใต้น้ำ


ในสายตาของกู้ซีจิ่ว ทะเลสาบอันกว้างใหญ่คงลึกได้ไม่เท่าไร มากสุดก็สิบเมตร แต่คาดไม่ถึงบุปผาตูมดอกนี้พาพวกเขาเดินทางใต้น้ำเกือบจะครึ่งชั่วโมงแล้ว และยังไม่มีแนวโน้มว่าจะหยุด


กู้ซีจิ่วค่อนข้างประหลาดใจจึงส่งกระแสเสียงหาตี้ฝูอี ‘ทะเลสาบนี้ลึกขนาดนี้เลยหรือ?’ เธอรู้สึกว่าเดินทางใต้น้ำไปไกลกว่าพันเมตรแล้ว!


‘ทะเลสาบนั้นเป็นเพียงทางเข้าสู่เผ่าเงือก ยามนี้พวกเราอยู่ในทะเล’ ตี้ฝูอีส่งกระแสเสียงถึงนาง


————————————————————————————-


บทที่ 1219 ประมุขเงือกงามมากหรือ?


ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!


สถานที่ที่อยู่ลึกถึงเพียงนี้ต่อให้ลูกบาศก์เหล็กก็จะถูกน้ำกดทับจนกลายเป็นแผ่นเหล็ก นึกไม่ถึงเลยว่า ‘บุปผาตูม’ ดอกนี้กลับแข็งแกร่งยิ่งนัก ดูบอบบางนุ่มนวล ทว่าไม่มีทีท่าว่าจะบุบสลายเลยสักนิด


บุปผาตูมดอกนี้ถูกเด็กสาวชาวเงือกสองนางนั้นควบคุมไว้ตลอด ดูผ่อนคลายยิ่งนัก


กู้ซีจิ่วใจเต้นแวบหนึ่ง สองปีก่อนตี้ฝูอีเคยพาเธอลงไปใต้มหาสมุทรลึกเหมือนกัน ฟองอากาศที่เขาสร้างขึ้นมาค่อนข้างคล้ายคลึงกับบุปผาตูมดอกนี้ บางทีสิ่งปลูกสร้างใต้มหาสมุทรหลังนั้นของตี้ฝูอีอาจเป็นชาวเงือกกลุ่มนี้สร้างให้เขากระมัง?


เธอกล่าวข้อสงสัยในใจออกมา สุดท้ายก็เอ่ยถามประโยคหนึ่ง ‘ฟองอากาศของท่านคงมิใช่ครูพักลักจำมาจากพวกเขากระมัง?’


ตี้ฝูอีตอบหน้าตาย ‘ทักษะนี้เป็นข้าที่ถ่ายทอดให้พวกเขา’


‘ขี้โม้!’ กู้ซีจิ่วไม่เชื่อ ‘หรือว่าเมื่อก่อนพวกเขาไม่เคยโผล่ออกมาเลย?’


‘โง่งม พวกเขาอาศัยอยู่ในมหาสมุทรลึก ปกติแล้วไม่โผล่จากน้ำง่ายๆ ต่อให้บางครั้งโผล่จากน้ำก็เป็นการออกไปว่ายน้ำเล่นเท่านั้น จวบจนข้าคิดค้นสิ่งนี้ให้พวกเขา พวกเขาถึงเริ่มโดยสารสิ่งนี้ออกจากทะเลหรือไม่ก็รับผู้คน…’


‘รับคน? พวกเขารับคนจากบนบกไปเป็นแขกหรือ?’


‘ชาวเงือกทำการค้ากับมนุษย์บนบก มิเช่นนั้นบนบกจะเอาใยไหมชาวเงือกพวกนั้นจากไหนมาขายเล่า? เพียงแต่มนุษย์ที่สามารถไปมาหาสู่ทำการค้ากับพวกเขาได้ล้วนต้องผ่านการตรวจสอบจากพวกเขาหลายชั้น ทั้งโลกนี้มีอยู่ไม่ถึงสิบแปดคน’


‘ท่านคือหนึ่งในนั้นหรือ?’


‘ไม่ ข้าเป็นแขกผู้ทรงเกียรติที่สุดของพวกเขา ข้าเป็นสหายกับประมุขเงือกของที่นี่’


กู้ซีจิ่งฉงน ‘ไม่น่าเชื่อว่าท่านจะมีสหายด้วย’ เธอรู้สึกประหลาดใจมาก ถึงแม้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้จะอาศัยฐานะของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายท่องไปทั่วหล้าอยู่บ่อยครั้ง เป็นหัวหน้าของสานุศิษย์สวรรค์ทั้งห้า แต่เขากับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายคนอื่นก็ไม่นับว่าสนิทสนมกัน สี่คนนั้นถ้าจะบอกว่าเป็นสหายไม่สู้กล่าวว่าเป็นลูกน้องดีกว่า ยากนักที่จะได้เห็นคำว่า ‘สหาย’ ออกมาจากปากเขา


ตี้ฝูอีเอนหัวซบไหล่เธอ ‘วาจานี้เจ็บแสบอยู่บ้าง เหมือนที่เจ้าบอกไว้ไง ฉินฮุ่ยยังมีสหายตั้งสามคน นับประสาอะไรกับข้าเล่า?’


ลมหายใจของเขาเป่ารดริมหูเธอ ทำให้ใบหน้าซีกหนึ่งของเธอร้อนผ่าวคันยุบยิบ เธอผลักหน้าเขาออกไปด้านข้าง ‘ที่แท้วันนี้ท่านก็หลอกข้ามาเจอสหายของท่าน’


ตี้ฝูอียิ้มแล้ว คล้องเอวของเธอไว้แน่น ‘ลูกสะใภ้จะช้าจะเร็วก็ต้องพบพ่อแม่สามี เจ้าจะกลายเป็นศรีภรรยาของข้าแล้ว ไม่มีพ่อแม่สามี พาเจ้ามาพบสหายของข้าก็เหมาะแล้วมิใช่หรือ?’


