ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 121-134
ตอนที่ 121 พลังลมปราณเปิดโล่ง
ตัวอู่เหมยเองก็มีสีหน้าแบบเดียวกัน ทั้งสองชาติสิ่งที่ได้ยินมากที่สุดในโรงเรียน หากไม่ใช่คำวิพากษ์วิจารณ์ก็เป็นคำเยาะเย้ยถากถาง นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เธอได้ยินคำชมเชยจากปากของอาจารย์!
ทำไมถึงได้รู้สึกว่าหัวใจนั้นหวานฉ่ำแถมยังเบาหวิว เหมือนกับว่าจะบินออกจากลำคออย่างไรอย่างนั้น
อาจารย์อู๋ยิ้มให้อู่เหมยเป็นเชิงชมเชย ซึ่งยิ่งทำให้เธอตื่นตะลึงมากขึ้น สวรรค์! ดูสวยหยาดเยิ้มยิ่งกว่าหยางกุ้ยเฟยเสียอีก!
อาจารย์อู๋ที่หน้าตาธรรมดายิ้มแล้วดูสวยเหลือเกินจริงๆ อยากให้เธอยิ้มบ่อยๆ จังเลย!
อาจารย์อู๋ค่อยๆ อ่านเรียงความของอู่เหมยให้ฟัง เสียงเธอแหบแห้งเล็กน้อย นี่เป็นอาการที่เกิดจากการทำงานอาชีพครู มีคุณครูเพียงไม่กี่คนที่มีเสียงดังกังวานเป็นพิเศษ แต่อู่เหมยกลับรู้สึกว่าเสียงของอาจารย์อู๋ไพเราะน่าฟังกว่าผู้ประกาศข่าวเสียอีก นอกจากนี้เมื่ออาจารย์อู๋อ่านเรียงความของเธอ ช่างฟังดูเหมือนงานเขียนร้อยแก้วของนักเขียนชื่อดัง ดีเลิศยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก
เรียงความหนึ่งบทไม่ยาวสักเท่าไร ไม่นานนักอาจารย์อู๋ก็อ่านจบ เธอวางสมุดเรียงความลงและพูดว่า “เรียงความบทนี้ไม่ได้ใช้คำสวยหรูอะไรเป็นพิเศษ แต่เขียนด้วยความรู้สึกที่แท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่บรรยายการต่อสู้ระหว่างกระรอกกับงูใหญ่ ทำให้รู้สึกเหมือนได้เผชิญเหตุการณ์ด้วยตัวเอง พวกเธอเองก็รู้สึกแบบเดียวกันใช่หรือเปล่า?”
“ใช่ค่ะ/ครับ” บรรดานักเรียนตอบเสียงดัง
อาจารย์อู๋พูดต่ออีกว่า “เพราะฉะนั้นการเขียนเรียงความไม่จำเป็นต้องใช้คำที่สวยหรูมากนัก สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการแสดงความรู้สึกที่แท้จริง ซึ่งเรียงความบทนี้ของอู่เหมยอธิบายตรงจุดนี้ได้ดีมาก เทอมนี้การเรียนของอู่เหมยพัฒนาขึ้นอย่างชัดเจน ครูอยากจะขอเอ่ยชมเชยอู่เหมยเป็นพิเศษ หวังว่าเธอจะมุ่งมั่นพยายามต่อไป และอย่าหยิ่งผยอง”
อู่เหมยตื่นเต้นจนหน้าแดงก่ำ แล้วพยักหน้าอย่างแรง คำพูดนี้ของอาจารย์อู๋สร้างความมั่นใจให้แก่เธออย่างยิ่ง บางทีชาตินี้เธออาจจะสลัดฉายาคนเรียนห่วยทิ้งไปได้ก็ได้!
“ต่อไปครูจะอ่านเรียงความของอู่เชาให้ทุกคนฟัง อู่เชาเขียนบันทึกการท่องเที่ยวที่เฟิ่งหวงซานเช่นกัน แต่เฟิ่งหวงซานที่เขาเขียนนั้นแตกต่างจากเรียงความของอู่เหมยโดยสิ้นเชิง แต่ก็เขียนได้เยี่ยมมากทั้งคู่…”
คาบนี้อู่เหมยเรียนอย่างผ่อนคลายเป็นพิเศษ ผ่อนคลายแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จิตใจก็อิ่มเอมเป็นอย่างมาก แต่ด้วยความที่อาจารย์อู๋คอยส่งสายตาที่เปี่ยมด้วยความรักและเอาใจใส่ให้เธออยู่บ่อยๆ เธอก็เลยไม่กล้าที่จะใจลอย เธอรู้สึกว่าถ้าเกิดเธอใจลอยเดี๋ยวจะผิดต่ออาจารย์อู๋เกินไป!
หลังจากหมดคาบ อู่เชาก็กระทุ้งอู่เหมย แล้วพูดเสียงเบาว่า “เหมยเหมยพลังลมปราณเธอเปิดโล่งไหลเวียนสะดวกแล้วเหรอ?”
อู่เหมยมองค้อนเขาตาเหลือก เธอทำเสียงฮึดฮัดเบาๆ และพูดว่า “พอเขียนเสร็จพ่อฉันก็ช่วยดูให้ เขาเองก็บอกว่าฉันเขียนใช้ได้ทีเดียว”
แต่อู่เชากลับคิดว่าอู่เจิ้งซือช่วยขัดเกลาสำนวนให้ แล้วเขาก็เข้าใจทันที มิน่าล่ะการเขียนของเธอถึงได้พัฒนาดีขึ้นอย่างรวดเร็วแบบนี้
คนที่คิดแบบเดียวกันยังมีเจินหวานหว่านอีกคน เธอรู้สึกอึดอัดใจมาก เธอเองก็เขียนเกี่ยวกับเฟิ่งหวงซานเหมือนกัน แต่เนื่องจากไม่มีคุณพ่อที่เป็นอาจารย์วิชาภาษาจีน เรียงความเธอถึงได้ไม่เข้าตาอาจารย์อู๋ ไม่สามารถเป็นเรียงความตัวอย่างที่จะอ่านให้ทุกคนฟังได้
คนโง่อย่างอู่เหมยจะเขียนเรียงความดีๆ ได้อย่างไรกัน
คุณพ่อเธอจะต้องช่วยขัดเกลาสำนวนให้แน่นอน ถ้าพ่ออู่เหมยเป็นพ่อเธอจะดีขนาดไหนนะ!
คาบแรกในช่วงบ่ายคือวิชาคณิตศาสตร์ อาจารย์วิชาคณิตศาสตร์ยกกระดาษข้อสอบเปล่าที่หอมกลิ่นหมึกพิมพ์เข้ามาหนึ่งตั้ง บรรดานักเรียนต่างก็ส่งเสียงร้องโอดครวญ อาจารย์วิชาคณิตศาสตร์พูดอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องว่า “วันนี้เราจะมาสอบกัน ครูจงใจไม่บอกให้พวกเธอรู้ แบบนี้ครูจะได้รู้ผลสอบที่แท้จริงของพวกเธอทุกคน”
อู่เหมยปวดหัวขึ้นมาทันที ในบรรดาวิชาหลักสี่ห้าวิชา วิชาที่เธอกลัวที่สุดก็คือคณิตศาสตร์ ไม่รู้เหมือนกันว่าคราวนี้จะสอบได้กี่คะแนน
เธอเริ่มทำโจทย์ด้วยความกระสับกระส่าย ทำข้อที่ทำได้ก่อน ส่วนข้อยากๆ เก็บไว้ทำทีหลัง เพียงแต่ว่า…
ดูเหมือนเธอจะรู้สึกว่ามันยากหมดเลย นอกจากพวกเติมคำในช่องว่างแบบที่ต้องท่องจำแล้ว ที่เหลือล้วนเป็นโจทย์คำนวณทั้งสิ้น อู่เหมยทำโจทย์ที่ทำได้เสร็จแล้ว ซึ่งก็ทำได้น้อยเสียเหลือเกิน จากนั้นเธอกัดปากกาพลางจ้องมองกระดาษข้อสอบ เธอไม่รู้ว่าจะเริ่มลงมือทำตั้งแต่ตรงไหนดี
……………………………………………
ตอนที่ 122 เธอเป็นอัจฉริยะ
อู่เหมยนึกถึงวิธีทำโจทย์ที่เหมยซูหานบอก แล้วเธอก็ถือโอกาสเริ่มนำมาประยุกต์ใช้ เธออ่านโจทย์พลางวาดรูป ซึ่งมันมีส่วนช่วยจริงๆ อู่เหมยทำโจทย์ติดต่อกันหลายข้อ ส่วนคำตอบจะถูกหรือไม่นั้นเธอไม่แน่ใจ แต่เธอมีความมั่นใจขึ้นไม่น้อยทีเดียว หัวสมองก็ดูจะแล่นฉิว ความคิดไหลลื่นอย่างมาก
อู่เหมยทำข้อสอบเสร็จอย่างกระท่อนกระแท่น เธอรู้สึกว้าวุ่นใจ หวังแค่ว่าคราวนี้จะได้คะแนนเยอะขึ้นกว่าเดิมสักเล็กน้อย ถ้าได้หกสิบคะแนนก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่
“เหมยเหมยเธอทำครบทุกข้อหรือเปล่า ฉันไม่ได้ทำสองข้อสุดท้าย มีเวลาไม่พอ” เจินหวานหว่านทำหน้านิ่วพลางถาม
อู่เหมยส่ายหัว “ฉันก็ทำไม่ครบ ทำไม่ได้ตั้งหลายข้อ”
ในใจเจินหวานหว่านเกิดมีกำลังใจขึ้นมาทันที แม้ผลการเรียนของเธอสู้คนที่เรียนเก่งไม่ได้ แต่พอจะสู้กับคนที่เรียนแย่ได้สบายๆ ทุกครั้งที่สอบได้ไม่ดี อู่เหมยสามารถทำให้เธอรู้สึกได้ว่าตัวเองนั้นเหนือกว่า ส่งผลให้เธออารมณ์ดีขึ้นมากทีเดียว
เรียนอีกสองคาบก็เลิกเรียนแล้ว อู่เหมยเองก็ขี้เกียจที่จะคิดถึงผลสอบแล้ว อย่างไรเสียถ้าสอบได้หกสิบคะแนนก็นับว่าโชคดีมาก แต่ถ้าไม่ได้ก็เป็นเรื่องปกติ อย่างมากก็แค่โดนตี ไม่คงไม่คิดมันแล้ว
เธอสะพายกระเป๋าเป้แล้ววิ่งออกไป สยงมู่มู่นัดเธอไว้แล้วว่าวันนี้จะไปจ่ายค่าเรียนที่หอวัฒนธรรมเยาวชน เธอจะไปสายไม่ได้
“เหมยเหมยจะไปไหน รอก่อน เดี๋ยวเราไปด้วยกัน” อู่เชาตะโกนอยู่ข้างหลัง
“ฉันมีธุระ ไปก่อนนะ!”
อู่เหมยไม่อยากไปด้วยกันกับเขา เรื่องไปเรียนวาดรูปที่หอวัฒนธรรมเป็นความลับของเธอ เธอไม่อยากคุยกับคนในตระกูลอู่เลยสักคนเดียว ทั้งนี้จะได้ไม่เปิดเผยความลับให้อู่เจิ้งซือรู้
ฝ่ายมัธยมต้นเลิกเรียนช้ากว่าฝ่ายประถมห้านาที อู่เหมยวิ่งไปรอสยงมู่มู่ที่โรงจอดรถ เธอไม่มีทางเจอเข้ากับอู่เยวี่ยที่นี่ สยงมู่มู่มาเร็วมาก ไม่ทันไรเขาก็มาถึง คราวนี้อู่เหมยเป็นคนขี่จักรยานเหมือนเคย ทั้งสองคนขี่ไปที่หอวัฒนธรรมโดยไม่สังเกตเห็นเลยว่าเด็กชายตุ้ยนุ้ยคนหนึ่งแอบตามพวกเขามาอย่างเงียบๆ
“ฉันพาเธอไปสมัครกับอาจารย์เฮ่อเลยแล้วกันนะ”
ไม่นานนักก็มาถึงหอวัฒนธรรม สยงมู่มู่เดินนำอยู่ข้างหน้า ส่วนอู่เหมยเดินตามเขาเข้าไปข้างใน เธอมองดูสภาพแวดล้อมภายในหอวัฒนธรรมด้วยความตื่นตาตื่นใจ
อู่เชาวิ่งกระหืดกระหอบมาที่ทางเข้าหอวัฒนธรรม แล้วเขาก็เห็นจักรยานคันนั้นของสยงมู่มู่ เขางุนงงมาก อู่เหมยไปสนิทสนมกับสยงมู่มู่ตั้งแต่เมื่อไรกัน
พวกเขามาทำอะไรที่หอวัฒนธรรมนะ
อาจารย์เฮ่อเป็นหญิงสาวอายุยี่สิบกว่าปี เธอกำลังก้มหน้าอ่านหนังสืออยู่ จึงมองไม่เห็นหน้าตาของเธอ แต่บุคลิกและภาพลักษณ์ดูดีเป็นพิเศษ ชุดเดรสสีขาวช่วยขับดุนให้เธอดูสูงสะโอดสะอง เห็นแล้วก็ลืมผู้หญิงธรรมดาๆ คนอื่นไปเลย
“อาจารย์เฮ่อครับ นี่เพื่อนผมอู่เหมย เธออยากเรียนวาดรูปกับอาจารย์ครับ” สยงมู่มู่พูดจาสุภาพเรียบร้อย
อาจารย์เฮ่อเงยหน้าขึ้นมา เธอไม่ได้หน้าตาสะสวยเป็นพิเศษ แต่รูปร่างบุคลิกลักษณะดีมาก อีกทั้งแต่งตัวเก่ง คะแนนด้านหน้าตาจากเจ็ดคะแนนก็เปลี่ยนเป็นสิบคะแนนได้ นี่แหละคืออาจารย์เฮ่อ สรุปคือสวยมาก
อู่เหมยขมวดคิ้วเล็กน้อย เธอรู้สึกว่าอาจารย์เฮ่อคนนี้ดูคุ้นหน้าคุ้นตามาก จะต้องเคยเจอที่ไหนมาก่อนแน่นอน
“เธอชื่ออู่เหมยเหรอจ๊ะ เคยเรียนวาดรูปมาก่อนหรือเปล่า” เสียงของอาจารย์เฮ่อก็ไพเราะเหลือเกิน ฟังดูนุ่มนวล ดุจดังอาบสายลมในฤดูใบไม้ผลิก็ไม่ปาน
อู่เหมยส่ายหัว “ไม่เคยเรียนเป็นจริงเป็นจังค่ะ แค่วาดมั่วๆ ตามหนังสือนิดหน่อยค่ะ”
“ช่วยวาดให้ครูดูสักแผ่นได้มั้ย วาดรูปอะไรก็ได้” อาจารย์เฮ่อยื่นดินสอ 2B หนึ่งแท่งกับกระดาษหนึ่งแผ่นให้
อู่เหมยรับดินสอกับกระดาษมา เธอครุ่นคิดแล้วก็ลงมือวาดบนกระดาษ เธอวาดเร็วมาก เพียงไม่นานกระรอกน้อยที่น่ารักตัวหนึ่งก็โลดแล่นบนหน้ากระดาษ อาจารย์เฮ่อมองอู่เหมยด้วยความประหลาดใจ
“ไม่เคยเรียนมาก่อนจริงๆ เหรอจ๊ะ”
“ไม่เคยค่ะ”
อู่เหมยปฏิเสธเสียงหนักแน่น ชาติก่อนเธอเรียนอยู่พักหนึ่งจริงๆ แต่ชาตินี้เธอไม่ได้เรียน เธอก็เลยได้แต่ยืนกรานว่าไม่เคยเรียน
อาจารย์เฮ่อประหลาดใจสุดขีด แล้วเธอก็สวมกอดพลางจุ๊บอู่เหมยหลายที ทำเอาอู่เหมยตกอกตกใจยกใหญ่ อาจารย์เฮ่อร้องเสียงดังด้วยความดีใจ “ต่อไปเธอมาเรียนวาดรูปกับครูนะ เธอเป็นอัจฉริยะ พรสวรรค์ดีๆ แบบนี้จะต้องนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์นะ!”
