ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา 1210-1221

 บทที่ 1210 เถาองุ่นล่อแมลง

 

ตำรวจทางทะเลพาเบนสันและลูกน้องไปที่เรือของพวกเขาและเรื่องก็จบลงตรงนี้


ดูเหมือนว่าเรื่องเรือเฟอเรทแบลคฟุตจะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและไม่มีใครอยากพูดถึงเลย ทั้งสองฝ่ายพยายามปกปิดร่องรอยที่เคยมีอยู่ของพวกมัน


เหตุการณ์นี้ทำให้ทหารอย่างออสเปรที่ไม่ค่อยพูดถึงกับถอนหายใจและพูดด้วยความรู้สึกสลดใจว่า “ช่างเป็นเรื่องน่าเศร้ามากที่สิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ทั้งสองตัวหายไปแบบนี้ เราไม่สามารถทำอะไรได้เลย ไม่สามารถช่วยพวกมันได้และยังไม่สามารถช่วยพวกมันให้ได้รับความยุติธรรมกลับคืน”


แบล็คไนฟ์มองเขาแปลกๆ และพูดว่า “นี่เพื่อน นายหมายความว่าอะไร? คิดมากไปแล้ว อยากจะเป็นนักปรัชญาหรือกวีหรือไง?”


ออสเปรยิ้มอย่างเขินอายและพูดว่า “ไม่ใช่ ฉันแค่นึกถึงเรื่องราวเก่าๆ ตอนที่เราอยู่ในกองทัพ นายดูเฟอเรทสองตัวนี้สิเหมือนกับเราในตอนนั้นมากแค่ไหน? บางครั้งตอนที่เราข้ามน้ำข้ามทะเลไปปฏิบัติภารกิจนอกประเทศ พอมีปัญหานอกจากประเทศจะช่วยเราไม่ได้แล้ว ยังจะทำทุกวิถีทางเพื่อแยกเราจากกันอีกด้วย”


ในขณะที่พูดอยู่ เขาก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวไปมาพร้อมกับสีหน้าที่อดจะนึกถึงไม่ได้


แบล็คไนฟ์กลอกตาไปมาและขี้เกียจที่จะสนใจเขา จึงหันหน้ามาถามฉินสือโอวว่า “บอส คุณกำลังมองหาอะไร?”


ฉินสือโอวยกปลายเท้าขึ้นและมองไปที่ชายหาดพร้อมกับบ่นพึมพำว่า “ฉันจะดูว่าเจ้าเด็กที่น่าสงสารทั้งสองตัวจะบังเอิญถูกคลื่นซัดเข้าชายหาดหรือเปล่า? มา มาช่วยฉันหาร่องรอยของพวกมันด้วยกัน ถ้าหาเจอจะมีรางวัล”


แบล็คไนฟ์เดินเข้ามาตบไหล่เขาเบาๆ และปลอบว่า “เรื่องนี้คุณไม่ผิดเลย บอสไม่ต้องหาแล้วและก็ไม่ต้องรู้สึกผิด ตอนนี้พวกมันอาจจะไปอยู่บนสวรรค์แล้วก็ได้ ถ้าจะหาพวกมัน เราก็ต้องเงยหน้ามองขึ้นไป”


ฉินสือโอวอดไม่ได้ที่จะกลอกตาใส่ ใครบอกว่าฉันรู้สึกผิด? ใครบอกว่าพวกมันไปถึงสวรรค์แล้ว? อย่างน้อยพวกมันก็ไม่ได้ตายในทะเล


เมื่อถึงฝั่ง ฉินสือโอวก็พาหู่จือและเป้าจือไปหาเฟอเรทแบลคฟุต เขาเดินไปตามชายหาด แต่ไม่ได้อะไร จึงทำให้เขารู้สึกผิดหวังมาก


เมื่อเห็นฉินสือโอวหาซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น แบล็คไนฟ์จึงพูดด้วยความหดหู่ใจว่า “บอสเป็นคนที่รักและผูกพันกับสัตว์มากจริงๆ”


“ใช่ เขาเป็นคนอารมณ์ลึกซึ้งมาก ตอนนี้เขาคงรู้สึกทุกข์ใจอยู่ลึกๆ แน่นอน ความจริงแล้วการตายของเฟอเรททั้งสองตัวนั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาเลย” ชาร์คยังพูดอีกว่า “แต่เขาไม่คิดอย่างนั้นน่ะสิ เขาเป็นคนแบบนี้แหละ มีความรับผิดชอบ มีภาระอันหนักอึ้งและมีความรักใคร่เอ็นดู”


ฉินสือโอวอยากจะบอกว่าเขาเองก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นคนแบบนั้น…


เขาพาหู่เป้าฉงหลัวมาเดินนำหน้าหาเฟอเรทตัวน้อย แต่หาอย่างไรก็ไม่เจอ เขาจึงเดินตรงไปตามชายหาดไม่หยุดเหมือนกับว่ากำลังเดินเล่นรับลมทะเล


หลังจากเดินมานาน คิดไม่ถึงว่าจะมาถึงฟาร์มปลาของมิสเตอร์รอท ด้านหลังเป็นไร่องุ่นอยู่และเขายืนอยู่บนชายหาดและมองดูอยู่ข้างหลัง จึงเห็นพื้นที่สีเขียวชอุ่มขนาดใหญ่บนเนินเขาเล็กๆ


ใบองุ่นเขียวชอุ่มสะบัดพลิ้วไหวท่ามกลางลมทะเล เถาองุ่นอันบอบบางดึงเอากิ่งไม้ออกและเลื้อยขึ้นไปตามต้น ไร่องุ่นในช่วงนี้กำลังเจริญเติบโตและเขียวชอุ่มเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา


ฉินสือโอวเดินเข้าไปและสำรวจดูสักพัก กลับพบว่ามีบางอย่างผิดปกติกับเถาองุ่นที่เติบโตจากระยะไกล ใบไม้จำนวนมากขาดเป็นรูและถ้าสังเกตอย่างละเอียดจะเห็นแมลงสีขาวขนาดเล็กจำนวนหนึ่ง นี่มันเป็นการล่อแมลงมาชัดๆ


มีแมลงอยู่บนใบไม้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เมื่อปีที่แล้วก็มีและผลกระทบก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไร


แต่เขายังเห็นว่ามีรูบนเถาวัลย์ด้วย โดยเฉพาะบริเวณใกล้กับหน่ออ่อนบางส่วน ผิวของเถาองุ่นเปลี่ยนเป็นสีดำ เมื่อใช้มือดึงเบาๆ ก็สามารถดึงส่วนนี้จนขาดได้ เขาจึงลองมองเข้าไปข้างในและเห็นว่าในหน่ออ่อนมีแมลงกำลังเจาะรูและยังมีมูลแมลงสีเหลืองอ่อนอีกด้วย


ฉินสือโอวเห็นแบบนี้แล้วจึงรู้สึกกังวลเล็กน้อย เขาจึงโทรหาบิลและอธิบายสถานการณ์นี้ให้บิลฟังหนึ่งรอบพร้อมกับถ่ายรูปสองสามรูปส่งไปให้เขา จากนั้นก็ถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น


บิลบอกเขาว่าไม่ต้องกังวล เขาจะไปถามผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตร แล้วจะโทรกลับมาและให้รอเขาสักพัก


รอได้ไม่นาน บิลก็โทรกลับมาและพูดว่า “นี่มันน่าจะเกิดจากหนอนเจาะลำต้น แมลงชนิดนี้เกิดขึ้นปีละครั้งและตัวอ่อนจะอยู่ในกิ่งองุ่นจนข้ามผ่านฤดูหนาวไป พฤติกรรมนี้จะเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายนของปีหน้าและยังคงสร้างความเสียหายต่อภายในของกิ่งก้านอย่างต่อเนื่อง บางครั้งตัวอ่อนจะกัดทำลายกิ่งไม้จนทำให้กิ่งไม้หักได้”


“แล้วการรักษาล่ะต้องทำอย่างไรบ้าง?” ฉินสือโอวกล่าว


บิลพูดอย่างลังเลว่า “แน่นอนว่ามีการรักษา แต่การป้องกันไว้ก่อนเป็นวิธีที่ดีที่สุด ต่อมาเมื่อถึงฤดูหนาว คุณต้องตัดแต่งเถาองุ่นตรงที่เป็นสีดำออก หน่ออ่อนที่เป็นสีดำ บริเวณนี้ก็ต้องตัดและเผาทิ้ง”


เมื่อได้ยินคำพูดที่ไร้ประโยชน์ของเขา ฉินสือโอวก็รู้สึกหดหู่ใจมากและพูดว่า “ฉันเข้าใจ แต่ตอนนี้มันเป็นฤดูใบไม้ผลิ แล้วนายบอกวิธีการจัดการในฤดูหนาวกับฉันมันจะมีประโยชน์อะไร? ฉันอยากรู้ว่าตอนนี้ควรทำอย่างไร?”


“รวมถึงการตัดแต่งด้วยมือและการพ่นยาฆ่าแมลงสองวิธีนี้ด้วย” บิลพูดว่า “ถ้าบอกทางโทรศัพท์คงจะไม่เข้าใจเท่าไร งั้นพรุ่งนี้ผมจะเอาเครื่องมือก่อสร้างและยาฆ่าแมลงไปหาคุณ”


จากนั้นฉินสือโอวก็ยังคงสำรวจดูต่อ ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ ก่อนหน้านี้เขาประมาทเกินไปในการจัดการดูแลไร่องุ่นและตอนนี้ต้นองุ่นจำนวนมากก็ยังล่อแมลงมาอีก ถ้าเขาไม่บังเอิญมาเห็นพอดี ต่อไปก็ไม่แน่ใจว่าจะพัฒนาเป็นอะไรได้อีก


ถ้าพูดถึงเรื่องนี้ก็ไม่สามารถโทษเขาได้ทั้งหมด ฤดูหนาวเมื่อปีที่แล้วมีหิมะตกหนักและอากาศหนาวมาก ผู้เชี่ยวชาญทางสถานีโทรทัศน์อธิบายว่า อากาศแบบนี้มีทั้งข้อดีและเสีย ข้อดีคือจะทำให้ศัตรูพืชแข็งตาย ปีนี้ฟาร์มและทุ่งหญ้าจึงมีผลเก็บเกี่ยวที่ดี


จึงทำให้ฉินสือโอวเชื่อฟังคำพูดของผู้เชี่ยวชาญและไม่ใส่ใจกับปัญหาโรคศัตรูพืช


วันรุ่งขึ้นพอบิลมาถึง เขาพาคนงานดูแลไร่องุ่นมาสองสามคนและพูดกับฉินสือโอวว่า “ไม่ต้องกังวล พวกเขาจะช่วยคุณแก้ไขปัญหาแมลงในต้นองุ่น แต่เมื่อถึงฤดูหนาวคุณจะต้องจัดการเอง ถ้าเกิดภัยพิบัติหนอนเจาะลำต้นองุ่นจะทำให้ยากต่อการจัดการกับมัน”


ฉินสือโอวพาชาวประมงไปที่ไร่องุ่น คนงานหนึ่งคนพาชาวประมงตามไปด้วยสองคนและสอนวิธีตัดแต่งหน่ออ่อนที่ล่อแมลงมาบนต้นองุ่นให้กับพวกเขา


บิลเอาถังยาฆ่าแมลงขนาดใหญ่ให้กับฉินสือโอวและพูดว่า “ผสมนี่กับน้ำปูนขาวให้เข้ากัน ที่นี่มีเครื่องบินทางการเกษตรใช่ไหม? พอถึงตอนเย็นก็แค่กระจายมันลงไปก็พอและหนอนเจาะลำต้นพวกนี้จะตายภายในคืนเดียว”


สำหรับเรื่องยาฆ่าแมลงแล้ว ฉินสือโอวค่อนข้างละเอียดรอบคอบมาก จนถึงตอนนี้สวนผัก ฟาร์มปลาและไร่องุ่นของเขาก็ยังไม่เคยใช้ยาฆ่าแมลงเลยสักครั้ง


เมื่อได้ยินบิลพูดแบบนี้ เขาจึงถามอย่างระมัดระวังว่า “แล้วผลตกค้างของยาฆ่าแมลงพวกนี้จะเป็นอย่างไร?”


บิลหัวเราะแล้วพูดว่า “นี่คือยาไพรีทรัมกำจัดแมลงรุ่นที่สอง มันจะละลายทันทีที่ถูกแสงแดดส่อง ดังนั้นผมถึงให้คุณพ่นมันในตอนเย็น ไม่ต้องกังวล แค่แสงแดดส่องพวกมันสองวันก็จะหายไปจนหมดแล้ว อีกอย่างตอนนี้องุ่นของคุณก็ยังไม่เจริญเติบโตเลยแล้วจะกลัวอะไรกัน?”


สำหรับไร่องุ่นหมักไวน์แล้ว การระบาดของศัตรูพืชเป็นเรื่องที่จัดการได้ยากมาก สาเหตุก็คือไม่สามารถใช้สารกำจัดศัตรูพืชกับมันได้ เมื่อมีสารตกค้างในองุ่นแล้วก็จะไม่สามารถผลิตไวน์ที่มีคุณภาพสูงออกมาได้


ปีนี้ฉินสือโอวต้องการหมักไวน์คุณภาพดีเอง เขาจะพึ่งคุณลุงฮิคสันไปตลอดไม่ได้หรอกจริงไหม?


หลังจากได้ฟังบิลพูดแล้วเขาก็สบายใจขึ้นและรับยาฆ่าแมลงมา เขาหยิบชุดเครื่องมือและเข้าไปในไร่องุ่น หลังจากพบรูเล็กๆ สีดำในหน่ออ่อนแล้วก็ให้เขาตัดส่วนนั้นทิ้งและรวบรวมมันไว้ตามที่บิลสอน

 

 

 


บทที่ 1211 ทำการทดลองกับต้าป๋าย

 

หลังจากทำงานมาเกือบทั้งวัน บางส่วนของเถาองุ่นก็ค่อนข้างเห็นได้ชัดว่าถูกตัดแต่งไปหนึ่งรอบแล้ว


กองหน่ออ่อนขององุ่นขนาดใหญ่อยู่บนชายหาด ฉินสือโอวจึงเทน้ำมันเบนซินราดลงไป หลังจากจุดไฟแล้วควันโขมงสีดำก็ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าและเปลวไฟก็ลุกโชนขึ้น


“ว้าว ดูเหมือนกับไฟแคมป์ในงานเลี้ยงตอนเย็นเลยว่าไหม?” บูลตะโกนอย่างตื่นเต้น


ชาร์คตบหัวเขาแล้วกลอกตาไปมาและพูดว่า “นายอยากสูดควันดำสักหน่อยไหมล่ะ? ในเมื่อนายเพลิดเพลินกับไฟแคมป์ขนาดนี้ งั้นนายก็มาจัดการกับเรื่องยุ่งๆ นี้เถอะ”


ในช่วงเย็นดวงอาทิตย์กำลังจะตกดิน ขอบฟ้าถูกแผดเผาจนเป็นสีแดงและมหาสมุทรก็ถูกส่องแสงจนกลายเป็นสีแดงเข้ม วาฬหลังค่อมสองตัวปรากฏตัวขึ้นใกล้ทะเล พวกมันลอยไปมาในน้ำและมักจะส่งเสียงร้องเพลงออกมาอย่างสนุกสนาน


ในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิต้นฤดูร้อน ปลาวาฬจากขั้วโลกเหนือและใต้จะมารวมตัวกัน พวกมันมีไอคิวแน่นอนจึงได้นึกถึงอาหารที่อุดมสมบูรณ์ น้ำที่ใสสะอาดและความปลอดภัยที่สามารถพึ่งพาได้ของฟาร์มปลาต้าฉิน พวกมันทยอยเข้ามาในบริเวณทะเลแห่งนี้และที่นี่แทบจะเปลี่ยนเป็นสถานที่สำหรับการดูวาฬไปแล้ว


ในช่วงที่ปลาทะเลเข้าสู่ฤดูผสมพันธุ์จะคล่องแคล่วว่องไวมากขึ้นและมักจะมีปลาตัวใหญ่กระโดดขึ้นมาเหนือน้ำทะเล ฉินสือโอวที่ยืนอยู่บนท่าเรือและอุ้มเสี่ยวเถียนกวาอยู่ก็มองดูไปข้างหน้า ปลาโลมาตัวหนึ่งเฉียดผ่านขึ้นมาข้างๆ พวกเขา จึงทำให้เกิดละอองน้ำกระเด็นขึ้นมา แน่นอนว่าต้องเป็นบีนอย่างแน่นอนที่กำลังแสดงกายกรรมนี้อยู่


วินนี่ผู้มีความสวยและสง่างามก็เข้ามายืนอยู่ข้างๆ เธอยิ้มและมองไปที่เสี่ยวเถียนกวาที่กำลังตื่นเต้น จึงชี้ให้เธอดูว่านี่คืออะไรนั่นคืออะไร


นับตั้งแต่พูดคำว่าพ่อแม่ได้ เสี่ยวเถียนกวาก็เริ่มเรียนรู้ที่จะพูดอย่างเป็นทางการ เพียงแค่เธอยื่นมือออกไป ตอนนี้การตอบสนองของทุกคนในครอบครัวจะไม่เอาสิ่งนั้นให้เธอกลับ แต่จะสอนเธอพูดว่านั่นคืออะไร


เรื่องนี้ทำให้เด็กหญิงตัวเล็กรู้สึกยุ่งวุ่นวายมาก อันที่จริงเธอไม่ต้องการเรียนรู้ที่จะพูดอะไรเลย แต่เธอแค่อยากเล่นของเล่นเท่านั้น


เมื่อเห็นบีนที่กระโดดอยู่ในน้ำอย่างต่อเนื่อง เสี่ยวเถียนกวาก็หัวเราะพร้อมกับยื่นนิ้วมือออกไป


ฉินสือโอวเอาเสี่ยวเถียนกวานั่งลงบนขอบดาดฟ้าเรือ จากนั้นเขาก็ปรบมือลงในน้ำ บีนจึงเงยหน้าขึ้นมองและเผยให้เห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มสดใส จากนั้นปากใหญ่ๆ ก็แทบจะยิ้มกว้างไปจนถึงรูหูพร้อมกับพยักหน้าอยู่ในน้ำด้วยท่าทางไร้เดียงสา


เสี่ยวเถียนกวาส่งเสียงร้องด้วยความแปลกใจขึ้นว่า ‘อาอา’ พลางยื่นมือเล็กๆ อ้วนๆ ออกไปเพื่อจะสัมผัสบีนและหลังจากที่ได้สัมผัสผิวอันเย็นและเนียนของมันแล้วก็ยิ้มกว้างออกมา เธอทั้งยิ้มและร้องไปด้วยว่า “ปาป๊าๆ”


ฉินสือโอวทั้งยิ้มทั้งพูดว่า “ปาป๊าอยู่ที่นี่แล้วนะ นี่คือปลาโลมา นี่คือบีนๆๆ…”


“ปาป๊าๆ” เสี่ยวเถียนกวายังคงร้องเรียกอยู่อย่างนั้นและดูโลมาน้อยส่งเสียงร้องอย่างตั้งใจ


บีนยิ้มกว้าง ฉินสือโอวจึงจ้องมองอย่างทำอะไรไม่ได้ แต่ไม่ว่าเขาจะสอนอย่างไร เสี่ยวเถียนกวาก็จะเรียกแค่ ‘ปาป๊า’ และไม่พูดออกเสียงตามเขาว่า ‘บีนๆ’ เลย


วินนี่ขึ้นมาเพื่อดูแลควบคุมเสี่ยวเถียนกวาและให้เขาไปสั่งฉีดพ่นยาฆ่าแมลงในไร่องุ่น


เบิร์ดนอนอยู่บนปีกของรถแทรกเตอร์ทางอากาศและกำลังคุยโม้กับบีบีซวง ฉินสือโอวจึงเข้าไปเอายาฆ่าแมลงที่ผสมกับน้ำปูนขาวที่เตรียมไว้ จากนั้นก็ดีดนิ้วและพูดว่า “เอาล่ะ เบิร์ด ไปทำงานเถอะ”


เบิร์ดยิ้มแล้วพูดว่า “ง่ายมาก ง่ายเกินไปแล้ว”


เครื่องบินเริ่มร่อนขึ้นไปบนอากาศและหันหน้าไปทางทะเล หลังจากบินขึ้นเหนือต้นองุ่นแล้วก็จะเริ่มบินดิ่งลง จากนั้นส่วนท้องเครื่องก็จะเปิดออกและละอองน้ำสีขาวข้นก็พ่นออกมาปกคลุมไร่องุ่นสีเขียว


ในขณะที่กำลังทานอาหารเย็น แซนเดอร์สขยิบตาใส่ฉินสือโอวอย่างมีลับลมคมใน ทำให้ฉินสือโอวรู้สึกไม่สบายใจ หรือว่างานวิจัยของศาสตราจารย์จะมีอะไรใหม่ๆ อีกแล้ว


ฉินสือโอวเช็ดปากและลุกออกจากโต๊ะอาหาร จากนั้นวินนี่พูดว่า “เฮ้ คุณยังกินไม่เสร็จเลยนะคะ”


“ผมอิ่มแล้ว ไม่กินแล้วล่ะ” ฉินสือโอวกล่าว


วินนี่ขมวดคิ้วและมองไปที่กองที่เหลืออยู่บนจานตรงหน้าเขาแล้วพูดว่า “เราคุยกันแล้วไม่ใช่เหรอคะว่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกสาว? ชีวิตไม่อนุญาตให้แสดงพฤติกรรมที่ไม่ดีออกมา กินทิ้งกินขว้างแบบนี้ถือว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่ดีไหมคะ?”


เสี่ยวเถียนกวานั่งอยู่บนเก้าอี้สำหรับเด็กและมองดูรอบๆ อย่างเบื่อหน่าย วินนี่ชี้ไปที่จานอาหารของฉินสือโอวให้เธอดู ดวงตาของเสี่ยวเถียนกวาก็ลุกวาวขึ้นทันที เธอยื่นมือออกไปและส่งเสียงร้องอาอาอูอู


ไม่มีใครรู้ว่าเธอกำลังร้องอะไร แต่ในฐานะที่วินนี่เป็นแม่จึงมีสิทธิ์ในการตีความเป็นคนแรก เธอพูดว่า “ดูสิ ลูกสาวเหยียดหยามคุณแล้ว”


ฉินสือโอวพูดอย่างหมดหนทางว่า “ศาสตราจารย์มาหาผม คุณรอผมก่อนนะ แล้วผมจะกลับมากินอาหารพวกนี้ให้หมด”


หลังจากไปที่ห้องนั่งเล่น ฉินสือโอวจึงถามแซนเดอร์สด้วยความตื่นเต้นว่า “เป็นอย่างไร การศึกษาวิจัยยาอายุวัฒนะมีความก้าวหน้าอะไรใหม่ๆ ใช่ไหมครับ?”