กู้ซีจิ่วหน้าร้อนวาบ ‘ใครจะเป็นศรีภรรยาของท่านกัน? ข้ายังไม่ได้รับปากว่าจะแต่งให้ท่านเลย!’ ปากเอ่ยเช่นนี้ ทว่าในใจกลับหวานล้ำ


ในใจเธอยังคงสนใจใคร่รู้ในตัวประมุขเงือกผู้นี้ยิ่งนัก เงือกสาวสองนางมารับคนยังเพริศพริ้งถึงเพียงนี้ เช่นนั้นประมุขเงือกก็ต้องเป็นโฉมงามล่มบ้านล่มเมืองได้เป็นแน่ เนื่องจากตลอดทางเงือกสาวสองนางนั้นพูดคุยกันเรื่องงานชมบุปผาอะไรสักอย่าง ซ้ำยังบอกว่าด้วยรูปโฉมอันงดงามรวมถึงการร้องรำของประมุขเงือกของพวกนาง จะต้องโดดเด่นเลิศล้ำเป็นแน่


‘ประมุขเงือกงามมากหรือ?’ กู้ซีจิ่วส่งกระแสเสียงถามอีกครั้ง


‘อืม งามมาก!’ ตี้ฝูอีไม่ตระหนี่คำชมเชย


‘ร้องรำเลิศล้ำทั้งสองแขนงหรือ?’


‘มิผิด ร้องรำไม่ด้อยไปกว่าเจ้าเลย ถึงขั้นที่ยอดเยี่ยมกว่า เมื่อประมุขเงือกร่ายรำ สามารถถล่มโลกาได้ เรื่องนี้ได้รับการยอมจากคนทั้งแผ่นดิน ไม่มีผู้ใดเห็นต่าง ข้าคิดว่าบางทีเจ้าอาจมีคุณสมบัติพอประชันกับประมุขเงือกได้นะ’ ตี้ฝูอียิ้มละไม สุ้มเสียงแฝงความชื่นชมต่อประมุขเงือกผู้นั้นด้วยใจจริง


ดวงตากู้ซีจิ่วเปล่งประกาย ‘เช่นนั้นจะต้องเปิดหูเปิดตาเสียแล้ว!’


ดูเหมือนตี้ฝูอีจะคาดไม่ถึงว่าเธอจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้ ‘เด็กน้อย เจ้าไม่หึงหวงหรือ?’


กู้ซีจิ่วเลิกคิ้ว ‘มีอะไรให้หึงกัน?’


————————————————————————————-


บทที่ 1220 ว่าที่ภรรยาของข้า


‘ข้าบอกว่า ประมุขเงือกเป็นสหายที่ดีที่สุดของข้า ซ้ำยังงดงามไม่เป็นสองรองใครร้องรำล้ำเลิศสยบใต้หล้า…’


‘อือ แล้วอย่างไรเล่า? ข้าก็ใกล้จะได้ยลแล้วพอดี! สามารถทำให้ท่านชื่นชมได้ถึงเพียงนี้จะต้องมากความสามารถแน่นอน’


ตี้ฝูอีพูดไม่ออกแล้ว จู่ๆ เขาก็สังหรณ์ถึงอันตรายขึ้นมา!


ความจริงได้พิสูจน์แล้ว ลางสังหรณ์ของเขาเป็นเรื่องจริง


เมื่อกู้ซีจิ่วมองเห็นประมุขเงือกสายตาก็หันเหไปที่ร่างของผู้อื่นเสมอ เหลือบมองแล้วเหลือบมองอีก ลืมเลือนเขาไปจนสิ้นแล้ว!


….


ประมุขเงือกงดงามจริงๆ ซ้ำยังเป็นความงามแบบไม่แบ่งแยกเพศสภาพด้วย


สวมเสื้อคลุมตัวยาวสีวารีที่ลากยาวไปหลายเมตร เรือนผมยาวสีครามสมุทรประหนึ่งผ้าคลุมที่พลิ้วไหวอยู่ด้านหลัง ขนงดุจจันทร์เสี้ยว นัยน์เนตรดั่งดาวฤกษ์ ริมฝีปากสีชมพูละมุนปานหยาดน้ำค้าง ตรงหว่างคิ้วยังมีไฝรูปทรงหยดน้ำอยู่ด้วย


ยามที่กู้ซีจิ่วได้เห็นเขาเขากำลังนั่งอยู่บนราชรถเล็กๆ คันหนึ่ง สั่งการให้ชาวเงือกที่อยู่ตรงนั้นตกแต่งประดับประดาตำหนักงดงาม ในมือยังโบกพัดขนนกด้ามหนึ่งเสมือนจูเก๋อเลี่ยงก็มิปาน เมื่อเห็นพวกตี้ฝูอีทั้งสองเข้ามา ดวงตาเขาพลันส่องประกาย ลุกขึ้นยืนบนราชรถที่องครักษ์กำลังเข็นอยู่ เข้ามาต้อนรับอย่างเพริศพริ้งสง่างาม “ลมอะไรหอบท่านมาได้เล่า?” น้ำเสียงทุ้มต่ำดึงดูด รื่นหูดั่งเสียงเชลโล่ และดูเหมือนจะเจือเสียงแหลมสูงเอาไว้ด้วย…


กู้ซีจิ่วทึ่มทื่อไปแล้ว!


ประมุขเงือกผู้งดงามสะโอดสะองเป็นบุรุษคนหนึ่ง!