อู่เหมยกะพริบตาปริบๆ เธอร้อนรนสุดขีด ใบหน้าก็ร้อนผ่าวไปหมด
…………………………………………………
ตอนที่ 123 มีพรสวรรค์สูง
อาจารย์เฮ่อชอบอู่เหมยมาก เธอบอกให้อู่เหมยมาเรียนวาดรูปที่หอวัฒนธรรมในสัปดาห์หน้า แถมยังบอกว่าสามารถเรียนแบบตัวต่อตัวได้ อาจารย์เฮ่อมองว่าเธอเป็นนักเรียนเบอร์หนึ่ง สองชาติรวมกันอู่เหมยไม่เคยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้มาก่อนเลย นอกจากจะน่าประหลาดใจแล้ว เธอยังรู้สึกกังวลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หลังจากจ่ายค่าเรียนแล้ว อู่เหมยกับสยงมู่มู่ก็บอกลาอาจารย์เฮ่อ สยงมู่มู่เห็นเธอเดินออกมาแล้วมีท่าทางใจลอย เขาก็อดถามไม่ได้ว่า “ทำไมเธอไม่เห็นจะดีใจเลย ไม่ใช่ว่าเธอจะกลับคำอีกนะ”
“ไม่ใช่อยู่แล้ว ฉันไม่รู้ว่าดีใจแค่ไหน ฉันแค่กังวล…” อู่เหมยรีบปฏิเสธ
“เธอกังวลเรื่องอะไร ไม่ต้องห่วง ที่ยืมเงินฉันไปไม่ต้องรีบคืน แค่สองหยวนเอง” สยงมู่มู่พูดแบบไม่ยี่หระ
อู่เหมยมองค้อนเขาตาเหลือก “เงินนั่นอาทิตย์หน้าฉันก็คืนให้ได้แล้ว ฉันกังวลว่าตัวเองจะเรียนได้ไม่ดี แล้วทำให้อาจารย์เฮ่อผิดหวัง ฉันไม่มั่นใจเลย”
สยงมู่มู่หัวเราะและพูดเสียงดังว่า “เธอหาเรื่องปวดหัวให้ตัวเองเปล่าๆ น่า เรียนวาดรูปเป็นความสนุกอย่างหนึ่ง อย่าถือเป็นเรื่องจริงจังนักเลย เรียนได้ดีถือว่ามีพรสวรรค์สูง เรียนได้ไม่ดีก็ถือเสียว่าเรียนสนุกๆ เธอจะต้องสนใจทำไมมากมาย”
อู่เหมยมองดูสีหน้าไม่เห็นด้วยของสยงมู่มู่ แล้วความโมโหก็เอ่อท้นขึ้นมาอย่างน่าประหลาด เธอตะโกนด้วยความโมโห “ฉันต้องสนใจอยู่แล้วล่ะ นักเรียนหัวกะทิอย่างพวกนายไม่มีวันเข้าใจความเจ็บปวดรวดร้าวของคนเรียนแย่อย่างพวกเราหรอก สำหรับนายแล้ว นายสามารถทำโจทย์ได้อย่างสบายบรื๋อ แต่ฉันคิดหัวแทบแตกก็ยังทำไม่ได้เลย ใครๆ ต่างก็พูดว่าความสำเร็จคือหยาดเหงื่อเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์บวกกับพรสวรรค์อีกหนึ่งเปอร์เซ็นต์ แต่ไม่มีใครรู้ทั้งนั้นว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่หยาดเหงื่อ แต่เป็นพรสวรรค์บ้าบอนั่นต่างหาก!
สวรรค์เมตตานาย ประทานสมองที่เฉลียวฉลาดจนเข้าขั้นเพี้ยนให้กับนาย ถึงแม้จะทำเล่นสนุกๆ แต่ก็ประสบความสำเร็จได้ สำหรับฉันนั้นไม่เหมือนกัน ฉันเป็นพวกหัวขี้เลื่อย เรียนอะไรก็เรียนได้ไม่ดี ต่อให้ทุ่มเทหยาดเหงื่อแรงกายเป็นสองเท่า ฉันก็เรียนได้แย่เหมือนเดิม นายไม่เข้าใจความเจ็บปวดของฉันหรอก ไม่ว่ายังไงฉันจะล้มเหลวไม่ได้อีก!”
เมื่อนึกถึงความเมินเฉยของบรรดาอาจารย์และเพื่อนๆ ความผิดหวังของอู่เจิ้งซือ คำด่าทอสาดเสียเทเสียของเหอปี้อวิ๋นในสมัยก่อน น้ำตาเธอก็ไหลออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ อู่เหมยนั่งยองลงและเอาหน้าซุกกับขา เธอกลัวว่าสยงมู่มู่จะเห็น น่าขายหน้าเหลือเกิน
ตอนแรกสยงมู่มู่ยังมีท่าทีดูถูกเหยียดหยามอยู่บ้าง แต่พอฟังไปเรื่อยๆ เขาก็ดูจริงจังขึ้นมา อู่เหมยพูดถูก สวรรค์เมตตาต่อเขาจริงๆ เขาไม่เคยต้องกลัดกลุ้มเรื่องเรียนเลย และแม้กระทั่งคิดว่าคนหัวขี้เลื่อยพวกนั้นก็คือผลิตผลที่ล้มเหลวของพระผู้เป็นเจ้า พวกเขาจะต้องถูกสังคมคัดออกอย่างแน่นอน
แต่ตอนนี้พอได้ยินอู่เหมยพูด ความคิดเขาก็เปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว บางทีพวกหัวขี้เลื่อยเองก็คงไม่อยากจะเป็นคนหัวขี้เลื่อยหรอกมั้ง
“นี่ หยุดร้องไห้ได้แล้ว ไม่อย่างคนอื่นอาจคิดว่าฉันรังแกเด็กผู้หญิง!” สยงมู่มู่รู้สึกจนปัญญา
“ใครร้องไห้ ฉันฝุ่นเข้าตาต่างหาก”
อู่เหมยใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตา เธอตาแดงเรื่อแล้วลุกขึ้นยืน แต่เธอหันหลังให้กับสยงมู่มู่เพราะรู้สึกอายมาก
สยงมู่มู่กลั้นหัวเราะไม่ได้ “ใช่แล้ว ฝุ่นเข้าตา เธอหันมานี่มา แบบนี้เสียมารยาทมากรู้หรือเปล่า”
อู่เหมยหมุนตัวมาอย่างงุ่มง่าม เธอยังคงก้มหน้าก้มตาไม่ยอมมองสยงมู่มู่ สยงมู่มู่รู้สึกขำพลางลูบหัวเธอเบาๆ “ตอนนี้รู้สึกเขินอายแล้วเหรอ เอาล่ะ เธอไม่ต้องกังวลหรอก สวรรค์ท่านดีกับเธอพอสมควรทีเดียว ประทานสิ่งต่างๆ ให้ไม่น้อย”
“ท่านให้อะไรฉัน ทำไมฉันไม่เห็นเลย!” อู่เหมยไม่คิดเช่นนั้น ถ้าสวรรค์ดีจริง ทำไมถึงไม่เปลี่ยนสมองของอู่เยวี่ยมาให้เธอล่ะ
สยงมู่มู่หัวเราะ “เธอหน้าตาสวยใช้ได้ ถึงแม้จะแย่กว่าฉันนิดหน่อยก็ตาม อีกอย่างพรสวรรค์ด้านวาดรูปของเธอก็ไม่เลวทีเดียว ไม่อย่างนั้นอาจารย์เฮ่อก็คงไม่ชื่นชอบเธอขนาดนั้นหรอก อาจารย์เฮ่อมาตรฐานสูงจะตาย มีสองอย่างนี้แล้วเธอยังจะต้องกังวลอะไรอีก”
…………………………………………………
ตอนที่ 124 ข้าเป็นที่หนึ่งในโลก
อู่เหมยโอดครวญ “สองอย่างนี้จะทำอะไรได้ กินแทนข้าวไม่ได้สักหน่อย”
อู่เหมยได้รับการอบรมสั่งสอนแบบดั้งเดิมจากอู่เจิ้งซือกับเหอปี้อวิ๋นมาตั้งแต่เด็ก การเรียนหนังสือเป็นหนทางที่ถูกต้อง ส่วนร้องเพลงวาดรูปเต้นรำพวกนี้ล้วนแล้วแต่นอกลู่นอกทาง อู่เหมยไม่ได้ชื่นชอบการวาดรูปอะไรมากมายขนาดนั้น หากไม่ใช่เพราะเธอไม่มีความมั่นใจในเรื่องเรียนหนังสือจริงๆ ละก็ เธอเองก็คงไม่มาเรียนวาดรูปหรอก
แต่สยงมู่มู่กลับไม่คิดเช่นนั้น “ทำไมเธอถึงคิดแบบนี้ล่ะ เธอหน้าตาสะสวย แถมยังวาดรูปเก่ง ต่อไปจะต้องเป็นสาวสวยที่เปี่ยมด้วยความสามารถ เธอลองดูบรรดาคนดังผู้หญิงที่มีชื่อเสียงโด่งดังไม่เสื่อมคลายเหล่านั้นสิ ดูจากความสามารถแล้วอาจจะไม่ได้ดีที่สุดในสมัยนั้น แต่เพราะอะไรพวกเธอถึงมีชื่อเสียงเลื่องลือยาวนานได้ล่ะ”
อู่เหมยส่ายหัวด้วยความงุนงง เธอจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นเพราะอะไร
เธอสอบตกวิชาประวัติศาสตร์ตลอดเลย!
“เพราะพวกเธอเป็นสาวสวยไงล่ะ เธอลองดูคนดังผู้หญิงพวกนั้นสิ มีกี่คนกันที่หน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ ทุกคนล้วนแล้วแต่หน้าตาสะสวยกันทั้งนั้น เรื่องนี้ฉันได้ทำการศึกษาค้นคว้ามาแล้ว ไม่ต้องสนใจที่คนโบราณชอบพูดว่าสตรีไร้ความสามารถหาดีไม่ได้อะไรพวกนั้น ถุย โกหกทั้งเพ ถ้าคนโบราณคิดแบบนี้กันหมดจริงๆ ไม่ว่าผู้ชายเลือกสนมหรือว่าคนทั่วไปเลือกเมียน้อย ทำไมถึงเลือกแต่คนสวยๆ ล่ะ เธอว่าจะมีสักกี่คนกันที่เลือกผู้หญิงที่เก่งแต่หน้าตาไม่สวย” สยงมู่มู่หน้าบานเป็นกระด้ง ดูท่าทางตื่นเต้นมาก
“แต่คุณปู่ฉันไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องหน้าตา คุณย่าฉันไม่สวยเลยสักนิดเดียว” อู่เหมยเถียง อู่ชิงหางนับได้ว่าเป็นบัณฑิตที่รูปร่างสะโอดสะอง แต่คุณย่าอู่กลับรูปร่างเล็กเตี้ยและหน้าตาธรรมดา ไม่เหมาะสมคู่ควรกันเลยแม้แต่นิดเดียว
สยงมู่มู่ไม่สบอารมณ์ “คุณปู่เธอเป็นข้อยกเว้น ผู้ชายเก้าในสิบคนชอบคนสวย ส่วนที่เหลืออีกหนึ่งคนถ้าไม่ใช่ขันทีก็เป็นพวกสายตามีปัญหา สรุปคือเธอจำคำฉันไว้นะ การที่เธอหน้าตาสะสวยอย่างตอนนี้เป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดที่สวรรค์ประทานให้เธอแล้ว อย่าเอาแต่ตัดพ้อว่าสวรรค์ไม่ดีกับเธอ สวรรค์ดีกับเธอมากพอแล้ว”
อู่เหมยลูบใบหน้า ท่าทางเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เธอถามด้วยความไม่แน่ใจว่า “ฉันไม่ขี้เหร่จริงๆ น่ะเหรอ”
“อู่เหมยเธอแกล้งทำเป็นไม่รู้ละสิ อย่างเธอเรียกว่าขี้เหร่ แล้วเด็กผู้หญิงทั่วไปพวกนั้นจะทำยังไงล่ะ” สยงมู่มู่ถลึงตาอย่างไม่พอใจ
“แต่พวกเขาต่างก็บอกว่าฉันอัปลักษณ์ แม่กับพี่สาวฉันก็พูดแบบนี้เหมือนกัน ฉันเองก็คิดว่าตัวเองไม่สวย” อู่เหมยเบ้ปากด้วยความน้อยใจ
แล้วสยงมู่มู่ก็นึกฉายาในสมัยก่อนของอู่เหมยขึ้นมาได้ เขามองอู่เหมยด้วยความเห็นอกเห็นใจ เด็กโชคร้ายคนนี้ต้องโชคร้ายขนาดไหนนะถึงได้มาเจอกับแม่และพี่สาวที่น่ารังเกียจแบบนี้!
