ลำนำบุปผาพิษ 1203-1210

 บทที่ 1203 เด็กโง่ หายใจสิ


ถึงแม้ระยะเวลาที่ทั้งสองแยกจากกันจะไม่นับว่านาน ทว่าเพิ่งจะผ่านความเป็นความตายมารอบหนึ่ง สำหรับตี้ฝูอีแล้ว เก้าวันในตำหนักใต้ดินลำบากยากเข็ญยิ่งกว่าเก้าปี


ความเจ็บปวดทางกายเป็นด้านหนึ่ง ต้องเห็นนางเรียกขานโม่เจ้าว่าพี่โม่สิถึงจะเป็นทำให้แต่ละวันของเขาเสมือนแรมปี…


จุมพิมของเขาทรงพลังนัก ดุเดือดเร่าร้อน ดึงดันเผด็จการ ให้ความรู้สึกรุกรานยึดครองยิ่งนัก


จุมพิตแสนเร่าร้อนคล้ายแทรกซึมผ่านริมฝีปากและเรียวลิ้นตรงเข้าสู่หัวใจ ทำให้โลหิตร้อนๆ แผ่ซ่านขึ้นเต็มหน้าเธอดวงหน้าแดงปลั่งดั่งแสงอาทิตย์อุทัย ในสมองเกิดเสียงดังตูม ความคิดยุ่งเหยิงวุ่นวายทั้งหมดในใจเหล่านั้นอันตรธารหายไปในชั่วพริบตา…


ในใจมีเปลวเพลิงเร่าร้อนลุกโหมขึ้นมา เพลิงนั้นเสมือนเมล็ดพืชที่กลายพันธุ์ เพียงครู่เดียวก็ลุกลามไปตามเส้นเลือดแล้ว งอกงามเป็นไม้ใหญ่สูงตระหง่าน ใบไม้ทุกใบเขียนคำว่าโหยหาและอบอุ่นไว้ ทำให้เธออยากยึดกุมคนที่อยู่ใต้ร่างผู้นี้ไว้แน่นๆ…


เขาปรารถนาในตัวเธอ และอันที่จริงเธอก็ปรารถนาในตัวเขาเช่นกัน


โหยหาอ้อมกอดของเขา โหยหาการใกล้ชิดกับเขา…


กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่ปราดเปรื่องสุขุมเยือกเย็นยิ่งนักเสมอมา ชีวิตนี้ไม่มีทางลุ่มหลงงมงายในความรัก กลับนึกไม่ถึงว่าบนโลกนี้จะมีตี้ฝูอีอยู่ เวลาที่อยู่กับเขา เธอเป็นสุขอย่างยิ่ง ต่อให้พบมรสุมคลื่นลมขมขื่น เธอก็รู้สึกว่าฟ้าครามสุกใส ใบหญ้าเขียวขจี อารมณ์เบิกบานดั่งฤดูใบไม้ผลิ


เธออยากอยู่กับเขาตลอดเวลา เธออยากอิงแอบอยู่ในอ้อมแขนเขา จุมพิตเบาๆ สักคราก็ทำให้เลือดลมเธอพลุ่งพล่านได้แล้ว…


เธอไม่ใช่แม่นางผู้เหนียมอาย บัดนี้เมื่อเลือดลมเดือดพล่านขึ้นมา เธอก็เปลี่ยนจากฝ่ายถูกกระทำเป็นฝ่ายรุกเข้าหาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ตอบสนองจุมพิตของเขาอย่างกระตือรือร้น…


ไม่รู้ว่าเริ่มขึ้นตั้งแต่ยามไหน คนทั้งสองนอนกอดรัดกันอยู่บนฟูก ค่อยเป็นค่อยไป ตี้ฝูอีไม่พอใจกับริมฝีปากที่เคล้าคลอกันอีกต่อไป เขาจุมพิตดวงตาของนาง จุมพิตแพขนตาที่สั่นระริกของนาง จุมพิตปลายจมูก ปลายคาง จากนั้นก็เลื่อนลงไปด้านล่าง


สาบเสื้อถูกแกะออกช้าๆ เลื่อนหลุดจากหัวไหล่…


เมื่อผิวกายสัมผัสกับความเย็นของอากาศ ก็ถูกริมฝีปากของเขาจับจอง


ร่างของกู้ซีจิ่วอ่อนยวบแล้ว


เธอที่แข็งแกร่ง ยอมหักไม่ยอมงอมาโดยตลอด ยามนี้ร่างกายกลับอ่อนปวกเปียกปานแอ่งน้ำ เป็นวารีที่ต้องการหลอมรวมกับเขาอย่างสมบูรณ์…


หัวใจเต้นกระหน่ำเสมือนมิใช่ของตน เธอไม่ใช่คุณหนูสูงศักดิ์ที่ไม่รู้อะไรเลย เธอรู้ว่าความชิดเชื้อเหล่านี้ของตี้ฝูอีสื่อถึงอะไร


ถึงขั้นที่เธอสัมผัสได้ว่าเขาแปรเปลี่ยนเป็นบุรุษอย่างแท้จริงแล้ว ลมหายใจของทั้งสองฝ่ายถี่กระชั้นขึ้น…


ระหว่างที่จุมพิตกันอย่างดูดดื่ม ฝ่ามือของเขากุมข้อมือที่หมายจะผลักออกของเธอไว้ จากนั้นชักนำเธอให้ลงสู่ด้านล่าง ในที่สุดก็สัมผัสถูกส่วนสงวนของเขาแล้ว…


‘ตูม!’ พวงแก้มของกู้ซีจิ่วแทบจะระเบิดออกมาแล้ว


ถ้าเธอคิดจะผลักเขาออกไปในยามนี้อันที่จริงง่ายดายนัก แต่กลับไม่มีแรงผลักเขาออกเลย ปลายนิ้วสั่นสะท้านเล็กน้อย คิดจะหดกลับมา


แต่ฝ่ามือของเขาราวกับคีมเหล็ก ยึดกุมเธอไว้แน่น ทำให้มือเธอสัมผัสแนบชิดกับส่วนนั้น และสัมผัสความร้อนระอุของส่วนนั้นได้


“เด็กน้อย…” เขาเอ่ยเสียงแผ่วอยู่ริมหูเธอ ลมหายใจอุ่นร้อนคล้ายจะแผดเผาใบหูเธอ “พวกเราใกล้จะเป็นสามีภรรยากันแล้ว หลังจากเป็นสามีภรรยากันแล้วจะต้องซื่อสัตย์มั่นคงต่อกัน…”


เธอกลั้นหายใจ กลั้นจนใบหน้าแดงก่ำ


“เด็กโง่ หายใจสิ” ตี้ฝูอีขบมุมปากของนางเบาๆ อย่างอดใจไว้ไม่อยู่ พอใจกับปฏิกิริยาไม่ประสีประสาของนางยิ่งนัก


ในที่สุดก็ซีจิ่วก็ลืมตาขึ้นมาแล้ว นัยน์ตาที่ขาวดำตัดกันชัดเจนคู่นั้นฉ่ำวาวรื้นน้ำ นางมองเขา พวงแก้มยังแดงก่ำอยู่ แววตาค่อนข้างพิกลอยู่บ้าง


ตี้ฝูอีจุมพิตขนตานางอีกครา “มองข้าเช่นนี้ทำไม?”


