พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1211-1212
บทที่ 1211 กฎระเบียบในครอบครัว
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อเขากล่าวแบบนี้ ทุกคนก็ย่อมประหลาดใจสุดขีด
“หนิวโหย่วเต๋อใจกล้าขนาดนี้ได้ยังไง รู้ถึงผลที่ตามมาจากการฆ่านายน้อยจารึเปล่า?” เถียนเฟิงฮ่าวถามอย่างทำใจเชื่อได้ยาก
โจวหรานกล่าวว่า “เจ้าบ้านั่นจะให้เหตุผลปกติมาอ้างอิงได้ยังไง ศีรษะหลายพันใบที่โดนตัดอยู่นอกจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกยังอธิบายปัญหาไม่ได้อีกเหรอ? แล้วอีกอย่าง เขาโดนกดดันเป็นสุนัขกระโดดกำแพงแล้ว ยังมีอะไรที่ไม่กล้าทำอีก”
เถียนเฟิงฮ่าวยังไม่ทันได้ถามอะไรมาก หวงฝู่จวินโหรวก็แย่งถามต่อด้วยท่าทางสุดร้อนใจแล้ว “หัวหน้าสมาคมโจว ท่านบอกว่าหนิวโหย่วเต๋อคนเดียวโจมตีกำลังพลห้าหมื่นจนแตกพ่ายเหรอ?”
“นั่นน่ะสิ! จะเป็นไปได้ยังไง” เถียนเฟิงฮ่าวกล่าว
ทุกคนทำสีหน้าเหมือนไม่เชื่อ
“เป็นไปได้ยังไงน่ะเหรอ? ยังมีเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ยิ่งกว่านั้นอีก” โจวหรานถอนหายใจเบาๆ “ตีทัพห้าหมื่นแตกยังไม่เท่าไรหรอก ความโหดยังอยู่ตอนหลัง ซูลี่ที่พวกเราเอามาคุยเล่นเป็นเรื่องตลกกันก่อนหน้านี้ พวกเจ้าเดาสิว่าเป็นยังไง? เพื่อที่จะกำจัดสิ่งสกปรกในบ้านตัวเอง หนิวโหย่วเต๋อบุกเดี่ยวสังหารฝ่าเข้าไปในทัพใหญ่หนึ่งล้าน เอาชีวิตเขาได้อย่างง่ายดายเหมือนล้วงกระเป๋าหยิบของ ฆ่าซูลี่ทิ้งแล้ว ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์อีกเก้าคนของจวนแม่ทัพภาคตงหัวตกใจจนหนีหัวซุกหัวซุน”
ทุกคนมองหน้ากันเลิกลั่ก เถียนเฟิงฮ่าวบอกว่า”หนิวโหย่วเต๋อกำเริบเสิบสานขนาดนี้ได้ยังไง อย่าบอกนะว่าในทัพใหญ่หนึ่งล้านที่เข้าร่วมการทดสอบไม่มีใครออกหน้าจัดการเขา?”
โจวหรานตอบว่า “ก็มีคนอยากจะจัดการอยู่หรอกนะ แต่ที่สำคัญคือไม่มีใครจัดการไหว เขาลุยเดี่ยวโจมตีเข้าๆ ออกๆ อยู่ในทัพใหญ่หนึ่งล้าน ราวกับเข้าไปในที่ที่ไม่มีคน ไม่มีใครขัดขวางได้ ท้าทายทัพใหญ่หนึ่งล้านเพียงลำพัง โบกทวนตะโกนถามว่ามีใครจะกล้าสู้กับเขา จ้านหรูอี้อันดับหนึ่งที่ราชันสวรรค์แต่งตั้งของการทดสอบครั้งก่อนไม่ยอมแพ้และรับคำท้า ปรากฏว่าสู้หนิวโหย่วเต๋อไม่ได้ แค่ประมือกันท่าเดียวก็โดนหนิวโหย่วเต๋อโจมตีจนหายใจรวยรินเกือบตาย ถ้าไม่ใช่เพราะลูกน้องชิงแย่งตัวหนีไปก่อน จ้านหรูอี้จะยังมีชีวิตอยู่ได้ยังไง ส่วนหนิวโหย่วเต๋อก็ทิ้งคำพูดเอาไว้แล้วเดินจากไปอย่างไม่เกรงกลัวใคร องอาจห้าวหาญไร้ที่เปรียบ!”
เมื่อได้ยินโจวหรานพูดแบบนี้ คาดว่าโจวหรานก็คงไม่เอาเรื่องแบบนี้มาหลอกลวงพวกเขาเช่นกัน ทุกคนได้ยินแล้วสูดหายใจอย่างตกตะลึง คำพูดแดกดันถากถางที่ตลาดสวรรค์มีต่อหนิวโหย่วเต๋อ บวกกับควาสมงบเสงี่ยมของของหนิวโหย่วเต๋อในหลายปีมานี้ ทำให้ทุกคนแทบจะลืมไปแล้วว่าหนิวโหย่วเต๋อเคยเป็นผู้กล้าที่ได้อันดับหนึ่งมาก่อน ต่อให้จะรู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อห้าวหาญมีพลัง แต่ก็นึกไม่ถึงว่าหนิวโหย่วเต๋อจะห้าวถึงขั้นนี้ สามารถลุยเดี่ยวโจมตีฝ่าเข้าฝ่าออกในทัพใหญ่หนึ่งล้าน ถ้านี่คือเรื่องจริง ก็นับว่าองอาจห้าวหาญอย่างหาที่เปรียบไม่ได้อีกแล้วในโลกนี้
อวี้ซวีเจินเหรินที่นั่งอยู่ตรงนั้นงุนงงประหลาดใจ ทำสีหน้าเหมือนเชื่อได้ยาก เมื่อนึกถึงเรื่องที่จะรับหนิวโหย่วเต๋อเป็นลูกศิษย์ในปีนั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะแอบทอดถอนใจ
ส่วนหวงฝู่จวินโหรวที่เปลี่ยนเป็นเงียบงันก็รู้สึกปลายปลื้มในใจอย่างบอกไม่ถูก มีผู้หญิงคนไหนบ้างที่ไม่หวังให้ผู้ชายของตัวเองเป็นวีรบุรุษที่โดดเด่นแห่งยุค?