 “ยาอายุวัฒนะที่ไหนจะไม่แก่บ้าง ไม่มีสรรพคุณที่มหัศจรรย์แบบนั้นหรอก” แซนเดอร์สยิ้มอย่างเขินอาย


“ถ้าอย่างนั้นงานวิจัยมีความคืบหน้าอะไรใหม่ๆ ล่ะ?”


“ไม่มี”


“ให้ตายสิ! แล้วคุณมาหาผมทำไม?”


แซนเดอร์สที่ดูกระตือรือร้นก็พูดว่า “ฟาร์มปลาของเราไม่ได้ค้นพบแมงกะพรุนเวเลลลาเรืองแสงสายพันธุ์ใหม่หรอกเหรอ? ผมได้ตีพิมพ์ผลการวิจัยลงในวารสารวิทยาศาสตร์ ‘ธรรมชาติของแคนาดา’ สำนักพิมพ์นิตยสารสนใจพวกมันมากและวางแผนที่จะมาถ่ายภาพและวิดีโอสั้นๆ ที่ฟาร์มปลาเพื่อทำการวิจัย”


ฉินสือโอวโบกมือและพูดว่า “เรื่องนี้คุณพิจารณาเอาเองก็แล้วกัน ผมไม่มีปัญหา นอกจากนี้ ถ้ามีความคืบหน้าในการวิจัยเกี่ยวกับยาอายุวัฒนะ ก็อย่าลืมรายงานผมตลอดเวลาด้วยและไม่อนุญาตให้เผยแพร่ข้อมูลการวิจัยส่วนตัวออกไปข้างนอก”


แซนเดอร์สคิดสักพักแล้วพูดว่า “โอเค ผมเข้าใจแล้วบอส จริงๆ แล้วก็มีความก้าวหน้าบางอย่างในการวิจัยเกี่ยวกับแมลงยักษ์คล้ายตะขาบ ไม่สิ หรือนี่ไม่นับว่าเป็นความก้าวหน้านะ สรุปคือก็พบอะไรใหม่ๆ อยู่บ้างเล็กน้อย”


เขาเลียริมฝีปากไปมาและพูดด้วยความท้อใจเล็กน้อยว่า “องค์ประกอบของกระดองชนิดนี้ซับซ้อนมาก ก่อนหน้านี้ผมไม่ได้บอกว่าได้ค้นพบองค์ประกอบแร่ธาตุชนิดใหม่เหรอ? ผมคิดว่ามันองค์ประกอบชนิดนี้สามารถชะลออัตราการเผาผลาญของเซลล์ได้ แต่หลังจากที่ผมสกัดและทดลองแล้วก็พบว่ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้น”


“ถ้าอย่างนั้นมันคืออะไรล่ะ?” ฉินสือโอวถามอย่างสงสัย


แซนเดอร์สยิ้มเจื่อนแล้วพูดว่า “ตอนนี้ผมรู้แค่ว่า ผงของกระดองที่เป็นยาชนิดนี้สามารถลดอัตราการเผาผลาญของเซลล์ได้จริงๆ แต่ยังไม่ได้ค้นคว้าว่าส่วนผสมชนิดไหนที่ใช้ได้ผล นี่จึงยังวิจัยได้ไม่ชัดเจนเท่าไรนัก คุณก็รู้นี่บอส จะอาศัยแค่เพียงกำลังของคนคนเดียวมันก็เป็นเรื่องยากที่จะจัดการเรื่องที่ซับซ้อนแบบนี้”


ฉินสือโอวส่ายหัวอย่างแน่วแน่และพูดว่า “แต่เราไม่สามารถเผยแพร่เรื่องนี้ออกไปข้างนอกได้ นอกจากผมกับคุณแล้ว คนอื่นห้ามรู้เรื่องนี้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นคุณคงรู้ผลที่จะตามมาแล้วใช่ไหม?”


แซนเดอร์สพยักหน้า ถ้าผลการวิจัยที่เกี่ยวข้องหลุดออกไป เกรงว่าฟาร์มปลาอาจจะเกิดเรื่อง คาดว่าจะกลายเป็นสถานที่ดังของฮอลลีวูด อีกทั้งความปลอดภัยของเขาและฉินสือโอวก็อาจจะไม่ได้รับการคุ้มครองด้วย


เมื่อส่งแซนเดอร์กลับไป ฉินสือโอวก็กลับไปที่โต๊ะอาหารเพื่อกินอาหารของเขาให้หมด จากนั้นจึงกลับไปนอนบนเตียงที่ห้องนอน


วินนี่กำลังนั่งอยู่บนพรมและกำลังหยอกล้อกับต้าป๋าย ต้าป๋ายดูเหมือนจะไม่ค่อยมีชีวิตชีวามากเท่าไร จึงไม่เล่นกับเธอ มันแค่เอาหัวถูขาของเธอเบาๆ


เมื่อเห็นเช่นนี้ วินนี่ก็รู้สึกกังวลเล็กน้อยและพูดว่า “ฉิน เราจะพาต้าป๋ายไปโรงพยาบาลดีไหมคะ? ฉันรู้สึกว่าสองวันมานี้มันไม่ค่อยดีเลย”


ฉินสือโอวกำลังนึกถึงปัญหาของกระดองของแมลงยักษ์โบราณคล้ายกับตะขาบอยู่ก็ตกใจทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่วินนี่พูด จากนั้นจึงไปดูต้าป๋ายและหัวใจของเขาก็เต้นรัวขึ้นมาอย่างรุนแรง


แซนเดอร์สบอกว่ากระดองประหลาดชนิดนี้สามารถลดอัตราการเผาผลาญของสิ่งมีชีวิตและเพิ่มอายุขัยได้ แล้วถ้าเอามาใช้กับต้าป๋ายล่ะจะเป็นอย่างไร?


เขาป้อนพลังโพไซดอนให้ต้าป๋ายไม่หยุด แต่พลังชีวิตของมันก็ยังไม่แข็งแรงมากนัก ดังนั้นบางทีถ้าเขาลองใช้กระดองของแมลงยักษ์โบราณคล้ายกับตะขาบกับมันดูล่ะ?

 

 

 


บทที่ 1212 คราเคนกินข้าว

 

จิตสำนึกแห่งโพไซดอนเข้าไปในทะเลลึก ฉินสือโอวก็จึงหาคราเคนเจอและวางแผนที่จะพามันไปเตร็ดเตร่ในทะเลลึกสักพัก


เพราะไม่ได้เจอมันมาสักพักแล้ว ขนาดตัวของคราเคนจึงใหญ่ขึ้นและมีลำตัวยาวกว่ายี่สิบเมตรแล้ว หมึกยักษ์ที่ใหญ่ที่สุดที่ถูกค้นพบในโลกอยู่ที่อ่าวเลยัลประเทศนิวซีแลนด์และหมึกยักษ์ตัวนั้นมีหนวดที่ยาวที่สุดคือสิบหกจุดเจ็ดเมตร รวมกับลำตัวจะยาวประมาณยี่สิบเอ็ดเมตร


ฉินสือโอวไม่ได้วัดขนาดของคราเคน แต่ถ้ามันมีขนาดถึงยี่สิบเอ็ดเมตรก็ไม่มีปัญหา ภายใต้การเร่งปฏิกิริยาของพลังแห่งโพไซดอน มันยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง สุดท้ายแล้วมันจะสามารถมันจะโตได้มากแค่ไหน นั่นก็ยังบอกไม่ได้


หมึกยักษ์ที่มีความยาวมากกว่ายี่สิบเมตรจะล่องลอยอยู่ในทะเล อานุภาพนั้นช่างน่ากลัวจริงๆ ฉินสือโอวไม่เคยเจอกับความยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งอย่างวาฬเพชฌฆาตและวาฬหัวทุยมาก่อน ดังนั้นเขาจึงไม่เคยเห็นปลาที่กล้าต่อสู้กับคราเคนด้วยเช่นกัน


แน่นอนว่าโลกใต้น้ำนั้นลึกลับและไม่อาจคาดเดาได้ คราเคนที่มีความยาวยี่สิบเมตรจึงไม่ใช่ราชาที่ไร้คู่ต่อสู้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น ครั้งนี้จะมีเพียงแค่เรื่องแมลงยักษ์คล้ายตะขาบที่เขาต้องไปตามหา ถ้าพวกนี้ได้รวมตัวกันแล้วก็เกือบจะฆ่าสัตว์อย่างคราเคนได้


คราเคนร่อนเร่อยู่ใต้ท้องทะเลทั้งวัน ไม่รู้จะหาเรือเจอได้จากที่ไหน เรือลำนี้ถูกทำลายจนเสียหายอย่างหนักจนตำแหน่งท้ายเรือเป็นโพรง


ตอนนี้คราเคนก็อาศัยอยู่ในเรือลำนี้ โดยมีหนวดแปดเส้นที่โอบล้อมเรือทั่วทุกทิศทุกทางและตัวของมันก็ทะลุจากท้ายเรือเข้าไปในห้องโดยสารเรือ สถานที่นี้มีความเป็น “ไพเรทส์ออฟเดอะแคริบเบียน” มาก เหมือนกับว่ามันเป็นเรือที่ถูกทำลาย


ฉินสือโอวส่งจิตสำนึกแห่งโพไซดอนออกไปดูภายในเรือและไม่มีสิ่งของมีค่าอะไรเลย ภายในของเรือลำนี้สะอาดมาก เว้นแต่ตัวเรือและทุกอย่างแทบจะเสื่อมโทรมไปจนหมดแล้ว


จิตสำนึกแห่งโพไซดอนมีอำนาจทุกอย่าง สุดท้ายเขาก็พบเหรียญทองแดงสองสามเหรียญในซอกรอยแตกของเรือ จิตสำนึกแห่งโพไซดอนจึงเก็บพวกมันออกมา แต่กลับพบว่ามองเห็นอะไรชัดเจนเลย มีเพียงลายเส้นทรงกลมคร่าวๆ ซึ่งไม่มีค่าอะไร เขาจึงคืนสู่เจ้าของและเอาเหรียญทองแดงส่งคืนให้ตรงซอกรอยแตก


หมึกยักษ์เป็นสัตว์น้ำลึก สภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยที่คราเคนเลือกคือทะเลลึกนอกฟาร์มปลา ที่นี่ไม่มีแสงสว่างใดๆ เลย ดังนั้นถึงแม้ว่าคราเคนต้องการเคลื่อนไหวอย่างอิสระก็ยังลำบาก ต่อให้ตาของมันจะใหญ่พอๆ กับโต๊ะเรียนของเด็กประถมก็ตาม


หลังจากรู้สึกถึงพลังแห่งโพไซดอน มันก็ค่อยๆ โผล่หัวออกมา จากนั้นก็ลอยตามฉินสือโอวไปเหนือน้ำทะเล


คนอื่นๆ มักจะพาสุนัขแมวออกไปเดินเล่นข้างนอก ส่วนเย็นนี้ฉินสือโอวจะพาหมึกยักษ์ไปเดินเล่นและนี่คือหมึกยักษ์ที่มีอาวุธที่ฟัน หนวดแปดเส้นที่มาพร้อมกับกระบองฟันหมาป่า ดังนั้นการเป็นเจ้าถิ่นในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือก็เป็นเรื่องง่ายดายสำหรับมัน


ฉลามวัวฝูงหนึ่งกำลังเร่ร่อนหาอาหารอยู่กลางน่านน้ำ จู่ๆ พวกมันก็รู้สึกว่าน้ำทะเลไหลเชี่ยวอยู่พักหนึ่ง ทันใดนั้นก็หันไปรอบๆ อย่างรวดเร็วและตะแคงมองลงไปด้านล่าง จากประสบการณ์ของพวกมัน นี่เป็นสัญญาณการปรากฏตัวของปลาฝูงหนึ่ง


ฉลามวัวเป็นหนึ่งในนักฆ่าที่น่ากลัวที่สุดในท้องทะเล พวกมันมีขนาดเล็ก แต่นิสัยดุร้าย รับรู้กลิ่นได้ไวและมีการรับรู้ที่รุนแรง พวกมันสามารถตามล่าเหยื่อได้ในระยะหนึ่งกิโลเมตรโดยอาศัยความสั่นสะเทือนและเสียงของทะเล


ดังนั้น เมื่อน้ำทะเลในบริเวณน่านน้ำผืนนี้เกิดการสั่นสะเทือน พวกมันจะรับรู้ได้และพวกมันจะตัดสินขนาดของฝูงปลาที่จะโจมตีจากความถี่ในการสั่นสะเทือนของน้ำทะเล


แต่ครั้งนี้พวกมันพลาดแล้ว หลังจากผ่านไปหลายสิบวินาที ฝูงปลาก็ยังไม่ปรากฏตัวออกมาและหมึกยักษ์ที่น่ากลัวตัวหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นมาแทน


เมื่อเห็นคราเคน ปลาทะเลธรรมดาทั่วไปจะหนีกระเจิดกระเจิง แต่ฉลามวัวไม่หนี พวกมันกลับเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวกว่าตัวเองสิบเท่า คิดไม่ถึงว่าจะจ้องตาเป็นมันและรุมล้อมเข้าไป พวกมันมองคราเคนด้วยสายตาคิดร้ายคล้ายกับว่าต้องการล่ามัน


นี่คือนิสัยที่แท้จริงของฉลามวัว พวกมันมีความสามารถในการโจมตีและมีนิสัยการกินแบบผสมผสาน เมื่อพวกมันหิว เป็นที่รู้กันดีว่าสัตว์ทุกตัวสามารถเป็นอาหารของพวกมันได้ รวมถึงฉลามบางตัวที่มีขนาดใหญ่กว่าพวกมันด้วย


บังเอิญที่คราเคนก็หิวเช่นกัน เพราะในทะเลลึกไม่มีอาหารให้มันกินเลย


เมื่อเห็นฉลามวัวที่กำลังล้อมรอบเข้ามา คราเคนก็เริ่มออกตัวเคลื่อนไหว มันพ่นน้ำหนึ่งครั้งและเร่งความเร็วทันทีและหนวดทั้งแปดเส้นก็ปล่อยให้วงล้อไฟจัดการฆ่า สักพักก็เห็นแค่น้ำทะเลซัดสาดและมีเลือดสดๆ ไหลออกมา จนฉลามวัวที่อยู่ล้อมรอบอยู่ ไม่สามารถโจมตีได้ทัน จึงถูกกระบองฟันหมาป่าตีจนแทบจะไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ


เหมือนกับผู้ใหญ่รังแกกลุ่มเด็กๆ การโจมตีของฉลามวัวต่อคราเคนนั้นเป็นเพียงแค่ความหยาบคายเท่านั้น จากนั้นก็เกมโอเว่อร์


ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งนาที ฉลามวัวฝูงนี้ก็พ่ายแพ้ไป ฉลามวัวหลายสิบตัวก็เป็นเจ้าแห่งมหาสมุทรเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่พวกมันไม่ได้เผชิญหน้ากับหมึกยักษ์มากพอ โดยเฉพาะหมึกยักษ์ตัวนี้ยังสามารถต่อสู้ได้อีกด้วย


คราเคนจัดการฉลามวัวหกตัวได้อย่างรวดเร็วและอีกสองตัวก็ถูกตีจนเลือดไหลแต่ไม่ตาย เมื่อคราเคนหยุด พวกมันก็หันหลังกลับแล้วหนีทันทีจนแทบอยากจะให้พ่อแม่ของพวกมันเพิ่มหางให้พวกมันมากกว่านี้


เมื่อเห็นฉลามวัวหนีไปแล้ว คราเคนกะพริบตาดวงโตที่มีขนาดเท่ากับโต๊ะเรียนหนังสือด้วยความดูถูกเหยียดหยาม มันใช้หนวดจับซากฉลามวัวไว้และเริ่มกินพวกมันต่อหน้าฉินสือโอว


ท่าทางการกินของหมึกยักษ์นั้นเต็มไปด้วยรสชาติแห่งความป่าเถื่อนและดุร้าย แรงดูดที่หนวดของพวกมันน่ากลัวมาก หลังจากที่ดูดซากของฉลามวัวไว้อย่างโหดร้ายแล้ว มันก็ฉีกเป็นเนื้อชิ้นใหญ่แล้วยัดเข้าปาก มันจะทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ และฉลามวัวหนึ่งตัวกินได้ไม่กี่คำก็หมดแล้ว


ฉินสือโอวส่ายหัว เขาไม่สนใจที่จะดูการกินของคราเคน ดังนั้นเขาจึงวางจิตสำนึกแห่งโพไซดอนอีกด้านไว้ใกล้กับหลุมน้ำเงินที่มีแมลงยักษ์คล้ายตะขาบอาศัยอยู่และเตรียมที่จะเอากระดองออกมาอีกครั้ง


ที่ที่แมลงยักษ์คล้ายตะขาบอาศัยก็อยู่ในทะเลลึกเช่นกัน เมื่อก่อนฉินสือโอวเคยมาที่นี่หลายครั้งและที่นี่ก็เป็นที่ที่มืดสนิทแห่งหนึ่ง


แต่หลังจากมาในครั้งนี้เขาก็พบว่ามันไม่เป็นอย่างนั้น พื้นที่ทะเลที่ใกล้กับหลุมน้ำเงินกำลังส่องแสงเป็นประกายเล็กน้อย…


ให้ตายเถอะ หรือว่าที่นี่จะเป็นที่อยู่ของแมงกะพรุนเวเลลลาเรืองแสง? ฉินสือโอวถึงกับผงะ ปกติแล้วเขาออกลาดตระเวนในฟาร์มปลาและพบว่าแมงกะพรุนเวเลลลาเรืองแสงมีความเกี่ยวข้องกับปูดันเจเนสส์ พวกมันอาศัยอยู่ในน่านน้ำของฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในคอกและเขาไม่เคยพบพวกมันอยู่ที่อื่นเลย


จิตสำนึกแห่งโพไซดอนควบคุมน่านน้ำแห่งนี้ ฉินสือโอวจึงสังเกตอย่างละเอียดสักพักถึงจะเข้าใจว่าตัวเองคิดผิด นี่ไม่ใช่แมงกะพรุนเวเลลลา แต่มันคือปลาฝูงหนึ่ง


ครึ่งหน้าของลำตัวปลาชนิดนี้มีรูปร่างแบนคล้ายจานและหางก็เป็นรูปทรงกระบอก มันเคลื่อนที่ช้าๆ เมื่อเข้าใกล้กับก้นทะเล มันไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ในระยะครึ่งเมตรเหมือนกันเดียวกับเต่า


ท่าทางของพวกมันค่อนข้างดุร้าย ถ้ามองแค่หน้าตา พวกมันต้องเป็นหนึ่งในสี่ชายที่ชั่วร้ายในใต้ท้องทะเลแน่นอน เพียงแค่เห็นเจ้าพวกนี้มีตาสองดวงที่ด้านบนของหัว มีปากใหญ่น่ากลัว ปากของมันกว้างเท่าลำตัวและมีฟันแหลมเรียงกันเป็นแถวที่ขอบปาก


นอกจากนี้ ยังแปลกมากที่ปลาชนิดนี้ยังมีครีบที่คอ สามารถแกว่งไปมาเพื่อช่วยให้พวกมันเคลื่อนไหวได้และสิ่งที่แปลกไปกว่านั้นคือ บนหัวของพวกมันมีโคมไฟขนาดเล็กห้อยอยู่และแสงสว่างเปล่งออกมาจากตรงนี้


ฉินสือโอวรู้ว่าปลาชนิดนี้คือปลาตกเบ็ด มีฉายาว่าปลาโคมไฟ จริงๆ แล้วโคมไฟบนหัวของพวกมันเกิดจากครีบหลังที่ค่อยๆ ยื่นขึ้นไป


ปลายครีบหลังเปล่งแสงเนื่องจากมีเซลล์ต่อมที่สามารถหลั่งลูซิเฟอรินซึ่งเร่งปฏิกิริยาโดยลูซิเฟอเรสและผ่านกระบวนการออกซิเดชันทางเคมีอย่างช้าๆ พร้อมกับออกซิเจนเพื่อเปล่งแสงออกมา

 

 

 


บทที่ 1213 สายพันธุ์ใหม่

 

ในท้องทะเลลึกอันมืดมิด ทั้งเหน็บหนาว เดียวดายและสิ้นหวังมาก เดาว่าปลาและกุ้งทุกตัวคงรู้สึกแบบนี้ พวกมันจึงต้องการอ้อมกอดที่อบอุ่น การนำทางที่มีความหวังและการปลอบโยน


ดังนั้น เมื่อมีแสงปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกมันในเวลานี้ พวกมันจะทำอย่างไร?


ไม่ต้องลังเลเลยสักนิด พวกมันเข้าไปใกล้ๆ ทันที ขณะนี้ฉินสือโอวจึงเห็นปลาตัวใสยาวสี่ห้านิ้วว่ายน้ำเข้าหาปลาตกเบ็ดที่มีความยาวประมาณสามสิบเซนติเมตร


แสงสว่างจากโคมไฟที่ห้อยอยู่บนหัวของปลาตกเบ็ดนั้นอ่อนมาก จนไม่สามารถส่องสว่างใบหน้าของพวกมันได้ ไม่อย่างนั้นเดาว่าปลาเหล่านี้คงจะโดดเดี่ยว เหน็บหนาว ต้องการการปลอบโยนและไม่สามารถพึ่งพาได้ต่อไป


ฉินสือโอวสามารถมองเห็นลักษณะของปลาตกเบ็ดชนิดนี้ได้อย่างชัดเจน มันน่าเกลียดมากจริงๆ! พระเจ้า นี่มันฝันร้ายชัดๆ ไม่คิดอย่างนั้นเหรอ? เขาเฝ้าดูปลาตัวน้อยเหล่านี้ที่ถูกแสงไฟล่อเข้าไปและอดไม่ได้ที่จะนึกถึงตอนเด็กๆ ที่เคยดูหนังสยองขวัญ ฉากที่ศีรษะของมนุษย์โผล่ออกมาบ้างล่ะ วิญญาณชั่วร้ายโผล่ออกมาบ้างล่ะ มันน่ากลัวจนฉี่แทบราดจริงๆ!