อันที่จริงกู้ซีจิ่วเคยพบเห็นบุรุษที่งดงามปานสตรีมากไม่น้อยเลย แต่ยังไม่เคยเห็นแบบประมุขเงือกที่อยู่เบื้องหน้ามาก่อนเลย รูปโฉมดูอ่อนหวานปานเด็กสาวจริงๆ ชดช้อยสะโอดสะอง เป็นประเภทที่ยิ้มคราแรกล่มเมือง ยิ้มคราที่สองล่มชาติ กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าต่อให้ตนมีรูปโฉมเด่นล้ำท่ามกลางเหล่าสตรี แต่พอเทียบกับประมุขเงือกผู้นี้แล้ว เธอรู้สึกว่าสู้ไม่ได้อยู่บ้าง


ยิ่งไปกว่านั้นคือ ประมุขเงือกผู้นี้ยามไม่เอื้อนเอ่ยกลิ่นอ่ยทั่วร่างเสมือนเสี่ยวหลงหนี่ว์ฉบับหลิวอี้เฟย พอเอ่ยประโยคนี้ออกมาถึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นชายทั้งแท่ง


ที่นี่คือวังเงือก เป็นแบบเดียวกันกับตำหนักแก้วผลึกหลังนั้นของตี้ฝูอี ไม่มีน้ำทะเลอยู่เลย น้ำทะเลกระเพื่อมไหวอยู่เหนือศีรษะ


บางทีอาจเกี่ยวข้องกับการที่ไม่มีน้ำ ชาวเงือกจึงไม่มีหางปลาอย่างที่วาดไว้ในภาพวาด และแบ่งออกเป็นสองขาเช่นกัน เพียงแต่ขาของพวกเขาอ่อนนิ่มกว่าคนปกติ ยามที่เดินเหินจึงส่ายไปส่ายมาเหมือนงู ไม่ว่าชายหรือหญิงล้วนดูยักย้ายส่ายสะโพกกันทุกคน มีเสน่ห์เฉพาะตัว


ถึงแม้ประมุขเงือกจะดูทรงเสน่ห์อย่างยิ่ง ทว่าเป็นคนมีวัฒนธรรมคนหนึ่ง ทักทายตี้ฝูอีเล็กน้อย เมื่อดวงตาฉ่ำวาวคู่นั้นร่อนลงบนร่างกู้ซีจิ่ว ก็เริ่มเจรจาพาที “แม่หญิงท่านนี้ยิ่งกว่านางสวรรค์ ติดตามพี่หวงมา ไม่ทราบว่ามีฐานะอย่างไร?”


“ว่าที่ภรรยาของข้า” ตี้ฝูอีตี้ฝูอีเอ่ยออกมาเพียงหกคำ


ริมฝีปากจิ้มลิ้มของประมุขเงือกอ้าออกเล็กน้อย สีหน้าปานถูกฟ้าผ่าใส่ “ว่าที่ภรรยา?! ท่านมีคู่หมั้นแล้วหรือ?!” น้ำเสียงเหมือนภรรยาที่จับชู้ได้คาเตียง


หากกู้ซีจิ่วไม่รู้มาก่อนว่าตี้ฝูอีไม่ได้ชอบเพศเดียวกัน คงเกือบนึกว่าประมุขเงือกเป็นเคะน้อยของเขาแล้ว


ตี้ฝูอีเหลือบมองประมุขเงือกอย่างเยียบเย็นแวบหนึ่ง “ประหลาดใจมากหรือ?”


“สวรรค์” ประมุขเงือกไม่เจรจาพาทีแล้ว เริ่มพูดภาษามนุษย์แล้ว “โอ้สวรรค์! ไม่น่าเชื่อว่าปรงคู่พันปีจะผลิดอกแล้ว[1] ตาเฒ่าที่โสดมาพันปีอย่างท่านในที่สุดก็มีว่าที่ภรรยาแล้ว!”


สายตาเขาวนเวียนรอบตัวกู้ซีจิ่วสามรอบเต็มๆ “แม่นาง ท่านชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไร? เหตุใดมาคว้าเขาได้? บอกเราได้หรือไม่?”


กู้ซีจิ่วเงียบงัน…


ตี้ฝูอีลากกู้ซีจิ่วมามาอยู่ข้างกายตน โบกแขนเสื้อให้เขาถอยหลังไปไม่กี่ก้าว “หลานเหยากวง เปิ่นจุนพานางมาให้เจ้าแสดงท่าทีเช่นนี้ใส่งั้นหรือ? เมื่อก่อนตอนเจ้ารับสนมตั้งเจ็ดแปดนาง แต่ก็ยังไปพึ่งใบบุญเปิ่นจุนไม่น้อยเลย…”


————————————————————————————-


[1] ปรงคู่พันปีผลิดอก อุปมาถึง ปาฏิหาริย์ที่ไม่คาดคิด


บทที่ 1221 เจ้าก่อเรื่องอะไรมาอีก?


ประมุขเผ่าเงือกถอนหายใจ “เราตกใจเหลือเกิน! ยากนักกว่าพี่หวงจะมีคู่หมั้น ผู้น้องย่อมต้องแสดงท่าทีออกมาบ้าง เอาแบบนี้แล้วกัน วันนี้เป็นวันจัดงานชุมนุมบุปผาพอดี สามอย่างแรกที่ท่านซื้อในงานชุมนุมบุปผาให้ลงบัญชีเราไว้…”


ตี้ฝูอีเลิกคิ้ว “เมื่อก่อนข้าเคยส่งของขวัญให้เจ้าถึงเจ็ดแปดชิ้น เจ้าซื้อให้ข้าแค่สามอย่างเท่านั้นหรือ?”


ประมุขเงือกหัวโตแล้ว ทว่ายังกล่าวหยอกล้ออย่างไม่มีเหตุผลอยู่ “ข้ารับสนมหนึ่งนางท่านก็ให้เพียงหนึ่งชิ้นนี่นา ถ้ามีฝีมือท่านก็แต่งหลายๆ คนสิ…”


ตี้ฝูอีมองเขาด้วยท่าทียิ้มมิเชิงยิ้ม “ถ้ามีฝีมือเจ้าก็ลองพูดอีกรอบสิ!”