ถึงแม้ภูมิหลังของนางจะทำให้นางไม่กล้าประกาศถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับเหมียวอี้ แต่นางก็ถือว่าตัวเองเป็นผู้หญิงของเหมียวอี้ตั้งนานแล้ว และเห็นเหมียวอี้เป็นผู้ชายของตัวเองด้วย เท่าที่นางรู้ในตอนนี้ นางกับเหมียวอี้คือหนึ่งเดียวของกันและกัน ในใจนางถนอมและเห็นคุณค่าความสัมพันธ์แบบหลบซ่อนนี้มาก ถึงแม้เหมียวอี้มักจะปฏิบัติต่อนางแบบห่างเหินก็ไม่ใช่ ใกล้ชิดก็ไม่เชิง ถึงขั้นหลอกลวงนางเหมือนเป็นเรื่องเด็กเล่นด้วยซ้ำ แต่ความเร้าใจนี้ก็ทำให้นางรู้สึกถึงอกถึงใจเหมือนจะเป็นจะตาย ทำให้ชีวิตการฝึกตนที่เชื่องช้าของนางไม่เปล่าเปลี่ยวอ้างว้างอีกต่อไป นางเฝ้าคอยมากว่าวันหนึ่งจะมีเงื่อนไขปัจจัยเหมาะสมจนนางกับเหมียวอี้สามารถบรรลุเป้าหมายได้
หลังจากเหมียวอี้หลอกนางแล้วแอบไปเข้าร่วมการทดสอบในนรก คนนอกก็ไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกของนางได้ นางทั้งวิตกกังวลทั้งโกรธแค้น แต่ตอนนี้พอได้รู้ว่าเหมียวอี้ผ่านด่านที่อันตรายที่สุดของการทดสอบไปได้อย่างราบรื่น ในใจก็ปลาบปลื้มจนอธิบายไม่ถูก ความกังวลกลัดกลุ้มที่อยู่ในใจก็ถูกกวาดหายไปหมด
สำหรับนางแล้ว เหมียวอี้มักสร้างความเร้าใจให้นางแบบไม่ซ้ำเดิมเสมอ
หลังจากทุกคนเงียบงันพูดไม่ออกไปสักพัก จู่ๆ โจวหรานก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “หนิวโหย่วเต๋อทำให้ทัพใหญ่หนึ่งล้านสั่นคลอนแล้ว ตอนที่ทัพใหญ่รวมตัวกันไม่มีใครกล้าสู้กับขา ตอนหลังก็คงจะไม่มีใครไปหาเรื่องเขาแล้ว เกรงว่าทุกคนจะต้องเตรียมตัวให้ดีในกรณีที่เขารอดชีวิตกลับมา”
“ยังนึกว่าหัวหน้าสมาคมโจวจะกังวลอะไร ที่แท้ก็กังวลเรื่องนี้นี่เอง” ผู้จัดการร้านหูอวี้หยวนกล่าวกลั้วหัวเราะ
“จะไม่กังวลได้ยังไง ข้าแอบขัดคำสั่ง ตั้งกฎของสมาคมร้านค้าแยกออกมาลับหลังเขา กลัวก็แต่เขาจะรอดชีวิตกลับมาแล้วมาคิดบัญชีกับพวกเราย้อนหลัง” โจวหรานกล่าว
หูอวี้หยวนส่ายหน้า “พูดอย่างนี้ก็ไม่ถูกหรอก การทดสอบที่นรกเพิ่งจะเริ่มต้น นอกเสียจากเขาจะอวดดีช่วงชิงอันดับดีๆ ในการทดสอบได้ แบบนั้นถึงจะรักษาตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ไว้ได้ แต่นรกคือสถานที่ที่จะไปอวดดีได้เหรอ? ถึงแม้ตอนนี้จะไม่รู้ว่าเขาทำให้ทัพใหญ่หนึ่งล้านหวาดกลัวได้ยังไง แต่นรกไม่ใช่ที่ที่จะไปโอหังอวดดีได้แน่นอน ยิ่งเขาอวดดีก็จะยิ่งตายไว ดังนั้นข้าก็หวังว่าเขาจะอวดดีนะ ในทางกลับกัน ถ้าเขาหลบอยู่ในนรกเพื่อปกป้องตัวเอง กลับมาโดยไม่มีผลงานอะไร มีหรือที่จะรักษาตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ได้? ตราบใดที่เขารักษาตำแหน่งอำนาจไว้ในมือไม่ได้ ต่อให้รอดชีวิตกลับมาได้ก็ยังตายสถานเดียว ยังกลัวจะไม่มีโอกาสเล่นงานเขาให้ตายอีกเหรอ? มิหนำซ้ำการทดสอบหนึ่งร้อยปีก็เพิ่งเริ่มต้น วันหลังยังอีกยาวไกล ทุกคนต้องตื่นตกใจไปเองด้วยเหรอ?”
“พูดถูก!”
“ใช่เลย!”