กู้ซีจิ่วเอ่ยว่า “นึกไม่ถึงว่าท่าน…” กล่าวถึงตรงนี้ก็นิ่งไป


————————————————————————————-


บทที่ 1204 แล้วเมื่อไหร่จะทำได้?


“นึกไม่ถึงว่าข้าทำไม?” ตี้ฝูอียังคงกอดรัดนางไว้แน่นเช่นเคย ไม่ได้เคลื่อนไหวต่อไปอีกขั้น


แพขนตาของกู้ซีจิ่วหลุบลง “นึกไม่ถึงว่าท่านก็มีช่วงเวลาที่เหมือนมนุษย์ปุถุชนด้วย…”


“หือ?” ยากนักที่จะได้เห็นตี้ฝูอีไม่เข้าใจ


กู้ซีจิ่วไม่คิดจะอธิบาย ความรู้สึกที่เธอมีต่อตี้ฝูอีอันที่จริงค่อนข้างประหลาดยิ่งนัก ถึงแม้ตี้ฝูอีจะเคยกอดจูบกับเธอหลายครั้งแล้ว แต่ในสายตาเธอท่านเทพใหญ่ผู้นี้ก็คือบุปผางามบนยอดดอยที่ล่องลอยอยู่ในมวลเมฆา เรื่องราวชายหญิงคาวโลกีย์เช่นนั้นเขาน่าจะทำไม่เป็นและไม่สนใจใคร่ทำสิ…


ถึงแม้เขาบอกว่าเขาจะแต่งกับเธอ แต่ในใจกู้ซีจิ่วรู้สึกว่าภายหน้าการอยู่ร่วมกันของทั้งสองน่าจะเป็นการจับจูงกันท่องเที่ยว เขาพาเธอตระเวนชมขุนเขาสายธาร เสมือนหยางกั้วและเสี่ยวหลงหนี่ว์ในละครทีวี ดั่งคู่รักเทพเซียนประเภทนั้น


จนกระทั่งบัดนี้ เขากุมมือของเธอไว้ทำให้เธอได้เผชิญหน้ากับทุกอย่างของเขาจริงๆ เธอถึงสัมผัสได้ว่าเขาเป็นบุรุษจริงๆ เป็นชายชาตรีขนานแท้…


นี่รู้สึกประหลาดยิ่งนัก ทำให้เธอรู้สึกว่าตนลบหลู่อีกฝ่าย ทว่าก็แอบเป็นสุขด้วย


ความเป็นสุขนี้เสมือนมีฟองสบู่ถาโถมเบ่งบานอยู่ในใจ ซ้ำยังผุดขึ้นมามากขึ้นเรื่อยๆ


ปลายนิ้วตี้ฝูอีปัดผ่านมุมปากที่หยักน้อยๆ ของเธอ “นี่มีความสุขจนโง่งมไปแล้วหรือ?”


ยากนักที่จะได้เห็นกู้ซีจิ่วไม่ยอกย้อนกลับ เธอเป็นกังวลปัญหาอีกข้อหนึ่งอยู่ “ข้าไม่โดนแผลของท่านใช่ไหม?”


เมื่อครู่ต่อให้เธอตกอยู่ในสภาวะที่ดุเดือดเร่าร้อนเช่นนั้น ก็ยังคงหลีกเลี่ยงบาดแผลเขาอย่างระมัดระวัง เลี่ยงไม่ให้กระทบกระเทือนจนทำให้เขาเจ็บ


ตี้ฝูอีส่ายหน้า “ไม่โดน”


แววตาเขายังคงซัดโหมดั่งคลื่นน้ำวน กอดเธอไว้แน่น ยังคิดจะทำต่อ


กู้ซีจิ่วรีบใช้นิ้วหนึ่งกดริมฝีปากเขาไว้ ดันเขาให้ถอยออกไปครึ่งหนึ่ง “ไม่เอาแล้ว!”


ตี้ฝูอียังคงกักตัวเธอไว้ แววตาคล้ายจะสุมด้วยม่านควันระอุ ถามออกมาตรงๆ “แล้วเมื่อไหร่จะทำได้?”


กู้ซีจิ่วเงียบงัน


ตี้ฝูอีมองเธอ “เด็กน้อย เจ้าเคยบอกว่าเหตุที่ปฏิเสธข้าเป็นเพราะชอบข้าไม่มากพอ…”


ที่นี่เขากำลังรอเธอเรื่องนี้อยู่! กู้ซีจิ่วนึกถึงสิ่งที่สนทนากับเขาตอนความทรงจำยังไม่กลับมา รู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าตัวเธอขายตัวเองเสียแล้ว…


สายตาของเขาประหนึ่งมีรูปลักษณ์จับต้องได้ ยามที่จ้องมองเธอ ทำให้หัวใจเธอเต้นระส่ำ คล้ายจะหายใจไม่ออกด้วย


ท้ายที่สุดแล้วเธอก็เป็นหญิงสาวที่ซื่อตรงคนหนึ่ง ยามที่เธอประหม่า จะชอบเปลี่ยนจากผู้ถูกตอนเป็นฝ่ายไล่ต้อนเอง ดังนั้นเธอจึงยกแขนข้างหนึ่งขึ้น โอบคอเขาไว้ เป่าลมหายใจที่หอมกรุ่นปานดอกกล้วยไม้อยู่ริมหูเขาดั่งภูตสาวเจ้าเสน่ห์ตนหนึ่ง “ยามที่อาการบาดเจ็บของท่านดีขึ้นแล้ว!”


เธอยังจูบลงบนใบหูของเขาทีหนึ่งด้วย “แต่ก่อนที่จะถึงยามนั้น ตอนนี้ท่านต้องเป็นเด็กดีก่อนนะ”


เมื่อเห็นใบหูเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างพบเห็นได้ยาก เธอก็อดใจไม่อยู่งับหูเขาเบาๆ อีกทีหนึ่ง หัวเราะเบาๆ คราหนึ่ง ถึงได้ลุกขึ้นนั่ง หลังจากลุกขึ้นนั่งแล้วถึงพบว่าอาภรณ์บนร่างตนยับยู่ยี่ยิ่งนัก…


เธอรีบจัดการทันที จัดแจงอาภรณ์บนร่างให้เรียบร้อย


เมื่อครู่กอดจูบกันดุเดือดเร่าเร้อนเกินไป เกือบจะก้าวเข้าสู่กองเพลิงจริงๆ แล้ว…


ร่างเขายังมีแผลโชกเลือดอยู่นะ! ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเป็นหมาป่าหางโต คนที่ควรร้องให้หยุดย่อมเป็นเธอ อีกอย่างนี่ก็เป็นภายในรถม้า นอกรถม้ายังมีสี่ทูตอยู่…


ความเคลื่อนไหวภายในรถม้าไม่รู้ว่าข้างนอกจะได้ยินหรือเปล่า?


เธอพยายามทำให้หัวใจที่เต้นระรัวสงบลง หันไปหมายจะพูดอะไรกับเขา “ท่าน…”


เพิ่งจะจั่วหัวออกมาก็ถูกตี้ฝูอีเอ่ยขัดแล้ว “ตอนนี้กล้ารักษาบาดแผลบนขาให้ข้าแล้วกระมัง?”