ประมุขเงือกหนาวสะท้าน กล่าวด้วยสีหน้าปวดใจ “ก็ได้ๆ ยากนักกว่าท่านจะแต่งภรรยา เราก็จะไม่ขัดเรื่องมงคลของท่าน ของห้าอย่างแรกที่ท่านซื้อในงานชุมนุมบุปผาให้ลงบัญชีเราไว้หมดเลย”


ตี้ฝูอียิ้มแล้ว “รอประโยคนี้จากเจ้าอยู่เลย!” พลันดึงแขนเสื้อกู้ซีจิ่ว “ไปเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปจับจ่าย”


ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็เข้าใจแล้ว ที่แท้ตี้ฝูอีพาเธอมาทวงซองมงคลนี่เอง


ประมุขเงือกผู้นี้ถึงแม้จะเป็นบุรุษที่งดงามปานสตรี แต่กลับมิใช่พวกตัดแขนเสื้อ ซ้ำยังแต่งสนมอีกเจ็ดแปดนางด้วย และทุกครั้งที่แต่งหนึ่งคนก็จะโผล่หน้าไปหาตี้ฝูอี ถือโอกาสขอซองมงคล ถลุงตี้ฝูอีไปไม่น้อยเลย


ยามนี้ในที่สุดตี้ฝูอีก็มีคู่หมั้นแล้ว ย่อมต้องพามาคิดบัญชี


นึกไม่ถึงว่าตี้ฝูอีก็มีสหายเสเพลเช่นนี้ด้วย และเห็นได้ชัดว่าหลานเหยากวงผู้นี้ทราบนามที่แท้จริงของตี้ฝูอี เห็นทีว่าจะรู้จักกันมาเนิ่นนานแล้ว


“พี่หวง ยากนักกว่าท่านจะมา ผู้น้องมีเรื่องอยากหารือกับท่านสักเรื่อง” เรือนกายหลานเหยากวงไหววูบ ขวางทางทั้งสองคนที่กำลังจะจากไปไว้


กู้ซีจิ่วใจเต้นแวบหนึ่ง วรยุทธ์ของหลานเหยากวงผู้นี้เก่งกาจนัก!


เธอสายตาดีถึงเพียงนี้ ยังเห็นไม่ชัดเลยว่าหลานเหยากวงเคลื่อนย้ายมาได้อย่างไร!


ตี้ฝูอีเลิกคิ้ว “เจ้าก่อเรื่องอะไรมาอีก?”


หลานเหยากวงหน้าเจื่อน “ที่ไหนกันๆ ผู้น้องไม่ได้ก่อเรื่องมาหลายร้อยปีแล้ว คร้งนี้ผู้น้องบังเอิญพบความยุ่งยากเล็กน้อยเข้าจริงๆ ขอเชิญพี่หวงไปนั่งที่ห้องหนังสือของผู้น้องเถิด ให้ผู้น้องได้บอกกล่าแก่ท่านอย่างละเอียด”


สุ้มเสียงเขาเคร่งขรึมจริงจังยิ่งนัก ดูเหมือนจะมีเรื่องขึ้นจริงๆ และเชื้อเชิญตี้ฝูอีไปเพียงผู้เดียวด้วย…


โชคดีที่ประมุขเผ่าเงือกผู้นี้กระทำการมีระเบียบยิ่งนัก เขาสั่งให้สนมที่ตนโปรดปรานเอ็นดูที่สุดนางหนึ่งไปเที่ยวเล่นที่สวนขวัญด้านหลังวังเงือกเป็นเพื่อนกู้ซีจิ่ว


ตี้ฝูอีใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบตกลง กำชับกู้ซีจิ่วสองสามประโยค แล้วไปกับหลานเหยากวง


….


สวนขวัญหลังวังเงือกแตกต่างกับสวนของแดนมนุษย์


ปะการังเป็นพฤกษา กระดองเต่ากระเป็นแท่น


พลิ้วไหวอยู่บนพื้นดั่งแพรยาว มีพืชพรรณแมกไม้ที่กู้ซีจิ่วไม่เคยมาก่อนกระจายอยู่รอบข้าง


รสนิยมความชอบของชาวเงือกนั่นซับซ้อน ไม่ว่าสิ่งใดล้วนสร้างขึ้นอย่างประณีตบรรจงเป็นพิเศษ พืชพรรณแต่ละชนิดล้วนถูกตัดแต่งออกมาอย่างน่าสนใจ กู้ซีจิ่วก็ชมอย่างสนอกสนใจยิ่ง


สนมคนนี้ของหลานเหยากวงย่อมเป็นสาวงามเช่นกัน อยู่ข้างกายกู้ซีจิ่วปฏิบัติตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดียิ่งนัก อธิบายทุกอย่างในสวนให้เธอฟังเป็นครั้งคราว บางครั้งก็คิดจะหลอกถามที่มาที่ไปของกู้ซีจิ่ว ล้วนถูกกู้ซีจิ่วยิ้มให้แวบหนึ่ง ไม่ตอบอะไร


จากถ้อยคำของสนมนางนี้ กู้ซีจิ่วจึงทราบว่าตี้ฝูอีกับหลานเหยากวงรู้จักกันมาอย่างน้อยหกพันปีแล้ว!


