เทพปีศาจหวนคืน 1200-1205

 เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1200 วิญญาณอมตะลมหายใจมังกร


แปลโดย iPAT 


“ถูกต้อง นี่คือข้อได้เปรียบของข้า จากนี้ไปข้าจะทุ่มเทความพยายามอย่างเต็มที่!”


“ข้าจะใช้สิ่งนี้เพิ่มความเร็วในการบ่มเพาะของตนเอง”


“ด้วยวิธีนี้ข้าจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ นิกายจะต้องการข้ามากขึ้น เมื่อข้าบรรลุระดับเดียวกับผู้อาวุโสฟางหยวน แต้มผลงานทั้งหมดของนิกายจะเป็นของข้าเพียงผู้เดียว!”


“ผมที่สิบสอง เจ้าต้องทำงานหนักต่อไปและก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด!”


เจตจำนงแห่งการต่อสู้ของผมที่สิบสองพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง


ในขณะที่เขานึกถึงฟางหยวน เขามองไปยังชื่อแรกที่อยู่ในตารางผลงานของนิกายหลางหยาโดยไม่รู้ตัว


เมื่อพันธมิตรสี่เผ่าพันธุ์ถือกำเนิดขึ้น ฟางหยวนได้รับแต้มผลงานหนึ่งพันแต้มและทำให้ผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนรู้สึกอิจฉา


แต่ไม่นานมานี้ฟางหยวนสร้างภารกิจหลอมรวมวิญญาณและใช้จ่ายแต้มผลงานไปมากมาย นั่นทำให้แต้มผลงานของเขาลดลงอย่างต่อเนื่อง


ชื่อของฟางหยวนยังอยู่ในอันดับแรกแต่ช่องว่างระหว่างเขากับผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนคนอื่นๆก็ลดน้อยลงเรื่อยๆ


ผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนส่วนใหญ่กำลังรอเวลาที่จะก้าวข้ามฟางหยวน


ฟางหยวนเป็นผู้อมตะเผ่ามนุษย์ที่มีพลังการต่อสู้ระดับแปด หากชื่อของผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนคนใดก้าวนำชื่อของฟางหยวน พวกเขาจะรู้สึกว่าตนเองมีความพิเศษ


มันจะเป็นช่วงเวลาแห่งความรุ่งโรจน์ของพวกเขา


อย่างไรก็ตามในช่วงเวลาต่อมาร่างกายของผมที่สิบสองกลับกลายเป็นแข็งทื่อ


เขาหยุดนิ่งราวกับรูปปั้นหินเพราะตัวเลขที่อยู่ด้านหลังชื่อของฟางหยวน


‘มากกว่าหนึ่งหมื่นห้าพันแต้ม! นี่เป็นไปได้อย่างไร!?’ ผมที่สิบสองรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ


ตั้งแต่นิกายหลางหยาก่อตั้งขึ้น นี่เป็นตัวเลขที่สูงที่สุด


เหลือเชื่อ!


มันคือประวัติการณ์!


หัวใจของผมที่สิบสองสั่นสะท้านขึ้นอย่างรุนแรงแต่ฉากต่อมายิ่งทำให้เขาตกใจมากขึ้น


แต้มผลงานของฟางหยวนยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ!


หนึ่งหมื่นห้าพัน หนึ่งหมื่นแปดพัน สองหมื่น สามหมื่น ห้าหมื่น หกหมื่น…


บ้าไปแล้ว!


“ทะลุ…แปดหมื่น!” ผมที่สิบสองตะลึง สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือแต้มผลงานของฟางหยวนยังไม่มีวี่แววว่าจะหยุดเพิ่มขึ้น!


แต่เมื่อถึงเก้าหมื่นแต้ม แต้มผลงานของฟางหยวนก็ลดลงมากกว่าเจ็ดหมื่นแต้มอย่างกะทันหัน


“เกิดสิ่งใดขึ้น!?”


“ข้าตาฝาดงั้นหรือ?”


“หรือมันคือความฝัน?”


“อา…ไม่!”


ทันใดนั้นร่างกายของผมมี่สิบสองพลันสั่นสะท้านขึ้น เขาตระหนักถึงบางสิ่ง


“แต้มผลงานเจ็ดหมื่นแต้มหายไปอย่างกะทันหัน นี่หมายความว่าฟางหยวนใช้มันแลกเปลี่ยนกับวิญญาณอมตะบางดวง เขาไม่ได้แลกเปลี่ยนวิญญาณอมตะทาสสัตว์อสูรของข้าใช่หรือไม่?”


ผมที่สิบสองรีบตรวจสอบข้อมูล


หลังจากตรวจสอบ เขาจึงสามารถพ่นลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก “เขาไม่ได้แลกเปลี่ยนวิญญาณอมตะทาสสัตว์อสูรแต่เป็นวิญญาณอมตะระดับเจ็ดดวงหนึ่ง มันเป็นสิ่งที่ดีตราบเท่าที่มันไม่ใช่วิญญาณอมตะทาสสัตว์อสูร”


ผมที่สิบสองหมดสติไปหลังจากนั้น


เขาได้รับบาดเจ็บจากการหลอมรวมวิญญาณ อารมณ์ที่ปะทุขึ้นอย่างกะทันหันทำให้เขาหมดสติหลังจากผ่อนคลายลง


เมื่อบรรลุเป้าหมาย ฟางหยวนกลับไปยังเมืองเมฆาของเขา


ในห้องลับ ฟางหยวนนำวิญญาณอมตะดวงใหม่ออกมา


มันดูคล้ายกลุ่มเมฆหมอกสีม่วงอ่อนที่อยู่ในรูปลักษณ์ของมังกร


วิญญาณอมตะระดับเจ็ด ลมหายใจมังกร!