สายตาของกู้ซีจิ่วกวาดมองบนขาเขาแวบหนึ่ง เห็นส่วนนั่นที่ตั้งชูชันอยู่อย่างไม่อาจหลบเลี่ยงได้ จึงรีบละสายตาไปทันที ไม่กล้ามองไปทางนั้นอีก สูดหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่งและกล่าวว่า “ข้ารู้สึกว่าท่านรักษาด้วยตัวเองจะดีกว่า…ข้า…”


————————————————————————————-


บทที่ 1205 จินตนาการ


เธอรู้สึกว่าถ้าเขาถอดกางเกงออกจริงๆ ผลกระทบต่อสายตาน่าจะใหญ่หลวงเกินไป ไม่อาจสงบใจเย็บแผลให้เขาได้


เธออยากรักษาให้เขาด้วยใจจริง มิใช่ฉวยโอกาสกินเต้าหู้เขา


ตี้ฝูอีไม่พูดอะไรอีก สะบัดแขนเสื้อไปทางด้านล่างคราหนึ่ง ลำแสงสีขาวอ่อนจางวาบผ่าน กางเกงเขาหายไปแล้ว


ด้วยเหตุนี้ กู้ซีจิ่วที่ไม่ทันได้ตั้งตัวในที่สุดก็ได้เห็นสองขาเรียวยาวทรงพลังของเขา จากนั้นก็พบว่าเขาสวมกางเกงชั้นในไว้…


ต่อจากนั้น ความกดดันของกู้ซีจิ่วจึงผ่อนคลายลงทันที เธอพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ เริ่มจัดการบาดแผลบนขาให้เขาอย่างรวดเร็ว ที่ควรใส่ยาก็ใส่ยา ที่ควรเย็บแผลก็เย็บแผล


เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว สุดท้ายกู้ซีจิ่วก็จ้องมองกางเกงในของเขาแวบหนึ่ง ข่มความสงสัยใคร่รู้ไว้ไม่อยู่อีกต่อไป “สิ่งนี้ท่านได้มาจากที่ใด?” คนสมัยโบราณคนหนึ่งสวมกางเกงในของคนยุคปัจจุบันให้ความรู้สึกที่ค่อนข้างพิลึกอยู่บ้าง


น้ำเสียงของตี้ฝูอีเนิบนาบชัดเจน “ให้คนทำขึ้น”


“ท่านรู้จักการสวมสิ่งนี้ได้อย่างไร?” นี่เป็นจุดที่กู้ซีจิ่วฉงนที่สุด


ตี้ฝูอีเอียงคอเพ่งพิศเธอแวบหนึ่ง ยิ้มมิเชิงยิ้ม “เจ้าก็ใส่ไม่ใช่หรือ?”


กู้ซีจิ่วนิ่งงัน เธอเย็บชุดชั้นในไว้ใส่ในยุคนี้ด้วยตัวเองอยู่หลายตัวจริงๆ อย่างไรเสียชาติก่อนก็ใส่จนชินแล้ว


เพียงแต่เรื่องที่เธอสวมสิ่งนี้เขาไม่ควรจะทราบมิใช่หรือ?


เธอไม่ยักกะจำได้ว่าระหว่างเขากับเธอพัฒนากันไปถึงขั้นที่เปิดเปลือยจนเหลือแต่ชุดชั้นในแล้ว…


คงไม่ใช่ว่าเขามีสายตามองทะลุกระมัง?!


ในใจกู้ซีจิ่วพลันหนาวยะเยือก เกิดความรู้สึกหลอนเหมือนตนเปลือยกายล่อนจ้อนอยู่ตรงหน้าเขาขึ้นมา


ตี้ฝูอีหัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่ “จินตนาการถึงข้าว่าอะไรอีก? อันที่จริงข้าเคยเห็นเจ้าใส่ รู้สึกว่ายอดเยี่ยมนัก ดังนั้นจึงทำขึ้นมาสามสี่ตัว”


เขาเรียนรู้ได้ไวเหลือเกิน!


กู้ซีจิ่วตัดสินใจหลีกเลี่ยงประเด็นที่อ่อนไหวข้อนี้ เริ่มถามถึงอาการบาดเจ็บของเขา อยากรู้ว่าสรุปแล้วตรวนสลายวิญญาณพวกนั้นสร้างความเสียหายให้เขามากมายเพียงใด อย่างไรเสียตัวเธอในตอนนั้นก็เคยยินจากโม่เจ้าว่า ต่อให้เป็นเซียน ถูกตรวนสลายวิญญาณชนิดนี้ล่ามไว้สักสิบวันก็สามารถทำให้พลังวิญญาณในร่างสลายหายไปอย่างสิ้นเชิงได้ และตี้ฝูอีถูกล่ามไว้เก้าวันแล้ว ซ้ำยังถูกล่ามไว้หลายเส้นในคราวเดียวด้วย!


ตี้ฝูอีกลับตอบอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “โง่งม ข้าเป็นเทพนะ แตกต่างจากเซียนทั่วไป พลังวิญญาณสูญหายไปไม่น้อยจริงๆ เพียงแต่ไม่ถึงขั้นที่สลายหายไปอย่างสิ้นเชิง…”


กู้ซีจิ่วมองเขา “น่าเสียดายที่ยังคงปล่อยให้โม่เจ้ากับหลงฟั่นหนีไปได้ ท่านคาดการณ์ไว้ก่อนแล้วใช่ไหมว่าพวกเขาจะหนีไปได้?”


ตี้ฝูอีนิ่งไปครู่หนึ่ง เอ่ยขึ้นช้าๆ “ซีจิ่ว โม่เจ้าเป็นมารสวรรค์ เว้นแต่ว่าข้าจะสมบูรณ์พร้อม มิเช่นนั้นคิดจะสังหารเขาให้ตายไม่ใช่เรื่องง่ายเลย อันที่จริงตอนอยู่ในตำหนักใต้ดินเขาแค่ถูกข้าขู่เท่านั้น”


“ว่ายังไงนะ?”


“แผลนั้นเจ้าแทงได้เพียงร่างโคลนนิ่งของเขา ดวงวิญญาณของเขาไม่ได้เสียหายมากมายนัก ยามนั้นหากว่าเขาเดิมพันหมดหน้าตักสละสังขารนั้นทันที จากนั้นก็มาโจมตีข้ากับเจ้า ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ไม่มีใครสามารถต้านไว้ได้ ยามนั้นพลังยุทธ์บนร่างข้ามีไม่ถึงสองส่วน หลังจากสำแดงออกไปสองกระบวนท่าแล้ว อย่าว่าแต่โม่เจ้าเลย ต่อให้เป็นหลงฟั่นก็สามารถเอาชนะข้าได้…”


“ที่แท้ตอนนั้นที่ท่านพิงร่างข้ามิใช้การแสร้งทำ แต่ยืนไม่อยู่จริงๆ ใช่ไหม?”