หลานเหยากวงผู้นี้เจ้าสำราญนัก ทำตัวเหมือนเจียเป่าอวี้อยู่เสมอ พูดจาทำนองว่าเลือดเนื้อของสตรีสร้างขึ้นจากน้ำ ต้องปฏิบัติด้วยเป็นอย่างดีถึงจะถูก


วิธีที่เขาปฏิบัติด้วยเป็นอย่างดีก็คือเมื่อพบคนที่ต้องตาต้องใจเข้าจริงๆ ก็จะรับเป็นสนม จากนั้นก็รักถนอมประคองไว้กลางฝ่ามือเสมือนสมบัติล้ำค่า ขอดาวย่อมมิให้เดือน รักใคร่เอ็นดูสตรีข้างกายอย่างยิ่ง แต่เขาก็ไม่ได้รักมั่นยืนยาวนัก ไม่ว่าจะเป็นหญิงสาวที่เขาชมชอบมากเพียงใดเมื่อแต่งให้ถึงมือแล้ว…


————————————————————————————-


บทที่ 1222 ใครเล่าจะรู้ได้ว่าคนผู้หนึ่งจะรักได้เนิ่นนานเพียงใด?


ปกติแล้วรั้งอยู่ได้ไม่ถึงพันปี ความรู้สึกสดใหม่ของเขาก็จะหมดไป แล้วออกตามล่าเป้าใหม่อีกครั้ง…


แน่นอน เขาเจ้าสำราญมากรัก ต่อให้เป็นสนมที่เขาไม่โปรดปรานอีกแล้วก็ยังเลี้ยงดูอุ้มชูไว้ในวังปฏิบัติด้วยเป็นอย่างดี แต่จะไม่มอบวาสนาให้พวกนางอีกเลย ความโปรดปรานเชิดชูมีให้เพียงนางสนมใสซื่อที่เพิ่งแต่งให้ในปัจจุบัน…


หลานเหยากวงผู้นี้มักอ้างตัวอยู่เสมอว่าเป็นนักรักอันดับหนึ่ง ไม่รู้สึกว่าตนเจ้าชู้เสเพลเลย


เขาเคยกล่าวไว้ว่า บุรุษในแดนมนุษย์มีสามภรรยาสี่อนุอยู่ทั่วไป ต่อให้บางครั้งมีบุรุษที่แต่งภรรยาเพียงคนเดียว ก็ครองคู่กันเพียงหนึ่งชาติไม่กี่สิบปีเท่านั้น


เขากลับรักใคร่เอ็นดูสนมทุกนางเกือบหนึ่งพันปี นับว่ารักมั่นอย่างยิ่งแล้ว


สนมที่อยู่เป็นเพื่อนข้างกายกู้ซีจิ่วในยามนี้เป็นสนมคนใหม่ที่เพิ่งแต่งให้เขา แต่ก็เป็นระยะเวลาสองร้อยปีแล้วเช่นกัน


ถึงอย่างไรกู้ซีจิ่วก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ปกติแล้วยามที่คิดเรื่องใดก็จะใช้วิสัยของมนุษย์ขบคิด ในความคิดของเธอรักมั่นกันไปชั่วชีวิต นับเป็นความรักที่เพียงพอจะทำให้ผู้คนริษยาตาร้อนยิ่งนักได้แล้ว


แต่สำหรับเทพเซียนที่เป็นอมตะเช่นนี้ ความรักของพวกเขาจะเป็นยังไง?


แดนมนุษย์ยังมีอาถรรพ์รักเจ็ดปีเลย บอกว่าคนที่รักกันอย่างฟ้าสิ้นดินสลายเมื่อกลายเป็นสามีภรรยากันแล้ว เนื่องจากอยู่กับคนๆ หนึ่งหลายปีเข้า ความหวือหวาเร่าร้อนทั้งหมดจะค่อยๆ หายไป ส่วนใหญ่แล้วความรักจะแปรเปลี่ยนเป็นความผูกพัน แต่ผู้ชายชอบคนหรือสิ่งที่กระตุ้นสัญชาตญาณการต่อสู้ได้ ดังนั้นในช่วงเจ็ดปีของการแต่งงาน ฝ่ายชายจะปันใจไปชอบคนอื่นได้ง่ายมาก…


ส่วนเทพเซียนที่ไม่แก่ไม่ตายเช่นนี้ ให้พวกเขาพบใบหน้าเดิมๆ พันปีหมื่นปี ย่อมไม่มีความคึกคักเร่าร้อนแล้ว


สนมนางนี้แสดงให้กู้ซีจิ่วเห็นความอนิจจังของกาลเวลาที่ไร้ซึ่งความปราณี


ตามที่นางบอกมา อายุขัยของชาวเงือกมีประมาณหนึ่งหมื่นปี และตอนนี้นางก็เพิ่งอายุหนึ่งพันสามร้อยปีเท่านั้น ยังอยู่ในช่วงสาวสะพรั่งพอดี แต่หลังจากอยู่กับหลานเหยากวงมาแล้วสองร้อยปี หลานเหยากวงก็ไม่ได้รักใคร่ทะนุถนอมนางเฉกเช่นสมบัติล้ำค่าเหมือนในอดีตแล้ว และไม่ได้ตอบสนองต่อความต้องการของนางเหมือนเมื่อก่อน…


สนมนางนี้บอกเล่าลูกเล่นทั้งหมดที่หลานเหยากวงใช้เกี้ยวพานางเมื่อปีนั้นให้กู้ซีจิ่วฟัง ลูกเล่นมากมายที่ไม่ว่าหญิงสาวคนไหนก็ต้องใจเต้นรัว ทุกวันจะไปร้องเพลงหน้าเรือนเปลือกหอยที่นางพำนักอยู่ ร่ายรำเพื่อนางต่อหน้าสาธารณชน ส่งของขวัญสารพัดให้นาง เมื่อนางตกอยู่ในอันตรายก็สู้สุดชีวิตเพื่อช่วยเหลือนาง จบเกือบทำลายรูปโฉมอันงดงามที่เขาหวงแหนเสมอมาแล้ว…


ภายใต้การรุกคืบที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ สนมนางนี้ย่อมถูกยึดครองเป็นธรรมดา เดิมทีนางเป็นธิดาของอัครเสนาบดีแห่งอาณาจักรเงือก เต็มใจที่จะเป็นสนมลำดับที่แปดของเขา


กู้ซีจิ่วไม่นึกเลยว่าการไปชมสวนก็ถูกสาดน้ำแกงไก่พิษ[1] ชามหนึ่งใส่ได้ด้วย เนื่องจากพอสนมนางนี้รำพึงรำพันจบ ก็กล่าวกับกู้ซีจิ่วว่า “แม่นางกู้ อันที่จริงข้าอิจฉาเจ้ามาก”


กู้ซีจิ่วถามออกไปประโยคหนึ่ง “อิจฉาอะไรข้า?”