ทุกคนได้ยินแล้วพยักหน้าเห็นด้วย ชั่วขณะนั้นทุกคนรู้สึกผ่อนคลายอีกครั้ง แต่หวงฝู่จวินโหรวกับอวี้ซวีเจินเหรินรู้สึกจิตตกนิดหน่อย โดยเฉพาะหวงฝู่จวินโหรว ถ้าไม่ใช่เพราะถูกจำกัดด้วยภูมิหลัง นางก็อยากจะเล่นงานเจ้าพวกเวรนี่นั่งอยู่ตรงนี้ให้ตายจริงๆ
“ถึงแม้จะพูดอย่างนี้ก็เถอะ ทุกคนยังต้องพยายามติดต่อกับคนที่ทดสอบในนรกผ่านเครือข่ายของตัวเอง พยายามสังเกตทิศทางการเคลื่อนไหวของเจ้าเวรนั่น ถ้าเจ้านั่นสามารถรอดชีวิตกลับมาได้จริงๆ พวกเราจะได้เตรียมตัวได้สะดวก” โจวหรานกำชับทุกคน
ทุกคนพากันตอบรับ หลังจากประชุมเสร็จ ก็ยังไม่มีธุระเรื่องอื่น หลังจากแยกย้ายกันแล้วก็รีบกลับไปสืบเรื่องโจวหรานบอกว่าเป็นอย่างไรกันแน่ ทำไมถึงเกิดเรื่องที่ทัพใหญ่หนึ่งล้านต้านทานหนิวโหย่วเต๋อคนเดียวไม่ไหวได้ ไม่ใช่เพราะกังวลว่าโจวหรานจะหลอกพวกเขา เพียงแค่รู้สึกว่าเรื่องนี้เหลือเชื่อเกินไปหน่อย…
ไม่จำเป็นต้องใช้เวลานาน เป็นเพราะคนที่เข้าร่วมการทดสอบมีเยอะเกินไป ทั้งยังมีระฆังดาราสำหรับติดต่อกันทางไกล มีบางคนได้ข่าวมาบ้างไม่มากก็น้อย หลังจากนั้นหนึ่งวัน เรื่องการทดสอบในนรกก็ค่อยๆ แพร่ไปที่ตลาดสวรรค์ ราวกับโยนหินลงน้ำแล้วเกิดระลอกคลื่นนับพัน
“…นายท่านฆ่าจาเหรินจวิ้นตายภายในทวนดียว จากนั้นอาศัยกำลังของตัวเองคนเดียวตีกองทัพห้าหมื่นแตกพ่าย…หลังจากฆ่าต่งอิ้งเกาตายตอนตั้งทัพประจันหน้ากัน ก็บุกเดี่ยวสังหารฝ่าเข้าไปในทัพใหญ่หนึ่งล้าน แล้วเลี้ยวสังหารกลับมาอีก ปลิดชีพซูลี่ท่ามกลางทัพใหญ่หนึ่งล้าน…จ้านหรูอี้ อันดับหนึ่งของการทดสอบครั้งก่อนนำทัพต่อสู้ แต่โดนนายท่านโจมตีจนบาดเจ็บสาหัส บุกสังหารกำลังพลหลายแสนก็แพ้ยับเยินเช่นกัน…นายท่านองอาจห้าวหาญ ถือทวนบุกเดี่ยวฝ่าเข้าฝ่าออกอยู่ในทัพใหญ่หนึ่งล้าน ฆ่าตายไปหลายพันคนด้วยกำลังของตัวเองคนเดียว พูดทิ้งท้ายว่า ‘พวกหนูต่ำต้อย หนิวอยู่ด้วยแล้วรู้สึกอับอาย’ แล้วจากไปอย่างไม่เกรงกลัวใคร…”
ที่ร้านโฉมเมฆา ช่างไม้กับช่างหินที่ไปสืบข่าวมาจากข้างนอกเรียกได้ว่าผลัดกันเล่าอย่างตื่นเต้นไม่หยุด เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตอนเข้าสนามทดสอบอย่างละเอียด สำหรับความห้าวหาญองอาจของเหมียวอี้ ทั้งสองรู้สึกตกตะลึงจริงๆ ถึงขั้นปลาบปลื้มกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว เมื่อติดตามอยู่กับคนแบบนี้ ไม่ว่าใครก็มีความมั่นใจในอนาคตทั้งนั้น
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ ฟังจนสีหน้าสดชื่นร่าเริง สำหรับหญิงรับใช้ทั้งสอง ตั้งแต่อยู่กับเหมียวอี้มา นายท่านอย่างเหมียวอี้ก็ไม่เคยทำให้พวกนางผิดหวังเลย ในสายตาพวกนาง ไม่มีเรื่องอะไรที่ทำให้เหมียวอี้ลำบากได้ เพียงแต่ความสง่างามยามเหมียวอี้ควบสัตว์พาหนะบุกเดี่ยวเข้าไปในทัพใหญ่หนึ่งล้านก็ยังทำให้ทั้งสอง神往ไม่หยุด ดวงตาแวววาวเป็นพิเศษ ดีใจจนออกนอกหน้า บรรยายอารมณ์ตื่นเต้นออกมาเป็นคำพูดไม่ได้
กลับเป็นอวิ๋นจือชิวที่นั่งสงบเยือกเย็นอยู่ในศาลา หลังจากฟังจบก็แค่ยิ้มบางๆ แล้วบอกว่า “รู้แล้ว พวกเจ้าไปสืบข่าวต่อ ถ้ามีเรื่องอะไรเกี่ยวกับนายท่านก็ให้มารายงานทันที”
“รับทราบ!” ช่างไม้กับช่างหินกล่าวขอตัว
ในศาลา อวิ๋นจือชิวติดไข่มุกและหยกที่มวยผม สวมชุดกระโปรงสีเขียวคราม กำลังนั่งจ้องบ่อน้ำนอกศาลาที่โดนลมพัดจนเป็นระลอกคลื่นอย่างเงียบๆ เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์สบตากันแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าทำไมฮูหยินได้ยินข่าวแล้วไม่ทำท่าทางดีใจเลยสักนิด นายท่านต่อสู้ชนะไม่ควรค่าแก่ความดีใจเหรอ?
ผ่านไปไม่นาน ระฆังดาราในกำไลเก็บสมบัติของอวินจือชิวก็สั่น พอได้ติดต่อกัน ถึงได้รู้ว่าจีเหม่ยลี่และพวกอนุภรรยามาถึงด้วยกันผ่านทางใต้ดินแล้ว ขอให้อวิ๋นจือชิวเปิดค่ายกลป้องกันของร้านโฉมเมฆาเพื่อปล่อยพวกนางเข้ามา
ไม่ต้องถามเลย อวิ๋นจือชิวรู้ว่าพวกนางมาเพราะเรื่องเหมียวอี้ ข่าวแพร่ไปที่ตลาดสวรรค์แล้ว ไม่มีเหตุผลที่พวกนางจะไม่ได้ยินข่าว
พอเปิดค่ายกลป้องกัน สองพี่น้องหลางหลางหวนหวน ฉินเวยเวย จีเหม่ยลี่ อวี้หนูเจียวและฝ่าอินก็เข้ามาด้วยกัน มาเข้ามาในศาลาก็ย่อตัวคำนับพร้อมกัน “ฮูหยิน!”
“อืม!” อวิ๋นจือชิวลุกขึ้น “ที่นี่ไม่สะดวกจะให้พวกเรารวมกลุ่มคุยกัน ไปชัยภูมิถ้ำสวรรค์เถอะ”
จากนั้นก็นำพวกนางขึ้นมาที่ห้องชั้นบน ก่อนจะเข้าประตู อวิ๋นจือชิวก็หันกลับมาบุ้ยปากไปทางห้องข้างๆ “เสวี่ยเอ๋อร์ ไปเรียกหงเฉินมา”
“เจ้าค่ะ!” เสวี่ยเอ๋อร์เอย่รับคำสั่งแล้วออกไป
ผ่านไปไม่นาน ในศาลายาวที่สร้างใหม่หลังจากโดนเฮยทั่นถล่ม อวิ๋นจือชิวนั่งลงที่หัวโต๊ะ แล้วยื่นมือไปทางซ้ายและขวา เชิญให้ทุกคนนั่งลงคุยกัน นอกจากนางที่นั่งบนเก้าอี้ตำแหน่งหลัก จีเหม่ยลี่และคนอื่นๆ ก็แยกกันนั่งตรงม้านั่งยาวที่อยู่ฝั่งซ้ายและขวา
รอจนกระทั่งเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์นำน้ำชามาวางให้บรรดาหรูฮูหยิน อวิ๋นจือชิวถึงได้ถามว่า “น้องๆมาด้วยกันแบบนี้ มีเรื่องอะไรเหรอ?”