ฟางหยวนเลือกท่าไม้ตายอมตะเปลี่ยนเป็นมังกรดาบเพราะในคลังสมบัติของนิกายหลางหยามีวิญญาณอมตะดวงนี้


เพื่อแลกเปลี่ยนกับมัน ฟางหยวนต้องขายดวงวิญญาณของผู้อมตะทั้งหมดพร้อมกับข้อมูลการบ่มเพาะจำนวนมากที่เขาได้รับจากการค้นวิญญาณ


โดยธรรมชาติฟางหยวนเก็บข้อมูลบางส่วนเอาไว้ ตัวอย่างเช่นข้อมูลบนเส้นทางแห่งปัญญาของตงฟางชางฟาน ข้อมูลเกี่ยวกับมรดกของไห่ฟาน และอื่นๆ


สิ่งเหล่านี้ทำให้แต้มผลงานของฟางหยวนบบรรลุถึงระดับเก้าหมื่นแต้ม ในอนาคตอันใกล้เป็นเรื่องยากที่ฟางหยวนจะได้รับแต้มผลงานระดับนี้อีก


ฟางหยวนใช้แต้มผลงานเจ็ดหมื่นแต้มแลกกับวิญญาณอมตะระดับเจ็ดลมหายใจมังกร


แม้แต้มผลงานของเขาจะลดลงแต่ชื่อของเขายังอยู่บนจุดสูงสุดของตารางผลงาน


ผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนที่อยู่ในอันดับสองมีแต้มผลงานหลักพันแต้มเท่านั้น


นี่เป็นช่องว่างขนาดใหญ่


ตำแหน่งของฟางหยวนมั่นคงราวกับภูผา


แน่นอนว่าฟางหยวนไม่สนใจเรื่องเหล่านี้


นอกจากนั้นเขายังไม่รู้ว่าผมที่สิบสองได้ร้บผลกระทบอย่างมากจากเหตุการณ์นี้และกระทั่งหมดสติไป


ไม่ใช่ทุกคนในแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาที่จะสามารถแลกเปลี่ยนวิญญาณอมตะ โดยเฉพาะวิญญาณอมตะทาสสัตว์อสูร จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาเก็บมันไว้ให้กับผมที่สิบสองโดยเฉพาะ


แม้ฟางหยวนจะต้องการแลกเปลี่ยนมัน เขาก็ไม่สามารถทำได้


นอกจากนี้วิญญาณบัวสวรรค์อมตะก็ไม่สามารถแลกเปลี่ยนเช่นกัน


เดิมทีวิญญาณอมตะระดับแปดดวงนี้เป็นของเทพอมตะบัวสวรรค์ แต่ต่อมามันถูกหลอมรวมขึ้นใหม่โดยบรรพชนผมยาวและถูกรวมเข้ากับคฤหาสน์วิญญาณอมตะหม้อหลอมรวมของแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา


แม้นิกายเงาจะสามารถฉกชิงบางส่วนของคฤหาสน์วิญญาณอมตะหม้อหลอมรวม แต่วิญญาณบัวสวรรค์อมตะยังอยู่


สิ่งสำคัญก็คือมันไม่คุ้มค่าที่จะจ่ายด้วยราคามหาศาลเพื่อแลกเปลี่ยนกับมัน


ฟางหยวนใช้เวลาพอสมควรก่อนที่จะสามารถผสานวิญญาณอมตะลมหายใจมังกรระดับเจ็ดเข้าไปในท่าไม้ตายอมตะเปลี่ยนเป็นมังกรดาบ


วิญญาณอมตะลมหายใจมังกรมีความเกี่ยวข้องกับท่าไม้ตายอมตะเปลี่ยนเป็นมังกรดาบโดยธรรมชาติ ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะหลอมรวมกัน


ยิ่งไปกว่านั้นฟางหยวนยังเป็นปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง


ด้วยการคงอยู่ของวิญญาณอมตะลมหายใจมังกร ฟางหยวนจึงไม่ต้องการวิญญาณลมหายใจมังกรระดับมนุษย์อีกต่อไป


เช่นเดียวกับท่าไม้ตายบนเส้นทางแห่งกาลเวลาของไห่ฟาน ด้วยการคงอยู่ของวิญญาณปีอมตะ ฟางหยวนไม่จำเป็นต้องพึ่งพาวิญญาณปีระดับมนุษย์อีก


วิญญาณอมตะจะทำให้ทุกอย่างสะดวกสบายมากขึ้น


นอกจากนั้นมันยังลดความยุ่งยากในการกระตุ้นใช้งานท่าไม้ตายอีกด้วย


สิ่งสำคัญที่สุดคือพลังอำนาจของท่าไม้ตายจะพุ่งสูงขึ้นอีกมาก!


ฟางหยวนสูดหายใจลึกก่อนจะเปลี่ยนร่างเป็นมังกรดาบอีกครั้ง


แสงสีเงินพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า


เพียงสิ่งนี้ฟางหยวนก็ตระหนักแล้วว่าพลังอำนาจของมังกรดาบเพิ่มขึ้นหลายเท่า


มังกรดาบปรากฏตัวขึ้น ตอนนี้ร่างกายของมันมีขนาดใหญ่ขึ้นสองเท่า


ดวงตาของมันยังเป็นสีขาว เกล็ดของมันใหญ่และหนาขึ้น เดิมทีมันเป็นมังกรสองกรงเล็บ แต่ตอนนี้มันกลายเป็นมังกรสี่กรงเล็บ เขาของมันยื่นออกมาและพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า


ฟางหยวนตรวจสอบและตระหนักว่าคุณภาพของมันเพิ่มสูงขึ้นในทุกแง่มุม


‘หลังจากเพิ่มวิญญาณอมตะลมหายใจมังกรระดับเจ็ดเข้าไป ตอนนี้มันกลายเป็นมังกรดาบบรรพกาลไปแล้ว’ ฟางหยวนประเมิน


ด้วยวิธีนี้ท่าไม้ตายอมตะเปลี่ยนเป็นมังกรดาบจึงเพียงพอที่จะใช้ในงานประลองทุ่งโลหิต


มังกรดาบบรรพกาลในปัจจุบันสามารถเทียบเคียงกับผู้อมตะระดับเจ็ด


ส่วนถัดไปเป็นสิ่งสำคัญที่สุด


ฟางหยวนรู้สึกประหม่าเล็กน้อยอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยง


เขายืดร่างมังกรออกเบาๆและบินไปที่ผลึกหมึกดำก้อนใหม่


ลมหายใจมังกร!


