พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1213-1220
บทที่ 1213 หนิวโหย่วเต๋อกำลังไว้หน้าข้า
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อได้รู้ข่าวการทดสอบที่นรก ผู้บัญชาการทั้งสี่เขตเมืองก็เป็นฝ่ายติดต่อเหมียวอี้ก่อน มีเพียงมู่หรงซิงหัวที่ติดต่อเหมียวอี้ไม่ได้
มู่หรงซิงหัวไปหาฝูชิง อิงอู๋ตี๋และสวีถังหรานเพื่อถามสถานการณ์ แต่ทั้งสามต่างก็โกหก แต่ละคนบอกว่าติดต่อเหมียวอี้ไม่ได้เลย ที่จริงทั้งสามต่างก็ได้รับการเสนอแนะจากเหมียวอี้ ว่าให้มีท่าทีสงบเสงี่ยมกับสมาคมร้านค้าต่อไป สำหรับปัญหาทุกอย่าง รอให้เขากลับไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ประสบการณ์อันแสนสาหัสของมู่หรงซิงหัวได้ทำให้นางกลายเป็นผู้หญิงที่ไวต่อความรู้สึกแล้ว พอจะสังเกตอะไรบางอย่างได้จากท่าทีที่ไม่สะทกสะท้านของทั้งสามคน ในเมื่อทั้งสามไม่อยากพูด นางก็จะไม่ถามมากเช่นกัน สรุปก็คือถ้าเขตเมืองตะวันออก ตะวันตกและใต้ทำอะไร เขตเมืองเหนือของนางก็จะทำอย่างนั้นเหมือนกัน…
กลุ่มดาวเคราะห์สีฟ้าอยู่ตรงหน้าแล้ว มองจากไกลๆ ก็เห็นถึงความกว้างใหญ่ไพศาลของมันได้ ผลึกสีฟ้าสวยวิจิตรตระการตาระยิบระยับอยู่ในดาราจักร
ชื่อเสียงอันโด่งดังของนรกทำให้เหมียวอี้ต้องคอยระแวดระวังตลอดทาง ระหว่างทางไขว้เขวไปบ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้ แผนที่ใช้ไม่ได้ผลกับสถานที่บ้าๆ นี้ จึงใช้ระฆังดาราติดต่อกับพวกอวิ๋นอ้าวเทียนไว้ตลอด
พอเขาเข้าใกล้น่านฟ้าผืนนี้ ข้างหน้าก็มีคนห้าคนเหาะมาทันที ไม่ใช่ใครที่ไหน ห้าปราชญ์มาต้อนรับด้วยตัวเอง
เมื่อทั้งสองฝ่ายพบหน้ากัน ห้าปราชญ์ก็มองสำรวจเหมียวอี้ศีรษะจดเท้า เมื่อเห็นทั้งตัวเขาเต็มไปด้วยเลือดไม่เว้นแม้แต่สัตว์พาหนะ พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะสบตากันแวบหนึ่ง ทั้งห้าได้ข่าวมาจากบรรดาอนุภรรยาของเหมียวอี้แล้ว ว่าเหมียวอี้ฝ่าเข้าฝ่าออกสังหารอยู่ในทัพใหญ่หนึ่งล้าน พอเห็นสภาพของเหมียวอี้ในตอนนี้ ก็พบว่าเป็นอย่างที่คาดไว้
ถึงแม้ในใจจะรู้สึกตกตะลึง นึกไม่ถึงว่าวันนี้เหมียวอี้จะมีศักยภาพมากขนาดนี้ แต่ก็ไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
จีฮวนหัวเราะเสียงดังคนแรก แล้วกุมหมัดคารวะด้วยท่าทางอบอุ่นเป็นมิตรมาก “เหมียวอี้ พวกเราห้าคนรอคอยเจ้าด้วยความเคารพมานานแล้วนะ พอไม่เจอกันตรงทางเข้านรก ก็เลยตั้งใจมาต้อนรับด้วยกัน”
เหมียวอื้ที่อยู่บนตัวเฮยทั่นกลับรู้สึกแปลกใจนิดหน่อยที่ทั้งห้าโผล่หน้ามารับพร้อมกัน เป็นครั้งแรกที่พบว่าทั้งห้าไว้หน้าตนขนาดนี้ แต่ก็ไม่ได้คิดวนเวียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อ เขากวาดมองรอบวง สายตาก็ไปหยุดอยู่ที่ตัวมู่ฝานจวิน แล้วถ่ายทอดเสียงถามว่า “เย่เหยาไปไหนแล้ว?”
“เยว่เหยาไม่ได้เข้ามาในนรก นางไปซ่อนตัวอยู่ที่อื่นแล้ว” มู่ฝานจวินตอบเสียงเรียบ
“ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเยว่เหยา ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ” เหมียวอี้เตือน
มู่ฝานจวินทำสีหน้านิ่งเฉย ทำท่าเหมือนไม่รับปากแต่ก็ไม่ปฏิเสธ
เหมียวอี้หันกลับมากวาดสายตามองทั้งห้าอีก แล้วแสยะยิ้มบอกว่า “พวกเจ้าห้าคนใจกล้าไม่เบาเลยนะ ขนาดผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ยังกล้าดักฆ่า แถมตอนนี้ยังวางกับดักข้าอีก พวกเจ้าพอใจแล้วใช่มั้ย?”
“อามิตตาพุทธ!” ฉางเหลยประนมมือพลางยิ้มแข็งๆ “พวกเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นแบบนี้ เรื่องก็เกิดขึ้นแล้ว มาพูดถึงตอนนี้ก็ไม่มีความหมาย แล้วอีกอย่างนะ ข้าก็ยกศิษย์รักให้นอนกับเจ้าแล้ว เจ้ายังจะคิดเล็กคิดน้อยกับพวกเราทำไมอีก”
นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนออกบวชควรจะพูดเลยจริงๆ แต่มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ในสายตาของคนที่พิภพเล็ก หกปราชญ์เป็นประเภทที่สูงส่งเป็นพิเศษ ให้ความรู้สึกสูงส่งเยือกเย็น คิดว่าคนประเภทนี้จะต้องพูดตาเฉียบคมล้ำค่าแน่นอน คนที่คิดแบบนี้ได้แสดงว่าระดับและฐานะของพวกเขาไม่สามารถสัมผัสกับหกปราชญ์ได้ ตอนนี้ที่ฉางเหลยสามารถพูดแบบนี้กับเหมียวอี้ได้ ก็แสดงว่าเหมียวอี้มีคุณสมบัติที่จะอยู่ในระดับเดียวกับพวกเขาแล้ว การพูดจาย่อมเป็น ‘ภาษาคน’ ที่มนุษย์ทั่วไปเข้าใจได้ง่าย
คนประหลาดอย่างฝ่าอินน่ะเหรอ? เหมียวอี้กลอกตามองบน นอกจากตอนไขว้มือดื่มสุราที่ได้สัมผัสมือฝ่าอิน เวลาอื่นเขาก็ไม่ได้แตะต้องฝ่าอินแม้แต่ปลายนิ้วด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องเคยนอนกับฝ่าอินเลย ทว่าเรื่องแบบนี้ไม่จำเป็นต้องพูดต่อหน้าคนนอก
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้ เหมียวอี้เปลี่ยนเด็นถามสิ่งที่ตัวเองสงสัยในใจมาตลอด “พวกเจ้ารู้จักทางเข้าออกอีกทางของนรกได้ยังไง?”
ทั้งห้าสบตากันแวบหนึ่ง เทพพยากรณ์สั่งไว้แล้วว่าห้ามบอกเหมียวอี้ ตอนนี้ทั้งห้าเรียกได้ว่านับถือเทพพยากรณ์จากใจแล้ว ย่อมไม่ฝ่าฝืนคำสั่งของอีกฝ่าย จีฮวนหัวเราะเบาๆ แล้วตอบว่า “พวกเราจะไปรู้ทางเข้าออกนรกได้ยังไง เป็นเพราะหมดหนทางหนีเลยบังเอิญพบก็เท่านั้นเอง ตรงนี้ไม่ใช่ที่ที่จะมาคุยกัน จะโดนคนพบเอาง่ายๆ ไปค่อยๆ คุยกันตรงที่พักเถอะ”
เหมียวอี้เก็บสัตว์พาหนะ แล้วเหาะไปที่ดาวเคราะห์สีฟ้าดวงหนึ่งพร้อมกับพวกเขา พอเหยียบลงพื้นถึงได้พบว่าเป็นเกาะแห่งหนึ่ง ดาวเคราะห์ทั้งดวงนี้แทบจะจมอยู่ในมหาสมุทร มีเพียงเกาะโผล่ออกมาหร็อมแหรมที่ผิวทะเล
เป็นเพราะอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เกินไป ทั้งดาวเคราะห์จึงมืดสลัว
ลูกๆ และลูกศิษย์ที่ติดตามห้าปราชญ์ล้วนพักอยู่ที่นี่ พอเจอหน้ากัน เหมียวอี้ก็พยักหน้าทักทายอันหรูอวี้ก่อน
ส่วนอันหรูอวี้ก็เป็นฝ่ายก้าวขึ้นมาก่อนเช่นกัน “รู้ว่าเจ้าจะมา ก็เลยเตรียมห้องถ้ำที่เป็นที่พักไว้ให้เจ้าแล้ว”
ท่ามกลางสายตาของทุกคน เหมียวอี้ตามอันหรูอวี้ไปที่ห้องถ้ำบนเกาะแล้ว แค่มองก็รู้ว่าเพิ่งขุดขึ้นใหม่ ถึงแม้จะเล็กแต่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน
เมื่อตรวจดูสภาพแวดล้อมในห้องถ้ำครู่หนึ่ง เหมียวอี้ก็ยิ้มเจื่อนในใจ สงสัยแม่ยายท่านนี้จะสิ้นเปลืองความคิดไปมากเพื่อจัดแต่งออกมา
“เรื่องปล้นฆ่าผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์สามคนเป็นยังไงกันแน่?” จู่ๆ เหมียวอี้ก็แอบถ่ายทอดเสียงถาม
คำถามนี้ทำให้อันหรูอวี้มีสีหน้าลังเลสับสนทันที ถ้าไม่บอกก็กลัวว่าเหมียวอี้จะไม่พอใจแล้วส่งผลกระทบถึงลูกสาวทั้งสองของนาง อยากจะพูดแต่ก็พูดไม่ได้ เพราะมู่ฝานจวินสั่งเอาไว้แล้ว ว่าห้ามใครเปิดเผยที่มาที่ไปของการปล้นครั้งนั้นให้เหมียวอี้รู้เด็ดขาด
“ในเมื่อไม่สะดวกจะพูด งั้นก็ช่างเถอะ” เหมียวอี้ยิ้มอ่อน ไม่ทำให้แม่ยายจอมเอาเปรียบคนนี้ลำบากใจเหมือนกัน
อันหรูอวี้โล่งอก แล้วรีบเปลี่ยนประเด็นทันที “ดูสิ่งสกปรกบนตัวเจ้าสิ ข้าจะไปเตรียมน้ำร้อนให้อาบ”
“ไว้เดี๋ยวค่อยคุยกัน” เหมียวอี้โบกมือ หันตัวเดินออกมาจากห้องถ้ำโดยให้อันหรูอวี้อยู่ที่นี่ต่อ เดินไปที่ริมทะเลเพียงลำพัง พอเดินไปได้ครึ่งทางก็พบส่าข้างหลังมีคนเพิ่มขึ้นมา เป็นพวกอวิ๋นอ้าวเทียนนั่นเอง
พอเดินไปได้สักระยะ เหมียวอี้ก็ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ หันตัวกลับมาถามว่า “พวกเจ้าสามคนจะตามข้าทำไม?”
ฉางเหลยตอบกลั้วหัวเราะว่า “พวกเราปรึกษากันแล้ว สถานที่อันตรายแบบนี้ถ้าไม่รวมกลุ่มกันไว้คงไม่ได้หรอก ในเมื่อจะรวมกลุ่มกันแล้ว ก็ต้องมีหัวหน้าสักคนสิ งูไร้หัวก็เลื้อยไม่ได้น่ะสิ พวกเราตัดสินใจแล้ว ตั้งแต่นี้ไปในบรรดาพวกเราหกคนมีเจ้าเป็นหัวหน้า”
“อุบ!” เหมียวอี้หลุดขำ ห้าปราชญ์เป็นใคร พูดจาประหลาดเหมือนผีโผล่แบบนี้ มีแต่ผีเท่านั้นแหละที่เชื่อ เหมียวอี้ขี้คร้านจะสนใจ หันตัวเดินต่อไป
ห้าปราชญ์มองหน้ากันเลิกลั่ก เขาเองก็รู้สึกว่าถ้าเปลี่ยนเป็นพวกเขาก็คงไม่เชื่อคำพูดแบบนี้เหมือนกัน
แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะคำทำนายของเทพพยากรณ์แม่นแล้วแม่นอีก ก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะพูดออกมาได้ว่าจะให้เหมียวอี้เป็นหัวหน้า
ยังไม่ถอดเกราะรบบนตัวออก เหมียวอี้นั่งลงริมทะเล เริ่มจัดระเบียบของที่เก็บยึดได้หลังจากศึกใหญ่ อันหรูอวี้ให้เขาอาบน้ำ แต่บนตัวเขาใส่ศพไว้กองใหญ่ จะไปมีอารมณ์อาบน้ำได้อย่างไรกัน ต้องนำของพวกนี้ที่ได้มาจัดระเบียบก่อน
ริบสิ่งของประเภทเกราะรบและกำไลเก็บสมบัติออกมาจากศพร่างแล้วร่างเล่า จากนั้นแยกประเภทและเก็บไว้ ส่วนศพก็ถูกโยนลงในทะเลโดยตรง ถ้าเป็นนักพรตปีศาจก็เก็บยาเม็ดปีศาจก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ไม่รู้ว่าในทะเลมีสัตว์ประหลาดอะไรที่ถูกศพที่โยนลงทะเลดึงดูดให้เข้ามา เห็นเพียงทิ่วทะเลมีหนวดปลาหมึกโผล่ขึ้นมาม้วนศพลงไปที่ก้นทะเล ถึงขั้นมีสัตว์ประหลาดทะเลต่อสู้กันอย่างบ้าคลั่งเพื่อแย่งอาหาร ล้วนเป็นสัตว์ประหลาดที่เหมียวอี้ไม่เคยเห็นมาก่อน
เหมียวอี้เพียงร่ายอิทธิฤทธิ์กวาดในทะเลนิดหน่อย เมื่อเห็นว่าไม่เป็นภัยคุกคามต่อตัวเอง ถึงได้นั่งจัดระเบียบของต่อไปอย่างสบายอารมณ์
เกราะรบสีทองชุดแล้วชุดเล่า เกราะรบผลึกแดงชุดแล้วชุดเล่า ของประเภทต่างๆ ถูกเหมียวอี้เก็บเข้าในกระเป๋าสัตว์
ฉากที่เขาสร้างความร่ำรวยได้ง่ายๆ แบบนี้ทำให้ห้าปราชญ์ที่มองอยู่ไกลๆ หงุดหงิดมาก พวกเขาเสี่ยงกับกฎสวรรค์เพื่อปล้นไปหนึ่งครั้ง นอกจากจะไม่ได้อะไรแล้ว ยังโดนกดดันให้หนีเข้ามาในสถานที่บ้าๆ แบบนี้อีก แต่ดูการสร้างความร่ำรวยของเหมียวอี้สิ คนเราแตกต่างกันจนน่าโมโหจริงๆ
เหมียวอี้จัดระเบียบของเป็นเวลาสองวันเต็มๆ หลังจากเสร็จเรื่องแล้วกำลังจะยืนขึ้น จู่ๆ ริมทะเลก็มีหนวดปลาหมึกโผล่มาพันเท้าเขา ต้องการจะลากเขาลงไปในทะเล บนตัวเขามีพลังอิทธิฤทธิ์สายหนึ่งซัดสาดออกมา ทำให้หนวดปลาหมึกนั่นแตกกระจุยจนเศษเนื้อปลิวว่อนทันที
จากนั้นเหมียวอี้ก็ลากกระเป๋าสัตว์เป็นกอง เหาะไปเหยียบลงข้างกายห้าปราชญ์แล้วถามว่า “พวกเจ้ามีใครกำราบสัตว์พาหนะของคนอื่นได้บ้าง?”
ทั้งห้าสบตากัน แล้วจีฮวนก็ตอบว่า “ได้หมด”
เหมียวอี้โยนกระเป๋าสัตว์ให้คนละใบ “มอบให้พวกเจ้า รบกวนท่านไหนก็ได้ชี้แนะวิชากำราบสัตว์พาหนะให้ข้าที”
พวกเขามองดูของในกระเป๋าสัตว์ ได้สัตว์เทพหนึ่งคนต่อหนึ่งตัว มู่ฝานจวินมอบกระเป๋าสัตว์ที่อยู่ในมือเหมียวอี้แวบหนึ่ง แล้วถามว่า “เจ้าได้สัตว์เทพมาเท่าไร?”
“ไม่เยอะหรอก แค่สิบกว่าตัว” เหมียวอี้ตอบ
ไม่เยอะ? ห้าปราชญ์ที่ยึดอาชีพปล้นมานานพูดไม่ออก…
ตำหนักนารีสวรรค์ ที่อยู่ของราชินีสวรรค์ มารดาแห่งใต้หล้าผู้คุมวังหลังของตำหนักสวรรค์
สตรีวัยกลางคนที่สวมชุดนางในเร่งฝีเท้าเดินเข้ามาในตำหนักหลัก พอเห็นราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่นั่งอ่านเอกสารราชการอยู่หลังโต๊ะหยก นางก็ไม่กล้ารบกวน ตอนนี้ราชินีสวรรค์ควบคุมระบบตลาดสวรรค์โดยตรง เป็นครั้งแรกที่อำนาจยื่นออกจากวังหลัง ตั้งอกตั้งใจมาก สตีที่สวมชุดนางในจึงเดินมายืนอยู่ข้างๆ โดยไม่พูดอะไร
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไม่ได้เหลือบตามองเลยแม้แต่น้อย ถามเสียงเรียบว่า “เอ๋อเหมย ที่การประชุมราชสำนักไม่มีเรื่องอะไรใช่มั้ย?”
เอ๋อเหมยก็คือชื่อของสตรีวัยกลางคนที่สวมชุดนางใน เป็นลูกน้องคนสนิทที่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่พามาจากตระกูลเซี่ยโห้ว เรียกได้ว่าเป็นตัวละครสำคัญที่อยู่ข้างกายราชินีสวรรค์ เมื่อได้ยินคำถามก็มองไปนอกประตู แล้วตอบเสียงต่ำว่า “ราชันสวรรค์เดือดดาลมาก กำลังตำหนิกลุ่มขุนนางเจ้าค่ะ”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่อึ้งทันที ตอนนี้ถึงได้วางงานที่อยู่ในมือ แล้วเงยหน้าถามว่า “เดือดดาลเรื่องอะไร?”
เอ๋อเหมยตอบว่า “เพราะเรื่องการทดสอบที่ตำหนักสวรรค์เจ้าค่ะ ทัพใหญ่หนึ่งล้านโดนหนิวโหย่วเต๋อสังหารกลับไปกลับมา โจมตีจนแพ้ย่อยยับ ราชันสวรรค์โกรธมาก เดินลงจากบันไดเข้าไปท่ามกลางกลุ่มขุนนาง แล้วถามย้ำว่านี่ใช่ลูกน้องที่เขาเลี้ยงหรือไม่?”
“เฮ้อ!” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถอนหายใจเบาๆ หลังจากส่ายหน้าเล็กน้อย ก็ถามอีกว่า “ได้ยินว่าก่อนทดสอบ หนิวโหย่วเต๋อกับหลงเฉิงลงนามสัญญาท้าสู้อะไรกันไว้ ไปถามคนในบ้านมาหรือยังว่าเรื่องเป็นยังไงกันแน่?”
“ให้ท่านผู้เฒ่าถามแล้วเจ้าค่ะ เป็นหลงเฉิงที่เข้าไปท้าทายก่อนเพราะความแค้นเก่า…” เอ๋อเหมยเล่าเรื่องที่เหมียวอี้กับเซี่ยโห้วหลงเฉิงลงนามสัญญากันอย่างละเอียดไม่มีผิดพลาด
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้…” หลังจากเซี่ยโห้วเฉิงอวี่พึมพำ ก็พยักหน้าครุ่นคิดช้าๆ พร้อมบอกว่า “หนิวโหย่วเต๋อกล้าหาญกับทัพใหญ่หนึ่งล้าน มีหรือที่จะกลัวหลงเฉิง ขนาดกับคนของตระกูลอิ๋งเขาก็ลงมืออย่างไม่เกรงใจเลย ดูออกเลยว่าหนิวโหย่วเต๋อก็ไม่สนใจตระกูลเซี่ยโห้วเหมือนกัน แต่กำลังกลัวข้า หนิวโหย่วเต๋อกำลังไว้หน้าข้า เป็นเพราะไม่อยากฆ่าหลงเฉิงให้ข้าลำบากใจ ถึงได้จงใจยั่วยุหลงเฉิงและคุมให้หลงเฉิงสงบได้ ถือว่ามีความตั้งใจ ดูออกเลยว่าเขาไม่ใช่แค่คนบ้าบิ่นที่รู้จักแต่ความกล้าที่ไร้สติปัญญา”
“พระนางวิเคราะห์ได้ถูกต้อง ท่านผู้เฒ่าก็คิดแบบนี้เช่นกัน บอกว่าตระกูลเซี่ยโห้วติดหนี้น้ำใจหนิวโหย่วเต๋อแล้ว” เอ๋อเหมยกล่าว
“นึกไม่ถึงว่าในการทดสอบที่ข้าจัดขึ้นครั้งนี้จะมีทหารกล้าเช่นนี้ ลมแรงพิสูจน์ต้นหญ้าที่ทนทาน ไฟร้อนพิสูจน์ท้องแท้จริงๆ หวังว่าเขาจะไม่ตายที่แดนอเวจีง่ายๆ นะ”
…………………………
บทที่ 1214 กล้าหาญจนหมื่นคนก็ยั้งไม่อยู่
โดย
Ink Stone_Fantasy
เอ๋อเหมยพอจะเข้าใจความหมายที่นางพูดแล้ว แต่ยังกล่าวอย่างลังเลนิดหน่อยว่า “ท่านผู้เฒ่าบอกมาว่า ต่อให้หนิวโหย่วเต๋อจะไม่ได้ตายในนรกและกลับมาได้อย่างปลอดภัย แต่เกรงว่าอาจจะยุ่งยากนิดหน่อย ท่านผู้เฒ่าบอกว่า หนิวโหย่วเต๋อทำลายกลองสะท้านฟ้าต่อหน้าฝูงชน ถือว่าทำลายความน่าเกรงขามของตำหนักสวรรค์ต่อหน้าธารกำนัล ทูตขวาเกาไม่ได้ใช้บทลงโทษตรงนั้นก็นับว่าเมตตาแล้ว กลับมาถ้าไม่คิดหน้าคิดหลังใช้งานหนิวโหย่วเต๋อในตำแหน่งสำคัญจนส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของใคร จะต้องมีคนหยิบเรื่องทำลายกลองสะท้านฟ้าออกมาพูดแน่ เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ถ้าไม่มีใครสืบสาวก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามีคนสืบสาวเอาความเรื่องนี้ ถ้ามีคนไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไป เรื่องที่เกี่ยวข้องกับหน้าตาศักดิ์ศรีของตำหนักสวรรค์ก็ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก เกรงว่าแม้แต่ฝ่าบาทก็ไม่สะดวกที่จะลำเอียง ถ้าไม่ลงโทษก็ยากที่จะได้รับการนับถือ ถ้าในภายหลังทุกคนพากันมองข้ามหน้าตาศักดิ์ศรีของตำหนักสวรรค์ แล้วความน่าเกรงขามของสวรรค์จะยังมีอยู่ได้อย่างไรเจ้าคะ?”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เงียบงันพูดไม่ออก แน่นอนว่านางเข้าใจ เหมียวอี้ที่ต่ำต้อยคนเดียว ต่อให้ตามีแววมากกว่านี้ แต่เมื่อเมื่อเทียบกับศักดิ์ศรีของตำหนักสวรรค์ก็ไม่นับว่าสำคัญอะไร ศักดิ์ศรีของตำหนักสวรรค์เกี่ยวข้องกับรากฐานในการควบคุมใต้หล้า ราชันสวรรค์ไม่มีทางทำลายรากฐานของตัวเอง กลังจากเงียบไปนานก็กล่าวอย่างเสียดายว่า “เป็นครั้งแรกที่ข้ามีอำนาจเกินวังหลัง ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมีทหารกล้าสักคนอยู่ในมือ…น่าเสียดายจัง!”