“ก็มิใช่ว่ายืนไม่อยู่ ยามนั้นข้าต้องถนอมเรี่ยวแรงทุกส่วนไว้เพื่อรับมือกับสถานการณ์ฉุกฉิน และแน่นอนว่าต้องการให้เขาเห็นจริงเป็นเท็จ จินตนาการถึงสิ่งที่ไม่เป็นจริง ทำให้เขาเดากำลังที่เหลืออยู่ของข้าไม่ออก”


กู้ซีจิ่วนึกถึงสถานการณ์ตอนนั้น แผ่นหลังผุดเหงื่อเย็นเฉียบออกมา หากว่าหลงฟั่นกับโม่เจ้าไม่ได้กินแหนงแคลงใจกัน และร่วมมือกันรุกถอย โม่เจ้าไม่ได้ถูกสองกระบวนท่าของตี้ฝูอีขู่ให้กลัว แต่พุ่งเข้ามาสู้ตายโดยตรง…


เช่นนั้นประวัติศาสตร์ของฉากนี้จะถูกเขียนขึ้นใหม่จริงๆ!


————————————————————————————-


บทที่ 1206 สตรีหมกมุ่น!


เพียงแต่การที่ตี้ฝูอีชนะในศึกนี้ก็มิใช่เหรืองเหนือความคาดหมาย เขาชำนาญการจับจุดอ่อนผู้อื่น จับจุดอ่อนในนิสัยของโม่เจ้าได้ ปลุกปั่นให้โม่เจ้ากับหลงฟั่นบาดหมางกัน ‘กลยุทธ์เมืองร้าง’[1] นี้ถึงได้ประสบความสำเร็จ โต้กลับในยามคับขันได้ ทำลายฐานทัพสำคัญของโม่เจ้าได้ราบคาบ และทำให้โม่เจ้าบาดเจ็บสาหัส ก่อเรื่องไม่ได้ไปอีกสิบปี


อย่างเดียวที่ทำให้คนเสียดายคือหลงฟั่นก็หนีไปได้เหมือนกัน! สองคนนั้นนิสัยใจคอไปในทิศทางเดียวกัน วันหน้าหากว่ารวมตัวกันอีกครั้ง ไม่รู้ว่าจะก่อเรื่องอะไรขึ้น


“วางใจเถอะ ถึงแม้หลงฟั่นจะคุ้นเคยกับภูมิประเทศ โชคดีหลบหนีไปในทางลับสายหนึ่งได้ แต่เขาก็บาดเจ็บสาหัสเช่นกัน ทางลับสายนั้นก็เป็นเพราะถูกมู่เฟิงพบเห็นเข้าก่อน ก่อนจะเกิดเรื่องจึงวางกับดักไว้ในทางลับสายนั้น ทางลับสายนั้นกลายเป็นเส้นทางปิดตายแล้ว คาดว่าเขาจะติดอยุ่ในนั้นหนีออกมาไม่ได้”


กู้ซีจิ่วเงียบงัน เอาเถอะ ที่แท้ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนผ่านการใคร่ครวญจากท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้แล้ว


เธอกล่าวชมเชยอย่างจริงใจ “ท่านร้ายกาจเหลือเกิน! เหนือกว่าจูเก๋อเลี่ยงสามคนเสียอีก! เป็นศัตรูกับท่านช่างน่าหดหู่เหลือเกิน!”


ตี้ฝูอียื่นมือออกไป รั้งเธอเข้าสู่อ้อมแขน จูบขมับเธอทีหนึ่ง “เจ้ายังคงฉลาดที่สุด ที่เป็นคนรักของข้า”


กู้ซีจิ่วมองเขาอย่างยิ้มมิเชิงยิ้ม “คนรักหรือ?”


“แน่นอนสิ เพียงแต่ข้ากำลังทุ่มเทเลื่อนขั้นให้เจ้ากลายเป็นภรรยาอยู่ จะว่าไป ซีจิ่ว เมื่อไหร่เจ้าจะแต่งให้ข้าล่ะ?”


กู้ซีจิ่วร้องเฮอะ “นี่ท่านขอข้าแต่งงานอยู่หรือ? แสงเทียนล่ะ? แหวนล่ะ? ดอกไม้ล่ะ?”


ตี้ฝูอีนิ่งงัน


กู้ซีจิ่วย่อมล้อเขาเล่นเท่านั้น ดังนั้นเธอจึงคล้องคอเขาไว้ มอบความหวังให้เขา “รอให้ผมข้ายาวถึงเอว แล้วค่อยแต่งให้ท่านดีไหม?”


ตี้ฝูอีมองผมสั้นกุดเหมือนโดนสุนัขแทะของนาง ถ้าต้องรอให้ผมนี้ยาวจรดบั้นเอว มิต้องรอไปสามปีหรอกหรือ?!


เพียงแต่ขอเพียงเขาฟื้นฟูต่อไปอีกหน่อย คิดจะทำให้ผมนางงอกยาวก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายนัก ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน…


ดังนั้นเขาจึงยิ้มแวบหนึ่ง “ได้!”


พลางลูบกระหม่อมของนาง “หนทางอีกยาวไกล ไร้ใจข่มตานอน ซีจิ่ว มิสู้พวกเรา…”


กู้ซีจิ่วใจเต้นแวบหนึ่ง สังหรณ์ใจในความคลุมเครือของเขาอีกครั้ง บาดเจ็บจนกลายเป็นเช่นนี้แล้วยังไม่วายจะแทะโลมเธออยู่ตลอดเวลาอีก กู้ซีจิ่วดูแคลนยิ่งนัก ตำหนิเขาด้วยสีหน้าจริงจัง “ไม่อนุญาตให้คิดเหลวไหล!”


ตี้ฝูอีตอบอย่างใสซื่อ “คิดเหลวไหลอะไร? ข้าจะบอกว่ามิสู้พวกเรามาฝึกฝนกันเถอะ เหมาะให้ข้าสอนวิชายุทธ์ที่สลายอุปกรณ์ติดตามในร่างเจ้าให้เจ้าได้พอดีเลย”


กู้ซีจิ่วพูดไม่ออก…


ตี้ฝูอีมองนางอีกครั้ง “คงมิใช่ว่าเจ้าคิดไม่ซื่ออยู่กระมัง? สตรีหมกมุ่น!”


กู้ซีจิ่วเอื้อมมือไปหยิบเบาะรองที่อยู่ด้านข้างมาอุดหน้าเขา “เจ้าน่ะสิหมกมุ่น!”


….


หลงฟั่นเดินโซเซอยู่ในทางลับ


เขาถูกสามยอดฝีมือกู่ฉานโม่มู่เฟิงมู่เหล่ยรุมขนาบโจมตี พลังชีวิตเสียไปกว่าครึ่ง ยามที่หนีเข้ามาในทางลับ เขาไม่เพียงแต่ฝีเท้าซวนเซเท่านั้น ยังกระอักเลือดอย่างไม่อาจห้ามได้ด้วย ทำให้เบื้องหน้าของเขามืดมัวเป็นพักๆ


ทางลับสายนี้เป็นหนทางถอยที่เขาทิ้งไว้ให้ตัวเองในยาที่สร้างวังใต้ดินแห่งนี้ขึ้น ทางลับสายนี้เชื่อมต่อกับบ่อลาวาอีกบ่อหนึ่ง ในบ่อลาวามีเรือเหินอัคคีที่สามารถลำหนึ่งที่เดินทางสู่ด้านนอกได้ ขอเพียงเขาหนีไปถึงเรือลำนั้นก็จะปลอดภัยแล้ว


เส้นทางของเรือเหินอัคคีลำนั้นมิใช่เส้นทางเดียวกับเรือเหินอัคคีทั่วๆ ไป ดังนั้นเพียงเขาขึ้นเรือได้ก็สามารถขับเรือหนีออกไปจากเส้นทางลับได้โดยตรง จากนั้นก็หนีไปให้ไกล