ฟางหยวนเปิดปากและพ่นลมหายใจออกไป


แสงดาบสีขาวบริสุทธ์พุ่งออกมาและตัดผลึกหมึกดำออกเป็นสองส่วนในเสี้ยวพริบตา


นอกจากนั้นแสงดาบยังเหลือพลังอำนาจเพียงพอที่จะทำลายห้องลับทั้งหมด


เมืองเมฆาของฟางหยวนเกิดการสั่นสะเทือนขึ้นอย่างรุนแรง


‘ลมหายใจมังกรสามารถตัดผลึกหมึกดำได้อย่างง่ายดายและยังมีพลังเหลืออยู่เล็กน้อย’ ความสุขปรากฏขึ้นในดวงตาของมังกรดาบบรรพกาล


ฟางหยวนปล่อยพลังออกมาเพียงเล็กน้อยแต่สภาพแวดล้อมรอบตัวเขากลับไม่สามารถรับมือ


เมืองเมฆาเป็นคฤหาสน์วิญญาณระดับมนุษย์ แน่นอนว่ามันไม่สามารถต่อต้านลมหายใจมังกรดาบบรรพกาล


องุ่นเขียวอมตะยังถูกใช้จ่ายอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษารูปลักษณ์ของมังกรดาบบรรพกาลเอาไว้


เห็นได้ชัดว่ามันมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นหลายเท่า


ที่ใดมีกำไร ที่นั่นย่อมมีขาดทุน


ท้ายที่สุดแล้ววิญญาณอมตะลมหายใจมังกรก็เป็นวิญญาณอมตะระดับเจ็ด มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดเหตุการณ์นี้


‘ข้าไม่สามารถฝึกฝนอยู่ในเมืองเมฆาอีกต่อไป แดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยามีผู้สังเกตการณ์อยู่มากมาย แต่หากข้าออกจากแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา ข้าจะดึงดูดความสนใจของเจตจำนงสวรรค์’


‘ดูเหมือนข้าต้องวางมิติช่องว่างจักรพรรดิลงและทดสอบขีดจำกัดของท่าไม้ตายนี้’


‘ลมหายใจมังกรที่ข้าส่งออกไปก่อนหน้าบรรลุระดับเจ็ดแล้ว ผลลัพธ์ของมันโดดเด่นมาก แต่มันจะมีพลังอำนาจถึงระดับใดหากข้าใช้ท่าไม้ตายอมตะดาบประหารชีวิต ท่าไม้ตายอมตะลอบสังหารในความมืด หรือท่าไม้ตายอมตะคลื่นดาบสามชั้นด้วยร่างมังกรดาบบรรพกาล?’


ฟางหยวนเต็มไปด้วยความคาดหวัง


เขาบินออกจากเมืองเมฆาทันที


‘ฟางหยวนออกไปแล้ว เขาแลกเปลี่ยนวิญญาณอมตะลมหายใจมังกรเพื่อสิ่งใด?’ ผมที่หกลอบตรวจสอบฟางหยวนอย่างใกล้ชิดกระทั่งฟางหยวนกระตุ้นใช้ค่ายกลวิญญาณขนส่งและหายตัวไป ณ จุดนั้น


หลังจากผมที่หกเรียนรู้เกี่ยวกับแต้มผลงานของฟางหยวน เขารู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก


ความเร็วในการพัฒนาของฟางหยวนเกินความคาดหมายของเขาอีกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นเขายังไม่รู้ว่าฟางหยวนจะเติบโตไปในทิศทางใด


‘ฟางหยวนจะไม่แลกเปลี่ยนวิญญาณอมตะหากมันไม่มีประโยชน์ต่อเขา ไม่ ข้าต้องรายงานเรื่องนี้กับท่านอิงอู๋เซี่ยโดยเร็วที่สุด!’ ผมที่หกเต็มไปด้วยความกังวล


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1201 เย่หลิวชุนซิง


แปลโดย iPAT 


แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาจากท้องฟ้าของภาคเหนือโดยปราศจากเมฆ


อย่างไรก็ตามที่ทุ่งโลหิต แสงดาวจำนวนมากกลับส่องประกายระยิบระยับอยู่กลางอากาศ


วังตะวันตกลอยอยู่บนท้องฟ้าอย่างเงียบๆ ไม่ว่าภายนอกจะเกิดสิ่งใดขึ้น แต่มันยังดูยิ่งใหญ่มั่นคงและไม่ขยับเขยื้อน


ในทางตรงข้ามฝ่ายของชูตู๋ยืนอยู่บนก้อนเมฆและแสดงออกด้วยใบหน้าที่ไม่น่ามอง


ชูตู๋ยังสงบนิ่งและมองไปที่สนามรบ


‘หวังอู๋หมิงกำลังจะแพ้’ ชูตู๋ลอบถอนหายใจ


ในสนามรบหวังอู๋หมิงกำลังต่อสู้อยู่กับผู้อมตะฝ่ายธรรมะเย่หลิวชุนซิง


หวังอู๋หมิงเปลี่ยนร่างเป็นสุนัขกลืนสวรรค์ที่รวดเร็วและทรงพลัง


สุนัขกลืนสวรรค์เป็นสัตว์อสูรแรกกำเนิด แต่หวังอู๋หมิงเป็นเพียงผู้อมตะระดับเจ็ดบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นสุนัขกลืนสวรรค์ตัวนี้จึงมีพลังการต่อสู้ระดับเจ็ดเท่านั้น


สำหรับคู่ต่อสู้ของเขา เย่หลิวชุนซิง เขามีร่างกายสูงผอมราวกับไม่ไผ่ เขามีผมสามเส้นอยู่บนศีรษะ และมีผิวสีขาวอมเหลือง รอบตัวเขามีดวงดาวหลายร้อยดวงบินอยู่รอบๆและปลดปล่อยแสงสีฟ้าออกมา


สุนัขกลืนสวรรค์หวังอู๋หมิงทุ่มเทพลังทั้งหมดในการโจมตี แต่ดวงดาวจำนวนมากยังปิดกั้นเขาเอาไว้


“ปัง ปัง ปัง ปัง…”


ดวงดาวพุ่งเข้าโจมตีหวังอู๋หมิงจากทุกทิศทาง


สุนัขกลืนสวรรค์ส่งเสียงกรีดร้องและกระอักเลือดออกมาจากปากก่อนจะล้มลงบนพื้น


ทุกคนที่มีดวงตาสามารถบอกได้ว่าฝ่ายใดกำลังควบคุมสถานการณ์


หวังอู๋หมิงเป็นฝ่ายโจมตีแต่เขากลับเป็นฝ่ายเสียเปรียบตั้งแต่ต้นจนจบ


เย่หลิวชุนซิงถือไพ่เหนือกว่าและวางตนเองไว้ด้านหลังกำแพงป้องกันที่แข็งแกร่ง


กลยุทธ์นี้เป็นกลยุทธ์ที่ถูกต้อง


โดยปกติแล้วในการต่อสู้กับผู้อมตะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง พวกเขาจะรักษาระยะห่างและโจมตีจากระยะไกล


