เทพปีศาจหวนคืน 1206-1220

 เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1206 บรรลุระดับเจ็ด


แปลโดย iPAT 


ฟางหยวนทิ้งเรื่องงานประลองทุ่งโลหิตเอาไว้ข้างหลัง


เขาจะไม่ปล่อยแดนศักดิ์สิทธิ์ของเย่หลิวชุนซิงไปอย่างแน่นอน แม้เขาจะไม่สามารถกลืนกินมันในตอนนี้แต่เขายังสามารถทำมันได้ในอนาคต


สำหรับผู้อมตะฝ่ายธรรมะที่ต้องการศพและดวงวิญญาณของเย่หลิวชุนซิง ฟางหยวนคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และเต็มใจที่จะตอบสนองคำของบางส่วนของพวกเขา


สิ่งที่เขาต้องการมีเพียงแดนศักดิ์สิทธิ์และดวงวิญญาณของเย่หลิวชุนซิง เมื่อเขาค้นวิญญาณของเย่หลิวชุนซิง เขาจะได้เรียนรู้ความลับมากมายของเผ่าเย่หลิว หลังจากค้นวิญญาณ เขาจะขายดวงวิญญาณนี้ให้กับนิกายหลางหยาเพื่อแลกกับแต้มผลงาน


‘เรื่องเร่งด่วนในตอนนี้คือทดสอบว่าข้าสามารถกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเขาหรือไม่?’


ฟางหยวนบินไปอย่างรวดเร็ว


แน่นอนว่าเขาป้องกันตัวจากการตรวจสอบของเจตจำนงสวรรค์ตลอดเวลา


ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา เขามาถึงไท่ชิว


ไท่ชิวอยู่ไม่ไกลจากทุ่งโลหิต


หากมองจากแผนที่ภาคเหนือ ทุ่งโลหิตอยู่ด้านซ้าย ไท่ชิวอยู่ด้านขวา ตรงกลางคือแดนศักดิ์สิทธิ์อินทรีย์เหล็กของเผ่าไห่


ทุ่งโลหิต แดนศักดิ์สิทธิ์อินทรีย์เหล็ก และไท่ชิวเป็นสามอาณาเขตที่เชื่อมต่อกัน


เมื่อเข้าสู่ไท่ชิว ฟางหยวนเปลี่ยนรูปลักษณ์และลอบเข้าไป


เขาคุ้นเคยกับเส้นทางเป็นอย่างดี ดังนั้นเพียงไม่นานเขาก็ไปถึงค่ายกลวิญญาณขนส่งของนิกายหลางหยาและเดินทางกลับแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาได้สำเร็จ


“ฟางหยวนกลับมาแล้ว!” ผมที่หกจับตามองฟางหยวนอย่างใกล้ชิด


“ตั้งแต่เขาแลกเปลี่ยนวิญญาณอมตะลมหายใจมังกร นี่เป็นครั้งแรกที่เขากลับมา เขาใช้วิญญาณอมตะลมหายใจมังกรทำสิ่งใด?” ผมที่หกพยายามคาดเดา


แต่เขาไม่รู้ว่าหลายชั่วโมงก่อนฟางหยวนใช้ท่าไม้ตายอมตะเปลี่ยนเป็นมังกรดาบบรรพกาลเพื่อสังหารผู้อมตะระดับเจ็ดที่มีชื่อเสียงของภาคเหนือเย่หลิวชุนซิง


คนผู้นี้อยู่ในระดับเดียวกับไป่ซุ้ยฮันและบัณฑิตสันโดษ


กล่าวได้ว่าความแข็งแกร่งในปัจจุบันของฟางหยวนสามารถแข่งขันกับตัวตนเหล่านี้แล้ว


ตั้งแต่ความล้มเหลวที่ภูเขาอี้เทียน นิกายเงาตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ดีนัก ผมที่หกอาจเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวของนิกายเงาที่เหลืออยู่ในภาคเหนือ ดังนั้นการรวบรวมข้อมูลของเขาจึงค่อนข้างล่าช้า


แต่ข่าวของฟางหยวนไม่สามารถปกปิด ฟางหยวนสังหารเย่หลิวชุนซิง นี่เป็นข่าวที่น่าตกใจเกินไปและในไม่ช้ามันจะแพร่กระจายไปทั่วภาคเหนือ


กระทั่งสิบนิกายโบราณของภาคเหนือก็ยังสนใจการต่อสู้ที่ทุ่งโลหิต


“โอ้ ฟางหยวนออกไปอีกแล้วงั้นหรือ?” ผมที่หกประหลาดใจ


ค่ายกลวิญญาณขนส่งถูกใช้งานอีกครั้ง


ผมที่หกไม่รู้ว่าฟางหยวนกำลังทำสิ่งใด เขามาและรีบจากไป แต่ผมที่หกยังรู้สึกสังหรณ์ใจว่ามีบางสิ่งผิดปกติและค่อนข้างน่าตื่นตระหนก เขารู้สึกว่าฟางหยวนกำลังจะได้รับผลประโยชน์มหาศาล


ความเร็วในการเติบโตของฟางหยวนเป็นข่าวร้ายสำหรับนิกายเงา


ฟางหยวนใช้ค่ายกลวิญญาณขนส่งของนิกายหลางหยาในการเดินทาง เขาต้องการกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นเขาจึงต้องวางมิติช่องว่างของเย่หลิวชุนซิงลงบนพื้นเป็นอันดับแรก


เขาไม่สามารถวางมิติช่องว่างของเย่หลิวชุนซิงที่ทุ่งโลหิต ความปั่นป่วนจะดึงดูดสายตาจำนวนนับไม่ถ้วนและนั่นไม่ใช่เรื่องดีสำหรับฟางหยวน


‘มันไม่ใช่เรื่องง่าที่จะกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับเจ็ด ข้าต้องวางแผนอย่างรอบคอบและไม่ปล่อยให้เกิดเหตุร้ายใดๆ’


ฟางหยวนปรากฏตัวขึ้นที่ค่ายกลวิญญาณขนส่งที่อยู่ห่างไกลจากทุ่งโลหิต


เขาเลือกสถานที่ไว้แล้ว


เมื่อออกจากค่ายกลวิญญาณขนส่ง เขาบินไปยังทุ่งหญ้าที่ดูธรรมดาแห่งหนึ่ง


หลังจากตรวจสอบและไม่พบสิ่งผิดปกติ ฟางหยวนนำซากศพของเย่หลิวชุนซิงออกมา


ศีรษะของเย่หลิวชุนซิงถูกตัดออกไปแล้ว


ฟางหยวนใช้วิธีการบางอย่างเพื่อทำให้แน่ใจว่ามิติช่องว่างของเย่หลิวชุนซิงยังคงอยู่


วิธีนี้มีที่มาที่ไป


ครั้งหนึ่งฟางหยวนเคยเห็นวิธีดึงมิติช่องว่างออกมาจากร่างผู้อมตะของนางมารผลาญสวรรค์ หลังจากเจรจา เขาได้รับข้อมูลเกี่ยวกับงานวิจัยของผู้อมตะเฒ่ากงเจียจากนาง นอกเหนือจากนี้ฟางหยวนยังมีวิธีการบางอย่างจากชีวิตแรกของเขา ดังนั้นเขาจึงสามารถสร้างวิธีเก็บรักษามิติช่องว่างที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง


ดวงวิญญาณของเย่หลิวชุนซิงถูกนำออกไปและผนึกไว้แล้ว


ในความเป็นจริงดวงวิญญาณของเย่หลิวชุนซิงได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่โชคดีที่ฟางหยวนมีวิญญาณความเด็ดเดี่ยว


แม้วิญญาณความเด็ดเดี่ยวจะเป็นวิญญาณระดับมนุษย์แต่มันถูกสร้างขึ้นจากแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งสวรรค์พิภพและเป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการเสริมสร้างจิตวิญญาณของโลกใบนี้ ฟางหยวนเป็นเจ้าของภูเขาตงฮัน ดังนั้นเขาย่อมมีวิญญาณความเด็ดเดี่ยวสำรองเอาไว้มากมาย


หลังจากใช้วิญญาณความเด็ดเดี่ยว กระทั่งดวงวิญญญาณของเย่หลิวชุนซิงจะใกล้ดับสูญ มันก็ยังได้รับการช่วยเหลือ


ฟางหยวนปลดผนึกและโยนศพไร้หัวลงบนทุ่งหญ้า


เย่หลิวชุนซิงผู้ยิ่งใหญ่เมื่อยังมีชีวิตกลับถูกปฏิบัติอย่างน่าสมเพชหลังจากเสียชีวิต หากผู้อมตะเผ่าเย่หลิวได้เห็นสิ่งนี้ พวกเขาจะกระโดดออกมาและเดิมพันชีวิตกับฟางหยวนด้วยความโกรธ


หลังจากหลายลมหายใจ ปราณสวรรค์พิภพก็หลอมรวมกับมิติช่องว่างของเย่หลิวชุนซิงและสร้างความปั่นป่วนขึ้น


โชคดีที่ฟางหยวนมีวิญญาณอมตะโชคอึสุนัขและไม่โชคร้ายเหมือนสมัยก่อน


โดยไม่มีสิ่งใดผิดพลาด ประตูทางเข้าแดนศักดิ์สิทธิ์เปิดออกต่อหน้าฟางหยวนในที่สุด


เขาเข้าสู่แดนศักดิ์สิทธิ์ของเย่หลิวชุนซิงได้โดยไม่ต้องพึ่งพาอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุด


แดนศักดิ์สิทธิ์ของเย่หลิวชุนซิงค่อนข้างประหลาด


ท้องฟ้าเป็นฉากที่มืดมิดแต่พื้นด้านล่างส่องแสงสีฟ้าสลัว


ฟางหยวนค้นพบว่าแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เต็มไปด้วยดวงดาวจำนวนนับไม่ถ้วน แต่พวกมันเหมือนก้อนหินที่วางอยู่บนพื้น


แดนศักดิ์สิทธิ์ของเย่หลิวชุนซิงกว้างใหญ่ราวกับอาณาจักร


ฟางหยวนต้องการบินแต่เขารู้สึกถึงแรงดึงดูดที่ทำให้เขาจมลงสู่พื้น


ทันใดนั้นดาวสีฟ้าอ่อนขนาดเท่าอ่างล้างหน้าก็ลอยเข้ามาหาฟางหยวน


มันคือจิตวิญญาณแผ่นดิน


ดาวดวงนี้หมุนวนรอบตัวมันเองและปล่อยแสงทุกเฉกสีออกมา นี่ทำให้ฟางหยวนเชื่อมโยงมันกับอัญมณีที่งดงามเช่นเพชร


ท่ามกลางการสื่อสารที่ไร้เสียง ฟางหยวนได้เรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการเป็นเจ้าของคนใหม่ของแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้


สำหรับผู้อมตะทั่วไป มันเป็นเงื่อนไขที่ค่อนข้างยาก


เพราะคำขอของจิตวิญญาณแผ่นดินคือการแสดงเคล็ดลับท่าไม้ตายอมตะที่แท้จริงและสมบูรณ์แบบที่มีชื่อว่าหมื่นหิ่งห้อยดาราให้มันดู


ในขณะที่เย่หลิวชุนซิงยังมีชีวิต เขาค้นคว้าเกี่ยวกับท่าไม้ตายอมตะหมื่นหิ่งห้อยดารามาตลอด ท่าไม้ตายที่เขาสร้างขึ้นก็เลียนแบบมาจากท่าไม้ตายอมตะหมื่นหิ่งห้อยดาราเช่นกัน


นี่เป็นความหมกมุ่นของเขา


“โชคดีจริง ฮ่าฮ่าฮ่า” ฟางหยวนนำเนื้อหาทั้งหมดเกี่ยวกับท่าไม้ตายอมตะหมื่นหิ่งห้อยดาราออกมาและมอบให้กับจิตวิญญาณแผ่นดิน


เขาเป็นคนฆ่าตงฟางชางฟานและค้นวิญญาณของตงฟางชางฟานมานับครั้งไม่ถ้วน หลังจากสูญเสียคุณค่าทั้งหมด ฟางหยวนมอบดวงวิญญาณของตงฟางชางฟานให้กับจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาเพื่อแลกกับแต้มผลงานของนิกาย


หลังจากไม่นานฟางหยวนก็กลายเป็นเจ้าของคนใหม่ของแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้


“ต่อไปเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด มาดูกันว่าข้าจะสามารถกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้หรือไม่?”


ฟางหยวนหยุดพักชั่วขณะก่อนจะเริ่มกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์


ในการกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์มีเงื่อนไขสามประการ


หนึ่ง ความสำเร็จบนเส้นทางสายนั้น


สอง มิติช่องว่างที่ด้อยกว่าไม่สามารถกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เหนือกว่า


สาม มิติช่องว่างที่ตายแล้วไม่สามารถกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์


ฟางหยวนสามารถบรรลุเงื่อนไขสองข้อแต่มีข้อหนึ่งที่ยังคลุมเครือ


มิติช่องว่างที่ด้อยกว่าไม่สามารถกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เหนือกว่า คำถามคือสิ่งใดเรียกด้อยและสิ่งใดเรียกเหนือ?


หากพิจารณาในแง่ของระดับการบ่มเพาะ มิติช่องว่างระดับหกอาจถือว่าด้อยกว่าแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับเจ็ด ในกรณีนี้ฟางหยวนอาจไม่สามารถกลืนกินมันได้


หากพิจารณาในแง่ของรากฐาน มิติช่องว่างจักรพรรดิถือว่าเหนือกว่าแดนศักดิ์สิทธิ์ของเย่หลิวชุนซิงไปไกลมาก ในกรณีนี้ฟางหยวนจะสามารถกลืนกินมัน


ฟางหยวนต้องการตรวจสอบเรื่องนี้ให้ชัดเจน


แต่น่าเสียดายที่เขารู้จักแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับเจ็ดน้อยมาก บางแดนศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ไม่สามารถบรรลุเงื่อนไขข้ออื่น


จนถึงตอนนี้ฟางหยวนมีเพียงแดนศักดิ์สิทธิ์ของเย่หลิวชุนซิงเท่านั้นที่สามารถใช้ในการทดลอง


ด้วยความช่วยเหลือจากจิตวิญญาณแผ่นดินน ฟางหยวนเริ่มกลืนกินทันที


กระบวนการต่างๆดำเนินไปได้อย่างราบรื่นเกินความคาดหมาย


เขาไม่พบอุปสรรคใดๆทั้งสิ้น!


การทดลองประสบความสำเร็จในครั้งเดียว!


หลังจากกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์ชุนซิง ไม่เพียงมิติช่องว่างจักรพรรดิจะได้รับทรัพยากรทั้งหมดจากมัน แต่ฟางหยวนยังสามารถก้าวเข้าสู่ระดับเจ็ดได้ทันที


ผู้อมตะระดับเจ็ด!


“ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปข้าคือผู้อมตะระดับเจ็ด!”


จิตใจของฟางหยวนเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก


ในช่วงห้าร้อยปีของชีวิตแรก ฟางหยวนเป็นผู้อมตะระดับหกที่ผ่านภัยพิบัติสวรรค์เพียงสองครั้ง โดยธรรมชาติตอนนี้ฟางหยวนรู้แล้วว่าเจตจำนงสวรรค์ตั้งใจยับยั้งระดับการบ่มเพาะของเขา


เจตจำนงสวรรค์ต้องการใช้ปีศาจต่างโลกเป็นเครื่องมือเพื่อจัดการกับนิกายเงา ฟางหยวนถูกคัดเลือกจากเจตจำนงสวรรค์ มันพยายามปลุกปั้นตัวหมากของมันให้มีคุณสมบัติที่เหมาะสมที่สุด อย่างน้อยระดับการบ่มเพาะของเขาก็ต้องไม่สูงเกินไป หากเขาแข็งแกร่งเกินไป เจตจำนงสวรรค์จะควบคุมฟางหยวนได้ยากขึ้น นอกจากนี้เขายังต้องไม่อ่อนแอเกินไป มิฉะนั้นกระทั่งเขาจะกำเนิดใหม่ เจตจำนงสวรรค์ก็ไม่สามารถใช้ประโยชน์ใดๆจากเขา


นี่เป็นแผนการระยะยาวที่แยบยลของเจตจำนงสวรรค์!


แต่ในปัจจุบันเนื่องจากการพบโชคลาภโดยังเอิญตลอดจนความพยายามของตัวเขาเอง ในที่สุดฟางหยวนก็สามารถทะลวงผ่านสิ่งกีดขวางของเจตจำนงสวรรค์และก้าวเข้าสู่ระดับเจ็ด!


เรื่องนี้มีความสำคัญมาก!


ผู้อมตะระดับหกถือเป็นชนชั้นล่างสุด ในโลกของผู้อมตะมีผู้อมตะระดับหกอยู่มากที่สุด


ผู้อมตะระดับเจ็ดเป็นชนชั้นกลาง แต่ในกองกำลังของผู้อมตะ พวกขาถือเป็นตัวตนชั้นสูงและมีสถานะสูงส่ง


ผู้อมตะระดับแปดหาได้ยาก ทุกการเคลื่อนไหวของพวกเขาสามารถสร้างพายุใหญ่ในแต่ละภูมิภาค


ด้วยการบ่มเพาะระดับเจ็ด ฟางหยวนกลายเป็นชนชั้นสูงของกองกำลังผู้อมตะ หากเขายังเป็นผู้อมตะระดับหก เขาต้องเดินอ้อมตัวตนระดับสูง แต่เมื่อฟางหยวนบรรลุระดับเจ็ด เขาต้องระวังเพียงตัวตนเช่นเย่หลิวชุนซิงหรือบัณฑิตสันโดษ ตัวตนระดับนู๋เอ๋อกู่ไม่อยู่ในสายตาของเขาอีกต่อไป


ชูตู๋? ฟางหยวนประเมินว่าเขายังด้อยกว่าชูตู๋ โชคดีที่ปัจจุบันชูตู๋เป็นพันธมิตรของเขา


เวลานี้มิติช่องว่างจักรพรรดิเริ่มผลิตพลังงานอมตะระดับเจ็ดแล้ว


ในไม่ช้าฟางหยวนจะมีลูกพลัมแดงอมตะเป็นของตนเอง


ในเวลาเดียวกันเขายังสามารถหลอมรวมองุ่นเขียวอมตะระดับหกที่สะสมไว้และเปลี่ยนพวกมันเป็นลูกพลัมแดงอมตะระดับเจ็ด


องุ่นเขียวอมตะหนึ่งร้อยผลสามารถเปลี่ยนเป็นลูกพลัมแดงอมตะหนึ่งผล


“ข้าต้องหลอมรวมพวกมันเข้าด้วยกัน!”


“ในการใช้องุ่นเขียวอมตะกับวิญญาณอมตะระดับเจ็ด ข้าต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสามสิบส่วน หลังจากหลอมรวมมันเป็นลูกพลัมแดงอมตะ จะไม่มีการสูญเสียที่ไร้ความหมายอีกต่อไป”


“เมื่อเวลาผ่านไป ข้าจะมีลูกพลัมแดงอมตะสำรองไว้และไม่ต้องกลัวการต่อสู้ที่ยึดเยื้ออีกต่อไป สถานการณ์ที่ยากลำบากระหว่างการต่อสู้กับจักรพรรดิสวรรค์ไป่ซู่ในถ้ำสวรรค์ไห่ฟานจะไม่เกิดขึ้นอีกครั้ง!”


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1207 กระทำการชั่วร้าย


แปลโดย iPAT 


“เปรี้ยง!” ห่าวเจิ้นบินขึ้นสู่ท้องฟ้าและยิงสายฟ้าออกมา


สายฟ้าควบรวมเป็นบอลสายฟ้าพุ่งเข้าโจมตีศัตรูของเขาด้วยความเร็วสูง


คู่ต่อสู้ของเขาคือผู้อมตะเผ่ามู่หลานที่มีมัดกล้ามเนื้อแข็งแกร่งราวกับก้อนหิน เขามีดั้งจมูกกว้าง คางใหญ่ และหน้าผากเล็กซึ่งทำให้ศีรษะของเขาดูเหมือนรูปสามเหลี่ยม


เขาไม่ได้หลบบอลสายฟ้าและอนุญาตให้มันปะทะร่างกายของเขาโดยตรง


“บึม!”


บอลสายฟ้าระเบิดกระจายออกไปทั่วทุกหนทุกแห่งทำให้สายตาของผู้อมตะพร่าเลือนไปชั่วขณะ


หลังจากประกายสายฟ้าสลายไป ผู้อมตะเผ่ามู่หลานยังยืนอยู่ในตำแหน่งเดิมโดยไม่ขยับเขยื้อน


มีจุดไหม้อยู่บนหน้าอกของเขาและมีควันสีขาวลอยขึ้นมา


แต่ผลกระทบของมันก็มีเพียงเท่านั้น


“นี่คือการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของเจ้างั้นหรือ? เจ้าเผาขนหน้าอกของข้าได้บางส่วน มันมีพลังมากกว่าเดิมเล็กน้อย” ผู้อมตะเผ่ามู่หลานกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งโดยปราศจากความหงุดหงิดใดๆ


“เจ้า!” ดวงตาของห่าวเจิ้นราวกับสามารถพ่นไฟออกมาดแต่เขาไม่สามารถโต้แย้ง


ท่าไม้ตายที่ทรงพลังที่สุดของเขากลับไม่มีผลต่อคู่ต่อสู้


“ยอดเยี่ยม!”


“เขาสมกับเป็นผู้อมตะที่มีชื่อเสียงด้านการป้องกันของภาคเหนืออย่างแท้จริง!”


“เผ่ามู่หลาน…ชายผู้นี้ไม่ได้โจมตีแต่การโจมตีของผู้อาวุโสห่าวเจิ้นกลับไม่ส่งผลกระทบต่อเขาแม้แต่น้อย”


ผู้อมตะทั้งสองฝ่ายอุทานด้วยความประหลาดใจ


ฟางหยวนสังหารเย่หลิวชุนซิง นี่เป็นการโจมตีฝ่ายธรรมะอย่างหนักหน่วง


เพื่อพลิกสถานการณ์และปลุกขวัญกำลังใจ กงหว่านถิงต้องส่งผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งของเผ่ามู่หลานออกมา


ชายร่างกำยำผู้นี้ก็คือมู่หลานกัง!


ชูตู๋ขมวดคิ้วอีกครั้ง


เขาลอบถอนหายใจ ‘เย่หลิวชุนซิงถูกสังหารไปแล้ว แต่ตอนนี้ยังมีมู่หลานกัง ตระกูลฮวงจินสมกับเป็นเจ้าเหนือหัวของภาคเหนือมาอย่างยาวนาน’


ห่าวเจิ้นยอมรับความพ่ายแพ้และกลับมาด้วยใบหน้าซีดขาว “ข้ารู้สึกละอายใจนักที่ไม่สามารถเติมเต็มความคาดหวังของท่าน”


ชูตู๋ปลอบใจด้วยคำพูดไม่กี่คำ


ฟางหยวนพึ่งจากไปแต่ชูตู๋ก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจอีกครั้ง


เขามองผู้อมตะที่อยู่ด้านหลังและพบว่าไม่มีผู้ใดที่สามารถส่งออกไป


“ในความคิดเห็นของข้า คนที่แข็งแกร่งที่สุดของเราคือผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่ง แต่ท่านไม่สามารถออกไปได้โดยง่าย ข้าคิดว่าท่านควรเรียกผู้อาวุโสหลิวกลับมา” หวังอู๋หมิงแนะนำ


ข้อเสนอของเขาได้รับการสนับสนุนจากผู้อมตะหลายคนทันที


“ถูกต้อง ความแข็งแกร่งของผู้อาวุโสหลิวไม่อาจหยั่งรู้ ข้าคิดว่าเขาจะสามารถสังหารมู่หลานกังอีกครั้ง!”


“ผู้อาวุโสหลิวสังหารเย่หลิวชุนซิงได้อย่างง่ายดาย การสังหารมู่หลานกังย่อมไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา”


“ลมหายใจมังกรดาบบรรพกาลของผู้อาวุโสหลิวทรงพลังเกินไป”


กระทั่งมู่หลานกังยังกล่าวว่า “จักรพรรดิอมตะอย่าส่งตัวละครเล็กๆออกมา นอกจากเจ้า ผู้เดียวที่สามารถต่อสู้กับข้า มู่หลานกัง มีเพียงหลิวกวนซื่อ ข้าขอแนะนำให้เจ้าส่งเขาออกมา ข้าต้องการสัมผัสกับพลังอำนาจของลมหายใจมังกร”


“บัดซบ! เขากำลังดูถูกพวกเรา!” เชาเหลาอู๋โกรธมาก


ห่าวเจิ้นกำหมัดแน่น “หากเป็นการต่อสู้สองต่อสอง พวกเราจะสามารถใช้เสียงคำรามของวายุสายฟ้ากวาดล้างพวกเขา!”


หลังจากเห็นพลังของฟางหยวน ความไม่พอใจในตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สามและสี่ของห่าวเจิ้นและเชาเหลาอู๋ก็จางหายไป


ห่าวเจิ้นกล่าวเช่นนี้เพียงเพราะต้องการรักษาใบหน้าเท่านั้น


แท้จริงแล้วเขารู้ดีว่าท่าไม้ตายอมตะเสียงคำรามของวายุสายฟ้าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะใช้งาน พวกเขาต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยเท่านั้น


เช่นเดียวกับการต่อสู้ที่ถ้ำสวรรค์ไห่ฟาน พวกเขาสามารถใช้เสียงคำรามของวายสายฟ้าเพราะได้รับการปกป้องจากผู้อมตะคนอื่นๆ


ตอนนี้ทุกคนต่างคาดหวังให้ฟางหยวนปรากฏตัว


ฝ่ายของชูตู๋หวังว่าฟางหยวนจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับพวกเขา


ฝ่ายธรรมะหวังว่าพวกเขาจะสามารถสังหารฟางหยวนเพื่อกอบกู้ใบหน้า


ชูตู๋หวังว่าฟางหยวจะออกไปต่อสู้อีกครั้ง


แต่ฟางหยวนไม่ได้ตอบกลับ


ชูตู๋ทำได้เพียงเผยรอยยิ้มขมขื่นกับเรื่องนี้และไม่สามารถทำสิ่งใด


หลังจากทั้งหมดความสัมพันธ์ระหว่างเขากับฟางหยวนก็เป็นเพียงเรื่องของผลประโยชน์เท่านั้น พวกเขามีสถานะที่เท่าเทียม


แดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา ในห้องลับของเมืองเมฆา


ฟางหยวนนั่งไขว้ขาอยู่บนเสื่อและส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เข้าสู่มิติช่องว่างของเขา


เขากำลังหลอมรวมองุ่นเขียวอมตะให้เป็นลูกพลัมแดงอมตะ


วิธีการหลอมรวมนี้ได้รับความนิยมกันในกว้างขวางและไม่ใช่เรื่องใหม่


วิญญาณระดับมนุษย์จำนวนนับไม่ถ้วนบินอยู่รอบๆ


ภายใต้พลังอำนาจของวิญญาณเหล่านี้ องุ่นเขียวอมตะค่อยๆหลอมรวมกันอย่างช้าๆ


ด้วยความพยายามอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้ฟางหยวนมีลูกพลัมแดงอมตะที่เกิดจากการหลอมรวมองุ่นเขียวอมตะจำนวนสองผล


‘หือ? ชูตู๋ส่งจดหมายมาอีกครั้ง มันยังเป็นมู่หลานกัง…นี่เป็นจดหมายฉบับที่หกแล้ว’ ความสนใจของฟางหยวนถูกเบี่ยงเบนเล็กน้อย


แต่หลังจากนั้นเขาก็โยนวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลทิ้งไปอย่างไม่แสแยและไม่ตอบกลับ


งานประลองทุ่งโลหิตอันใด! ข้าไม่สน!


สัญญาพันธมิตรระหว่างฟางหยวนกับนิกายชูหละหลวมมาก นอกเหนือจากหลักการพื้นฐานบางอย่าง เขาไม่จำเป็นต้องทำงานใดๆให้กับนิกาย เขากระทั่งสามารถออกจากนิกายชูได้โดยสมัครใจและจะไม่ได้รับผลกระทบย้อนกลับใดๆทั้งสิ้น


แล้วงานประลองทุ่งโลหิตคือสิ่งใด?


ฟางหยวนรู้ว่ามันเป็นการประนีประนอมทางการเมือง


นี่เป็นการต่อสู้ที่จักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูและเหยากวงสองผู้อมตะระดับแปดของภาคเหนือตกลงกันและสร้างมันขึ้นเพื่อยุติความขัดแย้ง จุดประสงค์หลักของมันคือเพื่อทำให้แน่ใจว่าทั้งสองฝ่ายจะไม่สูญเสียผลประโยชน์มากเกินไป


เหยากวงรู้อย่างชัดเจนว่าตั้งแต่เผ่าไป่ซูก่อตั้งขึ้นแล้ว มันก็ไม่สามารถถูกทำลาย อย่างน้อยเหยากวงเพียงผู้เดียวก็ไม่สามารถทำได้


เพราะฝ่ายตรงข้ามคือผู้อมตะระดับแปดจักรพรรดิสวรรค์ไป่ซู ตราบเท่าที่เขายังอยู่ เผ่าไป่ซูก็ยังมั่งคงแข็งแกร่งราวกับหินผา


เว้นเพียงถ้ำสวรรค์นิรันดรจะส่งบางคนที่มีพลังการต่อสู้ระดับแปดออกมาเป็นกำลังเสริม


เมื่อเหยากวงได้รับคำสั่งจากถ้ำสวรรค์นิรันดร เขาไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติตาม สิ่งที่เขาต้องการทำคือการไกล่เกลี่ย


จักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูไม่ต้องการสร้างความยุ่งยากให้กับกองกำลังตระกูลฮวงจิน เขาสร้างเผ่าของตนเองขึ้นมาและต้องการอยู่อย่างสันติ อย่างไรก็ตามสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย ดังนั้นจักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูจึงทำได้เพียงเผชิญหน้ากับการรุกรานของกองกำลังตระกูลฮวงจิน


มีเพียงการจัดงานประลองเช่นนี้ที่จะทำให้พวกเขาไม่ต้องต่อสู้ล้มตายกันทั้งหมด


ชูตู๋เข้าใจความคิดของทั้งสอง แต่เขาถูกบีบให้อยู่ตรงกลางและเผชิญหน้ากับผู้อมตะฝ่ายธรรมะของภาคเหนือ หากเขาทำงานได้ดี นิกายชูจะได้รับการสนับสนุนจากจักรพรรดิสวรรค์ไป่ซู หากไม่ นิกายชูจะถูกทำลาย อย่างไรก็ตามการสูญเสียของพวกเขาก็ยังไม่น่าเป็นกังวล


จากมุมมองของถ้ำสวรรค์นิรันดร พวกเขาไม่ต้องการเห็นสายเลือดอื่นปะปนอยู่ในฝ่ายธรรมะของภาคเหนือ พวกเขายิ่งไม่อยากเห็นการดำรงอยู่ของนิกายชู ความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์อาจารย์กับระบบสายเลือดเป็นอุดมการณ์ที่แตกต่างกัน พวกเขาต้องระวังไม่ให้เกิดความสัมพันธ์ระบบอื่น


ถ้ำสวรรค์นิรันดรตระหนักอย่างชัดเจนว่าเมื่อระบบอาจารย์กับศิษย์แพร่กระจายออกไป ระบบสายเลือดจะสั่นคลอนและส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของตระกูลฮวงจินเป็นอย่างมาก


ภาคกลางเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของเรื่องนี้


‘แต่ถ้ำสวรรค์นิรันดรกำลังฝันหากพวกเขาต้องการใช้ชื่อเสียงเพื่อทำลายกองกำลังพันธมิตรระหว่างนิกายชูกับเผ่าไป่ซู’


‘เว้นเพียงพวกเขาจะมีความเด็ดขาดและส่งผู้อมตะระดับแปดออกมาสังหารจักรพรรดิสวรรค์ไป่ซู’


‘โลกใบนี้ความแข็งแกร่งคือกฎ’


‘เผ่าไห่ไม่มีผู้อมตะระดับแปด ขณะเดียวกันพวกเขาก็สูญเสียคฤหาสน์วิญญาณอมตะ นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เผ่าไห่ล่มสลาย กระทั่งสหายตระกูลฮวงจินก็ยังพยายามเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากพวกเขา’


‘เผ่าไป่ซูเป็นคนนอกที่ไม่มีสายเลือดตระกูลฮวงจิน แต่การคงอยู่ของจักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูทำให้สถานการณ์แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง’


‘ความแข็งแกร่ง…ทุกอย่างเกี่ยวข้องกับความแข็งแกร่ง…’


ฟางหยวนเข้าใจเรื่องนี้อย่างชัดเจน


การบ่มเพาะระดับเจ็ด นี่คือความสำเร็จ แต่สำหรับฟางหยวน มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น


‘งานประลองทุ่งโลหิตไม่อยู่ในความสนใจของข้า’


‘ข้ามีมิติช่องว่างที่ยิ่งใหญ่และสามารถกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นเพื่อก้าวข้ามภัยพิบัติและยกระดับความแข็งแกร่ง นี่เป็นการบ่มเพาะทางลัดที่เต็มไปด้วยเลือดและการฆ่าฟัน…แต่ข้าชอบมัน’


‘ข้าต้องการให้ทั้งโลกวุ่นวาย ยิ่งวุ่นวาย ยิ่งดี!’