พวกนางมองหน้ากันไปมองหน้ากันมา ส่งสายตาบอกใบ้กัน คนนี้บอกให้คนนั้นพูด ก็นั้นก็บอกให้คนนี้พูด
เมื่อเห็นพวกนางลังเล อวิ๋นจือชิวก็จ้องฉินเวยเวยก่อน ถามว่า “เวยเวย หงเหมียน ลู่หลิ่วบาดเจ็บไม่เป็นไรมากใช่มั้ย?”
เมื่อได้ยินคำถามนี้ ฉินเวยเวยก็มองเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่ทำหน้านิ่งอยู่ข้างหลังอวิ๋นจือชิวอย่างอับอายนิดหน่อย แล้วตอบว่า “ไม่มีอะไรร้ายแรงค่ะ เป็นข้าเองที่อบรมไม่ดี เดี๋ยวกลับไปจะอบรมให้เข้มงวดขึ้นแน่นอน”
สาเหตุที่ถามตอบกันแบบนี้ ก็เป็นเพราะหงเหมียน ลู่หลิ่วอาศัยว่าตัวเองได้นอนร่วมห้องกับเหมียวอี้ กลายเป็นผู้หญิงของเหมียวอี้แล้ว นอกจากจะเมินเฉยไม่เคารพฝ่าอิน พวกนางยังเห็นฝ่าอินมีประสีประสาโลก แอบบอกให้ฝ่าอินแอบคบชู้ ตอนแรกอวิ๋นจือชิวก็อึ้งกับคำพูดนอกลู่นอกทางของฝ่าอินเหมือนกัน ตอนหลังแปลกใจว่าฝ่าอินเอาคำพูดเหลวไหลไร้สาระพวกนี้มาจากไหน ไม่มีเหตุผลที่จะมีคนเอ่ยเรื่องแบบนี้ขึ้นมาต่อหน้าผู้หญิงส่งเดช จึงแอบสั่งให้พนักงานที่จับยัดเข้าไปในร้านค้าของฉินเวยเวยสืบ ตอนยังไม่สืบก็ยังไม่รู้ พอสืบแล้วถึงได้พบว่าเป็นแผนของหงเหมียนกับลู่หลิ่ว
อวิ๋นจือชิวเดือดดาลมาก ตัวเองเป็นคนดูแลเรื่องในบ้าน มีหรือที่จะยอมให้เรื่องสกปรกโสมมเกิดขึ้น ถ้าปล่อยไปโดยไม่สนใจ ก็อาจจะทำให้คนสงสัยว่านายหญิงอย่างนางมีความคิดสกปรกอะไรหรือเปล่า เดิมทีนางคิดจะลงโทษหงเหมียน ลู่หลิ่วด้วยตัวเอง ถึงขั้นจะเอาผิดฉินเวยเวยด้วยซ้ำ แต่เมื่อพิจารณาจากเหตุผลหลายๆ ด้านแล้ว นางก็ไม่ได้ออกหน้าด้วยตัวเอง
ดังนั้นเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์จึงออกหน้าไปถามเอง เมื่อสองคนนี้ออกหน้า แม้แต่ฉินเวยเวยก็ไม่กล้ากำเริบเสิบสาน ถ้าจะพูดแบบไม่น่าฟังหน่อยก็คือ อย่าว่าแต่ฉินเวยเวยเลย แม้แต่อวิ๋นจือชิวเองถ้าไม่มีเหตุผลมากพอก็ไม่กล้าไปแตะต้องเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ง่ายๆ เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นจะไม่มีทางแก้ตัวกับเหมียวอี้ได้
ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนยุยงให้อนุภรรยาของนายท่านไปมีชู้และสวมเขานายท่าน แบบนี้ไม่แย่หรอกเหรอ เชียนเอ๋อร์เสวี่ยเอ๋อร์ก็โมโหเหมือนกัน เรียกได้ว่าใช้กฎระเบียบในครอบครัวโดยตรงต่อหน้าฉินเวยเวย ตัดขาหงเหมียนกับลู่หลิ่ว ไม่ไว้หน้าฉินเวยเวยเลยสักนิด ตอนหลังหยางชิ่งให้ฉินเวยเวยพาหงเหมียนกับลู่หลิ่วไปคุกเข่าตบปากต่อหน้าอวิ๋นจือชิว จนกระทั่งอวิ๋นจือชิวเอ่ยปากว่าไม่เป็นไร เรื่องนี้ถึงได้นับว่าผ่านไปแล้ว
…………………………
บทที่ 1212 ใจคนเหมือนน้ำ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ฝ่าอินก็ไม่ได้ดีกว่ากันสักเท่าไร เจ้าเพิ่งจะเข้าสู่ทางโลกไม่ใช่เหรอ? อวิ๋นจือชิวเขียน ‘ข้อปฏิบัติของภรรยา’ ฉบับหนึ่งด้วยตัวเองแล้วโยนให้ฝ่าอิน ให้นางเริ่มต้นจากสิ่งนี้ ให้นางท่องจำให้ขึ้นใจ จะได้เข้าใจว่าหลังจากแต่งงานแล้วมีอะไรควรทำหรือไม่ควรทำ ดังนั้นฝ่าอินที่พูดจาเหลวไหลจึงถือ ‘ข้อปฏิบัติของภรรยา’ คุกเข่าอยู่ในชัยภูมิถ้ำสวรรค์อย่างน่าสงสารสามวัน ภายใต้การอบอรมสั่งสอนที่ลึกซึ้ง ในที่สุดก็ทำให้นางเข้าใจแล้วว่าตัวเองทำเรื่องเหลวไหลไร้สาระ อะไรลงไป
และแน่นอน อนุภรรยาคนอื่นๆ ก็หยิบ ‘ข้อปฏิบัติของภรรยา’ ไปคนละฉบับเช่นกัน ในนั้นเขียนไว้แล้วว่าทำผิดดข้อไหนจะโดนลงโทษอะไร ให้พวกจีเหม่ยลี่เปรียบเทียบกันเอง เป็นกฎระเบียบหลังบ้านของตระกูลเหมียว กฎของบ้านนับว่าถูกตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว
ยิ่งผู้ชายของบ้านไม่อยู่ อวิ๋นจือชิวก็ยิ่งคิดว่าต้องควบคุมดูแลให้เข้มงวดกว่าเดิม
และตอนนี้ในที่สุดจีเหม่ยลี่ก็เอ่ยปากถามก่อน “ไม่ทราบว่าฮูหยินได้ยินข่าวอะไรมาบ้างหรือเปล่าคะ พวกเราได้ยินว่าหลังจากนายท่านเข้าไปในนรกแล้ว ก็บุกเดี่ยวสู้กับทัพใหญ่หนึ่งล้าน ไม่ทราบว่าเรื่องนี้เป็นความจริงหรือเปล่า?”