เนื่องจากผู้อมตะที่เปลี่ยนเป็นสัตว์อสูรจะได้รับร่างกายที่แข็งแกร่งและทนทาน พวกเขาจะอาศัยความแข็งแกร่งของร่างกายในการต่อสู้


ผู้อมตะบนเส้นทางสายอื่นอยู่ในร่างมนุษย์ที่อ่อนแอ กระทั่งพวกเขาจะมีวิธีป้องกันที่ทรงพลัง แต่พวกเขาก็ไม่ต้องการนำตนเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์อันตราย


เห็นได้ชัดว่าเย่หลิวชุนซิงใช้กลยุทธ์ที่ถูกต้องเพื่อชิงความได้เปรียบ


เขากล่าว “มันไร้ประโยชน์ หวังอู๋หมิง ท่าไม้ตายอมตะของข้าถูกสร้างขึ้นโดยอ้างอิงจากท่าไม้ตายอมตะหมื่นหิ่งห้อยดาราของตงฟางชางฟาน ดวงดาวเหล่านี้สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระ แล้วเจ้าจะทำลายพวกมันได้อย่างไร?”


เย่หลิวชุนซิงมีอดีตที่น่าสนใจเช่นกัน


เขาเคยท้าทายตงฟางชางฟานมานับครั้งไม่ถ้วน แม้เขาจะพ่ายแพ้ซ้ำๆ แต่ผู้คนยังชื่นชมความสามารถและความแน่วแน่ของเขา


ในฐานะผู้อมตะฝ่ายธรรมะและสมาชิกตระกูลฮวงจิน ตงฟางชางฟานไม่สามารถลงมือรุนแรงมากนักกับเย่หลิวชุนซิง


ครั้งหนึ่งหลังจากเอาชนะเย่หลิวชุนซิง ตงฟางชางฟานได้เผยเคล็ดลับบางอย่างกับเขา


คำแนะนำเหล่านั้นถือเป็นสมบัติล้ำค่าสำหรับเย่หลิวชุนซิงและทำให้เขาปิดประตูฝึกตนเป็นเวลานาน


แต่สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือนี่เป็นแผนการของตงฟางชางฟาน


ตงฟางชางฟานทำสิ่งนี้เพื่อกำจัดเย่หลิวชุนซิงที่น่ารำคาญ นอกจากนั้นมันยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเผ่าเย่หลิว สุดท้ายเขายังได้รับประโยชน์มากมายจากความร่วมมือกับเผ่าเย่หลิว


เมื่อได้รับผลประโยชน์บางอย่างจากตงฟางชางฟาน เย่หลิวชุนซิงรู้สึกว่าเขาไม่สามารถท้าทายตงฟางชางฟานได้อีก หลังจากนั้นเขาก็ให้ความสำคัญกับการบ่มเพาะของตนเท่านั้นโดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับเผ่าตงฟางอีก


ด้วยเหตุนี้ท่าไม้ตายอมตะของเขาจึงคล้ายคลึงกับท่าไม้ตายอมตะหมื่นหิ่งห้อยดาราเป็นอย่างมาก


ท่าไม้ตายอมตะหมื่นหิ่งห้อยดาราของตงฟางชางฟานมีชื่อเสียงโด่งดังในโลกของผู้อมตะภาคเหนือ


อย่างไรก็ตามท่าไม้ตายอมตะของเย่หลิวชุนซิงยังมีความแตกต่างจากท่าไม้ตายอมตะหมื่นหิ่งห้อยดาราและสามารถกล่าวว่ามันเป็นท่าไม้ตายเฉพาะตัวของเขา


สุนัขกลืนสวรรค์ยังไอออกมาเป็นเลือดและถูกโจมตีมากขึ้นเรื่อยๆ


ผู้อมตะฝ่ายชูตู๋แสดงออกด้วยใบหน้าที่ไม่น่ามอง


“หากหวังอู๋หมิงแพ้ เขาจะเป็นคนที่สี่ที่พ่ายแพ้ให้กับเย่หลิวชุนซิง!”


“ท่าไม้ตายอมตะของเขาทรงพลังเกินไป แม้เขาจะใช้ดวงดาวเพียงไม่กี่สิบดวงในการโจมตี แต่มันยังน่ากลัวถึงเพียงนี้ หากเขาใช้ดวงดาวมากกว่าร้อยดวง ผู้ใดจะสามารถต่อต้าน!”


ภายในวังตะวันตก รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของกลุ่มผู้อมตะฝ่ายธรรมะ


เย่หลิวเสี่ยวจินเฝ้ามองการต่อสู้ของเย่หลิวชุนซิงด้วยความตื่นเต้นและภาคภูมิใจ


กระทั่งเหนียงเอ๋อปิงซื่อก็ยังต้องพยายามควบคุมลมหายใจของตนเอง


สิ่งที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงก็คือตำแหน่งที่นั่งของเผ่าเหนียงเอ๋อถูกย้ายไปอยู่ตรงกลางเรียบร้อยแล้ว


นี่เกิดจากผลการต่อสู้ของเหนียงเอ๋อปิงซื่อ


ผู้อมตะระดับหกหลายคนสามารถต่อสู้กับผู้อมตะระดับเจ็ด แต่การสังหารผู้อมตะระดับเจ็ดเป็นเรื่องที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง


ความสำเร็จของเหนียงเอ๋อปิงซื่อในครั้งนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากมาก


เมื่อถึงจุดนี้ การต่อสู้ระหว่างกองกำลังฝ่ายธรรมะและฝ่ายชูตู๋ก็ดำเนินมาแล้วมากกว่าสิบรอบ


แรกเริ่มเซี่ยอู่เหิงสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้สามคนติดต่อกัน


จากนั้นกงหว่านถิงก็ส่งเหนียงเอ๋อปิงซื่อออกมาและสามารถสังหารปีศาจอมตะระดับเจ็ดที่มีชื่อเสียงของภาคเหนือยายหยิน


หลังการต่อสู้รอบนี้กงหว่านถิงได้เจรจากับชูตู๋และเพิ่มกฎของการแข่งขันเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนซากศพ


เมื่อการต่อสู้เริ่มต้นอีกครั้ง เผ่าหยวน เผ่าเมิ้ง และเผ่าอื่นๆ ของฝ่ายธรรมะค่อยๆปรากฏตัวขึ้นขณะที่ฝ่ายชูตู๋ส่งห่าวเจิ้น เชาเหลาอู๋ รวมถึงผู้อมตะเผ่าไป่ซูเข้าสู่สนามรบประลอง