เมื่อภัยพิบัติกล้ำกรายต่างแยกย้ายกันโบยบิน เดิมทีหลงฟั่นก็มีนิสัยเย็นชาอยู่แล้ว ประกอบกับระยะนี้โม่เจ้าแคลงใจในตัวเขาหัวใจเขาจึงเย็นชาขึ้นไปอีก ดังนั้นเมื่อเขาเห็นท่าไม่ดีแล้วจึงรีบแวบออกไปทันทีก็ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ


————————————————————————————-


[1]  กลยุทธ์เมืองร้าง เป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่งในเรื่องสามก๊ก นับเป็นหนึ่งในสุดยอดยุทธวิธีถอยทัพที่ได้สร้างชื่อเสียงให้แก่ขงเบ้ง


บทที่ 1207 ไม่อยากมอบเธอให้ผู้อื่นอีก


ทางลับสายนี้ทอดยาวประมาณสี่ถึงห้าร้อยเมตร ถึงแม้เขาบาดเจ็บ ก็วิ่งออกไปได้ในสามถึงสี่นาที ยามนี้ทางออกอยู่เบื้องหน้า เขาโล่งใจและวิ่งต่อไปอีกไม่กี่ก้าว


“พรึบ!” ตาข่ายใหญ่ผืนหนึ่งร่วงหล่นลงมาจากเบื้องบน ทำให้ทางออกถูกปิด


หากไม่ใช่เพราะเขาถอยหลบได้ทันเวลา ตาข่ายใหญ่ผืนนั้นก็จะปกคลุมเขาในทันที!


ตาข่ายผืนนั้นไม่รู้ว่าทำมาจากวัสดุโลหะอันใด ด้านบนล้วนเป็นตะปูเหล็กปลายแหลมถี่ สีเขียวมรกต แค่มองก็รู้ว่ามีพิษร้าย!


เขายิ้มอย่างเย็นชา และไม่ตื่นตระหนก ท่ามกลางความสงสัย เขาควานหาถุงมือคู่หนึ่งขึ้นมาสวมใส่


ถุงมือนี้ฟันแทงไม่เข้า หลังจากที่เขาสวมใส่ถุงมือก็เริ่มฉีกตาข่ายนี้ จากนั้นจึงพบว่า…ฉีกไม่ขาด!


ถึงแม้เขาบาดเจ็บ แต่พละกำลังในตอนนี้ก็เพียงพอที่จะถลกหนังแรด! ไม่เพียงฉีกไม่ขาด แต่ตะปุเหล็กที่ดูเหมือนไม่ได้แหลมคมเป็นพิเศษกลับเจาะทะลุถุงมือเขาคู่นั่นฉีกขาด เป็นรูเล็กๆ ตรงนิ้วมือ


ใบหน้าของเขาพลันเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ ถูกพิษเข้าแล้ว!


เคราะห์ดีที่เขาพกยาถอนพิษหลายชนิดติดตัวมาไม่น้อย เขารีบควานหาและกินไปหลายชนิด


ดีที่หนึ่งในยาถอนพิษนั้นถูกต้องกับอาการ ใบหน้าที่เขียวคล้ำค่อยๆ จางหาย มือที่เดิมทีไม่มีความรู้สึกก็กลับมามีความรู้สึก เขาถอนหายใจหนึ่งเฮือก และยังฮึ่มเสียงเย็นชา


เขาเป็นบุรุษที่เชี่ยวชาญการใช้พิษร้าย ไม่มีผู้ใดในโลกนี้เปรียบได้! พิษที่ร้ายแรงขนาดนี้ก็ถูกเขาถอนพิษได้อย่างง่ายดายไม่ใช่หรือ?


หลังจากถอนพิษ เขาวิเคราะห์ตาข่ายผืนนั้นอีกครั้ง ด้วยความชำนาญทักษะด้านกลไก หลังจากวิเคราะห์อย่างใจเย็นอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็หาปุ่มเปิดตาข่ายผืนนี้เจอ เขามองดูด้วยความดีใจ ขณะกำลังจะไปเปิดก็ได้ยินเสียงก้องดังมาจากพื้นที่ห่างไกล! ผืนดินใต้ฝ่าเท้าสั่นสะเทือน…


และตามด้วยเสียงระเบิดที่ดังกึกก้องดังบุปผาผลิบานรอบด้าน…


สีหน้าเขาแปรเปลี่ยน วังใต้พิภพนี้เขาเป็นคนสร้างมันมา เขาย่อมเข้าใจดีว่าเสียงระเบิดเหล่านี้หมายถึงอะไร โม่เจ้า ไอ้คนเลวนั่นจุดฉนวนทั่วทั้งวังใต้พิภพแล้ว! เขาต้องการฝังทุกคนให้ตายทั้งเป็น!


หลงฟั่นย่อมไม่อยากถูกฝังอยู่ที่นี่ ดังนั้น เขายิ่งพยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อเปิดตาข่ายผืนนั้น


เส้นทางลับที่เขาอยู่ค่อนข้างห่างไกลจากจุดระเบิดเหล่านั้น ยังคงปลอดภัยได้สักสามนาที


หากไม่ต้องทำลายตาข่ายเบื้องหน้านี้ เขาจะหลบหนีออกจากเส้นทางลับ ขึ้นเรือเหินอัคคีนั้นได้ก่อนที่ลาวาจะไหลหลากมาที่นี่


แต่เพราะเขารีบร้อน ยิ่งรีบร้อน มือก็ยิ่งสั่น เมื่อเขาเปิดตาข่ายผืนใหญ่นั้นไม่ได้ ด้านหลังก็มีคลื่นลาวาไหลเข้ามาแล้ว…


ไอระเบิดที่แผดเผานั้นทำให้เขาหายใจไม่ออก เมื่อเปิดตาข่ายผื่นใหญ่นั้นได้ เขาก็สาวเท้ารีบรุดทันใด ในที่สุดก็เห็นสระลาวา แต่ต้องตกตะลึงงงงวยอยู่ตรงนั้น


เรือเหินอัคคีในสระลาวาหายไปแล้ว!


วินาทีนี้ ลาวาในสระลาวาโดนผลกระทบจากระเบิดภายนอก จนล้นขอบสระและรวมตัวกันมาที่ฝ่าเท้าของเขา


ส่วนด้านหลังของเขายังมีคลื่นลาวาอีกระลอกหนึ่งกำลังไหลหลากมา แม้แต่ทางที่จะถอยหลังกลับก็ไม่มีแล้ว!