“เอาล่ะ ทีนี้ให้ฉันคนที่ฉลาดที่สุดในโลกคนนี้บอกเธอนะ อู่เหมยเธอหน้าตาดีใช้ได้ แค่แย่กว่าฉันอยู่นิดหน่อย” สยงมู่มู่คุยโวเพื่อยั่วให้อู่เหมยหัวเราะ
เธอมองดูใบหน้าที่สวยงามของสยงมู่มู่ แล้วพยักหน้าเห็นด้วย “นายหน้าตาดีจริงๆ ดูดีกว่าผู้หญิงเสียอีก”
สยงมู่มู่ประหลาดใจอย่างยิ่ง แล้วซักไซ้ว่า “จริงเหรอ เธอไม่ได้โกหกใช่มั้ย”
“จริงๆ นายหน้าตาดีกว่าอู่เยวี่ยเยอะเลย” อู่เหมยพูดเสียงหนักแน่น
สยงมู่มู่มองค้อนเธอตาเหลือกและพูดอย่างไม่พอใจว่า “เธออย่าเอาฉันไปเปรียบเทียบกับอู่เยวี่ยสิ ผู้หญิงที่ทั้งโง่ทั้งขี้เหร่แบบนี้ เอาไปเปรียบด้วยแล้วทำให้ฉันดูแย่ลง”
อู่เหมยตกใจจนลิ้นพันกัน เธอพูดติดอ่างว่า “นาย…นายพูดว่าอะไรนะ อู่เยวี่ยทั้งโง่ทั้งขี้เหร่งั้นเหรอ เธอสอบได้ที่หนึ่งของโรงเรียนเชียวนะ นายยังเรียนเก่งสู้เธอไม่ได้เลย”
สยงมู่มู่ทำเสียงฮึดฮัด “นั่นเป็นเพราะฉันไม่คิดจะแข่งกับอู่เยวี่ย สอบได้ที่หนึ่งของโรงเรียนเจ๋งตรงไหน ฉันหลับตาก็ทำได้”
“พูดจริงเหรอ นายคงไม่ได้โม้หรอกใช่มั้ย”
อู่เหมยจงใจยั่วยุเขา ถ้าสยงมู่มู่ทำได้อย่างที่เขาพูดจริงๆ เบียดให้อู่เยวี่ยตกจากบัลลังก์ที่หนึ่งได้ถึงจะดี!
“เธออย่ามาใช้วิธียั่วยุกับฉันเลย ฉันไม่หลงกลหรอก” สยงมู่มู่กลับไม่หลงกล เขากอดอกมองท้องฟ้า ท่าทางกวนโอ๊ยชะมัด
…………………………………………………..
ตอนที่ 125 ดูแลเอาใจใส่น้องสาวฉันด้วย
อู่เหมยพูดจาดีสารพัด แต่สยงมู่มู่ก็ไม่ยอมตกลงสักที เขาบอกแค่ว่าเขาต้องการใช้ชีวิตในช่วงชั้นมัธยมต้นอย่างเงียบสงบ ไม่ต้องการที่จะดึงดูดความสนใจมากเกินไป ทำให้อู่เหมยโมโหจนกัดฟันกรอดๆ
“แล้วแต่นายละกัน ฉันกลับบ้านละ”
อู่เหมยหมุนตัวแล้วเดินไป พอเห็นท่าทางหยิ่งยโสของสยงมู่มู่แล้ว เธอก็รู้สึกปวดฟันกราม แม้จะเป็นความฝันเธอก็อยากจะสอบได้ที่หนึ่ง แต่เจ้าหมอนี่ช่างดีเสียจริง ยกที่หนึ่งที่ตัวเองสามารถเอื้อมถึงได้อย่างง่ายดายให้กับคนอื่น ทำไมมันช่างน่าโมโหอย่างนี้นะ!
สยงมู่มู่หัวเราะ แล้วเข็นจักรยานตามมา เขาชนอู่เหมยหนึ่งทีและถามพลางยิ้มเจ้าเล่ห์ “โมโหเหรอ”
“เปล่า!”
“ยังจะบอกเปล่าอีก เสียงดังขึ้นอย่างน้อยๆ สามสิบเดซิเบลแน่ะ” สยงมู่มู่ทำหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องประมาณว่า ‘เจ้าอย่าคิดมาโกหกข้าหน่อยเลย’
อู่เหมยเงยหน้าขึ้นถลึงตาใส่เขา แล้วเสียงก็ดังขึ้นอีกสามสิบเดซิเบล เธอแผดเสียงใส่หูเขา “ฉันโมโหแล้ว!”
พอพูดจบ เธอก็ถลึงตาใส่อีกรอบ แล้วรีบเดินจ้ำกลับไป สยงมู่มู่แคะหูที่ข้างในมีเสียงดังหึ่งๆ เขาไม่ได้โกรธกลับรู้สึกขำเสียด้วยซ้ำ สาวน้อยคนนี้นับวันก็ยิ่งอารมณ์ร้ายขึ้นเรื่อยๆ!
เมื่อรอจนสยงมู่มู่กับอู่เหมยเดินไปไกลแล้ว อู่เชาก็เดินออกมาจากมุมกำแพง สีหน้าเขาเหมือนคิดอะไรอยู่ เมื่อกี้เขาได้ยินที่อู่เหมยพูดหมดแล้ว และแน่นอนว่าเขาเห็นที่อู่เหมยร้องไห้เสียใจด้วย
หลายปีมานี้บรรดาพี่น้องในครอบครัวชอบหัวเราะเยาะอู่เหมยอยู่บ่อยๆ ด่าว่าเธอเป็นคนหัวขี้เลื่อยที่ไม่มีความคิดความอ่าน เป็นมูลวัวที่เละเทะ แม้เขาจะไม่เคยพูดว่าอะไร แต่ก็หัวเราะพลางยืนฟังอยู่ข้างๆ ตลอด อู่เชาคิดว่าที่พวกเขาพูดมานั้นถูกต้อง อู่เหมยเป็นคนหัวขี้เลื่อยอย่างไม่มีใครเทียบจริงๆ
แต่ไม่มีใครเคยคิดถึงความรู้สึกของอู่เหมยหลังจากที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้เลย พวกเขาเอาแต่หัวเราะเยาะเธอตามอำเภอใจ มิน่าล่ะอู่เหมยถึงได้ไม่สนใจไยดีเขาเลย คงจะเป็นเพราะเธอถูกทำร้ายจนบอบช้ำเกินไปละมั้ง
อู่เชาถอนหายใจ แล้วหมุนตัวเดินกลับบ้านไปอีกทางหนึ่ง อันที่จริงอี้จงกับจินต้าไปทางเดียวกัน แต่เขากลัวจะเจอเข้ากับอู่เหมย เขายังไม่ได้คิดเลยว่าต่อไปจะทำตัวกับอู่เหมยอย่างไรดี เขาต้องคิดใคร่ครวญให้ดีเสียก่อน
หลังจากเลิกเรียนอู่เยวี่ยก็รีบวิ่งออกจากห้องเรียน แต่ก็ยังคงมาไม่ทันอู่เหมยอยู่ดี ใบหน้าเธอเศร้าหมองทันที แต่ไม่ทันไรรอยยิ้มก็ผุดขึ้นบนใบหน้าเธออีกครั้ง พอเจอใครเธอก็ส่งยิ้มกว้างให้
เจินหวานหว่านรออู่เยวี่ยอยู่ที่หน้าโรงเรียน พอเห็นอู่เยวี่ย เธอก็เดินเข้าไปหา อู่เยวี่ยถามอย่างไม่พอใจว่า “ทำไมเธอไม่รั้งเหมยเหมยเอาไว้ รู้หรือเปล่าว่าเหมยเหมยไปไหน”
“เดี๋ยวนี้อู่เหมยชักจะเจ้าเล่ห์ ฉันจะรั้งเธอไว้ได้ยังไง ฉันไม่รู้ว่าเธอไปไหน แต่ฉันรู้ว่าเธอไปกับสยงมู่มู่” เจินหวานหว่านบอกสิ่งที่เธอสืบมาได้ก่อนหน้านี้ แล้วมองอู่เยวี่ยอย่างประจบประแจง
พอได้ยินชื่อของสยงมู่มู่ อู่เยวี่ยก็ขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว ทำไมคนที่เธอเกลียดถึงได้ไปด้วยกันนะ
“ทำไมเหมยเหมยถึงไปด้วยกันกับสยงมู่มู่ล่ะ พวกเขาเล่นด้วยกันนานแค่ไหนแล้ว เหมยเหมยเป็นพวกใสซื่ออ่อนต่อโลกเกินไป เธอมีเพื่อนใหม่ก็ไม่บอกฉันสักคำ จริงๆ เลยเชียว” อู่เยวี่ยมีสีหน้ากังวลว่าน้องสาวจะเผลอคบเพื่อนไม่ดี
เจินหวานหว่านหัวเราะเยาะอยู่ในใจ แต่สีหน้ากลับเห็นด้วย “นั่นน่ะสิ เรื่องเพื่อนจะคบสะเปะสะปะไม่ได้ พี่เยวี่ยเยวี่ยจะต้องจับขังไว้ให้ดีถึงจะดี”
อู่เยวี่ยมองเจินหวานหว่านอย่างดูถูก เธอไม่ค่อยอยากจะพูดคุยกับเจินหวานหว่านต่อแล้ว หมู่นี้ข่าวคราวที่เจินหวานหว่านบอกเธอไม่ค่อยมีประโยชน์สักเท่าไร ดูท่าเธอต้องเปลี่ยนคนเสียแล้ว
“ฉันจะกลับบ้านแล้ว หวานหว่านเธอเองก็รีบกลับเถอะ”
อู่เยวี่ยหมุนตัวกำลังจะเดินไป แต่เจินหวานหว่านเรียกเธอไว้ แล้วยิ้มตาหยีพลางพูดว่า “พี่เยวี่ยเยวี่ย สมุดวิชาเลขฉันไม่พอใช้แล้วค่ะ”
อู่เยวี่ยขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่พอใจ ไม่มีข่าวสารดีๆ มีประโยชน์มาบอก แล้วยังคิดจะขอเงินอีกเหรอ
เจินหวานหว่านคนนี้ชักจะโลภใหญ่แล้ว!
“ฉันให้สองเฟิน เธอเอาไปซื้อสมุดการบ้านก็แล้วกัน ต่อไปจะต้องคอยดูแลเอาใจใส่เหมยเหมยด้วยนะ!” อู่เยวี่ยเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้มและมองเจินหวานหว่านทีหนึ่ง
เจินหวานหว่านรู้สึกได้ถึงการดูถูกเหยียดหยามของอู่เยวี่ย หัวใจเธอถูกทิ่มแทง ถ้าทางบ้านมีเงินให้เธอไปโรงเรียน เธอก็ไม่ต้องมาถูกอู่เยวี่ยดูถูกแบบนี้หรอก
ฮึ! ไม่ใช่เป็นเพราะเธอเกิดมาสุขสบายหรอกหรือ อู่เยวี่ย
………………………………………………..