พวกเขาสลับกันแพ้สลับกันชนะแต่ไม่มีผู้เสียชีวิต


เมื่อสถานการณ์เข้าสู่ทางตัน กงหว่านถิงครุ่นคิดก่อนจะส่งเย่หลิวชุนซิงออกมา


คนผู้นี้เป็นกำลังหลักที่แท้จริงของเผ่าเย่หลิว เขาเป็นผู้อมตะระดับเจ็ด แม้เขาจะพ่ายแพ้ให้กับตงฟางชางฟาน แต่ไม่มีผู้ใดดูแคลนเขา


สิ่งที่ทำให้ผู้คนชื่นชมเขาเป็นพิเศษคือนิสัยและจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเขา เขาพ่ายแพ้ต่อตงฟางชางฟานนับครั้งไม่ถ้วน แต่ทุกครั้งที่เขาพ่ายแพ้ เขาจะแข็งแกร่งขึ้นเสมอ


สิ่งที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงอีกประการก็คือกระทั่งผู้อาวุโสสูงสุดของเผ่าเย่หลิว เย่หลิวฮุ้ยหงก็ยังไม่ใช่คู่แข่งของเย่หลิวชุนซิง


ในที่สุดชูตู๋ก็เปิดปากกล่าว “เอาล่ะ การต่อสู้รอบนี้ พวกเราเป็นฝ่ายพ่ายแพ้”


หวังอู๋หมิงเร่งล่าถอยกลับไปด้วยความอับอาย


เย่หลิวชุนซิงไม่ได้ไล่ล่า หลังจากทั้งหมดหวังอู๋หมิงก็มีความสามารถในการป้องกันตัวเองและสามารถยื้อเวลาจนกว่าชูตู๋จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือ


ใบหน้าของหวังอู๋หมิงกลายเป็นซีดขาว เขารู้สึกซับซ้อนมาก


เขาเป็นคู่ต่อสู้คนที่สี่ของเย่หลิวชุนซิง เดิมทีเขาคิดว่ามันเป็นการต่อสู้ที่ง่ายดาย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือพลังการต่อสู้ของเย่หลิวชุนซิงกลับไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย


หวังอู๋หมิงในร่างมนุษย์บินเข้าไปหาชูตู๋และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดีนัก “ท่าไม้ตายอมตะของเย่หลิวชุนซิงลึกลับมาก เราสามารถควบคุมดวงดาวจำนวนมาก ข้าเกรงว่ามันจะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำลายท่าไม้ตายนี้ เว้นเพียงคนผู้นั้นจะเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งดวงดาว”


“ดวงดาวของเขาเคลื่อนที่ได้เร็วมาก บางครั้งพวกมันก็สร้างพลังงานที่ไร้รูปลักษณ์ขึ้นมาทำให้ข้าสูญเสียการควบคุมตนเอง เย่หลิวชุนซิงจะอ่อนแอที่สุดในช่วงแรก เมื่อเขาสามารถปล่อยดวงดาวออกมาได้ถึงหนึ่งร้อยดวง เขาจะกลายเป็นฝ่ายได้เปรียบและเป็นเรื่องยากที่จะทำลายรูปแบบการต่อสู้ของเขา”


หวังอู๋หมิงอธิบายด้วยความจริงใจ


ชูตู๋พยักหน้าและตบไหล่หวังอู๋หมิง “ไม่จำเป็นต้องกล่าวสิ่งใดอีก ดีแล้วที่เจ้ากลับมาได้อย่างปลอดภัย”


มันเป็นถ้อยคำที่เรียบง่ายแต่การกระทำนี้แทบทำให้หวังอู๋หมิงหลั่งน้ำตา


“ผู้ใดจะเป็นคนต่อไป?” เป็นเพียงเวลานี้ที่เย่หลิวชุนซิงตะโกนออกมา


‘ดูเหมือนคนผู้นี้ยังต้องการต่อสู้เป็นรอบที่ห้า!’ การแสดงออกของชูตู๋เปลี่ยนไปเล็กน้อย เจตนาสังหารกระพริบขึ้นในดวงตาของเขา


ผู้อมตะที่อยู่ด้านหลังเริ่มซุบซิบ


“เขาเอาชนะสี่คนติดต่อกันแล้ว แต่ดูเหมือนเขายังมีกำลังเหลืออยู่”


“ร่างสุนัขกลืนสวรรค์ของหวังอู๋หมิงแข็งแกร่งมากแต่เขายังไม่สามารถเอาชนะ เห้อ…”


ผู้อมตะเผ่าไป่ซูเงียบ


ไป่ซูเหว่ยตายไปแล้ว ผู้อมตะเผ่าไป่ซูที่เหลืออยู่ไม่มีสิ่งใดโดดเด่น พวกเขาสามารถพึ่งพาเพียงค่ายกลวิญญาณรูปแบบการต่อสู้โบราณความโกรธเกรี้ยวของยักษ์เขียวเท่านั้น


ท่าไม้ตายอมตะเสียงคำรามของวายุสายฟ้าที่เกิดจากการผสานงานระหว่างห่าวเจิ้นและเชาเหลาอู๋มีชื่อเสียงในภาคเหนือ มันถือเป็นไพ่ตายของพวกเขาที่สามารถกดดันและทำให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกหวาดกลัว แต่ในการต่อสู้ที่ต้องแยกกัน พวกเขายังไม่โดดเด่นนัก และในเวลานี้พวกเขาต่างได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ก่อนหน้า


อาการบาดเจ็บเนื่องจากความขัดแย้งของพลังงานแห่งเต๋าต้องใช้เวลาและยากที่จะรักษา


ชูตู๋พบว่าเขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจ ไม่มีผู้อมตะคนใดที่เขาสามารถส่งลงสนาม


ในทางกลับกัน ฝ่ายธรรมะมีผู้เชี่ยวชาญที่โดดเด่นอีกมากมายอยู่ในวังตะวันตก


นี่ทำให้ฝ่ายของชูตู๋ถูกเย้ยหยันอย่างรุนแรง


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1202 หยิ่งยโสอย่างที่สุด


แปลโดย iPAT 


‘ข้าต้องออกไปด้วยตนเองงั้นหรือ?’


เผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจ ช่วยไม่ได้ที่ชูตู๋จะมีความคิดเช่นนี้


เขาสามารถเข้าสู่สนามรบได้โดยชอบธรรมและยังมั่นใจว่าสามารถเอาชนะเย่หลิวชุนซิง


แต่มันจะเกิดสิ่งใดขึ้นต่อไป? ชูตู๋เป็นผู้นำที่แข็งแกร่งที่สุด แต่เขาต้องออกไปต่อสู้ด้วยตนเอง แล้วพวกเขาจะไม่ถูกเย้ยหยันและดูอ่อนแอเช่นนั้นหรือ?


ยิ่งไปกว่านั้นแม้เขาจะสามารถเอาชนะเย่หลิวชุนซิง แต่ฝ่ายธรรมะก็สามารถส่งคนอื่นๆเข้าสู่สนามรบต่อไปไม่ว่าจะเป็นกงหว่านถิง เหยาหยวนอิง หยวนหยาง นู๋เอ๋อกู่ หรือนู๋เอ๋อเฉียน คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ชูตู๋ต้องระวังตัวทั้งสิ้น


สองหมัดจะสู้สี่ฝ่ามือได้อย่างไร?


ชูตู๋อาจชนะสองหรือสามรอบแต่เขาจะรับประกันได้อย่างไรว่าจะสามารถชนะการต่อสู้ทั้งหมด?


ชูตู๋ตกอยู่ในความเงียบ


“อันใด? ไม่มีผู้ใดต้องการต่อสู้อีกแล้วงั้นหรือ?” เย่หลิวชุนซิงไม่ปล่อยโอกาสที่จะได้เยาะเย้ยฝ่ายตรงข้าม


เซี่ยอู่เหิงไม่สามารถอดทนต่อการยั่วยุนี้ เขาเป็นคนที่มีความภาคภูมิใจในตนเอง ดังนั้นเขาจึงร้องขอกับชูตู๋ “ให้ข้าออกไปจัดการเย่หลิวชุนซิงผู้นี้!”


แต่เซี่ยอู่เหิงเป็นเพียงผู้อมตะระดับหก แล้วชูตู๋จะปล่อยให้เขาออกไปได้อย่างไร? เซี่ยอู่เหิงอาจสามารถต่อสู้กับผู้อมตะระดับเจ็ด แต่อีกฝ่ายเป็นตัวตนระดับสูงท่ามกลางผู้อมตะระดับเจ็ดทั้งหมด


ชูตู๋ส่ายศีรษะช้าๆ


ทันใดนั้นดวงตาของเขากลับส่องประกายขึ้นอย่างกะทันหัน เขาได้รับจดหมายจากฟางหยวน


‘วิเศษมาก! หลิวกวนซื่อมาได้ถูกจังหวะจริงๆ!’ คิ้วที่ขมวดแน่นของชูตู๋คลายออกทันที


เขาเชื่อมั่นในตัวหลิวกวนซื่อ เขาคิดเสมอว่าในนิกายชูความแข็งแกร่งของหลิวกวนซื่อเป็นรองเพียงเขาเท่านั้น


โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเดินทางไปยังถ้ำปีศาจคลั่งและฟางหยวนสามารถแสดงผลงานได้อย่างน่าประทับใจ


“ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สองของนิกายชูกำลังมา เย่หลิวชุนซิง เหตุใดเจ้าจึงรีบร้อนนัก เจ้าควรดื่มด่ำช่วงเวลาแห่งชัยชนะให้นานกว่านี้” ชูตู๋หัวเราะเบาๆและกล่าวเสียงเรียบ


“ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สองของนิกายชู?”


“ชูตู๋เป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของนิกายชู ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สองย่อมเป็นรองเพียงเขาเท่านั้นใช่หรือไม่?”


“คนผู้นี้ลึกลับมาก ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขามาจากที่ใด พวกเรามีข้อมูลที่จำกัดมาก”


ผู้อมตะทั้งสองฝ่ายต่างพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์


ผู้อมตะฝ่ายธรรมะในวังตะวันตกเริ่มแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับหลิวกวนซื่อ


“พิจารณาจากเซี่ยอู่เหิง มันจะแปลกอันใดหากพวกเขาจะมีหลิวกวนซื่ออีกคน?” เหนียงเอ๋อปิงซื่อกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ


“อย่างมากเขาก็เป็นผู้อมตะระดับเจ็ด แต่ฝ่ายของพวกเราเป็นอัจฉิรยะระดับเจ็ด” เย่หลิวฮุ้ยหงหัวเราะ


กงหว่านถิงกล่าวเบาๆ แต่เสียงของนางกลับดังไปทั่วห้องโถง “ชูตู๋ไม่ใช่คนตาบอด คนผู้นี้อยู่เหนือห่าวเจิ้นและเชาเหลาอู๋ เขาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สองของนิกายชู เราควรคิดว่าเขาเป็นคนที่โดดเด่น”


ดวงตาของเซี่ยอู่เหิงส่องประกายขึ้นด้วยความคาดหวังต่อฟางหยวน


“ผู้อาวุโสห่าวเจิ้น ผู้อาวุโสหลิวกวนซื่อแข็งแกร่งมากงั้นหรือ?” อดีตผู้อมตะเผ่าไห่ผู้หนึ่งถาม แน่นอนว่าเขาเปลี่ยนไปใช่แซ่ไป่ซูแล้ว และมันไม่เหมาะสมที่เขาจะถามผู้อาวุโสเผ่าไป่ซูเพราะการเสียชีวิตของไป่ซูเหว่ยทำให้หัวข้อนี้กลายเป็นเรื่องต้องห้ามในเผ่าไป่ซู


ห่าวเจิ้นและเชาเหลาอู๋เป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สามและสี่ของนิกายชูตามลำดับ แท้จริงแล้วพวกเขารู้สึกไม่สบายใจที่ตำแหน่งของพวกเขาต่ำกว่าฟางหยวน แต่ตอนนี้พวกเขาไม่สามารถทำลายชื่อเสียงนิกายของตนเอง


“เขาอ้างว่าเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง”


“แต่เราไม่เคยเห็นเขาใช้ท่าไม้ตายเปลี่ยนร่างแม้แต่ครั้งเดียวระหว่างการต่อสู้กับจักรพรรดิสวรรค์ไป่ซู”


คำกล่าวของห่าวเจิ้นและเชาเหลาอู๋ทำให้ผู้คนคิดในแง่มุมหนึ่งอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยง


‘ดูเหมือนผู้อาวุโสหลิวกวนซื่อผู้นี้จะยอดเยี่ยมมาก กระทั่งการรุนรานของจักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูก็ไม่สามารถบังคับให้เขาใช้ความแข็งแกร่งทั้งหมดออกมา?’