เอ๋อเหมยกล่าวเสียงเบาว่า “ถึงแม้จะมีจุดที่เพิ่มเกียรติยศให้การทดสอบครั้งนี้ แต่ก็มีจุดที่ทำให้ตำหนักสวรรค์ลำบากใจเหมือนกัน ถ้าไม่ใช่เพราะคนที่รู้เหตุการณ์ตอนนั้นมีเยอะเกินไปจนไม่มีทางปิดบังได้ เกรงว่าฝ่าบาทคงจะไม่ให้เรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อโจมตีทัพใหญ่หนึ่งล้านแพร่ออกไป…”
ทำไมถึงเรียกว่าตำหนักสวรรค์ล่ะ? เพราะเป็นราชสำนักที่ควบคุมใต้หล้าไง!
“ไสหัวไปให้หมด!”
เสียงตะคอกที่น่าเกรงขามดังมาจากประตู่ตำหนักที่สูงตระหง่าน ทหารยามที่ยืนอยู่นอกตำหนักยืดตัวตรงทันที นางในที่เดินไปเดินมาก็ยิ่งตกใจจนตัวสั่นระริก ทั้งมังกรทั้งหงส์ต่างก็หันกลับมาจ้องมอง ชั่วพริบตาเดียวก็ทำให้ทั้งวังสวรรค์เงียบสงัดเป็นแถบ
ผ่านไปไม่นานนัก ขุนนางใหญ่ของตำหนักสวรรค์ที่เกล้าผมสวมมงกุฎหลายร้อยก็ทยอยกันออกมาจากประตูตำหนัก แต่ละคนสีหน้าจริงจังหนักแน่น กระทั่งหลังจากลงจากบันไดตำหนักใหญ่มาแล้ว สีหน้าของแต่ละคนถึงได้เริ่มสงบเยือกเย็น อารมณ์ที่แปรปรวนของราชันสวรรค์ พวกเขาเคยชินจนมองเห็นเป็นเรื่องปกติตั้งนานแล้ว ถ้าจะกลัวก็ต้องรู้จักแยกแยะเวลา สถานการณ์ในตอนนี้ยังทำโทษไม่ได้เพราะมีคนทำผิดเยอะ ไม่เพียงพอจะทำให้หวาดกลัว
คนที่อยู่ในตำแหน่งอิสระทยอยกันจากไป ส่วนคนที่อยู่ในตำแหน่งหลักก็มารวมกลุ่มกัน
คนกลุ่มหนึ่งเดินออกจากประตูหลักของวังสวรรค์ อิ๋งจิ่วกวง อ๋องสวรรค์อิ๋งที่เป็นผู้นำของกำลังพลกลุ่มนี้เดินไปข้างหน้าโดยวางสองมือไว้บนท้อง ดูอายุมากแต่ก็ยังแข็งแรง จู่ๆ เขาก็เรียก “เทียนหยวน”
ท่านโหวเทียนหยวนที่เดินอยู่ด้านหลังของกลุ่มรีบก้าวขึ้นมากุมหมัดขานรับ “ท่านอ๋อง!”
“เรื่องหนิวโหย่วเต๋อนั่นยังไงกันแน่?” อิ๋งจิ่วกวงถามเสียงเรียบโดยไม่เหล่ตามอง
พอได้ยินคำถามนี้ ท่านโหวเทียนหยวนก็ตึงเครียดในใจ ในโลกมนุษย์มีคำกล่าวที่ว่า คนตำแหน่งสูงไม่มีอิทธิพลมากเท่าผู้บังคับบัญชาโดยตรง ตอนเผชิญหน้ากับราชันสวรรค์เขายังไม่ประหม่ากังวลขนาดนี้เลย แต่เมื่อเผชิญหน้ากับอ๋องสวรรค์อิ๋งกลับมีความกังวลอยู่บ้าง เพราะว่าเขาเป็นคนของกลุ่มคณะนี้ ถ้าหลุดจากกลุ่มคณะนี้ไปก็ยากที่จะมีที่ยืนในตำหนักสวรรค์แล้ว และกลุ่มคณะนี้ก็มีอ๋องสวรรค์อิ๋งที่เป็นใหญ่ที่สุด ดังนั้นแค่อ๋องสวรรค์อิ๋งเอ่ยประโยคเดียว บนราชสำนักก็จะมีคนเป็นโขยงมารุมโจมตีเขาได้เลย สามาถทำให้เขาหลุดจากตำแหน่งได้อย่างสบายๆ แต่ราชันสวรรค์กลับไม่ทำเรื่องแบบนี้โดยไร้เหตุผล
จิตใตสำนึกของท่านโหวเทียนหยวนคิดว่าอ๋องสวรรค์อิ๋งกำลังหมายถึงเรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อทำร้ายจ้านหรูอี้หลานสาวของอ๋องสวรรค์บาดเจ็บ ทำให้อ๋องสวรรค์อิ๋งเสียหน้า ในใจแอบร้องว่าแย่แล้ว ทำไมเขานึกไม่ถึงว่าหนิวโหย่วเต๋อสามารถเล่นใหญ่ขนาดนั้นได้ แค่ชั่วพบหน้ากันก็ทำให้จ้านหรูอี้ล้มคะมำได้แล้ว
ท่านโหวเทียนหยวนที่ตามอยู่ข้างหลังกล่าวอย่างเกรงกลัวว่า “เป็นข้าน้อยที่ควบคุมลูกน้องได้ไม่ดี ถึงได้ทำให้คุณหนูจ้านได้รับความอับอาย ท่านอ๋องโปรดระงับโทสะ”
อิ๋งจิ่วกวงหยุดฝีเท้า กลุ่มคนที่เดินตามหลังก็หยุดเช่นกัน อิ๋งจิ่วกวงหันหน้าช้าๆ กลับมามองท่านโหวเทียนหยวน แล้วถามว่า “อย่าบอกนะว่าในสายตาท่านโหวเทียนหยวน อ๋องผู้นี้เป็นคนต่ำทรามใจคอคับแคบสะกดกลั้นไม่ได้เหรอ?”
ท่านโหวเทียนหยวนรีบแก้ตัว “ไม่ใช่ขอรับ ท่านอ๋องโปรดระงับโทสะ!”
อิ๋งจิ่วกวงรู้ว่าเขาเข้าใจผิด จึงไม่ทำให้เขาลำบากใจอีก เดินไปข้างหน้าต่อพร้อมบอกว่า “ข้ากำลังถามเจ้าว่า ตอนแรกเจ้าปกป้องหนิวโหย่วเต๋อนั่นอย่างสุดกำลัง ขนาดข้าต้องการตัวเขาเจ้ายังบ่ายเบี่ยง ในเมื่อมองออกว่าเป็นคนมีฝีมือที่ควรค่าแก่การเลี้ยงดู แล้วทำไมถึงปล่อยให้เขาเข้าไปทดสอบในนรกได้? วรยุทธ์แค่บงกชทองก็กล้าสู้กับทัพใหญ่หนึ่งล้านแล้ว ถ้าไม่ห้าวหาญเต็มไปด้วยพลัง ก็ต้องเป็นคนที่มีทั้งความกล้าหาญและสติปัญญา คนมีฝีมือแบบนี้ ถ้าผ่านไปสักระยะจะต้องเป็นแม่ทัพที่ทำงานดีแน่นอน! ทหารนับพันนั้นหาง่าย แต่แม่ทัพคนเดียวนั้นหายาก ใช่ว่าเจ้าจะไม่เข้าใจหลักการนี้ ปล่อยไปง่ายๆ แบบนี้ไม่น่าเสียดายหรอกเหรอ?”
ที่แท้ก็เป็นเพราะเรื่องนี้! เทียนหยวนพูดไม่ออกทันที คิดในใจว่า ถ้าหนิวโหย่วเต๋อไม่ไปเข้าร่วมการทดสอบในนรก ไม่ประสบกับเรื่องราวแบบนี้ แล้วใครจะไปรู้ว่าเขาจะกล้าสู้กับทัพใหญ่หนึ่งล้านอย่างกล้าหาญ? ถ้ารู้ตั้งแต่แรกยังจะต้องให้เจ้าบอกอีกเหรอ? ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าหนิวโหย่วเต๋อไม่แสดงความสามารถนี้ออกมา เขาไปมีเรื่องกับคนเยอะขนาดนั้น ภายใต้สถานการณ์แบบนั้นไม่ว่าใครก็ไม่สะดวกจะรับประกันทั้งนั้น!
แต่จนใจที่เหตุผลพวกนี้นำมาใช้โต้เถียงเจ้านายเพื่อผลักความรับผิดชอบไม่ได้ เรื่องบางเรื่องก็ใช่ว่าผู้บังคับบัญชาไม่เข้าใจ แต่ผู้บังคับบัญชาไม่อยากโดนคนหัวเราะเยาะว่าไม่รู้จักคนมีฝีมือ ที่เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาต่อหน้าทุกคน ก็เพราะอยากจะหาแพะรับบาปก็เท่านั้นเอง ท่านโหวเทียนหยวนเรียกได้ว่าแก้ตัวลำบาก…
ตำหนักหลังของราชสำนัก ประมุขชิงที่ออกจากราชสำนักเพิ่งจะเลี้ยวเข้ามา ก็เห็นทูตตรวจการซ้ายซือหม่าเวิ่นเทียนและทูตตรวจการขวาเกาก้วนกำลังรออยู่เงียบๆ ที่ตำหนักหลัง
ทั้งสองกุมหมัดคาระวพร้อมกัน ขณะที่ประมุขชิงเดินผ่านกลางระหว่างทั้งสอง ก็ถามไปเรื่อยเปื่อยว่า “กลับมาแล้วเหรอ?”
ทั้งสองเดินตามทันที เกาก้วนตอบว่า “ขอรับ!”
หลังจากออกจากตำหนักหลัง ตอนกำลังเดินขึ้นบันไดวังหลัง ประมุขชิงก็ถามอีกว่า “เรื่องที่ราชสำนักเมื่อครู่นี้ ได้ยินกันหมดแล้วใช่มั้ย?”
“ได้ยินแล้ว” ทูตซ้ายและทูตขวาตอบพร้อมกัน
“เกาก้วน เจ้าอยู่ในเหตุการณ์ อย่าบอกนะว่าทัพใหญ่ตำหนักสวรรค์ของข้าอ่อนแอเปราะบางถึงขั้นนี้แล้วจริงๆ กำลังพลหนึ่งล้านแปดแสนกว่าต้านทานไม่ได้แม้แต่หนิวโหย่วเต๋อคนเดียวงั้นเหรอ?” ประมุขชิงถาม
เกาก้วนอธิบายว่า “ตอบฝ่าบาท ก็ไม่ได้ย่ำแย่เกินทนขนาดนั้นขอรับ เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดพลาดของการรบ! ประการแรกเป็นเพราะกำลังพลสายชวด สายระกา สายจอ สายกุนไม่ได้เข้าร่วมด้วย แต่คอยดูอยู่ข้างๆ จึงขาดกำลังพลไปเกือบหกแสนคน อีกสาเหตุหนึ่งก็เป็นเพราะทัพใหญ่หนึ่งล้านที่สู้กับหนิวโหย่วเต๋อส่วนใหญ่ไม่มีใครที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตกับเขา อย่างมากก็ไปหาเรื่องเขาเพื่อให้เจ้านายที่อยู่เบื้องหลังเห็น ทุกคนก็แค่ทำพอเป็นพิธี คนที่ตัดสินใจจะสู้ตายกับหนิวโหย่วเต๋อมีน้อย มิหนำซ้ำส่วนใหญ่ก็แค่ถูกอำนาจแต่ละฝ่ายขนาบให้อยู่ในนั้น ไม่มีใครที่ทุ่มเทสุดความสามารถจริงๆ แค่ไปประสมโรงด้วยเท่านั้น ส่วนหนิวโหย่วเต๋อก็โดนสถานการณ์บีบบังคับ ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะสู้ตาย มีพลังอำนาจเหมือนอย่างเคย เกรียงไกรยากจะต้านทานไหว รบกับแนวหน้าของทัพใหญ่ไม่เคยแพ้ ได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด สั่นคลอนจิตใจของคู่ต่อสู้มาก อาศัยการโหมสู้ในรวดเดียวบวกกับของวิเศษที่สมบูรณ์แบบ รบอย่างห้าวหาญเต็มไปด้วยพลัง ทัพใหญ่หนึ่งล้านที่คุมเชิงกันอยู่เสียขวัญตั้งแต่ยังไม่เริ่มรบ หนิวโหย่วเต๋อบุกสังหารหลายครั้งโดยแทบจะไร้อุปสรรค ทุกคนพากันถอยหลบ หนิวโหย่วเต๋อถึงได้สังหารฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้านได้! ที่สำคัญที่สุดก็คือ ทัพใหญ่หนึ่งล้านเป็นพวกที่มารวมตัวกันชั่วคราวเท่านั้น ใจคนไม่สามัคคีกัน แต่ละคนมีเจตนาแอบแฝง เป้าหมายหลักคือการทดสอบ ถ้าจัดทัพใหญ่รบตามมาตรฐานของตำหนักสวรรค์จริงๆ ต่อให้ระดมพลพลหนึ่งหมื่นก็จัดการหนิวโหย่วเต๋อได้!”
“อืม!” พอได้ฟังเขาพูดแบบนี้ ประมุขชิงก็พยักหน้าช้าๆ สีหน้าคลายความโกรธ แล้วถามอีกว่า “เจ้าบอกว่าต้องระดมพลหนึ่งหมื่นถึงจะจัดการเขาได้ กำลังพลหนึ่งหมื่นนี้เป็นกำลังพลแบบไหนกัน?”
“กำลังพลที่ได้มาตรฐานการทดสอบ นักพรตบงกชทองหนึ่งแสนคน” เกาก้วนตอบ
ประมุขชิงหยุดฝีเท้า แล้วหันกลับมาถามว่า “หนิวโหย่วเต๋อก็เป็นนักพรตบงกชทองเหมือนกันนี่ อย่าบอกนะว่าทัพใหญ่ที่ได้มาตรฐานหนึ่งพันคนก็จัดการเขาไม่ได้?”
เกาก้วนตอบว่า “ตามความเห็นของข้าน้อย ถ้าอาศัยกำลังปะทะกันตรงๆ โดยไม่ใช้ของวิเศษอะไรเลย อย่าว่าแต่หนึ่งพันที่ต้านเขาไม่ไหว ต่อให้ห้าพันก็ต้านเขาไม่ไหวเช่นกัน หนิวโหย่วเต๋อคนนี้เหี้ยมหาญเชี่ยวชาญการรบจริงๆ เมื่อทวนอยู่ในมือ ก็กล้าหาญจนหมื่นคนยั้งไม่อยู่ ถ้าไม่มีกำลังพลนับหมื่นล้อมต้านไว้หลายชั้นก็ยากที่จะจัดการเขาได้ จะถูกเขาสังหารฝ่าวงล้อมได้ง่ายมาก!”
“เหี้ยมหาญขนาดนี้เชียวรึ?” ซือหม่าเวิ่นเทียนตามอย่างตกใจ
เกาก้วนพยักหน้า “ใช่! เหี้ยมหาญจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะห้าวหาญขนาดนี้ จะกล้าฝ่าเข้าฝ่าออกกลางทัพใหญ่หนึ่งล้านได้ยังไง”
ประมุขชิงเอามือขยี้หนวดพลางพยักหน้าบอกว่า “ถ้าพูดแบบนี้ก็แสดงว่าเป็นทหารกล้าจริงๆ มีลักษณะท่าทางเหมือนอสุราอัคนีในปีนั้นอยู่หลายส่วน มีชื่อเสียงเรื่องสังหารฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้านเหมือนกัน ถ้ารอไปสักระยะให้วรยุทธ์สูงขึ้น ข้าก็จะมีแม่ทัพที่ดุร้ายแห่งยุคเพิ่มอีกคน ปล่อยให้ไปปราบกบฎก็จะเป็นเหมือนกระบี่คมที่ใช้ตัดหัวศัตรู…เกาก้วน ปล่อยเขาไปทดสอบในนรกจะน่าเสียดายไปหน่อยหรือเปล่า?”
“น่าเสียดายจริงๆ ขอรับ แต่ก็ช่วยไม่ได้ ตอนแรกไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะห้าวหาญเหนือคนอื่นขนาดนี้ ทหารกล้าระดับนี้ปล่อยเข้าไปเป็นสายสืบในนรกนานไม่ได้ น่าเสียดายจริงๆ” หลังจากเกาก้วนกล่าวชม ก็กุมหมัดคารวะทันที “ถ้าปลี่ยนคำสั่งไปเปลี่ยนคำสั่งมาก็จะทำลายเดชานุภาพของฝ่าบาท หากฝ่าบาทสามารถย้ายหนิวโหย่วเต๋อกลับมาได้ง่ายๆ เกรงว่าลูกหลานขุนนางคนอื่นๆ ก็จะอ้างเหตุผลเลียนแบบเช่นกัน สามารถทำให้แผนการปรับปรุงทั้งหมดล้มเหลวในตอนท้ายได้ง่าย ไม่สู้ให้ข้าน้อยออกหน้า แค่บอกไปว่าหนิวโหย่วเต๋อคือสายลับที่หน่วยตรวจการฝ่ายขวาส่งไปนรก ต้องย้ายกลับมาที่หน่วยตรวจการฝ่ายขวาเพราะต้องใช้งานอย่างอื่น แบบนี้จะได้อุดปากที่พูดไร้สาระของฝูงชนได้สะดวกด้วย ฝ่าบาท ข้าน้อยขออนุญาตย้ายหนิวโหย่วเต๋อมาที่หน่วยตรวจการฝ่ายขวา!”
ซือหม่าเวิ่นเทียนที่อยู่ข้างๆ เงยหน้ากลอกตามองฟ้าทันที แล้วกล่าวอย่างเนิบนาบว่า “ทำไมต้องย้ายไปหน่วยตรวจการฝ่ายขวาของเจ้า ย้ายมาฝ่ายซ้ายของข้าไม่ได้เหรอ?”
“…” ประมุขชิงอ้าปากค้าง ตราบใดที่ไม่ใช่คนโง่ก็สามารถดูออก ว่าเกาก้วนกำลังฉวยโอกาสดึงตัวทหารที่ทำงานดีมาเป็นลูกน้องตัวเอง
แต่สำหรับประมุขชิงแล้ว หนิวโหย่วเต๋อต่ำต้อยคนเดียวเมื่อเทียบกับแผนปรับปรุงตำหนักสวรรค์ของเขา ก็ไม่ควรค่าให้เอ่ยถึงเลย เขาชี้เกาก้วนพลางกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “เกาก้วนเอ๊ยเกาก้วน เวิ่นเทียน สงสัยหนิวโหย่วเต๋อคนนี้จะมีจุดที่โดดเด่นจริงๆ ขนาดทูตขวาเกาของพวกเรายังรักในความสามารถ ถ้าเจ้าต้องการคนจริงๆ รอให้การทดสอบผ่านไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถ้ายังสามารถรอดชีวิตกลับมาได้ เจ้าก็ไปเอ่ยปากกับราชินีสวรรค์ได้เลย ถึงอย่างไรตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อก็เป็นกำลังพลของราชินีสวรรค์ ขอเพียงราชินีสวรรค์อนุญาต ข้าก็ไม่มีความเห็นแย้งอะไรเหมือนกัน”
แบบนี้เท่ากับเป็นการปฏิเสธอ้อมๆ แล้ว
แต่ใครจะคิดว่าจู่ๆ ซือหม่าเวิ่นเทียนจะพูดขึ้นมาอีก “ทูตขวาเกา ได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อทำลายกลองสะท้านฟ้า จาบจ้วงภาพลักษณ์อันน่าเกรงขามของตำหนักสวรรค์ต่อหน้าฝูงชน ไม่ทราบว่าทำไมทูตขวาเกาทำเหมือนไม่เห็น? อย่าบอกนะว่าเพื่อความรักความชอบส่วนตัว ทำให้ทูตขวาเกาละเลยภาพลักษณ์อันน่าเกรงขามของตำหนักสวรรค์?”
เมื่อกล่าวมาแบบนี้ ประมุขชิงก็เหล่ตาจ้องเกาก้วนเล็กน้อย
ราชันสวรรค์ชอบใช้วิธีการสร้างสมดุลแบบนี้ ถ้าระบบข่าวสารของตำหนักสวรรค์ไปรวมอยู่ในมือคนคนเดียว แบบนั้นก็น่ากลัวไปหน่อย ถึงได้แต่งตั้งคนสองคนที่ไม่ค่อยลงรอยกันมาคุมหน่วยตรวจการซ้ายและขวา ทำเพื่อรักษาสมดุล ไม่อย่างนั้นถ้าทูตซ้ายและทูตขวามีไมตรีที่ดีต่อกัน ถ้าร่วมมือกันปิดบังขึ้นมา ต่อให้ราชันสวรรค์จะวรยุทธ์สูงกว่านี้ แต่ก็จะถูกปิดบังความจริงได้ง่ายมาก
เกาก้วนตอบอย่างใจเย็นว่า “ด้วยสถานการณ์ในตอนนั้น ถ้าเปลี่ยนเป็นใครก็ไม่คิดว่าหนิวโหย่วเต๋อจะรอดกลับมาได้ ในเมื่อเป็นเหมือนคนตายคนหนึ่งแล้ว ทำไมข้าต้องทำให้เป็นเรื่องราวใหญ่โตอีกล่ะ เพียงแต่เรื่องที่เกิดขึ้นตอนหลังเหนือความคาดหมายไปมาก ตอนนั้นไม่ได้ห้าม ถ้าผ่านเรื่องนั้นไปแล้วค่อยมาลงโทษหนิวโหย่วเต๋ออีก เจ้าคิดว่าเหมาะสมเหรอ?”