‘สงครามห้าภูมิภาคยังต้องรออีกสี่ร้อยปี มันยาวนานเกินไป ข้าไม่สามารถรอให้เวลานั้นมาถึง’


‘ข้าต้องคิดหาวิธีที่จะทำให้พวกเขาต่อสู้กัน งานประลองทุ่งโลหิตยังอ่อนโยนเกินไป พวกเขาสามารถสังหารคู่ต่อสู้ได้มากเพียงใด? หากไม่มีคนตาย มันก็ไม่มีแดนศักดิ์สิทธิ์’


‘สำหรับนิกายหลางหยาและพันธมิตรสี่เผ่าพันธุ์ ฮ่าฮ่า หากข้าปล่อยข่าวออกไป ผู้อมตะภาคเหนือจะทำเช่นไร น่าเสียดายที่ข้าถูกผูกมัดด้วยข้อตกลงพันธมิตร กระทั่งท่าไม้ตายอมตะไม่สนใจก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ’


ความกังวลของฟางหยวนมีเพียงหนึ่งเดียวคือโลกจะไม่วุ่นวาย


ความคิดชั่วปรากฏขึ้นในใจของเขาอย่างต่อเนื่อง


เขาไม่มีความตั้งใจที่จะไปที่ทุ่งโลหิตอีก


เขาจะตอบสนองความคาดหวังของนิกายชูเพื่อสิ่งใด


ฟางหยวนต้องทุ่มเทความพยายามเพื่อสังหารเย่หลิวชุนซิง หากเกิดข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อย เขาอาจหมดโอกาส หลังจากทั้งหมดคฤหาสน์วิญญาณอมตะสามหลังอยู่ที่นั่นและพวกมันไม่ใช่ของประดับฉาก


โดยเฉพาะอย่างยิ่งมู่หลานกัง เขาเป็นศัตรูที่แข็งแกร่ง มันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับฟางหยวนที่จะเอาชนะโดยไม่ต้องกล่าวถึงการสังหาร


ตั้งแต่การต่อสู้เริ่มขึ้น ฝ่ายของชูตู๋ก็พ่ายแพ้มาแล้วหลายครั้งขณะที่ฝ่ายธรรมะแพ้เพียงหนึ่งในสาม


ฮ่าฮ่า จะเกิดความขัดแย้งภายในหลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้อย่างแน่นอน


นี่เป็นสิ่งที่มักเกิดขึ้นในกองกำลังฝ่ายธรรมะ


ฟางหยวนเคยคิดที่จะไปภาคใต้


ก่อนนหน้านี้เขาปรับเปลี่ยนแผนการบ่มเพาะและทุ่มเทความพยายามกับการหลอมรวมวิญญาณระดับมนุษย์บนเส้นทางแห่งความฝัน


มันเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการผจญภัยในอาณาจักรแห่งความฝันของภาคใต้


แต่หลังจากไตร่ตรองอีกครั้ง เขารู้สึกว่างานประลองทุ่งโลหิตเป็นโอกาสที่หาได้ยาก


นอกจากนี้อาณาจักรแห่งความฝันของภาคใต้ยังถูกยึดครองโดยกองกำลังฝ่ายธรรมะของภาคใต้ ฟางหยวนรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องยากที่เขาจะเข้าไปโดยไม่เปิดเผยตัวตน


ดังนั้นหลังจากที่ฟางหยวนหลอมรวมองุ่นเขียวอมตะทั้งหมดให้กลายเป็นลูกพลัมแดง เขาก็ออกจากแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาและไปถึงอาณาเขตของเผ่าหลิว


เขากำลังจะกระทำการชั่วร้าย!


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1208 ด้วยอาวุธสังหารที่อยู่ในมือ


แปลโดย iPAT 


ภาคเหนือ สุสานกระดูก


ที่นี่เต็มไปด้วยกระดูกสีขาวจำนวนนับไม่ถ้วน


มันดูราวกับเนินเขาสีขาว กระดูกส่วนใหญ่ถูกกัดกร่อนและย่อยสลายไปแล้วตามธรรมชาติ เหลือเพียงกระดูกที่แข็งแกร่งของสัตว์อสูรเดียวดายและสัตว์อสูรบรรพกาลเท่านั้นที่ยังอยู่


แต่กระดูกบางส่วนก็มีลักษณะพิเศษ บางส่วนเป็นสีเหลือง บางส่วนส่องแสงสีม่วงออกมา และบางส่วนมีควันพิษอยู่รอบๆ


ผู้อมตะหลิวหยงกำลังตรวจสอบพวกมัน


เขาเป็นผู้อมตะระดับหกเผ่าหลิวที่มีสายเลือดบริสุทธิ์ของตระกูลฮวงจิน


ตอนนี้เขาอยู่กับสุนัขเกราะกระดูกเดียวดายและกำลังค้นหากระดูกที่เขาต้องการ


มีเรื่องเล่าหลายเรื่องเกี่ยวกับต้นกำเนิดของสุสานกระดูก


บางคนกล่าวว่าในยุคโบราณ ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งทาสที่ยิ่งใหญ่สองคนต่อสู้กันส่งผลให้เกิดการเสียชีวิตของสัตว์อสูรเดียวดายและสัตว์อสูรบรรพกาลเป็นจำนวนมาก


บางคนบอกว่านี่คือสุสานของสัตว์อสูรประเภทกระดูก เมื่อสัตว์อสูรประเภทกระดูกตระหนักว่าอายุขัยของพวกมันกำลังจะสิ้นสุดลง พวกมันจะนำตนเองมาตายที่นี่


บางคนคาดเดาว่านี่เป็นสถานที่หลอมรวมวิญญาณที่ถูกสร้างขึ้นโดยผู้อมตะบนเส้นทางแห่งการหลอมรวมในยุคโบราณ หลังจากหลายปี มันจึงอยู่ในสภาพนี้


แต่ไม่ว่าต้นกำเนิดของสุสานกระดูกจะเป็นอย่างไร ที่นี่ก็เต็มไปด้วยกระดูกของสัตว์อสูร


สถานที่แห่งนี้อยู่ภายใต้การปกครองของเผ่าหลิว พวกเขาพัฒนามันและทำให้มันกลายเป็นแหล่งผลิตวิญญาณบนเส้นทางแห่งกระดูก


ทุกปีหลิวหยงจะมาที่นี่และคัดเลือกกระดูกที่เหมาะสมเพื่อเป็นอาหารให้กับสุนัขเกราะกระดูกเดียวดายของเขา


“กระดูกสีขาวชิ้นนี้ดูเหมือนจะเป็นกระดูกของอสรพิษนิ่ม มันใช้ไม่ได้ หากกินเข้าไป กระดูกก็จะนิ่มและไม่สามารถป้องกัน”


“นี่เป็นวิญญาณประเภทพิษ สุนัขเกราะกระดูกไม่สามารถต้านพิษที่รุนแรง พวกมันจะตายหากกินสิ่งนี้เข้าไป”


“กระดูกชิ้นนี้ไม่เลว ดูเหมือนมันจะเป็นกระดูกของกิ้งก่าผิวเหล็ก แม้มันจะไม่ดีที่สุด แต่มันก็เพียงพอเพราะมันมีความสามารถในการอดทนต่อแรงกระแทก”


หลิวหยงตรวจสอบและพบกระดูกที่น่าสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ


ในที่สุดเขาก็นำกระดูกหกชิ้นมาวางไว้ด้านหน้าสุนัขเกราะกระดูกเดียวดายของเขา


ขณะที่เขาเอนกายนอนอยู่บนกะโหลกศีรษะขนาดใหญ่และมองขึ้นไปบนท้องฟ้า


“วันนี้อากาศดีจริงๆ” เขามองท้องฟ้าสีครามที่ไร้เมฆขณะที่สายลมอ่อนๆพัดเข้ามาปะทะใบหน้าของเขาและทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายมาก


“หือ? เผ่าส่งวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลมาที่นี่งั้นหรือ?” เป็นเพียงเวลานี้ที่เขาค้นพบบางสิ่ง


เขาเพ่งจิตเข้าไปในมิติช่องว่างของตนและตรวจสอบวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูล


เนื้อหาในจดหมายกล่าวถึงความก้าวหน้าของเผ่าหลิวในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา


ต่อไปคือข่าวลือและการเคลื่อนไหวของผู้เชี่ยวชาญที่น่าสนใจที่เกิดขึ้นเร็วๆนี้


ในที่สุดก็มาถึงประเด็นสำคัญ นั่นคือข้อมูลเกี่ยวกับงานประลองทุ่งโลหิต


“มู่หลานกังเอาชนะแปดรอบติดต่อกัน!”


“อย่างไรก็ตามระหว่างการต่อสู้ทุกรอบเขาต้องพักฟื้นเป็นเวลาสองชั่วโมง เขาไม่เหมือนเย่หลิวชุนซิงที่สามารถต่อสู้ติดต่อกัน”


“ข้าได้ยินมาว่ามู่หลานกังมีวิธีการป้องกันที่น่าทึ่ง แต่ค่าใช้จ่ายของมันก็ไม่น้อยเช่นกัน”


“เห้อ…เมื่อกล่าวถึงเย่หลิวชุนซิง น่าเสียดายที่เขาถูกสังหารโดยผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สองของนิกายชู การลอบโจมตีนั่นเป็นเรื่องน่ารังเกียจอย่างแท้จริง!”


ตระกูลฮวงจินเป็นกองกำลังฝ่ายธรรมะ เมื่อพวกเขาเผยแพร่ข้อมูลออกไป พวกเขาย่อมกล่าวถึงมันด้วยมุมมองของตนเอง แน่นอนว่ามันเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ทางการเมือง


แม้ข้อมูลจะไม่ผิดแต่วิธีการกล่าวถึงเรื่องเหล่านั้นกลับทำให้ผู้รับสารเกิดความรู้สึกที่แตกต่างออกไป


ในจดหมายยังกล่าวถึงความแข็งแกร่งของฟางหยวนและข้อเท็จจริงเกี่ยวกับท่าไม้ตายอมตะเปลี่ยนเป็นมังกรดาบบรรพกาลของเขา นอกจากนั้นพวกเขายังไม่ลืมที่จะกล่าวถึงความไร้ยางอายอันเป็นที่สุดและความเจ้าเล่ห์ของฟางหยวนอีกด้วย


ตัวตนของหลิวกวนซื่อที่ฟางหยวนใช้กลายเป็นที่รู้จักกันในวงกว้าง หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ไม่มีผู้ใดของโลกผู้อมตะภาคเหนือที่ไม่รู้จักเขา แม้แต่องค์ชายฟงเซี่ยนและจักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูยังได้เรียนรู้เกี่ยวกับเขา หรือกระทั่งภูมิภาคอื่นก็ได้ยินเรื่องราวของหลิวกวนซื่อเช่นกัน


หลังจากแสดงความโกรธและเย้ยหยันหลิวกวนซื่อ หลิวหยงก็ถอนหายใจกับตนเอง


“ข้าบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งทาส ข้าไม่เหมาะกับการต่อสู้แบบตัวต่อตัว”


“เมื่อใดกันที่ข้าจะมีชื่อเสียงเช่นนี้บ้าง”


“บางทีวันหนึ่งข้าอาจเอาชนะหลิวกวนซื่อและท้าทายจักรพรรดิอมตะชูตู๋ หากเป็นเช่นนั้นมันจะยอดเยี่ยมมาก!”


ขณะที่จิตใจของหลิวหยงกำลังล่องลอยออกไป เสียงระเบิดกลับดังขึ้นอย่างกะทันหัน


“บึม!”


พื้นดินเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง


“เกิดสิ่งใดขึ้น?” กะโหลกศีรษะยักษ์ที่อยู่ด้านล่างหลิวหยงหลุดออกจากโครงกระดูกส่วนร่างกายเนื่องจากแรงสั่นสะเทือน


หลิวหยงรีบบินขึ้นสู่อากาศ “ค่ายกลวิญญาณกำลังถูกโจมตี บางคนบุกโจมตีอาณาเขตของเผ่าหลิวงั้นหรือ!?”


เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หลิวหยงรู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้


เผ่าหลิวเป็นกองกำลังใหญ่ฝ่ายธรรมะของตระกูลฮวงจิน พวกเขาเป็นกองกำลังที่ปกครองภาคเหนือทั้งหมด


โดยเฉพาะหลังจากเผ่าไห่ที่เป็นคู่อริของพวกเขาล่มสลาย อนาคตของเผ่าหลิวยิ่งสดใส แล้วผู้ใดจะกล้าโจมตีอาณาเขตของเผ่าหลิว


ผู้ใดที่มีความกล้าเช่นนี้?


หลิวหยงโกรธและดีใจเล็กน้อย “โชคดีที่ข้ามาที่นี่เพื่อหาอาหารให้กับสุนัขเกราะกระดูกของข้า ฮ่าฮ่า เจ้าโจรชั่ว เจ้าช่างโชคร้ายนักที่พบกับข้า…หือ?”


ในเวลาต่อมาหลิวหยงก็มองเห็นผู้บุกรุก


หรือกล่าวให้ถูกต้องกว่านั้นมันคือมังกร


มังกรดาบบรรพกาล!


การปรากฏตัวของมันทำให้ร่างของหลิวหยงสั่นสะท้านขึ้น


“โอ้ ดูเหมือนสมาชิกเผ่าหลิวจะอยู่ที่นี่ ข้าโชคดีจริงๆ” มังกรดาบบรรพกาลกล่าวด้วยภาษามนุษย์และปลดปล่อยเจตนาสังหารที่รุนแรงออกมาจากดวงตา


“หลิวกวนซื่อ?” หลิวหยงตะลึง


เขารู้สึกอยากจะร้องไห้


หัวใจของเขาเต้นแรง ร่างกายสั่นเทาอย่างไม่สามารถควบคุม เขากรีดร้องอยู่ภายใน ‘ใจเย็นๆ ใจเย็นๆ หลิวหยง เจ้าทำได้!”


แต่อีกความคิดหนึ่งกลับปรากฏขึ้นในใจของหลิวหยงอย่างรวดเร็ว ‘เขาคือหลิวกวนซื่อ กระทั่งเย่หลิวชุนซิงยังตายอยู่ในกำมือของเขา เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์และไร้ยางอาย แต่ข้าเป็นเพียงผู้อมตะระดับหกตัวเล็กๆ!”


“ใจเย็นๆ ใจเย็นๆ ถูกต้อง หลิวกวนซื่อเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สองของนิกายชู นิกายชูเป็นกองกำลังฝ่ายธรรมะ เช่นนั้นหลิวกวนซื่อก็ต้องเป็นผู้อมตะฝ่ายธรรมะ ในฐานะสมาชิกฝ่ายธรรมะ เขาจะโจมตีพวกเราโดยไร้เหตุผลได้อย่างไร? การโจมตีพวกเราเพื่อความมั่งคั่งเป็นการกระทำของปีศาจ!”


หลิวหยงพยายามวิเคราะห์สถานการณ์


แต่เสียงอีกสายหนึ่งยังกรีดร้องอยู่ในใจของหลิวหยง “แล้วเหตุใดหลิวกวนซื่อไม่อยู่ในงานประลองทุ่งโลหิตแต่มาที่นี่? เขาทำลายค่ายกลวิญญาณของเผ่าหลิว ชัดเจนว่าเขามีเจตนาร้าย!”


แม้หลิวหยงจะมีความกล้าหาญอยู่บ้าง แต่ตอนนี้เขาหวาดกลัวอย่างมาก เขาเริ่มกล่าวตะกุกตะกัก “ผู้อาวุโสหลิว เหตุใดท่านถึงมาที่นี่…”


“แน่นอน มันคือการ…” ฟางหยวนจงใจลากเสียง


“คือสิ่งใด?” หลิวหยงถาม


คำตอบของฟางหยวนไม่ใช่คำพูดแต่เป็นลมหายใจมังกร


ลมหายใจมังกรดาบบรรพกาลที่มีวิญญาณอมตะลมหายใจมังกรระดับเจ็ดเป็นแกนกลางถูกยิงออกไป


ร่างกายส่วนบนของหลิวหยงถูกตัดออกทันที


เลือดสดๆพุ่งกระจายลงบนกระดูกสีขาวและกลายเป็นฉากที่น่าสยดสยอง


ร่างของหลิวหยงแยกออกเป็นสองส่วนอยู่บนพื้นขณะที่ดวงตาของเขายังเบิกกว้าง


‘สหายที่ไร้ประโยชน์ แต่นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก ตระกูลฮวงจินอยู่ในอำนาจมานานเกินไป เป็นธรรมดาที่จะมีสิ่งเน่าเสียอยู่ภายในเช่นเดียวกับนิกายโบราณทั้งสิบของภาคกลาง’ ฟางหยวนวิเคราะห์


“โฮ่ง โฮ่ง!”


สุนัขเกราะกระดูกเดียวดายเห่าใส่ฟางหยวนด้วยความโกรธเกรี้ยว


เจ้านายของมันตายไปแล้วแต่ทั้งสองมีความผูกพันที่ยาวนาน ดังนั้นมันจึงปกป้องศพของเจ้านายโดยหวังว่าเขาจะฟื้นขึ้นมา


เมื่อเห็นสิ่งนี้ ฟางหยวนต้องให้คะแนนประเมินหลิวหยงเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย ‘ดูเหมือนเขาจะเลี้ยงสัตว์อสูรเดียวดายได้ดี น่าเสียดายที่มันไม่มีความฉลาดของผู้อมตะ เพียงสัตว์อสูรเดียวดายระดับหกจะทำสิ่งใดได้?’


ฟางหยวนเย้ยหยันขณะบินลงไป


การต่อสู้ครั้งนี้ไม่มีสิ่งใดอยู่นอกเหนือความคาดหมาย


หนึ่งชั่วโมงต่อมา สุนัขเกราะกระดูกเดียวดายก็นอนอยู่ในมิติช่องว่างของฟางหยวน


สุนัขเกราะกระดูกเดียวดายปรากฏตัวขึ้นในจังหวะนี้ดี ตอนนี้ฟางหยวนกำลังต้องการสุนัขอสูรเดียวดายและใช้อึของพวกมันเป็นอาหารให้กับวิญญาณอมตะโชคอึสุนัข


นอกจากนี้ยังมีโครงกระดูกของสัตว์อสูรเดียวดายและสัตว์อสูรบรรพกาลอีกมากมาย


ฟางหยวนวางพวกมันไว้ในมิติช่องว่างจักรพรรดิเป็นการชั่วคราว


สุดท้ายศพของหลิวหยงก็ถูกผนึกและเก็บไว้ในมิติช่องว่างจักรพรรดิเช่นกัน


แดนศักดิ์สิทธิ์ของหลิวหยงเหมาะสมสำหรับฟางหยวน


ดวงวิญญาณของหลิวหยงก็ยังอยู่และมีคุณค่า แม้มันจะอ่อนแอมากหลังจากถูกโจมตีโดยลมหายใจมังกรก็ตาม


ฟางหยวนคิด ‘หลิวหยงเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งทาส เส้นทางแห่งทาสและเส้นทางแห่งจิตวิญญาณเป็นเส้นทางที่มีความใกล้ชิด เพื่อสะกดข่มสัตว์อสูร พวกเขาต้องมีจิตวิญญาณที่แข็งแกร่ง’


ฟางหยวนออกจากจุดเกิดเหตุอย่างรวดเร็ว


เขาเคลื่อนไหวเร็วมาก


มีเพียงค่ายกลวิญญาณที่พังทลาย สุสานกระดูกที่ว่างเปล่า และร่างครึ่งบนของหลิวหยงเท่านั้นที่เหลืออยู่


‘สถานที่ต่อไป ถ้ำแสงมรกตของเผ่าหลิว’


ฟางหยวนเลียริมฝีปากของตนด้วยความตื่นเต้น


เขาเพิ่งก่อคดีฆาตกรรมแต่ตอนนี้เขากลับไม่ถอยและยังต้องการก่ออาชญากรรมเพิ่มขึ้น!


ดังคำกล่าว ด้วยอาวุธสังหารที่อยู่ในมือ ความต้องการฆ่าจะพุ่งสูงขึ้น


ฟางหยวนเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดที่มีท่าไม้ตายอมตะเปลี่ยนเป็นมังกรดาบบรรพกาลที่แข็งแกร่ง พลังอำนาจของเขาเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก ตอนนี้เขาไม่ต้องเกรงกลัวผู้อื่นอีกต่อไป


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1209 ปล้นต่อ


แปลโดย iPAT 


ร่างหนึ่งบินอยู่กลางอากาศด้วยความเร็วสูง


มันคือฟางหยวน


ตอนนี้เขาอยู่ในร่างมังกรดาบพรรพกาลและยังกระตุ้นใช้วิญญาณอมตะดาบทะลวงมิติ


เร็วมาก!


ย้อนกลับไปขณะที่เขาสังหารเย่หลิวชุนซิง แทบไม่มีผู้ใดสามารถตอบสนอง


แน่นอนว่าการระเบิดความเร็วอย่างกะทันหันในเวลานั้นเป็นการเคลื่อนไหวที่น่าตกใจ แต่ตอนนี้ฟางหยวนกำลังเดินทางไกล ดังนั้นความเร็วของเขาจึงลดลงเล็กน้อย


แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังเร็วมาก


‘ความเร็วของข้าอยู่ในระดับแนวหน้าของโลกผู้อมตะภาคเหนือ แน่นอนว่าข้ายังไม่สามารถแข่งขันกับฮุ้ยฟงซื่อ แต่ความเร็วของชูตู๋ต่ำกว่าข้าแล้ว’


ฮุ้ยฟงซื่อได้รับการยกย่องว่าเป็นคนที่รวดเร็วที่สุดของภาคเหนือเพราะครั้งหนึ่งเขาสามารถหลบหนีจากการจับกุมของผู้อมตะระดับแปด


ตอนนี้ฟางหยวนยังด้อยกว่าฮุ้ยฟงซื่อ


สำหรับชูตู๋ ความเร็วของเขาเหนือกว่าวิญญาณอมตะดาบทะลวงมิติในแง่ของทางตรง


เมื่อฟางหยวนเปลี่ยนร่างเป็นมังกรดาบบรรพกาลเพิ่มเติมด้วยร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าที่ช่วยเพิ่มพลังอำนาจของวิญญาณอมตะดาบทะลวงมิติ ความเร็วในปัจจุบันของฟางหยวนจึงเหนือกว่าชูตู๋


โดยไม่ต้องกล่าวถึงข้อบกพร่องของท่าไม้ตายสายเคลื่อนไหวของชูตู๋ที่ไม่สามารถเปลี่ยนทิศทาง


‘เปรียบเทียบกับผู้อมตะระดับแปด มันจะเป็นอย่างไร?’ ฟางหยวนตั้งคำถามในใจ


แต่เขาก็ส่ายศีรษะทันที


ผู้อมตะระดับแปดมีพลังอำนาจที่ไม่สามารถหยั่งรู้ หากพวกเขาต้องการไล่ล่า ฟางหยวนจะตกอยู่ในอันตราย การระเบิดความเร็วเป็นผลกระทบระยะสั้นเท่านั้น หากเป็นการไล่ล่าระยะไกล มันจะกลายเป็นไร้ประโยชน์


และวิธีไล่ล่าไม่ใช่เรื่องของความเร็วเท่านั้น ผู้อมตะระดับแปดมีวิธีการที่หลากหลาย พวกเขาสามารถใช้ค่ายกลวิญญาณขนส่ง ท่าไม้ตายระยะไกล และอื่นๆ


‘ข้าพึ่งทำลายสุสานกระดูกของเผ่าหลิวและยังสังหารผู้อมตะบนเส้นทางแห่งทาสของเผ่าหลิว หลิวหยง ตอนที่เขายังมีชีวิต เขาต้องแจ้งข่าวกลับไปที่เผ่าหลิวเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเผ่าหลิวจะส่งผู้อมตะออกมาไล่ล่าข้า’


‘อย่างไรก็ตามผู้อมตะที่แข็งแกร่งของเผ่าหลิวล้วนอยู่ในงานประลองทุ่งโลหิต ผู้อมตะที่เหลือกระจายตัวอยู่ตามแหล่งทรัพยากรต่างๆของเผ่า มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่พวกเขาจะส่งบางคนออกมาจัดการกับผู้เชี่ยวชาญเช่นหลิวกวนซื่อ’


‘หลังจากพวกเขาไปที่สุสานกระดูก พวกเขายังต้องใช้เวลาตรวจสอบก่อนจะไล่ล่ข้า พวกเขาย่อมคิดว่าข้ากำลังล่าถอย แต่ผู้ใดจะคิดว่าข้าจะไปปล้นถ้ำแสงมรกตของพวกเขา’


‘ขณะที่พวกเขากำลังเสียเวลาตรวจสอบ ข้าสามารถปล้นชิงทรัพยากรทั้งหมดของถ้ำแสงมรกต’


ฟางหยวนรวบรวมข้อมูลเอาไว้มากมาย แหล่งทรัพยากรของกองกำลังขนาดใหญ่ไม่ใช่ข้อมูลลับ ผู้อมตะส่วนใหญ่รู้จักพวกมันเป็นอยางดี ตัวอย่างเช่นสุสานกระดูก


ฟางหยวนสนใจถ้ำแสงมรกตของเผ่าหลิวมาก


เหตุผลเป็นเพราะวิญญาณทัศนคติ


อาหารของวิญญาณทัศนคติคือธารแสงหลากสี


ฟางหยวนซื้อผลไม้แสงจำนวนมากมาจากสวรรค์สีเหลือง เขาปลูกพวกมันไว้เพื่อผลิตธารแสงหลากสี


นี่เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพและง่ายต่อการดูแล


และในถ้ำแสงมรกตมีวิญญาณบนเส้นทางแห่งแสงทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นวิญญาณแสงมรกต วิญญาณแสงสะท้อน วิญญาณศรแสง วิญญาณดูดแสง หรือวิญญาณแสงสีต่างๆเช่นวิญญาณแสงสีฟ้า วิญญาณแสงสีแดง วิญญาณแสงสีดำ และอื่นๆ


ฟางหยวนต้องแข่งขันกับเวลาเนื่องจากฝ่ายตรงข้ามได้รับการแจ้งเตือนแล้ว


‘มีก้อนเมฆอยู่ด้านหน้า’ ความปิติยินดีปรากฏขึ้นในดวงตาของมังกรดาบบรรพกาล


ตอนนี้เขาใกล้จะถึงถ้ำแสงมรกตแล้ว ก้อนเมฆเหล่านี้สามารถปกปิดร่องรอยของเขา


‘โชคดีที่มีก้อนเมฆอยู่ที่นี่ หากผู้อมตะเผ่าหลิวที่ปกป้องถ้ำแสงมรกตประมาท ข้าจะสามารถลอบโจมตี’


ฟางหยวนบินเข้าไปในก้อนเมฆด้วยความคาดหวัง


กลุ่มเมฆหมอกหนาทึกช่วยปกปิดร่างกายของมังกรดาบบรรพกาลเอาไว้อย่างสมบูรณ์


แต่ความจริงมักไม่เป็นไปตามความหวังของผู้คน


ผู้อมตะเผ่าหลิว หลิวลั่วที่ปกป้องถ้ำแสงมรกตตระหนักถึงบางสิ่ง ดวงตาของนางเบิกกว้างขึ้น “ศัตรู!”


หลิวลั่วมีอายุเกือบสองร้อยปี แต่ร่างกายของนางยังเหมือนเด็กสาวที่น่ารักและบอบบาง


ตอนนี้นางตื่นตัวมาก


หลังจากทั้งหมดเผ่าหลิวได้ส่งข้อความแจ้งเตือนไปยังผู้อมตะทุกคนของเผ่าเรียบร้อยแล้ว


ค่ายกลวิญญาณที่ปกป้องถ้ำแสงมรกตไมมีวิญญาณอมตะเป็นแกนกลาง ดังนั้นฟางหยวนจึงสามารถทำลายมันได้อย่างง่ายดาย


‘มันคือหลิวกวนซื่อ เขาไม่หนีแต่มาโจมตีถ้ำแสงมรกต!’ หลิวลั่วทั้งโกรธและตกใจมาก


‘ข้าไม่สามารถหลบหนี ความเร็วของข้าไม่สามารถแข่งขันกับมังกรดาบบรรพกาล’


‘โชคดีที่ข้าปลูกเมล็ดพันธุ์มากมายไว้ที่นี่ ข้าต้องอดทนและรอกำลังเสริม!’