ตอนที่ 126 พ่อแม่ที่น่ารัก
ไม่นานนักอู่เหมยกับสยงมู่มู่ก็กลับมาถึงอี้จง อู่เหมยเหลือบมองไปทางสนามบาสโดยไม่รู้ตัว เหยียนหมิงซุ่นไม่อยู่ เหมยซูหานก็ไม่อยู่ มีเด็กผู้ชายที่อายุค่อนข้างน้อยกลุ่มหนึ่งกำลังเล่นบาสเกตบอลกันอยู่
“นี่ เธอจะไปไหน” สยงมู่มู่ตะโกนถามอยู่ข้างหลังเธอ
“กลับบ้าน!” อู่เหมยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา เธอเดินตรงไปข้างหน้าไม่หยุด
สยงมู่มู่คว้าตัวเธอไว้และพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เมื่อวานฉันพูดต่อหน้าพ่อแม่เธอไปแล้วว่าจะช่วยติวหนังสือให้เธอ แล้วนี่เธอจะกลับบ้านอย่างนั้นเหรอ เธอไม่อยากเรียนวาดรูปแล้วใช่หรือเปล่า”
“แต่วาดรูปเริ่มเรียนสัปดาห์หน้านี่นา!” อู่เหมยกะพริบตาปริบๆ อันที่จริงเธอไม่ค่อยชอบไปบ้านคนอื่น เธอมักจะรู้สึกอึดอัดไปหมด ยืดเวลาออกไปได้สักหน่อยก็ยังดี
สยงมู่มู่ออกแรงลากเธอขึ้นไปชั้นสาม แล้วพูดเสียงดุว่า “เมื่อวานฉันบอกไปว่าเริ่มตั้งแต่วันนี้ เธออยากให้ฉันผิดคำพูดงั้นเหรอ”
อู่เหมยถูกเขาฉุดกระชากลากถู เธอเดินโซเซขึ้นไปยังชั้นสาม อาจารย์บางคนที่เดินขึ้นบันไดเห็นแล้วก็แค่คิดว่าเด็กสองคนนี้กำลังหยอกล้อเล่นกัน ทุกคนต่างก็ยิ้มอย่างเข้าอกเข้าใจ
“ฉันเดินเองได้น่า นายเลิกลากฉันได้แล้ว”
อู่เหมยตะโกนด้วยความโมโห ทำอย่างกับเธอเป็นลูกหมาลูกแมว!
ทั้งสองคนหยุดพักที่เชิงบันไดชั้นสามครู่หนึ่ง อู่เหมยจัดแต่งเผ้าผมกับเสื้อผ้าเล็กน้อยและสูดหายใจลึกหลายที แล้วถึงค่อยเดินตามสยงมู่มู่ขึ้นไป สยงมู่มู่หยอกล้อเธอ “บ้านฉันไม่ใช่ถ้ำเสือถ้ำมังกรสักหน่อย จำเป็นต้องกลัวขนาดนี้เชียวเหรอ”
อู่เหมยมองค้อนเขาตาเหลือก แล้วเดินขึ้นบันไดไปอย่างไม่สนใจ สยงมู่มู่หัวเราะและเดินตามหลังขึ้นมา
วันนี้เหยียนหมิงซุ่นไม่ค่อยอยากเล่นบาส เขาไปฝึกบาร์เดี่ยวที่สนามด้านหลัง ขณะที่ห้อยอยู่บนบาร์เดี่ยว เขาก็บังเอิญเห็นอู่เหมยที่กำลังยื้อยุดฉุดกระชากกับสยงมู่มู่ แล้วเขาก็หยุดชะงักลง
อู่เหมยไปบ้านสยงมู่มู่ทำไมกัน
เหยียนหมิงซุ่นขมวดคิ้ว ไม่มีกะจิตกะใจจะฝึกบาร์เดี่ยวแล้ว เขาผ่อนลมหายใจแล้วลงมา จากนั้นเงาสีขาวเงาหนึ่งก็พุ่งเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนเขา
“แกวิ่งออกมาได้ยังไงเนี่ย เดี๋ยวเจ้านายแกหาแกไม่เจอ เขาจะร้อนใจเอานะ” เหยียนหมิงซุ่นยิ้มพลางพูด
“กูกู”
ฉิวฉิวกะพริบตาที่เหมือนกับเมล็ดถั่วดำ มันหาตำแหน่งที่สบายๆ ในอ้อมแขนเขาแล้วนอนหลับอย่างสบายใจ เมื่อกี้มันนอนหลับอยู่ดีๆ แต่จู่ๆ อู่เยวี่ยที่น่ารังเกียจก็ทำเสียงดังปึงปัง เสียงดังหนวกหูจนมันไม่อาจหลับฝันดีได้
เหยียนหมิงซุ่นลูบไล้ขนนุ่มลื่นของเจ้าฉิวฉิวเบาๆ เดิมทีเขาตั้งใจจะพาเจ้าฉิวฉิวไปส่งให้อู่เหมย แต่พอคิดดูอีกที เขาก็หมุนตัวกลับมาและอุ้มเจ้าฉิวฉิวกลับบ้าน มุมปากเขายกขึ้นเล็กน้อย
อู่เหมยเดินตามสยงมู่มู่มาที่บ้านเขาอย่างอารมณ์เสีย ที่จริงบ้านของสยงมู่มู่อยู่ด้านบนบ้านเธอพอดี สิ่งที่แตกต่างจากบ้านอื่นคือที่หน้าบ้านเขาไม่มีเตาที่เต็มไปด้วยคราบน้ำมัน ดูสะอาดสะอ้านมาก
“พ่อ แม่ ผมกลับมาแล้ว”
สยงมู่มู่ผลักเปิดประตูแล้วจูงอู่เหมยเข้ามาในบ้าน ผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาวัยสามสิบกว่าคนหนึ่งสวมผ้ากันเปื้อนลายดอกและถือจานเดินออกมา พอเห็นอู่เหมยที่อยู่ข้างหลังสยงมู่มู่ ดวงตาเขาก็เป็นประกาย
ว้าว! ในที่สุดลูกชายก็ยอมพาเพื่อนมาบ้านแล้ว แถมยังเป็นสาวสวยเสียด้วย!
“มู่มู่กลับมาแล้วเหรอ คนนี้เป็นเพื่อนลูกใช่มั้ย แล้วชื่ออะไรล่ะ อิงหนาน รีบไปหยิบจานของว่างออกมาเร็ว บ้านเรามีแขกตัวน้อยมา!” คุณพ่อสยงยิ้มแย้มหน้าบานราวกับดอกไม้ เปลวไฟที่กระตือรือร้นเผาไหม้ความหงุดหงิดของอู่เหมยจนสิ้นซาก เธอรู้สึกสงบลงอย่างน่าประหลาด
สยงมู่มู่ขยิบตาให้เธอและพูดเสียงเบาว่า “พ่อแม่ฉันไม่ใช่แบบพ่อแม่เธอ พวกท่านเป็นเหมือนเพื่อนฉัน ซึ่งดีมากๆ เลยล่ะ”
ผู้หญิงที่สวยสดใสคนหนึ่งอุ้มกระปุกลูกอมวิ่งออกมา เธอก็คือจ้าวอิงหนาน คุณแม่ของสยงมู่มู่ คิ้วเข้มตาโต ใบหน้ารูปไข่ได้มาตรฐาน เธอเป็นอาจารย์วิชาดนตรีที่โรงเรียนอี้จง แล้วก็เป็นผู้นำเทรนด์แฟชั่นในโรงเรียนด้วย
……………………………………………
ตอนที่ 127 คุณพ่อสยงที่งดงามอ่อนหวาน
พอเห็นอู่เหมย สีหน้าของจ้าวอิงหนานนั้นดูตกใจยิ่งกว่า เธอวิ่งเข้ามาจูงไม้จูงมืออู่เหมยและถามโน่นถามนี่ อู่เหมยมองเห็นถึงความจริงใจของสามีภรรยาคู่นี้ ทำให้ความรู้สึกเก้อเขินหายไปอย่างน่าประหลาด
“คุณลุงสยง คุณป้าจ้าว หนูชื่ออู่เหมยค่ะ”
จ้าวอิงหนานตะลึงงันและพูดพึมพำ “อู่เหมย? ชื่อนี้คุ้นๆ หูจริง ฉูฉู่ คุณว่ามั้ยคะ”
ฉูฉู่?
อู่เหมยอดเบิกตาโตไม่ได้ ตอนนี้เธอถึงเพิ่งนึกชื่อของคุณพ่อสยงขึ้นมาได้ มันเป็นเรื่องเล่าขานที่มีมายาวนานของอี้จง ถึงแม้ภายหลังคุณพ่อสยงจะย้ายไปที่กรมการศึกษา แต่เรื่องเล่าขานนี้ก็ยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้
เนื่องจากคุณพ่อสยงที่รูปร่างสูงใหญ่มีชื่อที่แสนจะหวานละมุนละไม ก็เลยเรียกว่าสยงฉูฉู่ ฉูฉู่จากคำว่าฉูฉู่ต้งเหริน
คุณพ่อสยงลูบศีรษะด้านหลังแล้วพยักหน้าตาม “ใช่แล้ว อู่เหมยชื่อนี้ฟังดูคุ้นหูมากเลย มู่มู่ เพื่อนใหม่ลูกเคยมาที่บ้านเราหรือเปล่า ไม่สิ ถ้าเด็กหญิงที่หน้าตาสะสวยขนาดนี้เคยมา พ่อจะต้องจำได้แน่นอน”
สยงมู่มู่มองค้อนตาเหลือก “อู่เหมยเป็นลูกสาวคนเล็กของอาจารย์อู่ที่บ้านอยู่ข้างล่างบ้านเรา พ่อกับแม่นี่จริงๆ เลย พรุ่งนี้ซื้อสมองหมูมากินบำรุงหน่อยนะฮะ”
จ้าวอิงหนานกับคุณพ่อสยงมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เด็กหญิงหน้าตาสะสวยคนนี้คือเด็กอัปลักษณ์บ้านอู่ที่มีชื่อเสียงไปทั้งโรงเรียนอย่างนั้นเหรอ
นี่…นี่…นี่มันแตกต่างกันเกินไปละมั้ง
ทั้งสองกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว พวกเขายิ้มตาหยีพลางมองดูอู่เหมยที่มีท่าทางเขินอาย ยิ่งมองก็ยิ่งชอบ จ้าวอิงหนานหยิบช็อกโกแลตยื่นให้อู่เหมยและพูดอย่างใจดีว่า “เหมยเหมยกินช็อกโกแลตสิ ฉูฉู่เดี๋ยวคุณทำอาหารเยอะหน่อยนะ เราต้องดูแลต้อนรับแขกตัวน้อยให้ดีๆ นะ!”
“แน่นอนอยู่แล้ว ในตู้เย็นยังมีกุ้งขาวอยู่ ผมจะไปเอาออกมาทำกุ้งขาวลวก ลาภปากพวกเธอแล้วล่ะ!”
คุณพ่อสยงเปิดตู้เย็นและหยิบกุ้งขาวที่เย็นเฉียบจนจับตัวเป็นก้อนน้ำแข็งออกมา กุ้งตัวใหญ่มากจริงๆ ตัวหนึ่งยังใหญ่กว่านิ้วหัวแม่มือของอู่เหมยเสียอีก อู่เหมยตื่นตกใจมากและรีบพูดว่า “ขอบคุณค่ะคุณลุงสยง คุณป้าจ้าว แต่แม่หนูทำกับข้าวเสร็จแล้ว ไม่ต้องทำอาหารให้หนูหรอกค่ะ”
“ไม่เป็นไรจ้ะ เดี๋ยวป้าจะไปบอกคุณพ่อหนูว่าวันนี้หนูจะกินข้าวที่บ้านป้า คุณลุงสยงของหนูฝีมือไม่เลวทีเดียวนะ!”
จ้าวอิงหนานยัดกระปุกลูกอมใส่ในอ้อมแขนอู่เหมย เธอกระตือรือร้นอย่างมาก ไม่ยอมให้อู่เหมยปฏิเสธเลย แล้วเธอก็เปิดประตูเดินออกไปอย่างร่าเริง เธอคงจะไปหาอู่เจิ้งซือ
อู่เหมยมองดูกระปุกลูกอมในมืออย่างจนใจ เธอคิดไม่ถึงเลยว่าครอบครัวสยงมู่มู่จะเป็นกันเองขนาดนี้ ดูแตกต่างจากลักษณะท่าทางของสยงมู่มู่อย่างเห็นได้ชัด!
“ให้เธอกินข้าวที่บ้านฉัน เธอจะทำหน้ายับยู่ยี่ทำไมกัน เข้ามาทำการบ้านเถอะ!”