‘นี่คือผู้ที่บุกแดนศักดิ์สิทธิ์อินทรีย์เหล็กและยึดรังอินทรีย์ทั้งหมด’ ผู้อมตะเผ่าไป่ซูเกิดความรู้สึกที่ซับซ้อน


“เขามาแล้ว” ชูตู๋กล่าว


ผู้อมตะฝ่ายชูตู๋หันกลับไปด้านหลัง


ในวังตะวันตกผู้อมตะฝ่ายธรรมะก็มองไปในทิศทางเดียวกัน


เมฆหลากสีนำผู้อมตะที่ดูอ่อนเยาว์บินเข้ามาอย่างรวดเร็ว


เขาสวมชุดคลุมสีขาว แขนเสื้อของเขาสะบัดตัวไปด้านหลังตามแรงลม


เขามีเส้นผมสีดำ ใบหน้าเหมือนหยก คิ้วคม ดวงตาสดใส ดั้งจมูกสูง ผิวขาวราวหิมะ เขาเผยรอยยิ้มเล็กน้อยและดูผ่อนคลาย โดยรวมเขาดูหล่อเหลามาก


เพียงแวบแรกที่ฟางหยวนปรากฏตัว เขาก็สามารถสร้างความประทับใจที่ดีให้กับผู้คนได้ทันที


“น้องหลิว เจ้ามาแล้ว” ชูตู๋เผยรอยยิ้มสดใจและบินเข้าไปต้อนรับ


“จักรพรรดิอมตะชูตู๋ต้องออกไปต้อนรับเขาด้วยตนเองเลยงั้นหรือ?”


เมื่อเห็นฉากนี้ช่วยไม่ได้ที่ร่างกายของผู้อมตะหลายคนจะสั่นสะท้านขึ้น สถานะของฟางหยวนในใจของพวกเขาพุ่งสูงขึ้นอีกหลายระดับ


“หลิวกวนซื่อมีต้นกำเนิดอย่างไรกันแน่? เหตุใดชูตู๋จึงต้องดูแลเขาถึงระดับนี้?”


ผู้อมตะฝ่ายธรรมะมองหน้ากันและเริ่มให้ความสำคัญกับฟางหยวนมากขึ้น


“วิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลบันทึกฉากการต่อสู้ก่อนหน้านี้เอาไว้ ดูเร็วเข้า” ชูตู๋ส่งวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลให้กับฟางหยวนอย่างลับๆ


ฟางหยวนยอมรับอย่างเงียบๆ


ชูตู๋ปฏิบัติต่อฟางหยวนอย่างเท่าเทียม หลังจากสร้างข้อตกลงพันธมิตรปีศาจคลั่ง ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขายิ่งแน่นแฟ้นมากขึ้น


กลุ่มผู้อมตะอดทนรอฟางหยวนบินเข้าสู่สนามรบอย่างช้าๆ


“คนผู้นี้คือเย่หลิวชุนซิง เขาบ่มเพาะอยู่บนเส้นทางแห่งดวงดาว เขาเอาชนะพวกเรามาสี่คนแล้ว ตอนนี้เราต้องการให้เจ้าแสดงความสามารถและเอาชนะเขา” ชูตู๋กล่าวเบาๆ


ฟางหยวนคิดในใจ ‘ข้ามาเพราะคนผู้นี้ เส้นทางแห่งดวงดาวเหมาะสมกับข้า หากข้ากลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเขา ข้าจะสามารถก้าวเข้าสู่ระดับเจ็ดได้ทันที’


เย่หลิวชุนซิงรู้สึกตึงเครียด


ตั้งแต่ฟางหยวนปรากฏตัว เย่หลิวชุนซิงเฝ้ามองฝ่ายตรงข้ามอย่างใกล้ชิดแต่เขากลับไม่สามารถอ่านการแสดงออกใดๆของฟางหยวน


ฟางหยวนตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดและเข้าใจวิธีการต่อสู้ทั้งหมดของเย่หลิวชุนซิง


เขาสามารถประเมินความแข็งแกร่งของคนผู้นี้ได้อย่างชัดเจน


เย่หลิวชุนซิงอาจอยู่ระดับเดียวกับบัณฑิตสันโดษและไป่ซุ้ยฮันหรืออาจอ่อนแอกว่าเล็กน้อย โดยรวมแล้วเขาเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดที่โดดเด่นผู้หนึ่ง


แต่เหนือกว่าเขายังมีตัวตนเช่นจักรพรรดิอมตะชูตู๋และราชาวานรอมตะซื่อเล่ย


และเหนือยิ่งกว่าชูตู๋ก็คือฟงจิวเก้อและฉินไป่เฉิง


ฟางหยวนมั่นใจว่าสามารถเอาชนะเย่หลิวชุนซิงได้ด้วยการเปลี่ยนร่างเป็นมังกรดาบบรรพกาล


แต่การฆ่าเขาโดยตรงอาจเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้การเฝ้ามองของทุกคน


สิ่งสำคัญที่สุดเกี่ยวกับคนผู้นี้คือท่าไม้ตายอมตะที่ไม่เพียงมีค่าใช้จ่ายน้อยแต่มันยังมีทั้งพลังโจมตีและป้องกันที่น่าสะพรึงกลัว


กล่าวถึงสภาพจิตใจ เขายังเป็นบุคคลที่น่ายกย่อง ความพ่ายแพ้ไม่ส่งผลกระทบต่อเขา มันกระทั่งทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น


หากเป็นศัตรูกับคนประเภทนี้ ทางที่ดีที่สุดคือต้องฆ่าเขาเท่านั้น


ตงฟางชางฟานไม่สามารถฆ่าเย่หลิวชุนซิง ดังนั้นเขาจึงต้องปวดหัวกับคนผู้นี้อยู่เป็นเวลานาน


แต่จะฆ่าเขาได้อย่างไร?