‘ท่านพี่ มาช่วยข้าเร็วเข้า…’


หลิวลั่ววิเคราะห์สถานการณ์อย่างรวดเร็ว นางพึมพำขณะที่เถาวัลย์หลายสิบเส้นที่ดูคล้ายอสรพิษจะพุ่งขึ้นมาจากพื้น


จากนั้นพวกมันก็เกี่ยวพันกันและก่อตัวเป็นร่มขนาดใหญ่ปกคลุมที่พื้นที่รอบๆตัวนางเอาไว้


หลิวลั่วซ่อนตัวอยู่ในป่า


‘ดูเหมือนพวกเขาจะค่อนข้างระวังตัว’ ฟางหยวนตระหนักว่าหลิวลั่วหายไปจากการรับรู้ของเขา


‘ผู้อมตะระดับหกบนเส้นทางแห่งไม้…แต่ป่าแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นอย่างพิถีพิถัน มันค่อนข้างลำบากในการจัดการ’ ฟางหยวนรู้สึกถึงความยากลำบาก


เพราะป่าแห่งนี้คือท่าไม้ตายเขตแดนอมตะ


หลิวลั่วเป็นผู้อมตะระดับหกแต่นางมีท่าไม้ตายเขตแดนอมตะ นี่เป็นสิ่งที่ไม่ปกติ


แต่ฟางหยวนไม่รู้สึกแปลกใจ


จากการค้นวิญญาณของหลิวหยง ฟางหยวนได้รับข้อมูลมากมาย เผ่าหลิวมีผู้อมตะคู่พี่น้องหลิวเจิ้งและหลิวลั่ว ทั้งสองได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจากบิดาของพวกเขากระทั่งกลายเป็นผู้อมตะ


หลิวเจิ้งเป็นผู้อมตะระดับเจ็ด พลังการต่อสู้ของเขาไม่ด้อยกว่าเย่หลิวชุนซิง แต่เนื่องจากเขาติดภารกิจกำจัดฝูงอสูรโคลนที่บ่อโคลนของเผ่า ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เข้าร่วมในงานประลองทุ่งโลหิต


หลิวเจิ้งมีทั้งความแข็งแกร่งและสถานะที่สูงสุดโดยเฉพาะเมื่อเผ่าหลิวไม่มีผู้อมตะระดับแปด


หลิวเจิ้งให้ความสำคัญกับหลิวลั่วน้องสาวของเขามาตั้งแต่เด็ก


ท่าไม้ตายเขตแดนอมตะบนเส้นทางแห่งไม้ของหลิวลั่วก็ได้รับมาจากหลิวเจิ้ง


ฟางหยวนคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และตัดสินใจไม่เข้าไปในเขตแดนของหลิวลั่วแต่พุ่งตรงไปจับวิญญาณป่าจำนวนนับไม่ถ้วน


หลิวลั่วมองหลิวกวนซื่อปล้นสะดมทรัพยากรด้วยความโกรธและอับอาย


‘หลิวกวนซื่อผู้นี้ช่างกล้าหาญนัก!’


‘เขากล้าสังหารผู้อมตะเผ่าหลิวของข้าและกระทั่งปล้นชิงทรัพยากรของเรา!’


‘น่าเสียดายที่ข้ามีพลังไม่พอ มิฉะนั้นข้าจะทำให้เขาต้องชดใช้!’


หลิวลั่วซ่อนตัวอยู่ในท่าไม้ตายเขตแดนอมตะของนางและไม่แสดงตัวออกมา


แม้ฟางหยวนจะจากไปแล้ว นางก็ยังไม่กล้าเปิดเผยร่องรอยของตน


ไม่นานหลังจากนั้นแสงสีขาวพุ่งลงมาจากท้องฟ้าก่อนจะกลายเป็นผู้อมตะชายผู้หนึ่ง


เขามีรูปร่างผอมสูงและมีใบหน้าคมคายแต่เขากำลังแสดงออกด้วยความวิตกกังวลและความโกรธเกรี้ยว


“ท่านพี่!” หลิวลั่วปรากฏตัวขึ้นเมื่อเห็นคนผู้นี้


“น้องสาว เจ้าปลอดภัย! ข้าเป็นห่วงเจ้ามาก!” เมื่อเห็นหลิวลั่วสบายดี เขาจึงสามารถผ่อนคลาย


หลิวลั่วดีใจเช่นกันแต่นางยังระวังตัวมาก “ท่านพี่บอกรหัสลับของเราก่อนที่ข้าจะให้ท่านเข้ามา”


ไม่มีปัญหาหลิวเจิ้งสามารถเข้าไปในเขตแดนอมตะและพบกับน้องสาวของเขาได้ในที่สุด


“น้องสาว เจ้าต้องตกใจมากใช่หรือไม่? อย่ากังวล พี่ชายของเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว”


“ท่านพี่ หลิวกวนซื่อผู้นั้นชั่วร้ายมาก เขาปล้นวิญญาณทั้งหมดในถ้ำแสงมรกตไปโดยไม่เหลือทิ้งไว้แม้แต่ดวงเดียว ข้าปกป้องพวกมันไม่สำเร็จ เผ่าต้องลงโทษข้าอย่างแน่นอน”


“อย่ากังวล ข้าอยู่ที่นี่แล้ว ข้าจะปกป้องเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องกลัวสิ่งใดทั้งสิ้น” หลิวเจิ้งกล่าวกับน้องสาวของเขา


เขาวางมือบนศีรษะของหลิวลั่วและปลอบใจ “พี่ชายจะไปฆ่าคนชั่วผู้นี้และล้างแค้นให้กับเจ้า”


ในความเป็นจริงเขาถูกเผ่าส่งมาเพื่อจับกุมฟางหยวนตั้งแต่แรก


ความแข็งแกร่งของหลิวเจิ้งไม่ด้อยกว่าเย่หลิวชุนซิง เขาบ่มเพาะอยู่บนเส้นทางแห่งแสงและมีความเร็วในการเคลื่อนที่


ผู้อมตะที่มีข้อได้เปรียบด้านความเร็วสามารถต่อสู้หรือล่าถอยได้ตามใจปรารถนา


ในขณะที่พี่น้องกำลังพูดคุย ผู้อมตะเผ่าหลิวอีกสองคนก็มาถึง


ฟางหยวนฆ่าหลิวหยงและปล้นทรัพยากรของเผ่าหลิว เรื่องนี้ทำให้เผ่าหลิวโกรธมาก


พวกเขาไม่เพียงส่งหลิวเจิ้งออกมาแต่ยังส่งผู้อมตะอีกสองคนมาเพื่อทำให้แน่ใจว่าพวกเขาจะประสบความสำเร็จ


“สวรรค์! ทรัพยากรในถ้ำแสงมรกตถูกปล้นไปหมดแล้ว!”


“ฆ่าเขา! เราต้องฆ่าเขา มิฉะนั้นความโกรธของเผ่าหลิวจะไม่มีวันสงบ!”


ผู้อมตะที่มาใหม่สองคนกรีดร้อง


“หุบปาก! พวกเจ้ากำลังทำให้น้องสาวของข้าตกใจ!” หลิวเจิ้งเงยหน้าตะโกน


ผู้อมตะทั้งสองของเผ่าหลิวลดระดับเสียงลงทันที


หนึ่งในสองมีทักษะในการสืบสวน เขาพบร่องรอยของฟางหยวนอย่างรวดเร็ว “เขาหนีไปทางนั้น ตามไป!”


“พวกเจ้าไปก่อน ข้าจะพาน้องสาวของข้ากลับบ้าน” หลิวเจิ้งกล่าว


ผู้อมตะอีกสองคนรู้สึกมึนงง “ไปกลับ ท่านจะใช้เวลานานเพียงใด หากเราไม่เริ่มไล่ล่าตอนนี้ เราอาจตามเขาไม่ทัน”


“เช่นนั้นหากหลิวกวนซื่อย้อนกลับมาและทำร้ายน้องสาวของข้าจะทำอย่างไร? หากเกิดสิ่งใดขึ้นกับนาง ข้าจะจัดการพวกเจ้า!” หลิวเจิ้งตะโกนเสียงดัง


“พี่ชายของข้ายอดเยี่ยมที่สุด!” หลิวลั่วมีความสุขมาก


ผู้อมตะเผ่าหลิวสองคนมองหน้ากันและสามารถมองเห็นความขมขื่นในดวงตาของแต่ละคน


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1210 ต้องการตัว


แปลโดย iPAT 


‘ดังคาด จากข้อมูลของหลิวหยง หากเผ่าหลิวต้องการจับตัวข้า พวกเขาจะส่งหลิวเจิ้งออกมา แต่เขาเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งแสง แม้ข้าจะฆ่าเขา ข้าก็ไม่สามารถกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเขาได้ในเวลานี้ แล้วเหตุใดข้าต้องเสี่ยง?’


ฟางหยวนในร่างมังกรดาบบรรพกาลบินไปทางทิศตะวัตก


เขาค้นวิญญาณของหลิวหยงระหว่างทาง


ตอนนี้ฟางหยวนกำลังล่าถอย


หากเขาปล้นต่อ เขาต้องต่อสู้กับผู้อมตะเผ่าหลิว ในกรณีนั้นมันจะมีความเสี่ยงสูงขณะที่มีประโยชน์เพียงเล็กน้อย


ฟางหยวนยังใช้วิญญาณอมตะดาบทะลวงมิติ


ลูกพลัมแดงอมตะมีประสิทธิภาพสูงมาก หากเป็นก่อนหน้าฟางหยวนต้องจ่ายองุ่นเขียวอมตะจำนวนมหาศาล


เป็นไปตามความคาดหมายของฟาหงยวน ขณะที่เขาล่าถอย เขาไม่พบผู้อมตะเผ่าหลิวแม้แต่ครั้งเดียว


ฟางหยวนไม่รู้ว่าหลิวเจิ้งเสียเวลาพาน้องสาวของเขากลับบ้าน สำหรับผู้อมตะอีกสองคนของเผ่าหลิว แม้พวกเขาจะไล่ล่า แต่พวกเขาก็ไม่สามารถติดตามฟางหยวน


หลังจากฟางหยวนเข้าสู่ไท่ชิว ผู้อมตะเผ่าหลิวก็ทำได้เพียงเฝ้ามองโดยไม่กล้าตามเข้าไป


ด้วยค่ายกลวิญญาณขนส่ง ฟางหยวนกลับมายังแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา


“ฟางหยวนกลับมาแล้ว!” ผมที่หกได้รับข่าวทันที


เขามีความรู้สึกที่ซับซ้อน


เพราะตอนนี้เขารู้แล้วว่าฟางหยวนสังหารเย่หลิวชุนซิง สิ่งสำคัญที่สุดคือฟางหยวนใช้ท่าไม้ตายอมตะเปลี่ยนเป็นมังกรดาบบรรพกาล เขาใช้ความแข็งแกร่งของตนเองและไม่ต้องพึ่งพาอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุด!


“พลังการต่อสู้ของเขาพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นนี้ได้อย่างไร? เมื่อเร็วๆนี้เขายังยุ่งอยู่กับการเข้าออกแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา เขากำลังทำสิ่งใดอยู่!?”


ผมที่หกรู้สึกไม่สบายใจมาก


เมื่อเห็นฟางหยวนวุ่นวายทำสิ่งต่างๆ ผมที่หกรู้สึกราวกับกำลังวิ่งตามหลังฟางหยวน


ผมที่หกต้องการเดินเข้าไปกีดขวางอยู่ด้านหน้าและหยุดฟางหยวนแต่ไม่มีสิ่งใดที่เขาสามารถทำได้


เมื่อใดก็ตามที่เขานึกถึงอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุด เขาจะรู้สึกหดหู่ใจมาก


พลังการต่อสู้ระดับแปด!


ผมที่หกทำได้เพียงหวังว่าฟางหยวนจะมีคริสตัลสวรรค์ไม่พอที่จะเลี้ยงดูอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุด


“ข้าหวังว่าอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดจะตายเพราะความหิว!” ผมที่หกหวังได้เท่านี้


‘ข้ามีคริสตัลสวรรค์ไม่เพียงพอ’ ฟางหยวนถอนหายใจหลังจากกลับเมืองเมฆาและตรวจสอบมิติช่องว่างจักรพรรดิ


ความหวังของผมที่หกเป็นจริงแล้ว


คริสตัลสวรรค์เป็นทรัพยากรอมตะระดับแปดที่แทบไม่มีขายในสวรรค์สีเหลือง


ฟางหยวนได้รับคริสตัลสวรรค์ส่วนใหญ่มาจากการทำธุรกรรมกับจักรพรรดิสวรรค์ไป่ซู


แต่ความอยากอาหารของอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดน่ากลัวมาก ตอนนี้คริสตัลสวรรค์กำลังจะหมดลง


“ไม่เป็นไร ข้าจะใช้แต้มผลงานของนิกายหยางหลาแลกเพื่อแลกเปลี่ยนวิญญาณและใช้ท่าไม้ตายอมตะของข้าชะลอการเติบโตของมัน”


มรดกที่แท้จริงของไห่ฟานสามารถเร่งการเติบโตของอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดและแน่นอนว่ามันมีวิธีที่จะทำสิ่งตรงกันข้าม


อย่างไรก็ตามฟางหยวนยังไม่คุ้นเคยกับท่าไม้ตายนี้ เขาจำเป็นต้องฝึกฝน มิฉะนั้นการกระตุ้นใช้งานอาจล้มเหลว ในกรณีนี้นอกจากฟางหยวนจะได้รับบาดเจ็บ อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดก็จะได้รับบาดเจ็บเช่นกัน สิ่งสำคัญคือท่าไม้ตายอมตะนี้ต้องใช้เวลาสามวันในการกระตุ้นการทำงาน แต่ฟางหยวนยังไม่มีเวลา


ฟางหยวนออกไปหลังจากกลับมา


ด้วยค่ายกลวิญญาณขนส่ง เขาเดินทางไปอีกมุมหนึ่งของภาคเหนือ


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าค่ายกลวิญญาณของนิกายหลางหยามีประโยชน์มาก ฟางหยวนสูญเสียวิญญาณท่องแดนอมตะ แต่ค่ายกลวิญญาณขนส่งของนิกายหลางหยายังสามารถชดเชย


ฟางหยวนเลือกสถานที่ปลอดภัยและโยนศพของหลิวหยงลง


แดนศักดิ์สิทธิ์หลิวหยงก่อตัวขึ้นก่อนที่ฟางหยวนจะเข้าไปภายใน


จิตวิญญาณแผ่นดินของแดนศักดิ์สิทธิ์หลิวหยงอยู่ในร่างสุนัขสีดำ เงื่อนไขในการเป็นเจ้าของคนใหม่คือรวบรวมสุนัขอสูรเดียวดายยี่สิบตัวมาไว้ที่นี่


ฟางหยวนประสบความสำเร็จอย่างง่ายดาย


เขาสามารถกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์หลิวหยงและได้รับทรัพยากรทั้งหมดจากมัน


หลังจากกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์มาอย่างต่อเนื่อง


พื้นที่ของมิติช่องว่างจักรพรรดิเพิ่มขึ้นไม่น้อย


แต่เนื่องจากมิติช่องว่างจักรพรรดิมีขนาดใหญ่เกินไป พื้นที่ที่เพิ่มขึ้นจึงไม่ถือว่ามีนัยสำคัญ


นอกจากนี้ยังมีจิตวิญญาณแผ่นดินปรากฏขึ้น


ตอนนี้มิติช่องว่างของฟางหยวนมีจิตวิญญาณแผ่นดินมากกว่าสิบชีวิตที่กระจัดกระจายอยู่ในพื้นที่ต่างๆ


พวกมันดูแลอาณาเขตของตนเองขณะที่ฟางหยวนช่วยจัดหาพลังงานอมตะและวิญญาณให้กับพวกมัน


มีพลังงานอมตะของเจ้าของคนก่อนถูกทิ้งไว้ แต่พลังงานอมตะของผู้อื่นมีข้อจำกัดในการใช้งาน


ส่วนใหญ่พวกมันจะถูกใช้กับคฤหาสน์วิญญาณอมตะเท่านั้น


ในอดีตฟางหยวนได้รับลูกท้อเหลืองอมตะระดับเก้าจำนวนมากมาจากเทพอมตะตะวันเดือด แต่เขาใช้เกือบทั้งหมดในการกระตุ้นใช้งานคฤหาสน์วิญญาณอมตะสนามรบแห่งความโกลาหลที่ภูเขาอี้เทียน หลังจากสลับวิญญาณ ลูกท้อเหลืองอมตะระดับเก้าของเทพอมตะตะวันเดือดจึงถูกส่งต่อให้กับอิงอู๋เซี่ย


ความสามารถของคฤหาสน์วิญญาณอมตะจะไม่เปลี่ยนแปลงแต่พลังอำนาจของมันจะขึ้นอยู่กับพลังงานอมตะที่พวกมันได้รับ


หลังจากกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์บนเส้นทางแห่งทาสของหลิวหยง ฟางหยวนตระหนักว่าเขาสามารถก้าวข้ามภัยพิบัติพิภพไปได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น


‘ดูเหมือนมันค่อนข้างยากหากต้องการยกระดับการบ่มเพาะระดับเจ็ดด้วยการกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับหก หลังจากนี้มีเพียงแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับเจ็ดเท่านั้นที่มีประสิทธิภาพ’


ฟางหยวนตระหนักถึงสิ่งนี้และรู้สึกโศกเศร้าเล็กน้อย


‘นี่ค่อนข้างยาก’


ในโลกของผู้อมตะทั้งห้าภูมิภาคมีผู้อมตะระดับหกอยู่มากที่สุด ผู้อมตะระดับเจ็ดหายากกว่า นอกจากนั้นการกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับเจ็ด คนผู้หนึ่งยังต้องมีความสำเร็จบนเส้นทางสายนั้นอย่างน้อยระดับปรมาจารย์


ฟางหยวนเป็นปรมาจารย์บนเส้นทางห้าสายเท่านั้น ขณะที่ผู้อมตะระดับเจ็ดที่บ่มเพาะบนเส้นทางความแข็งแกร่ง เส้นทางแห่งเลือด และเส้นทางแห่งปัญญามีน้อยมาก เส้นทางแห่งดวงดาวและเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงยังมีอยู่บ้าง นี่ทำให้ตัวเลือกของฟางหยวนมีน้อยลงไปอีก เขาไม่สามารถกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับเจ็ดได้อย่างสะดวกสบายเหมือนแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับหก


แต่ฟางหยวนมีทางออกสำหรับปัญหานี้


เขามองไปในระยะไกล


ภาคใต้!


‘ลำพังท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคยยังไม่เพียงพอ กระทั่งข้าจะสามารถปกปิดตัวตน แต่ในการติดต่อสื่อสารกับพวกเขา มันยังมีข้อบกพร่องมากมาย นี่เป็นเรื่องที่น่าปวดหัว’


ฟางหยวนคิดและยังไม่ได้ออกจากภาคเหนือทันที


เขากำลังรอดูการตอบสนองของทุกคน


ชื่อเสียงของหลิวกวนซื่อเลวร้ายมาก เขาโจมตีเผ่าหลิวและสังหารหลิวหยง เขาปล้นสะดมสุสานกระดูกและถ้ำแสงมรกต ข่าวนี้แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว


กองกำลังฝ่ายธรรมะโกรธมาก กงหว่านถิงเปลี่ยนทัศนคติของนางหลังจากได้ยินเรื่องนี้ นางถามชูตู๋และกล่าวโทษจักรพรรดิอมตะ


ด้านนิกายชู พวกเขาตกใจและประหลาดใจเช่นกัน


พวกเขาคาดหวังอย่างมากต่อหลิวกวนซื่อ แต่เขากลับเพิกเฉยต่องานประลองทุ่งโลหิตและยังไปปล้นสะดมทรัพยากรของเผ่าหลิวเพียงผู้เดียว


ไร้ยางอายมาก!


ไม่มีคำก่นด่าใดเพียงพอสำหรับการกระทำของเขา!


เผ่าหลิวเป็นศัตรูของชูตู๋ เพราะความขัดแย้งระหว่างชูตู๋กับเผ่าหลิวทำให้ชูตู๋ได้รับฉายาจักรพรรดิอมตะ


แต่ตอนนี้แม้เผ่าหลิวจะพบกับความสูญเสีย ชูตู๋ก็ไม่รู้สึกมีความสุข


‘หลิวกวนซื่อผู้นี้ไม่สามารถควบคุมจริงๆ!’ ความรู้สึกที่ดีของชูตู๋ที่เคยมีต่อฟางหยวนหายไปอย่างสมบูรณ์


เขาไม่ต้องการให้ผู้ใต้บังคับบัญชาคนใดของเขาทำเรื่องเช่นนี้


การกระทำของฟางหยวนเป็นการฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ทั้งหมด เขาทำลายข้อตกลงของทั้งสองฝ่ายลงโดยไม่แยแส


ชูตู๋ค่อนข้างโกรธกับเรื่องนี้


เหยากวงและจักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูก็รู้สึกเช่นเดียวกัน


ความตายของเย่หลิวชุนซิงไม่ส่งผลกระทบต่อผู้อมตะระดับแปดทั้งสองคน แต่หลังจากได้ยินข่าวการโจมตีเผ่าหลิวของฟางหยวน พวกเขากลับขมวดคิ้วอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่ได้นัดหมาย


“หนูสกปรกเพียงตัวเดียวกลับขโมยน้ำซุปไปจนหมดหม้อ!”


“หลิวกวนซื่อ…เขาไม่ใช่สมาชิกฝ่ายธรรมะ”


ผู้อมตะระดับแปดทั้งสองตัดสินฟางหยวนทันที


การกระทำของฟางหยวนเป็นการตบหน้าพวกเขา ผลที่จะตามมาย่อมไม่ใช่เรื่องดี มันไม่ใช่สิ่งที่ผู้อมตะคนใดต้องการประสบพบเจอ


ชูตู๋ประกาศทันทีว่าการกระทำของหลิวกวนซื่อไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา เพื่อแสดงจุดยืนของนิกายชู ชูตู๋ต้องประกาศ ณ จุดนั้นว่าหลิวกวนซื่อถูกขับออกจากนิกายของเขาและไม่ใช่ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สองของนิกายชูอีกต่อไป


“เด็ดเดี่ยวมาก” ฟางหยวนยกย่องหลังจากอ่านจดหมายจากชูตู๋


ในจดหมายชูตู๋ยังสุภาพมาก เขากล่าวว่าไม่สามารถทำสิ่งใดในสถานการณ์นี้และต้องขับไล่หลิวกวนซื่อออกจากนิกายทันที เขาหวังว่าจะได้ร่วมงานกับฟางหยวนอีกครั้งในอนาคต


ไม่ว่าจะเป็นท่าไม้ตายมิติภัยพิบัติหรือข้อตกลงปีศาจคลั่ง ชูตู๋ยังต้องร่วมมือกับฟางหยวนอย่างลับๆ


แต่ในที่สาธารณะทั้งสองจะเป็นศัตรู


ในเวลาเดียวกันจักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูและเหยากวงก็ออกมาประฌามการกระทำที่ชั่วร้ายของฟางหยวน พวกเขาออกหมายจับฟางหยวนเพื่อให้เขาได้รับการพิพากษา


นี่เป็นวิธีการทำงานของฝ่ายธรรมะ พวกเขาไม่ต้องการให้ปีศาจอมตะสร้างความเสียหาย


ทุกฝ่ายเตะฟางหยวนออกไปทันที


แม้พลังการต่อสู้ของฟางหยวนจะเป็นสิ่งที่ชูตู๋ต้องการก็ตาม


การกระทำของฟางหยวนทำลายข้อตกลงทั้งหมดของผู้อมตะภาคเหนือ ดังนั้นในเวลานี้หลิวกวนซื่อจึงเป็นที่ต้องการของทุกคน


‘ชูตู๋ จักรพรรดิสวรรค์ไป่ซู เหยากวง พวกเขาไม่ใช่ตัวตนที่สามารถวางแผนต่อต้านได้โดยง่าย’


ฟางหยวนยิ้มแต่ไม่กล่าวสิ่งใด


หลิวกวนซื่อเป็นเพียงตัวตนปลอมที่เขาสร้างขึ้นแบบสุ่ม กระทั่งเขาจะกระทำการเหล่านั้นจริง แล้วอย่างไร?


ตอนนี้เขาให้ความสำคัญกับเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์ของภาคเหนือเท่านั้น


ในเวลาเดียวกันเขายังวางแผนที่จะไปภาคใต้


แม้ฟางหยวนจะยังสนใจการเคลื่อนไหวของโลกผู้อมตะภาคเหนือ แต่ตอนนี้เขาต้องให้ความสำคัญกับอาณาจักรแห่งความฝันที่ภาคใต้เป็นอันดับแรก


‘ภาคใต้ ข้ากำลังจะกลับไป’


‘ในฐานะผู้อมตะระดับเจ็ด…’


‘นี่ถือเป็นการกลับไปพร้อมกับความรุ่งโรจน์ใช่หรือไม่?’


ฟางหยวนเผยรอยยิ้มลึกลับบนใบหน้า


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1211 กลับภาคใต้


แปลโดย iPAT 


ลมพัดเข้ามาปะทะร่างกายของเขา


ทุ่งหญ้าด้านล่างเคลื่อนไหวราวกับคลื่นสมุทรขณะที่ฟางหยวนบินผ่านพวกมัน


หลังจากเดินทางมานานมากกว่าสิบวัน กำแพงภูมิภาคก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าฟางหยวน


แต่ในจังหวะนี้การแสดงออกของเขากลับเปลี่ยนแปลงไป


เรารู้สึกได้ว่าพลังอำนาจของวิญญาณอมตะขีดจำกัดความมืดกำลังอ่อนแอลงอย่างรวดเร็ว


‘บางคนอนุมานเกี่ยวกับข้าอีกครั้ง’ ฟางหยวนตระหนักถึงเรื่องนี้


เขาใช้วิญญาณอมตะขีดจำกัดความมืดต่อต้านการอนุมานเหล่านั้น


ฟางหยวนเคยพบปัญหานี้มาแล้วหลายครั้ง เมื่อเร็วๆนี้หลังจากฟางหยวนสังหารเย่หลิวชุนซิง ฆ่าหลิวหยง และปล้นสะดมทรัพยากรของเผ่าหลิว ผู้อมตะภาคเหนือพยายามอนุมานเกี่ยวกับตัวเขา


โชคดีที่ฟางหยวนเป็นปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งปัญญาและมีวิญญาณอมตะขีดจำกัดความมืดที่ช่วยป้องกันการอนุมานจากภายนอก


แต่วิญญาณอมตะขีดจำกัดความมืดมีเวลาจำกัดในการใช้งานแต่ละครั้ง


ฟางหยวนจำเป็นต้องพิจารณาเกี่ยวกับประเด็นนี้และพยายามหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่เขาต้องพึ่งพาวิญญาณอมตะขีดจำกัดความมืดขณะที่มันยังไม่พร้อมใช้งาน


เผ่าหลิว


ผู้อมตะเผ่าหลิวสามคนนั่งอยู่ในค่ายกลวิญญาณและกำลังกระตุ้นใช้งานมัน


หลังจากชั่วครู่ผู้อมตะทั้งสามก็ต้องหยุดการเคลื่อนไหว


“ล้มเหลวอีกครั้ง?” ผู้อมตะระดับเจ็ดบนเส้นทางแห่งแสงหลิวเจิ้งกล่าวด้วยน้ำเสียงผิดหวัง


“พวกเราไม่สามารถปฏิบัติภารกิจตามคำขอของท่านหลิวเจิ้ง พวกเรารู้สึกละอายใจนัก” สามผู้อมตะเผ่าหลิวถอนหายใจและก้มศีรษะลงด้วยการแสดงออกที่น่าเกลียด


หลิวเจิ้งก่นเสียงเย็นก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สงบลง “ลืมมันไปซะ เผ่าหลิวของเราไม่มีผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา ค่ายกลวิญญาณนี้เป็นเพียงการเลียนแบบวิธีการบนเส้นทางแห่งปัญญาเท่านั้น มันมีประสิทธิภาพไม่มาก ข้าต้องไปหาเทียนเซี่ยซินเพื่อขอความช่วยเหลือเดี๋ยวนี้!”


“ท่านหลิวเจิ้งโปรดอภัยให้พวกเราด้วย พวกเราไม่สามารถอนุมานสิ่งใดไม่ใช่เพราะพวกเราอ่อนแอ แต่เป็นเพราะศัตรูมีวิธีป้องกันการอนุมานจากภายนอก” ผู้นำกลุ่มสามผู้อมตะกล่าว


“เป็นเช่นนั้น?” ใบหน้าของหลิวเจิ้งมืดครึ้มลง


เขาพึมพำกับตนเอง “อีกฝ่ายเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงที่เชี่ยวชาญการเปลี่ยนเป็นมังกรดาบบรรพกาล แล้วเขาจะมีวิธีการเช่นนั้นได้อย่างไร? แต่ผู้ใดจะรู้ว่าเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงจะสามารถเลียนแบบวิธีการบนเส้นทางแห่งปัญญาหรือไม่? อย่างไรก็ตามมีความเป็นไปได้ที่หลิวกวนซื่อจะได้รับความช่วยเหลือจากจักรพรรดิอมตะชูตู๋อย่างลับๆ แม้เขาจะขับไล่หลิวกวนซื่อออกจากนิกายชู แต่ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะนิ่งเฉย หลังจากทั้งหมดปีศาจอมตะล้วนชั่วร้ายทุกคน!”


หลิวเจิ้งกัดฟ้นแน่นและเผยใบหน้าโหดเหี้ยม


หลินกวนซื่อปล้นสะดมทรัพยากรสำคัญของเผ่าหลิวสองแห่งและยังสังหารผู้อมตะเผ่าหลิว แล้วพวกเขาจะนิ่งเฉยอยู่ได้อย่างไร?


หลิวเจิ้งต้องการสังหารหลิวกวนซื่อแต่ผ่านมาหลายวันพวกเขายังไม่มีความคืบหน้าใดๆ


ก่อนหน้านี้เพื่อความปลอดภัยของน้องชาย หลิวเจิ้งไม่ได้ไล่ล่าฟางหยวน เรื่องนี้ทำให้สมาชิกเผ่าหลิวรู้สึกไม่ดี ดังนั้นหลิวเจิ้งจึงต้องแบกรับแรงกดดันและต้องการจับกุมฟางหยวนเป็นอย่างมาก


‘หลิวกวนซื่อ เจ้าคนขลาด เจ้าอยู่ที่ใด?’ หลิวเจิ้งรู้สึกหนักใจ


เขาไม่รู้ว่าหลังจากนี้เขาจะพบกับความอยากลำบากมากขึ้นเนื่องจากฟางหยวนกำลังจะออกจากภาคเหนือ


เผ่าเย่หลิวก็พบปัญหาเดียวกันกับหลิวเจิ้ง


เย่หลิวชุนซิงเสียชีวิตด้วยน้ำมือของฟางหยวน เผ่าเย่หลิวต้องการแก้แค้นอย่างแน่นอน เมื่อฟางหยวนถูกขับไล่ออกจากนิกายชู เผ่าเย่หลิวจึงสามารถตรวจสอบและชำระบัญชีแค้น


ผู้อมตะที่พวกเขาส่งออกมาไล่ล่าฟางหยวนไม่อ่อนแอกว่าหลิวเจิ้ง แต่น่าเสียดายที่ฟางหยวนออกจากภาคเหนือไปแล้ว


ฟางหยวนประสบความสำเร็จในการเดินทางข้ามกำแพงภูมิภาคโดยไม่มีสิ่งใดสามารถกีดขวาง


หลังจากผ่านกำแพงภูมิภาค ฟางหยวนมาถึงทะเลตะวันออก


เมื่อมาถึงที่นี่ กลิ่นอายของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เขากลายเป็นผู้อมตะของทะเลตะวันออกอย่างสมบูรณ์


นี่คือหนึ่งในคุณสมบัติพิเศษของร่างทารกอมตะ


ฟางหยวนสามารถผสานตนเองเข้ากับสภาพแวดล้อมต่างๆได้ราวกับเขาเกิดและเติบโตขึ้นที่นั่น


นี่ต่างจากผู้อมตะคนอื่นๆ กลิ่นอายคนนอกของพวกเขาจะปรากฏขึ้นอย่างชันเจน เมื่อพวกเขาพบภัยพิบัติ พวกเขายังต้องกลับไปภูมิภาคของตนเพื่อวางมิติช่องว่างลง มิฉะนั้นพวกเขาจะพบปัญหามากมาย


หลังจากเข้าสู่ทะเลตะวันออก ฟางหยวนไม่ได้รีบเดินทางต่อ เขาไปยังแดนศักดิ์สิทธิ์ชิงหยูและพักผ่อนอยู่ที่นั่น


นี่เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ที่หลิวชิงหยูทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง


ฟางหยวนกลายเป็นเจ้าของแดนศักดิ์สิทธิ์คนใหม่หลังจากสังหารหลิวชิงหยู


ได้พบฟางหยวนอีกครั้งทำให้จิตวิญญาณแผ่นดินเป็ดรู้สึกตื่นเต้นมาก มันกระโดดไปรอบๆและส่งเสียงกรีดร้องอย่างมีความสุข


ฟางหยวนปลอบโยนมันขณะที่จิตวิญญาณแผ่นดินเป็ดหลั่งน้ำตาแห่งความสุขออกมา


“ข้ารู้ว่านายท่านจะไม่ทอดทิ้งข้า!”