เขาหลุบตาลง รู้ว่าครั้งนี้ถึงขีดจำกัดของตัวเองจริงๆ แล้ว สังขารนี้ก็มิอาจรักษาไว้ได้แล้วจริงๆ…


ในเมื่อมิอาจหลบหนีได้แล้ว เขาสงบจิตใจลง ยังใช้โอกาสวินาทีสุดท้ายสัมผัสถึงตำแหน่งของกู้ซีจิ่ว เด็กคนนั้นขึ้นเรือเหินอัคคีไปแล้ว ดูเหมือนจะหนีออกไปได้แล้ว


นิ้วมือของเขากระชับแน่น กระตุกริมฝีปากเบาๆ เด็กคนนั้นเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวดังจิ้งจอกน้อย เขาไม่อยากมอบเธอให้ผู้อื่นแล้ว


ต่อไปเขายังมีโอกาสได้พบเจอเธออีก ถึงเธอจะหนีไปจนสุดขอบฟ้า เขาก็ตามหาเธอได้ เพราะเขาไม่เพียงติดตั้งจีพีเอสไว้บนตัวเธอ ยังทำให้เซลล์ประกอบของร่างโคลนนิ่งนั้นเชื่อมโยงกับร่างโคลนนิ่งอีกร่างหนึ่งของเขา…


—————————————————————————


บทที่ 1208 เธอคิดถึงร่างเดิมของตัวเอง…


การเชื่อมโยงนี้ไม่ใช่อุปกรณ์ใดที่ตรวจสอบได้ เป็นเหมือนกระแสจิตพิเศษระหว่างฝาแฝด เขาสามารถใช้กระแสจิตนี้ตามหาเธอได้อีกครั้ง บางทียังอาจตามหาฐานลับที่แท้จริงของตี้ฝูอีได้…


ลาวาถาโถมเข้ามา เขายืนอยู่ตรงนั้นทำได้เพียงเผชิญหน้ากับความตาย หยาดเหงื่อโซมหน้าปล่อยให้ลาวากลืนกินเขาไป…


ร่างกายนี้ของเขามอดม้วย แต่กายจิตของเขาหนีออกไปได้ ทว่าวิธีการเผชิญหน้ากับความตายเช่นนี้ทำให้กายจิตของเขาบาดเจ็บสาหัส เป็นเรื่องยากยิ่งนักที่กายจิตจะต้องทะลวงผ่านลาวาที่ถล่มทลายทั้งหมดนี้…



ผ่านไปหลายวัน ในที่สุด กู้ซีจิ่วได้พบกับร่างเดิมของตัวเองอีกครั้ง


มันอยู่ในโลงผลึกแก้ว หลับตาราวกับกำลังนอนหลับอยู่ เห็นได้ชัดว่า บาดแผลที่หัวใจได้รับการรักษาอย่างดีแล้ว ดูไม่ออกว่าเสื้อคลุมที่สวมใส่มาจากไหนกัน แต่ดูจากผิวพรรณที่เรียบลื่นและเงางามเช่นนี้ ใบหน้าเล็กถึงขั้นแดงระเรื่อ ก็รู้ได้ทันทีว่ามันฟื้นฟูได้อย่างยอดเยี่ยม


โลงผลึกแก้วนี้วางอยู่ที่ตำหนักน้ำแข็งแห่งหนึ่งภายในวังค้ำนภาของตี้ฝูอี


เดิมที ตี้ฝูอีอยากพาเธอกลับไปวังอู๋ถงมรกต ฐานลับที่แท้จริงของเขา แต่กู้ซีจิ่วไม่ยินยอม สัญชาตญาณเธอรู้สึกว่าร่างโคลนนิ่งนี้ของตัวเองมีปัญหา ต่อให้ใช้วรยุทธ์ทำลายอุปกรณ์บอกตำแหน่งนั้นได้ เธอยังคงรู้สึกไม่ค่อยปลอดภัย…


วังอู๋ถงมรกตของตี้ฝูอีเป็นความลับยิ่งนัก และเป็นที่อยู่อาศัยของเทพศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน ไม่มีคนภายนอกล่วงรู้มาก่อน สถานที่ลับขนาดนั้น กู้ซีจิ่วไม่ต้องการพาร่างที่ไม่ปลอดภัยเช่นนี้ไป ดังนั้น เธอจึงเสนอให้กลับวังของเขาในฐานะทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก่อน ถึงแล้วค่อยว่ากัน


ตี้ฝูอีกหลุบตาลงเล็กน้อย และไม่รู้ว่าคิดอะไรจึงยินดีตอบตกลง ดังนั้น จึงเปลี่ยนเส้นทางไปยังอาณาจักรเฟยซิง กลับวังค้ำนภา


อาณาจักเฟยซิงเพิ่งเปลี่ยนองค์จักรพรรดิใหม่ หรงเจียหลัวเพิ่งสืบทอดราชบัลลังก์ เรื่องราวยุ่งยากซับซ้อนต่างรอเขาไปจัดการ ทว่าเมื่อได้ยินว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายกลับอาณาจักรจึงมาเยี่ยมเยียนสักครั้ง


ตี้ฝูอีเป็นพวกซึนเดเระ ร่างกายของเขาตอนนี้ไม่สู้ดี ไม่ประสงค์รับแขก จึงให้สานุศิษย์ปฏิเสธไป ไม่ให้หลงเจียหลัวเข้าแม้แต่ประตูใหญ่ หลงเจียหลัวจึงทำได้แค่กลับไปอย่างไม่พอใจ


แน่นอนว่า กู้เซี่ยเทียน พ่อของกู้ซีจิ่วในชาตินี้ที่ไม่รู้ว่าไปรับข่าวสารมาจากไหน ว่ากู้ซีจิ่วก็อยู่ที่วังค้ำนภา ตั้งใจมาเยี่ยมเยียนอย่างเป็นทางการ ปรารถนาที่จะได้พบลูกสาวที่หายสาบสูญเป็นเวลานาน เขายิ่งเลวร้ายกว่า ถูกยามเฝ้าประตูของวังค้ำนภาปฏิเสธไปโดยที่ไม่ได้เข้าไปรายงานแม้แต่น้อย…


หลังจากที่กู้ซีจิ่วมาถึงวังค้ำนภา ตี้ฝูอีส่งสาวใช้มารับใช้นางสี่คน ให้นางพักผ่อนก่อน


อย่างไรเสีย นางพยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อกำจัดอุปกรณ์บอกตำแหน่งนั้น เหนื่อยล้าอ่อนแรงยิ่งนัก ควรจะพักผ่อนให้มากก่อนแล้วค่อยหารือกันต่อ


กู้ซีจิ่วว้าวุ่นในใจ เธอคิดถึงร่างเดิมของตัวเอง…


ดังนั้น หลังจากหลับไปตื่นหนึ่งก็รีบไปหาตี้ฝูอี เพื่อถามดูว่าร่างเดิมของตัวเองนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ยังถูกอูอู๋เหยียนยึดครองอยู่หรือไม่


ผลลัพธ์คือตี้ฝูอีกำลังกักตนอยู่ในสถานะที่ไม่อาจรบกวนได้ ดังนั้นเธอจึงออกไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้รอบหนึ่ง จากนั้นก็ได้พบกับเจ้าหอยยักษ์…


เจ้าหอยยักษ์น่าจะกำลังคลายความเบื่อหน่ายภายในสวนดอกไม้ วินาทีที่มองเห็นกู้ซีจิ่ว มันกระโจนเข้าหาดังลูกกระสุนปืนใหญ่ หยุดห่างจากเธอไปหนึ่งจั้ง ตัวน้อยภายในเจ้าหอยยักษ์จ้องมองเธอน้ำตาเอ่อล้น “นาย…นายท่าน!”