หงเฉินที่โผล่หน้ามาไม่บ่อยก็งุนงงเช่นกัน ไม่รู้ว่าทำไมนางถึงถามแบบนี้ นางยังไม่รู้ว่าข้างนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้น
“ก็ได้ยินมาบ้าง” อวิ๋นจือชิวถาม
“ฮูหยินเคยถามยืนยันความจริงจากนายท่านหรือเปล่าคะ?” จีเหม่ยลี่ถามอีก
หลังจากพวกนางได้ยินข่าว ก็ทั้งตกตะลึงทั้งดีใจ ต่างก็อยากจะติดต่อกับเหมียวอี้เพื่อยืนยันความจริง แต่จนใจที่ก่อนหน้านี้อวิ๋นจือชิวตั้งกฎขึ้นมาแล้ว และทุกคนก็ตอบตกลงว่าจะไม่ไปรบกวนเหมียวอี้ ไม่ทำให้เหมียวอี้เสียสมาธิ แต่ตอนนี้อดทนไม่ไหวแล้วจริงๆ แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่คนกลุ่มนี้โดนอวิ๋นจือชิวจัดการจนหมอบราบคาบแก้วมาตั้งแต่แรก ไม่กล้ามาหาอวิ๋นจือชิวคนเดียว ถึงได้นัดมาหาพร้อมกัน
ไม่ว่าก่อนหน้านี้ทุกคนจะกลายมาเป็นอนุภรรยาของเหมียวอี้ด้วยเหตุผลอะไร แต่เมื่อเวลานานไปก็มีความห่วงใยบ้างไม่มากก็น้ย ภายใต้การซึมซับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมโดยไม่รู้ตัว พวกนางก็ยอมรับตั้งนานแล้วว่าเหมียวอี้คืออีกครึ่งหนึ่งของชีวิตตัวเอง ในจุดนี้ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้
ต่อให้ไม่ได้มีพฤติกรรมเหมือนสามีภรรยากันจริงๆ แต่บรรยากาศเชิงรักใคร่ของท่านขุนนางเหมียวกับจีเหม่ยลี่ก็ไม่ใช่เรื่องโกหก ตรงไหนที่ควรจะลวนลาม เหมียวอี้ก็ลวนลามหมดแล้ว การที่จีเหม่ยลี่ไม่ขัดขืนกับการที่เหมียวอี้โอบกอดนางก็อธิบายสิ่งนี้ได้แล้ว เหลือแค่เจาะกระดาษหน้าต่างชั้นสุดท้ายก็เท่านั้นเอง อวี้หนูเจียวก็ยิ่งสุดจะทน โดนเหมียวอี้เปลื้องผ้าหลายครั้ง เวลาเหมียวอี้ว่างงานก็จะชอบมาหยอกล้อนางเล่นที่สุด อวี้หนูเจียวก็แค่ปากแข็งเท่านั้นเอง หัวใจที่ไม่นึกเสียใจทีหลังได้ไปอยู่ที่ตัวเหมียวอีตั้งนานแล้ว เพียงแต่น่าแค้นที่ความฉลาดทางอารมณ์ต่ำเกินไปจนไม่เข้าใจความรัก
ต่อให้เป็นหงเฉิน ต่อให้นิสัยจะเย็นชากว่านี้ แต่คนเราไม่ใช่ต้นหญ้าตอไม้ที่จะไร้ความรู้สึก หลังจากนอนร่วมหมอนแล้วให้เกียรติกันเหมือนต้อนรับแขกที่มาเยือนได้ ก็นับว่าเป็นใตรีจิตอย่างหนึ่งเหมือนกัน
สองพี่น้องหลางหลางหวนหวนกับฉินเวยเวยก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้ว
กลับเป็นฝ่าอินที่เยือกเย็นจริงๆ ปฏิบัติต่อเหมียวอี้ด้วยท่าทีที่อยากตามหาสัจธรรมของชีวิตมาตลอด สิ่งที่เรียกว่าความรักระหว่างชายหญิงไม่ทำให้นางสะทกสะท้าน คุยกับนางเรื่องนี้เหมือนเป็นการดีดฉินให้ควายฟังแท้ๆ แต่ผู้หญิงคนนี้ก็เรียกได้ว่าไร้พิษภัย
แต่ทางฉางเหลยได้กำชับมาแล้ว นางก็ยังเชื่อฟัง ดังนั้นจึงมากับทุกคนและให้ความสนใจเหมียวอี้อยู่ตลอด
อวิ๋นจือชิวส่ายหน้าเบาๆ “ไม่ได้ติดต่อกับนายท่าน” เรื่องที่นางขอให้ทุกคนทำ ตัวเองก็ต้องทำให้ได้เหมือนกัน
เหล่าอนุภรรยาสบตากันแวบหนึ่ง แล้วจีเหม่ยลี่ก็บอกว่า “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความเป็นความตาย ฮูหยินไม่ต้องยึดกฎตายตัวก็ได้ค่ะ ทำไมไม่ต้องติดต่อดูสักหน่อยคะ”
อวิ๋นจือชิวมองไปที่ผู้หญิงคนอื่นๆ พวกนางทยอยกันพยักหน้า ทุกคนทำสายตาขอร้อง
อวิ๋นจือชิวเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้
เหมียวอี้ที่โดนหวงฝู่จวินโหรวรบกวนและยังไม่ได้จัดการถามกลับมาว่า : ฮูหยินมีอะไรเหรอ?