น่าเสียดายที่ระดับความสำเร็จของฟางหยวนยังต่ำเกินไปและไม่สามารถกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับเจ็ดแห่งนี้


ฟางหยวนพักผ่อนอยู่ที่นี่เพื่อรอให้วิญญาณอมตะขีดจำกัดความมืดฟื้นตัว ในช่วงเวลาที่ฟางหยวนอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าผู้ใดจะอนุมานเกี่ยวกับเขา พวกเขาก็จะล้มเหลวโดยที่ฟางหยวนไม่จำเป็นต้องใช้วิญญาณอมตะขีดจำกัดความมืด


เมื่อถึงเวลาที่วิญญาณอมตะขีดจำกัดความมืดฟื้นตัว ฟางหยวนกระตุ้นใช้งานมันอีกครั้งและเดินทางไปยังทะเลไหลเชี่ยวทันที


เส้นทางที่ยากลำบากของทะเลไหลเชี่ยวทำให้ฟางหยวนเสียเวลาไปหลายวัน แต่ในที่สุดเขาก็ไปถึงเมืองจิ๋ว


มีแดนศักดิ์สิทธิ์มากมายอยู่ที่นี่


ฟางหยวนใช้อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดเข้าไปและกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์บางแห่ง


เขาสามารถก้าวข้ามภัยพิบัติพิภพได้อีกสองครั้ง


ฟางหยวนออกจากทะเลไหลเชี่ยวและกลับไปยังแดนศักดิ์สิทธิ์ชิงหยูเพื่อรอให้วิญญาณอมตะขีดจำกัดความมืดฟื้นตัวก่อนจะออกเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางที่แท้จริงของเขา


หลังจากมาถึงทะเลตะวันออก ความสามารถในการอนุมานของผู้อมตะภาคเหนือก็อ่อนแอลง นี่ทำให้วิญญาณอมตะขีดจำกัดความมืดสูญเสียพลังงานน้อยลง


ฟางหยวนแตกต่างจากก่อนหน้านี้มาก


เขามีความเข้าใจเกี่ยวกับเจตจำนงสวรรค์ นอกจากนั้นเขายังมีวิญญาณอมตะขีดจำกัดความมืดและวิธีบนเส้นทางแห่งปัญญามากมายเพื่อใช้ป้องกันตัว แน่นอนว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือระดับการบ่มเพาะและพลังการต่อสู้ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากของเขา


เปรียบเทียบกับช่วงเวลาหลังการต่อสู้บนภูเขาอี้เทียนเมื่อฟางหยวนเดินทางจากภาคใต้ไปยังภาคเหนือ มีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด


หากฟางหยวนพบฝูงสัตว์อสูรเมฆาบรรพกาลอีกครั้ง เขาจะไม่ถูกไล่ล่า ฝ่ายที่ตกอยู่ในอันตรายจะไม่ใช่ฟางหยวนอีกต่อไปแต่จะเป็นฝูงสัตว์อสูรเมฆาบรรพกาลเหล่านั้น


เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฟางหยวนรู้สึกว่าหลังจากได้รับร่างทารกอมตะการบ่มเพาะของเขาพุ่งสูงขึ้นด้วยความเร็วที่น่าตกใจมาก มันคู่ควรกับการเป็นสุดยอดผลิตภัณฑ์ที่ถูกสร้างขึ้นโดยเทพปีศาจจิตวิญญาณ นิกายเงา และกองกำลังพันธมิตรผีดิบหลังจากใช้เวลาและความพยายามมานานนับแสนปีอย่างแท้จริง


แน่นอนว่ายิ่งร่างทารกอมตะแข็งแกร่งขึ้นเท่าใด ความเป็นอริศัตรูระหว่างฟางหยวนกับนิกายเงาก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเท่านั้น


ความบาดหมางที่ไม่สามารถแก้ไขนี้ทำให้ฟางหยวนรู้สึกกังวลมาก


น่าเสียดายที่อิงอู๋เซี่ยและสมาชิกนิกายเงามีความสามารถที่ไม่ธรรมดา ฟางหยวนไม่สามารถค้นหาตำแหน่งที่อยู่ของพวกเขา มิฉะนั้นเขาจะมุ่งหน้าไปกำจัดคนกลุ่มนี้เป็นอันดับแรก


แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือไม่ว่าจะเป็นฟางหยวนหรืออิงอู๋เซี่ย พวกเขาไม่รู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายอยู่ในภูมิภาคเดียวกัน


‘ข้าได้ยินมานานแล้วว่าภูเขาอี้เทียนถูกผนึกเอาไว้ด้วยค่ายกลวิญญาณขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นโดยฝ่ายธรรมะ ข้าควรไปตรวจสอบสถานการณ์ก่อน’ ฟางหยวนไม่รู้ว่าเขาจะเข้าสู่อาณาจักรแห่งความฝันได้อย่างไร


เขาบินไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้


มันเป็นการบินอ้อม แต่เมื่อพิจารณาถึงเจตจำนงสวรรค์ หากฟางหยวนบินเป็นเส้นตรง มีโอกาสที่เจตจำนงสวรรค์จะสร้างปัญหาให้กับเขามากกว่า


‘หือ? มีบางคนพยายามอนุมานเกี่ยวกับข้างั้นหรือ?’ ฟางหยวนรู้สึกถึงพลังอำนาจที่ค่อยๆลดลงของวิญญาณอมตะขีดจำกัดความมืดและรู้สึกขบขัน


ภาคใต้และภาคเหนือเป็นสองภูมิภาคที่ถูกกีดขวางด้วยกำแพงภูมิภาค การอนุมานข้ามภูมิภาคมีโอกาสประสบความสำเร็จต่ำมาก


ดังคาด ในสวนหมื่นพฤกษา ผู้อมตะเทียนเซี่ยซินของภาคเหนือคืนทรัพยากรครึ่งหนึ่งให้กับหลิวเจิ้ง


หลิวเจิ้งรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ “อันใด? กระทั่งท่านก็ไม่สามารถอนุมานสิ่งใดงั้นหรือ?”


ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาเทียนเซี่ยซินเผยรอยยิ้มขมขื่น “การอนุมานบนเส้นทางแห่งปัญญาไม่สามารถทำทุกสิ่ง ข้าพยายามเต็มที่แล้ว ขอโทษอย่างสุดซึ้ง”


หลิวเจิ้งบินออกไปจากสวนหมื่นพฤกษาอย่างช้าๆ


เขาหนักใจมากและไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร


กระทั่งผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาอันดับหนึ่งของภาคเหนือในปัจจุบันเทียนเซี่ยซินก็ไม่สามารถสรุปตำแหน่งที่อยู่ของหลิวกวนซื่อ แล้วผู้ใดจะทำได้?


“หลิวกวนซื่อ เจ้าจงอธิษฐานเอาไว้ให้ดีว่าอย่าพบข้าอีก!” ดวงตาของหลิวเจิ้งเต็มไปด้วยเจตนาสังหาร


แต่ไม่ว่าเจตนาสังหารของเขาจะรุนแรงเพียงใด ฟางหยวนก็ยังมีชีวิตที่ดี


“โอ้ พวกเขาหยุดอนุมานแล้ว ฮ่าฮ่า เมื่อคนเหล่านี้จ่ายด้วยราคาที่มากขึ้นแต่ยังไม่ได้รับผลลัพธ์ใดๆ พวกเขาจะหยุดในที่สุด” ฟางหยวนหัวเราะ


ภาคเหนือ แดนศักดิ์สิทธิ์ภูเขาหิมะ ยอดเขาที่หนึ่ง


หม่าหงหยุนมองท่านหญิงหว่านซูที่กำลังเดินเข้ามา เขามองนางด้วยความโกรธ “เข้ามา! หญิงชั่ว!”


ท่านหญิงหว่านซูส่งบอลสายฟ้าไปที่หน้าอกของหม่าหงหยุนด้วยการแสดงออกที่เรียบเฉียบ


“เปรี้ยง!”


ร่างของหม่าหงหยุนสั่นสะท้านขึ้นอย่างรุนแรง


“พรวด!”


ทันใดนั้นท่านหญิงหว่านซูกลับกระอักเลือดออกมาขณะที่ใบหน้าเปลี่ยนเป็นซีดขาว “เหตุใดข้าถึงล้มเหลวอีกครั้ง?”


ดวงตาของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงหลังจากล้มเหลวหลายครั้ง


หม่าหงหยุนพยายามประคองสติเอาไว้และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรง “ข้าจะรู้ได้อย่างไร? หากเจ้าทำสำเร็จ ข้าคงตายไปแล้ว หากต้องตายในตอนจบ อย่างน้อยข้าก็จะไม่ทรมานอีก!”


หลังกล่าวจบประโยค หม่าหงหยุนก็หมดสติไปในที่สุด


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1212 ผลาญจิตวิญญาณระเบิดโชค


แปลโดย iPAT 


“เจี๊ยก เจี๊ยก!” ลิงตัวเมียขนเหลืองวิ่งไปรอบๆก่อนจะหยุดยืนอยู่ด้านหน้าฟางหยวนและมอบลูกท้อให้เขา


ฟางหยวนรับมันไว้โดยไม่กล่าวสิ่งใดก่อนจะโยนมันลงไปด้านล้างต้นไม้


ลิงตัวเมียตกใจและกระโดดไปรอบๆทำให้กิ่งไม้ที่ฟางหยวนยืนอยู่สั่นไหว


ฟางหยวนยกมือขึ้นปิดใบหน้าของตนและถอนหายใจ


ลิงตัวเมียเข้าหาฟางหยวนอีกครั้ง


ฟางหยวนเตะส่งมันลงไปจากกิ่งไม้


ลิงตัวเมียล้มลงบนพื้นและกัดฟันแน่นด้วยความเจ็บปวด มังมองขึ้นไปที่ฟางหยวนด้วยความหวาดกลัวก่อนจะหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว


ตอนนี้ฟางหยวนอยู่ในรูปลักษณ์ของลิงตัวผู้!


ด้วยเหตุนี้เขาจึงดึงดูดความสนใจของลิงตัวเมีย


ที่นี่คือยอดเขาไร้นามแห่งหนึ่ง


ฟางหยวนมาที่นี่โดยปลอมตัวเป็นลิงภูเขา เขาอยู่บนภูเขาลูกนี้มาครึ่งเดือนแล้ว


เขาปกปิดตัวตนและเฝ้าสังเกตค่ายกลวิญญาณขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างออกไป


ถูกต้อง เขาอยู่ด้านหน้าอาณาจักรแห่งความฝันของภาคใต้


น่าเสียดายที่อาณาจักรแห่งความฝันขนาดใหญ่ถูกผลึกไว้ในค่ายกลวิญญาณของฝ่ายธรรมะ หากมองด้วยตาเปล่า คนผู้หนึ่งจะเห็นเพียงภูเขาสีเขียวเท่านั้น


แม้ฟางหยวนจะใช้วิธีการบางอย่างที่สามารถมองทะลุค่ายกลวิญญาณ แต่เขาก็เห็นเพียงภาพที่พร่ามัว


‘น่าเสียดายที่วิธีการตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพที่สุดของข้าคือท่าไม้ตายอมตะภาพอนาคตสามลมหายใจ มันไม่สามารถจัดการค่ายกลวิญญาณนี้ นอกจากนั้นยังมีวิญญาณอมตะมากมายเป็นแกนกลางของมัน’


‘ผู้สร้างค่ายกลวิญญาณนี้คือผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลจื่อ จื่อชิวหยู คนผู้นี้เป็นปรมาจารย์เอกบนเส้นทางแห่งค่ายกล ค่ายกลวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขาสร้างขึ้นคือค่ายกลวิญญาณเก้าสระสามชั้น ในสงครามห้าภูมิภาค ตระกูลจื่อใช้มันสังหารผู้อมตะภาคกลางจำนวนมาก ค่ายกลวิญญาณสามชั้นฟ้าเก้ามหาสมุทรกสร้างขึ้นในช่วงเวลาสุดท้ายในชีวิตของจื่อชิวหยู แต่ตอนนี้เขายังห่างไกลจากความสำเร็จ บางทีข้าอาจสามารถเรียนรู้บางสิ่งจากค่ายกลวิญญาณที่อยู่ตรงหน้านี้ หลังจากทั้งหมดมันเป็นค่ายกลวิญญาณที่ทับซ้อนกันคล้ายกับค่ายกลวิญญาณสามชั้นฟ้าเก้ามหาสมุทร’


‘ตอนนี้ค่ายกลวิญญาณถูกใช้งานเพียงบางส่วน วิญญาณอมตะยังไม่ถูกกระตุ้นใช้งาน’


‘แต่ถึงกระนั้นข้าเพียงผู้เดียวก็ยังไม่สามารถทำลายค่ายกลวิญญาณระดับนี้โดยไม่ต้องกล่าวถึงผู้อมตะฝ่ายธรรมะอีกอย่างน้อยสิบสามคนที่เฝ้าระวังอยู่รอบๆ!’


ค่ายกลวิญญาณนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยความร่วมมือของกองกำลังพันธมิตรฝ่ายธรรมะ


เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตน แต่ละกองกำลังจึงส่งผู้อมตะระดับสูงอย่างน้อยหนึ่งคนมาปกป้องมันเอาไว้ มิฉะนั้นพวกเขาจะไม่สามารถควบคุมสถานการณ์


‘การป้องกันของมันหนาแน่นเกินไป หากข้าต้องการเข้าไปและคลี่คลายอาณาจักรแห่งความฝัน ข้าต้องวางแผนอย่างชาญฉลาด’ ฟางหยวนส่ายศีรษะอยู่ภายใน


แต่เขาควรใช้แผนการใด ตอนนี้เขายังไม่รู้


ไม่มีคำตอบที่ชัดเจน


เนื่องจากปัญหานี้เกี่ยวข้องกับกองกำลังฝ่ายธรรมะทั้งหมดของภาคใต้ พวกเขาสร้างความร่วมมือและมีการกระจายผลประโยชน์ที่สมเหตุสมผล


ฟางหยวนอยู่ตัวคนเดียว แม้เขาจะเป็นผู้อมตะระดับเจ็ด แต่เปรียบเทียบกับกองกำลังขนาดใหญ่ เขาก็ไม่ถือเป็นสิ่งใด


เช่นเดียวกันก่อนหน้านี้ ฟางหยวนโจมตีและปล้นสะดมทรัพยากรของเผ่าหลิว นั่นทำให้กองกำลังฝ่ายธรรมะทั้งหมดของภาคเหนือรวมถึงชูตู๋ต่อต้านเขา


ฟางหยวนเป็นผู้กลับชาติมาเกิด แต่ด้วยการคงอยู่ของเจตจำนงสวรรค์ ข้อได้เปรียบของเขาจึงลดลงอย่างมาก


สิ่งสำคัญที่สุดก็คือในชีวิตแรกของเขาอาณาจักรแห่งความฝันและค่ายกลวิญญาณนี้ไม่เคยเกิดขึ้น


‘ข้าควรทำเช่นไร?’ ฟางหยวนรู้สึกหนักใจ


ด้านไป่หนิงปิง เขาสามารถเข้าสู่ถ้ำสวรรค์ไป่เซียง แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกหนักใจไม่แพ้ฟางหยวนเมื่อมองไปที่จิตวิญญาณสวรรค์


“ข้าทะลวงผ่านสามสิบห้องโถงและทำลายอุปสรรคทั้งหมดเพื่อมาพบเจ้า แต่เจ้ากลับปฏิเสธที่จะยอมรับข้าเป็นเจ้านายงั้นหรือ?” ไป่หนิงปิงมองจิตวิญญาณสวรรค์ของถ้ำสวรรค์ไป่เซียงด้วยสายตาเย็นชา


จิตวิญญาณสวรรค์ของถ้ำสวรรค์ไป่เซียงอยู่ในรูปลักษณ์ของชายชราผู้หนึ่ง


เขานั่งอยู่บนขั้นบันไดและสูบยาสูบอย่างสะดวกสบาย เขาถอนหายใจกล่าว “คนหนุ่มสาวยุคนี้ช่างใจร้อนนัก ก่อนหน้านี้ข้าบอกให้เจ้าเดินทางผ่านสามสิบห้องโถงเพื่อมาพบข้าที่นี่ แต่ข้าไม่เคยบอกว่าข้าจะยอมรับเจ้าเป็นเจ้าหน้าคนใหม่ เมื่อเจ้ามาถึงที่นี่ นั่นหมายความว่าเจ้ามีคุณสมบัติเบื้องต้นที่จะรับการทดสอบต่อไปเท่านั้น”


“การทดสอบต่อไปคือสิ่งใด?” ไป่หนิงปิงถามเสียงเย็น


“นำทรัพยากรอมตะกลับคืนมา” จิตวิญญาณสวรรค์ไป่เซียงมองไป่หนิงปิงและหัวเราะเบาๆ


“ทรัพยากรอมตะใด?” ไป่หนิงปิงถาม


“เจ้าเห็นรูบนเพดานห้องหรือไม่?” จิตวิญญาณสวรรค์ไป่เซียงชี้นิ้วขึ้นไป


“ข้าเห็นมันทันทีที่มาถึง มันสะดุดตาเกินไป” ไป่หนิงปิงกล่าวเสียงเรียบ


จิตวิญญาณสวรรค์ไป่เซียงถอนหายใจอีกครั้ง “ความสามารถที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคฤหาสน์วิญญาณอมตะสามสิบคลังสมบัติสวรรค์แห่งนี้คือการจัดเก็บทรัพยากรอมตะจำนวนมาก แต่เมื่อไม่กี่พันปีที่ผ่านมา ทรัพยากรอมตะชิ้นหนึ่งหลุดออกมาและบินออกไป”


“อันใด!?” ไป่หนิงปิงรู้สึกประหลาด


“อย่าพึ่งตกใจ หนุ่มน้อย โลกใบนี้กว้างใหญ่เกินจินตนาการของเจ้า มีรูปแบบชีวิตมากมายที่เจ้าจะได้พบเห็นในอนาคต” จิตวิญญาณสวรรค์ไป่เซียงถอนหายใจ


“หยุดไร้สาระ กล่าวเข้าประเด็น!” ไป่หนิงปิงตะคอก


“โอ้ เด็กน้อย เจ้าช่างไร้ความอดทน คำกล่าวของคนแก่เป็นสิ่งที่ดีสำหรับเจ้า” จิตวิญญาณสวรรค์ไป่เซียงกล่าว


ไป่หนิงปิงเงียบและจ้องมองจิตวิญญาณสวรรค์ไป่เซียงด้วยดวงตาสีฟ้าของเขา


จิตวิญญาณสวรรค์ไป่เซียงกล่าวต่อ “เอาล่ะ ข้าจะบอกเจ้า ข้าต้องการให้เจ้ากำหราบเปลวเพลิงที่ซ่อนตัวอยู่ในทะเลทางทิศตะวันตก ในช่วงเวลาปกติ เจ้าจะไม่พบมันเพราะมันสามารถหลอมรวมกับน้ำทะเลได้อย่างสมบูรณ์ แต่นานๆครั้งมันจะลอยขึ้นสู่ผิวน้ำและเล่นสนุกไปรอบๆ นั่นเป็นโอกาสที่ดีที่สุดของเจ้าที่จะจับมัน”


ไป่หนิงปิงทำตามคำแนะนำของจิตวิญญาณสวรรค์ไป่เซียงและไปถึงชายหาดทางทิศตะวันตก


มันเป็นทะเลขนาดใหญ่ที่งดงาม


ไป่หนิงปิงซ่อนตัวอยู่ที่นี่นานกว่าสิบวัน ในที่สุดเขาก็พบโอกาสที่จิตวิญญาณสวรรค์ไป่เซียงกล่าวถึง


“ครืน…”


คลื่นน้ำสูงกว่าร้อยเมตรก่อตัวขึ้นกลางทะเลก่อนที่เสียงคำรามอันดุร้ายจะดังขึ้น


ไป่หนิงปิงค้นพบเป้าหมายของเขา


เดิมทีมันเป็นดวงไฟสีส้มขนาดเล็กเท่ากับกำปั้นมนุษย์


แต่เมื่อเวลาผ่านไปมันกลับเปลี่ยนร่างเป็นมังกรเพลิงสีส้มบินไปรอบๆ


เห็นสิ่งนี้ ไป่หนิงปิงที่เย็นชายังแสดงออกด้วยความตกใจ


‘แสงจากร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าและยังมีชีวิต นี่เป็นทรัพยากรอมตะระดับเก้า!’


ทรัพยกรอมตะระดับเก้าเป็นสมบัติหายากอย่างที่สุด


ทรัพยากรประเภทนี้สามารถใช้หลอมรวมวิญญาณอมตะระดับเก้า


ไป่หนิงปิงไม่คาดคิดว่าจิตวิญญาณสวรรค์ไป่เซียงจะขอให้เขานำทรัพยากรอมตะระดับเก้ากลับไป!


เรื่องนี้อยู่นอกเหนือความสามารถของไป่หนิงปิง ดังนั้นเขาจึงต้องกระตุ้นใช้วิญญาณอมตะบางดวงเพื่อติดต่อกับอิงอู๋เซี่ยที่อยู่ด้านนอก


“ข้าไม่ได้บอกเจ้างั้นหรือว่าอย่าติดต่อข้า หากจิตวิญญาณสวรรค์ไป่เซียงค้นพบ มันอาจเกิดปัญฆา” อิงอู๋เซี่ยกล่าว


“ข้ากำลังพบปัญหา ข้าต้องจับทรัพยากรอมตะระดับเก้า มังกรเพลิงสีส้ม…”


เมื่อได้ยินเรื่องนี้การแสดงออกของอิงอู๋เซี่ยก็เปลี่ยนแปลงไป “เจ้าบอกว่ามังกรเพลิงสีส้มงั้นหรือ?”


“ถูกต้อง มันกำลังบินเล่นอยู่ในทะเล แต่น้ำทะเลราวกับหวาดกลัวมันและแยกออกจนถึงจุดต่ำสุด ข้ายังมองเห็นห้วงมิติที่ว่างเปล่าที่ขยายตัวออกไป” ไป่หนิงปิงกล่าวเสริม


ร่างกายของอิงอู๋เซี่ยสั่นสะท้านขึ้นเล็กน้อย “เจ้าต้องเคยอ่านตำนานมนุษย์คนแรกมาก่อน ตำนานกล่าวว่ามีเปลวเพลิงสามชนิดอยู่บนโลกใบนี้ เพลิงสวรรค์ เพลิงปฐพี และเพลิงมนุษย์ นี่คือเพลิงมนุษย์ มันมีชื่อว่าเพลิงมังกรล่องคลื่น”


“เพลิงมังกรล่องคลื่น!?” ไป่หนิงปิงตกใจ


เขาหยุดก่อนถามต่อ “แล้วข้าควรทำอย่างไร?”


อิงอู๋เซี่ยถอนหายใจ “มันยากมาก ด้วยระดับการบ่มเพาะของเจ้า ไม่มีความหวังที่จะกำหราบมัน แต่ข้ามีสามวิธีให้เจ้าทดลอง”


“มีโอกาสมากน้อยเท่าใด?” ไป่หนิงปิงถาม


อิงอู๋เซี่ยเผยรอยยิ้มขมขื่น “ข้าไม่แน่ใจ พวกมันมีโอกาสประสบความสำเร็จทั้งหมด แต่มากน้อยขึ้นอยู่กับโชคของเจ้า”


ทั้งคู่สนทนากันในช่วงเวลาสั้นๆเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา อิงอู๋เซี่ยเป็นคนตัดการเชื่อมต่อ


เขาไม่ได้มองโลกในแง่ดีและรู้สึกติดอยู่ในความมืด


“เพลิงมนุษย์ ข้าเกรงว่ามีเพียงร่างหลักของข้าเท่านั้นที่มีโอกาสประสบความสำเร็จ”


“ดูเหมือนข้าต้องช่วยไป่หนิงปิง หากเขาล้มเหลว มันจะเป็นปัญหาสำหรับแผนการในอนาคตของข้า”


อิงอู๋เซี่ยตัดสินใจกระทำการบางอย่าง


แม้ไป่หนิงปิงจะอยู่ในถ้ำสวรรค์ไป่เซียง แต่อิงอู๋เซี่ยก็มีวิธีการมากมายที่สามารถช่วยไป่หนิงปิง


อันดับแรก โชค!


อิงอู๋เซี่ยมีท่าไม้ตายอมตะผลาญจิตวิญญาณระเบิดโชค


อิงอู๋เซี่ยเคยใช้ท่าไม้ตายนี้ในช่วงเวลาที่เขาพยายามหลอมรวมวิญญาณท่องแดนอมตะในถ้ำนรกใต้พิภพของภาคกลางมาก่อน มันทำให้โชคของเขาปะทุขึ้นอย่างรวดเร็ว


แต่การหลอมรวมวิญญาณท่องแดนอมตะล้มเหลวเพราะวังสวรรค์ชิงหลอมรวมวิญญาณดวงนี้ไปก่อนแล้ว


วิญญาณอมตะแต่ละดวงมีเพียงหนึ่งไม่มีสอง แม้อิงอู๋เซี่ยจะโชคดีแต่เขาก็ไม่สามารถหลอมรวมวิญญาณอมตะที่เหมือนกันดวงที่สอง


ก่อนที่ไป่หนิงปิงจะออกเดินทาง อิงอู๋เซี่ยใช้วิญญาณอมตะเชื่อมโยงโชคกับไป่หนิงปิงไว้แล้ว


ตอนนี้เมื่อไป่หนิงปิงต้องจับเพลิงมังกรล่องคลื่นทรัพยากรอมตะระดับเก้า ไป่หนิงปิงสามารถพึ่งพาเพียงโชคเท่านั้น


กลับไปที่อาณาจักรแห่งความฝันของภาคใต้


‘โอ้ มีบางสิ่งเกิดขึ้น!’ ฟางหยวนในร่างลิงซ่อนตัวอยู่หลังกิ่งไม้


ผู้อมตะสองคนปรากฏตัวขึ้นด้านล่างต้นไม้ที่ฟางหยวนซ่อนตัวอยู่


ลูกท้อที่ฟางหยวนโยนทิ้งก่อนหน้านี้อยู่ที่ปลายเท้าของผู้อมตะผู้หนึ่ง


“พี่ลั่ว ขอบคุณสำหรับสิ่งนี้” ผู้อมตะคนหนึ่งกล่าว


“ข้าสามารถนำเจ้าเข้าไป แต่หากเกิดสิ่งใดขึ้นและเจ้าถูกค้นพบ มันจะไม่เกี่ยวกับข้า” ผู้อมตะอีกคนตอบกลับ


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1213 ธุรกิจขายโอกาส


แปลโดย iPAT 


‘ว่าไงนะ!?’ เมื่อได้ยินบทสนทนาของผู้อมตะทั้งสอง ฟางหยวนเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น


เขากระโดดไปยังกิ่งไม้ที่อยู่ใกล้กับผู้อมตะทั้งสองมากที่สุด


นี่เป็นพฤติกรรมทั่วไปของลิงสายพันธุ์ที่ฟางหยวนปลอมแปลง ไม่มีสิ่งใดน่าสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้


ผู้อมตะทั้งสองไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น


แต่ฟางหยวนรู้ดีว่าผู้อมตะทั้งสองค้นพบการคงอยู่ของลิงตัวนี้ตั้งแต่แรก แต่ท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคยของฟางหยวนเป็นท่าไม้ตายอมตะระดับแปดที่เหนือกว่าวิธีการตรวจสอบของพวกเขา


ผู้อมตะทั้งสองไม่มีข้อสงสัยใดๆและยังกล่าวต่อไป


หนึ่งในนั้นกล่าว “พี่ลั่ว ไม่จำเป็นต้องกังวล ข้าเข้าใจ เทพธิดากระต่ายขาวบอกข้าแล้ว ข้าต้องการสำรวจอาณาจักรแห่งความฝันและทดสอบความสามารถของตนเอง แม้ข้า เจียวเหล่ยซือจะเป็นเพียงผู้บ่มเพาะสันโดษ แต่ข้าก็ยึดมั่นในคำสัญญา ตั้งแต่ข้าสัญญากับท่านและทำข้อตกลงบนเส้นทางแห่งข้อมูล ข้าจะฝ่าฝืนข้อตกลงได้อย่างไร?”


“แน่นอนเพราะชื่อเสียงของเจ้า พวกเราพี่น้องจึงตกลงที่จะพบเจ้า มิฉะนั้นเจ้าจะไม่ได้เห็นแม้แต่เงาของพวกเรา ข้ามาที่นี่เพื่อนำเจ้าเข้าไปในค่ายกลวิญญาณ บอกพวกเขาว่าเจ้าเป็นสมาชิกตระกูลลั่วและมาที่นี่เพื่อนำวิญญาณอมตะไปให้พี่ชายของข้า” ผู้อมตะตระกูลลั่วอธิบายขณะเดินไปข้างหน้า


เจียวเหล่ยซือเดินตามอยู่ด้านหลังและตั้งใจฟัง


ฟางหยวนกระโดดไปยังกิ่งไม้อีกต้นและติดตามพวกเขาไปอย่างใกล้ชิด


หลังจากชั่วครู่ผู้อมตะทั้งสองก็หายตัวไป อย่างไรก็ตามตั้งแต่ต้นจนจบพวกเขาไม่พบการคงอยู่ของฟางหยวนและไม่มีข้อสงสัยใดๆทั้งสิ้น


‘น่าสนใจ’ ฟางหยวนกลับไปยังตำแหน่งเดิมด้วยความตื่นเต้น


เขาได้ยินข้อตกลงลับของผู้อมตะสองคนโดยบังเอิญ


ทั้งสองเลือกมาพบกันที่ภูเขาลูกนี้และพูดคุยต่อหน้าฟางหยวนโดยไม่คาดคิด


บังเอิญมาก!


โชคดีมาก!


จากบทสนทนาของพวกเขา เห็นได้ชัดว่าผู้อมตะฝ่ายธรรมะที่เป็นหนึ่งในผู้ปกป้องค่ายกลวิญญาณกำลังทำข้อตกลงลับกับผู้บ่มเพาะสันโดษเจียวเหล่ยซือ


ผู้อมตะฝ่ายธรรมะนำทางเจียวเหล่ยซือที่แสวงหาโอกาสเข้าสู่ค่ายกลวิญญาณ


ฟางหยวนเย้ยหยันเจียวเหล่ยซืออยู่ภายใน


‘เจ้าคิดว่าอาณาจักรแห่งความฝันง่ายดายงั้นหรือ? โอกาสงั้นหรือ? โดยปราศจากวิธีการบนเส้นทางแห่งความฝันจะมีโอกาสประสบความสำเร็จได้อย่างไร?’