กู้ซีจิ่วคาดไม่ถึงว่าจะเจอมันที่นี่ ตอนแรกที่เธอออกมาทำภารกิจกับอิงเหยียนนั่ว เนื่องจากกลัวว่าพาสัตว์เลี้ยงวิญญาณสามตัวไปด้วยจะโจ่งแจ้งเกินไป ดังนั้นเธอจึงให้พวกมันอยู่ที่สำนักชุมนุมสวรรค์ ทั้งสามตัวฝึกฝนที่เขาลูกนั้น ยามที่กู้ซีจิ่วออกมายังบอกลาพวกมัน ทำกับข้าวให้ทั้งสามตัวกินมื้อหนึ่ง


———————————————————————-


บทที่ 1209 เธอคิดถึงร่างเดิมของเธอ 2


ทั้งๆ ที่ไม่ได้พบเจอกันแค่ยี่สิบกว่าวัน ความรู้สึกของกู้ซีจิ่วกลับเหมือนผ่านไปนานมาก วันนี้ได้เจอกันอีกครั้งย่อมอบอุ่นใจเป็นพิเศษ ดังนั้นเธอจึงโบกมือไปทางมัน “เจ้าหอยยักษ์ เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? มานี่สิ ให้ข้าดูเจ้าหน่อย”


เจ้าหอยยักษ์ร้องดีใจ กลิ้งมาตรงหน้าเธอทันใด พยายามเอาเปลือกหอยลูบไล้ที่ชายเสื้อเธอ “นายท่าน นายท่าน ท่านเปลี่ยนร่างอีกแล้วหรือ ร่างนี้ช่างสวยงามยิ่งนัก! ฮือๆๆๆ พวกข้าปกป้องร่างกายนั้นของท่านมาตลอด ยังคิดว่าท่านตายไปแล้วจริงๆ…”


กู้ซีจิ่วนิ่งอึ้ง


“พวกเจ้าปกป้องร่างนั้นของข้า? อยู่ที่ไหน?”


“อยู่ในตำหนักน้ำแข็งตรงนั้น หลังจากทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายส่งคนไปรับพวกข้ามา ก็ให้พวกข้าอยู่ภายในตำหนักน้ำแข็งนั้น ปกป้องร่างของท่านเป็นอย่างดี ลู่อู๋ทำให้พลังชีวิตในร่างกายไม่สลายไป ข้าทำให้ศพไม่เน่าเปื่อยได้เป็นเวลานาน ร่างนั้นของท่านถูกพวกข้าปกป้องรักษาไว้ราวกับมีชีวิตอยู่ แค่เพียงไม่มีลมหายใจนั้น…” เจ้าหอยยักษ์บอกเล่าเหตุการณ์และถือโอกาสแสดงความสามารถ


กู้ซีจิ่วไม่พูดพร่ำทำเพลงลากมันไป “พาข้าไปดูหน่อย”


ในที่สุดกู้ซีจิ่วจึงได้พบร่างเล็กนั้นของตัวเองแล้ว


เธอใช้ร่างกายนั้นยังไม่ถึงสามปี และใช้มันด้วยความรู้สึกอันลึกซึ้ง ก่อนหน้าที่อยู่ในร่างนั้นมาตลอดไม่รู้สึกว่ามีอะไร ตอนนี้มองดูมันจากมุมมองของคนนอกเยี่ยงนี้ เธอกลับรู้สึกแปลกในใจ เหมือนใกล้ชิดแต่ก็เหมือนไม่ค่อยสนิทสนม


ตอนที่เธอมาก็มองเห็น ลู่อู๋น้อยย่อตัวนั่งลงอยู่ด้านบนของโลงผลึกแก้ว สายตากลมโตคู่นั่นมีอารมณ์อ่อนไหว ราวกับมะเขือที่ถูกทุบด้วยน้ำค้างแข็ง[1] จ้องมองร่างกายในโลง…


จนกระทั่งกู้ซีจิ่วเดินเข้ามาเรียกมัน หลังจากที่มันจำเธอได้ พริบตาเดียวก็ตื่นตัวดังเติมเต็มพลังชีวิต กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง!


กระโจนเข้าไปในอ้อมกอดร้องแง้วๆ แอ้วๆ ไม่หยุดหย่อน พยายามถูๆ ไถๆ หัวที่หน้าอกเธอ ไม่รู้ว่าควรจะใกล้ชิดอย่างไรดีจึงจะแสดงออกถึงความดีใจของมันได้ เดิมทีเพรียกวายุนอนคว่ำอยู่ด้านข้าง ตอนนี้ก็วิ่งเข้ามาใช้ลิ้นเลียเสื้อผ้าของกู้ซีจิ่วไม่หยุด…


นี่คือการต้อนรับที่แสนอบอุ่นจริงๆ กู้ซีจิ่วรู้สึกตื้นตันใจ ลูบหัวเพรียกวายุ จัดแจงขนของลู่อู๋น้อย เปลือกกลมของเจ้าหอยยักษ์แทรกตัวเข้ามาไม่ได้ หนีบชายเสื้อด้านหลังของเธออย่างรีบร้อนอยู่ตลอด…


ทั้งสามตัวนี้อยู่ที่สำนักชุมนุมสวรรค์เกือบสองปี เจ้าหอยยักษ์กับเพรียกวายุเปลี่ยนไปไม่มาก แต่ลู่อู๋น้อยกลับเปลี่ยนไปไม่น้อย ขนาดใหญ่ขึ้นมาอีกเท่าตัว เดิมทียังเข้าไปอยู่ในชายเสื้อของกู้ซีจิ่วได้อย่างสบาย ตอนนี้มันเหมือนแมวใหญ่ตัวหนึ่ง หนักอึ้งเมื่อนอนคว่ำบนแขนของกู้ซีจิ่ว


ทั้งสามตัวรายล้อมรอบกายกู้ซีจิ่ว แต่ละตัวทำตัวน่ารักแสดงถึงความใกล้ชิดสนิทสนม กู้ซีจิ่วเงยหน้าขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ มองเห็นภายในโลงผลึกแก้วมีลำแสงเจ็ดสีสาดส่อง แสงหลากสีนั้นสวยงามแกว่งไกว แทบจะทำให้คนตาบอดได้เลยทีเดียว


กู้ซีจิ่วถูกแสงหลากสีนั้นดึงดูดไป จากนั้นเธอก็มองเห็นหยกนภา…


มันไม่ได้เป็นวงสีดำหมึกอีกต่อไป แต่เป็นรูปลักษณ์เดิมของลูกปัดหลากสีร้อยเรียง ยังสวมไว้ที่ข้อมือของร่างในโลงด้วยความรู้สึกของการมีตัวตนอยู่


กู้ซีจิ่วค่อนข้างประหลาดใจ หยกนภาเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระเสรี เจ้าของที่รู้จักทั้งหมดก็คือกายจิตของเธอ เวลานี้มันมองเห็นตัวเธอแล้วกลับไม่กระโจนเข้าหา และยังหมุนวนอยู่บนข้อมือนั้น


เธอก้าวเดินไป ใช้นิ้วมือเคาะหยกนั้น “เสี่ยวชาง!”


หยกนภาสาดแสง จากนั้นก็ไม่มีการตอบสนองใดอีกแล้ว


เกิดอะไรขึ้น?


โกรธงั้นรึ?


หรือว่ามีปัญหาอะไร?


กู้ซีจิ่วจึงเคาะมันอีก “เป็นอะไร? ถูกขังไว้ด้านบนลงมาไม่ได้แล้วหรืออย่างไร?”


เป็นไปได้อย่างไร?!