สยงมู่มู่ลากอู่เหมยเข้ามาในห้องเขาอย่างไม่สบอารมณ์ รูปแบบโครงสร้างบ้านของสยงมู่มู่เหมือนกันกับบ้านเธอทุกอย่าง แต่บ้านสยงมู่มู่ไม่ค่อยมีเฟอร์นิเจอร์มากนัก แต่เฟอร์นิเจอร์แต่ละอย่างดูสวยงามมาก ดูคนละเกรดกับเฟอร์นิเจอร์ธรรมดาๆ พวกนั้นของบ้านเธอเลย
นอกจากนี้ที่บ้านสยงยังมีเครื่องใช้ไฟฟ้าคุณภาพดีมากมาย เช่น ตู้เย็น โทรทัศน์สี หม้อหุงข้าว ฯลฯ ในชาติหลังสิ่งของเหล่านี้ไม่ได้หายากเลย แต่ในยุคสมัยนี้ล้วนแต่เป็นของล้ำค่า เป็นของล้ำค่าที่แม้จะมีเงินก็หาซื้อได้ยาก
อู่เหมยยังเจอเปียโนหนึ่งหลังที่ห้องของสยงมู่มู่ด้วย มันตั้งอยู่ใกล้ๆ หน้าต่างและมีผ้าสีขาวคลุมด้านบน ต่อให้เป็นชาติหลัง บ้านที่มีเงินซื้อเปียโนไหวก็มีไม่มากนัก ยุคนี้สมัยนี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
เปียโนแบรนด์เพิร์ลริเวอร์ที่ผลิตในประเทศจีนราคาอยู่ที่สี่พันถึงห้าพัน ซึ่งหลายครอบครัวเลือกเปียโนที่ผลิตในประเทศ ส่วนบางครอบครัวที่มีฐานะค่อนข้างดีจะเลือกเปียโนนำเข้า ส่วนใหญ่จะเลือกแบรนด์ยามาฮ่าที่นำเข้าจากประเทศ R ราคาต่อหลังอยู่ที่ราวๆ หกพันถึงเจ็ดพัน ราคาถูกกว่าบางแบรนด์ในยุโรปมากทีเดียว แต่ท่วงทำนองเสียงกับคุณภาพกลับดีกว่าเปียโนที่ผลิตในประเทศ คุ้มค่าคุ้มราคาสุดๆ
………………………………………………
ตอนที่ 128 ทุกส่วนของร่างกายพ่อแม่เป็นคนให้มา
เปียโนหลังนี้ของสยงมู่มู่ยี่ห้อยามาฮ่า ในบ้านของอาจารย์ที่อู่เหมยเรียนวาดรูปด้วยเมื่อชาติก่อนก็มีเปียโนยามาฮ่าที่ผลิตขึ้นในปี 1980 ซึ่งเหมือนกับเปียโนหลังนี้ของสยงมู่มู่เปี๊ยบ
“รู้จักเจ้าสิ่งนี้หรือเปล่า” สยงมู่มู่ชี้ไปที่เปียโนพลางพูดหยอกล้อ
อู่เหมยมองค้อนเขาตาเหลือก คิดว่าเธอโง่จริงๆ งั้นเหรอ
“เปียโนยี่ห้อยามาฮ่า หลังนี้ของนายผลิตขึ้นในปี 1980”
เธอย่อตัวลงและดูป้ายสัญลักษณ์ที่ด้านหลังตัวเปียโน ด้านบนมีหมายเลขประจำเครื่องการผลิตของเปียโน เปียโนหลังนี้ออกจากโรงงานวันที่ 5 มิถุนายน ปี 1980 เปียโนหลังนี้ของสยงมู่มู่ยังค่อนข้างใหม่อยู่
ว่าแต่ครอบครัวสยงนี่ร่ำรวยจริงๆ สามารถควักเงินหกเจ็ดพันหยวนซื้อเปียโนหนึ่งหลัง ในเมืองจินมีเพียงไม่กี่ครอบครัวที่ร่ำรวยแบบนี้
สยงมู่มู่เลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ เขามองอู่เหมยด้วยสายตาทึ่ง แล้วอดถามไม่ได้ว่า “เธอเคยเรียนเปียโนใช่หรือเปล่า”
คนที่สัมผัสเปียโนเป็นครั้งแรกไม่มีทางรู้หรอกว่าจะดูวันที่ผลิตตรงไหน แล้วก็ยิ่งไม่รู้ป้ายสินค้าของเปียโน การแสดงออกของอู่เหมยเห็นได้ชัดว่าเธอไม่ได้สัมผัสเปียโนเป็นครั้งแรก
อู่เหมยตึงเครียด แย่แล้ว เธอโชว์ออฟมากเกินไป!
“ไม่เคยเรียน ฉันเคยเห็นเปียโนที่บ้านคนอื่นมาก่อน ฉันฟังเขาพูดมาน่ะ”
สยงมู่มู่มองอู่เหมยด้วยสายตาที่แฝงความหมายลึกซึ้ง แต่ก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ เขาเลิกผ้าคลุมออก เปิดฝาครอบเปียโน จากนั้นนั่งลงและยิ้มให้เธอ “อยากฟังฉันบรรเลงให้เธอฟังมั้ย อยากฟังเพลงอะไร”
“ฉันอยากฟังเพลง Fur Elise” อู่เหมยเลือกเพลงสดใสเพลงนี้โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย เธอชอบฟังเพลงนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
แววตาสยงมู่มู่เป็นประกายระยิบระยับ เขาจ้องมองอู่เหมยอย่างลึกซึ้ง แม้แต่เพลง Fur Elise ก็รู้จักด้วย ตกลงเจ้าเด็กบ้าคนนี้มีเรื่องปิดบังเขาอยู่กี่เรื่องกันแน่นะ
“ติ๊งๆ ต๊งๆ…”
เสียงเปียโนที่สดใสดังขึ้นตามนิ้วมือที่เรียวยาวของสยงมู่มู่ เหมือนกับบรรดาภูตตัวน้อยที่เต้นรำอย่างสนุกสนานอยู่กลางอากาศ อู่เหมยอดไม่ได้ที่จะหลับตาลงและเพลิดเพลินไปกับเสียงดนตรีอันไพเราะ
จ้าวอิงหนานกับคุณพ่อสยงยืนลับๆ ล่อๆ อยู่ที่หน้าห้อง ทั้งสองเหลือบมองเข้ามาในห้องอยู่บ่อยๆ สีหน้าดูปลื้มใจ
“ฉูฉู่ เหมยเหมยเป็นเพื่อนคนแรกที่มู่มู่พามาบ้านใช่หรือเปล่า” จ้าวอิงหนานซึ้งใจสุดขีด
“ใช่แล้ว สิบสองปีแล้วนะ ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง วันนี้เป็นวันดีที่ควรแก่การเฉลิมฉลองจริงๆ ที่รัก คืนนี้เรามาฉลองด้วยกันนะ!” คุณพ่อสยงขยิบตาให้ภรรยาอย่างมีเลศนัย
จ้าวอิงหนานเขินหน้าแดงทันที เธอเขินอายอย่างยิ่ง
หลังจากเพลงบรรเลงจบ อู่เหมยยังคงตกอยู่ในภวังค์ของโน้ตเพลงอันแสนวิเศษจนถอนตัวไม่ขึ้น นานทีเดียวกว่าเธอจะได้สติกลับมา เธอปรบมือเสียงดังและชมเปาะว่า “ไพเราะจริงๆ สยงมู่มู่นายเก่งมาก สุดยอดไปเลย!”
มิน่าล่ะชาติก่อนวงการดนตรีถึงยกย่องสยงมู่มู่ว่าเป็นอัจฉริยะ เขาสามารถเขียนเพลงที่เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนได้มากมาย เขาเป็นความภาคภูมิใจของสวรรค์อย่างแท้จริง แต่น่าเสียดาย…
พอนึกถึงข่าวการเสียชีวิตของสยงมู่มู่ในหน้าหนังสือพิมพ์เมื่อชาติก่อน อู่เหมยก็อิจฉาน้อยลง สวรรค์อิจฉาคนเก่งกล้าสามารถจริงๆ!
แต่ตอนนี้สยงมู่มู่เป็นเพื่อนของเธอแล้ว งั้นเธอก็จะต้องพยายามช่วยเหลือเขาอย่างสุดความสามารถ ไม่รู้ว่าตอนที่รู้ข่าวการเสียชีวิตของลูกชาย พ่อแม่ของสยงมู่มู่เสียใจขนาดไหนนะ
“นี่ ทำไมเธอใจลอยอีกแล้วล่ะ” สยงมู่มู่โบกไม้โบกมือไปมาตรงหน้าเธอไม่หยุด
อู่เหมยปัดมือเขาทิ้งและพูดอย่างจริงจังว่า “สยงมู่มู่ ทุกส่วนของร่างกายพ่อแม่เป็นคนให้มา นายจะต้องดูแลทะนุถนอมให้ดีนะ เข้าใจมั้ย”
สยงมู่มู่มองเธอด้วยความประหลาดใจ แล้วสักพักก็หัวเราะออกมา “สมองเธอมีปัญหาอีกแล้วใช่มั้ย พิลึกคนจริงเชียว ไปทำการบ้านไป มีอะไรไม่เข้าใจก็ถามฉันได้เลย”
อู่เหมยเบ้ปาก เธอตัดสินใจแล้วว่าต่อไปเธอจะพูดประโยคนี้กรอกหูสยงมู่มู่บ่อยๆ ก็น่าจะได้ผลอยู่บ้างละมั้ง
…………………………………………………..
ตอนที่ 129 ทำให้อับอายขายหน้า
“คุณลุงสยง คุณป้าจ้าว หนูชื่ออู่เยวี่ยค่ะ เป็นพี่สาวของอู่เหมย”
เสียงอู่เยวี่ยดังขึ้นที่นอกห้อง ฟังดูสุภาพเรียบร้อยเหมือนเช่นเคย อู่เหมยกัดปากกาและอดขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้ อู่เยวี่ยมาทำไมกันนะ
สยงมู่มู่เองก็ไม่พอใจอย่างมาก สิ่งที่เขาไม่ชอบที่สุดก็คือพวกที่ไร้ยางอายมาหาที่บ้านโดยที่ไม่ได้รับเชิญ ที่ด้านนอกห้องจ้าวอิงหนานกำลังพูดคุยอยู่ “อู่เยวี่ยเหรอจ๊ะ เหมยเหมยกับมู่มู่ทำการบ้านอยู่ในห้องแน่ะ เมื่อกี้ป้าบอกพ่อหนูแล้วว่าเหมยเหมยจะกินอาหารเย็นที่บ้านป้า หนูไม่ต้องมาเรียกหรอกจ้ะ!”
อู่เยวี่ยกัดริมฝีปาก เธอรู้สึกแค่ว่าการที่เธอเชื่อฟังเหอปี้อวิ๋นและมาที่บ้านสยงคราวนี้เหมือนกับเธอมาปล่อยไก่ ตอนนี้ขี่หลังเสือแล้วลงยาก เธอเองก็ได้แต่ปล่อยเลยตามเลย
“หนูไม่ได้มาเรียกเหมยเหมยกินข้าวหรอกค่ะ คือ…คือแม่หนูไม่ค่อยวางใจเหมยเหมย ก็เลยให้หนูมาดูน้องหน่อย แล้วแม่หนูยังให้หนูมาพูดคุยปรึกษาเรื่องเรียนกับสยงมู่มู่ด้วย ถ้าสยงมู่มู่มีอะไรไม่เข้าใจ เราก็ปรึกษากันได้ค่ะ”
อู่เยวี่ยพูดเสียงนุ่มนวลมาก อีกทั้งไม่ได้พูดว่ามาช่วยติวหนังสือให้สยงมู่มู่อย่างที่เหอปี้อวิ๋นบอก เธอคิดว่าพูดแบบนี้น่าจะเหมาะสมกว่า เพียงแต่ว่า…
รอยยิ้มของจ้าวอิงหนานจางลงเล็กน้อย เธอมองพิจารณาอู่เยวี่ยอย่างละเอียด หน้าตาธรรมดาๆ ได้ยินว่าสอบได้ที่หนึ่งในระดับชั้นของมู่มู่ เป็นความภาคภูมิใจของตระกูลอู่ มักจะได้ยินเหอปี้อวิ๋นพูดอวดลูกสาวคนโตไปทั่วอยู่บ่อยๆ พวกคนขี้อวด ไม่ว่าจะมองยังไงก็ดูขัดหูขัดตา!
แล้วตอนนี้ยังจะมาพูดว่าจะติวให้มู่มู่งั้นเหรอ
ช่างยกยอตัวเองเสียจริงๆ!
ลูกชายเธอจำเป็นต้องให้คนอื่นมาติวด้วยเหรอ
เห็นจ้าวอิงหนานดูอ่อนโยนใจดีแบบนี้ แต่ความจริงแล้วเธอไม่ใช่คนที่อ่อนโยนใจดีเลย ไม่อย่างนั้นเธอก็คงไม่ไปไหนมาไหนคนเดียวในอี้จงหรอก บวกกับฐานะทางบ้านเธอก็ไม่ธรรมดา ตั้งแต่เด็กเธอเคยพบเจอผู้คนมาไม่น้อย เธอมองแวบเดียวก็มองทะลุความคิดของอู่เยวี่ยแล้ว
“งั้นก็ขอบใจมากนะจ๊ะ แล้วก็ต้องขอบคุณคุณแม่หนูด้วย คิดรอบคอบจริงๆ แต่มู่มู่เรานิสัยค่อนข้างแปลกนิดหน่อย ต้องลองถามเขาดูก่อนว่าเอายังไง!”
จ้าวอิงหนานเพิ่งจะพูดจบ สยงมู่มู่ก็เดินออกมาจากห้องและพูดเสียงเย็นชาว่า “ไม่ต้องหรอกครับ ผมไม่ชอบพูดคุยปรึกษาเรื่องเรียนกับคนอื่น”
อู่เยวี่ยหน้าถอดสีเล็กน้อย ความอับอายขายหน้าที่อธิบายยากเอ่อขึ้นในใจ เบ้าตาเธอเริ่มแดงเรื่อ แล้วเธอก็มองไปทางจ้าวอิงหนานโดยไม่รู้ตัว หวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากจ้าวอิงหนานสักเล็กน้อย แต่พอสยงมู่มู่ออกมา จ้าวอิงหนานก็เดินไปที่ห้องครัวแล้ว เธอขี้เกียจจะยุ่งกับเด็กไม่เอาถ่าน
“ที่รักกินซี่โครงหมูดูสิจ๊ะ อร่อยมั้ย” คุณพ่อสยงตักซี่โครงหมูผัดกระเทียมที่ทำเสร็จแล้วป้อนให้จ้าวอิงหนาน
จ้าวอิงหนานกินอย่างเอร็ดอร่อยและคายกระดูกออกมา แล้วเธอก็ยกนิ้วโป้งให้คุณพ่อสยง คุณพ่อสยงยิ้มตาหยีแล้วถามว่า “ดูเหมือนว่าคุณจะไม่ชอบอู่เยวี่ย? แต่เด็กคนนี้ใครเห็นใครก็ชมนะจ๊ะ!”
“ใครเห็นใครชมแล้วต้องดีเสมอไปเหรอไง อย่างเล่าปี่ใครๆ ต่างก็พูดว่าเขาเป็นคนมีเมตตา แต่ฉันว่าเขาเป็นคนจอมปลอมมากกว่า เด็กผู้หญิงอย่างอู่เยวี่ยฉันเจอมาเยอะแล้ว หยิ่งยโสอวดดี คิดว่าตัวเองถูกตลอด ก็แค่สอบได้ที่หนึ่งของโรงเรียนเอง แล้วยังคิดที่จะติวหนังสือให้มู่มู่? ฮึ!”