“เหมาะสมหรือไม่เหมาะสมไม่ใช่สิ่งที่ข้าเป็นห่วง แค่ถามว่าทำไมเจ้าไม่บังคับใช้กฎหมาย?” ซือหม่าเวิ่นเทียนถาม
“ใครใช้ให้เจ้าเป็นห่วง สาระแนนัก!” เกาก้วนตอบด้วยสีหน้าเย็นเยียบไร้อารมณ์
…………………………
บทที่ 1215 ไม่รู้อะไรเลย
โดย
Ink Stone_Fantasy
คำพูดคำจาแบบนี้ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นประมุขชิงคงจะเดือดดาลมาก แต่พอได้ยินจากปากเจ้าคนที่เย็นชาเหมือนน้ำแข็ง ประมุขชิงก็รู้สึกดีใจอย่างประหลาด โค้งมุมปากกลั้นขำ หันหน้ามองไปอีกด้านแล้ว
“เจ้า…” ซือหม่าเวิ่นเทียนโบกมือชี้
เกาก้วนปัดมือเขาออกเบาๆ “ข้าจะบังคับใช้กฎยังไง ก็ไม่จำเป็นต้องให้หน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายของเจ้ามาสอนหรอก”
“เจ้า…” ซือหม่าเวิ่นเทียนทำสีหน้าไม่ถูก เมื่อเจอกับเกาก้วนที่ไร้เหตุผล เขาเองก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน จึงหันกลับมากุมหมัดคารวะประมุขชิง “ฝ่าบาท เกาก้วนกำลังเถียงข้างๆ คูๆ ขอรับ!”
“เกาก้วน เจ้าคิดว่าควรจะลงโทษหนิวโหย่วเต๋ออย่างไร?” ประมุขชิงถาม
“ถ้าเขาตายอยู่ในนรก การลงโทษนี้ก็ไม่มีความหมายเหมือนกัน แต่ถ้าเขารอดชีวิตกลับมาได้ ทุกอย่างก็ล้วนแล้วแต่ประสงค์ของฝ่าบาทขอรับ จะได้ไม่มีคนคิดว่าข้าน้อยทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว” เกาก้วนตอบ
“เอาตามนี้ก็แล้วกัน ขี้คร้านจะฟังพวกเจ้าสองคนเถียงกันแล้ว ถ้าไม่มีธุระอะไรแล้วก็กลับไปต่างคนต่างทำงานของตัวเอง” ประมุขชิงพูดทิ้งท้ายแล้วเอามือไขว้หลังเดินออกไป เดินเนิบนาบอย่างสบายใจ
สำหรับเขาแล้ว ระหว่างทูตซ้ายกับทูตขวาใครจะผิดก็ไม่สำคัญ ล้วนเป็นลูกน้องคนสนิทของเขาทั้งคู่ เขาเองก็ไม่อยากจะลำเอียงเข้าข้างใครคนใดคนหนึ่ง แค่อยากจะเห็นท่าทีที่เป็นเป็นปรปักษ์ของทั้งสองเท่านั้น
“เชอะ!” ซือหม่าเวิ่นเทียนเชิดใส่ แล้วสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป
เกาก้วนยังคงทำสีหน้าเย็นชาไม่สะทกสะท้าน จัดผ้าที่ดำที่คลุมบ่าให้เรียบร้อย แล้วเดินเบาๆ จากไปเช่นกัน…
ในจวนเทพประจำดาวเถาะฟ้า ผังก้วนเพิ่งจะเหาะจากฟ้าลงมาเหยียบในเรือนด้านใน ก็เห็นฮูหยินจาหรูเยี่ยนร้องไห้สะอึกสะอื้นพุ่งออกมาจากในบ้าน เข้ามาคุกเข่ากอดต้นขาเขาไว้ พลางร้องไห้โฮบอกว่า “นายท่าน เหรินจวิ้นตายอย่างอนาถมาก นายท่าน ท่านต้องสับร่างหนิวโหย่วเต๋อนั่นพันดาบเพื่อล้างแค้นให้เหรินจวิ้นนะ!”
บ่าวรับใช้หญิงกลุ่มหนึ่งวิ่งเข้ามาประคอง แต่จาหรูเยี่ยนกลับกอดขาผังก้วนไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
“หึหึ!” จู่ๆ ผังก้วนก็เดือดดาลจนหัวเราะออกมา แล้วก้มหน้าจ้องนางพร้อมถามว่า “ล้างแค้นเหรอ? จะล้างแค้นยังไงล่ะ? เจ้าคิดจะให้นำคนเข้าไปสังหานในแดนอเวจีเพื่อล้างแค้นให้หลานรักของเจ้าเหรอ?”
“…” จาหรูเยี่ยนหยุดร้องไห้ทันที ใบหน้าที่เลอะน้ำตาเหม่อค้าง สิ่งที่สามีตัวเองพูดก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล เป็นไปไม่ได้ที่จะถ่อไปล้างแค้นหนิวโหย่วเต๋อในนรกเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร ยังไม่ต้องพูดถึงว่าจะหาเจอหรือไม่ อย่างน้อยต้องเข้าไปให้ได้ก่อน ต่อให้เข้าไปได้แล้ว แดนอเวจีคือสถานที่ที่ผังก้วนจะไปทำตัวกำเริบเสิบสานได้เหรอ? ถ้ารอให้หนิวโหย่วเต๋อกลับมา และไม่รู้ด้วยว่าหนิวโหย่วเต๋อจะรอดชีวิตออกจากนรกได้หรือเปล่า
หลังจากคิดได้แล้ว แล้วก็ร้องไห้โวยวายอีก “ตระกูลจาของข้าช่างน่าสงสาร คนก็มีอยู่น้อยนิด…”
“หุบปากเดี๋ยวนี้!” ผังก้วนพลันตะคอกอย่างเกรี้ยวกราดดุจฟ้าผ่า “ข้าเสียหน้าเพราะเจ้าไปหมดแล้ว เจ้ายังมีหน้ามาร้องไห้อีกเหรอ?”
ผังก้วนยกหัวเข่าขึ้น เตะจาหรูเยี่ยนจนล้มลงพื้น แล้วชี้นิ้วขู่จาหรูเยี่ยน ถ้าไม่ใช่เพราะตระกูลจามีบุญคุณในการสนับสนุนให้เขาได้ขึ้นตำแหน่ง ถ้าทำผิดต่อผู้หญิงคนนี้แล้วจะโดนคนวิจารณ์ลับหลัง เขาคงหย่ากับผู้หญิงโง่คนนี้ไปแล้วจริงๆ
เขาสะบัดแขนเสื้อ แล้วหันตัวเดินจากไป ทำให้เสียงร้องไห้โฮข้างหลังดังอีกครั้ง
ผังก้วนยกมือตบหน้าผากตัวเอง ในบ้านมีฮูหยินแบบนี้ จะไม่ให้ปวดหัวก็คงยาก…
จู่ๆ บนฟ้าเหนือเกาะที่มืดสลัวก็มีดาวตกสามสายแวบผ่าน เสียงระเบิดดังสามครั้ง เฮยทั่นที่สวมเกราะรบหมุนตัวอยู่บนฟ้าสูงคำรามอย่างเกรี้ยวกราด ลำแสงสีแดงสามสายแวบกลับมา กลายเป็นลูกธนูดาวตกสามดอกตกลงในมือเหมียวอี้
มือข้างหนึ่งของเหมียวอี้ถือธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ มืออีกข้างถือลูกธนูดาวตก ในใจแอบรู้สึกดีใจ หลังจากผ่านการศึกษาอย่างละเอียดมาหลายวัน ในที่สุดก็เรียนรู้วิธีการควบคุมของวิเศษที่เป็นธนูชุดนี้ได้แล้ว นี่เป็นของล้ำค่าที่ดีชุดหนึ่ง
พวกห้าปราชญ์ที่ดูอยู่ไกลๆ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเฮยทั่นมีความสามารถในการอดทนการโจมตีมากเท่าไร และไม่รู้ด้วยว่าอานุภาพของธนูนี้มากแค่ไหน แต่ก็ทำให้ห้าปราชญ์อิจฉาตาร้อนอยู่ดี ไม่กี่วันก่อนเพิ่งจะเห็นเหมียวอี้ใช้กระบี่ใหญ่ผลึกแดงบริสุทธิ์ด้ามหนึ่งที่ปล่อยกระแสไฟฟ้าได้ แล้ววันนี้ก็ได้เห็นธนูวิเศษชุดนี้อีก ล้วนเป็นของที่มีราคาสูงไม่เบา ไม่รู้เหมือนกันว่าครั้งนี้เหมียวอี้โกยสมบัติมาได้มากขนาดไหน
“อูอู…” เฮยทั่นที่สวมเกราะรบดุร้ายน่ากลัวเหมือนปีศาจเหาะลงจากฟ้า พอเหยียบลงข้างกายเหมียวอี้ก็ส่งเสียงร้องเหมือนน้อยใจ เหมือนกำลังบอกให้เหมียวอี้เลิกใช้มันเพื่อทดสอบธนูได้แล้ว
เหมียวอี้เติมยาเจี๋ยตันขั้นห้าใส่ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์และลูกธนูดาวตกสามดอกอย่างละสี่เม็ด เสร็จแล้วถึงได้เก็บเอาไว้
ฉากนี้ทำให้ห้าปราชญ์สงบจิตใจได้ยาก ฟุ่มเฟือยเกินไปจริงๆ ขนาดยาเจี๋ยตันขั้นห้าสี่เม็ดยังใช้เติมพลังงานให้ของวิเศษแบบนี้ไปแล้ว เติมใส่แบบตาไม่กะพริบ ในใจของทั้งห้ากำลังครุ่นคิดว่าเจ้าเวรนี่มันมีเงินมากเท่าไรกันแน่?
หารู้ไม่ว่ายาเจี๋ยตันพวกนี้เหมียวอี้ล้วนได้มาจากการรบ แค่ยาเจี๋ยตันขั้นห้าบนตัวจาหรินจวิ้นอย่างเดียวก็ปาเข้าไปยี่สิบเม็ดแล้ว บนตัวจาหรินจวิ้นมีของอย่างอื่นอีกเป็นกอง ในบรรดาคนที่ตายด้วยน้ำมือเหมียวอี้ จาหรินจวิ้นคือคนที่รวยที่สุด คาดว่าคงจะได้รับการสนับสนุนมาจากอาหญิงของเขา เพียงแต่เหมียวอี้คิดไม่ตกว่าเจ้าปัญญาอ่อนนี่จะพกของมาเยอะขนาดนี้ทำไม นรกมันใช่ที่ที่จะใช้จ่ายได้อย่างมีความสุขเหรอ?
เหมียวอี้โบกมือร่ายอิทธิฤทธิ์ชี้ไปที่เฮยทั่น เห็นเพียงเกราะรบบนตัวเฮยทั่นพลิกม้วนไปเก็บอยู่ที่คอ กลายเป็นห่วงคอผลึกแดงแล้ว
เฮยทั่นที่ได้ผ่อนคลายหันหน้าเหาะออกไปทันที มีเสียงดังตู้ม น้ำสาดกระจายไปทั่ว กระโดดลงไปว่ายน้ำเล่นในทะเลแล้ว
จีฮวนจ้องเฮยทั่นที่หายไปด้วยสีหน้าอิจฉา เขารู้ว่าจากจีเหม่ยลี่แล้วว่าเฮยทั่นคือหลีหลงที่วิวัฒนาการมาจากอาชามังกร มีความเป็นไปได้ที่จะวิวัฒนาการเป็นมังกร สำหรับจีฮวนที่รู้สึกมาตลอดว่าตัวเองญาติที่ใกล้ชิดเผ่าพันธุ์มังกร สิ่งนี้น่าอิจฉามาก
สำหรับเวไนยสัตว์ มังกรคือสิ่งมีชีวิตที่สูงส่ง เป็นสัญลักษณ์ของชนชั้นสูงโดยกำเนิด เป็นสิ่งที่เวไนยสัตว์ต้องเงยหน้ามอง
และเขาเองก็รู้เช่นกัน ว่าถึงแม้ตัวเองจะฝึกฝนโดยใช้วิชาปีศาจควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์ให้เปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ ทว่าเมื่อก้าวเข้าสู่เส้นทางปีศาจแล้วก็จะมีปราณปีศาจ ไม่ได้เป็นสัตว์เทพบริสุทธิ์แล้ว ถ้าอยากจะใช้ร่างกายที่มีปราณปีศาจวิวัฒนาการให้กลายเป็นมังกรที่มีสายเลือดสูงส่งก็เป็นเรื่องที่ยากมากจริงๆ ถ้ามองจากอีกมุมหนึ่ง เขายังสู้เฮยทั่นไม่ได้ด้วยซ้ำ ย่อมต้องอิจฉาอยู่แล้ว
แต่มีเสียก็ต้องมีได้ ถ้าไม่ใช่เพราะเรียนรู้วิชาปีศาจ เขาก็อาจจะไม่ได้เบิกสติปัญญาได้ตั้งแต่แรก ไม่แน่ว่าอาจจะกลายเป็นเนื้อสัตว์ในปากคนอื่นไปแล้วก็ได้ จะมีวันนี้ได้อย่างไร เมื่อปีศาจเดินเข้าสู่เส้นทางการฝึกตน สัตว์เทพก็ต้องทำตามกฎธรรมชาติ พัฒนาไปตามพรสวรรค์
จากนั้นเหมียวอี้ก็หยิบน้ำเต้าผลึกแดงบริสุทธิ์ใบหนึ่งออกมา แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ศึกษาวิธีการควบคุมเงียบๆ
ยังมีอีกเหรอ? เจ้าบ้านี่มันได้สมบัติมากี่ชิ้นกันแน่? ห้าปราชญ์พากันแอบถอนหายใจอย่างจนใจ
แต่จะว่าไปแล้ว ยิ่งเป็นแบบนี้ก็ยิ่งเหมือนพิสูจน์คำทำนายนั้นของเทพพยากรณ์ ว่าเจ้าเวรนี่เป็นคนที่ดวงดีมาก…
หลังจากนั้นหนึ่งวัน เหมียวอี้ที่ยืนอยู่ริมทะเลก็ลืมตาขึ้น มองดูเฮยทั่นที่เล่นน้ำอยู๋ที่ทะเลไกลๆ พอโบกมือโยน น้ำเต้าวิเศษก็กะพริบแสงสีทอง ชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นลำแสงสายหนึ่งวาดผ่านไป
บนผิวทะเล เฮยทั่นที่กำลังลากสัตว์ประหลาดทะเลที่หน้าตาเหมือนปลาหมึกเงยหน้ามองอย่างระวังตัว เมื่อสังเกตได้ว่าท่าไม่ดี มันก็พลิกตัวอย่างฉับพลัน ดำมุดลงไปในทะเลอย่างฉับไว
วูบ! น้ำเต้าวิเศษที่ทะยานขึ้นฟ้าพลันระเบิดหมอกสีแดงออกมา ดูเหมือนหมอกสีแดง แต่ที่จริงมันคือตาข่ายสีแดง มันครอบลงผิวทะเลราวกับทอดแหจับปลา พื้นที่ที่โดนครอบไว้กว้างมาก ตาข่ายสีแดงที่อยู่ในทะเลขยายขึ้นไม่รู้ตั้งกี่เท่า สรุปก็คือมันเอียงลาดไปข้างหน้าและหดแน่นอย่างรวดเร็ว ช้อนเฮยทั่นที่หลบอยู่ในทะเลขึ้นมาโดยตรง
“อ๋าว…” เฮยทั่นที่โดนขังอยู่ในตาข่ายดิ้นรนคำราม ไม่น่าเชื่อว่าจะสะบัดตัวจนน้ำเต้าวิเศษที่ลอยอยู่บนฟ้าสั่นไหว
เหมียวอี้ที่อยู่บนเกาะใช้นิ้วควบคุม ทำให้น้ำเต้าวิเศษกลืนและพ่นตาข่ายสีแดงออกมา ยิงไปที่เฮยทั่น ทำให้เฮยทั่นตัวเล็กลงอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาเดียวก็โดนน้ำเต้าวิเศษเก็บเข้าไปพร้อมตาข่ายแล้
น้ำเต้าวิเศษทะยานขึ้นฟ้าและลอยกลับมา มาตกอยู่ในฝ่ามือเหมียวอี้โดยที่ยังสั่นไหวอยู่อย่างนั้น
เหมียวอี้ร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูความเคลื่อนไหวข้างใน เห็นเพียงเฮยทั่นที่โดนขังอยู่ในตาข่ายกำลังห้อยดิ้นรนอยู่กลางน้ำเต้า แต่จนใจที่ต่อให้จะมีแรงมากแค่ไหน แต่ก็หลุดพ้นจากตาข่ายอิทธิฤทธิ์ผลึกแดงได้ยาก ส่วนตรงที่ว่างรอบๆ ก็มีกระบี่บินลอยอยู่หลายด้าม กำลังลอยวนรอบเฮยทั่น ท่าทางเหมือนจะรุกโจมตีได้ตลอดเวลา เฮยทั่นเหมือนกลายเป็นแพะอ้วนที่รอเชือด
เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ คว้าน้ำเต้าวิเศษและจับปากน้ำเต้าให้เอียง ทำให้มีเสียงดังวูบ ชั่วพริบตาเดียวเฮยทั่นที่ถูกคายออกมาก็ลนลานหนีทันที กระโดดดำลงไปในทะเลอีกครั้ง
ขณะมองละอองน้ำที่กระจายอยู่ที่ผิวทะเล เหมียวอี้พิจารณาน้ำเต้าวิเศษที่อยู่ในมือ พบว่าของสิ่งนี้กับกาหลอมปีศาจที่เคยเจอในปีนั้นมีจุดที่คล้ายกัน แต่มีระดับที่สูงกว่าน้ำเต้าปีศาจเยอะ
ของวิเศษชิ้นนี้เขาได้มาจากตัวจาหรินจวิ้น เขาคิดไม่ตกอีกแล้ว จาหรินจวิ้นมีพลังอิทธิฤทธิ์ธรรมดา ทักษาการต่อสู้ก็ธรรมดา มีของดีขนาดนี้แต่ไม่เอาออกมาใช้ กลับพุ่งเข้ามาประลองวิชาทวนกับตน แบบนี้ต้องมีความมั่นใจมากเท่าไรกัน ไม่ใช่รนหาที่ตายหรอกเหรอ?
เหมียวอี้ส่ายหน้าอย่างคิดไม่ตกจริงๆ เขาเก็บน้ำเต้าวิเศษ แล้วถลันตัวไปเหยียบลงข้างกายห้าปราชญ์ที่กำลังมองอย่างติดลมมาตลอด แล้วถามว่า “ทุกคนดูมานานขนาดนี้ ดูพอแล้วหรือยัง?”
“เหมียวอี้ ครั้งนี้เจ้าคงร่ำรวยมากล่ะสิท่า” ซือถูเซี่ยวกล่าวเสียงเย็นเหมือนผี
“ก็งั้นๆ” เหมียวอี้ตอบไปเรื่อยเปื่อย ไม่มีเหตุผลที่จะต้องบอกคนอื่นเกี่ยวกับทรัพย์สินของตัวเอง เขากวาดสายตามองทั้งห้า แล้วถามอีกว่า “พวกเจ้าอยู่ในนรกมาเกือบร้อยปีแล้ว สืบดูสถานการณ์ในนรกได้เป็นยังไงบ้าง?”
“แทบจะไม่รู้อะไรเลย” มู่ฝานจวินตอบ
“ไม่รู้อะไรเลย?” เหมียวอี้งุนงง เขายังคิดจะประหยัดแรงอยู่เลย จะดูว่าบนตัวคนพวกนี้วาดแผนที่อะไรได้บ้าง กลับไปจะได้รายงานผลงานได้สะดวก เขากล่าวอย่างไม่เข้าใจว่า “ถ้างั้นเกือบร้อยปีมานี้พวกเจ้าทำอะไรกัน? เก็บตัวฝึกฝนเหรอ? ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพวกเจ้าโดนขังอยู่ที่นี่แล้วจะไม่คิดหาทางออก ดูไม่สมกับเป็นคนใจกล้าคับฟ้าอย่างพวกเจ้าห้าคนเลย!”
จีฮวนถอนหายใจแล้วตอบว่า “ไม่ได้ไปไหนเลยจริงๆ หลังจากเข้ามาในแดนอเวจี ส่วนใหญ่พวกเราก็หลบอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับไปไหน สถานที่อันตรายแบบนี้ใครจะกล้าเพ่นพ่านไปทั่ว จนกระทั่งรู้ว่าเจ้าจะมา พวกเราถึงได้ออกมาเสี่ยงอันตรายเพื่อเจอกับเจ้า”
เหมียวอี้เชื่อก็แปลกแล้ว พูดเหน็บแนมว่า “หลบอยู่เกือบร้อยปีไม่กล้าเพ่นพ่านไปไหนซี้ซั้ว พอข้ามาพวกเจ้าก็โผล่ออกมาเจอข้า ข้าหน้าใหญ่ขนาดนั้นเลยเหรอ? ไปหลอกผีเถอะ!”
ซือถูเซี่ยวเงยหน้าอย่างเถียงไม่ออก
“ไม่ได้หลอกเจ้าจริงๆ เจ้ามาแล้ว พวกเราก็มีทางออก ตอนที่เจ้าทดสอบเสร็จแล้วออกไป เจ้าถือโอกาสเก็บพวกเราใส่กระเป๋าสัตว์แล้วพาออกไปด้วยก็สิ้นเรื่องแล้ว” จีฮวนกล่าว
เหมียวอี้งอึ้งไปชั่วขณะ จกานั้นก็หัวเราะลั่นทันที “งั้นพวกเจ้าก็คิดผิดแล้วจริงๆ ตำหนักสวรรค์ป้องกันโจรกบฏในนรกไม่ให้สมคบคิดกับคนข้างนอก ตอนที่ผู้เข้าร่วมทดสอบเข้ามาก็จะถูกตรวจค้นตัวรอบหนึ่ง หลังจากการทดสอบจบแล้วก็ไม่ให้โอกาสโจรกบฎหนีออกไปเหมือนกัน ต้องค้นตัวเหมือนเดิม ต่อให้ข้าจะอยากพาพวกเจ้าออกไป แต่ก็ไม่มีหนทางอยู่ดี”
เมื่อเหมียวอี้พูดแบบนี้ ทั้งห้าก็สีหน้าเปลี่ยนไปมาก พวกเขาสบตากับแวบหนึ่ง ที่เหมียวอี้พูดก็มีเหตุผล คงจะไม่ได้หลอกพวกเขา
แต่คำทำนายของเทพพยากรณ์มันยังไงกันล่ะ? ถ้าออกไปไม่ได้ก็จะโดนขังอยู่ที่นี่ไม่ใช่เหรอ จะยังเป็น ‘ยามหกคนพบกันอีกครั้ง สถานการณ์จะพลิกผัน’ ได้ยังไง? ไม่ใช่ว่าจะให้สร้างสถานการณ์อยู่ในนรกหรอกใช่มั้ย สถานที่อันตรายแบบนี้ ขนาดตำหนักสวรรค์ยังทำอะไรไม่ได้เลย ถ้าก่อเรื่องที่นี่จะไม่เป็นการรนหาที่ตายหรอกเหรอ?
พวกเขาต่างก็กำลังพึมพำในใจ คำทำนายของเทพพยากรณ์ในช่วงแรกแม่นยำ ไม่มีเหตุผลที่ช่วงหลังจะไม่ตรงกัน?