‘ผู้อมตะฝ่ายธรรมะที่ถูกเรียกว่าพี่ลั่วต้องมาจากกองกำลังตระกูลลั่ว’


ฝ่ายธรรมะของภาคใต้มีกองกำลังใหญ่สิบสามกองกำลัง ตระกูลลั่วเป็นหนึ่งในนั้น


‘ข้าสามารถใช้วิธีนี้ผ่านค่ายกลวิญญาณและเข้าสู่อาณาจักรแห่งความฝันหรือไม่?’ ฟางหยวนคิดถึงความน่าจะเป็นนี้อย่างช่วยไม่ได้


เขาชำเลืองมองค่ายกลวิญญาณอีกครั้งก่อนจะจากไป


ลิงฟางหยวนกระโดดไปตามกิ่งไม้ หลังจากครึ่งวันฟางหยวนเปลี่ยนร่างกลับเป็นมนุษย์ตามปกติ


‘ระยะนี้น่าจะปลอดภัยแล้ว’ ฟางหยวนประเมินอยู่ในใจ


เขาระวังตัวมากแต่เขายังไม่เข้าใจเกี่ยวกับค่ายกลวิญญาณนี้มากนัก


อย่างไรก็ตามแม้ผู้อมตะฝ่ายธรรมะบางคนจะพบร่องรอยของเขา มันก็ไม่มีปัญหา


‘ข้าไม่เชื่อว่าหลังจากฝ่ายธรรมะสร้างค่ายกลวิญญาณนี้ ปีศาจอมตะและผู้บ่มเพาะสันโดษจะไม่มาตรวจสอบมัน!’


ฟางหยวนเดาถูก


การต่อสู้บนภูเขาอี้เทียนทำให้เกิดคลื่นแห่งความโกลาหลขึ้นในภาคใต้


ผู้อมตะทุกคนของภาคใต้ต่างให้ความสนใจมัน


หลังการเสียชีวิตของผู้อมตะจำนวนมากบนภูเขาอี้เทียน อาณาจักรแห่งความฝันขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า


สิ่งนี้ดึงดูดผู้อมตะของภาคใต้ให้เข้ามาตรวจสอบ แต่ไม่ว่าจะเป็นนิกายเงา วังสวรรค์ หรือฟางหยวน ทุกฝ่ายต่างปิดปากเงียบ ดังนั้นผู้อมตะของภาคใต้จึงถูกผลักเข้าสู่ความมืด


ตั้งแต่กองกำลังฝ่ายธรรมะของภาคใต้เข้ายึดครองอาณาจักรแห่งความฝันและสร้างค่ายกลวิญญาณผนึกมันเอาไว้ กลุ่มปีศาจอมตะและผู้บ่มเพาะสันโดษย่อมไม่เต็มใจ พวกเขาพยายามมาที่นี่เพื่อตรวจสอบและแสวงหาโอกาส


ผู้อมตะฝ่ายธรรมะมักพบร่องรอยของผู้คนเหล่านี้ แต่ตราบเท่าที่พวกเขาไม่โจมตีค่ายกลวิญญาณ ผู้อมตะฝ่ายธรรมะก็ไม่สนใจ


ฟางหยวนเลือกถ้ำแห่งหนึ่งบนภูเขาธรรมดาและอยู่ที่นี่สองสามวัน


เขารอให้เจียวเหล่ยซือออกจากค่ายกลวิญญาณ


การเคลื่อนไหวของเจียวเหล่ยซือไม่สามารถปกปิดเพราะทางเข้าออกค่ายกลวิญญาณเป็นเส้นทางเดียวกัน


‘เนื่องจากเจียวเหล่ยซือปลอมตัวเป็นผู้อมตะตระกูลลั่ว เมื่อเขาออกมา เขาต้องออกมาแบบเปิดเผย มิฉะนั้นเขาจะถูกสงสัย’ ฟางหยวนเห็นเจียวเหล่ยซือเดินออกมาจากค่ายกลวิญญาณก่อนจะบินจากไป ฟางหยวนรีบติดตามไปอย่างใกล้ชิด


หลังจากชั่วขณะเจียวเล่อซือร่อนลงบนยอดเขาไร้นามแห่งหนึ่ง


เขาหันหลังกลับและมองไปที่ฟางหยวน “สหาย เจ้าตามข้ามานานแล้ว เจ้าต้องการสิ่งใด?”


เจียวเหล่ยซือไม่มีท่าทีที่จะโจมตีหรือต่อสู้


นี่เป็นเพราะฟางหยวนจงใจเปิดเผยร่องรอยของตนตลอดการติดตามเจียวเหล่ยซือ


นอกจากนี้เขายังใช้วิญญาณทัศนคติเพื่อแสดงความเป็นมิตร


ดังนั้นเจียวเหล่ยซือจึงไม่ได้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดี แต่เขายังต้องระวังตัว


“ข้าต้องขออภัยที่ทำให้ท่านรู้สึกระแวง” ฟางหยวนทักทายและกล่าวด้วยความสุภาพ


การแสดงออกของเจียวเหล่ยซือผ่อนคลายลงเมื่อได้ยินถ้อยคำของฟางหยวน


เหตุผลก็คือฟางหยวนบอกว่าตนเองเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษที่อยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับอาณาจักรแห่งความฝัน เขายังเคยได้ยินมาว่าเจียวเล่อซือมีวิธีติดสินบนผู้อมตะฝ่ายธรรมะและสามารถเข้าไปในค่ายกลวิญญาณเพื่อสำรวจอาณาจักรแห่งความฝัน ฟางหยวนต้องการถามเจียวเหล่ยซือว่ามีโอกาสที่เขาจะสามารถเข้าไปหรือไม่


“ข่าวแพร่สะพัดออกไปแล้ว กระทั่งคนนอกเช่นเจ้ายังได้รับข้อมูลนี้” เจียวเหล่ยซือเผยรอยยิ้มและไม่มีข้อสงสัย


“มากับข้า มันเป็นเรื่องปกติที่เจ้าจะต้องการสำรวจอาณาจักรแห่งความฝันเพื่อแสวงหาโอกาส อย่างไรก็ตามข้าไม่ใช่คนกลาง ข้าจะพาเจ้าไปพบเทพธิดากระต่ายขาว” เจียวเหล่ยซือกระตือรือร้นมาก


เขาอาจไม่รู้จักฟางหยวน แต่กลิ่นอายของผู้อมตะภาคใต้จากร่างของฟางหยวนเป็นของจริง


ผู้อมตะแต่ละภูมิภาคมีกลิ่นอายที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ภาคใต้ยังเป็นสถานที่ที่มีผู้บ่มเพาะสันโดษอยู่มากที่สุด มีผู้อมตะมากมายที่ไม่มีผู้ใดรู้จักตั้งแต่พวกเขาก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะจนเสียชีวิต


หลังจากเดินทางไม่ถึงหนึ่งวันฟางหยวนก็ได้พบกับเทพธิดากระต่ายขาว


ผู้อมตะหญิงผู้นี้อยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กหญิงอายุประมาณยี่สิบปี ดวงตาของนางเป็นสีแดงเหมือนทับทิม ใบหน้ากลม และริมฝีปากเล็กๆที่ดูน่ารัก


ฉากการพบกับเทพธิดากระต่ายขาวทำให้ฟางหยวนรู้สึกประหลาดใจ


เนื่องจากเทพธิดากระต่ายขาวผู้นี้อยู่ในคฤหาสน์วิญญาณระดับมนุษย์ที่ตั้งอยู่บนยอดเขาและสามารถมองเห็นได้อย่างเด่นชัด


“เราทำธุรกิจอาณาจักรแห่งความฝัน พวกเจ้ามาถูกที่แล้ว!”


“หากพวกเจ้าต้องการสำรวจอาณาจักรแห่งความฝัน ข้ามีหลากหลายวิธี มันขึ้นอยู่กับราคาที่พวกเจ้าสามารถจ่าย”


“ยิ่งพวกเจ้าจ่ายมากเท่าใด พวกเจ้าก็ยิ่งเข้าสู่อาณาจักรแห่งความฝันได้เร็วเท่านั้น บางทีพวกเจ้าอาจได้รับความสำเร็จบางอย่างจากอาณาจักรแห่งความฝัน!”


เทพธิดากระต่ายขาวกล่าวพร้อมกับชี้นิ้วไปที่กำแพงด้านหลัง จากนั้นจึงหันหน้ามาทางฟางหยวน


มีรายชื่อผู้คนเขียนไว้บนกระดาน


“ต้องรออีกห้าคน” เจียวเหล่ยซือเห็นสิ่งนี้และถอนหายใจ


“เจ้าต้องรู้ถึงความสำคัญของโอกาสนี้!” เทพธิดากระต่ายขาวมองไปที่ฟางหยวน “ตามคำทำนาย เทพอมตะแห่งความฝันจะถือกำเนิดขึ้น นี่เป็นโอกาสที่คนผู้หนึ่งจะกลายเป็นเทพอมตะ! กระทั่งเจ้าจะได้รับผลประโยชน์เล็กๆเพียงครั้งเดียว ชีวิตของเจ้าก็จะเปลี่ยนไป หากเจ้าไม่ทดลองด้วยตนเอง เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าจะประสบความสำเร็จหรือไม่?”


“ถูกต้อง แม้เจ้าจะรู้ว่าเจ้าจะไม่สามารถประสบความสำเร็จ แต่เจ้าก็มั่นใจได้ว่าเจ้าจะไม่เสียใจในอนาคต” เจียวเหล่ยซือกล่าวเสริมจากด้านข้าง “อาณาจักรแห่งความฝันเป็นโอกาสที่ล้ำค่า แม้แต่ผู้อมตะฝ่ายธรรมะยังปรารถนาที่จะเข้าไปสำรวจมัน”


“ข้าต้องจ่ายเท่าใด?” ฟางหยวนแสร้งลังเล


เทพธิดากระต่ายขาวบอกราคา


ฟางหยวนแสดงท่าทางลังเล “ข้าจะพิจารณาก่อน”


“แน่นอน คิดให้ดี!” เทพธิดากระต่ายขาวยิ้ม


เป็นเพียงเวลานี้ที่ผู้อมตะหญิงผู้หนึ่งเดินเข้ามา เทพธิดากระต่ายขาวรีบเดินเข้าไปหานางและไม่สนใจฟางหยวนอีก “ท่านพี่เมียวหยิน ท่านมาคว้าโอกาสอีกครั้งเช่นนั้นหรือ?”


ผู้อมตะหญิงพยักหน้า “ข้ารู้สึกว่าครั้งนี้ข้าจะได้รับผลประโยชน์ที่มากขึ้นจากอาณาจักรแห่งความฝัน”


ฟางหยวนเดินออกจากคฤหาสน์วิญญาณระดับมนุษย์และบอกลาเจียวเหล่ยซือ


“เจ้าต้องคิดให้ดี แต่ในความเห็นของข้า เจ้าควรตัดสินใจอย่างรวดเร็วที่สุด หากเจ้าคิดนานเท่าใด เวลาที่เจ้าจะได้เข้าไปก็ยิ่งล่าช้าออกไปเท่านั้น อย่าเสียเวลามากเกินไป” เจียวเหล่ยซือแนะนำ


ฟางหยวนแสดงความขอบคุณก่อนจะจากไป


“ฮืม เขายังไม่ตัดสินใจอีกงั้นหรือ?” หลังจากพูดคุยกับเมียวหยิน เทพธิดากระต่ายขาวจึงเปิดปากถามเจียวเหล่ยซือ


“เขาบอกว่าเขาต้องคิดเรื่องนี้อย่างรอบคอบ เห้อ…ข้าคิดว่าข้าจะได้รับค่าแนะนำเพื่อเติมเต็มความสูญเสียในครั้งนี้สักเล็กน้อย” เจียวเหล่ยซือเผยรอยยิ้มขมขื่น


“เจียวเหล่ยซือ เจ้าร่ำรวยมาก อย่ามาทำตัวน่าสงสารต่อหน้าข้า!” เทพธิดากระต่ายขาวหัวเราะ “แต่คนที่เจ้านำมาดูเหมือนจะเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษที่ยากจน มิฉะนั้นเขาจะจากไปเช่นนี้งั้นหรือ? หากเขามีเงินทุนอยู่บ้าง เขาจะพูดคุยอีกสักพักก่อนจะจากไป”


เจียวเหล่ยซือหัวเราะขมขื่น “ข้าไม่ได้ร่ำรวยอันใด แต่ข้าต้องขอบคุณเทพธิดากระต่ายขาวสำหรับคำชม กล่าวตามตรงราคานี้แพงมาก กระทั่งข้าก็ยังรู้สึกว่ามันเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่”


เทพธิดากระต่ายขาวยิ้ม “ธุรกิจขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของทั้งสองฝ่าย แพงหรือไม่ขึ้นอยู่กับความคิดของแต่ละคน หลังจากทั้งหมดนี่คือโอกาสที่จะได้เป็นเทพอมตะแห่งความฝันมิใช่หรือ?”


เจียวเหล่ยซือพยักหน้าและตัดสินใจ “ข้าจะจ่ายเพื่อคว้าโอกาสอีกครั้ง!”


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1214 สถานการณ์ภาคใต้


แปลโดย iPAT 


มองขึ้นไปบนท้องฟ้า การแสดงออกของฟางหยวนค่อนข้างมืดมน


เขานึกถึงฉากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้


จากการคาดเดาของฟางหยวน ธุรกิจซื้อขายโอกาสสำรวจอาณาจักรแห่งความฝันได้รับความนิยมมาก มันเหนือกว่าการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ของเขา


พิจารณาจากคฤหาสน์วิญญาณระดับมนุษย์บนยอดเขาและน้ำเสียงเทพธิดากระต่ายขาว ไม่ว่าจะเป็นปีศาจอมตะหรือผู้บ่มเพาะสันโดษ ตราบเท่าที่พวกเขาสามารถจ่าย ทุกคนจะสามารถเข้าไปในค่ายกลวิญญาณและสำรวจอาณาจักรแห่งความฝัน


‘นี่เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายของข้า แต่เมื่อคิดเกี่ยวกับมัน ข้าสามารถทำความเข้าใจ’


เส้นทางแห่งความฝัน


ในปัจจุบันมันว่างเปล่ามาก


กระทั่งกองกำลังระดับสูงจะพยายามค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่พวกเขาแทบไม่ได้รับสิ่งใด


ฟางหยวนมีท่าไม้ตายอมตะคลี่คลายความฝัน เขาเป็นผู้นำบนเส้นทางสายนี้ในปัจจุบัน แน่นอนว่าอิงอู๋เซี่ยก็มีความสามารถพิเศษบางอย่างที่ก้าวข้ามยุคนี้ไปแล้วเช่นกัน


ท่าไม้ตายอมตะนำวิญญาณสู่ความฝันแสดงพลังอำนาจที่น่าอัศจรรย์ออกมาระหว่างการต่อสู้บนภูเขาอี้เทียน ขณะเดียวกันท่าไม้ตายอมตะคลี่คลายความฝันทำให้ฟางหยวนได้รับผลประโยชน์มหาศาล


‘ผู้อมตะฝ่ายธรรมะอาจปิดผนึกอาณาจักรแห่ความฝันนี้ แต่พวกเขาไม่สามารถขุดค้นสมบัติที่อยู่ภายใน ต่อมาพวกเขาเริ่มสูญเสียผู้เชี่ยวชาญระดับเจ็ดกระทั่งผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูล…’


ข้อมูลดังกล่าวไม่สามารถซ่อนจากโลกผู้อมตะภาคใต้ ฟางหยวนได้รับข้อมูลเหล่านี้มาอย่างง่ายดาย


‘ฝ่ายธรรมะพบกับความสูญเสีย พวกเขารู้สึกว่าอาณาจักรแห่งความฝันไม่สามารถสำรวจได้โดยง่าย ดังนั้นพวกเขาจึงใช้วิธีล่อลวงให้ปีศาจอมตะและผู้บ่มเพาะสันโดษเข้ามาและเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ นอกจากนั้นหากเกิดอุบัติเหตุกับผู้คนเหล่านี้ มันยังเป็นเรื่องดีกับฝ่ายธรรมะ นี่คือการยิงนกครั้งเดียวได้นกสองตัว’


‘เพื่อให้ธุรกิจนี้ได้รับความนิยมในวงกว้าง มันต้องได้รับฉันทามติจากผู้อมตะฝ่ายธรรมะต้อง คฤหาสน์วิญญาณระดับมนุษย์และเทพธิดากระต่ายขาวต้องได้รับการสนับสนุนจากผู้อมตะฝ่ายธรรมะอย่างน้อยหกหรือเจ็ดกองกำลัง’


ฟางหยวนเป็นนักวางแผนและด้วยประสบการณ์ห้าร้อยปีในชีวิตแรก เขาสามารถสรุปรายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับธุรกิจซื้อขายโอกาสนี้ได้อย่างชัดเจน


อย่างไรก็ตามแม้ฟางหยวนจะสามารถใช้วิธีนี้เพื่อเข้าไปในค่ายกลวิญญาณและสำรวจอาณาจักรแห่งความฝัน แต่นี่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของเขา


ฟางหยวนต้องการสิ่งใด?


ประการแรก เขาต้องการเวลาในการสำรวจอาณาจักรแห่งความฝัน


ประการที่สอง เขาต้องป้องกันตัวเอง แม้จะมีสิ่งใดเกิดขึ้น เขาก็ต้องอยู่ที่นั่นได้อย่างปลอดภัยต่อไป การเดินทางเพียงหนึ่งหรือสองครั้งในอาณาจักรแห่งความฝันน้อยเกินไป นอกจากนั้นวิธีนี้ยังต้องจ่ายด้วยราคามหาศาล


คำทำนายเกี่ยวกับเทพอมตะแห่งความฝันส่งผลกระทบต่อทุกคนและทำให้ผู้อมตะจำนวนนับไม่ถ้วนต้องการคว้าโอกาสนี้เอาไว้


ผู้อมตะฝ่ายธรรมะได้ลิ้มรสชาติความทุกข์ทรมานจากการสำรวจอาณาจักรแห่งความฝันมาแล้ว เมื่อถึงเวลาที่ปีศาจอมตะและผู้บ่มเพาะสันโดษตระหนักถึงความยากลำบากและไร้ประโยชน์เช่นเดียวกัน พวกเขาจะหมดความสนใจในที่สุด


ยิ่งไปกว่านั้นแม้ฟางหยวนจะเลือกใช้วิธีนี้และสามารถคลี่คลายอาณาจักรแห่งความฝัน แต่การหดตัวลงของอาณาจักรแห่งความฝันจะดึงดูดความสนใจของผู้อมตะฝ่ายธรรมะ


หากผู้อมตะฝ่ายธรรมะตระหนักถึงสถานการณ์นี้ พวกเขาจะทำอย่างไร?


เมื่อเวลานั้นมาถึงฟางหยวนจะติดอยู่ในค่ายกลวิญญาณและไม่สามารถปลดปล่อยตนเอง แม้เขาจะมีอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุด แต่ตอนนี้เขามีอาหารไม่เพียงพอที่จะเลี้ยงดูมัน


‘บางทีข้าอาจสังหารผู้อมตะฝ่ายธรรมะบางคนและใช้ท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคยปลอมตัวเป็นคนผู้นั้นเพื่อเข้าไป?’


ฟางหยวนคิดก่อนจะส่ายศีรษะปัดความคิดนี้ทิ้งไป


ประการแรก ผู้อมตะฝ่ายธรรมะมีวิธีตรวจสอบการคงอยู่หรือความตายของพวกเขาเช่นป้ายวิญญาณ โคมไฟวิญญาณ หรือโลหิตวิญญาณ


ด้วยวิธีการเหล่านี้ พวกเขาจะสามารถค้นหาตำแหน่งและตระหนักถึงความตายของสมาชิกได้อย่างง่ายดาย


เมื่อฟางหยวนสังหารผู้อมตะบางคน กองกำลังที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาจะค้นพบและตอบสนองทันที เว้นเพียงฟางหยวนจะมีวิธีบนเส้นทางแห่งข้อมูลที่สามารถปิดบังความจริงจากวิธีการเหล่านั้น


แต่ฟางหยวนยังอ่อนแอในแง่ของเส้นทางแห่งข้อมูล


แม้ท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคยจะเป็นท่าไม้ตายอมตะระดับแปดแต่มันไม่สามารถทำทุกสิ่ง ย้อนกลับไปอิงอู๋เซี่ยสามารถใช้วิญญาณอมตะตรวจสอบโชคเพื่อค้นหาฟางหยวน


นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดเกี่ยวกับนิสัยของผู้อมตะแต่ละคนที่เป็นข้อบกพร่องของท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคย


ดังนั้นการสังหารบางคนและปลอมตัวเป็นพวกเขาจึงไม่ใช่วิธีที่ฉลาดนัก


ฟางหยวนคิดในทุกแง่มุมแต่ยังไม่สามารถหาวิธีที่ดี


แม้ฟางหยวนจะมีพลังการต่อสู้ระดับแปดแต่เขาอาจไม่สามารถทำลายค่ายกลวิญญาณ กระทั่งเขาจะสามารถทำลายค่ายกลวิญญาณ แต่ผู้อมตะระดับแปดของภาคใต้ยังมีอีกมากมายและสามารถปรากฏตัวขึ้นทันที


หากถูกล้อมกรอบโดยผู้อมตะระดับแปด เขาจะทำอย่างไร?


ฟางหยวนไม่สามารถหาทางออกของเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงหวนกลับไปยังคฤหาสน์วิญญาณระดับมนุษย์บนยอดเขา


ดวงตาของเทพธิดากระต่ายขาวส่องประกายขึ้น นางเริ่มทักทายฟางหยวน “เจ้าคงคิดมาแล้ว เจ้าต้องการคว้าโอกาสนี้หรือไม่?”


ฟางหยวนเผยรอยยิ้มขมขื่น “เทพธิดากระต่ายขาว ข้าเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษ ข้าแทบไม่เคยออกมายังโลกภายนอก ราคานี้จะทำให้ข้าสูญเสียทรัพย์สินเกือบทั้งหมด ข้าต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ข้ามาที่นี่ในครั้งนี้เพราะต้องการขอข้อมูลเพิ่มเติมจากท่านและทำความเข้าใจโลกของผู้อมตะภาคใต้ให้มากขึ้น”


ฟางหยวนกล่าวและส่งทรัพยากรอมตะระดับหกให้กับเทพธิดากระต่ายขาว


เทพธิดากระต่ายขาวรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แม้มันจะเป็นทรัพยากรอมตะทั่วไป แต่คำขอของฟางหยวนไม่ใช่เรื่องยาก นางทำธุรกิจและมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อมตะทุกประเภท นางเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันของโลกผู้อมตะภาคใต้เป็นอย่างดี


“เอาล่ะ เช่นนั้นก็รับสิ่งนี้ไว้” เทพธิดากระต่ายขาวส่งวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลให้กับฟางหยวน


…..


อาณาจักรแห่งความฝัน ค่ายกลวิญญาณของฝ่ายธรรมะ


“เราพบกันอีกครั้งเทพธิดาเมียวหยิน ท่านจำข้าได้หรือไม่?” ผู้อมตะเผ่าเฉียวนำผู้อมตะหญิงเข้าสู่ค่ายกลวิญญาณ


เทพธิดาเมียวหยินเป็นปีศาจอมตะ นางได้รับมรดกจากบรรพบุรุษและร่ำรวยมาก นอกจากนั้นนางยังได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสามหญิงงามของโลกผู้อมตะภาคใต้


ทั้งสองเดินผ่านผู้อมตะสองคนเข้าสู่ค่ายกลวิญญาณ


“คนเหล่านี้กล้าหาญมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาเคยมาทุกเจ็ดวัน แต่ตอนนี้พวกเขามาทุกวันหรือทุกสองวัน”


“ผู้อมตะตระกูลลั่วยังดีที่นำผู้อมตะที่มีชื่อเสียงที่ดีเข้ามา แต่ผู้อมตะตระกูลเฉียวกลับเก็บเกี่ยวผลประโยชน์โดยไม่เลือกหน้า เมียวหยินเป็นสมาชิกฝ่ายปีศาจ ในอดีตนางเคยทำลายแหล่งทรัพยากรสำคัญของตระกูลปาและมีผู้ได้รับบาดเจ็บสี่คน ตระกูลปากำลังไล่ล่านางอยู่!”


ผู้อมตะปาฉวนฟงกล่าวด้วยความโกรธ


ด้านข้าเขาคือผู้อมตะตระกูลปาอีกคน


คนผู้นี้มีความสูงเกือบสามเมตร เส้นผมสีเขียว เครายาวลงมาถึงเอว หน้าอกกว้างและดูเหมือนเปลือกไม้


เขามีอายุนับพันปีและเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดบนจุดสูงสุด


เขาได้รับการยอมรับจากโลกผู้อมตะภาคใต้ว่าเป็นตัวตนอันดับหนึ่งภายใต้ผู้อมตะระดับแปด เฒ่าพฤกษาปาเต๋อ!


ปาเต๋อกล่าวช้าๆ “เสี่ยวฟง แม้ตระกูลเฉียวจะอ่อนแอลง แต่พวกเขาได้รับการสนับสนุนจากตระกูลวูผ่านการแต่งงาน”


ความโกรธของปาฉวนฟงลดลง เขากล่าวต่อ “ตระกูลเฉียวเป็นกองกำลังฝ่ายธรรมะ แต่ในช่วงสองสามพันปีที่ผ่านมาพวกเขากลับต้องพึ่งพาตระกูลวู ฮืม สุนัขรับใช้ตระกูลวู!”


“ตระกูลวูเอาแต่ใจเกินไป! ด้วยการคงอยู่ของผู้อมตะระดับแปดสองคนทำให้พวกเขาไม่เกรงกลัวสิ่งใด คราวนี้พวกเขาร่วมมือกับหกตระกูลและสร้างธุรกิจซื้อขายโอกาสขึ้นมา พวกเขาไม่สนใจความคิดของตระกูลอื่นบ้างงั้นหรือ? ค่ายกลวิญญาณถูกสร้างขึ้นด้วยความร่วมมือจากกองกำลังฝ่ายธรรมะทั้งหมด พวกเราสร้างมันขึ้นมาพร้อมกัน!”


“ฮ่าฮ่าฮ่า” ปาเต๋อหัวเราะ “เสี่ยวฟง เจ้าคิดว่าทุกคนควรได้รับผลประโยชน์อย่างเท่าเทียมใช่หรือไม่?”


ใบหน้าของปาฉวนฟงเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อถูกเปิดเผยความคิด “ฮ่าฮ่า ข้าไม่สามารถซ่อนมันจากท่านจริงๆ”


ปาเต๋อส่ายศีรษะ “การกระทำของตระกูลวูจะดึงดูดตระกูลอื่นให้เข้าร่วมมากขึ้น อย่างไรก็ตามเราตระหนักแล้วว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะสำรวจอาณาจักรแห่งความฝัน วิธีนี้สามารถทำกำไรให้กับพวกเรามากที่สุด…แต่ตระกูลปาของเราไม่สามารถเข้าร่วม”


“อา…เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?” ปาฉวนฟงเร่งถาม


“มีข้อดีและข้อเสียในเรื่องนี้ แม้พวกเขาจะได้รับทรัพยากรมากมายและพวกเราจะได้รับส่วนแบ่ง แต่ในอนาคตเมื่ออาณาจักรแห่งความฝันถูกแจกจ่าย พวกเราจะได้รับส่วนแบ่งมากกว่าหากไม่เข้าร่วมกับพวกเขาในครั้งนี้ เสี่ยวฟง มองไปข้างหน้า อาณาจักรแห่งความฝันไม่สามารถสำรวจได้ในเวลานี้ แต่ในอนาคตอาณาจักรแห่งความฝันจะกลายเป็นขุมสมบัติที่แท้จริง” ปาเต๋อถอนหายใจ


“แต่ตระกูลวูมีผู้อมตะระดับแปดสองคนขณะที่พวกเรามีเพียงหนึ่ง หากพวกเขาแสดงท่าทีแข็งกร้าว แล้วพวกเราจะหยุดพวกเขาได้หรือไม่?” ปาฉวนฟงกังวล


“เราไม่สามารถหยุดตระกูลวู แต่ตระกูลอื่นจะนิ่งเฉยงั้นหรือ? นอกจากนั้นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของพวกเขากำลังจะตาย ตระกูลวูจะตกสู่ความโกลาหลเป็นเวลานาน ด้วยผู้อมตะระดับแปดเพียงหนึ่งเดียว ตระกูลวูยังจะสามารถเป็นกองกำลังอันดับหนึ่งของฝ่ายธรรมะได้หรือไม่?” ปาเต๋อเผยรอยยิ้มอย่างมีความหมาย


ปาฉวนฟงเบิกตากว้าง “ดังนั้นข่าวลือกที่ว่าอายุขัยของผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลวูกำลังจะหมดลงก็เป็นเรื่องจริง แต่พวกเขาเป็นกองกำลังใหญ่ แล้วพวกเขาจะไม่มีวิญญาณอายุยืนเก็บไว้ได้อย่างไร?”


“ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลวูเคยใช้วิธียืดอายุวิธีอื่นและมีปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไข ตอนนี้นางไม่สามารถใช้วิญญาณอายุยืนได้อีก” ปาเต๋อถอนหายใจ “ความตายของนางจะทำให้สถานการณ์ของภาคใต้เปลี่ยนแปลงไป หลังจากนั้นพวกเราจะรอดูว่าตระกูลวูจะควบคุมสถานการณ์อย่างไรและตระกูลของเราจะมีโอกาสฉกฉวยผลประโยชน์หรือไม่ หลังจากทั้งหมดตระกูลวูยึดครองแหล่งทรัพยากรเอาไว้มากเกินไป”


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1215 ความขัดแย้งภายใน


แปลโดย iPAT 


วูตู๋ซิ่วค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น


‘เช้าวันใหม่อีกวัน’ นางคิดกับตนเอง


วิญญาณอมตะระดับแปดบินอยู่ในบ้านหลังนี้


วิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งอาหาร ยาหอม!