ปลาตกเบ็ดอ้าปากกว้าง เผยให้เห็นฟันแหลมคมที่ไม่เท่ากันและเขี้ยวสลับกัน จากนั้นครีบที่อยู่ด้านบนของหัวยังสามารถหดกลับได้ ปลาตัวเล็กเหล่านี้จึงตกเข้าไปในปากของพวกมันแบบนี้…


ในขณะที่ปลาตกเบ็ดกำลังจะหุบปากลง จู่ๆ งูเหลือมยักษ์ตัวแบนตัวหนึ่งก็ลอยตัวขึ้นมาจากทรายที่ก้นทะเล ร่างใหญ่ของมันทับตัวปลาตกเบ็ดและร่างของมันลอยคดเคี้ยวไปข้างหน้า หลังจากพวกมันจากไป ที่ที่ปลาตกเบ็ดเคยอยู่ก่อนหน้านี้ก็ไม่หลงเหลืออะไรไว้เลย!


แน่นอนว่านี่ไม่ใช่งูเหลือมยักษ์ แต่เป็นแมลงยักษ์คล้ายตะขาบที่เชื่อมต่อกันไปมา


หลังจากแมลงยักษ์คล้ายตะขาบปรากฏตัวขึ้น ปลาตกเบ็ดตัวอื่นๆ ก็ว่ายน้ำเร่งความเร็วทันทีและแสงของโคมไฟดวงเล็กที่อยู่บนหัวของพวกมันก็ค่อยๆ มืดสลัวลง สุดท้ายแสงสว่างก็อ่อนลงจนแทบมองไม่เห็นอะไรเลย ซึ่งนี่เป็นการปกป้องตัวเองที่จำกัดมากที่สุด


หลังจากแมลงยักษ์คล้ายตะขาบกินปลาตกเบ็ดไปตัวหนึ่งแล้วมันก็วนอยู่รอบๆ อีกครั้งและรวบรวมร่างอย่างรวดเร็วแล้วกลับไปที่รังหลุมดำ


จากนั้นไม่นาน โคมไฟเล็กๆ ของปลาตกเบ็ดก็สว่างขึ้นอีกครั้ง ราวกับว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน พวกมันยังคงจับปลาและกุ้งตัวเล็กมาเป็นอาหารต่อไปเรื่อยๆ


อย่ามองว่าปลาตกเบ็ดมีขนาดเล็ก นิสัยการกินของพวกมันรุนแรงเหมือนกับฉลามวัว พวกมันกินได้ทุกอย่าง เพราะมีฟันที่แหลมคม พวกมันจะแทะปลาที่บังเอิญได้รับบาดเจ็บหรือเพิ่งตาย แม้ว่ามันต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม


ฉินสือโอวเข้าไปดูอย่างละเอียดและพบว่าปลาตกเบ็ดเหล่านี้ไม่เหมือนกับที่เขารู้จักในอินเทอร์เน็ตและในหนังสือมาก่อนหน้านี้ นอกจากครีบที่ส่องแสงบนหัวของพวกมันแล้ว ยังมีส่วนเล็กๆ ที่เหมือนกับขาแมลงยื่นออกมาสองข้างและยังมีหนวดอยู่รอบๆ ปากอีกด้วย


ดังนั้น หนวดของพวกมันจึงสามารถแกว่งไปมาได้อย่างช้าๆ ซึ่งดูเหมือนกับสาหร่ายทะเล อีกทั้งหนังปลาอันมันวาวและเรียบเนียนของพวกมันยังมีจุดสีแดง เหมือนจะกระจายอยู่บนสาหร่ายสีแดง ดังนั้นต่อให้ปลาและกุ้งที่มีสายตาดี ก็ไม่สามารถมองเห็นการมีอยู่ของพวกมันได้ง่ายๆ


ฉินสือโอวจำได้ว่าเขาไม่เคยเห็นปลาตกเบ็ดที่มีหนวดบนปากมาก่อน เขารู้สึกว่านี่คงจะเป็นปลาตกเบ็ดสายพันธุ์ใหม่ที่มนุษย์ยังไม่ได้ค้นพบ


แน่นอนว่าสิ่งนี้ไม่น่าแปลกอะไร ความลึกที่สุดของมหาสมุทรที่ได้รับการยอมรับในปัจจุบันคือหนึ่งหมื่นหนึ่งพันเมตร และอุปกรณ์ดำน้ำที่ก้าวหน้าที่สุดสามารถดำน้ำได้ลึกถึงเจ็ดพันหกร้อยเมตร ทะเลลึกเกือบสี่กิโลเมตรเป็นเขตหวงห้ามที่มนุษย์ไม่สามารถเข้าไปได้


แม้ว่าสถานที่เหล่านี้จะหนาวเย็น ออกซิเจนต่ำและมืดสลัว แต่ก็ยังมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ อย่างเช่นหมึกยักษ์สามารถอยู่รอดได้ในน้ำที่ลึกขนาดนี้ได้และอาหารหมึกยักษ์ก็มีมากมาย พวกมันสามารถอยู่รอดได้ในที่แบบนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าที่แห่งนี้มีอาหารมากเพียงพอ


และยังแสดงให้เห็นว่ายังมีความลึกลับอีกมากมายที่มนุษย์ไม่สามารถอธิบายได้ในโลกใต้ทะเลลึก ถ้าฉินสือโอวสนใจก็สามารถเข้าไปดูได้


แต่ปริศนาความลึกลับที่เขายิ่งสืบหาได้มากเท่าไร ฉินสือโอวจึงยิ่งรู้สึกว่าตัวเองยิ่งไม่ปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น ธรรมชาติของมนุษย์นั้นจะแสดงออกอย่างเห็นได้ชัด ตัวเขาเองก็เป็นแบบนี้ เช่นตอนนี้เขาได้ค้นพบปลาตกเบ็ดสายพันธุ์ใหม่จึงต้องการแสดงให้โลกเห็น


แต่ถ้าผ่านมือของเขา ความลับของมหาสมุทรก็ถูกกระตุ้นมากขึ้นเรื่อยๆ และยังมีสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่งคล้ายกับแมลงยักษ์คล้ายตะขาบปรากฏตัวออกมาซึ่งมันสามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ปัจจุบันของมนุษยชาติได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นเขาจะดึงดูดความสนใจของผู้คนได้มากแค่ไหน?


ดังนั้นถ้าลองคิดดูให้ดีแล้ว เขาจึงควบคุมการเดินทางของเขาไว้และจัดการดูแลฟาร์มปลาของเขาให้ดีก่อน ส่วนที่เหลือค่อยว่ากันทีหลัง


จิตสำนึกแห่งโพไซดอนมุดเข้าไปในกระดองของแมลงยักษ์คล้ายตะขาบ จากนั้นก็พบหมึกยักษ์ที่มีหนวดยาวกว่าหนึ่งเมตรในกลุ่มกรรมกรไร้กระดูกลอยเข้ามาและเอากระดองนี้ไปด้วย คาดว่ามันจะเข้าใกล้กับชายหาดในวันพรุ่งนี้


จากนั้นจึงเอาจิตสำนึกแห่งโพไซดอนกลับคืน ฉินสือโอวลุกขึ้นเล่นโทรศัพท์มือถือและค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับปลาตกเบ็ดในอินเทอร์เน็ต มันเป็นอย่างที่เขาว่าไว้จริงๆ ในอินเทอร์เน็ตไม่มีการบันทึกเกี่ยวกับปลาตกเบ็ดที่เขาเพิ่งเห็นเลย


วินนี่อุ้มเถียนกวาเดินเข้ามาและจัดหมอนให้ลูกสาวพิงแล้วพูดว่า “เอาล่ะๆ รีบวางโทรศัพท์ลงได้แล้ว มาเล่นเป็นเพื่อนลูกแล้วก็เล่านิทานให้เธอฟังจนหลับด้วยนะคะ”


ฉินสือโอวยิ้มและกำลังจะวางโทรศัพท์ลง ก็มีสายโทรศัพท์เข้ามา เมื่อเห็นแบบนี้เขาจึงทำท่าไม่มีทางเลือกใส่วินนี่และพูดว่า “ให้ผมทำอย่างไรได้ งานผมยุ่งมาก”


หลังจากพูดจบ เขาก็รับโทรศัพท์และถามอย่างสุภาพว่า “สวัสดีครับ นี่คือฟาร์มปลาต้าฉิน คุณคือใครครับ?”


“พระเจ้า ฉินนี่นายสุภาพขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน? ฉันเองหวงเหล่ย เพื่อนร่วมชั้นสมัยมัธยมปลาย ยังจำได้ไหม?” เสียงที่คุ้นเคยของฝั่งตรงข้ามดังขึ้น


ในใจฉินสือโอวเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็หัวเราะแล้วพูดว่า “โอ้พระเจ้า พี่เหล่ยเองหรอกเหรอ? ล้อเล่นอะไรกันเนี่ย แน่นอนฉันจำนายได้ ฉันยังคุยกับเพื่อนร่วมชั้นเก่าว่านายจะมาเมื่อไม่นานมานี้เอง มันเป็นแบบนี้นะ ฉันกำลังจะแต่งงานในเดือนกันยายนไม่ก็ตุลาคม ถ้าเตรียมงานเรียบร้อยแล้วฉันจะแจ้งให้พวกนายรู้ทีละคน อย่าลืมมางานแต่งงานของฉันนะ”


เพื่อนร่วมชั้นเก่าคนนั้นจึงหัวเราะทันที ฉินสือโอวยักไหล่ใส่วินนี่ จากนั้นก็ตั้งใจถามว่า “แล้วนายล่ะ นายไม่สะดวกหรือมีปัญหาอะไรไหม? โทรมาหาฉันมีเรื่องอะไรงั้นเหรอ?”


หวงเหล่ยยิ้มอย่างเขินอายแล้วพูดว่า “จริงๆ ก็ไม่สะดวกหรอกเพื่อน ฉันก็กำลังจะแต่งงานในเดือนตุลาคมนี้เหมือนกัน เดาว่าคงจะไปถึงไม่ทัน เดิมที่ฉันอยากจะมาเชิญนายกลับมา”


ฉินสือโอวพูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความเสียใจ จากนั้นเมื่อไม่มีอะไรจะพูดแล้ว อีกฝ่ายก็พูดไม่กี่ประโยคแล้วก็วางสายโทรศัพท์ไป


ห้องนอนอันเงียบสงบ จึงทำให้วินนี่ได้ยินการสนทนาระหว่างทั้งสองคน เธอมองไปที่ฉินสือโอวอย่างแปลกใจและพูดว่า “ทำไมคุณไม่ถามเขาเกี่ยวกับวันแต่งงานของเขาล่ะ? บางทีเราอาจจะคลาดกัน เขาน่าจะเร่งให้ตรงกับวันชาติของประเทศคุณนะ? ถ้าเป็นอย่างนั้น คุณก็สามารถไปงานแต่งงานของเขาได้”


ฉินสือโอวถอนหายใจและพูดว่า “อะไรเนี่ย เพื่อนคนนี้ไม่ได้ติดต่อผมเลยหลังจากเรียนจบมัธยมปลาย สิบกว่าปีแล้ว บอกตามตรงผมจำไม่ได้จริงๆ ว่าจะมีคนแบบเขาโทรมา เขาโทรมาก็แค่ต้องการเงินสมทบเท่านั้น ดังนั้นผมก็เลยใช้งานแต่งงานของเราขัดเขาไปก่อน ถ้าเขามาร่วมงานแต่งงานของเรา ผมจะไปงานเขาแน่นอน อย่างน้อยก็ให้อั่งเปาชิ้นโตกับเขา”


วินนี่วิเคราะห์อย่างมีเหตุผลว่า “นี่มันไม่เหมือนกันนะ ฉิน เราอยู่ที่แคนาดา สำหรับเขาแล้ว กว่าจะมาได้แต่ละรอบมันไม่ใช่ง่ายๆ เลย เราจะบินกลับไปโดยไม่ได้อะไรเลยหรือไง”

 

 

 


บทที่ 1214 หมอกหนาเต็มท้องฟ้า

 

“มันไม่เหมือนกัน ผมจะกลับไปจัดเลี้ยงงานแต่งงาน พอถึงตอนนั้นไปร่วมงานก็จะได้ไม่มีปัญหา? แต่คุณก็เห็น ตอนที่ผมบอกว่างานแต่งงานของเราจัดขึ้นในเดือนกันยายน เขาก็ไม่สนใจที่จะพูดถึงเรื่องนี้ต่อเลย” ฉินสือโอวกล่าว


สำหรับเรื่องแบบนี้ เขาเกลียดเข้ากระดูกดำมาก เดิมทีก็เป็นแค่ความสัมพันธ์แบบเพื่อนร่วมชั้นทั่วไป แต่พอหลังเรียนจบแล้วก็ไม่ติดต่อกันเลยและปกติก็ไม่มีข่าวคราวอะไรเลยแล้วพอเราแต่งงานมีลูกก็โทรมา นี่มันหมายความว่าอะไร?


ฉินสือโอวมีนิสัยแบบนี้ ปกติจะเล่นด้วยกับทุกคน แม้ว่าจะเป็นแค่การพูดคุยกันแค่ในอินเทอร์เน็ตไม่กี่ประโยคก็ตาม แต่เมื่อพบปัญหาเขาก็จะไม่ยอม และโดยปกติแล้วจะไม่มีการติดต่อใดๆ เลยและเมื่อเรื่องได้มาถึงตัวแล้วค่อยนึกถึงตัวเอง ช่างมันเถอะ เรื่องนี้ผมไม่เคยเอามารวมกันอยู่แล้ว


หลังจากหยอกล้อลูกสาวสักพัก ฉินสือโอวก็กล่อมเธอนอน เจ้าตัวเล็กจะเชื่อฟังมากในตอนกลางคืน เดาว่าเมื่อเห็นหู่เป้าฉงหลัวเข้านอนตรงเวลา พอถึงตอนนั้นเธอก็จะหลับตานอน


ในขณะที่กำลังกล่อมลูกให้นอนหลับ ฉินสือโอวก็แสดงท่าทางยิ้มเยาะใส่วินนี่และหันตัวเข้าหาเธอ


วินนี่หัวเราะเบาๆ พลางผลักเขาออกไปและพูดว่า “คุณบอกว่าคุณอายไม่ใช่เหรอไง? ลูกสาวก็นอนอยู่ข้างๆ คุณจะทำอะไร?”


“คุณกำลังพูดเรื่องอะไร? ผมอยากทำลูก” ฉินสือโอวพูดอย่างหนักแน่น


“แหนะ ตรงนั้นก็มีเด็กหนึ่งคนแล้วไงคะ” วินนี่ชี้ไปที่เสี่ยวเถียนกวาที่กำลังหลับสนิทพร้อมกับพูดยิ้มหวานไปด้วย


ฉินสือโอวกอดเธอไว้และทำตัวไม่มีเหตุผลแล้วพูดว่า “เธอยังขาดน้องชายและน้องสาวนะ”


สำหรับคืนนี้ก็จบลง เช้ารุ่งขึ้นเกาะแฟร์เวลจึงมีหมอกหนาเกิดขึ้น


อากาศแบบนี้เป็นเรื่องปกติสำหรับหมู่เกาะ เกาะแฟร์เวลในหนึ่งปีหรือสามร้อยหกสิบห้าวันต้องมีร้อยวันที่มีทะเลหมอกปกคลุม แต่เนื่องจากลมทะเลแรงและมีแดดจัด ปกติจึงมักจะมีหมอกในตอนเช้าและฟ้าโปร่งในตอนบ่าย


วันนี้หมอกลงหนักมาก หลังจากฉินสือโอวเปิดหน้าต่างได้สักพัก วินนี่ก็รู้สึกว่าผ้าห่มและที่นอนชื้น เธอจึงลืมตาอย่างสะลึมสะลือขึ้นมาและพูดว่า “ปิดหน้าต่างเถอะค่ะ มันชื้นเกินไปจะไม่ดีต่อผิวของเสี่ยวเถียนกวานะคะ”


ฉินสือโอวยิ้มและปิดแง้มหน้าต่างไว้ จากนั้นก็ไปออกกำลังกายตอนเช้าตามปกติ


แบล็คไนฟ์และคนอื่นๆ ก็กำลังวิ่งในตอนเช้า แต่หมอกหนามาก จนทำให้ไม่สามารถมองเห็นในระยะสี่ถึงห้าเมตรได้ ฉินสือโอวต้องวิ่งไปข้างหน้าเท่านั้นถึงจะมองเห็นเงาคน


ด้วยเหตุนี้ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาแล้วพูดว่า “พระเจ้า ทำไมวันนี้ถึงได้มีหมอกหนาขนาดนี้นะ?”


“ใช่ หมอกหนามาก กรมอุตุนิยมวิทยาเซนต์จอห์นได้ประกาศคำเตือนหมอกสีแดง ให้ท่าเรือ สนามบินและทางหลวงปิดทั้งหมด” แบล็คไนฟ์กล่าว


ทริกเกอร์พูดแทรกขึ้นว่า “ดูท่าจะไม่ค่อยดีแล้ว หมอกหนาในครั้งนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถแก้ไขได้ภายในวันครึ่ง อีกอย่างตามความเห็นของกรมอุตุนิยมวิทยาบอกว่าอีกสองหรือสามวันต่อมาก็จะมีหมอกหนาแบบนี้”


“นี่มันเรื่องอะไรกัน? ทำไมจู่ๆ ถึงมีหมอกหนาขนาดนี้ล่ะ?” ฉินสือโอวพูดด้วยความแปลกใจ


สองปีครึ่งที่แล้วที่เขามาที่เกาะแฟร์เวล ผ่านประสบการณ์ในวันที่มีหมอกมาก็มาก แต่ก็ไม่เคยเห็นหมอกที่รุนแรงขนาดนี้มาก่อน


เหล่าทหารยักไหล่ใส่แสดงออกว่าพวกเขาไม่รู้ ฉินสือโอวเช็ดน้ำออกจากผม นี่ไม่ใช่เหงื่อ แต่เป็นน้ำที่เกิดจากหมอกเกาะตัวบนเส้นผมของเขา


ในสภาพอากาศแบบนี้ไม่สามารถออกกำลังกายตอนเช้าได้ เพราะจะทำให้เสื้อผ้าเปียกชื้นและไอน้ำก็รุนแรงเกินไป


แต่มันก็สะดวกสบายสำหรับฉินสือโอว เขาไปที่ชายหาดเพื่อเอากระดองแมลงยักษ์ที่หมึกยักษ์ส่งมาให้ที่ชายทะเลและเขาไม่จำเป็นต้องซ่อน เขาเดินแบกกระดองกลับไปที่วิลล่า ระหว่างนั้นก็เห็นเงาคนสองสามคนผ่านไป แต่ก็ไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร


หลังทานอาหารเช้าเสร็จ สถานีตำรวจแห่งเกาะแฟร์เวลก็ออกประกาศเตือนสีแดงว่า ให้ประชาชนรีบปิดประตูและระวังมีคนมาขโมยของ ด้วยสภาพอากาศแบบนี้กล้องวงจรปิดจะหยุดการใช้งาน ต่อให้มีใครก่ออาชญากรรม ก็แทบจะตรวจจับไม่ได้


แม้ว่าที่ฟาร์มปลา หมอกจะไม่มีผลต่อเรดาร์


แต่สำหรับความรู้สึกของมนุษย์แล้ว การเกิดหมอกส่งผลกระทบเป็นอย่างมาก


ในช่วงตอนเที่ยง ร่องรอยของเรือประมงสองลำก็ปรากฏขึ้นบนเรดาร์อย่างต่อเนื่อง ส่วนพวกมันมาทำอะไรนั้น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าต้องฉวยโอกาสมาขโมยปลาในสภาพอากาศที่มีหมอกหนาแบบนี้อย่างแน่นอน


ฉินสือโอวโกรธคนพวกนี้จนแทบจะทนไม่ไหว ไม่น่าให้อภัยจริงๆ เขาใช้มาตรการมาตั้งมากมายและคิดว่าจะป้องกันการขโมยปลาได้ คิดไม่ถึงว่าคนเหล่านี้มุ่งมั่นที่จะคว้าโอกาสที่มีอยู่และใช้โอกาสที่มีอยู่ทั้งหมดพยายามหาทางมาขโมยปลาไปให้ได้


แบล็คไนฟ์ก็จนปัญญาเช่นกัน จึงด่าออกไปว่า “ฟัค! พวกเขายังเห็นกฎหมายอยู่ในสายตาบ้างไหม? แม้ว่าจะไม่เห็นกฎหมายก็เถอะ แล้วเคยตระหนักถึงปลอดภัยบ้างไหม? อากาศแบบนี้ยังกล้าออกทะเล ไม่กลัวจะชนหินหรือเรือล่มบ้างเหรอไง?”


ทริกเกอร์ไม่เข้าใจจึงพูดว่า “ท่าเรือก็ปิดไปแล้วไม่ใช่เหรอ? เรือประมงพวกนี้จะออกมาได้อย่างไร?”


ชาร์คหัวเราะและพูดว่า “พวกเขาคือเรือผี…”


“ให้ตายสิ!” พวกทหารถอนหายใจ “อากาศแบบนี้อย่าพูดถึงเรื่องที่น่ากลัวแบบนี้เลยดีกว่าไหม?”