เมื่อเงียบไปครู่หนึ่ง อวิ๋นอ้าวเทียนก็ขมวดคิ้วถามว่า “เจ้ามีแผนอะไรมั้ย?”
เหมียวอี้มองไปรอบๆ แล้วบอกว่า “เรียนรู้จากพวกเจ้าแล้วกัน เก็บตัวฝึกตนเป็นเพื่อนพวกเจ้า”
………………………
บทที่ 1216 เป็นครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เก็บตัวฝึกตนเหรอ?” มู่ฝานจวินแสดงออกว่าไม่เชื่อ “เจ้ามาเข้าร่วมการทดสอบ ถ้าได้คะแนนไม่ดี เจ้าไม่กลัวว่าจะรักษาอำนาจตำแหน่งของตำหนักสวรรค์ไว้ไม่ได้เหรอ?”
“ไม่รีบหรอก” เหมียวอี้พูดทิ้งท้ายแล้วหันตัวเดินออกไป กลับเข้ามาในห้องถ้ำแล้ว
เขาไม่ได้พูดโกหก เขาต้องการจะเก็บตัวฝึกตนจริงๆ ถึงอย่างไรเวลาทดสอบหนึ่งร้อยปีก็ยาวนาน รอให้ตัวเองวรยุทธ์สูงถึงระดับบงกชทองขั้นห้า หลังจากมีความสามารถในการปกป้องตัวเองเพิ่มขึ้นแล้ว ค่อยบุกนรกอีกทีก็ยังมีความั่นใจมากขึ้นหน่อย
ห้าปราชญ์ยังนึกว่าเหมียวอี้กำลังพูดเล่น หลังจากรอไปได้สักระยะ พบว่าเหมียวอี้จะเริ่มเก็บตัวฝึกตนจริงๆ ก็เรียกได้ว่าคิดวนเวียนอยู่กับเรื่องนี้ไม่หยุด
แม่ยายจอมเอาเปรียบอย่างอันหรูอวี้นับว่าทำหน้าที่ได้ดีมาก พยายามดูแลเรื่องที่อยู่และอาหารการกินให้เหมียวอี้อย่างสุดความสามารถ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือจิตใจของพ่อแม่ในโลกนี้ข่างน่าสงสาร นางทำแบบนี้ก็เพราะคำนึงถึงลูกสาวทั้งสองของตัวเอง
ส่วนทางด้านร้านโฉมเมฆา อวิ๋นจือชิวคงการติดต่อกับเหมียวอี้ไว้ตลอด หลังจากได้ยินว่าภายในสี่สิบปีนี้เหมียวอี้จะหลบฝึกตนอยู่ในนรก ไม่คิดจะให้เกิดการปะทะใดๆ อวิ๋นจือชิวก็นับว่าโล่งใจแล้ว ตราบใดที่หาที่ดีๆ หลบและไม่โผล่หน้าออกมา อย่างน้อยภายในสี่สิบปีนี้เหมียวอี้ก็ค่อนข้างปลอดภัย
เมื่อได้รู้ว่าเหมียวอี้สบายดีและอยู่ด้วยกันกับพวกจีฮวน พวกจีเหม่ยลี่ก็นับว่าวางใจลงชั่วคราวเช่นกัน
ถึงแม้เหมียวอี้จะไม่ได้บอกฝูชิง อิงอู๋ตี๋และสวีถังหรานเกี่ยวกับสถานการณ์ของตัวเอง แต่ก็ยังคงการติดต่อกับทั้งสามไว้ตลอด สำหรับทั้งสาม ขอเพียงได้รู้ว่าเหมียวอี้ปลอดภัย ทั้งสามก็จะไม่ทำอะไรซี้ซั้วเป็นการชั่วคราว เป็นเพราะเหมียวอี้คนเดียวเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของคนเยอะเกินไป
กลับเป็นคนพวกนั้นที่สมาคมร้านค้าของตำหนักสวรรค์ คอยเปลี่ยนวิธีการหาทางสืบข่าวจากสี่เขตเมืองอยู่ตลอด อยากจะแน่ใจความเป็นความตายของเหมียวอี้ พวกฝูชิงก็บอกไปว่าติดต่อไม่ได้เลย
ส่วนมู่หรงซิงหัวก็ติดต่อไม่ได้จริงๆ อย่าว่าแต่นางเลย แม้แต่หวงฝู่จวินโหรวกับปี้เยว่ฮูหยินก็ติดต่อไม่ได้เหมือนกัน
พอหลุดจากการควบคุมไปแล้ว เหมียวอี้ก็ไม่ยอมให้ใครมาบงการง่ายๆ อีก
“ติดต่อไม่ได้ หรือว่าจะเกิดเรื่องขึ้นแล้วจริงๆ?”
ในจวนของท่านโหวเทียนหยวน เมื่อเห็นปี้เยว่ฮูหยินใช้ระฆังดาราติดต่อเหมียวอี้ไม่ได้ผลอีกแล้ว ท่านโหวเทียนหยวนที่อยู่ในห้องโถงก็พึมพำพลางเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมา
ปี้เยว่ฮูหยินที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างกันเก็บระฆังดารา แล้วกลอกตามองเขาพร้อมบอกว่า “เป็นฝีมือเจ้าไม่ใช่รึไงล่ะ เจ้าหวังจะให้เกิดเรื่องขึ้นกับเขาไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้จะมาเป็นห่วงทำไม”
“เฮ้อ! ตอนแรกใครจะไปรู้ล่ะ ถ้ารู้แต่แรกว่าเป็นทหารเสือที่ห้าวหาญเชี่ยวชาญการรบขนาดนี้ จะให้ไปเป็นเทพแห่งผืนดินหรือผีหลักเมืองแล้วทุ่มทรัพยากรเลี้ยงสักหนึ่งหมื่นปีจะเป็นไรไป การส่งถ่านให้ยามหิมะตกก็คือเวลาที่จะได้ซื้อใจลูกน้องคนสนิท น่าเสียดายแล้ว” เทียนหยวนส่ายหน้าถอนหายใจไม่หยุด
“หึหึ…” ปี้เยว่ฮูหยินหันหน้าแสยะหัวเราะไม่หยุด
คนที่เสียใจที่สุดควรเป็นนางสิ พอนึกถึงความห้าวหาญที่เหมียวอี้สังหารฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้าน นางก็นึกเสียใจทีหลังแทบแย่ เดิมทีเป็นลูกน้องคนโปรดของตัวเอง แต่ตัวเองกลับทำหายไปแล้ว
นางกลอกตามองเทียนหยวน ต้องโทษเจ้าผีบ้านี่ที่ออกความคิดซี้ซั้ว คราวหลังถ้ามีเรื่องอะไรตัวเองต้องออกความคิดเองซะแล้ว…
เวลาผ่านไปเร็วเหมือนติดปีก ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วสี่สิบห้าปี
ในห้องถ้ำ ภายใต้การฝึกตน บนรอยนูนสีแดงตรงหว่างคิ้วที่ปรากฏดอกบัวสีทองสี่กลีบมาตลอดเบ่งบานออกมาอีกหนึ่งกลีบ กลายเป็นวรยุทธ์บงกชทองขั้นห้าแล้ว
เหมียวอี้ที่สงบนิ่งไม่สะทกสะท้านพลิกมือสองข้างเก็บยาเม็ดโลหิต พอโบกมือหนึ่งครั้ง เกราะอิทธิฤทธิ์ล่องหนที่เหมือนไข่มุกก็ครอบร่างกายตัวเองไว้ ยาแก่นเซียนหลายร้อยเม็ดลอยอยู่ในนั้น ยาแก่นเซียนที่ระเบิดกลายเป็นพลังจิตวิญญาณที่เข้มข้นเหมือนนมวัวทันที
หลังจากนั้นหนึ่งวัน หลังจากเก็บเกราะอิทธิฤทธิ์ล่องหนและยาแก่นเซียนที่เหลือแล้ว เหมียวอี้ก็ลืมตาและส่ายหน้าเบาๆ ความเร็วในการกลั่นกรองยาแก่นเซียนเพิ่มขึ้นอีกสามสิบเม็ด ในแต่ละวันจะกลั่นกรองได้สามร้อยยี่สิบเม็ด หรือพูดได้อีกอย่างว่า ถ้าอยากจะให้วรยุทธ์บรรลุถึงระดับบงกชทองขั้นหก ก็ต้องใช้เวลาอีกสองร้อยสามสิบปี
สำหรับนักพรตคนอื่นๆ ความเร็วแบบนี้ก็ถือว่ามากพอแล้ว แต่สำหรับเขาที่คุ้นชินกับพัฒนาการที่รวดเร็ว ความเร็วแบบนี้ถือว่าช้าเกินไป!
เมื่อออกจากห้องถ้ำ เหมียวอี้ก็มองดูเฮยทั่นที่นอนหมอบงีบอยู่ตรงปากถ้ำ แล้วหยิบแผนที่ดาวออกมาายอิทธิฤทธิ์อ่านดูจุดซ่อนสมบัติ
นี่ก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายที่เขามาที่นี่ ถ้าไม่ฉวยโอกาสนี้เก็บสมบัติไป นรกถูกปิดไว้ตลอด ในภายหลังถ้าอยากจะเข้ามาอีกก็ยากแล้ว และถ้าไม่ได้สมบัติฉบับนี้ อิงจากประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขา เกรงว่าคงต้องเลิกคิดที่จะหาสมบัติที่ซ่อนอยู่ตอนหลัง เหล่าไป๋นั่นใช้วิธีการซ่อนสมบัติแบบต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ ทำให้เจ้าไม่มีทางตัดใจทิ้งลง ทั้งยังไม่มีทางได้มาง่ายๆ ด้วย ทรมานคนใช้ได้เลย
สำหรับตำหนักสวรรค์และคนส่วนใหญ่ แดนอเวจีแทบจะเป็นสถานที่ว่างเปล่าที่ไม่มีใครรู้จัก โชคดีที่ในปีนั้นหกมหาราชันของพิภพใหญ่เคยดูแลที่นี่ อย่างน้อยบนแผนที่ดาวก็ยังบอกตำแหน่งดาวหลักและเส้นทางเข้าออกนรกอยู่บ้าง
เพียงแต่เห็นได้ชัดเจนมาก ว่าทางเข้าออกนรกไม่ได้มีแค่สองที่เหมือนที่บอกไว้บนแผนที่ดาว การที่พวกอวิ๋นอ้าวเทียนสามารถเข้ามาได้จากอีกทางก็ได้เป็นเครื่องพิสูจน์ยืนยันแล้ว เห็นได้ชัดว่าจำนวนดาวหลักไม่ได้มีแค่ที่ทำเครื่องหมายไว้บนแผนที่ดาว ถึงอย่างไรขอบเขตดาราจักรของแดนอเวจีก็กว้างใหญ่ไพศาลมาก
ที่โชคดีก็คือ ดาวหลักของจุดซ่อนสมบัติที่ต่อไปก็อยู่บนแผนที่ดาวเช่นกัน ไม่อย่างนั้นตอนแรกคงไม่มีทางรู้ได้ว่าจุดซ่อนสมบัติอยู่ที่นรก
สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้ปวดหัวก็คือ ต่อให้ตัดสินแยกแยะจากบนแผนที่ดาว แต่จุดซ่อนสมบัติของประมุขไป๋ในครั้งนี้อยู่ลึกเข้าไปในแดนอเวจี สถานที่แปลกใหม่ที่มีขอบเขตกว้างขวาง ไม่รู้เหมือนกันว่าซ่อนอันตรายอะไรเอาไว้บ้าง เหมียวอี้ค่อนข้างสงสัยว่าตัวเองจะสามารถไปถึงได้อย่างปลอดภัยหรือไม่
เป็นอย่างที่เขาคาดไว้ พอเขาออกจากห้องถ้ำ ห้าปราชญ์ก็ทยอยกันโผล่หน้าเข้ามาหาทันที ห้าปราชญ์ผลัดกันส่งลูกศิษย์มาเฝ้าไว้ตลอด เหมือนกับกลัวว่าเขาจะหนีไป
สำหรับสิ่งนี้ เหมียวอี้หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกจริงๆ ไม่รู้ว่าทำไมห้าคนนี้ถึงต้องการจะติดตามเขาแบบไม่ยอมปล่อย ตัวเองพูดเปิดเผยไปตั้งแต่แรกแล้ว ว่าหลังจากการทดสอบจบลง คนที่จะออกไปได้ก็มีแค่เขาคนเดียว เขาไม่มีทางพาห้าปราชญ์ผ่านด่านตรวจของตำหนักสวรรค์ได้เลย
“เฮ้อ!” เหมียวอี้ส่ายหน้าถอนหายใจ “พวกเจ้าจะเอาแต่จ้องข้าไม่ยอมปล่อยทำไม? ข้าจะบอกพวกเจ้าให้นะ อย่าคิดอะไรไม่ซื่อเด็ดขาด ทัพใหญ่ของนักพรตบงกชทองหนึ่งล้านข้าก็สังหารฝ่าเข้าฝ่าออกมาแล้วนะ ถ้าลงมือขึ้นมา ต่อให้พวกเจ้าห้าคนร่วมมือกัน ก็อาจจะยังเสียเปรียบก็ได้”
“รู้แล้วว่าเจ้าปีกกล้าขาแข็ง ตอนนี้ต่อสู้เก่งมาก ดังนั้นจึงไม่มีใครคิดไม่ซื่อกับเจ้าหรอก” อวิ๋นอ้าวเทียนพูดแดกดัน แล้วจ้องแผนที่ดาวที้เก็บอยู่ในมือเขา พร้อมถามว่า “ดูแผนที่ดาวเหรอ? เจ้ามีแผนการอะไรใช่มั้ย?”
ทุกคนจ้องไปที่เหมียวอี้ ค่อนข้างเป็นการจับตาดู
เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง แววตาวูบไหวเล็กน้อย แล้วจู่ๆ ก็พูดปนยิ้มว่า “ไม่มีแผนอะไรนี่”
“งั้นอยู่ดีๆ เจ้าจะดูแผนที่ดาวทำไม? จะหนีไปเหรอ?” มู่ฝานจวินถาม
“ข้าจะไปหรือไม่ไป แล้วเกี่ยวอะไรกับพวกเจ้าล่ะ?” เหมียวอี้ถามกลับ
ฉางเหลยประนมมือกล่าวว่า “เหมียวอี้ ลูกศิษย์ข้ากลายเป็นผู้หญิงของเจ้าแล้ว ตอนนี้ทุกคนมีความสัมพันธ์เป็นเครือญาติกัน เป็นครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น อยู่ที่นี่ควรจะสามัคคีเป็นหนึ่งเดียว”
เหมียวอี้เถียงทันทีว่า “ใครเป็นเจ้าเจ้า เจ้าบวชแล้วใครยังจะเป็นคนในครอบครัวเจ้าได้อีก ใครจะไปรู้ล่ะว่าเจ้ามีแผนชั่วร้ายอะไรหรือเปล่า”
พวกเขาค่อนข้างพูดไม่ออก อยู่ที่พิภพเล็กพวกเขาเป็นบุคคลระดับบน เป็นฝ่ายขอให้เจ้าเป็นหัวหน้าแต่เจ้าก็ไม่เต็มใจ แบบนี้มีอย่างที่ไหนกัน
ในหลายปีมานี้ ทั้งห้าคิดทบทวนตัวเองกลับไปกลับมาตลอด บอกว่าจะให้เหมียวอี้เป็นใหญ่ที่สุดในบรรดาทั้งหกคน แต่เหมียวอี้ก็ไม่เชื่อ ไม่เชื่อว่าโลกนี้มีเรื่องดีๆ แบบโชคหล่นทับแบบ ทำเอาห้าปราชญ์พูดไม่ออกมาก
แต่ทั้งห้าก็พอจะเข้าใจได้ ถ้าเปลี่ยนเป็นพวกเขา ก็เกรงว่าจะทำใจเชื่อได้ยากเช่นกันว่าจะมีเรื่องดีๆ แบบนี้ ทั้งห้าดันงมงายเชื่อในคำทำนายของเทพพยากรณ์ ไม่สะดวกจะบอกความจริงกับเหมียวอี้ ทำได้เพียงหน้าด้านเกาะแกะอยู่แบบนี้ สง่าราศีหมดสิ้นแล้วเมื่ออยู่ต่อหน้าเหมียวอี้!
ทั้งห้าก็เคยชินกับการเลิกวางมาดต่อหน้าเหมียวอี้แล้วเช่นกัน
จีฮวนถอนหายใจแล้วบอกว่า “ตามหลักการแล้วข้ายังเป็นพ่อตาของเจ้าอยู่นะ ต่อให้เจ้าจะไม่ไว้หน้าข้า แต่ก็ต้องไว้หน้าเหม่ยลี่สักนิดไม่ใช่เหรอ ลูกสาวก็ยกให้เจ้าแล้ว ตอนนี้เจ้าพูดตัดน้ำใจไมตรีแบบนี้ มันไร้เหตุผลไปหน่อยรึเปล่า พวกเราไม่ต้องพูดนอกเรื่องไปไกลหรอก พูดให้ชัดเจนแล้วกัน เจ้าไปไหนก็ต้องพาพวกเราไปด้วย”
เหมียวอี้เอามือลูบคางพร้อมถามว่า “ต้องการจะไปกับข้าจริงๆเหรอ? พวกเจ้าเองก็รู้ว่าข้ามาเพื่อเข้าร่วมการทดสอบ ต้องไปสืบสำรวจให้ทั่ว อยู่กับข้าอันตรายมากนะ พวกเจ้าไม่กลัวเหรอ?”
“ขนาดเจ้ายังกล้าไป แล้วพวกเรายังมีอะไรต้องกลัวอีกล่ะ” ซือถูเซี่ยวพูดเสียงอู้อี้
“ข้าแปลกใจจัง ทั้งๆ ที่รู้ว่าอันตราย แต่พวกเจ้าก็ยังจะไปกับข้า ข้าจะบอกเอาไว้ก่อนเลยนะ ข้าไม่มีผลประโยชน์อะไรให้ทั้งนั้น” เหมียวอี้ขมวดคิ้ว
“ไม่ต้องการผลประโยชน์หรอก ทุกคนต้องรวมกลุ่มสามัคคีกันสู้กับภายนอก” มู่ฝานจวินกล่าว
เหมียวอี้เอามือไขว้หลัง “พาพวกเจ้าไปด้วยก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่ข้าอยากจะรู้ว่าพวกเจ้าหนีรอดจากการไล่ฆ่าของนักพรตพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพได้จริงเหรอ พิสูจน์ให้ข้าดูหน่อยสิ” นี่ต่างหากที่เป็นจุดประสงค์ของเขา ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จะได้อาศัยแรงหลบหนีได้สะดวก
อวิ๋นอ้าวเทียนเริ่มหัวร้อนแล้ว เป็นเพราะหลายปีมานี้โดนเหมียวอี้ทรมาน เขาพูดดีด้วยหมดแล้วแต่ยังไม่ได้ผล พอวางมาดเป็นท่านปู่ เหมียวอี้ก็ทำท่าเหมือนแบ่งแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่คำทำนายของเทพพยากรณ์ เขาก็อยากจะสู้กับเหมียวอี้สักตั้งจริงๆ
เขาเองก็ขี้คร้านจะพูดมาก จู่ๆ ก็กางแขนสองข้าง บนตัวมีปราณมารลอยขึ้นมา ก่อตัวเป็นลูกกลมสองลูกที่หลังอย่างรวดเร็ว ก่อนจะระเบิดเป็นปีกสีดำเหมือนปีกค้างคาวอย่างรวดเร็ว พอกระพือปีกทั้งคู่ ทั้งร่างก็พุ่งขึ้นไปที่ขอบฟ้าด้วยความเร็วสูง ชั่วพริบตาเดียวก็หายไปแล้ว
เหมียวอี้ตกตะลึงกับความเร็วแบบนี้ เร็วกว่าตอนเฮยทั่นเหาะเสียอีก
จนกระทั่งอวิ๋นอ้าวเทียนบินกลับมาอีกครั้งและเก็บปีไว้ เหมียวอี้ก็ถามอย่างตกใจว่า “นี่คือความเร็วของนักพรตพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพเหรอ?” เขาเองก็ไม่เคยเห็นแบบจริงจังว่าเวลานักพรตระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพเหาะนั้นเร็วขนาดไหน
“ไม่ใช่ ความเร็วของนักพรตระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพ ข้าไม่มีทางเทียบติดเลย ครั้งก่อนที่หนีพ้นการไล่ฆ่าเป็นเพราะโชคช่วยแท้ๆ…” อวิ๋นอ้าวเทียนเล่าสถานการณ์คับขันตอนนั้นให้ฟังทันที
ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง! หลังจากเข้าใจแล้ว เหมียวอี้ก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง ยังหวังให้คนกลุ่มนี้มีทักษะเรื่องการหนีอยู่เลย ตอนนี้ดูท่าแล้วคงจะหวังไม่ได้
หลังจากครุ่นคิดพักหนึ่ง สุดท้ายก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ไปก็ไป! ไปด้วยกัน”
พาคนพวกนี้ไปด้วยอย่างน้อยก็มีกำลังเสริม ไม่อย่างนั้นเหมียวอี้คงไม่มารวมตัวกับพวกเขาหรอก
เมื่อเห็นเขาตอบตกลง ทั้งห้าก็โล่งใจแล้ว มู่ฝานจวินถามว่า “ไปไหน?”
“ไปวนแถวๆ ดาวหลักปิ่งจื้อฮ่าวก่อนแล้วกัน” เหมียวอี้ตอบ
ทั้งห้าได้ยินแล้วหยิบแผนที่ดาวออกมาดู ตอนยังไม่ดูก็ยังไม่รู้ พอได้ดูแล้วก็ตกใจ จีฮวนพลันเงยหน้าถามอย่างตกใจว่า “เจ้าจะถ่อไปไกลขนาดนั้นทำไม? ตรงนั้นแทบจะเป็นใจกลางของแดนอเวจีแล้ว! เจ้ามาสำรวจเพื่อทดสอบ ไม่จำเป็นต้องไปลึกขนาดนั้นหรอกมั้ง?”
เหมียวอี้เอามือลูบจมูก แล้วหัวเราะแห้งๆ “อยากร่ำรวยก็ต้องเสี่ยงอันตรายไง ถ้าสืบอะไรได้จากแหล่งที่ไม่มีคนกล้าไป แบบนั้นถึงจะมีโอกาสได้อันดับดีๆ”
“ศูนย์กลางของโจรกบฎมีอะไร คงไม่ต้องให้ข้าบอกเจ้าหรอกมั้ง? มิหนำซ้ำแดนอเวจีก็แปลกประหลาดเกินไป ถ่อไปไกลขนาดนั้นก็ไม่รู้ว่าจะเจอสถานการณ์อะไรบ้าง…” จีฮวนกล่าว
“จีฮวน!” มู่ฝานจวินพลันพูดตัดบท “ตามใจเขาเถอะ!”