สนมนางนี้ถอนหายใจพลางเอ่ย “อายุขัยของมนุษย์อย่างพวกเจ้าแสนสั้น ดูจากพลังวิญญาณของเจ้าน่าจะประมาณขั้นหกตอนกลางแล้วกระมัง? ต่อเจ้าฝึกฝนจนบรรลุขั้นเก้าได้ อายุขัยก็ประมาณพันปีเท่าน้น เมื่อเป็นเช่นนี้ มากสุดเจ้าก็อยุ่ข้างกายคุณชายหวงได้ไม่กี่ร้อยปี เขาสามารถรักเจ้าไปชั่วชีวิตได้อย่างแท้จริง ทำให้เจ้าไม่ต้องลิ้มรสความรักที่ร่วงโรยไปตามกาลเวลา”


กู้ซีจิ่วเงียบงัน


ถูกสาดน้ำแกงไก่พิษใส่เช่นนี้ ทำให้เธอนึกถ้อยคำอะไรมาตอบกลับไม่ออกไปชั่วขณะ


ความจริงแล้วเธอไม่ได้คิดมากถึงเพียงนั้นจริงๆ เมื่อได้รักก็จะรักให้ล้ำลึก หากว่าไม่รักแล้วก็เลิกราเสีย ใครเล่าจะรู้ได้ว่าคนผู้หนึ่งจะรักได้เนิ่นนานเพียงใด?


แม้แต่ตัวเธอเองก็รับประกันไม่ได้ว่าจะรักได้เนิ่นนาน และเธอก็ดูไม่เหมือนคนที่รักมั่นยืนยาวนัก ไม่แน่เธออาจจะเป็นฝ่ายที่เปลี่ยนใจก่อนก็ได้…


เธอใส่ใจแค่ว่าเคยได้ครอบครอง ไม่ใส่ใจว่าจะยืนยาวชั่วนิรันดร์หรือไม่ ถึงแม้ตอนนี้เธอจะอยากอยู่กับตี้ฝูอีไปชั่วนิรันดร์ยิ่งนัก แต่เรื่องราวในอนาคตผู้ใดเล่าจะทราบได้?


เธอรู้แค่ว่าตอนนี้เธอรักเขา และเขาก็รักเธอเท่านี้ก็พอแล้ว


————————————————————————————-


[1]  น้ำแกงไก่พิษ เป็นศัพท์แสลงของชาวจีน หมายถึง พลังหรือความคิดเห็นที่เป็นไปในทางลบ ทำให้รู้สึกย่ำแย่


บทที่ 1223 เจ้าเก็บใจเอาไว้เถิด


ดังนั้นเธอยิ้มจึงออกมา “มนุษย์มีเรื่องที่ต้องทำมากมายในชีวิต ต่อให้เป็นหญิงก็เหมือนกัน ผู้หญิงเราไม่อาจมีชีวิตอยู่เพื่อความรักเท่านั้น โดยเฉพาะ ต้องไม่นำทุกสิ่งทุกอย่างของตัวเองยึดติดไว้กับความรัก แบบนั้นเหี่ยวแห้งเกินไป เจ้าว่าใช่หรือไม่? โลกนี้แสนกว้างใหญ่ เจ้าควรจะออกไปเปิดหูเปิดตาบ้าง”


สนมนางนั้นเกือบคิดไม่ถึงว่ากู้ซีจิ่วจะใจกว้างได้ขนาดนี้ ตะลึงงันไปครู่หนึ่ง ทอดถอนใจพลางเอ่ย “ดูเหมือนแม่นางยังไม่ได้รักคุณชายหวงอย่างจริงจัง หากเจ้ารักเขาจริงจะต้องเดือดเนื้อร้อนใจเป็นพิเศษ เจ้ารอดูเจ้าอีกหนึ่งร้อยปีข้างหน้า และเขายังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เขาอาจจะพบเจอหญิงสาวคนอื่นอีก อาจจะรักหญิงสาวคนอื่นอีก ไม่แน่อาจจะแต่งงานกับหญิงสาวคนอื่นอีกก็เป็นได้ เมื่อคิดถึงสิ่งเหล่านี้ ในใจของเจ้าจะไม่สมดุลยิ่งนัก…”


กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าสนมนางนี้มีความคิดเช่นดอกฝอยทอง[1] และกังวลเรื่องไม่เป็นเรื่องมากเกินไปแล้ว!


เธอในอีกหนึ่งร้อยปีข้างหน้า…


เธอในอีกหนึ่งร้อยปีข้างหน้าตายไปก็เพียงแค่สังขารนี้เท่านั้น กายจิตของเธอไม่ควรแตกดับ


บางทีตี้ฝูอีอาจสร้างร่างออกมาให้เธออีกครั้ง ยังคงสวยปังเป็นเงาตามตัวเขา เป็นคู่รักสามีภรรยาคู่หนึ่ง


หากมีข้อผิดพลาดประการใดทำให้กายจิตเธอต้องแตกดับ เช่นนั้น เธอก็ไม่รู้ไม่เห็นอันใดแล้ว ถึงตอนนั้นเขาจะรักใคร แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอด้วยเล่า? เธอยังไม่รู้ถึงความเสียใจด้วยซ้ำ?