“เรือผีลำนี้ไม่ใช่เรือที่เราพูดถึงกันทั่วไป ตอนนี้พวกเขากำลังลอยอยู่ในทะเลและไม่สามารถเข้ามาท่าเรือหรือหยุดได้ พวกเขาทำได้เพียงลอยไปมาในทะเลได้เท่านั้น นายว่านี่เหมือนกับเรือผีไหมล่ะ?” ชาร์คอธิบาย


ฉินสือโอวปรบมือและพูดว่า “เอาล่ะ เอาล่ะ พวกนายหยุดคุยกันตรงนี้เถอะ คนพวกนี้กำลังจะขโมยเงินเรานะ พวกนายต้องรู้ว่า แค่พวกเขาไม่ได้งมตาข่ายขึ้นมา ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกนายจะถูกลดเงินโบนัสในช่วงปลายปี…”


“ไอ้พวกสาระเลวพวกนี้นี่! บอส เราต้องให้บทเรียนสักอย่างกับพวกเขาแล้วล่ะ ส่งเรือผีไปทำให้พวกเขาตกใจดีไหม?” พวกทหารพอได้ยินว่าจะมีคนมาขโมยเงินของตัวเองเริ่มฮึกเหิมกันขึ้นมาทันที


“ความคิดดี สภาพอากาศแบบนี้เหมาะมากสำหรับเอาเรือผีออกโจมตีมาก แต่นี่ก็ยังไม่เท่ากับการบอกกับผู้คนว่าเรือผีมีส่วนเกี่ยวข้องกับฟาร์มปลาของเรา ใช่ไหม? ตอนนี้ฟลาวเวอร์ฟอกซ์ก็ได้ปรากฏขึ้นในฟาร์มปลาบ่อยขึ้นแล้ว” ชาร์คคัดค้านและพูดว่า “จะคิดมากไปทำไม? ส่งเรือยนต์ความเร็วสูงไป ทิ้งขีปนาวุธใส่พวกเขา ขีปนาวุธของเรายังไม่เคยถูกใช้เลยสักครั้ง!”


แบล็คไนฟ์แยกเคี้ยวออกมาและหัวเราะเยาะแล้วพูดว่า “หรือเราจะใช้เครื่องบินขับไล่พวกเขาออกไปและใช้ประโยชน์จากสภาพอากาศที่เต็มไปด้วยหมอกว่าเรามองเห็นไม่ชัด จึงทำให้พวกเขาปะทะกันเอง”


ฉินสือโอวฟังคนกลุ่มหนึ่งกำลังคุยกันว่าจะจัดการกับเรือประมงทั้งสองลำอย่างไร แล้วก็อดไม่ได้ที่จะยกนิ้วหัวแม่มือให้


และมันก็เป็นการตัดเส้นทางการหาเงินของคนอื่นจริงๆ หลังจากเข้าใจแล้วว่าปลาที่คนพวกนี้ขโมยไปนั้นเกี่ยวข้องกับโบนัสของตัวเอง ชาวประมงและทหารจึงแสดงความคิดเห็นออกมาทีละคนๆ ซึ่งก็แย่มากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็กลายเป็นเรื่องที่น่ากลัวอย่างรวดเร็ว


การจัดการกับเรือสองลำนี้ จริงๆ แล้วเป็นเรื่องที่ง่ายมาก บังเอิญที่ตำแหน่งของพวกเขาอยู่ไม่ไกลจากที่ที่คราเคนนอนอยู่ เขาจึงคิดในใจว่าถือโอกาสนี้ส่งคราเคนออกไปจัดการพวกเขาและเพิ่มสีสันตำนานให้กับน่านทะเลผืนนี้สักหน่อยก็พอแล้ว


จิตสำนึกแห่งโพไซดอนหาคราเคนเจอ มันกำลังนอนหลับอยู่ที่ก้นทะเล ดูเหมือนว่าฉลามวัวที่กินอย่างอิ่มหนำสำราญเมื่อคืนนี้จะทำให้มันกินจนพอใจมาก


ฉินสือโอวใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนแทนจิตสำนึกของมันพ่นไอน้ำให้ลอยขึ้นสู่ผิวน้ำอย่างช้าๆ


เนื่องจากสาเหตุทางโครงสร้าง เมื่อหมึกยักษ์ลอยจากทะเลลึกมาถึงน้ำตื้น จะทำให้เกิดอาการชาของกล้ามเนื้อ ดังนั้นนอกเหนือจากเทพปกรณัมนอร์สแล้ว ผู้คนจะไม่สามารถเห็นเหตุการณ์หมึกยักษ์โจมตีเรือขึ้นในชีวิตจริงได้


ในการต่อสู้กับสัตว์ประหลาดใต้ทะเลลึก วาฬหัวทุยจะจัดการกับหมึกยักษ์ด้วยวิธีนี้ เมื่อพวกมันเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้ วาฬหัวทุยจะหาทางลอยขึ้น ขอแค่ลอยขึ้นไปถึงน้ำตื้น หมึกยักษ์ชั่วร้ายตัวนั้นก็จะยอมแพ้


แต่หมึกยักษ์ชั่วร้ายจะใช้อวัยวะในตัวดูดช่องระบายอากาศของวาฬหัวทุยจนมันหายใจไม่ออกตาย ก่อนที่มันจะขึ้นสู่ผิวน้ำ


แผนของฉินสือโอว ก็คือปล่อยให้ตำนานที่ถูกจัดฉากให้เกิดขึ้นจริง

 

 

 


บทที่ 1215 กัปตันบราบัสและลูกเรือของเขา

 

พลังโพไซดอนสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับคราเคน จุดที่เปลี่ยนไปมากที่สุดไม่ใช่การเติบโตที่รวดเร็ว แต่เป็นการปรับตัวให้เข้ากับแรงดันน้ำที่เปลี่ยนไปต่างหาก


 แม้ว่าสัตว์ไร้กระดูกจะมีเซลล์อนินทรีย์บางส่วนเกิดการไหลย้อนกลับไป เหตุการณ์นี้นำไปสู่การเสียสมดุลของน้ำในเซลล์ จากนั้นก็จะทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือไม่ก็เป็นตะคริว


ความสามารถในการปรับเซลล์ให้สมดุลกับแรงดันของคราเคนนั้นดีมาก ตราบใดที่แรงดันไม่ได้เปลี่ยนแปลงในเวลาอันสั้น มันก็จะสามารถปรับสมดุลให้เหมาะสมกับแรงดันได้เสมอ มันสามารถขึ้นมารับแสงแดดบนผิวน้ำได้ตามใจ และยังสามารถต่อสู้กับฉลามที่ใต้ท้องทะเลลึกได้อีกด้วย


ฉินสือโอวใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนควบคุมมันให้ลอยไปลอยมาบนผิวน้ำทะเล


บนผืนน้ำทะเล เรือลากอวนขนาดห้าร้อยตันล่องน้ำมาด้วยเสียงอันดังลั่น ชาวประมงที่อยู่บนเรือทิ้งอวนขนาดใหญ่ลงมาในทะเลอย่างระมัดระวัง กัปตันเรือควบคุมไฟเลเซอร์ขนาดใหญ่ให้สาดส่องไปทั่วผืนน้ำ แสงเลเซอร์แสบตาราวกับแสงจากคมดาบ แสงนั้นส่องทะลุหมอกทึบที่อยู่บนผืนน้ำได้ในที่สุด


“ระวังกันหน่อย เจ้าพวกโง่ ถ้าหากพวกแกไม่อยากรีบไปเจอพระเจ้าล่ะก็ ระวังงานที่พวกแกกำลังทำอยู่ให้มากๆ!” เสียงแหบทุ้มต่ำของกัปตันดังขึ้น เสียงของเขาดังมากราวกับเสียงแตรของรถแทรกเตอร์


ลูกเรือหนุ่มร่างใหญ่คนหนึ่งหัวเราะออกมาเสียงดัง “กัปตันบราบัส คุณวางใจเถอะ พวกเราไม่อยากจะรีบจากโลกอันสวยงามนี้ไปเร็วนักหรอก ก็แค่วางอวนจับปลาไม่ใช่เหรอ? แม้จะหลับตาอยู่พวกเราก็สามารถทำได้สบายๆ ใช่ไหมพวก?”


ชายหนุ่มสองคนที่ร่วมถอดอวนด้วยหัวเราะขึ้นมาร่วมวงกับเขา


กัปตันบราบัสพึมพำขึ้นมาว่า ‘ไอ้เด็กเวร’ จากนั้นก็ดันรถลากที่ใส่เครื่องส่องไฟเลเซอร์ย้ายไปยังหัวเรือ


บนดาดฟ้ามีคนคนหนึ่งมองไปยังท้องทะเลอย่างไร้จุดหมายยืนอยู่ กัปตันบราบัส ใช้ไฟส่องไปที่ชายคนนั้น เมื่อเห็นว่าสติของชายคนนั้นเลื่อนลอยเขาก็โมโหขึ้นมา พลางตะโกนออกมาว่า “เฮ้! นอร์ริส แกนี่ควรลงนรกไปซะจริงๆ! ฉันบอกแกว่าอย่างไร? ให้ตั้งใจทำงาน ตั้งใจทำงาน ตั้งใจทำงาน!”


นอร์ริสเป็นชาวประมงแก่คนหนึ่ง อายุน่าจะประมาณสี่สิบกว่าปี ท่าทางเหลาะแหละและไม่น่าไว้วางใจ เมื่อได้ยินเสียงคำรามของกัปตัน เขาก็ถือกล้องโทรทรรศน์ขึ้นมาแล้วพูดอย่างอ่อนแรงว่า “พี่ชาย นายเป็นคนชอบทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่เหรอ? น่านน้ำทะเลแห่งนี้เดิมทีไม่มีแนวปะการังเลย พวกเรามายืนทำอะไรกันอยู่ที่หัวเรืองั้นเหรอ? นายรู้หรือไม่ว่าการทำแบบนี้ทำให้ผมดูเหมือนเป็นลูกเรือทาสผู้ดูต้นทางโง่ๆ ในศตวรรษที่สิบห้าเลย”


กัปตันบราบัสถลึงตาพลางตะโกนร้องออกมาว่า “หุบปากหมาๆ ของแกไปเลย นอร์ริส บนเรือแกไม่ได้รับอนุญาตให้เรียกฉันว่าพี่ชาย! เรียกฉันว่ากัปตันบราบัส! อีกอย่าง ฉันแม่งก็เป็นแค่ลูกพี่ลูกน้องของแก ไม่ได้เป็นพี่แท้ๆ อย่ามากเรียกฉันอย่างสนิทขนาดนั้น!”


นอร์ริสทำปากมุ่ย จากนั้นก็ยกกล้องโทรทรรศน์ส่องไปข้างหน้า พลางบ่นออกมาว่า “เอาล่ะเอาล่ะ กัปตันบราบัส กัปตันเรือผู้ยิ่งใหญ่ กระผมน้อมรับคำบัญชา ผมจะตั้งใจเป็นผู้ดูลาดเลาอย่างขยันขันแข็ง ผู้ดูต้นทางงี่เง่า!”


บราบัสกลอกตาแล้วพูดขึ้นด้วยสีหน้าบึ้งตึงว่า “ฟังนะ นอร์ริส อย่าหาว่าฉันพล่ามเลย ฉันน่ะก็ไม่ใช่พระเจ้า ไม่อยากฟังแกพูดอะไรไร้สาระ! ฉันจะบอกแกไว้นะ ทางที่ดีแกควรจะเบิกตาของแกให้กว้าง แนวปะการังน่ะฉันไม่กลัวหรอก ฉันกลัวเรือฟลาวเวอร์ฟอกซ์พวกแม่งนั้นมากกว่า!”


เมื่อได้ยินคำว่า ‘เรือฟลาวเวอร์ฟอกซ์’ คำนี้ นอร์ริสก็ตัวสั่นขึ้นมาทันที เขาหันกลับมาถามว่า “พี่ชายที่รัก นายช่วยพูดอะไรดีๆ ในที่ที่มีบรรยากาศแบบนี้ได้ไหม? เรือฟลาวเวอร์ฟอกซ์ ใช่แล้ว เรือฟลาวเวอร์ฟอกซ์ พวกเราทุกคนรู้ว่าน่านน้ำแห่งนี้มีเรือผีอยู่ แล้วทำไมนายยังยืนกรานที่จะมาจับปลาที่นี่ล่ะ?”


บราบัสยังคงตะโกนออกมาเสียงดังเหมือนเดิม “แกว่าเพราะอะไรล่ะ? เพราะว่าฟาร์มปลาของไอ้คนจีนคนนี้มันมีทรัพยากรที่โคตรจะอุดมสมบูรณ์อย่างไรล่ะ! เพราะว่าราคาของปลาที่นี่สูงที่สุด! เข้าใจไหม?”


“ถ้าแกอยากจะได้เงิน ก็เบิกตากว้างๆ ของแกมองไปรอบๆ ให้ดี เพียงแค่ใช้ประโยชน์จากสภาพอากาศที่เต็มไปด้วยหมอกนี้เติมปลาให้เต็มตู้ก็พอ ถ้าทำได้ฉันรับประกัน ช่วงวันที่เหลือของปีนี้แกสามารถใช้ชีวิตไร้สาระไปวันๆ ได้เลย!”


เมื่อได้ยินดังนั้น นอร์ริสก็ดีใจขึ้นมาทันที เขาพูดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มบนหน้าว่า “สบายใจได้ ไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่นอน เมื่อกี้แคนเมลไม่ได้บอกกับนายแล้วหรืออย่างไร? เขาติดต่อมาทางวิทยุ เรือของตาแก่โคเฮนก็มาจับปลาที่นี่เหมือนกัน หากว่ามีเรือผีอยู่จริงๆ โอกาสที่พวกเราจะเจอเรือผีก็มีเพียงแค่ห้าสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น ไม่ใช่เหรอ?”


บราบัสไม่พอใจในคำพูดของนอร์ริสขึ้นมาทันที เขาถลึงตาขึ้นมาด้วยความโมโห ตอนนั้นเองที่ห้องโดยสารก็มีหัวโตๆ ของใครบางคนโผล่ออกมา ชายคนนั้นพูดออกมาด้วยอันดังที่เต็มไปความตื่นตระหนกทันทีว่า “กัปตัน รีบมาดูเร็ว แย่แล้ว! พระเจ้า! รีบมาเร็วเข้า รีบมาเร็ว!”


“เกิดอะไรขึ้น แคนเมล นายเจอเข้ากับอะไรเหรอ?” กัปตันบราบัสรีบเดินออกมาถามด้วยความร้อนใจทันที


แคนเมลรีบตอบกลับว่า “เครื่องตรวจจับปลาน่ะสิ กัปตัน เครื่องตรวจจับปลาเจอเข้ากับปลาขนาดใหญ่แบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มันกำลังเข้ามาใกล้พวกเรา! มันคือตัวอะไรกันนะ? ตั้งแต่หาปลามาผมไม่เคยเจอเจ้าตัวนี้มาก่อนเลย!”


นอร์ริสวิ่งตามกัปตันบราบัสไปยังห้องควบคุมเรือ เขามองไปยังเครื่องตรวจจับปลา จากนั้นเขาก็ตกใจ และร้องออกมาด้วยตะลึงทันทีว่า “พระเจ้า! พวกนายเห็นรูปร่างของมันไหม รูปร่างมันเหมือนกับเรือที่กำลังลอยขึ้นมาจากทะเลเลยใช่ไหมนะ?”


บราบัสหันกลับมาจ้องเขา แล้วถามออกมาด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “นายหมายความว่าอะไร?”


นอร์ริสพูดขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนกว่า “นายหมายความว่าอะไร? รายงานก็มีบอกไว้ไม่ใช่เหรอ ไม่เคยมีใครเคยเห็นว่าเรือผีปรากฏออกมาได้อย่างไร? มันอาจจะลอยขึ้นมาจากใต้ทะเลก็ได้ไม่ใช่เหรอ? เหมือนกับเครื่องบินของชาวดัตช์หรือเปล่า?”


เมื่อเขาพูดออกมาแบบนี้ แคนเมลก็กรีดร้องออกมาทันที เสียงร้องของเขาราวกับเขาถูกแมงป่องกัด “เรือผีเหรอ? พวกเราเจอเข้ากับเรือผีเหรอ?! ไม่ พระเจ้า ไม่เอาแบบนี้สิ เดือนหน้าผมจะแต่งงานกับแม็กกี้แล้วนะ!”


บราบัสชกเข้าไปที่แคนเมลพลางตะโกนออกมาว่า “หุบปาก ไอ้โง่!  คนบ้าขี้เหล้าอย่างนอร์ริสพูดอะไรนายก็เชื่อหมดเลยเหรอ? รีบนำเรือออกจากที่นี่ แจ้งปีเตอร์ด้วย ให้พวกเขารีบเก็บอวนที่ทอดลงไปแล้วขึ้นมา!”


อันที่จริงแล้ว ตอนนี้ในใจของบราบัสว้าวุ่นเป็นอย่างมาก แต่เพราะว่าเขาเป็นกัปตัน เขาจำเป็นที่จะต้องนิ่งสงบเพื่อรักษาสถานการณ์ เขาจึงต้องใช้เสียงดังในการปกปิดความว้าวุ่นใจของตัวเอง และพยายามสงบสติอารมณ์แล้วสั่งให้ลูกเรือรีบทำงาน


ในขณะที่นอร์ริสกำลังไปยังท้ายเรือเพื่อบอกทุกคนเกี่ยวกับเรื่องที่บราบัสประกาศ ปรากฏว่าเมื่อเขาเดินออกไป เขาก็ได้ยินเสียงร้องด้วยความตกใจมาจากท้ายเรือ


บราบัสก็ได้ยินเช่นกัน เขาผลักนอร์ริสออกแล้วตะโกนไปทางท้ายเรือว่า “เจ้าพวกโง่ พวกนายร้องโวยวายหาเรื่องตายทำไมกัน? เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”


มีคนตะโกนกลับมาจากท้ายเรือว่า “กัปตัน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่อวนของพวกเราถูกลากลงไปยังใต้ทะเลแล้ว! คุณรีบมาดูเร็วเข้า พวกเรามองไม่เห็นแม้แต่เงาของอวนเลย!”


อวนอันหนึ่งราคาไม่ได้ถูกเลย บราบัสวิ่งไปยังท้ายเรื่องพลางสบถด่าอากาศที่ไม่ดี และด่าฟาร์มปลาบ้าบอนี่และเหตุการณ์บ้าๆ ทั้งหมด


ที่ประตูห้องควบคุมเรือ นอร์ริสจ้องมองเข้าไปยังหมอกหนาสีขาวอันกว้างใหญ่ข้างหน้า ทันใดนั้นเขาก็เข้าไปในห้องควบคุมและปิดประตูทันที


แคนเมลที่กำลังเร่งเครื่องยนต์อยู่ถามออกมาว่า “นายปิดประตูทำไม?”


นอร์ริสพูดออกมาด้วยท่าทีสุขุมว่า “เพื่อน นายไม่สังเกตเหรอ หมอกมันหนาขึ้นเรื่อยๆ เลยใช่ไหม? นายรู้ไหม? ภรรยาคนก่อนของฉันเป็นยิปซี ชนเผ่าของเธอเป็นนักโหราศาสตร์และแม่หมอ ฉันได้เรียนรู้อะไรบางอย่างมาจากเธอเล็กน้อย และฉันก็เข้าใจเรื่องพวกนี้”


“นายหมายความว่าอะไร นอร์ริส?” แคนเมลแสดงท่าทางราวกับเห็นผีออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว


“ความหมายของฉันก็คือ ฉันมีลางสังหรณ์ว่าจะเกิดเหตุการณ์อันน่ากลัวบางอย่างขึ้นที่ทะเล!”

 

 

 


บทที่ 1216 เรื่องน่ากลัวแห่งมหาสมุทรแ...

 

พวกลูกเรือที่อยู่ที่ท้ายเรือยังไม่รู้ว่าเครื่องตรวจหาปลาพบเจออะไรเข้า พวกเขายืนมองลงไปที่ด้านข้างเรืออย่างใจจดใจจ่อ


หมอกลงหนาจัด บราบัสเดินมาทางด้านหลังพวกเขาโดยที่ไม่มีใครรู้ตัว เขาใช้ฝ่ามือตบเข้าไปที่ด้านหลังชายชาวประมงร่างใหญ่คนหนึ่ง พลางพูดขึ้นมาด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “เกิดอะไรขึ้น”


เมื่อจู่ๆ ก็โดนตบเข้าที่กลางหลังแบบนั้น ชาวประมงคนนั้นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา เขาหันกลับมามองบราบัสด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว เมื่อเห็นว่าเป็นบราบัสเขาก็พูดออกมาด้วยความโมโหว่า “กัปตัน คุณพูดทักทายก่อนไม่ได้เหรอ ถือว่าเห็นแก่พระเจ้า อย่าทำให้ผมตกใจเลย!”


“เห็นแก่พระเจ้าเหมือนกัน อย่ามาพูดจาไร้สาระกับฉัน บอกมาว่าเกิดอะไรขึ้น” บราบัสพูดขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์


ชาวประมงคนนั้นกล่าวออกมาว่า “พวกเราก็ไม่รู้เหมือนกัน จู่ๆ อวนจับปลาก็ถูกอะไรบางอย่างดึงลงไป ดูเหมือนว่า เหมือนว่า เหมือนว่า…”


พูดมาถึงตรงนี้ เขาก็ดูลังเลขึ้นมาทันที


บราบัสพูดออกมาด้วยความโมโหว่า “เหมือนอะไร ฉันว่าตอนนี้นายเหมือนกับผู้หญิงไม่มีผิด พูดอะไรไม่มีความชัดเจนสักอย่าง”


ชาวประมงไม่พอใจเล็กน้อยที่เขาถูกต่อว่าเรื่อยๆ เขาพูดออกมาว่า “ผมก็แค่กลัวว่าคุณจะกลัวเท่านั้น เหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างที่อยู่ในน้ำกำลังฉีกอวนให้ขาด เราปล่อยอวนลงไปเรื่อยๆ จากนั้นก็พบเข้ากับแรงดึงมหาศาลเข้าจนทำให้อวนขาด”


บราบัสเดินไปมองที่ท้ายเรือด้วยใบหน้าเคร่งขรึม เขาถามออกมาว่า “พวกนายรู้สึกถึงอะไรบางอย่างฉีกอวนจนขาดใช่ไหม อาจจะเป็นเพราะอวนไปเกี่ยวเข้ากับปะการังหรือเปล่า”


ชาวประมงหนุ่มอีกคนหนึ่งยักไหล่ แล้วชี้ไปที่ใต้น้ำพลางพูดออกมาว่า “กัปตัน พวกเรารู้ดีว่าที่นี่ไม่มีปะการัง ผมกลับรู้สึกว่า อาจจะเป็นสัตว์ประหลาดทะเลที่ฉีกอวนของพวกเรา ไม่อย่างนั้นมันจะมีแรงเยอะขนาดนี้ได้อย่างไร ใช่หรือเปล่าพวก ฮ่าฮ่า”


ชาวประมงคนอื่นๆ พากันหัวเราะขึ้นมา แต่มีบางคนหัวเราะเยาะออกมา “สัตว์ประหลาด สัตว์ประหลาดในมหาสมุทรแอตแลนติกมีเรื่องราวมามากกว่าร้อยกว่าปีแล้ว แต่พวกเราไม่เคยเจอเลยนะ!”