…………………………
บทที่ 1217 โดนดักซุ่มโจมตี
โดย
Ink Stone_Fantasy
จีฮวนอึ้งไปชั่วขณะ แต่ไม่นานก็เข้าใจได้จากสายตาบอกใบ้ของมู่ฝานจวิน ประเด็นสำคัญยังคงอยู่ที่คำทำนายของเทพพยากรณ์ การฝืนขัดขวางเหมียวอี้อาจจะไม่ใช่เรื่องดี
ถึงแม้จะพูดแบบนี้ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นการเข้าไปสู่ใจกลางของแดนอเวจีเชียวนะ ในใจของพวกเขายังคงคิดวนเวียนสับสนอยู่บ้าง
เมื่อเห็นทุกคนไม่ห้ามอะไรแล้ว เหมียวอี้ก็ถามกลั้วหัวเราะว่า “ถ้าทุกคนไม่มีความเห็นแย้งอะไร ก็อย่าผัดวันประกันพรุ่งเลยแล้วกัน ออกเดินทางตอนนี้เลยดีมั้ย?”
ห้าปราชญ์ยังจะมีความเห็นแย้งอะไรได้อีก? ยอมเรียกรวมพลเพื่อออกเดินทางอยู่แล้ว
เพียงแต่ก่อนจะออกเดินทาง ฉางเหลยยังคงกล่าวว่าอามิตตาพุทธแล้วบอกว่า “เหมียวอี้ ที่นี่อันตราย เหมือนเจ้าจะได้เกราะรบผลึกแดงมาไม่น้อยเลย ไม่สู้ให้พวกเรายืมสักสองสามชุดล่ะ พวกเราจะได้มีหลักประกันบ้าง”
อวิ๋นอ้าวเทียนและตนตระกูลอวิ๋นไม่ขาดเกราะรบผลึกแดง อวิ๋นจือชิวเตรียมไว้ให้ตระกูลอวิ๋นอย่างครบครันตั้งแต่แรกแล้ว
ส่วนปราชญ์ที่เหลือ หลังจากดักฆ่าผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์สามคนก็ได้มาสามชุด นอกจากจะแบ่งจำนวนลำบากแล้ว เมื่อแบ่งไปก็ยังขาดแคลนอยู่ดี
“เงินที่พวกเจ้าติดข้ายังไม่คืนเลย ยังจะยืมอีกเหรอ?” เหมียวอี้ถามกลับ
เขาต้องป้องกันไว้ เพราะถ้าคนพวกนี้ได้ของวิเศษดีๆ แล้วจะไม่เป็นผลดีกับเขา หกเคล็ดวิชาพิเศษก็ไม่ใช่เล่นๆ
ห้าปราชญ์พูดไม่ออกเหมือนกันหมด โดนคำถามนี้อุดปากจนอับอายพอสมควร จะเถียงกลับประมาณว่ายกลูกศิษย์หรือลูกสาวให้แต่งงานกับเจ้าแล้วก็ไม่เหมาะสมอยู่ดี เป็นเพราะถ้ายืมเงินไปแล้วยังพูดจาแบบนั้นออกมา ก็จะไม่ต่างอะไรกับการขายลูกสาวตัวเอง จะยังพูดออกมาได้อย่างไร
ตอนนี้ห้าปราชญ์ยังคืนเงินไม่ไหว ทรัพย์สินบนตัวที่ได้มาจากการดักฆ่าผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์สามคนก็ยังพอมีอยู่บ้าง เพียงแต่ถ้าคืนตอนนี้ก็ยังรู้สึกแปลกนิดหน่อย และแน่นอน นอกจากอวิ๋นอ้าวเทียนแล้ว ตอนนี้คนในตระกูลอวิ๋นก็ยังคืนไม่ไหวแน่นอน ของที่อวิ๋นจือชิวให้ไว้มีไม่น้อย แค่เกราะรบผลึกแดงอย่างเดียวก็เยอะกว่าของบนตัวผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์สามคนนั้นรวมกันแล้ว
ห้าปราชญ์นับว่าประสบความพ่ายแพ้แล้ว พบว่าตัวเองวางมาดต่อหน้าเจ้าเวรนี่ไม่ไหวเลย อีกฝ่ายไม่ได้ใช้อำนาจกดดัน แต่การใช้เงินกดดันก็ทำให้เจ้าเถียงไม่ออกได้เหมือนกัน
“ช่างเถอะ!” ชั่วพริบตาเดียวเหมียวอี้ก็เลิกดึงดันแล้ว “ไม่เห็นแก่หน้าภิกษุสงฆ์ แต่ก็ควรต้องเห็นแก่หน้าพระพุทธรูป เห็นแก่บรรดาอนุภรรยาของข้า ข้าให้ยืมก็ได้ ต้องการกี่ชุดล่ะ?”
ถ้าไม่ขอยืมก็เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมอยู่ดี อยู่ในสถานที่อันตรายแบบนี้ยังมีคราวที่ต้องอาศัยพวกเขา ถ้าปกป้องไม่ได้แม้แต่ชีวิตตัวเอง การพกสมบัติมากมายไว้บนตัวจะมีประโยชน์อะไร? ถ้าให้ยืมไปก็ยังเพิ่มศักยภาพให้ฝั่งตัวเองได้ พอไตร่ครวญดูแล้วก็พบว่าให้ยืมจะคุ้มค่ามากกว่า
ฝั่งห้าปราชญ์ย่อมอยากจะให้ทุกคนได้คนละชุด ในเมื่อเหมียวอี้ตัดสินใจว่าจะให้แล้ว ก็ต้องทำเรื่องดีให้ถึงที่สุด ไม่เพียงแค่ให้เกราะรบผลึกแดงหนึ่งชุดสำหรับคนที่ไม่มี ทั้งยังให้สัตว์เทพกับทุกคนที่ยังไม่มีด้วย
หลังจากสมาชิกของห้าปราชญ์มากันครบและต่างคนต่างนำของไปแล้ว เพื่อความปลอดภัยและเพื่อไม่ให้สะดุดตาคนมากเกินไป พวกเขาต่างก็เก็บคนของตัวเองไว้ในกระเป๋าสัตว์แล้ว
เหมียวอี้กลับทำอย่างเรียบง่าย ใช้เท้าเตะครั้งเดียวก็ปลุกจนเฮยทั่นที่นอนงีบอยู่ตรงปากถ้ำตกใจจนกระโดดพรวดขึ้นมา พอถลันตัวขึ้นไปนั่งบนตัวของเฮยทั่นที่คับแค้นใจเล็กน้อย ตบคอเฮยทั่นเบาๆ เฮยทั่นก็แบกเขาพุ่งขึ้นฟ้าด้วยความเร็วสูงแล้ว
พวกอวิ๋นอ้าวเทียนก็ต่างคนต่างเรียกสัตว์พาหนะออกมาเช่นกัน ควบขี่กระโจนขึ้นฟ้าตามไป…
ลูกกลมสีดำขนาดใหญ่ลูกหนึ่งกำลังหมุนวนอยู่ในดาราจักรที่เงียบงัน บางครั้งก็มีสิ่งที่คล้ายกับแสงสว่างปรากฏให้เห็นรางๆ
หลังจากมีเสียงกรีดร้องดังขึ้นหลายครั้ง หลังจากการเข่นฆ่าอันดุเดือดหนึ่งฉาก
คนชุดดำนับหมื่นถลันวูบเข้ามาเก็บกวาดศพหลายพันร่าง ดูจากเกราะทองเครื่องแบบของตำหนักสวรรค์ที่สวมใส่อยู่บนตัวศพส่วนใหญ่ ก็สามารถรู้ได้ว่าเป็นคนของตำหนักสวรรค์ที่มาเข้าร่วมการทดสอบ มีคนชุดดำอีกส่วนหนึ่งรีบไล่ตามคนของตำหนักสวรรค์ที่หนีกระเจิดกระเจิง
ผ่านไปไม่นาน ไม่มีใครหลุดรอดไปได้สักคน ผู้เข้าร่วมทดสอบหลายพันที่บังเอิญมาถึงที่นี่ติดกับดักทั้งหมด
นักพรตบงกชรุ้ง สัญลักษณ์วรยุทธ์ที่แท่นจิตตรงหว่างคิ้ว ดอกบัวสีรุ้งแปดสิบเอ็ดกลีบที่มีเก้าสีคือวรยุทธ์สูงสุดของระดับบงกชทอง เบ่งบานเก้ากลีบเก้าสีจำนวนหนึ่งชั้นก็คือขั้นหนึ่ง เบ่งบานเก้าสีเก้าชั้นก็คือขั้นเก้า
คนชุดดำหน้าดำคนหนึ่งกำลังลอยอยู่ในดาราจักรเพื่อดูการต่อสู้ ใบหน้าไร้หนวดเคราะ บนใบหน้าเต็มไปด้วยความดุร้าย ตรงหว่างคิ้วเผยวรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นเจ็ด กำลังใช้สายตากวาดมองสนามรบที่ปิดฉากลง หลังจากคนกลุ่มหนึ่งมารายงานผลการรบแล้ว แตรสัญญาณลวดลายดุร้ายสีดำขลับคล้ายเขาวัวอันหนึ่งก็ถูกหยิบออกมา จากนั้นก็วางในปากแล้วออกแรงเป่า
“อู…อู…”
เสียงสะอื้นที่ทำให้ทำให้รู้สึกอึดอัดดังกระจายอยู่ในดาราจักรตามพลังอิทธิฤทธิ์
กำลังพลนับหมื่นหันขวับมองมา มองไปทางคนชุดดำที่กำลังเป่าแตรสัญญาณ จากนั้นก็รีบมารวมตัวกันทันที รุกถอยอย่างมีระเบียบ เห็นได้ชัดว่าเป็นกำลังพลที่ผ่านการฝึกมาอย่างยาวนาน
เมื่อเก็บแตรสัญญาณแล้ว คนชุดดำก็ก็หันตัวเหาะไปทางลูกกลมสีดำขนาดใหญ่ที่อยู่ข้างหลัง ส่วนกำลังพลนับหมื่นก็ไล่ตามเช่นกัน
หลังจากเข้าใกล้วัตถุทรงกลมลูกนั้น ถึงได้พบว่าลูกกลมสีดำลูกนั้นคือก้อนหินโลหะสีดำมันวาวทั้งเล็กทั้งใหญ่นับไม่ถ้วนที่รวมตัวกันอย่างไร้ระเบียบ ลูกที่ใหญ่ก็มีขนาดเท่าภูเขา ลูกที่เล็กก็ขนาดเท่าก้อนกรวดทราย ดูคล้ายฉากกั้นขณะหมุนวนด้วยความเร็ว มองไกลๆ เหมือนรวมเป็นก้อนเดียวกัน
เมื่อเผชิญกับกระแสหินที่ยากจะทะลุผ่านไปได้หากไม่ใช้พลังอันแข็งแกร่ง กำลังพลนับหมื่นก็กลายเป็นหมอกหยินทะลุเข้าไประหว่างกระแสหินแล้ว ทั้งหมดเป็นนักพรตผี
จนกระทั่งลอดผ่านกระแสหินที่ปกคลุม หมอกหยินหลายกลุ่มก็ก่อตัวเป็นร่างคนอีกครั้งในชั่วพริบตาเดียว กำลังพลนับหมื่นปรากฏตัว แล้วเหาะไปข้างหน้าต่อไป ด้านหน้าต่างหากที่เป็นดาวเคราะห์ที่แท้จริง ส่วนสิ่งที่มองเห็นจากภายนอกล้วนเป็นกระแสหินที่ครอบคลุมปกป้องอยู่หนึ่งชั้น
คนกลุ่มหนึ่งเหยียบลงบนดินแดนมืดมิดที่ไร้แสงจากดวงอาทิตย์ มีเพียงบนภูเขาหินแหลมเหมือนกระดูกที่มีแสงสลัวกะพริบเป็นบางครั้ง ต้นไม้ใบหญ้าเติบโตไม่ได้ ลมอันหนาวเหน็บพัดหวีดหวิว
ระหว่างซอกของภูเขาหินตะปุ่มตะป่ำ ในห้องถ้ำเผยศีรษะใบแล้วใบเล่า มองไม่ออกว่าใบหน้าแต่ละหน้าอยู่ในอารมณ์แบบไหน กำลังมองดูกำลังพลที่กลับมา พวกเขาทั้งหมดเป็นคนชุดดำเช่นกัน มองดูคร่าวๆ เกรงว่าจะมากถึงหลายหมื่น ไม่มีใครพูดจาสักคน ได้ยินเพียงเสียงลมพัดหวีดหวิว
ปราณหยินที่เกิดจากการรวมตัวของนักพรตผีจำนวนมากพัดผ่านระหว่างภูเขาไปตามสายลม
ในบรรดาคนที่เหยียบลงพื้น พอหนึ่งคนในนั้นที่เป็นหัวหน้าโบกมือ คนชุดดำนับหมื่นก็โยนร่างของกำลังพลตำหนักสวรรค์หลายพันร่างออกมาทันที ศพกองรวมเป็นภูเขา
ไม่ใช่ว่าจะเป็นศพทั้งหมด ยังมีจำนวนอีกหลายร้อยที่เป็นเชลยศึก แต่ละคนถูกดาบจ่อคอให้คุกเข่าลงกับพื้น บรรดาเชลยศึกที่ไม่พิการก็บาดเจ็บพอโผล่หน้ามาก็มองไปรอบๆ อย่างตื่นตระหนก เห็นเพียงใบหน้าไร้อารมณ์จำนวนมากที่อยู่ระหว่างซอกของภูเขาหินตะปุ่มตะป่ำกำลังมองพวกเขาอยู่
ใบหน้าพวกนั้นกำลังมองพวกเขาอย่างเงียบๆ มองอย่างนิ่งเฉย ไม่มีทางบรรยายได้ว่าในดวงตาแต่ละคู่นั้นเป็นแววตาแบบไหน เป็นแววตาประเภทที่มองไม่เห็นความหวังใดๆ ราวกับเป็นผีดิบที่เดินได้ เมื่อโดนแววตาแบบนี้หลายคู่จ้องมอง บรรดาเชลยศึกที่คุกเข่าอยู่บนพื้นก็รู้สึกเหมือนหัวใจเจอกับอากาศหนาว
ในบรรดาทหารสวรรค์ที่นั่งคุดเข่า จู่ๆ ก็มีคนตะโกนเสียงดังอย่างวิตกจริตว่า “ยอมแพ้! ข้ายอมแพ้…”
แต่ใครจะคิดว่ายังพูดไม่ทันจบ ก็โดนนักพรตผีที่ใช้ดาบจ่ออยู่ข้างหลังฟันทิ้งแล้ว เสียงร้องขอชีวิตพลันหยุดชะงัก เลือดร้อนที่พุ่งขึ้นมาจากอกถูกลมพัดสลายหายไป ศีรษะใบใหญ่ที่กลิ้งไปไกลตามสายลมติดค้างอยู่ที่ภูเขาหินแล้ว
คนอื่นๆ ที่เดิมทีคิดจะร้องขอชีวิตตามตกใจจนหุบปากทันที คำพูดที่ขึ้นมาถึงปากถูกกลืนลงไปอีกครั้ง
มีคนออกมาต้อนรับ กุมหมัดคารวะผู้ที่เป็นหัวหน้าคนนั้นว่า”ผู้บัญชาการกวน”
“ขุนพลอยู่ที่ไหน?” ผู้ที่ถูกเรียกว่าผู้บัญชาการกวนถามเสียงต่ำ
“บนภูเขาขอรับ!” คนคนนั้นหันตัวแล้วชี้ไป
ผู้บัญชาการกวนเหลือบตาขึ้นมองตาม ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองไป บนยอดเขาของภูเขาลูกที่สูงที่สุด ยอดเขาที่โดนลมพัดม้วนปราณหยินสีเทาขึ้นมาปกคลุม ชายชุดดำรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งสวมผ้าคลุมบ่าสีดำที่กำลังปลิวสะบัดตามแรงลม ผมยาวยุ่งสยายปลิวว่อนตามสายลม หนวดยาวหลายช่อก็แกว่งไกวตามแรงลมเช่นกัน ใบหน้าขาวหมดจด กำลังเอามือไขว้หลังมองท้องฟ้า ในแววตาที่ล้ำลึกเผยให้เห็นอารมณ์งงงวยเหม่อลอย มองข้ามเชลยศึกที่ลูกสมุนคุมตัวมา ไม่รู้ว่ากำลังใคร่ครวญอะไรอยู่
ผู้บัญชาการกวนถลันตัวขึ้นมา เหยียบลงบนยอดเขาที่ตัดสลับกันเหมือนฟันสุนัข เสียงลมที่พัดผ่านระหว่างภูเขาหินระเกะระกะยิ่งฟังดูแหลมและเศร้ารันทด
หลังจากเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว ก็กุมหมัดคารวะว่า “รายงานท่านขุนพล โจรกบฏอ่อนแอ ดักฆ่าโจรกบฏได้สี่พันสี่ร้อยสี่สิบเอ็ดคน จับผู้รอดชีวิตมาได้สามร้อยเจ็ดคน ไม่มีใครหลุดรอดไปได้ กองกำลังรบของข้าตายไปหกคน ได้รับชัยชนะโดยสมบูรณ์ ได้โปรดชี้แนะว่าจะให้จัดการอย่างไรขอรับ” ในคำพูดของเขา ไม่น่าเชื่อว่ากำลังพลของตำหนักสวรรค์จะกลายเป็นโจรกบฏแล้ว!
ขุนพลคนนั้นเหลือบตาลงเล็กน้อยเพื่อมองสถานการณ์ตรงตีนเขา แล้วถามเสียงเรียบว่า “อาณาเขตผืนนี้ที่พวกเรารับผิดชอบ วางด่านตรวจไว้หมดแล้วรึยัง?”
“วางกำลังไว้หมดแล้วขอรับ สายลับกล้าได้กล้าเสีย ขอเพียงแค่มีคนผ่านอาณาเขตผืนนี้ ก็จะถูกพบทันที” ผู้บัญชาการกวนตอบ
ตอนนี้ขุนพลถึงได้ตอบว่า “จัดการตามธรรมเนียมเดิมแล้วกัน”
“ขอรับ!” ผู้บัญชาการกวนกุมหมัดคารวะแล้วถอยออกไป
พอกลับมาที่ตีนเขา เสียงคำสั่งดังขึ้น เชลยศึกตำหนักสวรรค์หลายร้อยคนก็ถูกกดไว้ทันที ปราณหยินหลายกลุ่มม้วนกรอกเข้าไปในร่างกายของพวกเขา ต้องการจะหลอมสร้างเชลยศึกทุกคนให้กลายเป็นผีดิบเพื่อกรีดเอาเม็ดยาหยิน
“อา…” บรรดาเชลยศึกที่รู้ชะตากรรมตัวเองแล้วส่งเสียงร้องออกมาอย่างเจ็บปวดทรมานเกินทน แต่ถูกควบคุมตัวไว้จึงไม่มีทางขัดขืนได้เลย
ขณะเดียวกันก็มีคนเริ่มจัดการศพนับพันที่กองกันเหมือนภูเขาแล้ว จัดการสิ่งของที่อยู่บนตัวศพ
ผู้บัญชาการกวนที่กำลังยืนมองลูกสมุนทำงานอย่างเงียบๆ จู่ๆ ก็คิ้วกระตุกเล็กน้อย เขาหยิบระฆังดาราออกมา แล้วเขย่าถามว่า : มีเรื่องอะไร?
สายลับส่งข่าวกลับมาว่า : รายงาน! ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้มีสัตว์พาหนะหกตัวเข้ามาใกล้ คาดว่าอีกประมาณหนึ่งชั่วยามจะไปถึง!
ผู้บัญชาการกวน : แน่ใจนะว่ามีแค่หกคน?
สายลับ : ขอรับ! ไม่เห็นสมาชิกคนอื่นๆ
ผู้บัญชาการกวนเก็บระฆังดารา แล้วเรียกรวมกำลังพลจำนวนแปดร้อยคน ก่อนจะทะยานขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว
หกคนที่สายลับรายงานก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นหกปราชญ์คนใหม่ที่มีเหมียวอี้เป็นหัวหน้า
พวกเหมียวอี้ย่อมนึกไม่ถึงอยู่แล้ว เพิ่งจะออกจากที่ซ่อนตัวหลายสิบปีได้ไม่ถึงครึ่งวัน ก็โดนคนจับตามองเสียแล้ว
หกคนที่ขี่สัตว์พาหนะทะยานอยู่ในดาราจักรมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวังอยู่ตลอด แต่ก็ไม่พบเบาะแสอะไร
เมื่อบุกเข้ามาในบริเวณที่มีหินระเกะระกะและกำลังจะผ่านออกไป จู่ๆ ก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ ทั้งหกแทบจะหยุดพร้อมกัน เห็นเพียงข้างหน้ามีคนชุดดำหนึ่งร้อยคนพุ่งออกจากหลังก้อนหินที่ลอยอยู่กลางอากาศอย่างกะทันหัน มาขวางทางพวกเขาเอาไว้
ทั้งหกรีบมองไปรอบๆ อีกครั้ง ไม่ใช่แค่ด้านเท่านั้น แต่สี่ด้านแปดทิศล้วนมีกำลังพลหนึ่งร้อยคนโผล่มา ตัดขาดทางเข้าและทางถอยของพวกเขาแล้ว
โดนดักซุ่มโจมตีแล้ว! ในใจทั้งหกเกิดความคิดนี้แทบจะพร้อมกัน
ทั้งหกล้วนมีประสบการณ์ในสนามรบมายาวนาน พอเห็นสภาพเหตุการณ์แบบนี้ก็รู้ทันทีว่าเป็นการดักซุ่มแบบพุ่งเป้าหมาย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาโดนจับตามองแต่ไม่รู้ตัว เห็นได้ชัดว่าคนพวกนี้ไม่ใช่คนของตำหนักสวรรค์ พอใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์กวาดมองก็ดูออกว่าเป็นนักพรตผีเหมือนกันหมด
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าได้ปะทะกับคนในนรกแล้ว ทั้งหกรีบส่งสายตาให้กัน ในใจแอบร้องว่าท่าไม่ดีแล้ว แต่กลับไม่มีใครทำแสดงสีหน้าหวาดกลัว รีบสวมเกราะรบผลึกแดงเตรียมต่อสู้ในทันที
“ผีเฒ่าซือถู เจ้าเป็นราชาผี ชำนาญการรับมือกับนักพรตผีที่สุด ศึกแรกนี้ต้องพึ่งพาเจ้าแล้ว เจ้าเป็นกองหน้า พวกเราห้าคนจะระวังหลังให้เจ้า ป้องกันบนล่างซ้ายขวาให้เจ้า เจ้าสนใจแค่บุกสังหารไปข้างหน้าก็พอ ทุกคนต้องทำให้อีกฝ่ายรู้สึกพ่ายแพ้ในศึกเดียว โจมตีให้เกิดช่องโหว่” มู่ฝานจวินรีบสั่งทางซ้ายและขวา
“อย่าพัวพันอยู่กับพวกมัน ถ้าสังหารฝ่าออกไปได้ ก็หนีไปทันที!” จีฮวนก็กล่าวเสียงต่ำเช่นกัน
…………………………
บทที่ 1218 สถานการณ์อะไร
โดย
Ink Stone_Fantasy
ไม่อยากพัวพันและก็พัวพันไม่ได้ด้วย ประการแรกเป็นเพราะฝ่ายตรงข้ามมีคนเยอะ ประการต่อมาเป็นเพราะวรยุทธ์ที่แสดงบนหว่างคิ้วของฝ่ายตรงข้ามล้วนเป็นบงกชทองขั้นห้าขึ้นไป
แทบจะไม่ต้องบอก ซือถูเซี่ยวควบสัตว์เทพบุกโจมตีข้าศึกอยู่ข้างหน้า เหมียวอี้และอีกสี่คนรีบหาตำแหน่งที่ให้ความร่วมมือ วางรูปแบบขบวนทัพเพื่อบุกโจมตีไปข้างหน้า
บนดาวเคราะห์ขรุขระดวงหนึ่งที่มีความยาวเส้นรอบวงหลายสิบจั้ง ขณะผู้บัญชาการกวนจ้องขบวนทัพบุกโจมตีข้าศึกที่ทั้งหกวางกำลังอย่างรวดเร็ว ก็หรี่ตาเล็กน้อยพร้อมบอกว่า “หกคนนี้ไม่เหมือนกำลังพลของตำหนักสวรรค์ที่เจอก่อนหน้านี้ มีประสบการณ์รบที่กำลังพลก่อนหน้านี้เทียบไม่ติด บอกให้เหล่าพี่น้องระวังตัวหน่อย อย่าประมาทเลินเล่อ”
“อู…” หนึ่งในคนที่ยืนอยู่ทางซ้ายและขวาหยิบแตรเขาวัวอันหนึ่งออกมาทันที เป่าเสียงสั้นๆ หนึ่งครั้งเพื่อเตือนให้ลูกน้องระวังตัว
หกคนที่จัดขบวนทัพบุกโจมตีเข้ามากลับแอบร้องในใจว่าแย่แล้ว เป็นเพราะแตรเขาวัวทำให้พวกเขาสังเกตเห็นผู้บัญชาการกวน วรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นเจ็ดตรงหว่างคิ้วของผู้บัญชาการกวนไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ส่วนคนที่ยืนอยู่ข้างซ้ายและขวาของผู้บัญชาการกวน คนหนึ่งเป็นนักพรตระดับบงกชรุ้งขั้นสี่ คนหนึ่งเป็นระดับบงกชรุ้งขั้นสาม
ลำพังแค่วรยุทธ์ของสามคนนี้แสดงออกมา ก็เพียงพอที่จะทำให้ทั้งหกคนเหลือทนแล้ว
ไม่น่าเชื่อว่าจะได้สู้กับนักพรตระดับบงกชรุ้งโดยตรง! เหมียวอี้แอบรู้สึกจนปัญญา นี่เพิ่งโผล่หน้าออกมาจากสถานที่ที่ซ่อนตัวได้ไม่กี่สิบปี ก็เจอกับตอปัญหาแบบนี้แล้ว ต้องโดนที่ซ่อนสมบัติของประมุขไป๋วางกับดักให้ตายแน่นอน ดีไม่ดีครั้งนี้อาจจะตายด้วยน้ำมือของประมุขไป๋แล้วจริงๆ!