จ้าวอิงหนานทำสีหน้าดูถูก แล้วตักซี่โครงหมูจากในจานมาแทะอีกชิ้น ส่วนสายตาก็จ้องมองกุ้งขาวในหม้อ คุณพ่อสยงมองเธออย่างแสนจะรักใคร่และพูดเสียงนุ่มนวลว่า “เด็กดี เดี๋ยวเราค่อยกินด้วยกันนะ!”
“รู้แล้วน่า ฉันไม่ใช่เด็กเล็กๆ สักหน่อย!”
จ้าวอิงหนานมองค้อนสามีหนึ่งที แล้วเธอก็หยิบซี่โครงหมูติดไม้ติดมือมาอีกชิ้นแล้วเดินจากไป คุณพ่อสยงส่ายหัวอย่างจนใจ จากนั้นหยิบตะหลิวมาตักซี่โครงหมูวางเติมลงไปใหม่ ซี่โครงหมูแหว่งหายไปเยอะเลย!
ที่ด้านนอกอู่เยวี่ยกลับไปแล้ว ตอนนี้เธอยังอายุแค่สิบสี่ปี ฝึกฝนวิชายังไม่เข้าขั้น หนังหน้าก็ค่อนข้างบาง ไหนเลยจะทนคำเยาะเย้ยเหน็บแนมของสยงมู่มู่ได้ จากนั้นไม่นานอู่เยวี่ยก็หาข้ออ้างกลับบ้านไป
อู่เหมยดูเหตุการณ์อยู่ในห้องด้วยความสะใจ ทำให้เธอรู้สึกดีกับสยงมู่มู่มากยิ่งขึ้น แล้วเธอก็ยิ้มแฉ่งให้เขา ดูสวยน่ารักสุดๆ ทำเอาสยงมู่มู่ถึงกับตาลาย
เจ้าเด็กบ้านี่ยิ้มแล้วดูดีกว่าเขาอีก ไม่ปลื้มเลยจริงๆ!
…………………………………………………
ตอนที่ 130 กลับสู่เส้นทางที่ถูกต้อง
“กินข้าวได้แล้ว!” คุณพ่อสยงร้องเรียกอยู่นอกห้อง
มื้อเย็นที่บ้านสยงมีอาหารมากมายเป็นพิเศษ มีทั้งกุ้งขาวลวก ซี่โครงหมูผัดกระเทียม มะเขือยาวผัดซอส หมูเส้นผัดพริกหวาน ผัดผักบุ้ง แล้วก็ซุปเปลือกกุ้งใส่ฟัก อาหารวางเต็มโต๊ะไปหมด มีครบทั้งสีสัน กลิ่นหอมและรสชาติ แค่ได้กลิ่นก็รู้แล้วว่าต้องอร่อยแน่นอน
“เหมยเหมยมานั่งกินเร็ว เราต้องกินอาหารพวกนี้ให้เกลี้ยงเลยนะ” จ้าวอิงหนานดึงอู่เหมยให้นั่งลง แล้วคีบกุ้งขาวตัวใหญ่ให้เธอ
“ขอบคุณค่ะคุณป้าจ้าว กุ้งขาวนี่ตัวใหญ่จริงๆ” อู่เหมยพูดขอบคุณเสียงเบา
จ้าวอิงหนานแค่มองอู่เหมยก็มีความสุข ไม่เพียงเพราะเธอเป็นเพื่อนคนแรกของลูกชาย แต่ยังมีออร่าในตัวอู่เหมยที่เข้ากันกับเธอได้เป็นอย่างดี นี่คงจะเรียกว่าถูกชะตาละมั้ง!
“รีบกินเถอะ คุณลุงสยงของหนูฝีมือดีกว่าเชฟใหญ่อีกนะ” จ้าวอิงหนานยิ้มตาหยีพลางพูด แล้วคีบกุ้งขาวให้สยงมู่มู่ คีบให้คุณพ่อสยง จากนั้นตัวเธอก็ลงมือกินอย่างเอร็ดอร่อย
สยงมู่มู่แกะเปลือกกุ้งพลางหยอกล้อ “แม่ยังมีอีกประโยคหนึ่งไม่ได้พูดนะ เหตุผลที่แม่แต่งงานกับพ่อก็เพราะถูกใจฝีมือการทำอาหารของพ่อ ไม่อย่างนั้นผมก็ไม่รู้ว่าจะต้องคลานออกมาจากท้องใคร”
“พูดมาก!”
จ้าวอิงหนานถลึงตาใส่ลูกชายด้วยความโมโห แต่ตัวเธอเองก็โดนหยอกเย้าจนหัวเราะไม่หยุด
อู่เหมยค่อยๆ แกะกุ้ง เธอดึงหัวกุ้งออกก่อน แล้วค่อยแกะเปลือก เหลือไว้แต่หางกุ้ง จากนั้นใช้มือหยิบกุ้งและจิ้มซอส แล้วเอาใส่ปากเคี้ยวอย่างช้าๆ ดูสง่าผ่าเผยอย่างยิ่ง ทำให้จ้าวอิงหนานยิ่งชอบอู่เหมยมากขึ้นไปอีก แล้วเธอก็คีบอาหารให้อู่เหมยไม่หยุด
บรรยากาศที่บ้านสยงผ่อนคลายมาก ระหว่างพ่อแม่กับลูกเป็นเหมือนเพื่อนกัน พูดคุยกันแบบสบายๆ แถมยังพูดคุยกันเรื่องที่โรงเรียนได้ด้วย แม้แต่จ้าวอิงหนานยังพูดจาหยอกล้อลูกชาย ดูไม่เหมือนกับเวลาปกติที่ดูเย็นชาเลยสักนิด
พออู่เหมยปรับตัวเข้ากับคนในครอบครัวสยงได้ ความรู้สึกเก้อเขินก็หายไป เธอพูดแทรกบ้างเป็นครั้งคราว เธอมีความสุขยิ่งกว่าตอนกินข้าวที่บ้านเสียอีก
“ขอบคุณนะคะคุณลุงสยง คุณป้าจ้าวที่ดูแลต้อนรับอย่างอบอุ่น หนูขอตัวกลับบ้านนะคะ”
หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว อู่เหมยก็ขอตัวลากลับ ใบหน้าเธอเปี่ยมด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข เมื่อกี้นี้สยงมู่มู่เล่าเรื่องเรียนวาดรูปของอู่เหมยแล้ว คุณพ่อสยงมีท่าทีลังเลเล็กน้อย แต่จ้าวอิงหนานไม่พูดพร่ำทำเพลงตกปากรับคำทันที เธอรับปากว่าจะช่วยอู่เหมยปิดเป็นความลับ และให้อู่เหมยสบายใจได้เลย
“วันหลังแวะมาเที่ยวเล่นบ่อยๆ นะจ๊ะ ป้าจะให้คุณลุงสยงของหนูทำอาหารอร่อยๆ ให้” จ้าวอิงหนานบอกให้สามีมาหาแต่เขาก็ไม่ใจอ่อนแม้แต่น้อย
“ไว้หนูจะมาอีกนะคะ คุณลุงสยง คุณป้าจ้าว มู่มู่ บ๊ายบายค่ะ!”
อู่เหมยโบกไม้โบกมือให้พวกเขา แล้วเดินลงบันไดไป เตรียมจะกลับบ้านตัวเอง
คุณพ่อสยงไม่ค่อยเห็นด้วยเรื่องที่ช่วยอู่เหมยโกหกผู้ปกครอง เขาขมวดคิ้วและพูดว่า “เราช่วยเด็กโกหกแบบนี้ไม่ดีเลย อิงหนานเมื่อกี้คุณหุนหันพลันแล่นเกินไปนะ”
“แล้วไม่ดีตรงไหนคะ บางครั้งคำโกหกด้วยเจตนาดีก็ทำให้ชีวิตสวยงามยิ่งขึ้นได้ เหมยเหมยไม่ได้ทำเรื่องไม่ดีสักหน่อย เธอก็แค่อยากเรียนวาดรูปเท่านั้น เด็กเขามีความขวนขวาย แล้วทำไมเราจะไม่ช่วยล่ะ” จ้าวอิงหนานจ้องสามีเขม็ง
สยงมู่มู่ก็พูดเช่นกันว่า “พ่อฮะ เรื่องนี้พ่อต้องลองเอาอย่างแม่บ้างนะฮะ นี่เรากำลังช่วยเหลือว่าที่จิตรกรสาวสวยอยู่เข้าใจหรือเปล่าฮะ เหมยเหมยมีพรสวรรค์ด้านการวาดรูปสูงมาก อาจารย์เฮ่อชอบเธอมากเลย แต่พ่อแม่เธอต่างก็หัวโบราณทั้งคู่ ไม่ได้หัวสมัยใหม่แบบพ่อแม่เลย”
จ้าวอิงหนานเชิดคางอย่างภาคภูมิใจ “ใช่น่ะสิ ลูกได้คลานออกมาจากท้องแม่นับว่าลูกโชคดีมาก ถ้าลูกเจอกับพ่อแม่อู่เหมยคนแบบนั้น ดูสิว่าลูกยังจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอยู่หรือเปล่า”
“โอ้โห! ผมต้องไปกราบขอบคุณสวรรค์แล้ว ขอบคุณที่ไม่ได้ส่งผมไปผิดที่!”
สยงมู่มู่ทำท่าประหลาดกราบท้องฟ้าเบื้องบนสามสี่ที แถมยังทำหน้าทะเล้นพิเรนทร์อีก คุณพ่อสยงกับจ้าวอิงหนานต่างก็ระเบิดหัวเราะดังลั่น แล้วมองลูกชายด้วยความปลื้มใจ สวรรค์คุ้มครอง ในที่สุดลูกชายของพวกเขาก็กลับสู่เส้นทางที่ถูกต้องแล้ว!
……………………………………………..
บทที่ 131 ไม่เกี่ยวกับผลการเรียน
พออู่เหมยมาถึงบ้าน ที่บ้านเธอก็กินข้าวเย็นเสร็จพอดี เหอปี้อวิ๋นกำลังเก็บโต๊ะอยู่ พอเห็นอู่เหมย เธอก็พูดเสียงเย็นชาว่า “กลับมาได้แล้วเหรอ อาหารบ้านอื่นอร่อยมากเลยงั้นเหรอ”
เมื่อกี้นี้อู่เยวี่ยวิ่งตาแดงเรื่อกลับมา แล้วบอกเธอเรื่องที่ถูกเมินเฉยอย่างเย็นชาใส่ที่บ้านสยงมู่มู่ ไม่ต้องบอกหรอกว่าเหอปี้อวิ๋นปวดใจแค่ไหน เธออดตำหนิบ้านสยงไม่ได้ แต่คนที่เธอโกรธแค้นยิ่งกว่าก็ยังคงเป็นอู่เหมย
ในความคิดเธอสิ่งดีๆ ทั้งหมดควรจะเป็นของอู่เยวี่ย สยงมู่มู่เพื่อนคนนี้ก็เช่นกัน แต่ตอนนี้สยงมู่มู่กลับถูกอู่เหมยแย่งไปแล้ว เหอปี้อวิ๋นรู้สึกสบายใจก็แปลกแล้ว
อย่างไรก็ตามเธอก็หัดฉลาดขึ้นบ้างแล้ว เธอจะไม่ทุบตีด่าทอต่อหน้าอู่เจิ้งซือ แต่จะแค่พูดกระทบกระเทียบนิดๆ หน่อยๆ เพื่อระบายความโมโหเท่านั้น
อู่เหมยมองอู่เยวี่ยแวบหนึ่ง แล้วแอบยิ้มเยาะอยู่ในใจ คิดว่าตัวเองเป็นคนที่ใครเห็นใครก็รักจริงๆ หรือ!
คราวนี้เธอเสียเปรียบที่บ้านสยงล่ะสิ!
“คุณลุงสยงกับคุณป้าจ้าวให้หนูอยู่กินข้าวด้วยให้ได้ พวกท่านมีน้ำใจมาก หนูไม่อาจปฏิเสธได้ หนูเลยจำต้องอยู่ต่อค่ะ พ่อคะ คุณป้าจ้าวบอกพ่อเรื่องนี้แล้วใช่มั้ยคะ” อู่เหมยไม่ได้มองเหอปี้อวิ๋น คุยแต่กับอู่เจิ้งซือเท่านั้น
“อืม บอกแล้ว แต่แค่ครั้งนี้ก็พอนะ ต่อไปจะอยู่กินข้าวที่บ้านคนอื่นอีกไม่ได้ แบบนี้คนอื่นจะหัวเราะเยาะเอาได้ว่าพ่อแม่ไม่สั่งสอน” อู่เจิ้งซือพูดเสียงทุ้ม
“เข้าใจแล้วค่ะ ต่อไปพอถึงเวลากินข้าว หนูจะกลับมาบ้านค่ะ”
เดิมทีอู่เหมยไม่คิดที่จะกินข้าวที่บ้านสยงบ่อยๆ อยู่แล้ว แม้ว่าบรรยากาศที่บ้านสยงเป็นสิ่งที่เธอใฝ่ฝัน แต่ถึงที่นี่จะอบอุ่นสุขสบาย อย่างไรเสียก็ไม่ใช่บ้านของตัวเอง อยู่กินบ้างเป็นครั้งคราวยังพอได้ แต่ไปกินบ่อยๆ มันดูไม่ดี
อู่เจิ้งซือยิ้มเล็กน้อย เขารู้สึกพอใจกับการแสดงออกของอู่เหมยมาก แล้วโบกไม้โบกมือบอกให้เธอไปอ่านหนังสือ อู่เหมยครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วหยิบสมุดเรียงความออกมาจากกระเป๋าเป้
“พ่อคะ เรียงความที่หนูเขียนหลังจากไปเฟิ่งหวงซานคราวก่อน คุณครูเอ่ยชมด้วยค่ะ แถมยังเป็นเรียงความตัวอย่างอ่านให้เพื่อนในห้องฟังด้วย”
อู่เจิ้งซือประหลาดใจพลางรับสมุดเรียงความมา ห้าดาวบวก นับเป็นคะแนนที่ดีที่สุดของเรียงความแล้ว แล้วยังมีหลายประโยคที่ใช้ปากกาสีแดงขีดเส้นหยักเอาไว้ พร้อมกับเขียนความเห็นอยู่ด้านท้าย ซึ่งไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากชมว่าเขียนได้ดี และให้อู่เหมยรักษามาตรฐานต่อไป
“ดี ดีมาก ปี้อวิ๋นคุณลองมาดูนี่สิ เรียงความของเหมยเหมยได้ตั้งห้าดาวบวกแน่ะ ไม่เลวทีเดียว!”