เกิดการโต้เถียงขึ้นในกลุ่มชาวประมง จนไม่มีใครสังเกตเห็นว่า ท่าทางของบราบัสน่าเกลียดขึ้นเรื่อยๆ


ในที่สุด เมื่อมีคนพูดถึงเรือผีสิงเรือฟลาวเวอร์ฟอกซ์อันมีชื่อเสียงโด่งดัง บราบัสก็หมดความอดทนลงทันที เขาตะโกนออกมาว่า “หุบปากให้หมด พวกนายมันเป็นพวกโง่! รีบเตรียมเรือเล็กกันเดี๋ยวนี้ แล้วลงไปดูว่าอวนลอยไปที่ไหนแล้ว!”


พวกชาวประมงทำงานไปพลางหัวเราะเย้ยหยันออกมา หมอกหนาเกินไป ดังนั้นเมื่อตอนที่พวกเขาปล่อยเรือเล็กลง พวกเขาจำเป็นที่จะตกใช้พลังงานในการรักษาสมดุลอย่างมาก


เมื่อชาวประมงเตรียมพร้อมที่จะกระโดดไปที่เรือเล็ก จู่ๆ เรือเล็กก็เกิดสั่นสะเทือนขึ้นมาอย่างรุนแรง ราวกับมันเจอเข้ากับคลื่นลูกใหญ่


แต่ว่า หมอกหนาขนาดนี้บอกได้อย่างชัดเจนว่าไม่มีพายุแน่นอน ไม่อย่างนั้นหมอกพวกนี้ต้องโดนลมพัดสลายไปแล้ว


ที่ท้ายเรือเงียบสงบทันที พวกชาวประมงต่างมองหน้ากันไปมา และมองไปยังเรือเล็ก โดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา


ตอนนั้นเองก็เกิดเสียงดังขึ้นที่ห้องควบคุมที่อยู่ตรงหัวเรือ บราบัสโมโหขึ้นมากเรื่อยๆ เขาหันไปตะโกนว่า “เจ้าพวกบ้า นอร์ริส แคนเมล เจ้าโง่ทั้งสองคน ทำอะไรกันอยู่วะ!”


เสียงของแคนเมลดังขึ้นมา “กัปตัน ผมคิดว่าผมควรเปิดประตูออกมาบอกข่าวอะไรบางอย่างกับพวกคุณ แต่นอร์ริสไม่ยอมให้ผมออกมา…”


“หุบปาก เจ้าโง่แคนเมล เร็วเข้า! รีบไปออกเรือ!” น้ำเสียงหงุดหงิดของนอร์ริสดังขึ้นตามมาทันที


แต่ว่า เพราะว่าหมอกที่หนาจัด ทำให้เสียงนั้นสร้างความรู้สึกวังเวงขึ้นมา ทำเอาทุกคนรู้สึกกลัวจนตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อย


บราบัสตะโกนออกมาว่า “ข่าวอะไรกัน พวกเราได้ยินที่แกพูดนะเว้ย แกรีบพูดออกมาเดี๋ยวนี้!”


แคนเมลตอบกลับด้วยเสียงอันสั่นเครือว่า “เมื่อกี้พวกเราเจอเข้ากับสัตว์ตัวใหญ่ ถ้าดูจากเครื่องตรวจจับปลา ตอนนี้มันอยู่ใต้ท้องเรือของพวกเราแล้ว!”


เมื่อได้ยินดังนั้น พวกชาวประมงที่อยู่ท้ายเรือต่างพากันตื่นตระหนก และต่างพากันเอ่ยถามออกมาว่า “ตัวอะไรเหรอ”


“ตึง!” ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดังขึ้นมา เรือลำเล็กที่ถูกปล่อยลงไปในน้ำถูกคลื่นทะเลอันรุนแรงซัดพลิกคว่ำจมลงไปในทะเล จากนั้นคลื่นก็ซัดขึ้นมาเรื่อยๆ เชือกที่ถูกขึงอยู่ระหว่างเรือประมงกับเรือลำเล็กถูกดึงเข้าหากันอย่างกะทันหัน เรือเล็กถูกคลื่นซัดล่ม จนหายเข้าไปในสายหมอก!


พวกกะลาสีเรือต่างมองภาพนั้นกันจนตาค้าง พวกเขารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันที


“เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ ให้ตายเถอะ นั่นมันอะไรกันน่ะ” มีคนเอ่ยขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก


นอกจากนี้ยังมีคนดึงบราบัสไว้ แล้วถามออกมาด้วยเสียงแหบพร่า “กัปตัน คุณกำลังปิดบังอะไรอยู่งั้นเหรอ แคนเมลพูดถึงอะไรตัวใหญ่ๆ งั้นเหรอ บอกพวกเรามา เกิดอะไรขึ้นกันแน่!”


“ตึง!” เกิดเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง เรือลำเล็กที่หายไปโผล่ขึ้นมาจากคลื่นทะเลอันบ้าคลั่ง จากนั้นก็พุ่งตรงเข้ามาชนเรือประมง แรงกระแทกอันรุนแรงทำให้เรือเล็กแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ทำให้เรือประมงสั่นไปมาอย่างไม่มีสิ้นสุด


พวกชาวประมงร้องออกมาด้วยความตกใจ พวกเขาต่างพากันหมอบลงเพื่อหาเสากอดเพื่อรักษาสมดุลของร่างกาย


ใบหน้าของบราบัสซีดเผือด เขาจับเชือกมามัดไว้รอบเอว เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกเรือเหวี่ยงไปมา ในขณะเดียวกันเขาก็ตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงอันดังเป็นเอกลักษณ์ว่า “แคนเมล เจ้าพวกโง่เง่า! เร็วเข้า! รีบเร็วเข้า! พวกเรารีบไปจากที่นี่กันเถอะ!”


“เกิดอะไรขึ้นกันแน่” มีคนตะโกนออกมา “พวกเราเจอเข้ากับอะไรกันแน่…โอ้ พระเจ้า ไม่นะ!”


หนวดปลาหมึกขนาดใหญ่พาดเข้ามาที่ท้ายเรือ ผิวของมันเป็นสีน้ำตาลแดง ร่างกายมีกลิ่นเหม็นออกมา เมื่อเหล่าลูกเรือเห็นภาพตรงหน้า ก็ถึงกลับมีคนกลัวจนฉี่ราด!


จากนั้น ก็มีหนวดที่สอง หนวดที่สาม และหนวดที่สี่โผล่ออกมา หนวดของมันพันเข้าที่ท้ายเรือจนยุ่งเหยิง หลังจากที่มันกวาดสายตาไปรอบๆ แล้วก็ปัดอุปกรณ์และอวนจับปลาต่างๆ ลงทะเลไป


พวกชาวประมงต่างพากันกรีดร้องออกมาแล้ววิ่งไปที่หัวเรือ บราบัสอยากจะวิ่งหนี แต่โชคร้ายที่เขาโดนเชือกรั้งไว้อยู่ และเมื่อกี้เขามัดเชือกเป็นแบบเงื่อนตาย ทำให้อยากวิ่งก็ไม่สามารถวิ่งได้อย่างที่ต้องการ


“เจ้าพวกบ้า รอฉันด้วย!” บราบัสยังคงตะโกนออกมา แต่ว่าเสียงของเขาเปลี่ยนไป


ตอนนี้คิดว่ายังมีคนสนใจเขาอยู่อีกเหรอ ตอนนี้ต่างคนต่างก็ต้องเอาตัวรอด แม้ว่าพวกชาวประมงจะเป็นพวกงี่เง่า แต่พวกเขาก็พร้อมใจวิ่งหนีกันอย่างพร้อมเพรียง


ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังของบราบัสมองไปยังหนวดอันน่ากลัวทั้งสี่ของคราเคน เขาคิดว่าเขาอาจจะตายในไม่ช้านี้แล้วเป็นแน่ จู่ๆ หนวดทั้งสี่ของคราเคนก็หายไป มันทิ้งไว้แต่เพียงเมือกที่ท้ายเรือ และคลานลงทะเลไป


ตอนนั้นเอง บราบัสก็รู้สึกแปลกใจ เมื่อกี้เขาตื่นตระหนกเกินกว่าที่มองเห็นเจ้าตัวนั้นได้อย่างชัดเจน ในตอนที่หนวดยักษ์ทั้งสี่ได้หายไปแล้ว เขาจึงเห็นว่ามันไม่ใช่งูเหลือม แต่…แต่ว่ามันคือหนวด! มันคือหนวดปลาหมึกที่มีปุ่มดูด!


ทุกๆ ปุ่มดูดของมัน มีขนาดเท่ากับกะละมัง!


“พระเจ้า ฉันต้องกำลังฝันร้ายอยู่แน่ๆ!” บาสบัสวาดรูปไม้กางเขนที่หน้าอก “พระเจ้าผู้เมตตา ช่วยลูกด้วย โปรดช่วยลูกจากฝันร้ายนี้ด้วย!”


ตอนนั้นเองเรือก็ถูกคลื่นทะเลซัดอย่างรุนแรงอีกครั้ง บราบัสหันกลับไปมองอย่างรวดเร็ว เมื่อเขามองเข้าไปในสายหมอก ก็มีหนวดขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นที่ด้านข้างของเรือ พวกลูกเรือที่วิ่งหนีไปเมื่อครู่กรีดร้องแล้ววิ่งกลับมาทางนี้อีกครั้ง…


ไม่รู้ว่าเพราะอะไร บราบัสรู้สึกมีความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เจ้าพวกเวรพวกนั้นที่เมื่อกี้ทิ้งฉันไป!


หลังจากที่พวกลูกเรือมองหนวดนั้นอย่างใกล้ชิดพวกเขาก็จำรูปร่างของมันได้ดี ชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งมาหาบราบัสด้วยน้ำตานองหน้าพลางตะโกนออกมาว่า “กัปตัน มันไม่ใช่งู! มันคือคราเคนปีศาจจากทะเลทางเหนือ!”


ฉินสือโอวเล่นสนุกอยู่ที่ใต้ทะเล เขาวนไปมาอยู่รอบๆ เรือ หนวดยาวของคราเคนเคลื่อนไหวไปรอบๆ อันที่จริงเขาควบคุมมันอย่างหนัก หนวดเหล่านั้นพาดเข้าไปที่ดาดฟ้าเรือ ที่นั่นคงจะไม่มีคนอยู่ เขาพยายามหลีกเลี่ยงที่จะทำร้ายคน


แม้ว่าคนที่มาขโมยปลาจะน่ารังเกียจ แต่ว่าพวกเขาก็ไม่สมควรตาย


เมื่อหันกลับมา คนในเรือบนนั้นก็กำลังกุลีกุจอ หมุนหัวเรือลำนั้นมุ่งหน้าหนีไปยังเมืองเซนต์จอห์น!

 

 

 


บทที่ 1217 สงครามในสวน

 

เมื่อมองจากเรดาร์ของเครื่องตรวจหาปลา เรือขโมยปลาสองลำกำลังเร่งเครื่องเพื่อที่จะหนีทันที เมื่อดูทิศทางการเดินเรือ พวกเขาต้องการที่จะออกไปจากบริเวณของฟาร์มปลา


“แม่ง มาขโมยแล้วคิดหนีงั้นเหรอ? แม่งเอ๊ย!” บีบีซวงโพล่งขึ้นมา “ฉันจะขับเครื่องบินไปดู มีใครอยากไปด้วยบ้าง?”


ฉินสือโอวห้ามเขาไว้ก่อน พลางพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เจ้าบ้า จะออกไปขับเครื่องบินทั้งที่อากาศแบบนี้เนี่ยนะ นายรนหาที่ตายหรืออย่างไร? ไปดูก่อนว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะอะไรเรือพวกนั้นถึงได้หนีไป?”


แบล็คไนฟ์หันกลับมามอง แล้วพูดขึ้นอย่างสงสัยว่า “พวกเราทุกคนอยู่ที่นี่ คนที่สามารถขับเรือดำน้ำได้อย่างบีบีซวงกับออสเปรก็อยู่ที่นี่ นั่นหมายความว่าเรือผีไม่มีการเคลื่อนไหว แล้วแบบนั้นพวกเขาจะหนีไปทำไมนะ?”


“หรือว่าเกิดรู้สึกผิดชอบชั่วดีขึ้นมา?” บูลถามขึ้นมาอย่างไม่แน่ใจ


“ไอ้โง่ ไป ฉันไม่อยากคุยกับคนโง่!”


ฉินสือโอวหัวเราะออกมา พลางพูดว่า “ไม่ว่าจะเพราะอะไร แต่เรือขโมยปลานั่นก็หนีไปแล้วไม่ใช่เหรอ? เอาล่ะ พวกเราไม่ต้องสนใจแล้วว่าจะทำอย่างไรกันดี ตอนนี้อย่างไรเสียทุกคนก็ไม่สามารถออกทะเลเพราะหมอกหนานี่ งั้นก็พักผ่อนกันสักหน่อยเถอะ”


เขาเดินออกจากห้องเรดาร์ไปแล้วขับรถเอทีวีกลับไปบ้าน ตอนนั้นหู่จือและเป้าจือที่นอนอยู่ข้างๆ รถก็เงยหน้าขึ้นมามองไปยังที่ไกลๆ ด้วยสายตาระแวดระวัง แต่เพราะว่าหมอกลงค่อนข้างหนา พวกมันทั้งสองจึงต้องใช้จมูกในการดมกลิ่นด้วย ในที่สุดพวกมันก็ไม่เห็นอะไร จึงทำได้เพียงลงจากรถไปด้วยความสงสัย


ฉินสือโอวถามออกมาว่า “มีคนมาเหรอ?”


เมื่อผ่านไปครู่หนึ่งหู่จือกับเป้าจือก็ยังคงไม่มีท่าทีอะไร แบบนี้ก็แสดงให้เห็นว่าที่ฟาร์มปลาไม่ได้มีคนแปลกหน้าเข้ามา ดังนั้นเขาจึงยักไหล่แล้วเดินออกไป


หลังจากที่เขาแยกตัวออกมาจากหู่จือและเป้าจือ ใต้ต้นเมเปิลขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างออกไป ร่างเล็กขนสีเทาทองทั้งสองร่างก็ค่อยๆ โผล่หัวออกมาด้วยท่าทีฉลาด พวกมันค่อยๆ มองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง หลังจากนั้นก็สะบัดหางแล้ววิ่งหนีไป


เพราะว่าหมอกลงหนา ครอบครัวกระรอกดินครอบครัวหนึ่งกำลังนอนอยู่บนสนามหญ้าพลางสะบัดร่างกายไปมา ด้วยเหตุนี้ทำให้หมอกที่ตกลงมาโดนขนของมันอย่างต่อเนื่องกลายเป็นหยดน้ำ และน้ำพวกนั้นก็โดนสะบัดออกตลอดเวลาทำให้ดูเหมือนกำลังอาบน้ำ เพื่อเอาฝุ่นและสิ่งสกปรกที่อยู่บนขนออก


พวกมันสะบัดตัวไปมาอย่างสบายใจ เพลิดเพลินไปกับการอาบน้ำหมอก จนลืมวันเวลาไปหมด ทำให้พวกมันถูกนักล่าตัวเล็กทั้งสองจับตามองอยู่


นักล่าตัวเล็กทั้งสองตัวนั้น เป็นใครไปไม่ได้นอกจากเฟอเรทแบลคฟุตที่หนีออกมาจากเรือบรรทุกสินค้าเมื่อสองวันก่อน


เฟอเรทเป็นสัตว์มีประสาทสัมผัสไว หลังจากที่พวกมันถูกคลื่นซัดเข้ามาที่ชายหาดวันนั้น มันก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นฉี่และอุจจาระของเหล่ากระรอกดินที่หลงเหลืออยู่ได้ทันที


กลิ่นพวกนี้ทำให้พวกลูกๆ ของพวกมันกลัว สำหรับพวกมันแล้ว กลิ่นพวกนี้แรงเกินไป โดยที่ไม่ต้องบอกพวกมันเลย พื้นที่นี้เป็นที่ของเหล่าเทพยอดนักล่า สำหรับสัตว์ที่อ่อนแอปวกเปียกอย่างพวกมันแล้ว รออยู่เฉยๆ ให้อาหารมาเสิร์ฟถึงที่จะดีกว่า


เพราะเหตุนี้ หลังจากที่เฟอเรทแบลคฟุตขึ้นฝั่งมันก็หาพุ่มหญ้าเพื่อที่จะซ่อนตัวทันที พวกมันซ่อนตัวอยู่ในนั้นสองวัน จนวันนี้ที่หิวจนทนไม่ไหว บวกกับสภาพอากาศที่เต็มไปด้วยหมอกซึ่งเหมาะแก่การซ่อนตัวแล้ว พวกมันจึงออกมาหาอาหาร


เฟอเรทแบลคฟุตเป็นสัตว์กินเนื้อ บรรพบุรุษดั้งเดิมของพวกมันกินเนื้อสัตว์สดๆ เป็นอาหาร พวกมันมักจะกินสัตว์เข้าไปทั้งตัว ไม่ว่าจะเป็นเนื้อ อวัยวะภายใน กระดูก ผิวหนัง รวมถึงขนด้วย


อันที่จริงแล้วพวกมันเป็นสัตว์ที่ออกหากินตอนกลางคืน ตอนกลางวันพวกมันจะชอบนอนหลับอยู่ในรัง พอตกกลางคืนก็ตื่นขึ้นมาหาอาหาร


แต่ว่าพวกมันคงจะหิวจริงๆ เดิมทีเฟอเรทเป็นสัตว์ที่มีระบบย่อยอาหารสั้น ร่างกายของมันเผาผลาญได้อย่างรวดเร็ว จึงจำเป็นที่จะต้องทานอาหารเสริมตลอดเวลา แต่ตั้งแต่พวกมันมาเหยียบที่เกาะนี้ พวกมันยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยแม้แต่นิดเดียว!


ถ้าหากไม่เป็นเพราะฉินสือโอวใช้พลังจิตสำนึกแห่งโพไซดอนปรับสภาพร่างกายให้พวกมัน เจ้าเฟอเรทผู้น่าสงสารทั้งสองตัวนี้คงจะหิวจนเป็นลมไปแล้ว


เหยื่อชนิดแรกของเฟอเรทคือหนูชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพอสซัม แพรรี่ด๊อก กระรอกดิน มันก็สามารถกินได้หมด ดังนั้นมันจึงใช้จมูกดมกลิ่น ไม่นานพวกมันทั้งสองตัวก็เจอเข้ากับกลิ่นของครอบครัวกระรอกตัวน้อยอย่างรวดเร็ว เมื่อตามกลิ่นไปก็เจอเข้ากับพวกมัน


ในขณะที่พวกมันเตรียมพร้อมจะโจมตี จู่ๆ ก็พบว่าครอบครัวนี้มีสมาชิกที่มีขนาดตัวที่ใหญ่มาก


สองพี่น้องมองหน้ากัน นายมองมาที่ฉัน ฉันมองไปที่นาย ตัวน้องถามตัวพี่อย่างนุ่มนวลว่า ‘ดูเหมือนว่าพวกเราจะตัวเล็กไปเลย นอกจากนี้ยังมีเจ้าตัวใหญ่กว่าครึ่งหนึ่งอยู่อีก จะจัดการอย่างไร?’


คนเป็นพี่พยายามให้กำลังใจอย่างหนัก มันปลอบน้องสาวว่า ‘กลัวเหรอ? นักรบที่อ่อนแอ ยังไงก็ยังคือนักรบ ไม่ว่าแมลงวันจะอ่อนแอแค่ไหน แต่มันก็ยังบินได้ กระรอกดินน้อยเกิดมาเพื่อเป็นอาหารของพวกเราตามธรรมชาติอยู่แล้ว พวกเราเกิดมาเพื่อเป็นนักล่า ไม่ต้องพูดมาก แค่คำเดียว จัดการซะ!’


ถ้าหากว่าเลือกได้ พวกมันก็คงไม่ทำ แต่พวกมันหิวจะตายอยู่แล้ว อาหารอันโอชะอยู่ตรงหน้า ไม่ว่าเหยื่อจะมีขนาดเท่าไหร่ แต่การที่มันตัวโตก็ดี เพราะว่าจะได้กินได้อีกหลายมื้อ!


ด้วยทัศนคติการมองโลกในแง่ดี เฟอเรทแบลคฟุตสองตัวก็เข้าไปซ่อนตัวอยู่ในพุ่มหญ้า พวกมันไม่ต้องการครูสอนแต่พวกมันเรียนรู้ทักษะการต่อสู้มาจากบรรพบุรุษของตัวเอง พวกมันเคลื่อนตัวไปยังที่ที่เหล่ากระรอกดินซ่อนตัวอยู่อย่างระมัดระวัง


หลังจากเข้าใกล้แล้ว เฟอเรทแบลคฟุตก็กระโดดออกมาทันที ดวงตาของพวกมันจ้องมองไปยังกระรอกดิน พร้อมแยกเขี้ยวยิงฟันหมายจะกัดกระรอกดิน


ครอบครัวกระรอกดินที่กำลังเพลิดเพลินกับการอาบน้ำหมอก จู่ๆ ก็ถูกอะไรบางอย่างสองตัวกระโจนเข้ามาใส่ตัวเอง หากบอกว่าไม่กลัวก็คงจะเป็นการโกหก


อีกอย่าง คางคกที่กระโดดใส่เท้าของคน แม้ว่ามันจะไม่กัดแต่มันก็น่ารังเกียจอยู่ดี!