แต่เขาเองก็เข้าใจเช่นกัน ถ้าจะโทษก็ต้องโทษที่ตัวเองโลภเกินไป เดิมทีสมบัติที่ประมุขไป๋ซ่อนไว้ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาอยู่แล้ว ถ้าไม่มีความคิดอยากจะได้สมบัติที่ซ่อนเอาไว้นี้ ต่อให้เข้ามาในนรกแล้ว แต่ตราบใดที่ไม่บุกเข้ามาถึงใจกลางนรก ก็คงไม่เจอกับปัญหายุ่งยากแบบนี้ ตอนนี้มาพูดอะไรก็คงสายไปแล้ว
ด้านหน้ามีศัตรูที่แข็งแกร่งคุมสถานการณ์ ซือถูเซี่ยวที่บุกโจมตีข้าศึกอยู่ข้างหน้ากล่าวเสียงต่ำว่า “เลี้ยวซ้าย!”
ทิศทางที่ทั้งหกคนรวมกลุ่มพุ่งโจมตีเลี้ยวไปทางขวาอย่างรวดเร็ว อวิ๋นอ้าวเทียนพูดต่ออีกว่า “หลังจากสังหารฝ่าออกไปได้แล้วก็เข้ามาในกระเป๋าสัตว์ของข้าทันที”
คนที่เหลือเข้าใจความหมายที่เขาจะสื่อ พอฝ่าออกไปได้แล้วก็จะอาศัยเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานของเขาช่วยหลบหนีทันที แบบนั้นยังมีความหวังว่าจะรอดตัวไปได้บ้าง ไม่อย่างนั้นถ้าได้สู้กับนักพรตบงกชรุ้งสามคนในรวดเดียว อาศัยวรยุทธ์อย่างเขาก็ไม่มีทางต่อสู้กันได้เลย ถ้ามีแค่คนเดียวยังพอลองดูได้บ้าง
กำลังพลจากสี่ด้านแปดทิศล้อมพุ่งเข้ามาโจมตีอย่างรวดเร็ว โดยแบ่งเป็นกลุ่มย่อยสามคนและจัดขบวนทัพเล็กรูปสามเหลี่ยม
ซือถูเซี่ยวที่โจมตีเป็นกองหน้าก็ไม่ได้อ่อนหัด เพื่อที่จะทำให้ขบวนทัพโจมตีของฝ่ายตรงข้ามไร้ระเบียบ เขาผลักฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา ในชั่วพริบตาเดียวก็ระเบิดคนที่หน้าตาเหมือนซือถูเซี่ยวออกมาหลายสิบคน กำลังพุ่งโจมตีไปข้างหน้า
ในบรรดากำลังพลแปดร้อยที่ล้อมโจมตี มีบางคนที่เห็นฉากนี้แล้วทำสีหน้าตกใจมาก
“เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยาง?” ผู้บัญชาการกวนที่ดูการต่อสู้พลันเบิกตากว้าง พลางหลุดอุทานออกมา เขาพลิกมือเผยแตรเขาวัวแล้วเป่า “อู” อย่างดุเดือดเร่งด่วน
กำลังพลแปดร้อยที่ล้อมโจมตีรีบหยุด กองกำลังที่มาดักหน้าโจมตีทั้งหกคนถึงขั้นรีบแยกออกไปทางซ้ายและขวาอย่างเร่งด่วน แทบจะเกิดเป็นทางเดินอย่างคับขันในชั่วพริบตาที่ประมือกัน
ซือถูเซี่ยวที่หน้าตาเหมือนกันหลายสิบคนบุกนำออกไปก่อน ส่วนซือถูเซี่ยวตัวจริงที่นำทั้งห้าคนบุกโจมตีข้าศึกอยู่ข้างหน้ากลับงงงันอยู่พักหนึ่ง พวกเหมียวอี้ที่เตรียมตัวจะสู้สุดชีวิตแต่คว้าน้ำเหลวก็ทำสีหน้างุนงงเช่นกัน นี่มันหมายความว่าอะไร?
พอพวกเขาหันกลับไปมอง ก็พบว่าคนพวกนั้นไม่ได้ไล่ตามมาอีก ทำเอาพวกเขาสับสนงงงวยแล้ว
ส่วนผู้บัญชาการกวนนั่นก็แฉลบไล่ตามมาแล้ว นักพรตบงกชรุ้งที่อยู่ทางซ้ายและขวาก็ตามมาเช่นกัน
เหมียวอี้และห้าปราชญ์ตกใจมาก แต่ก็เข้าใจในชั่วพริบตาเดียว สงสัยอีกฝ่ายจะทำไปเพื่อลดการบาดเจ็บล้มตาย จึงให้นักพรตบงกชรุ้งสามคนลงมือเองแล้ว
ตอนนี้ไม่มีกะจิตกะใจจะคิดอะไรมากขนาดนั้น เอาตัวรอดให้ได้ก่อนต่างหากที่สำคัญที่สุด ซือถูเซี่ยวที่ไล่ตามวิชาแยกร่างของตัวเองทันโบกมือดูดร่างหลายสิบร่างเข้ามาในร่างกายของตัวเองทั้งหมด
จากนั้นซือถูเซี่ยว มู่ฝานจวิน ฉางเหลย จีฮวนและเหมียวอี้ก็รีบเก็บสัตว์พาหนะของตัวเองเข้าในกระเป๋าสัตว์ ก่อนจะเป็นฝ่ายเข้าไปในกระเป๋าสัตว์ของอวิ๋นอ้าวเทียนอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง เบียดเข้าไปอยู่ในรังเดียวกัน
พออวิ๋นอ้าวเทียนกางแขนสองข้าง ทั้งตัวก็มีปราณมารลอยวนเวียนทันที ก่อตัวกลายเป็นลูกกลมสีดำสองลูกที่แผ่นหลัง แล้วระเบิดกลายเป็นปีกสีดำขลับสองข้างอย่างรวดเร็ว จากนั้นโบกมือเก็บสัตว์พาหนะของตัวเอง แล้วกระพือปีกบินไปยังจุดลึกในดาราจักรอย่างรวดเร็ว
“เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทาน!” ผู้บัญชาการกวนที่ไล่ตามมาข้างหลังหลุดอุทานอีกครั้ง ก่อนหน้านี้สีหน้าของเขายังดูประหลาดใจสงสัยและไม่กล้าแน่ใจอยู่บ้าง แต่ตอนนี้พอได้เห็นปีกสองข้างของอวิ๋นอ้าวเทียน ขณะที่กำลังตกตะลึง แววตาก็วูบไหวร้อนรน ตะโกนบอกทันทีว่า “สหายที่อยู่ข้างหน้า พวกเราไม่ได้มีเจตนาไม่ดี ได้โปรดหยุดก่อน!”
จะไปหยุดทำผีอะไรล่ะ ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ถ้าอวิ๋นอ้าวเทียนเชื่อฟังได้ก็แปลกแล้ว ปีกสองข้างกระพืออย่างรีบเร่ง เรียกได้ว่าบินด้วยความเร็วสุดกำลัง
เมื่อเห็นว่าตะโกนเรียกไม่ได้ผล ผู้บัญชาการกวนก็สะบัดแขนสองข้าง ความเร็วในการเหาะเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน ความเร็วในการไล่ตามเพิ่มขึ้นจนถึงระดับสูงสุดแล้ว
ทำให้ลูกน้องสองคนที่อยู่ทางซ้ายและขวาค่อยๆ ทิ้งระยะห่างจากเขาทันที
อวิ๋นอ้าวเทียนที่หันกลับมามองเป็นระยะแอบร้องว่าแย่แล้ว วรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นเจ็ดของอีกฝ่ายไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย ถึงแม้จะไม่ได้ตามเขาทันในทันที แต่กลับย่นระยะห่างให้ใกล้กันทีละนิด ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปอีกไม่นานจะต้องตามทันแน่นอน
ตอนนี้เขานับว่าได้พิสูจน์และมั่นใจเรื่องอะไรบางอย่างแล้ว อาศัยวรยุทธ์ของเขาในตอนนี้ ต่อให้ใช้ท่า ‘วิถีมารครองใต้หล้า’ ก็ไม่มีทางหนีรอดเงื้อมมือนักพรตบงกชรุ้งไปได้เลย
และไม่นานความจริงก็ได้พิสูจน์การคาดการณ์ของเขาแล้ว ผู้บัญชาการกวนค่อยๆ ตามติดอยู่ข้างหลัง แล้วกล่าวเสียงดังว่า “สหาย ข้ารับรองว่าไม่มีเจตนาร้ายแน่นอน ได้โปรดหยุดก่อน!”
อวิ๋นอ้าวเทียนรีบหันกลับมามอง เมื่อเห็นตรงจุดไกลๆ มีนักพรตบงกชรุ้งอีกสองคนตามมา เขาก็ไหวตัวเร็วมาก ตอบกลับทันทีว่า “ถ้าอยากจะพิสูจน์ว่าตัวเองไม่มีเจตนาร้าย ก็ให้คนของเจ้าถอยไปเดี๋ยวนี้”
ถึงอย่างไรก็หนีไม่พ้นแล้ว เคยมีประสบการณ์สู้กับจูเชียนซือมาก่อน ถ้าอีกฝ่ายกล้าอยู่คนเดียว เมื่อลงมือต่อสู้กันขึ้นมา ฝ่ายตัวเองมีหกคนร่วมมือกันก็ยังพอมีหวังรอดชีวิตได้บ้าง ถ้าให้สู้กับนักพรตบงกชรุ้งสามคนในรวดเดียว ฝ่ายตัวเองจะต้องรับไม่ไหวแน่นอน
ผู้บัญชาการกวนหยิบแตรเขาวัวออกมาเป่า “อูอู” สองครั้งทันที
นักพรตบงกชรุ้งสองคนข้างหลังที่ไล่ตามไม่หยุดสบตากันแวบหนึ่ง จากนั้นหยุดและหันตัวเลี้ยวทันที รีบเหาะกลับไปหาจุดที่กำลังพลแปดร้อยอยู่
ผู้บัญชาการกวนเก็บแตรเขาวัว แล้วกล่าวว่า “ตอนนี้เป็นอย่างไร? ทำตามที่เจ้าพูดแล้ว”
อวิ๋นอ้าวเทียนตอบว่า “เจ้าเองก็ถอยหลังออกไปร้อยจั้ง” เขาต้องทิ้งระยะห่างที่ปลอดภัยไว้ให้ตัวเองตอบโต้สักหน่อย
“ได้!” ผู้บัญชาการกวนตอบตกลง แล้วลดความเร็วในการเหาะทันที รักษาระยะห่างกับอวิ๋นอ้าวเทียนเป็นระยะหนึ่งร้อยจั้ง
เจ้าบ้านี่กำลังเล่นบ้าอะไรกันแน่? อวิ๋นอ้าวเทียนไม่ค่อยเข้าใจ อาศัยกำลังของอีกฝ่ายก็ไม่จำเป็นต้องกลัวพวกเขา ไม่รู้เหมือนกันว่าคิดจะทำอะไร
ไม่สามารถทำความเข้าใจคำถามนี้ได้ในทันที เขารู้เพียงว่าไม่สามารถรอดพ้นจากความเร็วของอีกฝ่ายได้แน่นอน ถ้าสามารถหาทางกำจัดอีกฝ่ายทิ้งก่อนได้ ก็จะสามารถรอดพ้นจากคนที่เหลือได้
อวิ๋นอ้าวเทียนรีบกวาดสายตามองไปรอบๆ แวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่มีความผิดปกติแล้ว จึงค่อยๆ ลดความเร็วในการเหาะให้ช้าลง เห็นผู้บัญชาการกวนที่อยู่ข้างหลังรักษาสัญญา ลดความเร็วตามเช่นกัน รักษาระยะห่างกับเขาหนึ่งร้อยจั้งตลอด หลังจากฝ่ายอวิ๋นอ้าวเทียนหยุดอยู่กับที่ เขาก็หยุดแล้วเช่นกัน
หลังจากเก็บปีกแล้ว อวิ๋นอ้าวเทียนก็หันตัวกลับมาคุมเชิงกับผู้บัญชาการกวนอยู่ไกลๆ พอโบกมือหนึ่งครั้ง พวกเหมียวอี้ที่โผล่ออกมาอีกครั้งหลังจากเข้าไปอยู่ในกระเป๋าสัตว์ได้ไม่นานก็ค่อนข้างประหลาดใจ เมื่อเห็นผู้บัญชาการกวนอยู่ไม่ไกล เหมียวอี้ก็พลิกฝ่ามือเรียกธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์กับลูกธนูดาวตกออกมาเตรียมพร้อมโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
พวกเขาประหลาดใจสงสัย มู่ฝานจวินถามเสียงต่ำว่า “สถานการณ์อะไรกัน?”
อวิ๋นอ้าวเทียนจะไปรู้ได้อย่างไรว่าสถานการณ์อะไร เขาเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน จึงรีบเล่าเหตุการณ์เมื่อครู่ให้ฟังรอบหนึ่ง พร้อมทั้งแอบถ่ายทอดเสียงบอกทั้งห้าคน ขอเพียงทุกคนร่วมมือกันกำจัดนักพรตบงกชรุ้งคนนี้ทิ้งได้ เขาก็สามารถพาทุกคนหนีไปได้
เมื่อเห็นคนที่เหลือไม่มีความเห็นแย้งอะไร เหมียวอี้ก็กระตุกมุมปากเล็กน้อย เขาพบว่าอีกห้าคนโหดจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าคิดจะกำจัดบงกชรุ้งนักพรตบงกชรุ้งขั้นเจ็ดทิ้ง ไม่แปลกใจที่กล้าปล้นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์
เขายังไม่รู้ว่าพวกอวิ๋นอ้าวเทียนเคยร่วมมือกันกำจัดนักพรตบงกชรุ้งทิ้งไปแล้วคนหนึ่ง มีข่าวบางอย่างที่ตำหนักสวรรค์ไม่ได้ปล่อยออกไป กลัวว่าจะส่งผลกระทบให้กำลังพลฝ่ายตัวเองเสียขวัญกำลังใจ ดังนั้นเหมียวอี้จึงไม่เคยได้ยินมาก่อนเช่นกัน
ส่วนผู้บัญชาการกวนก็จ้องซือถูเซี่ยวครู่หนึ่ง หลังจากแน่ใจแล้วว่าเป็นนักพรตผีเหมือนกัน ก็โบกมือชี้ซือถูเซี่ยวจากที่ไกลๆ พร้อมกล่าวถามเสียงดังว่า “สหายนักพรตผีท่านนี้ ขอบังอาจถามหน่อยว่าท่านฝึก ‘เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยาง’ ใช่หรือไม่?”
พวกเหมียวอี้ได้ยินแล้วชะงักไปครู่หนึ่ง หรือว่านักพรตผีคนนี้อยากจะแย่งหกเคล็ดวิชาพิเศษ?
เมื่อรู้ว่าเคล็ดวิชาฝึกตนถูกเปิดโปงแล้ว ซือถูเซี่ยวก็ถามกลับเสียงดังว่า “ใช่แล้วยังไง ไม่ใช่แล้วยังไง?”
ผู้บัญชาการกวนกล่าวเสียงดังอีกว่า “ข้าคือกวนหลงซาน ผู้บัญชาการใต้บังคับบัญชาของประมุขปราชญ์ลัทธิผี ขอบังอาจถามว่าสหายมีที่มาที่ไปอย่างไร เป็นคนที่ประมุขชิงส่งมาทดสอบหรือ?”
พวกเหมียวอี้ได้ยินแล้วมองหน้ากันเลิกลั่ก จีฮวนพูดหยอกเสียงเบาว่า “ประมุขปราชญ์ลัทธิผี? ผีเฒ่า เขากำลังพูดถึงเจ้าไม่ใช่เหรอ เจ้ามีลูกสมุนที่วรยุทธ์สูงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน?”
คนที่เหลือย่อมรู้ว่าเขากำลังล้อเล่น ซือถูเซี่ยวจะมีลูกน้องที่วรยุทธ์สูงขนาดนี้ได้อย่างไร ประมุขปราชญ์ลัทธิผีของพิภพใหญ่กับประมุขปราชญ์ลัทธิผีของพิภพเล็กอยู่คนละระดับกันเลย ประมุขปราชญ์ลัทธิผีที่อีกฝ่ายพูดถึงจะต้องเป็นหนึ่งในหกมหาราชันของพิภพใหญ่ในปีนั้นแน่นอน
ตามตำนานที่เล่าต่อกันมา โจรกบฏที่อยู่ในนรกส่วนใหญ่ก็คือลูกน้องเก่าของหกมหาราชันในปีนั้น
ตำนานบอกว่าหลังจากหกมหาราชันตายแล้ว ลูกน้องเก่าที่ยังเหลือรอดก็ไม่สู้กับประมุขพุทธะ ประมุขชิงและประมุขไป๋ เพื่อที่จะรักษากำลังและหลีกเลี่ยงการเสียสละชีวิตโดยไร้ความหมาย คนที่สามารถหนีได้ทันเวลาส่วนใหญ่ก็เข้ามาประคองชีวิตให้รอดไปวันๆ อยู่ในแดนอเวจี และโดนตำหนักสวรรค์ปิดล้อมขังไว้ในนรกมาโดยตลอด
อีกฝ่ายบอกว่าตัวเองเป็นกำลังพลของประมุขปราชญ์ลัทธิผี ก็ไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาด
เวลาแบบนี้ยังมีอารมณ์มาล้อเล่นอีกเหรอ? ซือถูเซี่ยวขี้คร้านจะสนใจจีฮวน ตอบกลับเสียงดังว่า “พวกเราไม่ใช่ผู้เข้าร่วมทดสอบที่เป็นลูกน้องของประมุขชิง ในเมื่อเจ้าไม่มีเจตนาร้าย เหตุใดจึงไม่ถอยออกไปเสียตอนนี้ ปล่อยพวกเราจากไปสิ ทำไมยังตามพัวพันไม่หยุด?”
“ต่อให้ปล่อยพวกท่านออกไปแล้วยังไงล่ะ? พวกท่านอยู่ในนรกที่มีการล้อมดักไว้อย่างหนาแน่นแล้ว ถ้าเจอกลุ่มคนที่ไม่รู้จักไล่สังหารอย่างไม่ปรานี ต่อให้ประมุขชิงนำทัพใหญ่มาปราบด้วยตัวเองก็ยากที่จะทำอะไรพวกเราได้ อาศัยวรยุทธ์ของพวกท่านจะหนีไปได้ไกลสักแค่ไหน?” ขณะที่กวนหลงซานตอบเสียงดัง มืออีกข้างที่กำลังไขว้หลังก็แอบเขย่าระฆังดารา ส่วนปากก็พูดไม่หยุดว่า “ไม่สู้พวกเรามาทำความสัมพันธ์ให้ชัดเจนไปเลยว่าเป็นศัตรูหรือสหาย ถ้าเป็นฝ่ายสหาย ตราบใดที่ไม่ทำเรื่องที่ส่งผลเสียกับพวกเรา กวนคนนี้ก็สามารถคุ้มครองส่งพวกท่านให้เดินทางโดยสวัสดิภาพได้”
บนยอดเขาที่มีเสียงลมแหลมเศร้ารันทด ปราณหยินพัดผ่านมาอย่างรวดเร็ว ขุนพลที่เสื้อคลุมปลิวสะบัดและผมปลิวยุ่งตามสายลมได้สติกลับมาแล้ว เขาพลิกมือหยิบระฆังดาราออกมา หลังจากตั้งใจฟังอยู่พักหนึ่ง ก็เผยสีหน้าตกตะลึงอย่างฉับพลัน
จู่ๆ ก็กำระฆังดาราไว้แน่น ข้อนิ้วทั้งห้าตึงแน่น ตรงหว่างคิ้วที่มีผมเฉียดผ่านไม่หยุดเผยให้เห็นลายเมฆสีเลือด ลักษณะท่าทางเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน จิตใจที่หงอยเหงาเศร้าซึมหายไปในชั่วพริบตาเดียว พอมือใหญ่โบกผ้าคลุมที่ถูกลมพัดพันตัว เขาก็หายตัวไปอย่างที่เดิมอย่างรวดเร็ว อาศัยวรยุทธ์ที่แข็งแกร่งชนจนกระแสหินที่หมุนวนด้วยความเร็วสูงอยู่บนท้องฟ้าเกิดเป็นโพรงแล้วพุ่งตัวออกไป
…………………………
บทที่ 1219 หมายความว่าอะไร
โดย
Ink Stone_Fantasy
“พวกเราซาบซึ้งในน้ำใจของท่านแล้ว ไม่ต้องคุ้มกันส่งหรอก ถ้าไม่มีเรื่องอื่นแล้ว ก็ขอกล่าวอำลาตรงนี้”
ซือถูเซี่ยวตอบกลับเสียงดัง พวกเขาไม่มีเจตนาจะพัวพันกับอีกฝ่ายต่อไป สถานการณ์ไม่ชัดเจน เห็นๆ กันอยู่ว่าอาจจะเกิดอันตรายก็ได้
“ช้าก่อน!” กวนหลงซานยกฝ่ามือห้าม “ทำให้รู้ชัดก่อนว่าเป็นศัตรูหรือเป็นสหาย แล้วค่อยไปก็ยังไม่สาย”
“ไม่ใช่ทั้งศัตรูและสหาย เอาเป็นว่าไม่ใช่ลูกน้องของประมุขชิง เพียงแค่จะอาศัยทางเดินเท่านั้น ได้โปรดให้ความสะดวก” ซือถูเซี่ยวกล่าว
“ทุกท่านไม่จำเป็นต้องป้องกันขนาดนี้ ข้าแค่อยากจะรู้ที่มาที่ไปของทุกท่าน หลังจากจบเรื่องจะรับรองว่าจะไม่ทำให้พวกท่านลำบาก แบบนี้ดีไหม?” กวนหลงซานถาม
ซือถูเซี่ยวตอบว่า “การรับรองโดยปากเปล่าจะได้ความเชื่อใจจากคนอื่นได้อย่างไร ถ้ามีความตั้งใจว่าจะไม่ทำให้ลำบากจริงๆ การไม่รบกวนกันและกันก็คือหลักการที่ถูกต้อง”
เพิ่งจะพูดจบ จู่ๆ ก็มีเสียงดังมาจากด้านข้าง “ถ้าไม่เชื่อในการรับรองของเขา เดี๋ยวข้าจะรับรองให้เองเป็นอย่างไร?”