เมื่อเห็นว่าเหมียวอี้สามารถตอบกลับได้ทันเวลาตามปกติ อวิ๋นจือชิวก็วางใจขึ้นหลายส่วน ถามว่า : หนิวเอ้อร์ ได้ยินว่าเจ้าสู้กับทัพใหญ่หนึ่งล้านที่เข้าร่วมการทดสอบเหรอ เจ้าไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?
เหมียวอี้ : เจอกับพวกไก่กระเบื้องสุนัขดินเผา[1] ข้าจะเป็นอะไรได้ยังไง วางใจได้ไม่เป็นอะไร
หัลงจากแน่ใจแล้วว่าเกิดเรื่องนี้ขึ้นจริงๆ อวิ๋นจือชิวกลับรู้สึกเหมือนหัวใจดิ่งวูบ ทัพใหญ่หนึ่งล้านใช่เรื่องเล่นๆ เสียที่ไหน นางไม่คิดว่าอาศัยของวิเศษไม่กี่ชิ้นที่เยารั่วเซียนหลอมสร้างให้จะสามารถรับมือตรงๆ ได้ เจ้ามีของวิเศษ แต่คนอื่นจะไม่มีบ้างเชียวเหรอ? จากข่าวลือที่บอกว่าเหมียวอี้โดนธนูของต่งอิ้งเกาทีเดียวแล้วล้มก็แน่ใจแล้วว่าไม่ธรรมดาแน่นอน
ยิ่งเขาพูดอย่างสบายใจเท่าไร อวิ๋นจือชิวกลับยิ่งแน่ใจว่าเหมียวอี้กำลังปลอบใจให้นางคลายกังวล ที่จริงไม่ได้สบายขนาดนั้นแน่นอน
แต่ตอนนี้นางก็ไม่ได้พัวพันกับเรื่องนี้อีก บอกเพียงว่า : พวกฉินเวยเวยได้ยินข่าวลือกันหมดแล้ว เป็นห่วงเจ้ามาก พวกนางมาถามต่อหน้าข้าแล้ว ถ้าเจ้าสะดวกก็บอกพวกนางตอนนี้เลย พวกนางจะได้ไม่เป็นกังวล
เหมียวอี้ตอบว่า : ได้!
ผ่านไปไม่นาน ระฆังดาราบนตัวพวกฉินเวยเวยก็มีปฏิกิริยา เหมียวอี้บอกพวกนางทีละคนว่าตอนนี้ตัวเองปลอดภัยมาก ยังมีชีวิตอยู่อย่างสบายดี บอกให้พวกนางไม่ต้องเป็นห่วง
หลังจากแน่ใจแล้วว่าเหมียวอี้สบายดี พวกนางถึงได้ถอนหายใจ
รอจนกระทั่งพวกอนุภรรยาออกไปแล้ว หลังจากเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ไปส่งพวกนางแล้วกลับมา ก็พบว่าอวิ๋นจือชิวกำลังยืนพิงรั้วและกักริมฝีปากแน่น บนใบหน้างามมีน้ำตาใสสองสาย สองสาวจึงถามอย่างตกใจมากว่า “ฮูหยิน เป็นอะไรเจ้าคะ หรือว่าเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นกับนายท่าน?”
บนใบหน้าอวิ๋นจือชิวเต็มไปด้วยความโกรธแค้นโศกเศร้า นางกัดฟันพูดอย่างแค้นใจว่า “ทัพใหญ่หนึ่งล้านแค่ต้องการจะเล่นงานสามีของข้าคนเดียวให้ถึงตาย ทำไมถึงโหดร้ายน่ากลัวขนาดนี้ ไม่เหลือหนทางรอดให้กันเลย! คนในโลกนี้สมควรตายให้หมด ข้าแค้นมาก! ข้าแค้นมาก…”
หอกลิ่นสวรรค์ หลังขอบหน้าต่างบานหนึ่ง ผ้ามุ้งขาวกระเพื่อมเบาๆ ‘แม่และลูกสาว’ ที่ยืนอยู่หลังผ้าม่านสีขาวกำลังมองดูเกี้ยวหลังหนึ่งถูกยกขึ้นและจากไปตรงริมถนน หวงฝู่จวินโหรวที่มาหาเมื่อครู่นี้ออกไปแล้ว
ขณะมองส่งเกี้ยวหลังนั้นจากไป เสวี่ยหลิงหลงยังนึกถึงสิ่งที่คุยกันเมื่อครู่นี้ อดไม่ได้ที่จะกล่าวชม “คนหนึ่งคนสามารถสังหารฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้านได้ นึกไม่ถึงว่าผู้บัญชาการใหญ่จะร้ายกาจขนาดนี้!”
ท่านแม่สวีถอนหายใจแล้วบอกว่า “ใช่แล้ว! เด็กหนุ่มร้านข้างๆ ที่มักจะมาดื่มน้ำชากับพวกเราบ่อยๆ ตอนนี้ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้าแล้วจริงๆ! ถ้าสามารถรอดชีวิตกลับมาจากการทดสอบครั้งนี้ได้ เกรงว่าคงจะมีอนาคตยาวไกลไร้ที่สิ้นสุด มีชื่อเสียงกับความสามารถเป็นพื้นฐาน ผ่านไปสักระยะอาจจะได้นั่งตำแหน่งหัวหน้าภาคของตลาดสวรรค์ก็ได้”
เสวี่ยหลิงหลงพยักหน้าเบาๆ “ผู้บัญชาการใหญ่หนิวเป็นคนดี หวังว่าจะกลับมาได้อย่างปลอดภัย”
แต่ใครจะคาดคิด จู่ๆ ท่านแม่สวีก็ถามว่า “หลิงหลง เจ้าเคยพิจารณาผู้บัญชาการใหญ่หนิวบ้างรึเปล่า?”
เสวี่ยหลิงหลงไม่เข้าใจ ยังคิดตามไม่ทันไปชั่วขณะ จึงถามอย่างแปลกใจว่า “พิจารณาอะไร?”