กู้ซีจิ่วคิดว่าสนมนางนี้กังวลมากเกินไปจนกลายเป็นคนโง่งม ประหนึ่งเศรษฐีเพิ่งหาเงินก้อนโตมาได้ แต่กลับไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข มัวแต่เป็นกังวลว่าเงินก้อนโตนี้ต่อไปใครจะเป็นผู้สืบทอด…


กู้ซีจิ่วกระแอมคราหนึ่ง จัดการลำคอให้เรียบร้อย สอนบทเรียนให้นางบทหนึ่ง พูดถึงทัศนคตินี้หนึ่งรอบอย่างมีเหตุมีผล


สนมนางนั้นฟังแล้วตกตะลึงอ้าปากค้าง นางมีนิสัยเหมือนดอกฝอยทอง ชอบฝากชีวิตไว้กับผู้ชายอันเป็นที่รัก ไม่ค่อยเข้าใจวิธีการคิดเช่นนี้ของกู้ซีจิ่ว แต่ก็หาคำพูดมาโต้เถียงนางไม่ได้ชั่วขณะ


ห่างไปไม่ไกลมีคนหัวเราะ ‘คิกคัก’ “ความคิดนี้ของแม่นางกู้ช่างสดใหม่และผิดแผก ข้าเพิ่งเคยได้ยินครั้งแรก”


กู้ซีจิ่วเงยหน้า มองเห็นแม่นางเขียวขจีท่านหนึ่งเดินเยื้องย่างออกมาจากพุ่มไม้คล้ายกอสาหร่ายที่อยู่ห่างไปไม่ไกล


แม่นางท่านนี้ย่อมเป็นชาวเงือก รูปลักษณ์ค่อนข้างคล้ายคลึงหลานเหยากวง


แต่ที่น่าผิดหวังคือ รูปลักษณ์ของนางไม่ได้มีเสน่ห์เท่าหลานเหยากวง ขนคิ้วและริมฝีปากค่อนข้างหนา ดวงตากลมโตคู่หนึ่ง หากไม่เปรียบเทียบกับหลานเหยากวง นางก็คือหญิงงามผู้หนึ่งจริงๆ


ทว่ากู้ซีจิ่วเพิ่งได้เห็นความงามพราวเสน่ห์ของหลานเหยากวงมาก่อน จึงค่อยมาเห็นหญิงสาวผู้นี้ราวกับได้เห็นฉบับปลอมแปลง ย่อมไม่มีเสน่ห์น่าดึงดูด


หญิงสาวผู้นี้สวมเสื้อคลุมสีเขียวพลิ้วไหว ยามเยื้องย่างมาดังหัวผักกาดเบ่งบานในลมวสันต์


องค์หญิงท่านนี้ต้องเกี่ยวข้องกับหลานเหยากวง แต่ไม่รู้ว่าเป็นน้องสาวหรือว่าลูกสาวของเขา ดังนั้น กู้ซีจิ่วจึงไม่เอื้อนเอ่ยอันใด


“จิ้งอี๋ เจ้ากลับมาแล้ว พี่ชายเจ้าช่วงนี้เอาแต่พูดถึงเจ้า” สนมนางนั้นเอ่ยปาก


“เอาแต่พูดถึงข้าเรื่องอันใด? ต้องการหาสามีให้ข้าใช่หรือไม่? ข้าไม่ต้องการนี่! นอกจากจะเป็นคนแบบพี่เขยแล้ว ไม่เช่นนั้นแล้ว ผู้อื่นก็อย่าได้คิด!” หลานจิ้งอี๋เบ้ปาก ไม่สนใจไยดี


ชอบพี่เขย?


กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าเรื่องซุบซิบนินทานี้ไม่เล็ก


สนมนางนั้นทอดถอนใจเบาๆ “จิ้งอี๋ คุณชายหวงมีแม่นางกู้อยู่แล้วทั้งคน ไม่ช้าก็จะออกเรือน เจ้าเก็บใจเอาไว้เถิด”


กู้ซีจิ่วนิ่งอึ้ง


ช้าก่อน พี่เขยที่พวกนางพูดถึงก็คือ…


“อาซ้อ ข้ารู้ว่าข้าไม่มีบุญวาสนาต่อพี่เขย แต่ข้าชอบพี่เขยที่เป็นแบบนั้น…”


————————————————————————–


บทที่ 1224 อีกฝ่ายยอมตายเพื่อเขา?


“อาซ้อ ข้ารู้ว่าข้าไม่มีบุญวาสนาต่อพี่เขย แต่ข้าชอบพี่เขยที่เป็นแบบนั้น…” สายตาของหลานจิ้งอี๋ร่อนลงบนร่างกู้ซีจิ่ว จ้องมองดูเธอหัวจรดเท้า นัยน์ตาฉายแววไม่พอใจ “ข้ายังดูไม่ออกจริงๆ ว่าแม่นางกู้ท่านนี้มีอะไรดี ไม่คู่ควรกับพี่เขยเลยสักนิด!”


แม่นางผู้นี้พูดจาขวานผ่าซาก ช่างทำร้ายจิตใจคน แต่กู้ซีจิ่วจับใจความสำคัญได้จากคำพูดที่นางใช้จู่โจมนั้น “พี่สาวของเจ้าคือ?”


หลานจิ้งอี๋พูดอย่างภาคภูมิใจ “พี่สาวของข้าคืออดีตประมุขเงือก นางกับพี่เขยเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก โตมาด้วยกัน หากไม่ใช่นางเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยพี่เขย ฉไนเลยจะมีเจ้า?”