พวกเหมียวอี้หันขวับ เห็นเพียงเงาคนคนหนึ่งถลันตัวมาถึง ชายหนุ่มผมยาวสยายไร้หนวดที่สวมชุดคลุมสีดำพลันปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าพวกเหมียวอี้ แล้วใช้สายตามองสำรวจพวกเขาด้วยความรวดเร็ว
พวกเหมียวอี้ตกใจมาก พวกเขาคอยระแวดระวังรอบด้านมาโดยตลอด แค่เผลอพูดไปไม่กี่ประโยคแล้วมีคนเข้ามาใกล้ ไม่น่าเชื่อว่าพวกเขาจะไม่สังเกตเห็น ด้วยความเร็วแบบนี้ คนคนนี้ต้องมีวรยุทธ์เท่าไรกัน?
สายตาของทั้งหกไปหยุดจ้องอยู่บนลายเมฆสีเลือดตรงหว่างคิ้วของอีกฝ่าย ทำให้แต่ละคนแอบร้องว่าแย่แล้วทันที พบว่าฝ่ายตัวเองติดกับดักแล้ว สงสัยคนแซ่กวนคงจะกำลังจงใจถ่วงเวลา ดึงให้นักพรตระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพมาสู้กับพวกเขา
แต่คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าไม่ใช่ ในเมื่อเบื้องหลังคนแซ่กวนมีนักพรตระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพอยู่ด้วย ต่อให้ไม่ถ่วงเวลาก็สามารถตามมาทันได้อย่างรวดเร็ว พวกเขาไม่มีทางหนีพ้นได้เลย
สรุปก็คือทุกเรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้าทำให้ทั้งหกคนคิดไม่ตก ถึงอย่างไรครั้งนี้ก็เลิกคิดที่จะหนีไปได้เลย
“ขุนพล!” กวนหลงซานรีบถลันตัวเข้ามากุมหมัดคารวะผู้ที่มา
สายตาของขุนพลไปหยุดอยู่บนปีกข้างหลังอวิ๋นอ้าวเทียนครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “ที่ท่านฝึกคือเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานเหรอ?”
อีกฝ่ายถามถึงเคล็ดวิชาฝึกตนของพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำอีก อวิ๋นอ้าวเทียนไม่รู้ว่าควรจะตอบเขาอย่างไร ได้แต่นิ่งเงียบไม่พูดจา
ผู้ที่มาไม่ได้ถามกดดันอะไรมาก สายตาไปหยุดอยู่บนตัวซือถูเซี่ยวที่เป็นนักพรตผีอีก จ้องมองครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็ถลันตัวออกมาตรงหน้าพวกเขา แล้วยื่นมือไปคว้าซือถูเซี่ยวไว้
พวกเขาตกใจมาก ความเร็วในการลงมือครั้งนี้เร็วจนเหมียวอี้ง้างสายของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่อยู่ในมือไม่ทัน
พวกเขาตอบสนองอย่างรวดเร็ว คนที่ไหวตัวลงมือเร็วที่สุดก็คือมู่ฝานจวิน พอนางพลิกฝ่ามือ ก็เห็นอัสนีบาตหลายสายก็ไขว้กันออกมา ชั่วพริบตาเดียวอัสนีบาตก็มาขวางอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว
ขณะเดียวกัน ทั้งหกก็ถลันตัวถอยหลังอย่างรวดเร็ว แต่ใครจะคิดว่าขุนพลจะไม่เห็นสายฟ้าที่มู่ฝานจวินปล่อยอยู่ในสายตาเลย บุกฝ่าเข้ามาในอัสนีบาตอย่างเหี้ยมหาญ ปล่อยให้สายฟ้าเลื้อยบนตัว เพียงแค่ตัวสั่นเล็กน้อยเท่านั้นเอง ยังคงยื่นมือไปจับซือถูเซี่ยวต่อ
เหมียวอี้ฉวยโอกาสนี้ง้างสายธนูแล้ว เกิดเสียงดังปั้ง ลูกธนูดาวตกสามดอกยิงออกไปพร้อมกัน ส่วนอวิ๋นอ้าวเทียนก็พลิกมือนำดาบออกมา แล้วฟันออกไปอย่างบ้าคลั่ง
มือใหญ่ที่ยื่นไปหาซือถูเซี่ยวพลันโบกหนึ่งครั้ง นิ้วทั้งห้าขยุ้มกลางอากาศ ลูกธนูดาวตกสามดอกที่ยิงเข้ามาถูกขยุ้มค้างไว้กลางอากาศ ลูกธนูดาวตกปรากฏร่างเดิมในชั่วพริบตาเดียว ราวกับเอาชีวิตดูดวิญญาณ ลูกธนูดาวตกสามดอกพลันดูดเข้าไปในนิ้วมือทั้งห้าแล้ว
ลูกธนูดาวตกถูกขุนพลควบคุมไว้ในมือจนขยับไม่ได้แม้แต่น้อย เหมียวอี้จะเรียกกลับได้อย่างไรกัน
แล้วก็เห็นขุนพลยื่นมืออีกข้างออกมาอีก ดาบใหญ่ที่อวิ๋นอ้าวเทียนฟันออกมาพลันค้างอยู่กลางอากาศ ไม่น่าเชื่อว่าจะโดนขุนพลใช้นิ้วสามนิ้วคีบคมดาบไว้จนขยับไม่ได้อีก
ซือถูเซี่ยวแยกร่างออกมาหลายสิบร่างแล้ว หมายจะทำให้อีกฝ่ายสับสน
ขุนพลเหล่ตามองการเปลี่ยนแปลงของซือถูเซี่ยวแวบหนึ่ง พอพลิกนิ้วที่คีบคมดาบของอวิ๋นอ้าวเทียนเอาไว้ ก็ดีดนิ้วหนึ่งครั้ง ทำให้เกิดเสียงดังสะเทือน อวิ๋นอ้าวเทียนกระเด็นออกไปพร้อมกับดาบ
สิ่งที่เหนือความคาดหมายของพวกเขาก็คือ ขุนพลไม่ได้ลงมือต่อ แต่หันตัวถอยกลับไปแล้ว
ตอนพูดเหมือนช้า แต่ที่จริงเป็นการประมือกันเพียงชั่วพริบตาเดียว ตอนนี้ถึงได้เห็นขุนพลที่ลอยอยู่กลางอากาศกดแขนสองข้าง กระแสไฟฟ้าบนร่างกายถึงได้หายไป มีเกลียวควันลอยขึ้นมาบนร่างกายพักหนึ่ง
เดิมทีกระแสไฟฟ้าก็มีบทบาทข่มนักพรตผีอยู่แล้ว แต่วรยุทธ์ของคนคนนี้สูงเกินไปจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะใช้วรยุทธ์ต้านทาน อาศัยวรยุทธ์ของมู่ฝานจวินในตอนนี้ ถ้าอยากจะทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บก็ไม่น่าจะเป็นไปได้
ถ้าจะหนีก็ไม่มีทางหนีพ้นเงื้อมมือคนคนนี้ พวกเหมียวอี้รีบถลันตัวเข้าไปหลบอยู่ระหว่างร่างแยกหลายสิบร่างของซือถูเซี่ยว แต่ละคนเครียดกังวลถึงขีดสุด สีหน้าจริงจังหนักแน่น สถานการณ์ตึงเครียดแบบพร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ
เมื่อเผชิญหน้ากับยอดฝีมือที่ตัวเองไม่มีโอกาสชนะ ทั้งหกคนต่างก็ไม่กล้าลงมือก่อนง่ายๆ ทำได้เพียงเตรียมป้องกันอย่างสูง
บางคนแอบด่าเหมียวอี้ในใจว่ามีเรื่องดีๆ ดันไม่ทำ ดึงดันจะถ่อมาถึงนี่ให้ได้ เกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ไม่ฟัง จะมาร้องไห้ตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว
ตั้งแต่ต้นจนจบกวนหลงซานลอยอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน เห็นได้ชัดว่ามั่นใจในตัวขุนพลที่สุด
ขุนพลที่กำจัดกระแสไฟฟ้าบนตัวทิ้งแล้วจ้องมองมู่ฝานจวิน พร้อมกล่าวเน้นว่า “สวรรค์เก้าชั้นฟ้า!”
จากนั้นก็กลอกตากวาดมองไปยังซือถูเซี่ยวหลายสิบร่างอีกครั้ง ที่เขาไม่ลงมือตอนนนี้ก็เพราะไม่แน่ใจว่าคนไหนคือซือถูเซี่ยวตัวจริง ได้แต่โยนลูกธนูดาวตกสามดอกในมือทิ้งไป
ลูกธนูสามดอกที่โยนกลับมาไม่ได้เร็วมาก เหมียวอี้ที่รับกลับมาไว้ในมือประหลาดใจไม่หาย ไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไร ดูจากสถานการณ์แล้วเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้มีเจตนาเป็นศัตรูสักเท่าไร
พวกอวิ๋นอ้าวเทียนมองหน้ากันเลิกลั่ก
หลังจากขุนพลจ้องพวกเขาพักหนึ่ง ก็กล่าวอย่างเนิบนาบว่า “ข้าคือตูหยวนฮ่าว ขุนพลของประมุขปราชญ์ลัทธิผี ไม่ทราบว่าทุกท่านมีที่มาอย่างไร เป็นผู้เข้าร่วมการทดสอบของตำหนักสวรรค์ในครั้งนี้หรือ?”
มู่ฝานจวินทำหน้านิ่งพร้อมกล่าวว่า “ขุนพลตู ท่านวางใจได้เลย พวกเราไม่ใช่คนของตำหนักสวรรค์แน่นอน มาที่นี่ไม่ได้มีเจตนาร้าย ได้โปรดใจกว้างปล่อยไปสักครั้ง”
“ถ้าไม่ใช่คนของตำหนักสวรรค์ แล้วจะบุกเข้ามาในแดนอเวจีได้อย่างไร?” ตูหยวนฮ่าวถาม
พวกเหมียวอี้สบตากันแวบหนึ่ง มาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าปิดบังต่อไปเกรงว่าอาจจะเกิดเรื่องราวใหญ่โต ลูกน้องเก่าของหกมหาราชันพวกนี้เป็นศัตรูคู่แค้นของตำหนักสวรรค์
หลังจากส่งสายตาขอความคิดเห็นแล้ว มู่ฝานจวินก็ตอบว่า “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่ปิดบังขุนพลตู พวกเราเข้ามาในแดนอเวจีตั้งแต่ร้อยปีก่อน ร้อยปีก่อนพวกเราดักปล้นฆ่าผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ไปสามคน ตอนที่โดนคนของตำหนักสวรรค์ไล่ฆ่า พวกเราก็บังเอิญบุกเข้ามาในประตูดวงดาวบานหนึ่ง พวกเราก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าที่นี่จะเป็นแดนอเวจี โดนขังอยู่ในนี้ไม่กล้าขยับไปไหน ใครจะคิดว่าครั้งนี้จะมีคนกลุ่มใหญ่ของตำหนักสวรรค์โผล่มาทดสอบที่นี่อีก บุกเข้ามาในที่ซ่อนตัวของพวกเรา หลังจากต่อสู้กันไปยกหนึ่งพวกเราก็ถูกกดดันจนอับจนปัญญา เพื่อที่จะหลบกำลังพลของตำหนักสวรรค์ พวกเราถึงได้หนีมาที่นี่ ใครจะคิดว่าจะบังเอิญล่วงเกินขุนพลเข้าแล้ว ไม่ใช่คนที่ตำหนักสวรรค์ส่งมาสู้กับขุนพลตูที่นี่อย่างที่ขุนพลตูคิดแน่นอน”
ผู้หญิงคนนี้ช่างโกหกกลบเกลื่อนเก่งจริงๆ เหมียวอี้แอบพึมพำในใจ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำแบบนี้แล้วจะตบตาอีกฝ่ายได้หรือเปล่า
“เป็นพวกท่านเองเหรอ?” ตูหยวนฮ่าวตะลึงอย่างเห็นได้ชัด แล้วถามอย่างแปลกใจว่า “พวกท่านก็คือคนที่ฆ่าผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์เมื่อร้อยปีก่อนเหรอ?”
เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ก็เท่ากับพิสูจน์แล้วว่าในนรกมีการติดต่อกับคนนอก หรือไม่ก็รู้สถานการณ์มาจากปากคนของตำหนักสวรรค์ที่มาเข้าร่วมการทดสอบ แต่แบบแรกมีความเป็นไปได้มากกว่า ด้วยสถานการณ์ในปีนั้น เป็นไปไม่ได้ที่กำลังพลของหกมหาราชันจะหนีเข้ามาในนรกทั้งหมดได้ และก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่ตำหนักสวรรค์จะจับคนที่เหลืออยู่มาได้ทั้งหมด ถึงอย่างไรหกมหาราชันก็ครองพิภพใหญ่มาหลายปี แม้จะพ่ายแพ้แต่พลังอำนาจยังคงอยู่
กลับเป็นเหมียวอี้ที่ได้ยินแล้วรู้สึกกินปูนร้อนท้องนิดหน่อย เมื่อร้อยปีก่อนเขาไม่ได้มีส่วนร่วมกับเรื่องที่พวกอวิ๋นอ้าวเทียนทำไม
“ใช่แล้ว!” มู่ฝานจวินพยักหน้าเอ่ยรับ
“ไม่ถูกสิ!” ตูหยวนฮ่าวกล่าวเสียงต่ำว่า “จากที่ข้ารู้มา โจรที่หนีเข้ามาในแดนอเวจีปีนั้นมีห้าคน”
หัวหอกพุ่งมาถึงตัวเหมียวอี้แล้วจริงๆ มีเกินมาหนึ่งคน
มู่ฝานจวินตอบว่า “นั่นเป็นเพราะฝั่งตำหนักสวรรค์เห็นแค่ห้าคน ที่จริงไม่ได้มีแค่ห้าคน แต่ทั้งหมดอยู่ในกระเป๋าสัตว์ของพวกเรา” พูดจบก็โบกมือ เรียกอันหรูอวี้และบรรดาลูกศิษย์ของตัวเองออกมา
พวกอันหรูอวี้ยังไม่ทันเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร เรียกออกมาเพื่อพิสูจน์สิ่งที่พูดเฉยๆ จากนั้นมู่ฝานจวินก็โบกมือเก็บพวกเขาเข้าในกระเป๋าสัตว์อีก
เห็นได้ชัดว่าตูหยวนฮ่าวไม่ได้มีเจตนาจะถามซักไซ้เรื่องนี้ ตอนนี้สายตาไปหยุดอยู่บนตัวจีฮวนแล้ว “นักพรตปีศาจท่านนี้ฝึก ‘มหาเคล็ดวิชาหมื่นปีศาจ'”
ก่อนหน้านี้ถึงแม้จีฮวนจะไม่ได้ลงมือ แต่ก็เตรียมตัวจะลงมือแล้ว ปราณปีศาจที่ก่อตัวออกมาแบบนั้น เขาก็มองออกแล้วเช่นกัน
แล้วสายตาก็ไปหยุดอยู่บนตัวฉางเหลยอีก “พระภิกษุ! ถ้าข้าเดาไม่ผิด ท่านคงจะฝึก ‘หฤทัยสูตรสุขาวดี'”
จากนั้นก็ย้ายสายตาไปที่ตัวเหมียวอี้ “คนที่เหลือก็คงจะฝึก ‘มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง'”
เหมียวอี้ค่อนข้างพูดไม่ออก อาศัยอะไรมาตัดสินว่าข้าฝึกมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง?
“เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยาง เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทาน สวรรค์เก้าชั้นฟ้า มหาเคล็ดวิชาหมื่นปีศาจ หฤทัยสูตรสุขาวดี มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง! ผู้สืบทอดเคล็ดวิชาพิเศษของประมุขปราชญ์ทั้งหกท่านอยู่กันครบแล้ว โลกนี้มีเรื่องบังเอิญขนาดนี้เสียที่ไหนกัน ที่บอกว่าดักฆ่าผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์สามคนแล้วเข้าใจผิดบุกเข้ามาที่แดนอเวจี ข้าไม่เชื่อหรอก! หนึ่งแสนปีแล้ว พวกเราเชื่อฟังเขาและรอคอยมาหนึ่งแสนปีกว่าแล้ว เขาถูกสยบอยู่ในเจดีย์สยบปีศาจ เกรงว่าคงจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้ตอนแรกไม่ได้ เป็นใครกันที่ให้พวกท่านมาที่นี่?” ตูหยวนฮ่าวเม้มริมฝีปากพูดด้วยน้ำเสียงโศกาอาดูร
กวนหลงซานที่อยู่ไม่ไกลก็ทำสีหน้าเศร้าสลดเช่นกัน
พวกเหมียวอี้มองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่ค่อยเข้าใจว่าหมายความว่าอะไร หนึ่งแสนปีอะไรกัน แล้วใครถูกสยบอยู่ในเจดีย์สยบปีศาจ?
แม้แต่เหมียวอี้เองก็ยังพึมพำในใจ เจดีย์สยบปีศาจเหรอ? หรือว่าจะหมายถึงประมุขไป๋หรือประมุขปีศาจ? เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับที่ประมุขไป๋และประมุขปีศาจถูกขังอยู่ในเจดีย์สยบปีศาจล่ะ? ประมุขไป๋กับประมุขปีศาจให้สัญญาอะไรไว้กับคนพวกนี้?
มู่ฝานจวินอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง สุดท้ายก็แข็งใจบอกว่า “พวกเราไม่เข้าใจว่าที่ขุนพลตูพูดหมายความว่าอะไร” นี่ไม่ใช่คำโกหก แต่ฟังไม่เข้าใจจริงๆ
ตูหยวนฮ่าวกล่าวว่า “ฟังไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร ถ้าอยากจะรอดชีวิตก็ไปกับข้า” พูดจบก็เด็ดกระเป๋าสัตว์ใบหนึ่งยื่นไปทางพวกเขา บอกใบ้ให้พวกเขาเข้ามาในกระเป๋าสัตว์
พวกเหมียวอี้ทำสายตาระวังตัวทันที ใครจะกล้าเข้าไปล่ะ ถ้าเข้าไปแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นมา พวกเขาจะตายอย่างไรก็ยังไม่รู้เลย อยู่แบบนี้อย่างน้อยก็ได้ดิ้นรนขัดขืนบ้าง ถ้าจะตายก็ขอตายแบบไม่คาใจ
“ขุนพลตู ถ้าท่านอยากจะฆ่าพวกเราก็ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ พวกเราล้วนเป็นนักพรตผีเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องกลั่นแกล้งกันแบบนี้!” ซือถูเซี่ยวกล่าว
สายตาของตูหยวนฮ่าวไปหยุดอยู่บนหน้ากากผีของเขา หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ก็ไม่ได้กดดันอะไรต่อ เก็บเกระเป๋าสัตว์เอาไว้แล้ว “ถ้าไม่อยากเข้ามาก็ไปกับข้า” จากนั้นกันมากำชับกวนหลงซานว่า “ตรงนี้ฝากเจ้าจัดการด้วย!”
“ขอรับ!” กวนหลงซานกุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง
“ไปกันเถอะ!” ตูหยวนฮ่าวกวักมือเรียกพวกเหมียวอี้อีกครั้ง
“ไปไหน?” ซือถูเซี่ยวถาม
“ไปยังสถานที่ที่จะตัดสินความเป็นความตายของพวกเจ้า ถ้าอยากรอดชีวิตก็ไปกับข้า อย่ากดดันให้ข้าต้องลงมือ!”