ท่านแม่สวีจ้องนางพลางบอกว่า “เจ้าเบื่อหน่ายอาชีพนี้แล้วไม่ใช่เหรอ? ถ้าหนิวโหย่วเต๋อกลับมาได้อย่างปลอดภัย อนาคตก็น่าเฝ้าคอย ถ้าเจ้าเต็มใจ ข้าจะลองเป็นแม่สื่อให้ได้นะ แต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อถือว่าเป็นที่พักพิงที่ไม่แย่สำหรับเจ้าเลย”
ใบหน้างามของเสวี่ยหลิงหลงแดงเรื่อ “ข้าเป็นแค่คนเต้นกินรำกิน ผู้บัญชาการใหญ่หนิวจะชอบข้าได้ยังไง ถ้าเขากลับมาได้จะต้องมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้าแน่นอน แต่งงานกับคนเต้นกินรำกินอย่างข้าจะไม่ทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะหรอกเหรอ”
เห็นนางไม่ปฏิเสธ ชัดเจนว่ามีความรู้สึกดีต่อหนิวโหย่วเต๋อ อย่างน้อยก็ไม่มีความประทับใจที่ไม่ดี ไม่ปฏิเสธที่จะแต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อ ท่านแม่สวีตาเป็นประกายทันที หัวเราะคิกคักพร้อมบอกว่า “นั่นก็ไม่แน่แล้ว ขนาดผู้หญิงมีสามีแล้วอย่างเถ้าแก่เนี้ยร้านโฉมเมฆา หนิวโหย่วเต๋อยังไม่ถือสาอะไรเลย แล้วเขาจะถือสาพื้นเพของเจ้าได้ยังไง แล้วถ้าพูดถึงหน้าตาความสวย เจ้าก็ไม่มีตรงไหนด้อยกว่าเถ้าแก่เนี้ยร้านโฉมเมฆาเลย แถมเจ้ายังมีร่างกายที่บริสุทธิ์ แค่อาศัยแค่จุดนี้อย่างเดียว เจ้าก็เหนือกว่าอวิ๋นจือชิวนั่นเป็นร้อยเป็นพันเท่าแล้ว หลิงหลง ขอเพียงเจ้าตอบตกลงเรื่องนี้ เพื่อที่จะหาที่พักพิงที่ดีให้เจ้า ท่านแม่จะลองพยายามสุดความสามารถ ถ้าคำพูดข้ายังไม่มีน้ำหนักมากพอ ก็จะขอให้หวงฝู่จวินโหรวออกหน้าเป็นแม่สื่อให้ ยังไงก็จะหาทางช่วยให้เจ้าสมหวังให้ได้ เจ้าคิดว่ายังไง?”
เสวี่ยหลิงหลงกล่าวอย่างขวยอายว่า “ท่านแม่พูดเรื่องตลกแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่ผู้บัญชาการใหญ่หนิวจะชอบข้า อาศัยฐานะตำแหน่งอย่างเขาอยากจะหาผู้หญิงยังไงก็ได้” พูดจบก็หันตัวเดินจากไป
ท่านแม่สวียื่นมือไปคว้าแขนนางเอาไว้ “หลิงหลง จะพลาดโอกาสไม่ได้นะ ผ่านแล้วผ่านเลย! ท่านแม่ต้อนรับขับสู้อยู่ระหว่างพวกที่มีอำนาจมาหลายปี เชื่อสายตาท่านแม่เถอะ ต่อให้คะแนนการทดสอบครั้งนี้จะสู้คนอื่นไม่ได้ แต่ก็จะมีคนมองเห็นความสำคัญของเขาอยู่ดี จะมีบุคคลสำคัญเบื้องบนนิยมชมชอบเขา พวกคนชั่วขัดขวางอนาคตของเขาไม่ได้หรอก อนาคตถูกกำหนดไว้แน่นอนแล้ว หลิงหลง เจ้าต้องพิจารณาให้ดีนะ ถ้าอยากจะเดิมพันก็ต้องฉวยโอกาสแต่เนิ่นๆ ถ้ารอให้เปิดกระดาน รอให้เขาโบยบินขึ้นสูงแล้วค่อยลงมือ แบบนั้นอาจจะทำให้คนดูถูก ดีไม่ดีอาจจะกลับตาลปัตร ฉวยโอกาสตอนที่เขามีศัตรูเยอะและไม่มีใครชอบเขา เริ่มลงมือตอนที่ยังไม่ได้กางปีกบินสูง แบบนี้ต่างหากที่เป็นหลักการที่ถูกต้อง จะพลาดไม่ได้เด็ดขาด”
เสวี่ยหลิงหลงไม่แม้แต่จะชักมือกลับด้วยซ้ำ กล่าสอย่างจนใจว่า “ท่านแม่ มาพูดเรื่องนี้ในตอนนี้เร็วไปหน่อยหรือเปล่าคะ นรกอันตรายมาก ถ้ามีเรื่องอะไรก็รอให้การทดสอบจบก่อนแล้วค่อบว่ากัน”
ท่านแม่สวีกล่าวกลั้วหัวเราะทันที “งันก็แปลวว่าเจ้าตอบตกลงแล้ว! ดี! พวกเรามารอให้การทดสอบจบ ตราบใดที่เขารอดชีวิตกลับมาได้ ท่านแม่จะช่วยเจ้าจัดการเรื่องนี้ทันที ท่านแม่ไม่เชื่อหรอกว่าอาศัยความสวยอย่างหลิงหลงของเราแล้วจะมีผู้ชายคนไหนอดทนไม่หวั่นไหวได้ นิสัยของผู้ชายตัวเหม็นพวกนั้น ท่านแม่รู้จักดีจะตาย ถ้าพวกเราเป็นฝ่ายรุกไปหาก่อน โอกาสสำเร็จก็มีเก้าในสิบ เจ้ารอเป็นหนิวฮูหยินก็แล้วกัน”
“ท่านแม่!” เสวี่ยหลิงหลงสะดีดสะดิ้ง ชักมือกลับออกมา แล้วลนลานหนีไปด้วยสีหน้าเขินอาย