อู่เจิ้งซือพูดชมว่าดีไม่หยุด ความดีอกดีใจยากจะบรรยายเป็นคำพูดได้ ดูออกว่าเขามีความสุขมากจริงๆ เหอปี้อวิ๋นเดินเข้ามาหาและดูแบบผ่านๆ ไม่ได้ดีใจสักเท่าไร
“เรียงความบทเดียวบอกอะไรไม่ได้หรอก ยังไงนักเรียนก็ต้องดูที่คะแนน”
อู่เหมยรู้สึกเศร้าห่อเหี่ยว แล้วมองไปทางเหอปี้อวิ๋น เธอชักสงสัยขึ้นมาแล้ว เมื่อก่อนเธอคิดมาตลอดว่าเหอปี้อวิ๋นไม่ชอบเธอเป็นเพราะเธอเรียนแย่ เหอปี้อวิ๋นรู้สึกขายหน้าถึงได้เกลียดเธอ
แต่ตอนนี้ดูท่าจะไม่ใช่อย่างนั้น เรียงความเธอได้ห้าดาวบวก แต่เหอปี้อวิ๋นดูไม่ดีใจเลยสักนิดเดียว เห็นได้ชัดว่าเหอปี้อวิ๋นไม่ได้สนใจผลการเรียนของเธอเลย
บางทีเหอปี้อวิ๋นอาจจะแค่ใช้เรื่องผลสอบของเธอมาเป็นข้ออ้างในการสั่งสอนเธอ ผู้หญิงคนนี้เกลียดเธอมาจากก้นบึ้งหัวใจเลย!
ไม่ว่าเธอจะผลการเรียนดีหรือว่าผลการเรียนแย่ก็ตาม!
ความเจ็บปวดเอ่อท้นขึ้นมาจากก้นบึ้งหัวใจ แม้แต่ที่ปลายลิ้นก็รู้สึกขมขื่น อู่เหมยก้มหน้าและหัวเราะเยาะตัวเอง เธอไม่อาจเข้าใจความคิดของเหอปี้อวิ๋นได้เลย ใครๆ ต่างก็พูดว่าไม่มีแม่คนไหนที่ไม่รักลูกของตัวเอง!
แต่ทำไมแม่เธอกลับไม่รักเธอเลย
อู่เจิ้งซือถลึงตาใส่เหอปี้อวิ๋นด้วยความไม่พอใจ เขายิ้มพลางพูดกับอู่เหมยว่า “เทอมนี้การเรียนของเหมยเหมยใช้ได้ทีเดียว พ่อจะให้รางวัลลูก เหมยเหมยลูกอยากได้ของขวัญอะไร”
ช่วงนี้อู่เจิ้งซือได้คิดทบทวนแล้ว วันครูคราวก่อนที่บ้านของพ่อแม่คำพูดของตี๋ชิวเยวี่ยกับจี้เจี้ยนโปได้จุดประกายความคิดเขาเป็นอย่างมาก เขารู้สึกว่าเมื่อก่อนตัวเองมองข้ามละเลยอู่เหมยเกินไปจริงๆ การที่อู่เหมยผลการเรียนแย่แบบนี้ เขาเองก็มีส่วนต้องรับผิดชอบ โชคดีที่ตอนนี้ยังแก้ไขได้ทัน!
…………………………………………………
บทที่ 132 มีของขวัญ
อู่เยวี่ยจ้องมองสมุดเรียงความเล่มนั้นด้วยความงงงัน เล็บจิกลงไปที่กลางฝ่ามือ คิดไม่ถึงว่าเจินหวานหว่านเด็กบ้านั่นจะไม่ได้บอกเรื่องที่สำคัญขนาดนี้กับเธอ อู่เหมยเจ้าน้องโง่คนนี้เริ่มฉลาดขึ้นมาแล้วจริงๆ อย่างนั้นหรือ
เมื่อก่อนเรียงความเธอคำนำกับสรุปไม่ไปทางเดียวกันเลย เหมือนกับบัญชีรายรับรายจ่ายประจำวัน แต่จู่ๆ คราวนี้กลับได้ห้าดาวบวก?
แถมคุณครูยังอ่านให้นักเรียนในห้องฟังเป็นเรียงความตัวอย่างด้วย?
เป็นไปได้อย่างไรเนี่ย!
ผลงานมีหน้ามีตาแบบนี้เป็นของเธออู่เยวี่ยเท่านั้น อู่เหมยมีสิทธิ์อะไรได้ไป การด่าประจาน วิพากษ์วิจารณ์ หัวเราะเยาะและทุบตีต่างหากถึงจะเป็นชีวิตประจำวันของอู่เหมย ส่วนการชื่นชมและการชมเชยไม่ควรจะเยื้องกรายมาหาอู่เหมยเลยด้วยซ้ำ
อู่เหมยมองอู่เจิ้งซือด้วยความดีใจระคนประหลาดใจ เดิมทีเธอแค่อยากทำให้อู่เยวี่ยรู้สึกเสียใจ คิดไม่ถึงว่าจะมีข่าวดีเกินคาด!
“หนูขอของขวัญอะไรก็ได้เหรอคะ” อู่เหมยถามเสียงเบา
อู่เจิ้งซือยิ้มพลางพยักหน้า “แน่นอนว่าขอของแพงมากไม่ได้ ต้องขอของขวัญเท่าที่พ่อรับได้”
อู่เหมยยิ้มกว้างและพูดว่า “หนูอยากได้รองเท้าผ้าใบสีขาวคู่ใหม่ ไม่เอาที่พี่เขาเคยใส่แล้วนะคะ ขอแบบซื้อใหม่ๆ เลย”
อู่เจิ้งซือเหลือบมองรองเท้าผ้าใบที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองของอู่เหมย คิ้วเขาขมวดเล็กน้อย แล้วตอบตกลง “ได้อยู่แล้ว ปี้อวิ๋นเดี๋ยวพรุ่งนี้คุณไปซื้อรองเท้าผ้าใบคู่ใหม่ให้เหมยเหมยด้วยนะ”
เหอปี้อวิ๋นรู้สึกปวดใจ ต้องเสียเงินอีกแล้ว แล้วเมื่อไรเธอจะได้ซื้อโทรทัศน์สีของเธอล่ะ
เจ้าเด็กบ้านี่เป็นผีทวงหนี้ชัดๆ!
“เข้าใจแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้เลิกงานแล้วฉันจะไปซื้อ” ต่อให้ไม่ยอมแค่ไหน แต่เหอปี้อวิ๋นก็จำต้องรับปาก แต่ไหนแต่ไรเธอไม่เคยเถียงอู่เจิ้งซือต่อหน้าลูกๆ และคนนอกเลย นี่เป็นหน้าที่ของศรีภรรยาที่ดี
“ขอบคุณค่ะคุณพ่อคุณแม่ หนูไปทำการบ้านนะคะ!”
อู่เหมยอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เธอเดินฮัมเพลงกลับเข้าห้องไป แต่อู่เยวี่ยดีใจไม่ออกแม้แต่นิดเดียว แล้วก็กลับเข้าห้องเช่นกัน ที่ด้านนอกห้องเหอปี้อวิ๋นระบายความไม่พอใจเสียงเบา “ที่รัก หมู่นี้เหมยเหมยใช้เงินเก่งเหลือเกิน ทั้งพัดลม ทั้งโคมไฟตั้งโต๊ะ เงินเดือนคุณทั้งเดือนถูกเธอใช้หมดเลย ต่อไปคุณห้ามยอมเธอไปเสียทุกอย่างนะคะ”
อู่เจิ้งซือชำเลืองมองเธอแวบหนึ่ง แล้วพูดเสียงเรียบว่า “เงินเดือนที่ผ่านๆ มาของผมใช้หมดแล้วอย่างงั้นเหรอ บ้านเราไม่มีเงินเก็บเลยเหรอไง?”
เหอปี้อวิ๋นรีบพูดว่า “มีเงินเก็บอยู่แล้วค่ะ ฉันเก็บไว้อยู่ค่ะ ฉันก็แค่อยากเก็บเงินไว้ซื้อโทรทัศน์สีนี่นา!”
“โทรทัศน์สีไว้ซื้อปีหน้าก็ได้ เราไม่จำเป็นต้องประหยัดเงินกับเรื่องของลูกๆ”
แต่ไหนแต่ไรอู่เจิ้งซือไม่ค่อยสนอกสนใจโทรทัศน์สีหรือตู้เย็นพวกนี้ มีหรือไม่มีก็ได้ สำหรับเขาขอแค่ในบ้านมีหนังสือก็พอแล้ว
เหอปี้อวิ๋นมองออกว่าเขาเริ่มหงุดหงิดแล้ว เธอก็เลยไม่กล้าพูดอะไรอีก เธอรู้สึกอึดอัดใจมาก ในโรงเรียนประถมที่เธอทำงานอยู่ เธอนับเป็นคุณครูที่มีฐานะทางครอบครัวดีเลิศ ไม่ว่าจะซื้อพัดลมหรือว่าโทรทัศน์วิทยุ เธอซื้อเป็นคนแรกตลอด แน่นอนว่าเรื่องโทรทัศน์สีเธอเองก็ไม่อยากล้าหลังคนอื่นเช่นกัน
ส่วนสาเหตุที่เหอปี้อวิ๋นอยากจะซื้อโทรทัศน์สีให้ได้ก่อนตรุษจีน ก็เป็นเพราะเธอได้ข่าวว่าเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเตรียมจะเปลี่ยนโทรทัศน์ที่บ้านเป็นโทรทัศน์สีราวๆ ช่วงตรุษจีนนี่แหละ เหอปี้อวิ๋นถึงได้รีบร้อนเลื่อนกำหนดซื้อโทรทัศน์สีให้เร็วขึ้น
แต่คิดไม่ถึงว่าอู่เหมยจะทำเสียแผน ทำให้แผนการเธอล้มเหลวไม่เป็นท่า จุดสนใจนี้กำลังจะถูกคนอื่นแย่งไปอยู่แล้ว เหอปี้อวิ๋นจะไม่โมโหได้อย่างไร!
พอเข้ามาในห้อง อู่เหมยก็หยิบกล่องกระดาษออกมาจากใต้เตียง ไม่ได้เห็นหน้าเจ้าฉิวฉิวมาทั้งวัน เธอคิดถึงจะแย่อยู่แล้ว แต่ว่า…
ในกล่องกระดาษว่างเปล่า มีแต่เปลือกถั่วลิสงเกลื่อนไปหมด และฉิวฉิวก็หายไป
อู่เหมยใจหล่นวูบไปที่ตาตุ่ม ฉิวฉิวไปไหนนะ
เธอวิ่งไปดูที่ขอบหน้าต่าง หวังว่าฉิวฉิวจะแค่ไปฉี่ไปอึ แต่ที่ขอบหน้าต่างก็ไม่มีร่องรอยเช่นกัน แต่มีเปลือกถั่วลิสงสามสี่เม็ด แล้วก็ยังมีก้อนเล็กๆ สีดำอีกสองสามก้อน
อู่เหมยเบาใจขึ้นเล็กน้อย ดูท่าฉิวฉิวจะวิ่งออกไปเอง เดี๋ยวเธอจะลองไปหาที่สนามด้านหลังดู หวังว่าเจ้าฉิวฉิวจะไม่ได้วิ่งกลับขึ้นเขาไปนะ
……………………………………………..
ตอนที่ 133 ขอคำชม
อู่เหมยพยายามสงบจิตสงบใจทำการบ้านให้เสร็จ แล้วรีบร้อนออกไปข้างนอก อู่เยวี่ยตะโกนเรียกเธอ “เธอจะออกไปทำไมอีกน่ะ”
“แล้วพี่เกี่ยวอะไรด้วย”
อู่เหมยตอกกลับไปอย่างเย็นชา แล้วเธอก็วิ่งออกไปโดยไม่แม้แต่จะมอง อีกทั้งตะโกนบอกอู่เจิ้งซือที่อยู่ข้างในว่า “พ่อคะ หนูทำการบ้านเสร็จแล้ว หนูไปวิ่งที่สนามด้านหลังนะคะ”
“อยู่ดีๆ ไปวิ่งทำไม มีเวลาแล้วไม่รู้จักทำงานบ้าน?” เหอปี้อวิ๋นโผล่หน้าออกมาจากห้องน้ำ มือเต็มไปด้วยฟอง
“เสื้อผ้าของหนู หนูต้องซักเองตลอด คุณครูบอกว่าต้องออกกำลังกายเป็นประจำถึงจะมีแรงเรียนหนังสือ” อู่เหมยตอบอย่างสงบนิ่ง
อู่เจิ้งซือเดินออกมา “ไปเถอะ วิ่งสักสองรอบแล้วก็กลับบ้าน ระวังด้วยนะ”
“ค่ะ บ๊ายบายค่ะพ่อ!” อู่เหมยโบกไม้โบกมือให้อู่เจิ้งซือ
หลังจากอู่เหมยออกไป อู่เจิ้งซือก็มองเหอปี้อวิ๋นอย่างไม่พอใจ แล้วเดินมือไพล่หลังกลับเข้าห้องไป เหอปี้อวิ๋นขยี้ผ้าด้วยความโมโห รู้สึกสงสารมือตัวเองเหลือเกิน ช่วงนี้งานยุ่งมาก ไม่เพียงงานบ้านจะมากกว่าแต่ก่อนเป็นเท่าตัว มือยังหยาบกร้านขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย
“ฉิวฉิว แกอยู่ที่ไหน รีบกลับบ้านกับพี่เร็ว!”