คำพูดนี้ของนางมีข้อมูลค่อนข้างมาก กู้ซีจิ่วขมวดคิ้วเล็กน้อย


ตี้ฝูอีมีชีวิตอยู่มานานมากแล้ว เขารู้จักและเป็นเพื่อนสนิทของหลานเหยากวงมาหกพันปี นั่นทำให้รู้ว่าเขามีชีวิตมาแล้วอย่างน้อยหกพันปี เขาไม่เคยเล่าเรื่องราวที่ผ่านมาให้เธอฟัง และเธอเองก็ไม่เคยเอ่ยถาม


หรือว่าตี้ฝูอีเคยมีความรักในวัยเยาว์? และยังเป็นถึงประมุขเงือก อีกฝ่ายยอมตายเพื่อเขา?


ฟังดูแล้วเรื่องนี้ต้องมีกลิ่นคาวโลหิตอันคละคลุ้งเป็นอย่างมาก


หลานจิ้งอี๋มองดูนางหัวจรดเท้าอีกหลายครั้ง “เป็นหญิงงามก็จริง ทว่าแค่มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นคนธรรมดานี่ คงมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน หรือว่าพี่เขยอ้างว้างมาเนิ่นนาน รอคอยพี่สาวข้าที่ยังมิอาจหวนคืน ดังนั้น จึงหามนุษย์ต่ำต้อยผู้หนึ่งมารักกันเพื่อตอบโต้พี่สาวข้า?”


นางเดินวนรอบตัวกู้ซีจิ่วอีกครั้ง เหมือนเจออะไรใหม่แล้ว “เอ๊ะ ด้านหลังของเจ้าเหมือนพี่สาวข้าเลยนี่! หรือว่าเพราะแบบนี้พี่เขยถึงได้ชอบเจ้า?”


กู้ซีจิ่วนิ่งอึ้ง


ถึงแม้ในใจจะเกิดข้อสงสัยมากมาย แต่เธอไม่อยากให้หญิงสาวที่เหมือนหัวผักกาดเขียวผู้นี้เดินวนรอบตัวเธอ วิพากษ์วิจารณ์ไปเรื่อยอีก โดยเฉพาะคำพูดที่มีลักษณะจู่โจมเช่นนี้ “แผ่นหลังของหญิงงามใต้หล้านี้ ความจริงแล้วละม้ายคล้ายกันมาก ไม่เพียงแต่แผ่นหลังที่คล้ายกัน ขนาดรูปลักษณ์ยังมีที่เหมือนกันตั้งมากมาย ดังนั้น แผ่นหลังของข้ากับพี่สาวเจ้าเหมือนกันก็มิแปลก แต่น่าจะเป็นองค์หญิงจิ้งอี๋ที่ไม่เหมือนกับพี่สาวท่านเลย แต่ก็ไม่ต้องกังวลว่าคนอื่นจะจำพวกเจ้าผิดไป…”


หลานจิ้งอี๋กล่าวอันใดไม่ออก


คำพูดนี้ของกู้ซีจิ่วบ่งบอกได้ชัดเจนว่าติรูปโฉมนางงดงามไม่พอ…


และนี่คือความเจ็บปวดที่ไม่อาจบรรยายได้มากที่สุดของหลานจิ้งอี๋!


นางเป็นน้องสาวของหลานเหยากวง ทั้งที่เป็นหนึ่งในสาวงาม แต่เมื่ออยู่ภายใต้ความโดนเด่นของพี่ชายและพี่สาว นางกลับกลายเป็นขี้เหร่…


ผู้คนล้วนถูกสะกดด้วยเสน่ห์ของพี่ชายและพี่สาวของนาง เมื่อใดมองมาที่นาง ราวกับมองเห็นฉบับปลอมแปลง ทำให้นางรู้สึกว่าตัวเองเป็นเป็ดขี้เหร่


และเห็นได้ชัดว่า คำพูดเหล่านี้ของกู้ซีจิ่วเหยียบไปโดนเท้าที่บาดเจ็บของนาง ใบหน้าอันงดงามพลันแปรเปลี่ยน “เจ้า…เจ้าพูดอะไร?”


กู้ซีจิ่วอมยิ้มมองนาง “ฟังไม่เข้าใจงั้นรึ? ต้องการให้ข้าพูดซ้ำอีกครั้งเพื่อเพิ่มความประทับใจงั้นรึ?”


หลานจิ้งอี๋นิ่งอึ้ง ในที่สุดนางก็รู้ว่าหญิงสาวผู้นี้ที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่เล่นๆ ความสามารถทำให้ผู้อื่นโกรธได้ไม่ด้อยไปกว่าผู้ใด


เมื่อสักครู่ที่ไม่ได้มีปากเสียงอันใดกลับมาตอนฟังนางพูดมากมายขนาดนั้น คงเป็นเพราะตกใจในบางเรื่องที่นางพูด ทำให้จิตใจล่องลอยไปครู่หนึ่ง


หลานจิ้งอี๋เป็นพวกดูแคลนมนุษย์ ในสายตานาง มนุษย์ก็เป็นเหมือนแพลงก์ตอนในน้ำ เกิดเช้าตายเย็น ไม่คู่ควรแก่การพูดถึง คาดไม่ถึงว่าวันนี้กลับถูกมนุษย์สาวตัวน้อยทำให้ตะลึงงัน อับอายขายหน้าอยู่ตรงนี้


สีหน้านางเดี๋ยวเขียวคล้ำเดี๋ยวซีดขาวอยู่ครู่หนึ่ง นิ้วมือกระชับแน่น เดินหน้าไปหนึ่งก้าว ราวกับจะลงมือสั่งสอนนาง เพียงแต่ถูกสนมนางนั้นหยุดยั้งไว้ “องค์หญิง ไม่โกรธเจ้าค่ะ ไม่โกรธ นางคือผู้ที่คุณชายหวงพามา เป็นแขกผู้มีเกียรติ เสียมารยาทไม่ได้นะเจ้าคะ”


————————————————————————


[1] ดอกฝอยทอง จัดเป็นพืชกาฝาก มักเจริญเติบโตโดยการพาดพันไปกับต้นไม้อื่นและดูดน้ำกินจากต้นไม้อื่น

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)