นี่คือวิญญาณอมตะสายรักษา มันทำให้บ้านทั้งหลังเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของยา อย่างไรก็ตามกลิ่นเน่าเหม็นจากร่างของวูตู๋ซิ่วกลับรุนแรงกว่า


เมื่อทั้งสองกลิ่นผสมผสานกัน กระทั่งผู้อมตะยังไม่สามารถทนได้


หนึ่งวันผ่านไปหมายถึงชีวิตของนางที่ลดลงอีกหนึ่งวัน


วูตู๋ซิ่วรู้ว่าตนเองกำลังจะตาย


ตอนนี้นางเอนกายอยู่บนเตียงและมองออกไปนอกห้องด้วยหัวใจที่สงบนิ่ง


นานมาแล้วเมื่อนางยังเป็นผู้อมตะระดับหก นางตกหลุมรักปีศาจอมตะผู้หนึ่ง นั่นทำให้นางถูกตระกูลลงโทษ


นางถูกขังอยู่ในบ้านหลังนี้เป็นเวลาสิบห้าปี


แต่ผู้ใดจะคิดว่าในบ้านหลังนี้เก็บมรดกของบรรพบุรุษตระกูลวูเอาไว้ วูตู๋ซิ่วได้รับมันและฝึกฝนอย่างลับๆ ความแข็งแกร่งของนางเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว


นางยังใช้แดนศักดิ์สิทธิ์ของผู้เชี่ยวชาญที่ยิ่งใหญ่เพื่อลอบพบกันคนรับของนางอย่างลับๆ ผู้อมตะตระกูลวูไม่ได้คาดหวังว่าวูตู๋ซิ่วจะฝ่าฝืนกฎของตระกูลอย่างเปิดเผยภายใต้การควบคุมของพวกเขา


นั่นเป็นช่วงปีที่มีความสุขของนาง


ในเวลานั้นนางเป็นเพียงเด็กสาวที่งดงามและโง่เขลา นางไม่รู้จักความชั่วร้ายในใจของผู้คน นางไม่สามารถบอกได้ว่าคนรักของนางมีแรงจูงใจซ่อนเร้น


หลายพันปีต่อมาวูตู๋ซิ่วกลับมาที่บ้านหลังนี้อีกครั้ง


อายุขัยของนางกำลังจะหมดลง นางเหลือเวลาอีกไม่กี่วัน


ความทรงจำที่มีความสุขของหญิงชราอายุหลายพันปีย้อนกลับมาเมื่อนางอยู่ในบ้านหลังนี้


วันเวลาเหล่านั้นยังคงเป็นวันที่แสนงดงามอยู่ในหัวใจของนางตลอดไป


แต่ภาพของคนรักในครั้งนั้นของนางได้พร่าเลือนไปแล้ว


หน้าต่างถูกเปิดออก สายลมอ่อนๆหอบเอากลิ่นดอกไม้และต้นหญ้าเข้ามาในห้อง


ความเสียใจ ความเกลียดชัง ความเหนื่อยล้าทางจิตใจค่อยๆจางหายไปกับสายลม


เสียงเคะประตูดังขึ้น


บางคนเปิดประตูเข้ามา


วูตู๋ซิ่วหันศีรษะอย่างยากลำบากและเห็นร่างที่คุ้นเคย


นางไม่แปลกใจ นางเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลวู หากไม่ได้รับอนุญาตจากนาง ผู้ใดจะกล้าเข้ามาในบ้านหลังนี้


“เจ้ามาแล้ว” วูตู๋ซิ่วกล่าวเบาๆอย่างยากลำบาก


บุคคลที่เข้ามาคุกเข่าลงบนพื้นและโค้งคำนับ “ข้ามาพบท่านแม่แล้ว”


คนผู้นี้เป็นชายวัยกลางคนที่ดูธรรมดามาก เขาปลดปล่อยกลิ่นอายที่มืดมนออกมา


วูตู๋ซิ่วกล่าว “ข้าเรียกเจ้ามาที่นี่เพราะต้องการบอกบางสิ่งกับเจ้า เจ้ามีน้องชายอยู่ที่ทะเลตะวันออก ข้าจะส่งต่อทุกสิ่งในตระกูลวูให้เจ้า แต่ข้าจะเหลือมรดกบางอย่างทิ้งไว้ให้เขา เจ้าเข้าใจหรือไม่?”


ชายวันกลางคนกล่าว “บุตรเข้าใจ”


“เจ้าออกไปได้” วูตู๋ซิ่วหยุดก่อนกล่าวต่อ


“ข้าขอลา” ผู้อมตะวัยกลางคนกล่าวอย่างระมัดระวัง เขาค่อยๆลุกขึ้นและถอยหลังสองสามก้าวก่อนจะหันหลังเดินออกจากบ้านและปิดประตูเบาๆ


เขาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง


เขาเดินทางผ่านภูเขาหลายลูกก่อนจะกลับถึงคฤหาสน์วิญญาณอมตะของตน


“บัดซบ!”


“ก่อนตายนางยังต้องการนำลูกนอกสมรสผู้นั้นกลับมา!”


“เจ้าบ้านั่นอยู่ในทะเลตะวันออกก็ดีแล้วมิใช่หรือ? เหตุใดต้องให้เขากลับมาเพื่อแย่งชิงมรดกของข้า!?”


ผู้อมตะวัยกลางคนระเบิดความโกรธออกมาในเวลานี้


“นายท่าน โปรดระงับความโกรธ รักษาสุภาพด้วย” ผู้อมตะระดับเจ็ดหลังค่อมเตือน


ผู้อมตะวันกลางคนเตะเขาออกไป “ท่านแม่บ่มเพาะบนเส้นทางแห่งวายุ นางต้องการส่งมอบวิญญาณอมตะเหล่านี้ให้กับเจ้าบ้านั่น โดยปราศจากวิญญาณอมตะเหล่านี้ เพียงการบ่มเพาะระดับแปดของข้าจะทำสิ่งใดได้? พวกเราจะถูกกดดันจากตระกูลอื่นๆโดยเฉพาะตระกูลไท่และตระกูลเฉิง!”


“นางบอกจะส่งมอบทุกสิ่งในตระกูลวูให้ข้า ฮืม! ข้าจะเก็บทรัพยากรเหล่านั้นไว้เพื่อสิ่งใด? ข้าต้องการความแข็งแกร่ง! ด้วยความแข็งแกร่ง ข้าจะได้รับทุกสิ่ง!”


ผู้อมตะวัยกลางคนเดินไปรอบๆคฤหาสน์วิญญาณอมตะด้วยความโกรธ


“นายท่าน พวกเราเพียงต้องจัดการเขา!” ผู้อมตะระดับเจ็ดหลังค่อมเดินเข้ามา


ผู้อมตะวัยกลางคนหยุดเดิน


เขาขมวดคิ้วลึกและหันหน้าไปถามผู้อมตะระดับเจ็ดหลังค่อม “เจ้าหมายความว่า…”


“ถูกต้อง ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งมีบุตรชายเพียงสองคน  นอกเหนือจากท่านก็มีเพียงบุตรนอกสมรสที่ทะเลตะวันออก หากเขาตาย มรดกทั้งหมดของผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งก็จะเป็นของท่านเพียงผู้เดียวถูกต้องหรือไม่?” ผู้อมตะระดับเจ็ดหลังค่อมเผยรอยยิ้มน่ากลัว


เหงื่อไหลลงมาจากหน้าผากของผู้อมตะวัยกลางคน


“ไม่”


“หากท่านแม่รู้ ข้าจบแน่!” เมื่อนึกถึงความสามารถของวูตู๋ซิ่ว ร่างกายของผู้อมตะวันกลางคนที่มีการบ่มเพาะระดับแปดผู้นี้กลับสั่นสะท้านขึ้น


“ลืมมันไปเถอะ เขาเป็นเพียงผู้อมตะระดับเจ็ด แม้เขาจะกลับมา แล้วเขาจะทำสิ่งใดได้” ผู้อมตะวัยกลางคนถอนหายใจ


แต่ผู้อมตะระดับเจ็ดหลังค่อมยังไม่ยอมแพ้ “โอ้ นายท่านคิดเช่นนี้ไม่ได้ เขาอาจเป็นเพียงผู้อมตะระดับเจ็ด แต่จะเกิดสิ่งใดขึ้นหากเขาได้รับมรดกของผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่ง?”


ผู้อมตะวัยกลางคนตะโกน “แม้เขาจะมีวิญญาณอมตะระดับแปด แต่ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าของเขายังไม่สามารถเปรียบเทียบกับข้า เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า แต่น่าเสียดายวิญญาณอมตะระดับแปดเหล่านั้น เห้อ…”


ผู้อมตะระดับเจ็ดหลังค่อมเผยรอยยิ้มร้ายกาจ “นายท่าน ท่านลังเลเพราะกลัวความผิดพลาดและทำให้ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งลงโทษ แต่แท้จริงแล้วเราไม่จำเป็นต้องลงมือด้วยตนเอง นอกจากพวกเรายังมีตระกูลปา ตระกูลไท่ ตระกูลจื่อ และตระกูลอื่นๆ พวกเขาจะลงมือแทนพวกเราตราบเท่าที่พวกเราเปิดเผยข้อมูลเล็กๆน้อยๆและล่อลวงให้พวกเขาโจมตีเป้าหมาย พวกเราเพียงนั่งรอรับผลประโยชน์เท่านั้น”


ดวงตาของผู้อมตะวัยกลางคนส่องประกายขึ้น “แผนการที่ดี ซูเต๋า เจ้าเป็นผู้ช่วยที่ดีที่สุดของข้า เมื่อข้ากลายเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่ง ข้าจะตอบแทนเจ้าอย่างแน่นอน”


“นายท่าน มันเป็นหน้าที่ของข้า สามารถแก้ปัญหาให้กับนายท่านถือเป็นเกียรติของข้าแล้ว” ดวงตาของผู้อมตะระดับเจ็ดหลังค่อมเปลี่ยนเป็นสีแดงและแทบจะร้องไห้ออกมา


ผู้อมตะวัยกลางคนตบไหล่ผู้อมตะระดับเจ็ดหลังค่อมซูเต๋าแต่ไม่ได้กล่าวสิ่งใด


“นายท่าน ไม่มีเวลาแล้ว ข้าต้องรีบไปเตรียมการ”


“เอาล่ะ ไปเถอะ ข้ามั่นใจว่าเจ้าจัดการได้”


หลังจากออกจากคฤหาสน์วิญญาณ ดวงตาของซูเต๋าก็ส่องประกายแหลมคมและมืดมิด


‘ฮืม! หลังจากใช้ความพยายามอย่างหนัก ในที่สุดข้าก็สามารถโน้มน้าววูหยงผู้นี้ ด้วยวิธีนี้แม้ข้าจะเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับบุตรนอกสมรสผู้นั้น ข้าก็จะปลอดภัยภายใต้การคุ้มครองของวูหยง’


ตัวตนที่แท้จริงของซูเต๋าไม่ได้เป็นเพียงคนรับใช้ของวูหยงเท่านั้น แท้จริงแล้วเขาเป็นผู้อมตะของตระกูลปา เขาเป็นหนึ่งในสายลับที่ถูกวางไว้ในตระกูลวูที่มีตำแหน่งสูงที่สุด


สถานการณ์ของภาคใต้แตกต่างจากภาคเหนือและภาคกลาง


ท่ามกลางกองกำลังฝ่ายธรรมะของภาคใต้ ตระกูลวูถือเป็นกองกำลังอันดับหนึ่ง ในประวัติศาสตร์จุดสูงสุดของพวกเขาเคยมีผู้อมตะระดับแปดถึงสามคน และในประวัติศาสตร์ของตระกูลวูมักมีผู้อมตะระดับแปดอย่างน้อยหนึ่งคนเสมอ


ตระกูลวูแข็งแกร่งมาตลอด แต่วูตู๋ซิ่วกำลังจะจบชีวิตลงขณะที่วูหยงมีความสามารถไม่เพียงพอ แม้เขาจะเป็นผู้อมตะระดับแปด แต่เปรียบเทียบกับผู้อมตะระดับแปดของตระกูลอื่น เขายังไม่มีสิ่งใดน่าประทับใจ


วูตู๋ซิ่วมีบุตรนอกสมรสชื่อวูอี้ไห่ ตามข้อมูลคนผู้นี้มีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา แม้เขาจะเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษอยู่ในทะเลตะวันออก แต่เขากลับมีพลังการต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัวและมีชื่อเสียงในโลกผู้อมตะของทะเลตะวันออก


การสังหารวูอี้ไห่ นอกจากจะทำให้ตระกูลวูอ่อนแอลง มันยังเป็นการทำลายชื่อเสียงของวูหยงและทำให้ตระกูลวูเกิดความปั่นป่วน


ซูเต๋าเต็มไปด้วยความคาดหวังกับเรื่องนี้


หลายวันต่อมา


สามผู้อมตะเดินทางข้ามกำแพงภูมิภาค


“นายน้อย พวกเราเกือบพ้นกำแพงภูมิภาคแล้ว นี่เป็นอุปสรรคสุดท้าย เมื่อเราออกจากกำแพงพลังงาน พวกเขาจะมีโอกาสโจมตีพวกเราน้อยลง” ผู้อมตะสูงอายุกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง


วูอี้ไห่ตอบ “ท่านลุงจาง ท่านหมายความว่าส่วนต่อไปเป็นจุดที่อันตรายที่สุดงั้นหรือ!?”


“ถูกต้อง” ผู้อมตะเฒ่าพยักหน้า


ผู้อมตะอายุน้อยอีกคนกล่าวเสริม “แต่ตราบเท่าที่เราผ่านสิ่งนี้ เราจะได้รับอิสระ ตราบเท่าที่ท่านได้พบท่านแม่ของท่าน ความยากลำบากทั้งหมดจะได้รับการชำระคืนเป็นร้อยหรือพันเท่า!”


เมื่อได้ยินคำว่าท่านแม่ วูอี้ไห่รู้สึกซับซ้อน


เขาถอนหายใจ “ข้าไม่สนใจรางวัลใดๆ ข้าเพียงต้องการเห็นมารดาผู้ให้กำเนิด นางทอดทิ้งข้า แต่นางยังให้ท่านลุงจางพาข้ากลับไป ข้ามาเพื่อพบนางเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายก่อนจะกลับไปทะเลตะวันออก”


ลุงจางยิ้ม “นายน้อยอย่ากังวล ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งคิดเรื่องนี้มานานแล้ว นางเตรียมทุกสิ่งเอาไว้ให้ท่าน แม้ท่านจะเป็นผู้อมตะของทะเลตะวันออก แต่เรามีท่าไม้ตายอมตะที่สามารถชำระล้างปราณสวรรค์พิภพในร่างของท่านเพื่อเปลี่ยนท่านเป็นผู้อมตะภาคใต้ หลังจากนั้นท่านจะสามารถเผชิญหน้ากับภัยพิบัติที่ภาคใต้และดูดซับปราณสวรรค์พิภพของภาคใต้ได้อย่างไม่มีปัญหา”


“โอ้ มีวิธีเช่นนั้น…” วูอี้ไห่มีความสุขที่ได้ยินเรื่องนี้


แม้เขาจะมีชื่อเสียงในทะเลตะวันออก แต่เขาเป็นเพียงผู้บ่มเพาะสันโดษ เขารู้สึกเจ็บปวดกับความอ่อนแอของตนเองในฐานะผู้บ่มเพาะสันโดษ หากเขามีกองกำลังใหญ่สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง นั่นจะช่วยเขาได้มาก


อย่างไรก็ตามขณะที่เขากำลังคิดถึงเรื่องนี้ ลมหายใจมังกรที่คล้ายแสงดาบกลับพุ่งเข้ามาที่ใบหน้าของเขาอย่างกะทันหัน!


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1216 ซุ่มโจมตีในกำแพงภูมิภาค


แปลโดย iPAT 


ลมหายใจมังกรทำให้วูอี้ไห่รู้สึกเหมือนมีเข็มพุ่งเข้ามาที่ใบหน้า


เขาตกใจมากแต่ไม่มีเวลาหลบ


“เคร้ง!”


โล่โลหะสีทองปรากฏขึ้นด้านหน้าวูอี้ไห่ในช่วงเวลาแห่งชีวิตและความตาย


ลมหายใจมังกรทำลายโล่ทองคำแต่พลังงานที่เหลือยังพุ่งตรงไปที่ใบหน้าของวูอี้ไห่


แต่โล่ทองคำก็ทำให้วูอี้ไห่มีเวลารักษาชีวิตของเขาเอาไว้


เขาเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดที่มีชื่อเสียงของทะเลตะวันออก เป็นธรรมดาที่เขาจะสามารถตอบสนองโดยการกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง


วูอี้ไห่แปลงร่างเป็นเต่าตัวโตทันที


แขนขาและศีรษะของมันหลบอยู่ในกระดอง


ลมหายใจมังกรปะทะกระดองเต่าและฝากรอยฝังลึกเอาไว้


‘ช่างเป็นลมหายใจมังกรที่น่ากลัวนัก! เต่าศักดิ์สิทธิ์เป็นสัตว์อสูรบรรพกาลที่มีพลังป้องกันอยู่ในสิบอันดับแรกท่ามกลางสัตว์อสูรบรรพกาลของทะเลตะวันออกแต่มันกลับแทบไม่สามารถป้องกันการโจมตีนี้’ วูอี้ไห่ตกใจมาก ‘ศัตรูแข็งแกร่งกว่า ตอนนี้มันขึ้นอยู่กับท่านลุงจางและพี่เล้งแล้ว’


วูอี้ไห่เป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง เต่าศักดิ์สิทธิ์มีขนาดใหญ่และเคลื่อนที่ในน้ำได้รวดเร็ว แต่การเคลื่อนไหวบนบกของมันช้ามาก


นี่ทำให้พลังการต่อสู้ของวูอี้ไห่ลดลงอย่างมาก ตอนนี้เขาทำได้เพียงป้องกันตัวเท่านั้น


ในสถานการณ์นี้วูอี้ไห่สูญเสียเจตจำนงแห่งการต่อสู้ทั้งหมดไปแล้ว


เขามีท่าไม้ตายอมตะเปลี่ยนเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นเช่นกัน แต่อย่าลืมจุดอ่อนสำคัญของเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง


นั่นคือพวกเขาต้องลบพลังงานแห่งเต๋าเดิมออกไปก่อนจะสามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์อีกครั้ง ระหว่างกระบวนการนี้ต้องใช้เวลาค่อนข้างเยอะ


ฟางหยวนมีร่างทารกอมตะ นั่นทำให้เขาไม่มีจุดอ่อนนี้


ดังนั้นหลังจากวูอี้ไห่เปลี่ยนร่างเป็นเต่าศักดิ์สิทธิ์ แม้มันจะสามารถรักษาชีวิตของเขาเอาไว้ แต่เขาก็ไม่สามารถโจมตี


แต่วูอี้ไห่ไม่ตื่นตระหนก


เขามีผู้อมตะระดับเจ็ดสองคนคุ้มครองอยู่


หนึ่งคือลุงจาง อีกหนึ่งคือพี่เล้ง วูอี้ไห่ไม่รู้ชื่อจริงของคนทั้งสอง แต่เขารู้ว่าสองคนนี้ถูกมารดาของเขาส่งมาจากภาคใต้เพื่อคุ้มครองเขา


ระหว่างการเดินทางครั้งนี้ผู้อมตะทั้งสองแสดงพลังการต่อสู้ที่น่าทึ่งออกมาและทำให้วูอี้ไห่รู้สึกมั่นใจว่าสามารถฝากความหวังไว้กับพวกเขา


แต่ลุงจางกลับกระอักเลือดออกมาเพราะโล่ทองคำของเขาถูกทำลายโดยลมหายใจมังกร


นี่เป็นท่าไม้ตายอมตะสายป้องกันของลุงจาง ดังนั้นเมื่อมันถูกทำลาย ลุงจางจึงได้รับผลกระทบย้อนกลับ


เช่นเดียวกับวูอี้ไห่ ลุงจางตกใจมาก


‘ในกำแพงภูมิภาค ท่าไม้ตายอมตะจะอ่อนแอลง แต่ลมหายใจมังกรกลับสามารถทำลายการป้องกันของข้าและทิ้งรอยฝังลึกไว้บนกระดองเต่าศักดิ์สิทธิ์!’


ขณะที่ลุงจางกำลังกระอักเลือด พี่เล้งบินออกไปข้างหน้า


ทั้งสองทำงานร่วมกัน


ผู้อมตะหนุ่มรู้ว่าลุงจางต้องการเวลาพักผ่อนหลังจากถูกทำลายท่าไม้ตายอมตะสายป้องกัน


เขาพุ่งไปข้างหน้าก่อนจะเปลี่ยนร่างเป็นหมาป่าสายฟ้า


หมาป่าสายฟ้าตัวนี้เป็นสัตว์อสูรบรรพกาล มันมีขนเป็นผลึกคริสตัลสีฟ้าที่ปลดปล่อยกระแสสายฟ้าออกมารอบๆ


เมื่อหมาป่าสายฟ้าปรากฏตัว มันทำให้พื้นที่บริเวณนั้นสว่างไสวไปด้วยแสงสีฟ้าม่วงทันที


สายฟ้าบนร่างของมันควบรวมเป็นอสรพิษสายฟ้าพุ่งออกไป


นี่คือท่าไม้ตายอมตะ


ในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจลุงจางสามารถควบคุมอาการบาดเจ็บขณะที่ร่างกายของเขาส่องแสงสีทองออกมาและเปลี่ยนร่างเป็นพยัคฆ์ทองคำที่มีร่างกายใหญ่โตกว่าหมาป่าสายฟ้าสองเท่า


ปรากฏว่าเขาก็เป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน


นี่เป็นการจัดเตรียมโดยเจตนาของวูตู๋ซิ่ว


ในกำแพงภูมิภาค ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงจะมีความได้เปรียบ


โดยปกติแล้วการใช้ท่าไม้ตายอมตะในกำแพงภูมิภาค ผู้อมตะจะได้รับบาดเจ็บก่อนที่จะสามารถปลดปล่อยการโจมตีออกไป


แต่ด้วยร่างกายที่แข็งแกร่งของสัตว์อสูร พวกเขาจะมีข้อได้เปรียบในการต่อสู้กับผู้อมตะร่างมนุษย์ที่อ่อนแอ


ลุงจางตระหนักถึงพลังป้องกันของเต่าศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นเขาจึงติดตามหมาป่าสายฟ้าบรรพกาลไปโดยไร้กังวล


ไม่นานหลังจากนั้นลุงจางกลับเห็นหมาป่าสายฟ้าบรรพกาลวิ่งกลับมา


ด้านหลังหมาป่าสายฟ้าบรรพกาลมีลมหายใจมังกรพุ่งตามมา นอกจากนั้นท่ามกลางแสงสีฟ้าม่วงยังมีเสียงคำรามของมังกรดังขึ้น


“เกิดสิ่งใดขึ้น?” ลุงจางตกใจมาก เขารู้จักความกล้าหายของพี่เล้ง แต่ตอนนี้ผู้อมตะหนุ่มกลับวิ่งหนี มันต้องมีบางสิ่งผิดปกติ!


“อย่าสู้ ถอย!” หมาป่าสายฟ้าบรรพกาลพี่เล้งกล่าวด้วยภาษามนุษย์


นี่ทำให้ลุงจางยิ่งตกใจมากขึ้น เหตุใดพี่เล้งถึงหลีกเลี่ยงการต่อสู้?


เขากำลังจะถามแต่ในที่สุดเขาก็มองเห็นคู่ต่อสู้


มังกรดาบบรรพกาลพุ่งเข้ามาอยู่ต่อหน้าพวกเขา


เกล็ดมังกรสีเงิน ดวงตาสีขาวซีด เขามังกรพุ่งขึ้นสู้ท้องฟ้า กรงเล็บที่แหลมคม ฟันที่ส่องประกายเย็นเยียบ และกลิ่นอายของวิญญาณอมตะจำนวนมากที่ปะทุออกมาจากร่างกายของมัน


“นี่คือมังกรดาบบรรพกาลป่างั้นหรือ?” พยัคฆ์ทองคำลุงจางเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ


แต่ความจริงอยู่ตรงหน้า เขาต้องยอมรับมันเท่านั้น


ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดผู้อมตะหนุ่มที่ไม่เคยเกรงกลัวสิ่งใดกลับวิ่งหนีอย่างน่าสมเพช


เนื่องจากมังกรดาบบรรพกาลตัวนี้ไม่ได้มาจากห้าภูมิภาคแต่มันมาจากสวรรค์สีขาวหรือสีดำ


เหตุใดลุงจางจึงแน่ใจในความคิดนี้?


เพราะมังกรดาบบรรพกาลตัวนี้สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระในกำแพงภูมิภาค นี่คือการเคลื่อนไหวที่ลื่นไหลราวกับมันไม่รู้สึกถึงแรงกดดันหรือแรงต่อต้านใดๆทั้งสิ้น


หากเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง พวกเขาจะได้รับผลกระทบอย่างมาก


มีเพียงรูปแบบชีวิตที่อาศัยอยู่ในสวรรค์สีขาวหรือสวรรค์สีดำเท่านั้นที่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระในกำแพงภูมิภาค


ลุงจางไม่ลังเลที่จะหันหลังและวิ่งหนี


ในกำแพงภูมิภาค ผู้อมตะจะสามารถปลดปล่อยพลังอำนาจออกมาได้เพียงห้าสิบหรือหกสิบส่วนเท่านั้น


กระทั่งการต่อสู้กับมังกรดาบบรรพกาลที่โลกภายนอก ลุงจางยังไม่มีความมั่นใจว่าจะได้รับชัยชนะโดยไม่ต้องกล่าวถึงสภาพแวดล้อมพิเศษเช่นกำแพงภูมิภาค


“เหตุใดพวกเราจึงโชคร้ายนัก?”


“ข้าเดาว่ามังกรดาบบรรพกาลตัวนี้น่าจะถูกล่อมาที่นี่เพื่อขัดขวางพวกเราโดยผู้อมตะบางคน!”


ลุงจางกับพี่เล้งสนทนากันระหว่างหลบหนี


ในไม่ช้าพวกเขาก็พบกับเต่าศักดิ์สิทธิ์วูอี้ไห่


วูอี้ไห่ได้รับการแจ้งเตือนจากลุงจาง “พยายามอย่าต่อสู้กับมังกรดาบบรรพกาลตัวนี้ มันอาจถูกล่อมาที่นี่โดยมีจุดประสงค์เพื่อลดพลังงานอมตะและพลังการต่อสู้ของพวกเรา!”


“แล้วเราควรทำอย่างไร?” วูอี้ไห่ถาม


“ถอย ปล่อยมังการดาบบรรพกาลไว้ข้างหลังและไม่ยั่วยุมัน แต่เราต้องแสดงความแข็งแกร่งออกมาเช่นกัน สัตว์ป่ามีสติปัญญาเพียงเล็กน้อย เมื่อมันตระหนักว่าเหยื่อไม่อ่อนแอ มันจะยอมแพ้”


ผู้อมตะทั้งสามวางแผนและตัดสินใจอย่างรวดเร็ว


ทั้งสองพยายามหลบหนีพร้อมกับต่อต้านลมหายใจมังกรตลอดเวลา


“เราจะทำอย่างไร? มังกรดาบบรรพกาลตัวนี้ดูเหมือนจะไม่ยอมปล่อยพวกเราไปง่ายๆ!”


“บางทีอาจเป็นเพราะการโจมตีด้วยท่าไม้ตายอมตะของข้าก่อนหน้านี้ที่ยั่วยุมัน!”


“ข้ามีท่าไม้ตายอมตะที่สามารถลดความโกรธของสัตวป่า แต่ข้าต้องการเวลา!”


ผู้อมตะทั้งสามพูดคุยกัน


ลุงจางและพี่เล้งปกป้องวูอี้ไห่ขณะที่คนหลังใช้วิธีการบางอย่างเพื่อกำจัดร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนร่างกายของตนออกไปเพื่อเปลี่ยนร่างอีกครั้ง


ในฐานะสัตว์ป่า มังกรดาบบรรพกาลมีสติปัญญาเพียงเล็กน้อยและตอนนี้มันกำลังโจมตีหมาป่าสายฟ้าบรรพกาลกับพยัคฆ์ทองคำ


ลุงจางกับพี่เล้งต่อต้านการโจมตีของมังกรดาบบรรพกาลอย่างยากลำบาก ทั้งสองได้รับบาดเจ็บ แต่การขับไล่มังกรดาบบรรพกาลตัวนี้ พวกเขาไม่สามารถใช้ท่าไม้ตายที่ทรงพลังเพราะอาจตกลงสู่หลุมพรางของศัตรู


“เกือบแล้ว ท่าไม้ตายอมตะของข้าคือ…อา…” วูอี้ไห่กำลังจะกล่าวแต่เขากลับอุทานออกมาด้วยความตกใจ


เพราะเขาเห็นศีรษะของพยัคฆ์ทองคำถูกตัดออกและตาย ณ จุดเกิดเหตุ!


ท่าไม้ตายอมตะลอบสังหารในความมืด!


มันเกิดขึ้นอย่างกะทันหันโดยไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ


จากนั้นมังกรดาบบรรพกาลก็ระเบิดความเร็วที่ไม่มีผู้ใดคาดคิดออกมาและหายไปจากสายตาของผู้อมตะทั้งหมด


พี่เล้งตกใจมาก!


“พวกเราตกหลุมพราง โอ้ ไม่!”


เขาหันหน้ากลับไปเพียงเพื่อเห็นศีรษะของวูอี้ไห่ถูกสับเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยพร้อมกับเลือดและสมองที่ระเบิดออกไปรอบๆ


ศพไร้หัวของวูอี้ไห่ถูกจับยัดเข้าไปในมิติช่องว่างของมังกรดาบบรรพกาลอย่างรวดเร็ว


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1217 การบ่มเพาะพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง


แปลโดย iPAT 


เมื่อเห็นสิ่งนี้ ดวงตาของพี่เล้งที่น่าสงสารแทบทะลักออกมาจากเบ้า


“เป็นไปได้อย่างไร? มังกรดาบบรรพกาลตัวนี้มีมิติช่องว่าง มันไม่ใช่สัตว์ป่าแต่เป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง!”


“เป็นไปไม่ได้! หากมันเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง เหตุใดมันถึงไม่ได้รับผลกระทบจากกำแพงภูมิภาค!?”


พี่เล้งกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง


สิ่งนี้ขัดต่อสามัญสำนึกของโลกแห่งการบ่มเพาะ มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?