หยกนภาบินออกมาจากโลงผลึกแก้วเสียงดังพรึบ หมุนวนรอบตัวกู้ซีจิ่วหนึ่งรอบใหญ่


————————————————————————————-


บทที่ 1210 เป็นเพราะการสลับร่างนั่นเอง!


หยกนภาบินออกมาจากโลงผลึกแก้วเสียงดังพรึบ หมุนวนรอบตัวกู้ซีจิ่วหนึ่งรอบใหญ่ จากนั้นบินกลับไปหมุนวนรอบข้อมือร่างนั้นใหม่และยังเปล่งแสงอีกครั้ง ปรากฏเป็นลำแสงละลานตายิ่งกว่าสายรุ้ง


กู้ซีจิ่วนิ่งอึ้ง


แค่ไม่เจอกันสิบกว่าวัน เจ้าก็ไม่เป็นมิตรขนาดนี้แล้ว


หรือว่ามันกำลังหึงหวง?


กู้ซีจิ่วตัดสินใจไม่สนใจมันก่อนชั่วขณะ สายตาร่อนลงที่กำไลคู่บุพเพวงนั้น หยุดชะงักครู่หนึ่ง


เดิมที กำไลคู่บุพเพนั้นสวยงามมาก ชุ่มชื้นและโปร่งใส ดังหยกม่วง ตอนนี้กลับกลายเป็นวงเทาหม่น หมองมัวประหนึ่งกำไลหิน


กู้ซีจิ่วหวงแหนกำไลวงนี้ยิ่งนัก สวมใส่อย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ กลัวจะไปโดนอะไรแตกเข้า เธอจะเอามันไปเก็บไว้ในสถานที่สำคัญนานแล้วหากไม่ใช่เพราะถอดไม่ได้ ตอนนี้เห็นมันเปลี่ยนไปเป็นแบบนี้ เธอย่อมปวดร้าวจิตใจ ดังนั้น เธอจึงเอ่ยถามหยกนภา


ตอนแรกหยกนภาดูเหมือนจะไม่อยากสนใจเธอ กู้ซีจิ่วถามมันสองครั้งมันก็ไม่ตอบ


กู้ซีจิ่วขมวดคิ้วเล็กน้อย เจ้านี่หึงหวงมากเกินไปแล้วนะ…


เธอหันกายเตรียมจะไปหาและถามตี้ฝูอี เพิ่งจะหันกายไป ข้อมือพลันเย็นยาบ หยกนภาเกลียววนขึ้นมา สาดแสงระยิบระยับไม่หยุดหย่อน แต่ไม่มีการตอบโต้อันใดในหัวของกู้ซีจิ่ว


ครั้งนี้ กู้ซีจิ่วประหลาดใจจริงๆ หยกนภาสื่อสารกับเธอผ่านกระแสจิตมาโดยตลอด มันตอบโต้ได้ในหัวของเธอ แต่ครั้งนี้มันเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ตัวเองกลับไม่อาจรับรู้ได้…


หรือว่าเป็นเพราะการสลับร่าง?


“เสี่ยวชาง เจ้าติดต่อได้เพียงกับคนที่เป็นเจ้าของร่างนี้เท่านั้นใช่หรือไม่?


กู้ซีจิ่วถามข้อสงสัยของตัวเองออกมา เพราะเธอสัมผัสไม่ได้ถึงการมีตัวตนของหยกนภา ดังนั้นเธอจึงให้สองตัวเลือกแก่หยกนภา หากเธอพูดถูกให้มันเปล่งแสงหนึ่งครั้ง หากเธอทายไม่ถูกต้องให้มันเปล่งแสงสองครั้ง


สุดท้ายแล้ว หยกนภาเปล่งแสงหนึ่งครั้งอย่างที่คิด


เป็นเพราะการสลับร่างนั่นเอง!


ดูเหมือนว่าหากไม่สลับร่างกลับไป ไม่เพียงแต่กำไลคู่บุพเพจะถอดออกมาไม่ได้ แม้แต่หยกนภาก็ไม่มีทางติดต่อกับเธอได้แล้ว!


เธอสูดลมหายใจเข้าเบาๆ ตัดสินใจไปหาตี้ฝูอีหารือเรื่องการสลับร่าง เขาควรจะมีวิธี!


เธอรู้ว่าเขาไม่เห็นด้วยเรื่องที่เธอจะสลับร่างกลับคืน แต่เธอรู้สึกว่าหากไม่สลับร่าง มันมีข้อเสียมากเกินไปแล้ว เธอต้องไปคุยกับเขาเรื่องเหล่านี้


สถานที่ที่ตี้ฝูอีกักตนอยู่ก็คือห้องภายในตำหนักผลึกแก้วใจกลางวังค้ำนภา


ทว่าเมื่อถึงที่นั้นแล้วก็ถูกมู่เฟิงสกัดไว้ ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายบอกไว้ว่าครั้งนี้เขาต้องกักตนสามวัน ภายในสามวันนี้ให้เธอเป็นเด็กดีอยู่ในวังค้ำนภา รอเขาออกจากการกักตนเมื่อใดค่อยพาเธอออกไปเที่ยวเล่น


ลึกๆ แล้วกู้ซีจิ่วรู้สึกว่าตี้ฝูอีหว่านล้อมเธอเหมือนเป็นเด็กน้อย ขอแค่ไม่ดื้อไม่ซน เป็นเด็กดีเล่นอยู่บ้าน พอผู้ใหญ่กลับมาก็จะซื้อขนมมาฝาก…


เธอมองไปที่ตำหนักผลึกแก้วนั้นแวบหนึ่ง ตำหนักนั้นถึงแม้ทำมาจากผลึกแก้ว แต่กำแพงตัวตำหนักน่าจะหนาเกินไป ไม่โปร่งใส ดังนั้น จึงมองไม่เห็นว่าด้านในมีลักษณะอย่างไร และย่อมมองไม่เห็นว่าตี้ฝูอีด้านในนั่งสมาธิอย่างไร


มู่เฟิงเห็นนางมองไปภายในตำหนักก็อดไม่ได้ที่จะอยากหัวเราะ เดิมทีแม่นางกู้ผู้นี้เป็นเหมือนดังนกอินทรีที่ไม่ยินยอมรับการผูกมัดใดๆ หากผูกมัดนางแค่เพียงเล็กน้อยก็จะมีการตอบสนองที่รุนแรง ตอนนี้กลับปรารถนาจะอยู่ข้างกายทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตลอดเวลา ที่แท้ เสน่ห์ของนายท่านของเขาไม่มีผู้ใดต้านทานได้ หญิงสาวที่ดื้อรั้นอยู่กับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายนี้ก็แปรเปลี่ยนเป็นนุ่มนวลอ่อนพันรอบนิ้วมือ


เขามองกู้ซีจิ่วหันกายจะเดินจากไป จึงรีบบอกอีกประโยคหนึ่ง “นายท่านบอกว่าให้แม่นางฝึกฝนวิชาพลังปัญญาที่เขาสอน บอกว่ามันมีประโยชน์ต่อแม่นางมาก”


กู้ซีจิ่วพยักหน้าแล้วหันกายเดินจากไป


————————————————————————————-


[1] มะเขือที่ถูกทุบด้วยน้ำค้างแข็ง สุภาษิต เปรียบเปรย ความรู้สึกท้อแท้ เหงาหงอย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)