เฟอเรทแบลคฟุตเป็นนักล่าระดับปรมาจารย์ พวกมันเคลื่อนไหวรวดเร็ว อุ้งมือหนัก ท่าทางว่องไว ทักษะในการต่อสู้ยอดเยี่ยม หนูธรรมดาจึงตกเป็นเป้าหมายของพวกมัน และทุกครั้งที่พวกมันล่าเหยื่อ พวกมันยังสามารถจับเหยื่อได้มากถึงเก้าในสิบ


แต่ว่าครอบครัวกระรอกดินเป็นข้อยกเว้น ปกติพวกมันจะทานผักผลไม้ที่อุดมไปด้วยพลังจากจิตสำนึกแห่งโพไซดอน เพราะแบบนั้นร่างกายจึงแข็งแรง แต่กระรอกบินไม่ใช่สัตว์ที่ไม่เก่งกาจ พวกมันสามารถเจาะต้นไม้ ขุดหลุม ขึ้นเขาและว่ายน้ำได้หมดทุกอย่าง ปฏิกิริยาตอบสนองก็เร็ว เมื่อเงาดำโผล่เข้ามา พวกมันก็รีบหนีทันที


เป็นอย่างที่ว่ากันว่ากระต่ายเจ้าเล่ห์จะมีสามรัง กระรอกดินเจ้าเล่ห์พวกนี้ก็มีโพรงถึงสามสิบกว่าโพรงต่อหนึ่งตัว


เจ้าพวกนี้เป็นสัตว์ที่ไม่ระมัดระวังตัวอย่างมาก เช่นว่าพวกมันกำลังอาบน้ำหมอกอยู่ ก็ดันอาบน้ำอยู่หน้าโพรงของตัวเอง เมื่อหมุนตัวก็สามารถเข้าโพรงไปได้เลย แต่ว่ายังมีตัวที่ค่อนข้างอ้วนอยู่ตัวหนึ่ง การตอบสนองของมันช้าไปเล็กน้อย จึงถูกเฟอเรทแบลคฟุตกัดเข้าที่ขาอันอวบอิ่มของมัน


ฟันของเฟอเรทคมมาก กัดทีหนึ่งก็มีเลือดออกแล้ว กระรอกดินเจ็บจนร้องครวญครางออกมา มันสะบัดขาอันใหญ่และทรงพลังอย่างแรง ราวกับกระต่ายที่เตะนกอินทรีที่บินมาหาพวกมัน มันเตะเฟอเรทแบลคฟุตเข้าไปเต็มๆ จนมันกระเด็นลอยออกไป


กระรอกดินอีกสี่ตัวที่อยู่ในโพรงรีบวิ่งออกมาเมื่อได้ยินเสียงร้องของคนในครอบครัว หลังจากนั้นสถานการณ์ที่เหลือก็คือ เฟอเรทแบลคฟุตผู้นุ่มนวลที่มีขนาดเท่าฝ่ามือ ก็ถูกกระรอกดินที่ตัวใหญ่กว่าห้าตัวล้อมพวกมันเอาไว้


เฟอเรทแบลคฟุตตัวน้องผู้อ่อนแอมองไปยังเหยื่ออันน่ากลัวทั้งห้าตัว มันคิดอยากจะถามอะไรบางอย่าง ถ้าหากบอกว่าทั้งหมดเป็นการเข้าใจผิด พวกเขาจะเชื่อไหมนะ?


กระรอกดินไม่เชื่ออย่างแน่นอน แต่ว่าพวกมันไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร เพราะว่าพวกมันเป็นสัตว์กินพืช เป็นสัตว์ที่ไม่มีนิสัยชอบต่อสู้ ดังนั้นฉินสือโอวจึงวางใจที่จะให้พวกมันอยู่ที่นี่


เฟอเรทแบลคฟุตตัวพี่ที่ถูกเตะจนตัวลอยลุกขึ้นมาอีกครั้ง ลูกเตะของกระรอกดินตัวนั้นปลดล็อกพลังระดับเลเวลหนึ่งของมัน รวมถึงระเบิดพลังของมันอีกด้วย มันวิ่งกลับมาด้วยท่าทางโหดเหี้ยม ตาเบิกโพลงพร้อมปากที่แยกเขี้ยวออกมา มันร้องคำรามออกมาราวกับสัตว์ป่า เสียงดัง “ฮึ่ม ฮึ่ม!”


ถ้าหากว่าพวกมันต้องการจะต่อสู้จริงๆ พวกมันทั้งห้าที่มีร่างกายกำยำสามารถฆ่าเฟอเรททั้งสองตัวได้อย่างสบายๆ แต่พวกมันไม่มีพลังที่จะโจมตี เมื่อถูกเฟอเรทขู่คำราม พวกมันก็วิ่งหนีหางจุกตูดไปทันที


เจ้าขาใหญ่ที่โดนกัดขาก็วิ่งออกไปอย่างรวดเร็วเป็นพิเศษ มันวิ่งไปกระโดดไปราวกับเป็นจิงโจ้


เฟอเรทผู้พี่กับผู้น้องที่ตกอยู่ในอาการตกใจนั้น จู่ๆ ก็รู้สึกมั่นใจขึ้นมาเต็มเปี่ยม ที่แท้พวกเราก็เก่งกาจมากเลย! ดูหนูตัวใหญ่ทั้งห้าตัวพวกนั้นสิ ตัวใหญ่แล้วมีประโยชน์อะไร?

 

 

 


บทที่ 1218 การผจญภัยของสองพี่น้องเฟอเรท

 

เมื่อได้รับชัยชนะจากกระรอกดิน สองพี่น้องเฟอเรทก็รู้สึกมีกำลังใจท่วมท้น พวกมันมองตากันและกัน เพราะชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ในครั้งนี้พวกมันจะต้องจัดงานเฉลิมฉลอง


แต่ว่าไม่นานพวกมันก็พบว่า พวกมันมาเพื่อหาอาหาร ไม่ได้มาเพื่อต่อสู้ ชนะแล้วได้อะไร? ก็ยังหิวอยู่ดี!


เมื่อเข้าใจในจุดนี้ พวกมันก็รีบตามครอบครัวกระรอกดินไปอย่างรวดเร็ว แต่ว่าพวกมันหนีไปได้สักพักแล้ว ที่นี่ก็ยังเป็นที่ของครอบครัวนั้นอีก อีกอย่างพวกนั้นก็แข็งแรงกว่าด้วย แบบนี้จะตามพวกมันทันได้อย่างไร?


การดมกลิ่นได้อย่างรวดเร็วก็ไม่ช่วยอะไร เพราะว่าที่แห่งนี้เป็นที่อยู่ของพวกกระรอกดิน ทุกๆ ที่จะมีกลิ่นของเหล่ากระรอกดินติดอยู่เต็มไปหมด การดมกลิ่นของเฟอเรทกลายเป็นอัมพาตไปเลย ทำให้ไม่สามารถบอกได้เลยว่าเหล่ากระรอกดินหนีไปถึงที่ไหนแล้ว


พวกมันรู้สึกไม่มีความสุขเลย สองพี่น้องเฟอเรทแบกท้องอันหิวโหยของตัวเองเดินไปมาในทุ่งหญ้าช้าๆ พวกมันพยายามที่จะดมกลิ่นอย่างหนัก หวังว่าจะสามารถเจอเข้ากับเส้นทางที่กระรอกดินหนีไปได้


แต่ปรากฏว่าพวกมันไม่สามารถดมหากลิ่นของกระรอกดินได้เลย หลังจากที่พวกมันเข้าไปใกล้กับสระน้ำ พวกมันก็ได้กลิ่นของไก่และเป็ดแทน


ในเมนูอาหารของเฟอเรท สัตว์ปีกยังคงอยู่ในตำแหน่งอาหารที่สำคัญที่สุด มันอยู่ในอันดับสอง รองลงมาจากพวกหนู


หลังจากที่ได้กลิ่นเป็ดและไก่ สองพี่น้องเฟอเรทก็รู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมาทันที พวกมันคิดถึงไก่ทอดที่เคยกินมาก่อนหน้านี้ ทั้งเผ็ดทั้งอร่อย อีกทั้งยังกรุบกรอบ รสชาติของเนื้อไก่ช่างดีจริงๆ!


เมื่อตามกลิ่นของเป็ดและไก่ไป ไม่นานพวกมันก็มาถึงฟาร์มสัตว์ปีก ช่องว่างระหว่างรั้วกว้างพอสำหรับพวกมัน พวกมันจึงแอบเข้าไปได้อย่างง่ายดาย หลังจากนั้นพวกมันก็เห็นลูกเจี๊ยบสีเหลืองอ่อนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินไปมาอยู่ข้างหน้า


ไก่ทอด! เฟอเรทผู้พี่ตื่นเต้นขึ้นมาทันที กีบเท้าเล็กๆ ของมันวางเข้ากับพื้นและกระโดดบินขึ้นมา มันกระโดดพุ่งเข้าไปหาลูกเจี๊ยบตัวหนึ่ง เมื่อพุ่งตัวลงไปแล้ว ทำไมจู่ๆ ฟ้าก็มืดล่ะ?


แม้ว่าวันนี้จะมีหมอกลงหนัก แต่ท้องฟ้าก็ยังคงสดใส แล้วทำไมตอนนี้ฟ้าถึงมืดแล้วล่ะ?


เฟอเรทผู้พี่เงยหน้าขึ้นมาจากหมอกด้วยความงุนงง ภาพในดวงตาเล็กๆ ของมันคือใบหน้าของไก่ตัวหนึ่งที่มองมาด้วยท่าทีดุร้าย


ไก่ตัวผู้ตัวใหญ่! เฟอเรทผู้พี่ตกใจเป็นอย่างมาก ตอนนี้ไก่ตัวผู้ปรากฏตัวอยู่ข้างๆ มัน ตัวของมันสูงราวครึ่งเมตร ร่างกายเต็มไปด้วยขนที่มีสีสันสวยงาม มงกุฎสีแดงที่ตระหง่านอยู่บนหัว ราวกับเปลวไฟที่กำลังลุกโชน


เพียงแค่เห็นขาอันหนาใหญ่ทั้งสองข้างของไก่ตัวผู้ ร่างกายที่แข็งแรง สายตาอันเย็นชา และกรงเล็บที่แหลมคม แค่นี้ก็บอกได้เลยว่าไก่ตัวผู้ตัวนี้คือไก่ชน!


เมื่อถูกไก่ชนจ้องมองมา แม้ว่าเฟอเรทผู้พี่จะมีความกล้าหาญ แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัว มันรีบปล่อยอุ้งมือที่กดลูกเจี๊ยบอยู่ทันที เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่เฟอเรทตัวน้องถูกกระรอกดินทั้งห้าตัวล้อมรอบอยู่ มันมองไปยังไก่ตัวผู้ด้วยสายตาอ่อนโยน


ไก่ชนตัวนี้เป็นไก่ตัวผู้ตัวใหญ่ที่ฉินสือโอวนำกลับมาจากบ้านเกิด และในตอนนั้นมันก็คือสุดยอดไก่ชนที่เคยจิกหมูป่าตัวใหญ่จนเลือดออกมาแล้ว


จนมาถึงตอนนี้ ฟาร์มปลามีไก่ เป็ด ห่าน กวาง หมูมากมาย ในกลุ่มจะมีเจ้าตัวโตที่อารมณ์ร้ายอยู่แล้ว แต่ตำแหน่งที่น่าเคารพนับถือของฟาร์มแห่งนี้ยังคงเป็นของไก่ชนตัวนี้อย่างเหนียวแน่น ทำไมน่ะเหรอ? เพราะว่ามันเก่งกาจมากน่ะสิ!


นานมากแล้วที่ไม่มีใครกล้าที่จะเข้ามากระตุ้นความดุร้ายของมัน ไม่คิดว่าวันนี้จะมีเจ้าตัวเล็กทั้งสองตัว ที่จู่ๆ ก็กล้ามาปรากฏตัวต่อหน้ามัน แถมอยากจะกินลูกของมันอีกงั้นเหรอ?!


ทั่วทั้งฟาร์มปลาจะมีไก่อยู่ทุกที่ ยกเว้นไก่งวงบางส่วน นอกนั้นก็จะเป็นไก่ชนที่เป็นผลมาจากการต่อสู้กันของไก่ เพราะว่าการมีอยู่ของมัน ทำให้ฝูงไก่สามารถพาลูกๆ หลานๆ ของมันไปทุกพื้นที่ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด และสำหรับพวกมันแล้ว ลูกๆ หลานๆ ก็คือเลือดเนื้อของพวกมัน


โดยที่ไม่ต้องพูดอะไร บุคลิกของไก่ชนและกระรอกดินนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง พวกมันคือนักรบทั้งบนบกและทางอากาศ แม้ว่าอาจจะไม่ได้ตั้งใจมองมากแต่ก็ยังสามารถทำให้รู้สึกขนลุกขึ้นมาได้อยู่ดี ไม่ได้เพราะกลัวมันหรอกนะ แต่ไม่อยากที่จะไปยุ่งกับพวกที่บ้าสงครามแบบนี้มากกว่า


เฟอเรทตัวน้องผู้โชคร้าย หลังจากที่ไก่นักรบจ้องมองมาที่พวกมันราวกับต้องการจะเอาชีวิตแล้ว มันโก่งคอร้องส่งสัญญาณต่อสู้ออกมา “เอ้กอิเอ้กเอ้ก เอ้กอิเอ้กเอ้ก!”


ในขณะที่มันกำลังร้องโวยวายอยู่นั้น ไก่ชนก็ได้จิกเข้ามายังเฟอเรทผู้พี่อย่างรุนแรง ราวกับตัวมันเป็นนักแกะสลักหินอย่างมีเกลันเจโล ปากของมันจิกเข้ามาที่หัวของเฟอเรทผู้พี่จนตอนนี้หัวของมันโล่งเตียน


เฟอเรทผู้พี่เจ็บจนอยากตาย นิสัยดุร้ายของมันถูกระเบิดออกมา มันกระโดดตัวขึ้นแล้วอ้าปากหวังจะกัดเข้าไปที่คอของไก่นักสู้ตัวนั้น


ภาพในจินตนาการช่างสวยงาม แต่ความเป็นจริงนั้นโหดร้าย เฟอเรทวัยรุ่นสูงเพียงครึ่งเมตรเท่านั้น หากพวกมันสามารถกัดคอนกได้ มันก็ต้องกัดคอไก่ตัวนี้ได้เช่นกัน แต่เฟอเรทผู้พี่ตัวเล็กเกินไป เมื่อมันกระโดดขึ้นมา ท้องฟ้าก็มืดลงอีกครั้ง ไก่ชนยกเท้าขึ้นมาเหยียบมันลงไปกับพื้น


ภาพเหตุการณ์นั้นน่ากลัวมาก เพราะเหตุการณ์นี้จะทำให้เฟอเรทผู้พี่ไม่กล้ากินไก่เลยอีกตลอดชีวิต ใจของเขา ได้รับผลกระทบเข้าเสียแล้ว!


เฟอเรทผู้น้องพยายามโจมตีอย่างกล้าหาญจากด้านหนังอยู่สองสามครั้ง เพราะแบบนี้ทำให้เฟอเรทผู้พี่ที่อยู่ระหว่างช่องว่างใต้เท้าของไก่นักสู้ พยายามที่จะปีนออกมา แล้ววิ่งสะบัดหางหนีออกไปได้


ไก่ตัวนี้ไม่กินก็คงไม่เป็นไรล่ะมั้ง? ไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่ล่ะมั้ง?


เฟอเรทผู้น้องวิ่งอย่างรวดเร็วราวกับหมาป่า ไก่ชนร้อง ‘เอ้กเอ้ก’ กระพือปีกตามมาจากด้านหลัง ขนบนร่างกายของมันตั้งชันขึ้น ราวกับเฉิงหยางจินตอนแสดงละครอยู่บนเวทีก็ไม่ปาน


พวกมันทั้งสองตัวรีบออกมาจากฟาร์มอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า เมื่อเฟอเรทสองพี่น้องหันหลังกลับไปมอง ก็เห็นใบหน้าของไก่ชนที่อยู่ด้านหลังของรั้วฟาร์ม ไก่ชนไล่พวกมันมาจนสุดทาง แม้ว่าจะถูกปิดกั้นทาง แต่มันก็ยังชะเง้อคอออกมา จนเกือบจะกัดโดนพวกมันทั้งสองตัวแล้ว


สองพี่น้องเฟอเรทหนีออกมาอย่างขวัญหนีดีฝ่อ ที่นี่น่ากลัวเกินไป พวกเราคงต้องออกมาทั้งที่ยังท้องว่างอยู่ หากไม่มีอาหารก็คงต้องเปลี่ยนมากินพืชแทนแล้ว โตกว่านี้อีกหน่อยค่อยกินเนื้อแล้วกัน


ระหว่างที่เดินผ่านหมอกไปอย่างไร้เรี่ยวแรง ในที่สุดพวกมันทั้งสองตัวก็เหนื่อยอ่อน จนอดไม่ได้ที่ล้มตัวลงนอนบนกอหญ้า ผ่านไปครู่หนึ่งเฟอเรทผู้พี่ก็ทำจมูกฟุดฟิดดมกลิ่น ทันใดนั้นมันก็ได้กลิ่นหอมของกระรอกดินตัวน้อย มันเงยหน้าขึ้นมาอย่างดีใจ มันรู้สึกว่ากลิ่นค่อยๆ แรงขึ้นเรื่อยๆ…รึเปล่านะ?


เกิดอะไรขึ้น? มันยังไม่ได้เคลื่อนไหวเลย ทำไมกลิ่นของกระรอกดินถึงแรงขึ้นเรื่อยๆ กันนะ? เฟอเรทผู้พี่รู้สึกสับสนขึ้นมาอีกครั้ง อันที่จริงแล้วหมอกลงหนามาก ร่างกายของพวกมันก็เต็มไปด้วยไอหมอก…


เฟอเรทผู้น้องเงยหน้าขึ้นมา ไม่นาน กระรอกดินทั้งห้าตัวก็วิ่งมาอยู่ที่ตรงหน้าพวกมัน


เมื่อเห็นอาหารอันโอชะจากสวรรค์ลงมาอยู่ที่ตรงหน้า สองพี่น้องเฟอเรทก็เกิดความรู้สึกเหลือเชื่อขึ้นมา พวกมันคิดว่าตัวเองหิวจนตาลาย จนกระทั่งพวกมันมองหน้ากันแล้วต่างฝ่ายต่างก็แสดงสีหน้าอันเหลือเชื่อออกมา จึงได้รู้ว่าตัวเองนั้นไม่ได้ฝันไป เนื้อกำลังมาหาพวกมันแล้วจริงๆ!


เฟอเรทแบลคฟุตลุกขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น หลังจากนั้นเหล่ากระรอกดินก็มองไปยังพวกมันอย่างนิ่งเฉย กระรอกดินตัวอื่นๆ หลีกทางให้กระรอกดินตัวใหญ่ร่างกำยำให้ออกมาข้างหน้า ‘พี่ใหญ่ พวกมันคือพวกที่แกล้งพวกเรา พวกที่กัดขาของเจ้าอ้วนสองก็คือพวกมัน!’


เมื่อกี้กระรอกดินไม่ได้หนีไปไหน แต่พวกมันไปหาพี่ใหญ่อย่างเสี่ยวหมิงของพวกมัน


พลังจิตสำนึกแห่งโพไซดอนที่เสี่ยวหมิงได้รับไม่ได้ถือว่ามากที่สุด แต่ด้วยขนาดร่างกายของมัน ดังนั้นพลังโพไซดอนที่มีปริมาณเท่ากับตัวอื่นๆ จึงส่งผลต่อร่างกายของมันมากกว่าปกติ ตอนนี้มันแข็งแกร่งที่สุด ร่างกายขนาดเล็กของมันเหมือนกับระเบิดขนาดเล็ก แม้แต่ฉงต้าก็ไม่อยากที่จะไปจุดระเบิดมัน


แพรรี่ด๊อกก็เป็นกระรอกดินสายพันธุ์หนึ่ง อีกทั้งตอนนี้พวกมันยังชอบแพรรี่ด๊อกมากกว่าด้วย เพราะว่าเจ้าพวกนั้นไม่ได้มีขนาดโตกว่าตัวเองมากนัก การต่อสู้ก็ย่ำแย่ที่สุด แบบนี้ทำให้ถูกกลั่นแกล้งได้ง่าย เฟอเรททั้งสองตัวจึงพุ่งเข้าไปหาเสี่ยวหมิงทันที!


ฉากการต่อสู้ได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง…


ด้านหน้าเฟอเรทคือเสี่ยวหวิงที่กระโจนเข้ามา แต่มันไม่มีปฏิกิริยาถอยหนี ‘สวบ’ เสียงกระโดดดังขึ้นมา ท่าทางเรียกได้ว่าดุร้ายราวกับเสือผู้หิวโหยที่ต้องการกินเหยื่อ ในขณะเดียวกันพี่น้องเฟอเรทก็ล้มกลิ้งลงกับพื้น


เหล่ากระรอกดินอยากจะทำร้ายพวกคนชั่วที่ตกอับ เมื่อเฟอเรทสองพี่น้องเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดี พวกมันก็รีบลุกขึ้นมาแล้ววิ่งหนีออกไปทันที แต่เมื่อพวกมันหมุนตัว พวกมันก็เจอเข้าสัตว์ประหลาดสองตัวที่จ้องมองมายังพวกมันอย่างดุร้าย


จากนั้นพวกมันทั้งสองก็อ้าปากกว้างลงมาหาพวกมัน…

 

 

 


บทที่ 1219 พวกมันเป็นของผมแล้ว

 

เสี่ยวเถียนกวาไม่เคยเห็นหมอกลงหนาขนาดนี้มาแล้ว เธอปีนขึ้นมาถึงหน้าประตูแล้วมองไปรอบๆ ด้วยความแปลกใจ เธอไม่เข้าใจว่าโลกในวันนี้ทำไมถึงไม่เหมือนกับโลกเมื่อสองสามวันก่อนหน้านี้


ฉินสือโอวก็ไม่เคยเห็นหมอกหนาขนาดนี้มาก่อน แต่เมื่อเขาเห็นท่าทางสงสัยของลูกสาว เขาก็หัวเราะออกมาพลางมาอยู่ข้างๆ เธอ ทั้งสองคนมองไปยังหมอกหนานั้นอย่างไร้จุดหมาย


วินนี่ส่ายหัวไปมาพลางพูดว่า “หมอกลงขนาดนี้ มองอะไรไม่เห็นเลย มันมีอะไรหน้าดูอย่างนั้นเหรอคะ?”


“ดอกไม้ที่อยู่ในสายหมอกนั้นสวยงามที่สุด” ฉินสือโอวหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี พูดไป เขาก็อุ้มลูกสาวขึ้นมาหยอกล้อ “ใช่ไหม? พ่อพูดถูกไหมคะ?”