อู่เหมยร้องเรียกเจ้ากระรอกน้อยเสียงเบา เธอเป็นห่วงว่ามันจะเจอเข้ากับแมวจรจัด แล้วก็กลัวว่ามันจะกลับบ้านไปเองแล้ว สีหน้าเธอดูร้อนใจมาก
เหยียนหมิงซุ่นกระโดดลงมาจากบาร์คู่ ในที่สุดเด็กหญิงก็ออกมาตามหาแล้ว เงาสีขาวเงาหนึ่งกระโดดลงมาจากต้นไม้ แล้ววิ่งไปทางอู่เหมย เหยียนหมิงซุ่นหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ แล้วกระโจนเข้าไปจับตัวเจ้ากระรอกน้อยกลับมาอย่างเร็วจี๋ปานสายฟ้าแลบ
“กูกู”
ฉิวฉิวดีดดิ้นไปมาอยู่ในอ้อมแขนเหยียนหมิงซุ่น เหยียนหมิงซุ่นลูบหัวมันเบาๆ “ใจเย็นๆ ฉันจะพาแกไปหาเจ้านายเดี๋ยวนี้แหละ”
ดูเหมือนว่ามันจะเข้าใจที่เหยียนหมิงซุ่นพูด เจ้าตัวน้อยสงบนิ่งลงอย่างรวดเร็วและแอบอิงอย่างว่านอนสอนง่าย เหยียนหมิงซุ่นยิ้มอย่างพอใจ แล้วกอดเจ้าฉิวฉิวพลางเดินไปหาอู่เหมย
“เธอกำลังตามหาฉิวฉิวอยู่เหรอ”
พอได้ยินเสียงดังจากข้างหลัง อู่เหมยที่ร้อนใจจนแทบจะร้องไห้ออกมาก็หันขวับทันที แล้วเธอก็เห็นเจ้าตัวน้อยในอ้อมแขนของเหยียนหมิงซุ่น เธอส่งเสียงร้องด้วยความดีใจระคนประหลาดใจ
“ฉิวฉิว แกปลอดภัย ดีจังเลย ดีจริงๆ!”
ฉิวฉิวกระโดดเข้าสู่อ้อมแขนเธอ อู่เหมยกอดเจ้าตัวน้อยแน่นและจุ๊บอีกหลายฟอด เธอดีอกดีใจสุดๆ เหมือนได้ของที่เสียไปกลับคืนมา
“เจ้าตัวน้อยคงจะหิวแล้วละ เมื่อกี้ฉันป้อนวอลนัทให้มันกินหนึ่งเม็ด ฉันคิดว่าเธอคงจะร้อนใจน่าดู ก็เลยพามันมาหาเธอ” เหยียนหมิงซุ่นพูดเสียงเรียบ
อู่เหมยรู้สึกซาบซึ้ง “ขอบคุณค่ะพี่หมิงซุ่น ฉันนึกว่าเจ้าฉิวฉิวถูกแมวจรจัดกินไปซะแล้ว ฉันร้อนใจแทบแย่”
ฉิวฉิวส่งเสียงร้องไม่พอใจ แมวจรจัดอะไรพวกนี้อ่อนด้อยมาก แม้แต่งูพิษมันยังไม่กลัว แล้วจะกลัวแมวจรจัดได้อย่างไร
อีกอย่างคือไม่นึกเลยว่าผู้ชายคนนี้จะโกหกนายหญิง มันหาลูกสนกินเองชัดๆ มีวอลนัทที่ไหนกัน
เหยียนหมิงซุ่นยิ้ม “ไม่ต้องขอบคุณหรอก แล้วเธอทำการบ้านเสร็จหรือยัง”
อู่เหมยพยักหน้า “ทำเสร็จแล้วค่ะ พี่หมิงซุ่น เรียงความฉันได้ห้าดาวบวกด้วยล่ะ แล้วอาจารย์ยังอ่านให้เพื่อนในห้องฟังเป็นเรียงความตัวอย่างด้วย!”
เหยียนหมิงซุ่นมองดูเด็กหญิงที่ตาเป็นประกายและมีสีหน้าเว้าวอนขอคำชม แล้วเขาก็อดหัวเราะไม่ได้ เขาพูดชมเปาะ “เยี่ยมยอดมาก เธอเขียนเรียงความอะไรเหรอ”
“เป็นบันทึกการท่องเที่ยวจากที่เราไปปิกนิกกันที่เฟิ่งหวงซานคราวก่อน ฉันเขียนถึงการต่อสู้ระหว่างเจ้าฉิวฉิวกับงูใหญ่ อาจารย์บอกว่าฉันเขียนได้สมจริงมาก คุณพ่อก็ชมฉันเหมือนกัน แล้วก็ให้รางวัลเป็นรองเท้าผ้าใบคู่ใหม่”
อู่เหมยเหมือนกับสาวน้อยอย่างแท้จริง เธอกระหายอยากจะบอกเรื่องเรียงความของเธอกับทุกๆ คนที่เธออยากบอก เธอคาดหวังว่าจะได้รับการยอมรับเสียเหลือเกิน!
“อาจารย์อู่คงดีใจมากเลยใช่มั้ย”
“อืม คุณพ่อดีใจมาก แต่คุณแม่ไม่ดีใจ พี่สาวก็ไม่ดีใจ แต่ฉันก็ไม่สนใจหรอก” ที่จริงอู่เหมยแอบน้อยใจนิดหน่อย ความน้อยใจพรั่งพรูออกมาต่อหน้าเหยียนหมิงซุ่นโดยอัตโนมัติ
………………………………………………..
ตอนที่ 134 ไร้ปณิธานที่ยิ่งใหญ่
เหยียนหมิงซุ่นขมวดคิ้ว รู้สึกไม่พอใจเหอปี้อวิ๋น นานๆ ทีลูกจะได้คะแนนดี ทำไมไม่เห็นพูดชมเลยสักคำ
“ฉันเองก็ดีใจมาก ต่อไปเธอต้องคว้าห้าดาวบวกได้อีกแน่นอน” เหยียนหมิงซุ่นพูดให้กำลังใจ
อู่เหมยพยักหน้าหงึกหงัก “อืม ฉันจะตั้งใจเรียนค่ะ แล้วก็พยายามสอบให้ได้หกสิบคะแนนทุกวิชา”
เหยียนหมิงซุ่นกลั้นหัวเราะไว้ไม่ได้ แค่หกสิบคะแนนเองเหรอ
“ทำไมไม่ตั้งเป้าที่เก้าสิบคะแนนล่ะ”
อู่เหมยทำหน้ายู่ แล้วพูดอย่างน่าสงสารว่า “ฉันสอบไม่ได้เก้าสิบคะแนนอยู่แล้ว หกสิบคะแนนฉันยังไม่มั่นใจเลยค่ะ”
“ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ เมื่อก่อนเธอสอบได้กี่คะแนน” เหยียนหมิงซุ่นไม่เข้าใจนิดหน่อย สำหรับเขาแล้วการเรียนหนังสือเป็นเรื่องที่ง่ายมากจริงๆ หากไม่ใช่เพราะเขาทุ่มกำลังให้กับเรื่องอื่นแล้วละก็ คนที่สอบได้ที่หนึ่งอาจไม่ใช่เหมยซูหานก็ได้
“คือฉันรู้ตัวเองดี ยังไงซะฉันก็ทำไม่ได้เก้าสิบคะแนนหรอกค่ะ”
อู่เหมยไม่อยากบอกคะแนนวิชาอื่นของเธอต่อหน้าเหยียนหมิงซุ่น เธอรู้สึกว่ามันน่าขายหน้ามาก แล้วก็กังวลว่าเหยียนหมิงซุ่นจะดูถูกเธอเช่นเดียวกันกับคนอื่นๆ!
เหยียนหมิงซุ่นมองออกว่าอู่เหมยไม่สบอารมณ์ เขาก็เลยไม่ซักไซ้อะไรอีก เขายิ้มพลางพูดว่า “ตั้งเป้าหมายเล็กๆ ก่อนก็ได้ พอเป้าหมายเล็กสำเร็จแล้ว เราค่อยพยายามทำเป้าหมายใหญ่ให้ลุล่วง แบบนี้ถึงจะมีแรงผลักดันทุกวัน เหมยเหมย แล้วในอนาคตเธออยากทำอะไร?”
อู่เหมยงงงัน แล้วมองท้องฟ้ายามค่ำคืนด้วยความสับสน ‘เธออยากทำอะไร?’
คำถามนี้เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยจริงๆ!
หลังจากกลับมาเกิดใหม่ สิ่งเดียวที่เธอคิดก็คือแก้แค้น นอกนั้นเธอไม่เคยคิดถึงเลย
เหยียนหมิงซุ่นพูดต่ออีกว่า “ทุกคนควรจะต้องมีเป้าหมายระยะยาวหนึ่งอย่างกับเป้าหมายระยะสั้นหลายๆ อย่าง เป้าหมายระยะสั้นเป็นการสร้างรากฐานให้กับเป้าหมายระยะยาว เราค่อยๆ ทำเป้าหมายระยะสั้นให้สำเร็จไปทีละอย่าง ทีนี้เป้าหมายระยะยาวก็จะเป็นจริงขึ้นมา ชีวิตถึงจะสมบูรณ์”
“เป้าหมายระยะยาว? แต่ฉันไม่ได้คิดเรื่องที่ไกลเกินไป ฉันไม่รู้เลยว่าตัวเองทำอะไรได้บ้าง” อู่เหมยเศร้าซึมเล็กน้อย
เหยียนหมิงซุ่นพูดเสียงนุ่มนวลว่า “ไม่ต้องรีบร้อน ตอนนี้เธอยังเด็ก ลองคิดเป้าหมายระยะสั้นก่อนก็ได้ ตอนนี้เธออยากทำอะไรมากที่สุดล่ะ”
“ฉันอยากสอบได้หกสิบคะแนนทุกวิชาค่ะ” อู่เหมยพูดโพล่งออกมา
มุมปากเหยียนหมิงซุ่นกระตุกเล็กน้อย เจ้าเด็กคนนี้หลอกง่ายเสียจริงๆ เขาถามอย่างจนใจ “ถ้าสอบได้หกสิบคะแนนแล้ว เธออยากทำอะไรอีก อยากจะสอบได้ที่หนึ่งบ้างหรือเปล่า”
“ไม่ค่ะ ฉันทำไม่ได้แน่นอน” อู่เหมยส่ายหัวแรง เรื่องไหนที่เธอรู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีทางทำได้ เธอก็จะไม่เปลืองแรงทำหรอก
เป็นครั้งแรกที่เหยียนหมิงซุ่นรู้สึกไร้เรี่ยวแรง ไว้เดี๋ยวจะลองถามหมิงต๋าดูว่าตกลงเจ้าเด็กคนนี้ผลการเรียนแย่ขนาดไหนกัน
อู่เหมยแอบชำเลืองมองเหยียนหมิงซุ่นแวบหนึ่ง เธอรู้สึกกังวลใจเล็กน้อย กลัวเหยียนหมิงซุ่นจะคิดว่าเธอไร้ปณิธานที่ยิ่งใหญ่ แต่เรื่องสอบได้ที่หนึ่งเธอทำไม่ได้จริงๆ เธอไม่มีพรสวรรค์ด้านเรียนหนังสือเลยสักนิด
“พี่หมิงซุ่นคะ วันนี้ฉันไปสมัครเรียนวาดรูปเรียบร้อยแล้วค่ะ อาจารย์เฮ่อบอกว่าฉันวาดเก่งมาก แถมยังพูดชมฉันด้วย” อู่เหมยพูดเสียงเบา
เหยียนหมิงซุ่นนึกถึงรูปเจ้าฉิวฉิวที่อู่เหมยวาดบนภูเขาเฟิ่งหวงซานคราวก่อน เธอวาดได้ไม่เลวจริงๆ เขาอดยิ้มไม่ได้ “เยี่ยมมาก พอเรียนวาดรูปจบแล้ว ต่อไปก็จะมีอนาคตที่สดใสได้ ไม่แน่ว่าในอนาคตเธออาจจะเป็นจิตรกรก็ได้นะ!”
“สยงมู่มู่ก็พูดแบบนี้เหมือนกันค่ะ เขาบอกว่าต่อไปฉันสามารถเดินบนเส้นทางอื่นได้ ไม่จำเป็นต้องปวดหัวกับเรื่องเรียน”
พอได้ยินชื่อของสยงมู่มู่ เหยียนหมิงซุ่นก็ขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัวและถามว่า “เหมยเหมยสนิทกับสยงมู่มู่เหรอ”
“เปล่าค่ะ เราเพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นาน”
อู่เหมยเล่าเรื่องที่เธอกับสยงมู่มู่รู้จักกันได้อย่างไร แล้วบอกอีกว่า “คุณลุงสยงกับคุณป้าจ้าวพวกท่านใจดีมาก ฉันชอบพวกท่านค่ะ”
แน่นอนว่าเหยียนหมิงซุ่นรู้จักพ่อแม่ของสยงมู่มู่ พวกเขาเป็นคู่สามีภรรยาที่ใครๆ ต่างพากันอิจฉา แม้ตระกูลสยงจะมีชื่อเสียงมากในวงการดนตรี แต่ก็ไม่อาจเทียบกับตระกูลจ้าวได้
………………………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น