มังกรดาบบรรพกาลคำรามขณะที่มันพุ่งเข้าโจมตีเขา


เลือดไหลออกมาจากดวงตาของหมาป่าสายฟ้าบรรพกาล วูอี้ไห่ตายไปแล้ว ทุกสิ่งที่พวกเขาทำมาทั้งหมดกลายเป็นสูญเปล่า


พี่เล้งพยายามป้องกันตัวเพื่อรักษาชีวิตของตนเอง


มังกรดาบบรรพกาลหลบทุกการโจมตีอย่างคล่องแคล่ว ขณะเดียวกันมันก็ปล่อยลมหายใจมังกรออกไปอย่างต่อเนื่อง


หมาป่าสายฟ้าแทบไม่สามารถเคลื่อนไหวในกำแพงภูมิภาค แต่มังกรดาบบรรพกาลกลับไม่ได้รับผลกระทบจากมันและสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างราบรื่น


ด้วยเหตุนี้หมาป่าสายฟ้าบรรพกาลจึงทำได้เพียงใช้ท่าไม้ตายอมตะเพื่อตอบโต้แต่มังกรดาบบรรพกาลยังสามารถหลบเลี่ยงได้อย่างง่ายดาย


ครู่ต่อมามังกรดาบบรรพกาลก็สามารถส่งลมหายใจมังกรพุ่งไปที่ท้องของหมาป่าสายฟ้าบรรพกาล


การป้องกันของหมาป่าสายฟ้าบรรพกาลพังทลายลง ท้องของมันถูกตัดขณะที่ลำไส้และเลือดทะลักไหลออกมาจากแผลขนาดใหญ่


มังกรดาบบรรพกาลฉวยโอกาสโจมตีซ้ำๆกระทั่งหมาป่าสายฟ้าบรรพกาลเปลี่ยนร่างกลับเป็นมนุษย์และนอนตายจมกองเลือดของเขาเอง


มังกรดาบบรรพกาลเก็บกวาดสนามรบอย่างรวดเร็วราวกับมันคุ้นเคยกับเรื่องเช่นนี้


ในไม่ช้าศพของลุงจางและพี่เล้งก็ถูกยัดเข้าไปในมิติช่องว่างก่อนที่สนามรบทั้งหมดจะถูกเก็บกวาดจนไม่เหลือร่องรอยใดๆทิ้งเอาไว้


มังกรดาบบรรพกาลไม่ได้บินกลับภาคใต้แต่มันมุ่งหน้าไปยังทะเลตะวันออก


มันค้นหาพื้นที่ที่ปลอดภัยก่อนจะโยนศพของวูอี้ไห่ลงไป


หลังจากแดนศักดิ์สิทธิ์ก่อตัวขึ้น มังกรดาบบรรพกาลก็ฉวยโอกาสนี้บินเข้าไป


แดนศักดิ์สิทธิ์ของวูอี้ไห่เป็นมหาสมุทร มีสิ่งมีชีวิตมากมายอยู่ภายในแต่ส่วนใหญ่เป็นเต่าทะเล ปะการัง และนกนางนวล


มีสัตว์อสูรเดียวดายและกระทั่งสัตว์อสูรบรรพกาลได้แก่ เต่าศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลสามตัว ปะการังอสูรบรรพกาลกลุ่มหนึ่ง และนกนางนวลฟ้าขาวบรรพกาลอีกหกตัว


หลังจากไม่นานจิตวิญญาณแผ่นดินก็ปรากฏตัวต่อหน้ามังกรดาบบรรพกาล


มันอยู่ในรูปลักษณ์ของเต่าทะเล มันบอกเงื่อนไขที่ค่อนข้างยากลำบาก


มังกรดาบบรรพกาลทำได้เพียงออกจากแดนศักดิ์สิทธิ์นี้เท่านั้น


เมื่อกลับสู่โลกภายนอกและยืนยันความปลอดภัย มังกรดาบบรรพกาลก็เปลี่ยนร่างกลับเป็นมนุษย์


จะเป็นผู้ใดได้นอกจากฟางหยวน


เขาได้รับข้อมูลเกี่ยวกับภาคใต้มากมายจากเทพธิดากระต่ายขาว แน่นอนว่าเขารู้เรื่องของวูอี้ไห่


นี่เป็นความขัดแย้งภายในของตระกูลวู โดยเฉพาะเมื่อมันเกี่ยวข้องกับวูตู๋ซิ่ว มันจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่โต


ข่าวเรื่องการเดินทางของวูอี้ไห่แพร่กระจายออกไป ฟางหยวนรู้สึกว่านี่เป็นโอกาสสำคัญ


เห็นได้ชัดว่าตัวตนของวูอี้ไห่เหมาะสมมากที่ฟางหยวนจะปลอมตัวและเข้าแทนที่


ประการแรก เขาเป็นบุตรนอกสมรสของวูตู๋ซิ่ว เขาไม่มีป้ายวิญญาณหรือโคมไฟวิญญาณอยู่ที่ตระกูลวู มิฉะนั้นเขาจะไม่ได้เป็นเพียงบุตรนอกสมรสแต่จะเป็นนายน้อยลำดับที่สอง


ความตายของวูอี้ไห่ มีโอกาสน้อยที่ตระกูลวูจะค้นพบ


ประการที่สอง วูอี้ไห่อยู่ในทะเลตะวันออกมาตลอดชีวิตในฐานะผู้บ่มเพาะสันโดษ เขาไม่เคยติดต่อสมาชิกตระกูลวู คนตระกูลวูส่วนใหญ่ไม่รู้จักกระทั่งหน้าตาของเขาโดยเฉพาะรายละเอียดเกี่ยวกับนิสัยและวิธีการพูดคุย


หากฟางหยวนปลอมตัวเป็นวูอี้ไห่โดยใช้ท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคย มันมีโอกาสน้อยมากที่เขาจะถูกเปิดเผย


ฟางหยวนไม่ได้รับแดนศักดิ์สิทธิ์ของวูอี้ไห่แต่เขาไม่ตื่นตระหนก


เขาพบเกาะร้างและพักอยู่ที่นั่น


ด้านหนึ่งเขากำลังรอให้วิญญาณอมตะสมบัติเลือดฟื้นตัวขึ้น อีกด้านหนึ่งเขาพยายามแก้ไขท่าไม้ตายอมตะแสงโลหิต


ตั้งแต่วิญญาณอมตะสมบัติเลือดได้รับบาดเจ็บ ฟางหยวนให้ความสำคัญกับการรักษามันเป็นอย่างมาก ตอนนี้มันเกือบฟื้นตัวขึ้นอย่างเต็มที่แล้ว


ดังนั้นไม่กี่วันต่อมาวิญญาณอมตะสมบัติเลือดก็ฟื้นตัวขึ้นอย่างสมบูรณ์


ขณะเดียวกันฟางหยวนก็ประสบความสำเร็จในการแก้ไขท่าไม้ตายอมตะแสงโลหิตและสามารถใช้วิญญาณอมตะสมบัติเลือดเป็นแกนกลาง


นี่จะทำให้เรื่องต่างๆง่ายดายขึ้น


ฟางหยวนใช้อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดทะลวงเข้าไปในแดนศักดิ์สิทธิ์ของวูอี้ไห่และใช้ท่าไม้ตายอมตะแสงโลหิตกำหราบจิตวิญญาณแผ่นดิน


เมื่อจิตวิญญาณแผ่นดินไม่ต่อต้าน ฟางหยวนก็ประสบความสำเร็จในการกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์ของวูอี้ไห่ในที่สุด


สิ่งนี้ทำให้เขาก้าวข้ามภัยพิบัติไปได้หลายครั้ง


ท้ายที่สุดวูอี้ไห่ก็เป็นผู้อมตะระดับเจ็ด เขาแตกต่างจากผู้อมตะระดับหก


สำหรับจิตวิญญาณแผ่นดินเต่าทะเลของวูอี้ไห่ ภายใต้การดูแลอย่างระมัดระวังของฟางหยวน มันไม่ได้หายไป


แต่มันไม่ฟังคำสั่งของฟางหยวน มันร้องไห้ตลอดเวลา


ฟางหยวนต้องการกำจัดมันแต่หลังจากตระหนักว่ามันไม่มีเจตนาร้าย เขาจึงล้มเลิกความคิดนี้


“บางทีเมื่อข้าสามารถทำตามเงื่อนไขของมันในอนาคต ข้าจะสามารถกำหราบมันได้อย่างแท้จริง”


หลังจากจบเรื่องนี้ ฟางหยวนเดินทางข้ามกำแพงภูมิภาคกลับไปยังภาคใต้ทันที


เขาบินไปยังจุดศูนย์กลางของภาคใต้และวางมิติช่องว่างของลุงจางกับพี่เล้งลงเพื่อให้แดนศักดิ์สิทธิ์ก่อตัวขึ้น


‘ด้วยวิธีนี้ข้าสามารถก้าวข้ามภัยพิบัติใหญ่ไปแล้วหนึ่งครั้ง’ หลังจากกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับเจ็ดของผู้อมตะสามคน การบ่มเพาะของฟางหยวนก็พุ่งสูงขึ้นอีกมาก เขากลายเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดที่ผ่านภัยพิบัติใหญ่ไปแล้วหนึ่งครั้ง


ผู้อมตะระดับเจ็ดต้องเผชิญหน้ากับภัยพิบัติพิภพทุกสิบปี ภัยพิบัติสวรรค์ทุกห้าสิบปี และภัยพิบัติใหญ่ทุกหนึ่งร้อยปี หลังจากสามร้อยปีและผ่านภัยพิบัติใหญ่สามครั้ง พวกเขาจะกลายเป็นผู้อมตะระดับแปด!


‘แต่ภัยพิบัติใหญ่จะทรงพลังขึ้นทุกครั้ง ผู้อมตะระดับเจ็ดของภาคใต้ เฒ่าพฤกษาปาเต๋อติดอยู่ที่ภัยพิบัติใหญ่ครั้งสุดท้าย เขาไม่กล้าเผชิญหน้ากับมัน’


ผลกำไรที่ได้รับในครั้งนี้เกินความคาดหมายของฟางหยวน


นอกจากเขาจะสามารถกลืนกินสามแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับเจ็ด ระดับการบ่มเพาะของเขายังพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว


กระทั่งตัวฟางหยวนเองยังรู้สึกตกใจกับความโชคดีของตน


‘วิญญาณอมตะโชคอึสุนัขคู่ควรกับเป็นวิญญาณหลักของเทพอมตะตะวันเดือดอย่างแท้จริง แต่ข้าสงสัยว่าเมื่อใดข้าจะกลายเป็นผู้อมตะระดับแปด’


ฟางหยวนมองขึ้นไปบนศีรษะของตนเองโดยไม่รู้ตัวแม้เขาจะไม่มีวิญญาณอมตะตรวจสอบโชคก็ตาม


แต่สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือเรื่องทั้งหมดดำเนินไปอย่างราบรื่นเพราะอิงอู๋เซี่ยใช้ท่าไม้ตายอมตะผลาญจิตวิญญาณระเบิดโชค


โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่ลุงจางกับพี่เล้งคิดว่าฟางหยวนเป็นมังกรดาบบรรพกาลป่า


อย่างไรก็ตามมันยังเกี่ยวข้องกับวิญญาณทัศนคติที่ทำให้ผู้อมตะระดับเจ็ดทั้งสามตกลงสู่หลุมพรางโดยไม่รู้ตัว


ดังนั้นผู้อมตะระดับเจ็ดทั้งสามจึงใช้กลยุทธ์ป้องกันมากกว่าโจมตี


ต่อมาวูอี้ไห่ยังคิดว่ามังกรดาบบรรพกาลมีสติปัญญาต่ำและพยายามเปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นสิ่งมีชีวิตอื่นต่อหน้ามัน


ฟางหยวนมองเห็นโอกาสสำคัญและกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะที่เตรียมไว้ลอบสังหารลุงจาง จากนั้นเขาจึงระเบิดความเร็วพุ่งเข้าสังหารวูอี้ไห่ในเสี้ยวพริบตา


การต่อสู้ครั้งนี้ทำให้ฟางหยวนได้รับกำไรมหาศาล


ข้อบกพร่องเดียวคือทรัพยากรในมิติช่องว่างของผู้อมตะระดับเจ็ดบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงทั้งสามได้รับความเสียหายค่อนข้างมากจากการลอบโจมตีจากศัตรูก่อนหน้าที่จะพบฟางหยวน


ฟางหยวนไม่ได้ไปที่ตระกูลวูทันที


เขาเริ่มค้นวิญญาณของวูอี้ไห่และทำความเข้าใจคนผู้นี้


ระหว่างนี้ฟางหยวนยังไปหาเทพธิดากระต่ายขาวเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม


ข่าวการหายตัวไปของวูอี้ไห่แพร่กระจายไปทั่วภาคใต้


ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว ตระกูลวูเลือกที่จะเงียบ กองกำลังต่างๆพยายามคาดเดาและมีแนวโน้มที่จะเชื่อว่าวูอี้ไห่ตายไปแล้ว แต่ยังไม่มีฝ่ายใดเคลื่อนไหว


หลายกองกำลังดำเนินการในที่มืด ส่วนใหญ่เป็นกองกำลังฝ่ายธรรมะ นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนต่างรู้ดี


แน่นอนว่ากองกำลังเหล่านี้ไม่ยอมรับว่าพวกเขาเป็นคนฆ่าวูอี้ไห่


เกี่ยวกับเรื่องนี้ มีข่าวลือที่ดังเข้าหูทุกคน


นั่นคือผู้ร้ายตัวจริงที่สังหารวูอี้ไห่ไม่ใช่ผู้ใดนอกจากผู้อมตะระดับแปดของตระกูลวู วูหยง!


ผู้คนพูดกันไปต่างๆนานา แต่สิ่งที่เหมือนกันคือวูหยงต้องการมรดกของวูตู๋ซิ่ว ดังนั้นเขาจึงดำเนินการสังหารน้องชายของตนเอง


ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่เป็นการโจมตีวูหยงอย่างรุนแรง


ปีศาจอมตะไม่สนใจขณะที่ผู้บ่มเพาะสันโดษแต่ละคนมีความคิดที่แตกต่างกันไป สำหรับฝ่ายธรรมะ พวกเขาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก หลังจากทั้งหมดพวกเขาเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของตนเป็นอันดับแรกๆ


วูหยงเลือกที่จะเงียบ เขาไม่ได้ออกมาชี้แจงสิ่งใด


‘น่าสนใจ’ ฟางหยวนรู้สึกถึงคลื่นใต้น้ำที่ซ่อนอยู่มากมายในเรื่องนี้ กองกำลังต่างๆและผู้อมตะจำนวนมากกำลังต่อสู้กันอย่างลับๆแต่มันถูกซ่อนไว้ในมุมมืดอย่างระมัดระวัง


วูตู๋ซิ่วกำลังจะตาย วูหยงที่อยู่ใต้เงาของมารดามาตลอดชีวิตมีการบ่มเพาะระดับแปดแต่ความสามารถของเขากลับถูกตั้งคำถามในวงกว้าง


‘หากข้าปรากฏตัวในเวลานี้จะเกิดสิ่งใดขึ้น?’ ฟางหยวนนึกถึงเรื่องนี้และรู้สึกหนาวเย็นไปถึงแกนกระดูก


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1218 วูตู๋ซิ่วกับวูหยง


แปลโดย iPAT 


ฟางหยวนมองสถานการณ์อยู่ด้านข้าง เขารู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่วูอี้ไห่จะปรากฏตัว


ประการแรก เขายังไม่ได้ค้นวิญญาณของวูอี้ไห่อย่างสมบูรณ์ การเตรียมการยังไม่เสร็จสิ้น


ประการที่สอง วูตู๋ซิ่วยังไม่ตาย


หากวูตู๋ซิ่วไม่ตาย ฟางหยวนก็ไม่สามารถปรากฏตัวในฐานะวูอี้ไห่ได้อย่างปลอดภัย


ผู้อมตะระดับแปด!


ผู้ใดจะรู้ว่าวูตู๋ซิ่วจะใช้วิธีการใดตรวจสอบว่าวูอี้ไห่เป็นบุตรของนางจริงๆ


หากฟางหยวนล้มเหลวเพราะความโลภ เขาจะสูญเสียโอกาสที่หาได้ยากและนั่นจะเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุดสำหรับเขา หากเป็นเช่นนั้นเขาจะตบกะโหลกของตัวเองอย่างไม่มีที่สิ้นสุด


อันตรายแฝงตัวอยู่ทุกที่โดยเฉพาะในตระกูลวู


วูหยงมีแรงจูงใจซ่อนเร้นและมีแนวโน้มว่าเขาจะจัดการวูอี้ไห่


หากฟางหยวนปรากฏตัวเร็วเกินไป เขาอาจถูกลอบสังหารอย่างลับๆ


‘ในความเป็นจริงตัวตนของวูอี้ไห่ค่อนข้างมีปัญหา แต่โชคดีที่ข้ามีความทรงจำในอนาคต ข้ารู้ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นในห้าร้อยปีหลังจากนี้ นี่ทำให้ข้าสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ได้ดีขึ้น’


ในช่วงเวลานี้ฟางหยวนยังคงบ่มเพาะและค้นวิญญาณของวูอี้ไห่ต่อไปขณะเดียวกันเขาก็รวบรวมข้อมูลของโลกภายนอกอย่างต่อเนื่อง


สภาพของวูตู๋ซิ่วแย่ลงทุกวัน ภาคใต้ทั้งหมดตกอยู่ในความปั่นป่วน


ที่ภาคเหนืองานประลองทุ่งโลหิตยังดำเนินต่อไป โดยปราศจากหลิวกวนซื่อ ฝ่ายของชูตู๋ก็ถูกกำหราบอย่างสมบูรณ์ แต่ในไม่ช้าสถานการณ์ก็เปลี่ยนไปเมื่อจักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูส่งผู้บ่มเพาะสันโดษระดับเจ็ดจำนวนสามคนมาช่วยเหลือ พวกเขาได้รับชัยชนะติดต่อกันทำให้ทั้งสองฝ่ายติดอยู่ในทางตันอีกครั้ง


หลิวเจิ้งประกาศว่าเขาต้องการต่อสู้กับหลิวกวนซื่อ


นอกจากนั้นเผ่าอื่นๆเช่นเผ่าเย่หลิวก็ต้องการตัวหลิวกวนซื่อเช่นกัน อย่างไรก็ตามหลิวกวนซื่อกลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับคนผู้นี้ไม่เคยอยู่ที่ภาคเหนือ


กองกำลังต่างๆล้มเหลวในการตามล่า แต่ในภาคกลางผู้อมตะหลายคนกลับมีชะตากรรมที่เลวร้ายยิ่งกว่า


องค์กรใต้ดินที่ถูกสร้างขึ้นโดยนิกายเงาถูกกำจัดอย่างสมบูรณ์โดยวังสวรรค์รวมถึงสิบนิกายโบราณ


ปีศาจอมตะบนเส้นทางแห่งเลือดถูกสังหาร ผู้บ่มเพาะสันโดษหลายคนที่มีความผิดน้อยกว่าถูกยึดทรัพยากรโดยสิบนิกายโบราณและกลายเป็นทาสอมตะ


ครึ่งเดือนต่อมาวูตู๋ซิ่วเรียกวูหยงและผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลวูมาที่บ้านของนาง


ในช่วงเวลาที่วูตู๋ซิ่วกำลังจะตาย นางกล่าวอย่างชัดเจนว่า “ข้ามีความเสียใจสามครั้งในชีวิต”


“ความเสียใจครั้งแรกคือข้าล้มเหลวในการกำจัดเจ็ดภูตผี ข้าสามารถทำลายรังของพวกมันเท่านั้น”


“ความเสียใจครั้งที่สองคือข้าไม่สามารถหาปราณแห้งได้มากพอที่จะหลอมรวมวิญญาณแปดวายุ”


“ความเสียใจครั้งที่สาม…”


นางหยุดก่อนกล่าวต่อ


“คือข้าไม่ได้เห็นหน้าบุตรชายของข้า อี้ไห่ ย้อนกลับไป ข้าเกลียดพ่อของเขา ข้าฆ่าเขา แต่ข้าไม่ควรทิ้งความเกลียดชังไว้กับเด็กน้อยที่บริสุทธิ์และไร้เดียงสา เขาเป็นรอยด่างพร้อยในชีวิตของข้า เมื่อข้าต้องการเขา มันก็สายเกินไปแล้ว”


ในบ้านไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียง


วูตู๋ซิ่วถอนหายใจและลุกขึ้นนั่งด้วยตัวของนางเอง


นางเข้าสู่ท่าครึ่งนั่งครึ่งนอนด้วยความยากลำบากก่อนจะกวักมือเรียกวูหยงอย่างอ่อนแรง


วูหยงเข้าใจความตั้งใจของนาง เขารีบปิดผ้าม่านและก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับคุกเข่าลง


วูตู๋ซิ่วมองบุตรชายคนโตของนางและเผยรอยยิ้ม “หยงเอ๋อ เจ้าไม่เคยผิดหวังในตัวเจ้า”


ร่างกายของวูหยงสั่นสะท้านขึ้น ดวงตาของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง


ในขณะนี้เขากำลังแสดงอารมณ์ที่แท้จริงที่มีต่อมารดาของตนออกมา


“ข้าจะส่งมอบตระกูลวูให้กับเจ้า” วูตู๋ซิ่วกล่าว


“ท่านแม่” วูหยงกล่าวด้วยเสียงแหบแห้งและน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้ม


วูตู๋ซิ่วกล่าวต่อ “บุตรของข้า อี้ไห่ไม่สามารถมาที่นี่ได้ นั่นคือโชคชะตาของเขา ลืมมันไปซะ ข้าจะมอบวิญญาณอมตะเหล่านี้ให้กับเจ้า เจ้าบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งวายุเช่นกัน ข้าหวังว่าเจ้าจะดูแลพวกมันเป็นอย่างดี”


“ท่านแม่ ข้าไม่ต้องการวิญญาณอมตะของท่าน ข้าเพียงต้องการให้ท่านมีชีวิตอยู่!” วูหยงสะอื้น


“เด็กโง่ ผู้ใดจะสามารถหลบหนีจากความตาย กระทั่งเทพอมตะหรือเทพปีศาจยังต้องตายในที่สุด ชีวิตนิรันดร์เป็นเพียงจินตนาการของคนโง่เท่านั้น”


หลังกล่าวจบคำวิญญาณอมตะของวูตู๋ซิ่วก็ปรากฏขึ้นและบินเข้าไปหาวูหยง


ผู้อาวุโสสูงสุดทั้งหมดของตระกูลวูที่อยู่อีกด้านของผ้าม่านเฝ้ามองสิ่งนี้อยู่อย่างเงียบๆ


กลิ่นอายของวิญญาณอมตะหายไปในร่างของวูหยงทีละดวง


วูตู๋ซิ่วมองออกไปนอกหน้าต่าง


แสงแดดลอดผ่านช่องหน้าต่างบานเล็กเข้ามาในห้อง


ด้วยความมึนงง วูตู๋ซิ่วเห็นเงาร่างในแสงแดด


ร่างนั้นไม่ใช่บิดาหรือมารดาของนางและไม่ใช่ชายที่นางเคยรัก แต่มันคือตัวนางเอง


นางในวัยเยาว์ที่มีรอยยิ้มสดใสราวกับดวงตะวัน


“วูตู๋ซิ่ว…”


“วูตู๋ซิ่ว…”


“ฮ่าฮ่า” นางพึมพำชื่อของนางสองครั้งก่อนจะหัวเราะเบาๆ


จุดแสงสีขาวจำนวนนับไม่ถ้วนเริ่มส่องประกายออกมาจากร่างของนาง


จุดแสงเหล่านี้ค่อยๆกลืนกินดวงวิญญาณและร่างกายของนางเข้าไป


หลังจากชั่วครู่ผู้อมตะระดับแปดที่ทรงพลังและมีชื่อเสียงในภาคใต้มานับพันปีวูตู๋ซิ่วก็จากโลกใบนี้ไปในที่สุด


นางไม่ได้ทิ้งทั้งร่างกายและดวงวิญญาณเอาไว้เบื้องหลัง


“ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่ง!”


นอกม่าน ผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลวูต่างกรีดร้องด้วยความโศกเศร้า


เสียงร้องไห้ดังขึ้นในบ้านหลังเล็กที่ไร้เจ้าของหลังนี้


วูหยงร้องไห้อย่างเงียบๆ เขาคุกเข่าลงบนพื้นและก้มศีรษะลง


หลังจากไม่นานเขาค่อยๆเงยหน้าขึ้นและไม่ได้ร้องไห้อีกต่อไป การแสดงออกของเขามั่นคงราวกับเหล็กกล้า


เขายืนขึ้น


จากนั้นเขามองไปยังกลุ่มผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลวูผ่านผ้าม่าน


“ทุกคนจงอดทนไว้ ท่านแม่จากไปแล้ว แต่พวกเราที่อยู่เบื้องหลังยังต้องนำตระกูลวูสู่ความรุ่งโรจน์ต่อไป!” น้ำเสียงของวูหยงเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยพลังอำนาจ


กลุ่มผู้อาวุโสสูงสุดค่อยๆหยุดร้องไห้


วูหยงดึงม่านออกจากกันและเดินออกไป


กลุ่มผู้อาวุโสสูงสุดยืนขึ้นและตระหนักถึงบางสิ่ง


บรรยากาศกลายเป็นหนักหน่วง พวกเขาเร่งทำความเคารพวูหยงและกล่าวอย่างพร้อมเพรียง “คารวะผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่ง”


วูตู๋ซิ่วเสียชีวิตไปแล้วขณะที่ผู้อมตะระดับแปดวูหยงกลายเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลวู


ข่าวนี้แพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็ว


ภาคใต้ตกสู่ความโกลาหลทันที


วูตู๋ซิ่วเสียชีวิตในที่สุด ผู้อมตะจากหลายกองกำลังถอนหายใจด้วยความโล่งอก


เดิมทีตระกูลวูมีผู้อมตะระดับแปดสองคนแต่ตอนนี้เหลือเพียงหนึ่งเดียว แล้วพวกเขาจะยังรักษาตำแหน่งอันดับหนึ่งของกองกำลังฝ่ายธรรมะได้หรือไม่?


ตระกูลวูมีแหล่งทรัพยากรในการครอบครองมากเกินไป


วูตู๋ซิ่วจากไปแล้ว วูหยงเพียงผู้เดียวจะสามารถนำตระกูลวูสู่ความรุ่งโรจน์เช่นในอดีตได้หรือไม่?


ไม่เพียงผู้อมตะนอกตระกูลวูที่คิดถึงประเด็นนี้ กระทั่งผู้อมตะของตระกูลวูก็ยังสงสัยในความสามารถของผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งคนใหม่ของพวกเขา


และยังมีข่าวลือว่าวูหยงสังหารวูอี้ไห่น้องชายในสายเลือดของตนเอง ตอนนี้ข่าวลือต่างๆแพร่กระจายออกไปอย่างไม่หยุดหย่อน


ภูเขาชิงหยาง


ฐานทัพใหญ่ตระกูลเฉียวอยู่ที่นี่


สองผู้อมตะตระกูลเฉียวยืนอยู่บนจุดสูงสุดของยอดเขาและมองไปในทิศทางของตระกูลวู


ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลเฉียวถอนหายใจ “วูตู๋ซิ่วตายไปแล้ว วูหยงพึ่งเข้ารับตำแหน่งต่อจากนาง แต่เขาก็ถูกข่าวลือเกี่ยวกับการสังหารน้องชายเล่นงาน ฮ่าฮ่า นี่เป็นโอกาสที่ดีสำหรับตระกูลเฉียวของเรา ทุกคนคิดว่าพวกเราเป็นลูกไล่ของตระกูลวู แต่ความจริงก็คือพวกเรากำลังรอคอยโอกาสที่จะดำเนินการตามแผนที่วางเอาไว้ เรามีเหตุผลที่จะเคลื่อนไหวเพราะตระกูลเฉียวเป็นพันธมิตรกับตระกูลวูผ่านการแต่งงาน!”


“วูหยงดูเหมือนธรรมดาแต่ข้ารู้สึกว่าเขาไม่ธรรมดาเลย แม้เขาจะไร้ความสามารถ แต่เขายังเป็นผู้อมตะระดับแปด” ผู้อมตะอีกคนกล่าว


นางอยู่ในรูปลักษณ์ของหญิงวัยยี่สิบในชุดสีเขียวที่ไม่สามารถปกปิดรูปร่างอันทรงเสน่ห์เอาไว้ได้ ผิวของนางขาวราวหิมะ ดวงตาของนางสว่างสดใสภายใต้แพขนตายาว


นางเป็นความภาคภูมิใจและเป็นความหวังในอนาคตของตระกูลเฉียว นางยังเป็นหนึ่งในสามเทพธิดาที่งดงามที่สุดของภาคใต้ เฉียวซือหลิว


ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลเฉียวหัวเราะ “โอ้ หลิวเอ๋อ นี่คือเหตุผลที่ข้าขอให้เจ้ามาที่นี่ เราจะดำเนินการผูกมิตรกับตระกูลวูผ่านการแต่งงานต่อไป”


ร่างของเฉียวซือหลิวสั่นสะท้านขึ้น “ข้าเข้าใจ ข้ายินดีที่จะเสียสละเพื่อตระกูล”


“ดีมาก ตระกูลไม่ได้เลี้ยงดูเจ้ามาอย่างไร้ประโยชน์จริงๆ” ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลเฉียวดีใจมาก


“แต่กระทั่งข้าจะแต่งงานกับวูหยง ข้าก็อาจไม่สามารถควบคุมเขา เขาเป็นผู้อมตะระดับแปด เขายังมีอำนาจเหนือตระกูลวูทั้งหมด…” เฉียวซือหลิวลังเล


“ไม่ใช่กับเขา” ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลเฉียวยิ้ม


“เช่นนั้นผู้ใด?” เฉียวซือหลิวรู้สึกสับสน


“วูอี้ไห่”


“วูอี้ไห่?”


“ถูกต้อง เขามาหาข้าเมื่อไม่กี่วันก่อน”


เจ็ดวันต่อมา


ตระกูลวูจัดงานศพอย่างยิ่งใหญ่บนภูเขาวายุศักดิ์สิทธิ์


กองกำลังฝ่ายธรรมะทั้งหมดรวมถึงผู้บ่มเพาะสันโดษและกระทั่งปีศาจอมตะบางคนยังได้รับเชิญให้เข้าร่วม


ต่อหน้าทุกคน วูหยงกล่าว “ทุกคน จงกำจัดคนทรยศของตระกูลผู้นี้!”


“อันใด!?” ซูเต๋าตกใจมาก เขาต้องการขัดขืนแต่มันสายไปแล้ว


“นายท่าน ท่านกำลังทำสิ่งใด? ข้าเป็นคนรับใช้ที่ซื่อสัตย์และทุ่มเทที่สุดของท่าน!” ซูเต๋ากรีดร้อง


“ฮ่าฮ่า” วูหยงหัวเราะและชี้นิ้วไปที่ซูเต๋า “เจ้าเป็นคนรับใช้ที่ซื่อสัตย์และทุ่มเทอย่างแท้จริงซูเต๋า! คิดว่าข้าจะเชื่อเจ้าจริงๆงั้นหรือ คนเจ้าเล่ห์! เจ้าลอบตรวจสอบเส้นทางการเดินทางของน้องชายข้าและซุ่มโจมตีเขา น้องชายที่น่าสงสารของข้า ข้ายังไม่เคยพบเขาแต่เขากลับถูกปีศาจร้ายสังหารไปแล้ว!”


หลังกล่าวจบคำ วูหยงเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม


ซูเต๋าตะลึง


มันเป็นความตกใจที่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูด


เขาต้องการปฏิเสธแต่วูหยงกลับโยนหลักฐานจำนวนมากออกมา


เขาไม่สามารถแก้ตัว


ซูเต๋าไม่สามารถปฏิเสธ เขาตระหนักแล้วว่าวูหยงได้ค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเขามานานแล้วและอดทนมาจนถึงวันนี้!


วูหยงใช้ประโยชน์จากเขาเพื่อกำจัดวูอี้ไห่และได้รับมรดกจากมารดา เขากลายเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลวูและสามารถทำลายข่าวลือเลวร้ายเกี่ยวกับตัวเขาได้ในวันนี้


ซูเต๋ากลายเป็นเบี้ยสังเวยที่ใช้แล้วทิ้ง


‘วันนี้ข้าคือผู้ชนะที่แท้จริง!’ วูหยงลอบหัวเราะอยู่ในใจ เขาชี้นิ้วไปที่ซูเต๋าและออกคำสั่ง “ลากตัวเขาออกไป!”


ทุกคนในที่เกิดเหตุรู้สึกไม่สบายใจและไม่สามารถปกปิดความกังวลบนใบหน้า


วูหยงมองไปรอบๆและรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง


แต่ในขณะที่เขากำลังจะกล่าวต่อ ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลเฉียวกลับเดินออกมาด้วยรอยยิ้ม “ข้ามีข่าวดีสำหรับท่านวูหยง วูอี้ไห่น้องชายของท่านยังไม่ตาย นอกจากเขาจะยังไม่ตาย เขายังอยู่ที่นี่ด้วยความช่วยเหลือจากตระกูลเฉียวของข้า”


“อันใด!?”