เสี่ยวเถียนกวาถูกสอนมาแล้ว ตอนนี้จึงสามารถคุยกับพ่อแม่ได้อย่างคล่องแคล่ว เมื่อได้ยินฉินสือโอวพูด เธอก็รีบเงยหน้าขึ้นมาเรียกด้วยความดีใจทันที “ปะป๊า ปะป๊า…”


ฉินสือโอวตอบกลับ เสี่ยวเถียนกวายื่นมือออกมา พลางร้องต่อไปว่า “ปะป๊า ปะป๊า…”


ท่านชายฉินมองไปรอบๆ เขาเห็นหู่จือและเป้าจือวิ่งออกมาจากหมอกอย่างมีความสุข


เมื่อเห็นท่าทางดีใจของพวกมันทั้งสองตัว เขาก็มองไปยังพวกมันอย่างไม่สบอารมณ์ หลังจากนั้นก็แก้ไขคำพูดของลูกสาว “นี่ไม่ใช่ปาป๊า นี่มันสุนัข!”


“ปะป๊า! ปะป๊า!” …ยังคงพูดคำเดิม


“สุนัข! สุนัข!” ท่านชายฉินหมดความอดทนแล้ว


หู่จือและเป้าจือวิ่งมาอยู่ตรงหน้าฉินสือโอว ลำตัวของพวกมันทั้งสองเปียกชื้น พวกมันอ้าปากสะบัดหัวไปมาจนเจ้าตัวขนดกดำเล็กๆ สองตัวหล่นลงมาที่พื้น


เจ้าตัวเล็กทั้งสองถูกสะบัดจนเวียนหัวตาลาย พวกมันกลิ้งตัวไปมาสองรอบจากนั้นก็ปีนลุกขึ้นยืน มันเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นเจ้าตัวใหญ่แบบเต็มสองตา อีกทั้งยังเห็นชายร่างใหญ่ที่กำลังชี้นิ้วและตะโกนมายังพวกมัน ปากใหญ่ของเขาอ้ากว้างราวกับต้องการกินพวกมัน ทันใดนั้นพวกมันก็รู้สึกกลัวขึ้นมา จึงหมุนตัววิ่งหนีออกไป


เสี่ยวหมิงวิ่งนำเหล่ากระรอกดินมาตลอดทาง ครอบครัวกระรอกดินแวะทักทายหู่จือและเป้าจือ พวกเรากำลังหาพี่ใหญ่ พวกนายสองคนกำลังทำอะไรอยู่เหรอ?


เจ้าตัวเล็กทั้งสองเพิ่งจะวิ่งมาถึงหน้าประตู พวกมันก็เจอเขากับเสี่ยวหมิงและกระรอกดินที่วิ่งตามมา พวกมันโดนขวางทางอีกแล้ว เสี่ยวหมิงเดินออกมาข้างหน้า จากนั้นก็ผลักเจ้าตัวเล็กทั้งสองตัวล้มลงกับพื้น


วินนี่ตกใจ เธอจึงถามออกมาว่า “พระเจ้า? นี่มันตัวอะไรกัน? หนูเหรอคะ?”


ฉินสือโอวก็มองไม่ออกเหมือนกัน ท่าทางของสองพี่น้องเฟอเรทแบลคฟุตดูน่าเวทนาเกินไป ขนตามร่างกายเปียกและแบ่งกันเป็นกระจุกๆ ขนที่หัวยังเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดงน้ำเต้า อีกอย่างท่าทางอันน่าสงสารและเวทนาของพวกมันลบความน่ารักของความเป็นเฟอเรทแบลคฟุตไปจนหมด


เมื่อมองดูดีๆ เขาถึงจะมองออกว่าเป็นสองพี่น้องเฟอเรท เขาพูดขึ้นมาด้วยความตกใจทันทีว่า “พระเจ้า พวกแกเองเหรอ? อย่าปล่อยพวกมันไป! จับพวกมันมาให้ฉัน!”


แม้สองพี่น้องเฟอเรทแบลคฟุตคิดอยากจะเดินก็ยังเดินไม่ไหว พวกมันถูกเสี่ยวหมิงและกระรอกดินจับไว้ เมื่อพวกมันจะหมุนตัวกลับหลัง พวกมันก็เจอเข้ากับหู่จือและเป้าจือที่อยู่ด้านหลัง เรียกได้ว่าถูกซุ่มโจมตีจากทุกทิศทาง


วินนี่มองมาด้วยความสงสัย เธอยังมองไม่ออกเลยพวกมันคือตัวอะไร จึงถามออกมาว่า “มันคืออะไรเหรอคะ?”


สีหน้าของฉินสือโอวเต็มไปด้วยความตกใจ เขาปล่อยเสี่ยวเถียนกวา แล้วไปอุ้มเฟอเรททั้งสองตัวขึ้นมา พลางพูดขึ้นว่า “รอผมอาบน้ำให้พวกมันก่อนคุณก็จะรู้ รับรองได้ว่าเป็นของดี!”


พูดจบ เขาก็พาพวกมันทั้งสองตัวเข้าไปยังห้องครัว จากนั้นก็เอากะละมังมาใส่น้ำอุ่นเพื่ออาบน้ำให้พวกมัน


ตอนนั้นเองฉงต้าที่นอนอยู่บนพื้นก็กระโดดลุกขึ้นมา มันพุ่งตัวเข้าไปในห้องครัวพลางลุกขึ้นยืน จากนั้นก็เข้าไปจับฉินสือโอว แล้วร้องคำรามออกมาเสียงต่ำ


เมื่อหันไปเห็นใบหน้าดุร้ายของฉงต้า สองพี่น้องเฟอเรทก็ตกใจหน้าซีดเกือบตาย พวกมันรีบกระโดดลงกะละมังอย่างรวดเร็ว


ฉงต้าร้อนใจขึ้นมาทันที อุ้งมืออ้วนของมันฟาดลงมาทันที มันจับกะละมังลากออกมา จากนั้นก็ก้มหน้าลงไปใช้ปากงับสองพี่น้องเฟอเรทขึ้นมา


เมื่อสองพี่น้องเฟอเรทแบลคฟุตกะพริบตา ก็พบว่าตัวเองตกอยู่ข้างๆ ปากอันน่ากลัวของฉงต้าเรียบร้อยแล้ว จิตใจที่ยังเป็นเด็กของพวกมันไม่สามารถรับกับสถานการณ์อันโหดร้ายแบบนี้ได้ สุดท้ายพวกมันก็ตาลายจนเป็นลมไปในที่สุด


โลกใบนี้ชักจะบ้าบอเกินไปแล้ว วันนี้พวกมันรับเรื่องน่ากลัวมากเกินไปแล้ว!


ฉงต้าร้องคำรามออกมาด้วยความรังเกียจ มันปัดกะละมังไปมาเพื่อที่จะให้สองพี่น้องเฟอเรทหลุดออกมา จากนั้นก็คาบพวกมันขึ้นมาแล้ววิ่งหนีออกไป


ฉินสือโอวยังอยู่ในอาการตกตะลึง วินนี่พูดออกมาอย่างทำอะไรไม่ถูกว่า “คุณอย่าให้ข้าวพวกเด็กๆ นะคะ พวกมันไม่ปล่อยเพื่อนตัวน้อยทั้งสองตัวแน่ อีกอย่าง นี่มันอะไรกันแน่คะ?”


เธอเดินเข้ามาจับหางของเฟอเรทตัวหนึ่งขึ้นมาดู จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยความตกใจว่า “อ้อ เฟอเรทเหรอ? สายพันธุ์ไหนเหรอคะ?”


เฟอเรทเป็นสัตว์เลี้ยงที่พบเห็นได้ทั่วไปที่แคนาดา แน่นอนว่าวินนี่รู้จักพวกมัน


ฉินสือโอวหัวเราะออกมาคิกคักแต่ไม่ได้พูดอะไร เขาใช้น้ำอุ่นล้างเอาคราบสกปรกออกจากเจ้าตัวเล็กทั้งสองตัว และใช้โอกาสนี้ในการถ่ายพลังโพไซดอนให้พวกมันด้วย เมื่อได้รับพลังโพไซดอน พวกมันทั้งสองตัวก็ฟื้นขึ้นมา เมื่อมองไปรอบๆ แล้วไม่เจอนักล่าที่น่ากลัว พวกมันก็ถอนหายใจออกมา


เพราะว่าพลังโพไซดอน ทำให้พวกมันสองตัวผูกพันกับฉินสือโอวเป็นอย่างมาก พวกมันให้เขาใช้ไดร์เป่าผมเป่าจนแห้งหลังอาบน้ำอย่างว่าง่าย


พวกมันเคยสัมผัสประสบการณ์แบบนี้มาก่อนขึ้นเรือ ดังนั้นพวกมันจึงคุ้นเคยกับมันมาก


ร่างที่แท้จริงของเฟอเรทแบลคฟุตจึงปรากฏออกมา ในที่สุดวินนี่ก็เห็นรูปร่างของพวกมัน เธอชี้ไปยังพวกมันทั้งสองตัวอย่างไม่อยากเชื่อ จากนั้นก็ชี้ไปยังด้านนอก ดวงตาทั้งสองข้างเบิกกว้างพร้อมกับอุทานออกมาว่า “เพราะเจ้า เป็นไปไม่ได้…”


ฉินสือโอวทำท่าทางจะร้องตะโกนออกมา วินนี่จึงรีบพูดออกมาเสียงต่ำทันที เธอจับแขนของเขาแล้วพูดออกมาเบาๆ ว่า “พระเจ้า เฟอเรทแบลคฟุต? นี่ไม่ใช่เฟอเรทแบลคฟุตที่สูญพันธุ์จากแคนาดาไปแล้วหรอกเหรอคะ?”


ฉินสือโอวพยักหน้าอย่างพอใจ พลางหัวเราะหึหึออกมา “ไม่เลว นี่คือเฟอเรทแบลคฟุต!”


วินนี่มองเขาอย่างตกตะลึง เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เธอก็เข้าใจขึ้นมาทันที “คุณเคยเจอพวกมันเหรอคะ? คุณรู้ว่าพวกมันยังคงมีชีวิตอยู่เหรอคะ? แต่พวกมันมาถึงที่ฟาร์มปลาได้อย่างไร?”


ไม่ว่าอย่างไรเธอก็คิดไม่ออก


ฉินสือโอวตอบว่า “ยังจำเรือประมงเมื่อวันก่อนได้ไหม? ผมบอกกับตำรวจทะเลว่าพวกเขาเข้ามาที่ฟาร์มปลาพร้อมกับพกอาวุธปืน ซึ่งอันที่จริงแล้วมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เด็กสองคนนี้ เป็นของพวกมันลักลอบพามาด้วย”


วินนี่เข้าใจถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ดี พลางพูดขึ้นด้วยความตื่นเต้นว่า “แล้วคุณจะจัดการอย่างไร? นี่คือเฟอเรทแบลคฟุต คนอเมริกาเห็นพวกเขาเป็นของล้ำค่าเลยนะคะ! ถ้าหากว่าพวกเขารู้ว่าเฟอเรทแบลคฟุตที่สูญพันธุ์ไปแล้วอยู่ที่นี่กับพวกเรา แบบนั้นคงจะเป็นปัญหาแน่”


ฉินสือโอวยักไหล่ แล้วพูดขึ้นว่า “เสี่ยวหลัวปอมาอยู่ที่นี่ปีหนึ่งแล้ว ยังไม่มีใครรู้เลยว่ามันคือหมาป่าขาวนิวฟันแลนด์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วเลยไม่ใช่เหรอ? เจ้าพวกนี้ตัวเล็กขนาดนี้ พวกเราระวังหน่อยก็สามารถซ่อนพวกมันไว้ได้แล้ว”


“ต่อให้ถูกเจอก็ไม่มีอะไรต้องกลัว พวกเรารู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอว่าพวกมันมาอยู่บนเกาะได้อย่างไร? ถ้าพวกอเมริกาอยากจะเอาเรื่อง ก็ให้พวกเขามาหาได้เลย ผมไม่กลัวพวกเขาอยู่แล้ว” ฉินสือโอวเอ่ยเสริม


วินนี่ถูกฉินสือโอวพูดโน้มน้าวอย่างรวดเร็ว เธอไม่มีแรงขัดต่อสิ่งเล็กๆ ที่มีขนปุยพวกนี้มากนัก เรื่องหนึ่งเธอก็กังวลว่าหากมีคนพบจะเป็นอย่างไร แต่เธอก็ได้กอดและเรียกพวกมันทั้งสองตัวด้วยความรักความเอ็นดูแล้วเรียบร้อย


แต่สองพี่น้องเฟอเรทไม่ยอมที่จะอยู่ในอ้อมกอดของวินนี่ พวกมันดิ้นรนออกไปหาฉินสือโอว แต่หลังจากที่ลงถึงพื้น ดวงตากลมโตก็กลอกไปมา จมูกสูดดมฟุดฟิดไม่หยุด แล้วเริ่มเดินไปทั่วห้องครัว


เมื่อกระรอกดินตามสองพี่น้องเฟอเรทมาถึงประตูห้องครัว พวกมันก็จ้องมองมายังสองพี่น้องเฟอเรท กระรอกดินอ้วนยื่นขาที่ถูกทำร้ายออกมาพลางมองไปยังฉินสือโอวอย่างเศร้าสร้อย ขาอ้วนของมันยังคงมีเลือดแห้งแผ่นเล็กๆ ติดอยู่


วินนี่ช่วยกระรอกฆ่าเชื้อที่แผล สองพี่น้องเฟอเรทมองไปยังกระรอกดินตัวน้อยพลางแลบลิ้นเลียปากไปมา แบบนี้ฉินสือโอวจึงเข้าใจได้ทันที ว่าเจ้าสองตัวนี้หิวแล้วแน่นอน

 

 

 


บทที่ 1220 เรือสำรวจ

 

นิสัยการกินอาหารของเฟอเรทค่อนข้างหลากหลาย พวกมันสามารถกินเนื้อสัตว์จำพวกสัตว์ปีกได้ทั้งหมด ฉินสือโอวจึงหั่นเนื้อไก่ให้พวกมันสองสามชิ้น เฟอเรทผู้น้องกินอาหารด้วยท่าทางดีใจเป็นอย่างมาก เฟอเรทผู้พี่ดมเนื้อไก่สองสามที จากนั้นก็เดินถอยหลังไปสองก้าว


เนื้อไก่นี้เป็นของลูกไก่ตัวผู้ เฟอเรทแบลคฟุตเป็นสัตว์ที่มีประสาทสัมผัสต่อกลิ่นค่อนข้างไว พวกมันจึงสามารถแยกแยะได้ เพราะว่าสาเหตุมาจากการต่อสู้กับไก่ เฟอเรทผู้พี่จึงไม่กล้าที่จะกินเนื้อไก่ตัวผู้อีก


ฉินสือโอวไม่เข้าใจสาเหตุของมัน เขาหั่นเนื้อแกะออกมานิดหน่อย แบบนั้นเฟอเรทผู้พี่จึงรีบเข้ามากิน พวกมันเคี้ยวอาหารจนเต็มปาก


วินนี่เตรียมน้ำเย็นไว้ให้พวกมัน หลังจากนั้นที่พวกมันทั้งสองตัวกินเสร็จแล้วก็มาดื่มน้ำ ไม่นานท้องเล็กๆ ของพวกมันก็พองขึ้น หลังจากนั้นพวกมันก็เงยหน้าขึ้นกะพริบตาปริบๆ พวกมันหมุนตัวแล้วนอนลงบนพรม เมื่อหนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อน


ตั้งแต่ออกมาจากเรือขนสินค้า พวกมันก็ไม่ได้พักผ่อนอย่างเพียงพอเลยแม้แต่น้อย สองวันก่อนหน้านี้พวกมันทั้งหิวทั้งเหนื่อยและก็หวาดกลัว ทำให้ไม่สามารถนอนหลับได้


ฉินสือโอวไปหาหมอนขนห่านมา จากนั้นก็ฉีกหมอนออกเพื่อทำเป็นรังให้เฟอเรทแบลคฟุตทั้งสองตัว วินนี่บอกว่าอีกไม่นานอากาศก็จะเปลี่ยนเป็นร้อนแล้ว พวกมันจะนอนหลับในที่ที่ร้อนขนาดนี้ได้อย่างไร? ปรากฏว่าหลังจากที่เห็นหมอนใบนี้ เฟอเรทสองพี่น้องก็พุ่งตัวเข้าไปอย่างดีใจ หลังจากที่หาท่านอนที่สบายได้แล้วพวกมันก็เริ่มเคลิ้มหลับไป


คนบนเรือขนสินค้าไม่ได้สนใจพวกมันสองตัว เฟอเรทน้อยตัวอ้วนกลม ส่ายหางที่มีขนสีดำไปมาเบาๆ ท้องของพวกมันกระเพื่อมไปมาเป็นจังหวะ หลังจากที่หลับไปแล้วพวกมันก็กรนออกมา


พวกกระรอกดินแสดงท่าทางไม่พอใจออกมา เจ้าโง่สองตัวนี้ยังคิดที่จะกินพวกมันอีก ทำไมถึงน่ากลัวขนาดนี้!


สองวันถัดมาหมอกยังคงลงหนักอย่างต่อเนื่อง ที่นครเซนต์จอห์นไม่มีลมมืดครึ้ม แต่ก็ไม่มีแสงจากดวงอาทิตย์ เนื่องจากหมอกที่ยังคงอยู่เป็นเวลานาน ทำให้สนามบินภายในนครเซนต์จอห์น ท่าเรือและถนนหนทางหยุดการคมนาคมชั่วคราวทั้งหมด ทั่วทั้งเมืองเกือบจะเป็นอัมพาต


ในช่วงที่หมอกลงหนามากที่สุด จะไม่สามารถมองเห็นสัญญาณจราจรบนถนนได้เลย ในตอนแรกการคมนาคมของนครเซนต์จอห์นยังคงมีการเตรียมการให้ตำรวจจราจรมาจัดการ ปรากฏว่าผ่านไปครึ่งวันมีนายตำรวจห้านายได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ พวกเขาทำได้เพียงให้พวกตำรวจจราจรกลับไป และปิดทางแยกทั้งหมด


ท่าเรือถูกปิดเช่นกัน แต่ว่าบนทะเลยังคงมีเรือจำนวนไม่น้อยอยู่ที่ฟาร์มปลาต่างๆ


โดนัลด์และชาวประมงคนอื่นๆ พากันโทรหาฉินสือโอวอย่างไม่ขาดสาย พวกเขาถามว่าในฟาร์มปลามีการขโมยปลาหรือไม่ โดนัลด์พูดออกมาด้วยความโมโหว่า “ตอนนี้ที่ฟาร์มปลาของผมมีแต่เรือขโมยปลา น่าฆ่าให้ตายเสียจริง ขอให้พระเจ้าสาปแช่งพวกมัน ทำไมพวกมันไม่ชนกันเองไปเลยล่ะเนี่ย?”


ฉินสือโอวพูดปลอบใจว่า “นี่เป็นเรื่องปกติ เพื่อน ฟาร์มปลาของฉันก็เป็นเหมือนกันไม่ใช่เหรอ? ความสูญเสียของพวกเราตอนนี้ไม่ใช่น้อยๆ แต่ชีวิตก็เป็นแบบนี้ อย่าไปสนใจนักเลย”


เจ้าของฟาร์มปลาต่างพากันโทรมาเพราะความโกรธ แต่นั่นกลับทำให้ฉินสือโอวมีวิธีการจัดการแบบใหม่ เมื่อก่อนเขาไม่กล้าปล่อยให้เรือฟลาวเวอร์ฟอกซ์ปรากฏตัวที่น่านน้ำของฟาร์มปลาต้าฉินมากจนเกินไป นั่นก็เพื่อหลีกเลี่ยงการตกเป็นเป้าสนใจของผู้คน ตอนนี้ที่ทะเลมีหมอกลงจัดขนาดนี้ อีกอย่างฟาร์มปลาของเขาก็มีเรือขโมยปลาเข้ามาจำนวนไม่น้อย ทำถึงไม่ปล่อยให้เรือผีโจมตีเสียล่ะ?


เรือผีจำเป็นที่จะต้องปรากฏตัวที่น่านน้ำอื่นๆ ด้วย เพื่อสร้างผลลัพธ์อันลึกลับและคาดการณ์ไม่ได้


เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาก็ให้บีบีซวงและออสเปรเตรียมตัวออกไป เรือฟลาวเวอร์ฟอกซ์กำลังจะออกเดินทางอีกครั้ง


ดังนั้น เมื่อหมอกค่อยๆ จางลง ตำนานของมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือจึงถูกกล่าวขานขึ้นมาอีกครั้ง ครั้งนี้นอกจากเรือผีแล้ว ยังมีร่องรอยของคราเคนปีศาจยักษ์แห่งมหาสมุทรทางตอนเหนืออีกด้วย


ภายในสองวันครึ่ง เรือประมงแปดลำเข้ามาใกล้น่านน้ำของฟาร์มปลาต้าฉินอย่างต่อเนื่อง ฉินสือโอวทำได้เพียงถอนหายใจ ฟาร์มปลาของเขายังคงมีชื่อเสียงอยู่จึงดึงดูดความสนใจของผู้คนมากมายขนาดนี้


เรือประมงสองลำจากแปดลำเข้ามาใกล้เขตการตกปลาของฟาร์มปลา ฉินสือโอวไม่ได้สนใจพวกเขา เรือประมงที่เหลืออีกหกลำได้แล่นผ่านคราเคนไปแล้วสี่ลำ อีกสองลำที่เหลืออยู่ก็ถูกขับไล่โดยเฮลิคอปเตอร์


เรือสี่ลำที่เจอเข้ากับคราเคน ทำให้ตำนานที่เกี่ยวกับเรื่องนี้แพร่กระจายออกไปได้ ไม่นานข่าวการปรากฏตัวของคราเคนที่มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือก็ได้แพร่กระจายไปยังท่าเรือหลายแห่งทั่วแคนาดาตะวันออก


ข่าวแบบนี้ปรากฏขึ้นครั้งแรกบนแพลตฟอร์มอินเทอร์เน็ต หลังจากนั้นก็ถูกส่งต่อไปยังเว็บไซต์หลายแห่ง และทำให้หนังสือพิมพ์และนิตยสารบางฉบับเริ่มรายงานข่าวนี้อีกครั้ง


สถานีโทรทัศน์เซนต์จอห์นยังมีการนำเสนอรายการพิเศษเพื่อแนะนำคราเคนแห่งมหาสมุทรทางตอนเหนือนี้โดยเฉพาะ ตามตำนานเก่าแก่ คราเคนแห่งมหาสมุทรตอนเหนือเป็นสัตว์ร้ายที่มีขนาดยาวหลายร้อยเมตร ในตอนที่พวกมันโผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำ กะลาสีบางคนเข้าใจผิดว่ามันเป็นเกาะเล็กๆ เกาะหนึ่ง และคิดแม้กระทั่งว่าจะขึ้น ‘เกาะเล็กๆ’ เกาะนี้ พวกเขาตั้งแคมป์บนตัวของมัน ปรากฏว่าเมื่อมันดำลงทะเลไปศพของทุกคนก็ลงสู่ท้องทะเลไปด้วย


ผู้เชี่ยวชาญด้านชีววิทยาทางทะเลที่ถูกรับเชิญมาในรายการพูดขึ้นมาอย่างเย้ยหยันว่า “คราเคนแห่งมหาสมุทรตอนเหนือเป็นเพียงตำนานเท่านั้น มันไม่มีอยู่จริง! เป็นเพียงเรื่องเล่าเท่านั้น! แม้ว่าจะเป็นราชาปลาหมึกก็เป็นไปไม่ได้ ผมไม่ได้บอกว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะมีราชาปลาหมึกตัวใหญ่ขนาดนี้ แต่ถ้ามีแล้วมันจะเป็นอย่างไรล่ะ? พวกเราต่างก็รู้ว่าสัตว์ตัวใหญ่ที่มีร่างกายอ่อนนิ่มจะสามารถอาศัยอยู่ได้ในพื้นที่ที่มีความดันสูงเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่พวกมันจะสามารถขึ้นมาบนผิวน้ำแล้วโจมตีผู้คนได้เลย พวกมันสามารถอยู่บนผิวน้ำโดยที่พวกมันไม่ตายก็ถือว่าสุดยอดมากแล้ว!”