ส่วนท่านแม่สวีก็ทำสีหน้าร่าเริง ถ้าเปลี่ยนเป็นก่อนหน้านี้ นางไม่มีทางตอบตกลงให้เสวี่ยหลิงหลงแต่งงานกับเหมียวอี้แน่นอน ตอนนั้นตำแหน่งของเหมียวอี้ยังไม่มันคง ทั้งยังมีอนาคตไม่แน่นอนเพราะล่วงเกินคนอื่นไว้เยอะ แถมนางยังคบค้ากับพวกชนชั้นสูงมาหลายปี แค่ผู้บัญชาการใหญ่กระจอกๆ คนเดียวนางไม่ชายตาแลเลยจริงๆ แต่ตอนนี้เหมียวอี้ต่อสู้ศึกเดียวจนโด่งดัง อนาคตน่าจับตามอง กลายเป็นเป้าหมายที่ดีสำหรับการขายของตอนราคาขึ้น กอปรกับภาพลักษณ์ของของเหมียวอี้ที่ไม่สนใจพื้นเพภูมิหลังของผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว ขอเพียงสามารถดันเสวี่ยหลิงหลงขึ้นเป็นภรรยาเอกของเหมียวอี้ได้ อาศัยความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเสวี่ยหลิงหลง ชีวิตในครึ่งหลังของนางก็นับว่ามีที่พึ่งพิงแล้ว ถ้าทำได้แค่ส่งเสวี่ยหลิงหลงไปเป็นอนุภรรยาของคนอื่น นางก็ไม่ค่อยสมัครใจสักเท่าไร ไม่อย่างนั้นเสวี่ยหลิงหลงคงไม่โสดมาถึงทุกวันนี้หรอก
ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ ถ้าเหมียวอี้ไม่ประสบความสำเร็จ ท่านแม่สวีก็ไม่มีทางพิจารณาเรื่องนี้เลย เมื่อได้เห็นอนาคตของเหมียวอี้ ถึงได้เป็นฝ่ายเสนอให้ก่อน ที่จริงนางก็ไม่ใช่คนเลว แต่ว่าเห็นความเปลี่ยนแปลงของน้ำใจคนมาจนชินแล้ว โลกนี้ไร้ซึ่งน้ำใจต่อกัน เวลาที่ควรจะประจบเอาใจผู้มีอำนาจ นางก็จะเลอะเลือนไม่ได้เหมือนกัน
“เด็กดี! สังหารฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้าน อาศัยกำลังของตัวเองคนเดียวแต่ฆ่าได้หลายพันคน ความเด็ดเดี่ยวห้าวหาญของผู้บัญชาการใหญ่ไม่เคยทำให้ข้าน้อยผิดหวัง! จ้านหรูอี้นั่นก็ไม่หัดส่องกระจกดูซะบ้าง ช่างกล้าท้าทายผู้บัญชาการใหญ่ นับว่านางดวงแข็ง…”
ณ จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก สวีถังหรานที่แน่ใจข่าวลือแล้วกำลังกระโดดโลดเต้นดีใจอยู่ในโถงหลัก ข่าวนี้ทำให้เขาดีใจสุดๆ อนาคตของเขาขึ้นอยู่กับเหมียวอี้ ย่อมหวังให้เหมียวอี้กลับมาอย่างปลอดภัยอยู่แล้ว การแสดงความสามารถอันน่าตกตะลึงของเหมียวอี้ได้ให้ความมั่นใจกับเขาเยอะมาก
“ไป! มีข่าวอะไรอีกก็รีบมาบอกข้าให้ทันเวลา”
พอโบกมือไล่หวงเสี้ยวเทียนที่ช่วยสืบข่าวออกไปแล้ว สวีถังหรานก็รีบออกไปเช่นกัน เตรียมจะไปคุยกับฝูชิงสักหน่อย แต่เพิ่งจะออกจากประตูใหญ่ของลานบ้านไป เขาก็หยุดฝีเท้าอีก ขณะที่ครุ่นคิดก็ส่ายหน้าเบาๆ พักหนึ่ง
ก่อนหน้านี้เขามักจะไปหาพวกฝูชิงบ่อยๆ เพราะอยากจะดูว่าทางนั้นเตรียมทางหนีทีไล่อะไรไว้รึเปล่า ตัวเองจะได้จัดการเรื่องต่างๆ ได้สะดวก ตอนนี้เมื่อได้รู้ถึงความองอาจห้าวหาญของผู้บัญชาการใหญ่ ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสกลับมา ถ้าไปถามอีกว่ามีทางหนีทีไล่อะไร หากข่าวแพร่ออกไปคงจะไม่ใช่เรื่องดี ดูแนวโน้มการทดสอบของผู้บัญชาการใหญ่อย่างเงียบๆ ก็พอแล้ว ถึงได้เอามือไขว้หลังเดินเลี้ยวกลับไป วันนี้อารมณ์ดีไม่เบา
ส่วนทางด้านฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ ช่วงนี้ก็กดดันไม่น้อยเช่นกัน สาเหตุหลักเป็นเพราะพวกลูกน้องทยอยกันมาโน้มน้าวให้คุณชายรองและคุณชายสามเตรียมวางแผนเพื่อระยะยาว แต่ทั้งสองก็ไม่สะดวกจะบอกพวกลูกน้องว่าเหมียวอี้เตรียมแผนอีกอย่างหนึ่งไว้ เหมือนมีความั่นใจมากว่าจะรอดชีวิตกลับมาได้ พวกเขาจึงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม กลัวว่าพูดมากไปจะทำให้เสียเรื่อง ตอนนี้ข่าวที่เหมียวอี้โจมตีทัพใหญ่หนึ่งล้านแพร่ออกไปอย่างครึกโครม ทำให้พวกลูกน้องสงบลงทันที ต่างก็คอยเฝ้าดูความเปลี่ยนแปลงเงียบๆ อย่างมีความอดทน
ภายใต้แสงอาทิตย์ยามเย็น บนแท่นสังเกตการณ์ของจวนผู้บัญชาการเขตเมืองเหนือที่สามารถมองเห็นชีวิตมนุษย์อันเจริญรุ่งเรืองได้ มู่หรงซิงหัวเอามือไขว้หลังยืนอยู่ลำพัง นางพิงระเบียงพลางทอดสายตามอง กระโปรงยาวที่ปลิวอยู่ท่ามกลางสายลมเผยให้เห็นเรื่องร่างอ่อนช้อยงดงาม ใบหน้างามพริ้งถูกอาบด้วยแสงแดดสีทอง แต่ก็ยากที่จะปิดบังอารมณ์สับสนบนใบหน้านางได้ แพขนตายาวขยับเล็กน้อย จู่ๆ ก็ใช้มืออันเรียวงามตบที่ระเบียงพลางถอนหายใจเบาๆ สีหน้าเต็มไปด้วยความขื่นขม เหมือนในใจมีจุดวกวนนับร้อยพันที่พูดออกมาไม่หมด…
…………………………
[1] ไก่กระเบื้องสุนัขดินเผา 土鸡瓦狗 อุปมาว่าอ่อนแอแตกหักง่าย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น