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1219 ฟางหยวนเผชิญหน้าวูหยง


แปลโดย iPAT 


ฟางหยวนเดินออกมาจากลุ่มผู้อมตะตระกูลเฉียว


ทันใดนั้นสายตาทุกคู่ก็พุ่งมาที่เขา


เมื่อเห็นใบหน้าของเขา ผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลวูหลายคนถึงกับอ้าปากค้าง “พวกเขาเหมือนกันจริงๆ”


รูปร่างหน้าตาของฟางหยวน ไม่! รูปร่างหน้าตาของวูอี้ไห่เหมือนกับวูตู๋ซิ่วมารดาผู้ให้กำเนิดของเขาอย่างมาก นี่เป็นจุดที่ไม่สามารถปฏิเสธและเป็นข้อได้เปรียบของฟางหยวน


รูปร่างหน้าตาของวูหยงแตกต่างออกไป เขาคล้ายกับบิดาของเขาที่ดูธรรมดามาก


สำหรับวูอี้ไห่ เขาทั้งหล่อเหลาและโดดเด่นราวกับหอกที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าท่ามกลางฝูงชน แม้เขาจะอาศัยอยู่ในทะเลตะวันออก แต่ลักษณะของเขาก็คล้ายคนตระกูลวูโดยเฉพาะอย่างยิ่งจมูกที่ทั้งสูงและกว้าง ผู้คนสามารถบอกได้ทันทีว่าคนผู้นี้มีความพิเศษ เขามีบุคลิกที่มั่นคง และไม่สามารถดูแคลน


นี่คือเหตุผลที่ฟางหยวนสามารถสร้างความประทับใจให้กับผู้คนได้ทันที


อย่างไรก็ตามวูอี้ไห่ตัวจริงไม่มีรายละเอียดบางอย่างที่เหมือนคนตระกูลวู


ท่าไม้ตายอมตะระดับแปดใบหน้าที่คุ้นเคย!


ทักษะเฉพาะตัวของเทพปีศาจปล้นสวรรค์แสดงคุณค่าที่ยิ่งใหญ่ของมันออกมาในเวลานี้ ตอนนี้ผู้อมตะทั้งหมดถูกหลอกและไม่สามารถบอกได้ว่านี่คือนักต้มตุ๋น


ความจริงก็คือกระทั่งผู้อมตะของตระกูลวูก็ไม่เคยเห็นหน้าวูอี้ไห่มาก่อน


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าครั้งนี้ฟางหยวนเตรียมตัวมาอย่างดี นั่นทำให้ผู้อมตะตระกูลวูรู้สึกดีต่อเขาทันที


ทั้งหมดก็คือวูอี้ไห่เหมือนวูตู๋ซิ่ว


วูตู๋ซิ่วไม่ใช่หญิงอ่อนหวานแต่เป็นวีรสตรีผู้กล้าท้าทายสวรรค์


วูอี้ไห่มีความคล้ายคลึงกับนางเจ็ดสิบส่วน


วูตู๋ซิ่วเสียชีวิต ตระกูลวูตกอยู่ในความปั่นป่วน ผู้อมตะของตระกูลต่างคิดถึงความสำเร็จและความรุ่งโรจน์ของวูตู๋ซิ่ว


ท้ายที่สุดมนุษย์ก็เป็นเช่นนี้ พวกเขาไม่ค่อยเห็นคุณค่าของคนที่มีชีวิตอยู่ เพียงเมื่อสูญเสียคนเหล่านั้นไปแล้ว พวกเขาจึงจะเห็นคุณค่าและรู้สึกโหยหาสิ่งที่ไม่สามารถหวนคืน


ฟางหยวนปรากฏตัวในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เขาใช้ประโยชน์จากสภาพจิตใจของผู้คน


นี่คือส่วนหนึ่งในแผนการของเขา


“เหมือนกันมาก พวกเขาเหมือนกันจริงๆ” กระทั่งผู้อมตะตระกูลอื่นๆก็ยังถอนหายใจ


ฟางหยวนรู้สึกอย่างรวดเร็วว่าสายตาของผู้คนที่จ้องมองมาที่เขาค่อยๆเปลี่ยนแปลงไป


ในช่วงห้าร้อยปีของชีวิตแรก แม้การบ่มเพาะของเขาไม่สูงนัก แต่เขาเต็มเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์


ฟางหยวนสามารถตัดสินจากวิธีการมองของผู้คน สายตาของกลุ่มผู้อมตะตระกูลวูบอกว่าพวกเขาให้การต้อนรับวูอี้ไห่ผู้นี้ ขณะที่สายตาของวูหยงมีความเกลียดชังแฝงอยู่


วูหยงตกใจมาก การปรากฏตัวของวูอี้ไห่ส่งผลกระทบต่อแผนการของเขา


แต่สิ่งที่ทำให้วูหยงตื่นตระหนกยิ่งกว่าคือการที่ฟางหยวนอยู่กับผู้อมตะตระกูลเฉียว


ความจริงก็คือวูหยงเกลียดน้องชายผู้นี้จากก้นบึ้งของจิตใจ


แม้ทั้งสองจะพบกันเป็นครั้งแรก


วูหยงก็ไม่ชอบฟางหยวนตั้งแต่แรกเห็น


เพราะวูอี้ไห่ดูเหมือนมารดาของเขามากเกินไป


หลายปีที่ผ่านมาวูหยงอยู่ใต้ร่มเงาของวูตู๋ซิ่วมาตลอด


วูตู๋ซิ่วเหมือนต้นไม้ใหญ่ที่ปกป้องตระกูลวูรวมถึงวูหยง


เมื่อเห็นวูอี้ไห่ วูหยงรู้สึกราวกับเขากำลังอยู่ใต้เงามืดของต้นไม้อีกต้นหนึ่ง


เขาเป็นบุตรของวูตู๋ซิ่วและเป็นชายที่แสวงหาความแข็งแกร่ง เขาเต็มไปด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าต่ออำนาจ


แต่ตลอดมาวูหยงต้องอยู่ภายใต้ร่มเงาของวูตู๋ซิ่วและไม่สามารถต่อต้านนางได้


วูตู๋ซิ่วจากไป วูหยงรู้สึกเสียใจแต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู็สึกเหมือนได้รับอิสระ เขามีความสุข!


มันเป็นความสุขที่วูหยงไม่กล้าที่จะยอมรับ


แต่ตอนนี้เมื่อวูหยงเห็นวูอี้ไห่ที่มีลักษณะคล้ายกับวูตู๋ซิ่ว เขาจึงเกิดความรู้สึกไม่ชอบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


ฟางหยวนสัมผัสได้ถึงเจตนาร้ายและความเกลียดชังของวูหยง


เขาคิด ‘ขั้นตอนแรกของการแสดงตัวประสบความสำเร็จ แต่ขั้นตอนที่สองเกี่ยวกับการสร้างความสัมพันธ์กับตระกูลวูและทำให้พวกเขายอมรับเป็นสิ่งสำคัญที่สุด’


‘การยอมรับจากผู้อมตะระดับแปดวูหยงก็คือการยอมรับจากตระกูลวู’


ดังนั้นฟางหยวนจึงก้าวเข้าสู่กองไฟ เขาโค้งคำนับวูหยงอย่างสุดซึ้ง “วูอี้ไห่คาวระท่านพี่”


วูหยงแสดงออกด้วยความกังวลและลังเล “เจ้าเป็นน้องชายของข้า วูอี้ไห่ จริงๆงั้นหรือ? เจ้าดูเหมือนท่านแม่จริงๆ เว้นเพียงดวงตาของเจ้าที่เป็นสีฟ้า ผู้คนของภาคใต้มักมีดวงตาสีดำ”


ประโยคนี้มีความหมายลึกซึ้ง


วูหยงยังไม่ยอมรับตัวตนของฟางหยวน เขาชี้ให้ทุกคนเห็นว่าคนผู้นี้เป็นผู้อมตะของทะเลตะวันออก


ฟางหยวนตอบกลับอย่างเคร่งขรึม “ท่านพี่ ข้าเคยมีดวงตาสีดำมาก่อน แต่มีอุบัติเหตุบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างที่ข้าฝึกฝนทักษะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง ข้ากลับมาในครั้งนี้เพราะคำสั่งของท่านแม่ แต่น่าเสียดายที่ข้าถูกซุ่มโจมตีตลอดการเดินทาง ท่านลุงจางและพี่เล้งที่ท่านแม่ส่งไปคุ้มครองข้าเสียชีวิตในสนามรบเพื่อสร้างโอกาสให้ข้าหลบหนี”


“จางและเล้งเป็นเพียงผู้ใต้บังคับบัญชาเล็กๆของท่านแม่ แต่พวกเขาทุ่มเทเพื่อตระกูลวูเป็นอย่างมาก ถ่ายทอดคำสั่งออกไป พวกเราจะจัดพิธีฝังศพให้กับพวกเขาตามประเพณี พวกเราจะดูแลบุตรหลานของพวกเขาอย่างดีเช่นกัน” วูหยงออกคำสั่ง


ผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลวูเร่งตอบสนอง


ฟางหยวนลอบมอง


วูหยงผู้นี้ไม่ยอมปล่อยโอกาสที่จะสร้างภาพลักษณ์ที่ดี เขาเป็นคนฉลาด แต่ในคำกล่าวของเขา ไม่มีคำใดที่บอกว่าเขายอมรับตัวตนของฟางหยวน เขาหลีกเลี่ยงหัวข้อสำคัญที่สุด นั่นคือวูอี้ไห่น้องชายของเขา


วูหยงไม่สนใจส่วนนี้


อย่างไรก็ตามมันไม่สามารถหยุดฟางหยวน


ฟางหยวนโค้งคำนับและกล่าวต่อ “ข้าหวังว่าท่านพี่จะอนุญาตให้ข้าทำความเคารพท่านแม่ของเรา!”


วูหยงขมวดคิ้วแน่น


คำกล่าวของฟางหยวนมีเหตุผลมาก ในฐานะบุตร เมื่อมารดาจากไป เขาจะไม่แสดงความเคารพได้อย่างไร?


นี่เป็นคำขอที่สมเหตุสมผลอย่างยิ่งโดยเฉพาะในระบบตระกูลที่ให้ความสำคัญกับสายเลือด กระทั่งวูหยงก็ไม่สามารถละเลยเรื่องนี้


หากเขาบอกว่าไม่ คนนอกจะตอบสนองในทางที่ไม่ดี ภาพลักษณ์ใหม่ที่เขาพยายามสร้างขึ้นด้วยความอุตสาหะจะถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง


แต่หากเขาไม่ปฏิเสธคำขอของฟางหยวน นั่นก็หมายความว่าตระกูลวูยอมรับตัวตนของฟางหยวนว่าเขาเป็นสมาชิกตระกูลวูที่แท้จริง


แน่นอนว่าวูหยงไม่ต้องการเช่นนั้น


วูหยงไม่ชอบรูปลักษณ์ของวูอี้ไห่


ตัวตนของวูอี้ไห่สร้างความปวดหัวให้กับวูหยง


วูอี้ไห่มาที่นี่พร้อมกับคนตระกูลเฉียว นี่เป็นคำเตือนที่ส่งถึงวูหยงโดยตรง!


‘วูอี้ไห่ผู้นี้ควรกลับไปยังที่ที่เขาจากมา ไม่ใช่ว่าเขาเป็นผู้อมตะของทะเลตะวันออกงั้นหรือ? ไม่ว่าข้าจะต้องใช้จ่ายทรัพยากรบางอย่าง ข้าก็ต้องทำให้เขาจากไป’


นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับวูหยง


ในความเป็นจริงการแสดงตัวของฟางหยวนรวมถึงการเปิดตัวโดยผู้อมตะตระกูลเฉียวทำให้วูหยงไม่มีข้อสงสัยในตัวตนที่แท้จริงของฟางหยวนตั้งแต่แรก


‘เดี๋ยว! หากข้ากำจัดวูอี้ไห่?’


‘ก่อนหน้านี้ข้าไม่สามารถทำได้เพราะท่านแม่อยู่ใกล้ๆ แต่ตอนนี้ข้าเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่ง นี่คืออาณาจักรของข้า หลังจากนี้ข้าคือผู้นำของตระกูลวูทั้งหมด ข้าสามารถกำจัดเขาอย่างลับๆนี่จะทำให้ปัญหาของข้าจบลงหรือไม่?’


‘แม้เขาจะอยู่ที่ทะเลตะวันออกแต่ก็ยังเป็นตัวปัญหา หากเขาอยู่ที่ภาคใต้ มันจะยิ่งมีปัญหามากขึ้น’


‘ตอนนี้ข้าควรยอมรับคำขอของเขา แต่ข้าต้องจัดการบางอย่างและแสดงให้ทุกคนเห็นว่าเขาเป็นตัวปลอม ด้วยวิธีนี้ข้าจะสามารถกำจัดเขาได้อย่างเปิดเผย!’


เมื่อนึกถึงสิ่งนี้เจตนาสังหารที่รุนแรงก็พลุ่งพล่านขึ้นในร่างของวูหยงทันที


เขากำลังจะตอบรับคำขอของฟางหยวนแต่ในจังหวะนี้ผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลวูกลับชิงกล่าว “ขออภัยด้วยแต่ทุกคนลืมที่จะยืนยันตัวตนของวูอี้ไห่ นายน้อยรอง ข้าไม่มีข้อสงสัยในตัวท่านหรือตระกูลเฉียว แต่สำหรับท่านที่กลับมาที่นี่เป็นครั้งแรก นั่นเป็นขั้นตอนพื้นฐานที่จำเป็น!”


วูหยงได้ยินสิ่งนี้และต้องขมวดคิ้วอีกครั้ง


เขามองผู้อมตะตระกูลวูที่กล่าวถ้อยคำเหล่านี้ออกมา มันคือผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สามของตระกูลวู วูเฉียว


ฟางหยวนกับผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลเฉียวลอบส่งสายตาถึงกันอย่างลับๆ เขาคิด ‘ข้าคิดถูกที่ติดต่อตระกูลเฉียว แต่ข้าไม่คิดว่าตระกูลเฉียวจะแทรกซึมเข้าสู่ตระกูลวูได้ลึกถึงระดับของผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สาม วูเฉียว’


ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลเฉียวมองฟางหยวนและนึกถึงฉากที่พวกเขาวางแผนกัน…


“ตราบเท่าที่ข้าปรากฏตัวในงานศพ วูหยงจะเฉยเมยต่อสถานะของข้า แต่กระทั่งเขาจะเป็นผู้อมตะระดับแปด เขาก็ไม่สามารถสังหารข้าได้โดยตรง เขาไม่สามารถทำสิ่งใดข้าที่นั่น ฮ่าฮ่า”


ฟางหยวนหัวเราะกล่าวต่อ “หากข้าขอแสดงความเคารพต่อท่านแม่ เขาจะไม่โจมตีข้าเพราะเขาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลวู เขาไม่ใช่ผู้บ่มเพาะสันโดษหรือปีศาจอมตะ”


“ฮ่าฮ่าฮ่า ยอดเยี่ยม!” ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลเฉียวยกนิ้วให้ “มันจะอันตรายหากเป็นการพบปะส่วนตัว แต่ในกรณีนี้แม้วูหยงจะไม่อยากยอมรับแต่เขาจะทำสิ่งใดได้?”


ฟางหยวนกล่าวอย่างจริงจัง “ดังนั้นเราต้องได้รับการยอมรับระหว่างงานศพ หากเราพลาดโอกาสนี้ มันจะยิ่งยากและมีความเสี่ยงมากขึ้น วูหยงจะไม่ให้โอกาสที่สองกับเรา”


“ไม่จำเป็นต้องกังวล ข้าจะเป็นผู้แนะนำเจ้า” ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลเฉียวยิ้ม


“ไม่ ไม่ ไม่” ฟางหยวนส่ายศีรษะ “มันไม่เหมาะสมที่ท่านจะเป็นผู้แนะนำ ท่านเป็นคนนอก ท่านจะเข้าไปยุ่งกับเรื่องภายในของตระกูลวูได้อย่างไร?”


ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลเฉียวเงียบ


คำกล่าวของฟางหยวนคือความกังวลที่ยิ่งใหญ่ของเขา นี่เป็นปัญหาที่เขาต้องแก้ไข มิฉะนั้นเขาจะไม่สามารถร่วมมือกับวูอี้ไห่


ฟางหยวนเงยหน้าขึ้นและมองไปนอกหน้าต่าง “ดังนั้นข้าจึงต้องการผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลวู เขาสามารถกล่าวถึงเรื่องนี้ได้อย่างเปิดเผยและควบคุมสถานการณ์กระทั่งบรรลุเป้าหมาย”


ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลเฉียวแสดงออกด้วยความหนักใจ “นี่…”


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1220 แทรกซึมเข้าสู่ภาคใต้


แปลโดย iPAT 


ฟางหยวนยังกล่าวต่อไป “ผู้อาวุโสสูงสุดผู้นี้ควรมีสถานะบางอย่าง เขาต้องมีทัศนคติที่มั่นคงเพราะในช่วงเวลานี้วูหยงมีแนวโน้มที่จะแสร้งยอมรับข้า เขาจะปฏิเสธข้อเสนอแนะนี้ ดังนั้นเราต้องเลือกคนที่สามารถอดทนต่อแรงกดดันของผู้อมตะระดับแปด!”


ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลเฉียวยักไหล่ “นี่มันยากเกินไป ท้ายที่สุดวูหยงไม่ได้เป็นเพียงผู้อมตะระดับแปดแต่เขายังเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลวู นอกจากนั้นเขายังได้รับมรดกของวูตู๋ซิ่ว”


ฟางหยวนไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมา เขายังมองออกไปด้านนอก


น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนเป็นเย็นชาและหนักแน่น “อย่าบอกว่าตระกูลเฉียวไม่มีคนเช่นนี้ หากท่านไม่มี เหตุใดท่านจึงเข้าไปวุ่นวายกับตระกูลวู? ท่านอาจประสบความสำเร็จมากขึ้นหากท่านนอนนิ่งๆอยู่ที่บ้าน แน่นอนว่าวูอี้ไห่ผู้นี้จะไม่ร่วมมือกับตระกูลเช่นนี้!”


ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลเฉียวตกตะลึง เขาต้องประเมินฟางหยวนใหม่อีกครั้ง


จากมุมมองของเขา เขาสามารถมองเห็นบางสิ่งจากเรื่องนี้


การแสดงออกของฟางหยวนมั่นคงราวกับเหล็กกล้า ดวงตาสีฟ้าของเขาเต็มไปด้วยพลังชีวิต


‘ชายผู้นี้…ฮ่าฮ่า น่าสนใจ ดังคาด บุตรของวูตู๋ซิ่วไม่ธรรมดาจริงๆ’ ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลเฉียวลอบถอนหายใจก่อนจะตอบตกลง “พวกเราจะทำตามความคิดของเจ้า”


…..


แม้วูตู๋ซิ่วจะตายไปแล้วแต่ในงานศพของนางยังมีฉากที่แปลกประหลาดและน่าสนใจ


วูอี้ไห่บุตรนอกสมรสของวูตู๋ซิ่วจากทะเลตะวันออกปรากฎตัวขึ้นและต้องการแสดงความเคารพมารดาของเขา


ผู้อมตะจากกองกำลังต่างๆเฝ้ามองอยู่อย่างเงียบๆโดยไม่เข้าไปยุ่ง


ท้ายที่สุดสิ่งเหล่านี้ก็เป็นเรื่องภายในของตระกูลวู


เมื่อผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สามของตระกูลวูเปิดปากกล่าว สายตาของผู้คนจึงหันไปที่เขา


วูเฉียวไม่สะทกสะท้านและยังแสดงออกอย่างตรงไปตรงมา


ตระกูลเฉียวสามารถแทรกซึมเข้าไปในตระกูลวูได้ถึงระดับนี้ นี่ทำให้ฟางหยวนรู้สึกตกใจเล็กน้อย


แต่คนนอกที่ไม่รู้เหตุผลที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังไม่สามารถบอกได้ว่าการแสดงออกของวูเฉียวหมายถึงสิ่งใด


เขาเข้าข้างตระกูลวูหรือตระกูลเฉียว?


กระทั่งวูหยงก็ไม่สามารถยืนยันเรื่องนี้


วูหยงกล่าว “เอาล่ะ เราจะพิสูจน์ตัวตนของเขาที่นี่ ข้าแน่ใจว่าท่านแม่จะดีใจมากที่เห็นสิ่งนี้เกิดขึ้น”


เขาไม่ได้ตำหนิแต่เห็นด้วย


ฟางหยวนมองวูหยงอย่างลึกซึ้ง คนผู้นี้ไม่ง่ายเลย


ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลเฉียวรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยต่อการตอบสนองของวูหยง นี่ทำให้เขาต้องให้คะแนนประเมินวูหยงเพิ่มขึ้นอีกระดับหนึ่ง


เห็นได้ชัดว่าวูหยงสังเกตเห็นว่าเขาไม่สามารถหยุดฟางหยวน หากเขายังปฏิเสธต่อไป เขาจะเสียชื่อเสียงและภาพลักษณ์


“ผู้อมตะทุกท่านที่นี่สามารถเป็นพยาน นำวิญญาณอมตะออกมา!” ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สามของตระกูลวูลุกขึ้นยืนและแสดงตัวเป็นผู้ดำเนินการเพื่อป้องกันไม่ให้วูหยงแทรกตัวเข้ามา


ในไม่ช้าตระกูลวูก็นำวิญญาณอมตะบางดวงออกมา


วูเฉียวถือวิญญาณอมตะยืนอยู่ตรงหน้าฟางหยวน “นี่คือวิญญาณอมตะระดับเจ็ดบนเส้นทางแห่งเลือด วิญญาณอมตะสายโลหิต ตระกูลวูของเราได้รับมันมาจากการสังหารปีศาจอมตะผู้หนึ่ง มันเป็นรางวัลจากการต่อสู้ มันสามารถใช้ระบุตัวตนของนายน้อยรอง”


ผู้อมตะทั้งหมดเย้ยหยันอยู่ภายใน เส้นทางแห่งเลือดไม่ได้รับการยอมรับจากคนทั่วไป


แต่ความจริงก็คือกองกำลังฝ่ายธรรมะทุกกองกำลังค้นคว้าเกี่ยวกับเส้นทางแห่งเลือดอยู่อย่างลับๆ เนื่องจากเส้นทางแห่งเลือดเป็นวิธีที่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งได้รวดเร็วที่สุด


เห็นได้ชัดว่าวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งเลือดดวงนี้เป็นผลลัพธ์จากงานวิจัยของตระกูลวูแต่พวกเขากลับเรียกมันว่ารางวัลจากการต่อสู้


“นายน้อยรองโปรดหยดเลือดของท่านลงไป” วูเฉียวกล่าว


นี่คือวิญญาณอมตะระดับเจ็ดบนเส้นทางแห่งเลือด!


ภายใต้สายตาของทุกคน ฟางหยวนมอบหยดเลือดให้กับวูเฉียว


วูเฉียวใช้วิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งเลือดตรวจสอบ


ไม่มีปัญหา!


ฟางหยวนลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก


‘โชคดีที่วิญญาณอมตะสมบัติเลือดฟื้นตัวขึ้นแล้ว ข้าเพิ่มมันเข้าไปในท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคยเพื่ออำพรางสายเลือด ครั้งก่อนข้าสามารถหลอกไห่ฟานและรับมรดกของเขา ครั้งนี้ข้าสามารถผ่านการทดสอบของวิญญาณอมตะระดับเจ็ดบนเส้นทางแห่งเลือด’


โชคดีที่มันเป็นวิญญาณอมตะระดับเจ็ด หากมันเป็นวิญญาณอมตะระดับแปด เขาอาจไม่สามารถหลอกลวง


ฟางหยวนค่อนข้างโชคดีในด้านนี้


แน่นอนว่าตระกูลวูไม่ยินดีที่จะจ่ายราคามหาศาลเพื่อหลอมรวมวิญญาณอมตะระดับแปดบนเส้นทางแห่งเลือด


การหลอมรวมวิญญาณอมตะระดับแปดมีค่าใช้จ่ายสูงเกินไป มันสามารถกลืนกินทรัพย์สินของกองกำลังใหญ่จนเหือดแห้งและยังไม่สามารถรับประกันความสำเร็จ


แต่นี่ไม่ใช่ทั้งหมด


ต่อไปวูเฉียวยังตั้งคำถามที่สำคัญกับฟางหยวนมากมาย


บางคำถาม ฟางหยวนรู้คำตอบ ขณะที่บางคำถามเขาไม่สามารถตอบได้


ท่ามกลางคำถามเหล่านี้มีบางคำถามเป็นกับดัก มันถูกใช้เพื่อล่อลวงเขา


แต่ฟางหยวนค้นวิญญาณวูอี้ไห่มาแล้ว เขาสามารถจัดการคำถามเหล่านี้ได้อย่างไม่มีปัญหา


อันตรายที่แท้จริงมีเพียงวิญญาณอมตะสายโลหิตระดับเจ็ดแต่เขาผ่านมันมาแล้ว


ผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลวูพยักหน้า บางคนยิ้มและมองฟางหยวนราวกับเขาผ่านการทดสอบแล้ว


“ในความเป็นจริงเราต้องตรวจสอบดวงวิญญาณและกระดูกของท่านด้วย แต่ท่านหญิงวูตู๋ซิ่วได้ล่วงลับไปแล้ว ดังนั้นเราจะข้ามขั้นตอนนี้ไป” วูเฉียวกล่าว


ฟางหยวนดีใจมาก


หากเขาถูกตรวจสอบโดยวิธีบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณหรือวิธีบนเส้นทางแห่งกระดูก มีโอกาสสูงมากที่มันจะเปิดเผยข้อบกพร่องของเขาออกมา


‘ข้าได้ยินมาว่าเมื่อวูตู๋ซิ่วเสียชีวิต ร่างกายของนางกลายเป็นจุดแสงและสลายหายไปในอากาศ กระทั่งเส้นผมก็ไม่เหลือทิ้งไว้ นางตายอย่างสมบูรณ์ นี่เป็นสิ่งที่ดีมาก!’ ฟางหยวนมีความสุขกับโชคของเขา


วูเฉียวรายงานผลลัพธ์ให้วูหยงทราบ


ในความเป็นจริงไม่จำเป็นต้องกล่าวสิ่งใด ทุกคนได้เห็นผลลัพธ์กับตาของตนเองแล้ว


วูหยงพยักหน้าขณะที่ผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลวูคนอื่นๆพยักหน้าเห็นชอบ


ดังนั้นวูเฉียวจึงนำวิญญาณป้ายวิญญาณและวิญญาณโคมไฟวิญญาณออกมาให้ฟางหยวนปรับแต่ง วิญญาณเหล่านี้จะถูกวางไว้ในห้องโถงบรรพชนของตระกูล พวกมันเป็นสัญลักษณ์ของการรับฟางหยวนเข้าสู่ตระกูล


หลังจากทั้งหมดฟางหยวนประสบความสำเร็จในการได้ใช้ตัวตนของวูอี้ไห่แทรกซึมเข้าสู่ภาคใต้


หลังจากทำความเคารพวูตู๋ซิ่ว ฟางหยวนก็หลั่งน้ำตาออกมาด้วยทักษะการแสดงอันไร้ที่ติ


เนื่องจากตอนนี้เป็นงานศพของวูตู๋ซิ่ว ตระกูลวูจึงไม่สามารถจัดงานเลี้ยงฉลอง แต่หลังจากพิธีการจบลง ฟางหยวนได้รับการต้อนรับจากผู้อมตะตระกูลวูอย่างอบอุ่น พวกเขาต้องการดื่มชาและพูดคุยกับฟางหยวนเพื่อผลประโยชน์


แต่ฟางหยวนปฏิเสธพวกเขาทั้งหมด


ตอนนี้สถานะของเขาสูงมาก!


เขาเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดและเป็นน้องชายของผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลวู วูหยง


แม้พี่น้องจะไร้เยื้อใย แต่บนพื้นผิวพวกเขาต้องเป็นพี่น้องที่รักใคร่ปรองดอง


เจ็ดวันต่อมา งานศพสิ้นสุดลง ฟางหยวนยืนอยู่กับกลุ่มผู้อมตะตระกูลวูเพื่อส่งแขกคนสำคัญของตระกูล


ผู้อมตะภาคใต้เหล่านี้จดจำฟางหยวนเอาไว้ในใจ


พวกเขารู้สึกว่าฟางหยวนไม่ใช่ตัวตนที่สามารถมองข้าม ไม่ใช่เพราะระดับการบ่มเพาะแต่เป็นตัวตนที่มีสายเลือดใกล้ชิดกับวูหยงมากที่สุด


ชื่อของวูอี้ไห่กระจายไปทั่วภาคใต้


สามวันต่อมา


ดวงตะวันขึ้นจากขอบฟ้าอย่างช้าๆ


ฟางหยวนยืนอยู่บนยอดเขาผาหมีและมองดวงอาทิตย์ขึ้นอย่างเงียบๆ


เขาได้รับอนุญาตให้อาศัยอยู่บนภูเขาลูกนี้


ที่นี่ไม่ใช่แดนศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลวู ฟาหงยวนบอกพวกเขาว่าต้องการอยู่ข้างนอก ภูเขาผาหมีเต็มไปด้วยสัตว์อสูร มีหมีทุกชนิดอาศัยอยู่ที่นี่


ตระกูลวูมอบภูเขาผาหมีให้กับฟางหยวน จากนี้ไปที่นี่คืออาณาจักรของวูอี้ไห่


แต่ตระกูลวูยังไม่ได้กำหนดบทบาทหน้าที่ของฟางหยวน


ในแง่นี้ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลเฉียวรู้สึกกังวลมาก


เมื่อตระกูลเฉียวให้ความช่วยเหลือฟางหยวน แน่นอนว่าพวกเขาย่อมต้องการให้ฟางหยวนกลายเป็นผู้มีอำนาจในตระกูลวูและมอบผลประโยชน์ให้กับพวกเขา


ฟางหยวนทำข้อตกลงลับๆกับผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลเฉียวเอาไว้


แต่เขาไม่รีบร้อน


เขาแสร้งทำเป็นมองดวงอาทิตย์ขึ้นแต่แท้จริงแล้วเขากำลังคิดถึงอาณาจักรแห่งความฝัน


เขากลายเป็นผู้อมตะฝ่ายธรรมะของภาคใต้แล้ว แต่เขาจะเข้าสู่ค่ายกลวิญญาณอย่างเปิดเผยได้อย่างไร


ขณะที่ฟางหยวนกำลังคิดถึงเรื่องนี้ วิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลก็บินเข้ามาหาเขา


มันกลายเป็นว่าวูหยงเรียกเขาเข้าพบ


ตอนนี้ฟางหยวนกลายเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลวูอย่างสมบูรณ์แล้ว วูหยงไม่สามารถสังหารเขาได้อีกต่อไป


โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลวู วูหยงจำเป็นต้องปกป้องน้องชายผู้นี้


ฟางหยวนเดินทางไปพบวูหยงที่ห้องทำงานของเขา


วูหยงกล่าว “เจ้าเป็นน้องชายของข้า เจ้าพึ่งกลับมา ตามกฎของตระกูล ผู้อมตะระดับหกคนใหม่สามารถเลือกวิญญาณอมตะระดับหกได้หนึ่งดวง หลังจากลายเป็นผู้อมตะระดับเจ็ด พวกเขาสามารถเลือกวิญญาณอมตะระดับเจ็ดอีกหนึ่งดวง นำวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลไปที่คลังสมบัติเพื่อเลือกวิญญาณอมตะสองดวงที่เจ้าต้องการ”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)