ตูหยวนฮ่าวพูดทิ้งท้าย แล้วหันตัวเหาะไปยังทิศทางหนึ่งโดยกดความเร็วเอาไว้ ไม่อย่างนั้นพวกเหมียวอี้จะตามวรยุทธ์ของเขาไม่ทัน
…………………………
บทที่ 1220 ภัยอันตรายไร้ขีดจำกัด
โดย
Ink Stone_Fantasy
อีกฝ่ายไม่ได้กังวลเลยว่าพวกเขาจะหนีไปได้ เหมียวอี้และอีกห้าคนมองหน้ากันไปมองหน้ากันมา ไม่กล้าหนีเหมือนกัน เป็นเพราะหนีไม่พ้นเลยจริงๆ
ยังจะทำอะไรได้อีกล่ะ? เมื่อเผชิญกับพลังอันแข็งแกร่งของอีกฝ่าย เจ้าก็ไม่มีทางขัดขืนต่อต้านได้เลย ทำได้เพียงเรียกสัตว์พาหนะออกมาขึ้นขี่และตามไปแต่โดยดี
กวนหลงซานมองส่งขบวนค่อยๆ จากไปไกล
ณ อาณาเขตดาวที่กว้างใหญ่ไพศาลผืนหนึ่ง เมื่อมองดูจากที่ไกลๆ ก็เหมือนกับน้ำพุหลากสีที่สวยวิจิตรตระการตา แล้วก็เหมือนฝูงหิ่งห้อยโบยบิน ดวงดาวขนาดใหญ่นับไม่ถ้วนรวมตัวกันพรั่งพรูไม่หยุดด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ จากนั้นเคลื่อนกระจายออกไปรอบทิศเป็นเส้นโค้งกลับมารวมตัวกันแล้วพรั่งพรูอีกครั้ง เหมือนกับผีเสื้อขนาดมหึมาตัวหนึ่งที่มีลายหลากสี
พวกเหมียวอี้ยังไม่เคยเห็นปรากฎการณ์ประหลาดบนท้องฟ้าแบบนี้มาก่อน ไม่รู้ว่าเป็นพลังงานอะไรที่สามารถควบคุมดวงดาวนับไม่ถ้วนให้เปลี่ยนแปลงรวดเร็วขนาดนี้พร้อมๆ กันได้ ช่างมหัศจรรย์เหลือเชื่อจริงๆ
หลังจากเข้ามาในอาณาเขตดาวผืนนี้แล้ว เหมียวอี้และอีกห้าคนก็ตกใจจนหน้าถอดสี ไม่มีเค้าลางเลยสักนิด เรื่องราวเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ร่างกายแต่ละคนเอนเอียงสูญเสียสมดุล สัตว์พาหนะหลายตัวรวมทั้งเฮยทั่นตัวสั่นง่อนแง่นอย่างตระหนกพักหนึ่ง ขณะเดียวกันก็สูญเสียการควบคุมไปแล้ว พวกเขาลอยออกจากร่างกายของสัตว์พาหนะอย่าควบคุมไม่ได้
ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าพลังอิทธิฤทธิ์ในร่างกายจะสูญเสียการควบคุมแล้วเช่นกัน ไม่สามารถใช้พลังอิทธิฤทธิ์ได้เลย พลังอิทธิฤทธิ์สูญเสียประสิทธิภาพเมื่ออยู่ที่อาณาเขตดาวผืนนี้
ร่างกายที่ง่อนแง่นของทั้งหกลอยต่อไปในจุดลึกของอาณาเขตดาวผืนนี้โดยอาศัยแรงเฉื่อยของการเหาะ ทำให้ทั้งหกตกใจจนเหงื่อแตกเต็มตัวอย่างแท้จริง ดวงดาวนับไม่ถ้วนที่อยู่เบื้องหน้ามีขึ้นมีลง ถ้าเข้าไปแบบนี้ก็เป็นเรื่องยากที่จะไม่โดนชน ภายใต้สถานการณ์ที่ขาดพลังอิทธิฤทธิ์ป้องกันตัว ไม่ต้องคิดก็รู้แล้วว่าถ้าโดนดาวที่หมุนวนด้วยความเร็วสูงชนแล้วจะเป็นอย่างไร นอกจากฟาดพวกเขาจนตายก็ไม่มีความเป็นไปได้อย่างอื่นแล้ว
ในทางกลับกัน ตูหยวนฮ่าวยังคงเหาะอยู่ข้างหน้าอย่างมั่นคง
ความคิดแรกของพวกเขาก็คือติดกับดักแล้ว แต่พอลองคิดอีกทีก็รู้สึกว่าไม่ใช่ อาศัยวรยุทธ์ของอีกฝ่าย ถ้าคิดจะกำจัดพวกเขาทิ้งก็ไม่จำเป็นต้องทำให้ยุ่งยากแบบนี้เลย
ตูหยวนฮ่าวที่เหาะอยู่ข้างหน้าเหมือนจะยากแสดงอำนาจบารมีให้พวกเขาเห็น เหมือนกำลังบอกพวกเขาว่า นี่ก็คือผลลัพธ์ที่พวกเจ้าไม่เข้ามาอยู่ในกระเป๋าสัตว์ของพวกเรา
แต่ก็ไม่ได้ปล่อยให้พวกเขาสูญเสียการควบคุมนานเกินไป ตูหยวนฮ่าวที่หันกลับมามองแวบหนึ่งพลันโบกมือ ก้อนหินสีดำขลับสะท้อนแสงทั้งเล็กทั้งใหญ่ยิงไปทางทั้งหกคน พอหินหกก้อนเข้าใกล้ทั้งหกคน จู่ๆ ทั้งหกก็พบว่าควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์ได้อีกครั้ง จิตใต้สำนึกราวกับคว้าฟางเส้นสุดท้ายในการช่วยชีวิตเอาไว้ได้ แต่ละคนรีบต่างคนต่างคว้าก้อนหินมาไว้ในมือ
วินาทีที่ก้อนหินมาอยู่ในมือ ทั้งหกก็รู้สึกเหงื่อแตกขนลุก บนก้อนหินนั่นมีพลังงานลึกลับบางอย่างที่ไหลผ่านตัวพวกเขาราวกับกระแสไฟฟ้า กำจัดพลังงานลึกลึกอีกอย่างของดาราจักรผืนนี้ที่จำกัดพลังอิทธิฤทธิ์ออกไปอย่างรวดเร็ว
หกคนที่ควบคุมตัวเองได้รีบพุ่งเข้าไปช่วยชีวิตสัตว์พาหนะของตัวเอง พอเหยียบลงบนตัวของสัตว์พาหนะ เห็นได้ชัดว่าพลังงานลึกลับของก้อนหินในฝ่ามือก็นำทางสัตว์พาหนะแล้วเช่นกัน ทำให้สัตว์พาหนะที่ตื่นตระหนกตกใจเหาะอย่างสงบมั่นคงอีกครั้ง
ทั้งหกคนตามหลังตูหยวนฮ่าวอีกครั้ง ทุกคนต่างก็อยากถามว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่ แต่ใครจะคิดว่าจะร่ายอิทธิฤทธิ์ถ่ายทอดเสียงออกไปไม่ได้เลย ถ่ายทอดเสียงออกไปนอกร่างกายได้ไกลแค่ช่วงแขนเดียวเท่านั้น ทั้งหกจึงทำได้เพียงหุบปากเหมือนคนใบ้ มองดูก้อนหินหน้าตาอัปลักษณ์ในมือตัวเอง แล้วก็มองห้อนหินให้มืออีกฝ่ายอยู่เป็นระยะ พบว่ามีขนาดทั้งเล็กทั้งใหญ่แตกต่างกัน เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ของวิเศษที่หลอมสร้างขึ้นมา เหมือนเป็นวัตถุทางธรรมชาติที่รวบรวมไว้
อยู่ที่นี่ต่อให้สามารถเหาะได้ แต่ความเร็วในการเหาะก็ลดลงไม่ใช่น้อยๆ ใช้เวลาไปแล้วห้าวันเต็ม ทั้งหกถึงได้เหาะออกมาจากอาณาเขตดาวลี้ลับผืนนี้ได้
พอพุ่งตัวออกจากอาณาเขตดาวผืนนี้ได้ เรื่องแรกที่ตูหยวนฮ่าวทำก็คือยื่นมือไปทางพวกเขา “ส่งก้อนหินมา”
ทั้งหกคนมองดูก้อนหินที่อยู่ในมือ วัตถุลึกลับที่สามารถช่วยให้ตัวเองผ่านอาณาเขตดาวผืนนี้ได้ก็นับว่าเป็นของมีค่าเหมือนกัน พูดตามตรงก็คือทั้งหกไม่ค่อยอยากส่งคืน แต่สถานการณ์บีบบังคับ ไม่ส่งคืนก็ไม่ได้ ทำได้เพียงโยนกลับไปแต่โดยดี
เห็นได้ชัดว่าตูหยวนฮ่าวไม่อยากปล่อยให้ก้อนหินนี้ตกไปอยู่ด้านนอก เขาโบกมือเก็บหินหกก้อน แล้วเหาะไปข้างหน้าต่อไป
ทั้งหกหันกลับไปมองอาณาเขตดาวลึกลับผืนนั้นอย่างพูดไม่ออก
เหมียวอี้แอบพึมพำในใจว่า ถ้าตัวเองใช้เพลิงจิตปกป้องร่างกายล่วงหน้า และไม่รอให้พลังอิทธิฤทธิ์สูญเสียการควบคุมแล้วค่อยบุกเข้าไป ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะสามารถผ่านอาณาเขตดาวผืนนี้ไปได้หรือเปล่า
สุดท้ายเหมียวอี้ก็ยังอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ขุนพลตู เหตุใดอาณาเขตดาวผืนนี้จึงแปลกประหลาดเช่นนี้ล่ะ?”
ตูหยวนฮ่าวตอบโดยไม่หันหน้ากลับมาว่า “อาณาเขตดาวผืนนี้ที่แดนอเวจีของพวกเราเรียกว่า ‘เขตเทพโกลาหล’ ส่วนสาเหตุว่าทำไมจึงลึกลับขนาดนี้ ใครก็อธิบายให้ชัดเจนไม่ได้ ในดาราจักรอันกว้างใหญ่นี้ มีสถานที่ลึกลับที่อธิบายไม่ได้เยอะเกินไป ไม่จำเป็นต้องไปคิดเล็กคิดน้อยกับสิ่งนี้ ข้าจะบอกพวกท่านให้ก็ได้ ในปีนั้นประมุขชิงนำกำลังพลมาปราบด้วยตัวเองก็พลาดท่าอยู่ที่นี่ ถ้าไม่ใช่เพราะมังกรมาช่วยชีวิตไว้ ประมุขชิงก็คงจะตายด้วยน้ำมือพวกเราไปแล้ว เรื่องแบบนี้เกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีหน้าตาของประมุขชิง พวกท่านจะต้องไม่เคยได้ยินมาก่อนแน่นอน”
ทั้งหกมองหน้ากันเลิกลั่ก เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่ได้ยินเรื่องนี้ และเคยได้ยินด้วยว่าสัตว์พาหนะของประมุขชิงราชันสวรรค์ก็คือสัตว์เทพตัวหนึ่ง มังกร!
เหมียวอี้ย่อมอดไม่ได้ที่จะถามอีกว่า “หรือว่ามังกรสามารถผ่าน ‘เขตเทพโกลาหล’ นี้ได้?” เขามองดูเฮยทั่นที่ตัวเองกำลังขี่อยู่
ปรากฏว่าโดนเมินเสียแล้ว ตูหยวนฮ่าวไม่ได้สนใจใยดีจะตอบ
พอออกจากเขตเทพโกลาหล ความเร็วในการเหาะของพวกเขาก็กลับมาเป็นปกติ พวกเขาเร่งความเร็วเหาะไปข้างหน้าแล้ว
หายไปอย่างไรร่องรอย ในกระแสอันวุ่นวายของดาราจักรที่ผิดปกติจนสามารถฉีกเกราะรบผลึกแดงให้แหลกเป็นจุลได้มีช่องโหว่ ตูหยวนฮ่าวสามารถหาช่องโหว่พาทั้งหกเหาะผ่านไปได้
ฝุ่นตลบฟุ้งราวกับเมฆม้วนที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ในระหว่างกลุ่มเมฆที่มีแรงเสียดทานแอบซ่อนเสียงแสบแก้วหูที่สามารถฆ่าคนแบบล่องหนได้เอาไว้ ไม่มีทางป้องกันชนะ ตูหยวนฮ่าวมีวิชาที่สามารถใช้รับมือได้
อาณาเขตดาวที่ว่างเปล่าดูเหมือนจะสงบเงียบ แต่ความจริงแอบซ่อนแรงบดอัดมหาศาลเอาไว้ ตูหยวนฮ่าวพาพวกเขาอ้อมไปล่วงหน้า
อาณาเขตดาวที่ดูเหมือนไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์และสัตว์ แต่ตูหยวนฮ่าวบอกให้ทั้งหกหลับตาสองข้าง ไม่อย่างนั้นดวงตาจะบอดมืด
ทั้งยังมีอาณาเขตดาวที่มีลำแสงหลากสีสัน สามารถได้ยินเสียงมายา ได้กลิ่นมายาที่ทำให้คนเหมือนตกอยู่ในภาพฝันมายา
ปรากฏการณ์ประหลาดต่างๆ ที่เจอมาตลอดทางทำให้ทั้งหกคนรู้สึกตกตะลึงพรึงเพริด มีบางแห่งที่ตูหยวนฮ่าวมีวิธีพาพวกเขาผ่านไปได้โดยตรง แต่มีบางแห่งที่ตูหยวนฮ่าวไม่สามารถพาพวกเขาผ่านไปได้โดยตรง ต้องพาพวกเขาเลี้ยวอ้อมไปไกลมาก
ความผิดปกติลี้ลับต่างๆ นาๆ ทำให้คนป้องกันไม่ชนะ เป็นภัยอันตรายไร้ขีดจำกัดอย่างแท้จริง ทั้งหกไม่มีทางจินตนาการได้เลยว่าทำไมสถานที่นี้จึงซับซ้อนและมีการเปลี่ยนแปลงเยอะขนาดนี้ และไม่มีทางจินตนาการได้ด้วยว่าโจรกบฏที่โดนขังอยู่ในนรกกลุ่มนี้ศึกษาสภาพแวดล้อมได้อย่างไร แทบจะรู้ได้โดยไม่ต้องเดาว่าการทำความคุ้นเคยสถานที่นี้ต้องจ่ายไปหลายชีวิตกว่าจะแลกมาได้ ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมที่นี่จึงมีชื่อว่าแดนอเวจี
เหมียวอี้ก็นับว่าเข้าใจแล้วเช่นกันว่าทำไมตำหนักสวรรค์จึงส่งคนมากมายขนาดนี้มาเข้าร่วมการทดสอบที่นรก สถานที่ที่แม้แต่ราชันสวรรค์มาปราบเองก็ยังปราบได้ยาก แล้วนักพรตบงกชทองกลุ่มหนึ่งจะทนไหวได้อย่างไร การถ่อมาที่นี่เท่ากับเอาชีวิตมาทิ้ง ต่อให้ส่งคนที่วรยุทธ์สูงกว่าบงกชทองมาก็ไม่มีประโยชน์ สถานที่นี้ไม่ใช่ว่าความสูงต่ำของวรยุทธ์จะสามารถเอาชนะได้ ต่อให้วรยุทธ์สูงกว่านี้ แต่ถ้าไม่เข้าใจสถานการณ์ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์ นอกเสียจากจะมีใครที่วรยุทธ์สูงจนสามารถทำลายดาราจักรผืนนี้ได้ แต่ยังไม่เคยได้ยินว่าใครที่มีพลังแบบนี้ คนที่มองข้ามการมีอยู่ของจักรวาล
นี่ตำหนักสวรรค์กำลังคิดจะเอาชีวิตคนมาวางกองไว้ชัดๆ!
หลังจากได้สัมผัสความประหลาดยากจะคาดเดาของที่นี่แล้ว เหมียวอี้ไม่เชื่อว่าอาศัยกำลังพลหนึ่งล้านแปดแสนแล้วจะสามารถสำรวจสถานการณ์ของที่นี่ได้ ตำหนักสวรรค์เคยยกทัพมาปราบแล้วจะต้องรู้ชัดอยู่แก่ใจแน่นอน ต่อให้สืบอะไรได้บ้างแต่ก็ได้ไม่เยอะอยู่ดี
ดังนั้นนี่คือการเอาชีวิตคนมาเพื่อสำรวจเส้นทางแท้ๆ เลย นี่คือการวางแผนผลักดันทีละนิดอย่างค่อยเป็นค่อยไป!
ดังนั้นในตอนนี้ ไม่จำเป็นต้องให้เหมียวอี้รู้เรื่องราวเบื้องลึกอะไรแต่ก็แทบจะแน่ใจได้ ว่าการทดสอบที่แดนอเวจีจะไม่ได้จัดขึ้นแค่ครั้งเดียวแน่นอน ตอนหลังยังจะมีการทดสอบที่แดนอเวจีตามมาอย่างต่อเนื่อง จะเอาชีวิตคนมากองไว้ที่นี่ต่อไป ไม่อย่างนั้นการโยนกำลังพลหนึ่งล้านแปดแสนคนเข้ามาในนรกก็จะไม่มีความหมายใดๆ เลย
เหมียวอี้เดาว่าเมื่อก่อนตำหนักสวรรค์คงคิดว่าขังโจรกบฏไว้ในนรกได้แล้ว ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรตอนหลัง ถึงอย่างไรการฝืนไปปราบนรกก็มีราคาที่ต้องจ่ายสูงเกินไป ผลปรากฏว่าพอพวกอวิ๋นอ้าวเทียนก่อเรื่องแบบนั้นขึ้นมา หากราชันสวรรค์ไม่กำจัดโจรกบฏในนรกให้สิ้นซาก ก็เกรงว่าจะไม่ยอมหยุดอยู่แค่นี้ มีหรือที่จะยอมให้คนอื่นมานอนกรนข้างเตียงตัวเอง มิหนำซ้ำยังเป็นกลุ่มโจรกบฏที่สู้กับราชันสวรรค์ด้วย!
พอคิดถึงตรงนี้ เหมียวอี้ที่เหาะอยู่ข้างหลังตูหยวนฮ่าวก็เหลียวซ้ายแลขวาอยู่พักหนึ่ง แล้วถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ข้าสงสัยว่าพวกเจ้ารู้รึเปล่าว่าการที่ตัวเองปล้นฆ่าผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์สามคนจะก่อให้เกิดเรื่องใหญ่โตขนาดนี้? รู้รึเปล่าว่ามีชีวิตคนตั้งเท่าไรจะต้องถูกทำลายด้วยน้ำมือพวกเจ้า?”
พวกอวิ๋นอ้าวเทียนก็ไม่ได้โง่ แต่ละคนทำสีหน้าจริงจัง ถ้าไม่ได้มาสักรอบก็คงจะไม่รู้จริงๆ พอได้มาแล้วถึงได้รู้ว่าตัวเองก่อเรื่องใหญ่โตมาก เพื่อที่จะปล้นทรัพย์สมบัติ ไม่น่าเชื่อว่าจะเปิดฉากปะทะระหว่างตำหนักสวรรค์กับนรกโจรกบฏอีกครั้ง สถานที่อันตรายแบบนี้ไม่รู้ว่าต้องใช้ชีวิตคนอีกมากมายเท่าไรถึงจะสามารถสงบศึกได้!
พวกเขาเงียบงันไม่พูดอะไร ไม่มีใครตอบ ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังคิดอะไรอยู่
เหมียวอี้พูดไม่ออก ได้แต่เหลียวซ้ายแลขวาต่อไป ครุ่นคิดว่าถ้าตัวเองสามารถจดบันทึกเส้นทางที่ผ่านมาตลอดทางกลับไปด้วยได้ ก็จะได้อันดับหนึ่งในการทดสอบแน่นอน
ผ่านไปชั่วพริบตาเดียวก็แอบร้องว่าซวยแล้ว เป็นเพราะตัวเองมาในครั้งนี้ หากไม่สามารถผ่านด่านโจรกบฏกลุ่มนี้ไปได้ แล้วตนจะรอดชีวิตออกไปเปิดเผยความลับได้อย่างไร ความลับเหล่านี้ เกรงว่าแม้แต่โจรกบฏในนรกก็คงจะไม่รู้ชัดเจนเหมือนกัน
เหมียวอี้หันกลับมาถ่ายทอดเสียงด่าทุกคนอีกว่า “ถ้าขาดเงินพวกเจ้าก็มาหาข้าสิ! ห้าปราชญ์ผู้สง่าผ่าเผยถ่อมาปล้นเนี่ยนะ ครั้งนี้ข้าโดนพวกเจ้าวางกับดักตายแล้ว!”
ซือถูเซี่ยวถ่ายทอดเสียงกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “เงินของไอ้เหมียวจัญไรจะขอยืมง่ายขนาดนั้นเชียวเหรอ? ก่อนหน้านี้ใช่ว่าจะไม่เคยไปยืมเจ้าเสียเมื่อไร เจ้าลองคิดดูสิว่าตัวเองพูดอะไรเอาไว้บ้าง แล้วอีกอย่างนะ ข้าก็บอกเจ้าแล้วว่าอย่าเข้ามาลึก แต่เจ้าดึงดันจะมาให้ได้ ถ้าจะบอกว่าวางกับดัก ข้าว่าเจ้ามากกว่าที่วางกับดักพวกเรา”
เหมียวอี้เถียงกลับทันทีว่า “เป็นพวกเจ้าต่างหากที่ดึงดันจะตามข้ามาให้ได้ ตอนนี้มาโยนความผิดให้ข้าเหรอ?”
“ตอนนี้พวกเจ้ายังมีกะจิตกะใจมาเถียงปัดความรับผิดชอบกันเองอีกเหรอ? คิดหาทางเถอะว่าจะหนีเอาตัวรอดยังไง!” อวิ๋นอ้าวเทียนตะคอก
กลับเป็นจีฮวนที่แอบถ่ายทอดเสียงบอกพวกอวิ๋นอ้าวเทียนโดยไม่ให้เหมียวอี้รู้ “บางทีอาจจะเป็นประต่ายตื่นตูมไปเอง อย่าลืมคำทำนายของเทพพยากรณ์สิ ต้องเชื่อมั่นในความแม่นของคำนายเทพพยากรณ์”
“ยามหกคนพบกันอีกครั้ง สถานการณ์จะพลิกผัน!” มู่ฝานจวินแสยะยิ้ม “เทพพยากรณ์ช่างรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าจริงๆ การที่พวกเราก่อเรื่องครั้งนี้ ระหว่างตำหนักสวรรค์กับนรกโจรกบฏ ถ้าไม่ตายกันไปข้างก็ไม่เลิกรา สถานการณ์ช่างพลิกผันจริงๆ ไม่ผิดเลยสักนิด! แต่หลังจากที่สถานการณ์พลิกผันแล้วล่ะ? เทพพยากรณ์ไม่ได้บอกนะว่าพวกเราจะรอดหรือตาย!”
“ในเมื่อทำนายแม่นขนาดนี้แล้ว คงจะไม่มีเรื่องอะไรหรอกมั้ง ก่อนหน้านี้เขาบอกไว้ว่าชะตาพวกเราจะพลิกผัน แต่คงไม่ถึงขั้นชี้ทางตายให้พวกเราหรอก” จีฮวนกล่าว
“หวังว่าจะเป็นอย่างนี้แล้วกัน!” ฉางเหลยมองซ้ายมองขวา “แต่ทำไมอาตมารู้สึกว่าเรื่องราวยิ่งใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ อาตมาไม่มีความมั่นใจเลย!”
“พวกเจ้าคุยอะไรกันโดยไม่ให้ข้ารู้?” เหมียวอี้ถามทั้งห้าด้วยสีหน้าระแวง เขาย่อมสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่ทั้งห้าถ่ายทอดเสียงคุยกัน มาจนป่านนี้แล้วยังมีอะไรที่ต้องคุยกันโดยไม่ให้เขารู้อีก? จึงกล่าวเตือนทันทีว่า “ข้าขอเตือนพวกเจ้านะ อย่าคิดอะไรไม่ซื่อกับข้า ถ้าเอาสถานะขุนนางตำหนักสวรรค์ของข้าไปขาย พวกเจ้าก็อย่าหวังเลยว่าจะได้อยู่ดีมีสุข ข้าเองก็จะเปิดโปงความลับของพวกเจ้าเหมือนกัน…” เหมือนคำขู่นี้จะไม่ได้ผลสักเท่าไร จึงพูดเสริมไปอีกว่า “ลูกสาวและลูกศิษย์ของพวกเจ้าเป็นอนุภรรยาของข้านะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับข้า ก็อย่าหวังเลยว่าพวกนางสบายดี ถ้าปกป้องข้าไว้ ข้าพอจะรู้จักทูตขวาตรวจการเกาก้วนที่จัดการทดสอบครั้งนี้ บางทีอาจจะหาทางพาพวกเจ้าออกจากนรกก็ได้”
ทั้งห้าคนตกตะลึง เบิกตากว้างมองเขาพร้อมกัน มารดาเจ้าเถอะ ทำไมไม่พูดให้เร็วกว่านี้ล่ะ มาบอกสิ่งนี้กับพวกเราตอนนี้เนี่ยนะ?
…………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น