ชาร์คที่ดูรายการโทรทัศน์ด้วยกันส่ายหัวอย่างดูถูก พลางพูดขึ้นว่า “ช่างงี่เง่าจริงๆ ตัวเองไม่เคยเจอก็เลยคิดว่ามันไม่มีอยู่จริงเหรอ? น่าหัวเราะจริงๆ ไม่รู้จริงๆ ว่าตอนนี้ผู้เชี่ยวชาญของประเทศเราแต่ละคนเป็นอะไรกันไปหมด”


ฉินสือโอวมองเขาด้วยความตกใจ แล้วพูดขึ้นว่า “นายเชื่อเรื่องคราเคนแห่งมหาสมุทรตอนเหนือเหรอ?”


ชาร์คยังคงส่ายหัวต่อไป เขาตอบว่า “ไม่ ผมไม่เชื่ออยู่แล้ว มันต้องเป็นเรื่องโกหกแน่ๆ!”


ฉินสือโอวถูกชาร์คทำให้สับสน เขาพูดออกมาอย่างเศร้าสร้อยว่า “งั้นความเห็นของนายกับผู้เชี่ยวชาญก็เหมือนกันน่ะสิ ในเมื่อนายไม่เชื่อ แล้วนายไปตัดสินความคิดเห็นของเขาทำไม?”


ชาร์คตอบกลับว่า “ความเห็นของผมไม่เหมือนกับเขา ผมไม่เชื่อเรื่องคราเคนแห่งมหาสมุทรตอนเหนือ สิ่งที่เขาไม่เชื่อคือเรื่องที่ชาวประมงเจอเข้ากับสัตว์ประหลาดตัวนี้ ถึงแม้ว่าผมจะไม่เชื่อว่ามีคราเคนอยู่ แต่ผมเชื่อว่ามีใครบางคนสร้างสัตว์ประหลาดที่คล้ายกับคราเคนขึ้นมา”


ในใจของฉินสือโอวมีสัญญาณเตือนดังขึ้นมา เขาไม่สามารถทำเหมือนว่าทุกคนบนโลกนี้โง่ได้ แม้แต่ชาร์คยังมีการคาดเดาแบบนี้ เขากลัวว่าคนอื่นๆ ก็จะคิดแบบเดียวกัน ต่อไปเขาต้องไม่ใช่คราเคนปรากฏตัวออกมาสักพัก


บลูก็พยักหน้าพลางพูดว่า “ใช่แล้ว เพื่อน ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน อีกอย่างฉันยังคิดว่า เรื่องคราเคนแห่งมหาสมุทรตอนเหนือในครั้งนี้ น่าจะเป็นการทดสอบอุปกรณ์ของโซเวียต เหมือนกับสัตว์ประหลาดในทะเลก่อนหน้านี้!”


“ยังมีชาวโซเวียตอยู่อีกเหรอ! สหภาพโซเวียตล่มสลายไปตั้งนานแล้ว!” ชาร์คพูดออกมาด้วยความรำคาญ “นายเดาได้ไม่ใกล้เคียงเลย ฉันเดาว่าเป็นมนุษย์ต่างดาว! นายดูสิ หมอกหนาที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ไม่สมเหตุสมผลเลยว่าไหม? ฉันกล้าพนันเลยว่า เป็นมนุษย์ต่างดาวที่สร้างหมอกขึ้นมาเพื่อปิดบังตัวตน”


ฉินสือโอวก้มหัวลงเงียบๆ เขารู้สึกว่าตัวเขาต้องประเมินพวกชาร์คให้สูงกว่านี้ แบบนี้ไม่ได้เป็นการดูถูกวีรบุรุษของโลก แต่เป็นการประเมินพวกขี้ขลาดสูงขึ้น


หลังจากที่อากาศปลอดโปร่ง ทันใดนั้นเรือหลายลำก็ปรากฏขึ้นที่ฟาร์มปลานิวฟันแลนด์ ฟาร์มปลาต้าฉินก็มีเรือประมงปรากฏขึ้นเหมือนกัน ส่วนใหญ่แล้วเป็นพวกเรือท่องเที่ยวลำเล็กๆ ไม่เหมือนเรือขโมยปลาพวกนั้น


ฉินสือโอวและเบิร์ดขับเฮลิคอปเตอร์เข้าไปใกล้ๆ พวกเขาพบว่านักท่องเที่ยวบนเรือเหล่านั้นกำลังถือกล้องถ่ายรูปหรือกล้องบันทึกวิดีโอพวกนั้น ราวกับมาที่นี่เพื่อทัศนศึกษาก็ไม่ปาน


ผู้คนในเมืองยังคงล่องเรือมายังฟาร์มปลาอยู่บ่อยครั้ง ฉินสือโอวถามพวกเขาว่ามาทำอะไรด้วยความสงสัย มีคนหัวเราะหึหึออกมาแล้วตอบว่า “ตอนนี้คุณไม่ได้บอกเหรอว่าที่น่านน้ำของคุณมีทั้งเรือผีและก็สัตว์ประหลาดอยู่? นักท่องเที่ยวสนใจมากเลยนะ พวกเราได้พัฒนาโครงการการท่องเที่ยวใหม่แล้ว การสำรวจทะเลลึก!”


ฉินสือโอวตอบกลับว่า “ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัวจริงๆ!”

 

 

 


บทที่ 1221 กลับมาตกปลา

 

ฉินสือโอวมีท่าทีที่ค่อนข้างสบายใจต่อเรือสำรวจทั้งหมดเหล่านี้ ใจของเขานั้นกว้างขวางราวกับมหาสมุทร


อันที่จริงแล้วการปรากฏตัวของเรือสำรวจสามารถช่วยเขาได้ เพราะว่ามีเรือเล็กๆ เหล่านี้อยู่ในฟาร์มปลา ทำให้พวกเรือขโมยปลาไม่สามารถเข้ามาได้


แน่นอนว่าหลังจากที่ตำนานสัตว์ประหลาดเป็นที่รู้จัก ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาท้าทายอำนาจของมันอีก แม้ว่าเงินจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่ว่าก็ไม่สำคัญเท่าชีวิตน้อยๆ ของพวกเขา


เมื่อสภาพอากาศปลอดโปร่ง บัตเลอร์ก็นั่งเครื่องบินเที่ยวบินพิเศษมา ตอนที่เขาลงจากเครื่องบินฉินสือโอวกำลังปรึกษาหารือเกี่ยวกับเรื่องชื่อของเหอชั่งและหนีกู่กับวินนี่อยู่…เหอชั่งและหนีกู่เป็นชื่อของเฟอเรทแบลคฟุตสุดแสนจะน่ารักทั้งสองตัว


เดิมที่ฉินสือโอวคิดว่าจะให้พวกมันชื่อชุคกับเบตต้า แต่ปรากฏว่าพอเขาเห็นว่าตรงกลางหัวของเฟอเรทผู้พี่ไม่มีขนอยู่จึงทำให้มันหัวโล้น เขาไม่รู้ว่านี่เป็นผลงานมาจากการต่อสู้กับไก่ชน เขายังคิดว่าเป็นเพราะมันไม่ระวังจึงทำขนหลุดไป บวกกับที่มันเป็นเพศผู้ แบบนี้เขาจึงได้ตั้งชื่อให้มันว่าเหอชั่ง[1]


เพื่อให้คล้องจองกัน เฟอเรทผู้น้อยจึงได้ชื่อหนีกู่[2] เมื่อวินนี่ได้ยินชื่อของทั้งสองนี้ตัวเธอก็ตกใจ เธอตกใจมากจนถึงกับลืมคัดค้านไปเลย เฟอเรทผู้น่ารักทำไมถึงได้มีชื่อแบบนี้นะ


สำหรับเรื่องนี้ สองพี่น้องเฟอเรทแสดงท่าทีออกมาเหมือนกัน ให้ตายเถอะ ชื่อนี้ตั้งมาแบบขอไปทีใช่ไหม? เหอชั่งกับหนีกู่นี่มันอะไรกัน? ไม่เหมาะกับลักษณะของพวกเราเลยแม้แต่นิดเดียวเลยไม่ใช่เหรอ?


หลังจากนั้นวินนี่ก็มีปฏิกิริยาตอบสนอง เธอยืนกรานที่จะไม่ให้สองพี่น้องเฟอเรทใช้ชื่อนี้อย่างเด็ดขาด เธอพูดออกมาอย่างไม่พอใจว่า “ชื่อนี้ไม่เพราะเลยนะคะ ที่รัก พวกเราตั้งใจตั้งชื่อให้เด็กทั้งสองตัวนี้หน่อยเถอะ พวกมันเป็นเฟอเรทแบลคฟุตเชียวนะ! ทั้งโลกมีอยู่แค่ห้าร้อยตัวเท่านั้นนะคะ!”


เสี่ยวหมิงมองไปยังวินนี่อย่างไม่พอใจ ชื่อของพวกพี่ชายเพราะนักเหรออย่างไร?


เสี่ยวหลัวปอก็มองไปยังวินนี่ด้วยความไม่พอ หนูก็เป็นหมาป่าขาวอัจฉริยะที่ยังเหลือรอดในปัจจุบันบนโลกนี้เพียงไม่กี่ตัวเองนะ หลัวปออะไรกัน? โลโบชื่อนี้ยังพอได้ แต่พวกคุณเรียกฉันว่าอะไรกันล่ะ?


ฉินสือโอวดันเจ้าตัวเล็กที่ต้องการเข้ามาผสมโรงออกไป เขาพูดกับวินนี่อย่างอ่อนโยนว่า “ที่รัก คุณรู้ไหม ผมรักคุณ ผมรักคุณมากเลยนะ คุณไม่ชอบผมก็ไม่ชอบ แต่ว่าคุณคิดดูดีๆ นะ ชื่อเหอชั่งและหนีกู่ไม่เพราะเหรอ? คุณไม่ชอบเหรอ?”


วินนี่ตอบกลับว่า “ไม่ ที่รัก ฉันไม่ชอบค่ะ”


ฉินสือโอวยิ้มออกมา “คุณลองคิดดูอีกที คุณไม่ชอบจริงๆ เหรอ? ชื่อดีเลี้ยงง่าย คุณดูเสี่ยวหมิงกับหลัวปอสิ ยังมีหู่จือกับเป้าจืออีก พวกมันมีชีวิตที่ดีมากเลยนะ”


เหล่าสัตว์เลี้ยงทั้งหลายต่างพากันถอนหายใจออกมา พูดถึงเรื่องการตั้งชื่อ พวกมันไม่เคยเห็นใครไร้รสนิยมเท่าพ่อฉินของพวกมันมาก่อนเลย!


วินนี่พูดออกมาอย่างไม่พอใจว่า “ชื่อนี้ไม่เพราะเลยจริงๆ นะคะ ชื่อมันแย่เกินไป ฉิน หรือว่าพวกเราจะเรียกพวกมันว่าโรมิโอกับจูเลียตดีคะ ชื่อนี้เพราะกว่าตั้งเยอะ ใช่ไหมคะ?”


ฉินสือโอวจับมือวินนี่พลางมองไปยังดวงตาของวินนี่ด้วยสายตาอ่อนโยน “โรมิโอกับจูเลียตมันน่าเศร้าเกินไป เหอชั่งกับหนีกู่ดีกว่าเยอะ คุณลองคิดอีกทีสิว่าชอบหรือเปล่า?”


ในที่สุดวินนี่ก็หมดความอดทน “จะไม่เปลี่ยนชื่อที่เพราะกว่านี้จริงๆ เหรอคะ?”


“คุณไม่ชอบจริงๆ งั้นเหรอ? คุณคิดดูดีๆ นะ ลองเอาใจเค้ามาใส่ใจเราดูสิ ชอบหรือเปล่า?” ฉินสือโอวยังคงรุกด้วยความอ่อนโยนอย่างต่อเนื่อง


วินนี่พูดขึ้นมาอย่างจำนนว่า “เอาล่ะ ฉันชอบนิดหน่อยแล้ว”


ฉินสือโอวยิ้มออกมา พลางพูดมาอย่างมีความสุขว่า “ดูสิ ผมรู้ว่าคุณชอบ ชื่อที่คุณไม่ชอบผมไม่กล้าตั้งหรอก พอคุณชอบแบบนั้นก็ดีเลย งั้นต่อไปพวกมันชื่อเหอชั่งกับหนีกู่ก็แล้วกัน”


เฟอเรทแบลคฟุตทั้งสองตัวมองไปยังวินนี่ด้วยสายตาอ้อนวอน วินนี่มองไปยังพวกมันด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าทำอะไรไม่ถูก “ครอบครัวของเราเป็นประชาธิปไตย ชื่อนี้ก็ถูกตั้งขึ้นตามนี้ล่ะ”


ตอนนั้นบัตเลอร์ก็เดินเข้ามาพอดี เขาถามออกมาอย่างร่าเริงว่า “พวกคุณกำลังตั้งชื่อให้อะไรกันอยู่เหรอ?”


เรื่องที่เฟอเรทแบลคฟุตอยู่ที่ฟาร์มปลาตอนนี้ยังเป็นความลับ หลังจากที่ฉินสือโอวได้ยินเสียงของบัตเลอร์ เขาก็รีบดันพวกมันทั้งสองตัวเข้าไปซ่อนไว้ใต้หมอนทันที สองพี่น้องเฟอเรทชะโงกหน้าออกมาข้างนอก แบบนี้ก็ขาดอากาศหายใจตายพอดี โอเคไหม?


ยังดีที่วินนี่ใส่ชุดออกกำลังกายอยู่ ที่เสื้อมีกระเป๋าสองข้างที่หน้าอก เธอหยิบสองพี่น้องเฟอเรททั้งสองใส่เข้าไปในกระเป๋า พวกมันทั้งสองตัวโผล่หัวออกมาเล็กน้อย กระเป๋าสองใบนั้นมีขนาดที่เขากับพวกมันพอดี


ฉินสือโอวแสร้งทำเป็นพูดออกมาเรื่อยเปื่อย “อ้อ ไม่มีอะไร ฉันกับวินนี่คิดว่าจะมีลูกอีกสักคนเลยคิดอยากตั้งชื่อขึ้นมา ว่าแต่ นายมาได้อย่างไร? ลมอะไรพัดนายมาที่นี่เหรอ?”


ขอเพียงไม่พูดถึงเรื่องธุรกิจ ความคิดของบัตเลอร์ก็ค่อนข้างเรียบง่าย เขารีบพูดเปิดประเด็นกับท่านชายฉินทันที “บ้าเอ๊ย! อย่าพูดถึงเลยเพื่อน ห้างของเราอาหารหมดแล้ว ต้องรีบออกทะเลแล้ว ปลาและกุ้งทั้งหมดขาดแคลน สองสามมานี้ท่าเรือและสนามบินถูกปิดเนื่องจากหมอกลงจัด อาหารทะเลหมดเกลี้ยงแล้ว”


เรื่องง่ายๆ แบบนี้ แค่พวกชาวประมงออกทะเลไปก็จบเรื่อง


บัตเลอร์บอกว่าต้องจัดหาอาหารให้กับห้างทั้งหมดสี่แห่ง ทั้งที่อยู่ในไมอามีและนิวยอร์กด้วย นอกจากนี้เขายังเปิดตลาดอาหารทะเลที่ผูกขาดกับฟาร์มปลาต้าฉินอีกสองแห่งที่ชาร์ลอตต์และวอชิงตันอีกด้วย เพราะการที่ชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกของสหรัฐอเมริกาเชื่อมต่อกันเป็นทางยาว เขาเกือบที่จะขยายอาณาจักรได้ทั่วทั้งแนวชายฝั่งแล้ว


“ต่อไปพวกเราก็จะครองตลาดนิวออร์ลีนส์ ที่นั่นอยู่ใกล้กับอ่าวเม็กซิโก มันอาจจะไม่ใช่เรื่องดีนัก แต่ว่าพวกเรายังคงจะแข็งแกร่งกันอยู่แบบนี้ใช่ไหม? หลังจากชนะที่นิวออร์ลีนส์ พวกเราก็จะไปทางตะวันตก และเปิดตลาดในฮูสตัน!”


“จากฮูสตันจะไปยังซานอันโตนิโอ แบบนี้พื้นที่ครึ่งหนึ่งของอเมริกาก็จะถูกพวกเราล้อมรอบไว้แล้ว ใช้เวลาไม่กี่ปี พวกเราก็จะสามารถครองตลาดอาหารทะเลระดับไฮเอนด์ในอเมริกาได้อย่างสมบูรณ์! เป็นอย่างไร ภูมิใจไหม?”


ฉินสือโอวมองไปที่แผนที่ เมื่อได้ยินแผนของบัตเลอร์ เขาก็รู้สึกพลุ่งพล่านขึ้นมา พวกเขากำลังสร้างอาณาจักร แม้ว่าจะอยู่ในช่วงขยายอาณาเขต แต่ว่าตอนนี้เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว


แบบนี้ ฉินสือโอวก็มีแรงจูงใจที่จะออกทะเลไปตกปลาทันที เขาเป็นคนนำทีมด้วยตัวเอง เขาพาชาวประมงทุกคน ออกทะเลและทำงาน!


เรือปริ้นเซสเมล่อนและเรือฮาวิซทถูกส่งออกไปพร้อมกัน เรือฮาวิซทจับพวกปลาและกุ้งในน้ำลึก เช่นปลาหัวเมือก ปลาแฟงค์ทูธ ล็อบสเตอร์พวกนั้น ส่วนเรือปริ้นเซสเมล่อนใช้สำหรับตกปลาขนาดใหญ่ที่อยู่รอบๆ


เรือยักษ์ขนาดพันตันนั้นดุดัน เรือปริ้นเซสเมล่อนพุ่งไปยังจุดน้ำลึกอย่างรวดเร็ว พวกเขาโยนอวนลงไปตรงตำแหน่งที่ฝูงปลาฝูงใหญ่อยู่


เมื่อเก็บปลาทะเลตัวแบนเสร็จ ก็มีข่าวมาจากชาร์คที่อยู่บนเรือฮาวิซท “บอส ที่นี่เจอเข้ากับอวนติดตา คุณมาดูหน่อยเถอะ”


อวนติดตากับอวนลากและอวนล้อมนั้นเหมือนกัน พวกมันเป็นอวนชนิดหนึ่งที่ใช้ในการตกปลา


แต่ว่าของเล่นชิ้นนี้สร้างความเสียหายให้อย่างมหาศาล อวนขนาดใหญ่มักประกอบไปด้วยตาข่ายขนาดใหญ่ กลางและเล็กสามชั้นรวมกัน ไม่ว่าจะเป็นปลาตัวใหญ่หรือปลาตัวเล็กก็ไม่สามารถหนีหลุดออกไปได้ การใช้มันในทะเลอาจทำให้เกิดหายนะทางระบบนิเวศได้ เพราะเหตุนี้ ในหลายประเทศจึงห้ามใช้อวนติดตาในการจับปลา


ฉินสือโอวขึ้นขับเรือยนต์ที่อยู่บนเรือปริ้นเซสเมล่อนออกไปอย่างรวดเร็ว หลังจากที่เข้าใกล้เรือฮาวิซทแล้ว เขาก็เห็นชาร์คโบกมือให้เขาอยู่ที่ดาดฟ้าเรือ


น่านน้ำมหาสมุทรที่อยู่หน้าเรือฮาวิซท มีตาข่ายสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่ทอจากสายใยพลาสติกหลายชั้นลอยอยู่ มีตาข่ายหลายอันอยู่รวมกัน ที่ด้านบนมีทุ่นลอยน้ำพลาสติกติดอยู่ ส่วนด้านล่างมีตะกั่วจมอยู่ ตาข่ายเหล่านี้ถูกกางออกมาในแนวตั้ง ราวกับต้องการล้อมปิดทางศัตรูไว้อย่างแน่นหนา


ฉินสือโอวนึกถึงเรือประมงร้อยตันขนาดเล็กที่เข้ามาในน่านน้ำฟาร์มปลาอย่างอุกอาจ คาดว่าอวนพวกนี้จะมาจากเรือลำนั้น เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ก็ทำให้เขากัดฟันแน่นอยู่เงียบๆ หากรู้แต่แรกเขาคงให้คราเคนล่มเรือลำนั้นไปแล้ว ให้เรือขโมยปลาพวกนั้นรับรู้ที่ความไม่พอใจของเขา!


………………………………………………………..


[1] เหอชั่ง แปลว่าพระในภาษาไทย


[2] หนีกู่ แปลว่าแม่ชีในภาษาไทย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)