ฟางหยวนรู้สึกว่ามีโอกาสไม่มากที่จะสามารถสังหารเย่หลิวชุนซิง หลังจากเปลี่ยนเป็นมังกรดาบบรรพกาล พลังการต่อสู้ของฟางหยวนจะอยู่ในระดับเดียวกับบัณฑิตสันโดษ อย่างไรก็ตามในการต่อสู้ที่ยาวนาน เขาจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบเพราะพลังงานอมตะของเขายังเป็นองุ่นเขียวอมตะระดับหก


หลังจากไตร่ตรอง ฟางหยวนกล่าว “ข้าจะไม่ต่อสู้”


ผู้อมตะทั้งหมดตกตะลึง


“เหตุใดถึงไม่ต่อสู้? กลัวงั้นหรือ?” หวังอู๋หมิงเย้ยหยัน


ตั้งแต่ภารกิจบุกโจมตีแดนศักดิ์สิทธิ์อินทรีย์เหล็ก หวังอู๋หมิงรู้สึกเกลียดชังฟางหยวนมาก สายตาที่คาดหวังของทุกคนทำให้หวังอู๋หมิงไม่พอใจ ตัวเขาพ่ายแพ้ให้กับเย่หลิงชุนซิงและบุคคลที่ทุกคนคาดหวังคือศัตรูของเขา ความรู้สึกนี้ทิ้งรสชาติที่ไม่ดีเอาไว้ในปากของหวังอู๋หมิง


ฟางหยวนไม่ตอบ


อย่างไรก็ตามชูตู๋ขมวดคิ้วและหันหลับไปมองหวังอู่หมิงด้วยสายตาดุร้าย


หวังอู๋หมิงหุบปากลงอย่างรวดเร้ว เม็ดเหงื่ออันเย็นเยียบเริ่มไหลลงมาจากหน้าผากของเขา


ชูตู๋ส่ายศีรษะ ‘หวังอู๋หมิงและคนอื่นๆล้วนเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษหรือปีศาจอมตะ พวกเขาไม่มีทักษะการเข้าสังคมที่ดี แม้เขาจะไม่พอใจหลิวกวนซื่อ แต่เขาจะเปิดเผยความขัดแย้งภายในนิกายชูต่อหน้าคนนอกได้อย่างไร?’


ในเวลาเดียวกันชูตู๋หันหน้ากลับไปที่ฟางหยวนและถาม “เหตุใดเจ้าจึงกล่าวว่าจะไม่ต่อสู้?”


ฟางหยวนมองเย่หลิวชุนซิงและเย้ยหยัน “เขาอ่อนแอเกินไป ข้าสามารถฆ่าเขาได้ด้วยน้ำลายของข้า เราจะฆ่าไก่ด้วยมีดฆ่าวัวได้อย่างไร? การต่อสู้กับเขาเป็นการดูแคลนสถานะของข้า”


หยิ่ง!


หยิ่งเกินไปแล้ว!!


ความปั่นป่วนปะทุขึ้นในกลุ่มผู้อมตะทั้งหมดในครั้งเดียว ความคิดทุกประเภทพุ่งเข้าสู่จิตใจของทุกคน


ฟางหยวนดูเหมือนเด็กหนุ่มรูปงามที่สงบเสงี่ยมแต่คำกล่าวสองสามคำแรกของเขากลับเผยให้เห็นถึงความหยิ่งยโสอันเป็นที่สุด


“เขากล่าวว่าสามารถเอาชนะผู้เชี่ยวชาญเช่นท่านเย่หลิวชุนซิงได้ด้วยน้ำลายของเขางั้นหรือ? กระทั่งชูตู๋ก็ยังไม่สามารถทำได้!” เหนียงเอ๋อปิงซื่อรู้สึกไม่พอใจมาก


‘เขาหลงตัวเองมากเกินไป’ เซี่ยอู่เหิงมองฟางหยวนด้วยความงุนงง เขาคิดมาตลอดว่าเขาเป็นคนหยิ่งผยอง แต่เขากลับไม่สามารถเปรียบเทียบกับคนผู้นี้


ฟางหยวนพ่นเรื่องไร้สาระมากมายออกมา ความหยิ่งผยองชนิดนี้ทำให้หลายคนไม่พอใจ


แต่คนที่ไม่พอใจมากที่สุดคือเย่หลิวเสี่ยวจิน


เขายังเด็กและเลือดร้อน เย่หลิวชุนซิงเป็นสมาชิกหลักของเผ่าเย่หลิวและเป็นผู้อาวุโสที่เขาเคารพ แต่ฟางหยวนกลับทำให้เย่หลิวชุนซิงอับอาย นี่ไม่ต่างจากการทำให้เขาขายหน้าเช่นกัน


ดังนั้นผู้อมตะหนุ่มผู้นี้จึงลุกขึ้นยืนและตะโกนเสียงดัง “เจ้าไม่กล้าแสดงทักษะออกมา แต่เจ้ากลับกล้าพ่นน้ำลาย! เจ้ากล้าประเมินความสามารถของผู้อาวูโสชุนซิงเช่นนี้ได้อย่างไร? เจ้าคนขลาด เจ้าไม่กล้าต่อสู้ เจ้ากล่าวเช่นนี้เพราะเจ้ากลัวใช่หรือไม่?”


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1203 ไร้ยางอายอย่างที่สุด


แปลโดย iPAT 


“ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากลัวหรือไม่? แต่ทุกคนสามารถบอกได้ว่าเจ้ากล้าหรือไม่!” ผู้อมตะเผ่าไป่ซูเย้ยหยัน


เขามีสายเลือดเผ่าไป่ซูและมีจักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูอยู่เบื้องหลัง กระทั่งชูตู๋ก็ไม่สามารถกดขี่เขา


ฟางหยวนมองคนผู้นี้โดยไม่เกรงกลัว


เห็นได้ชัดว่าการขโมยรังอินทรีย์ของฟางหยวนทำให้เกิดความเกลียดชังขึ้นในกลุ่มผู้อมตะเผ่าไป่ซู


ฟางหวนกวาดตามองไปรอบๆและเห็นความสงสัยในตัวเขาจากคนอื่นๆโดยเฉพาะเซี่ยอู่เหิง


‘ไม่สู้!?’


‘เขาเป็นคนเช่นไร?’


‘ขี้ขลาด!’


‘ฮ่าฮ่า ข้าไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหว’


‘ในอนาคตเมื่อเรื่องราวของข้าถูกบันทึก การเอาชนะตัวละครเล็กๆของเผ่าเย่หลิวย่อมไม่ถือเป็นสิ่งใด’


ทุกคนคิดไปต่างๆนานา


เป็นเพียงเวลานี้ที่เย่หลิวชุนซิงเปิดปากกล่าวด้วยความโกรธ “ฮืม ไร้สาระ! ช่างกล่าวถ้อยคำใหญ่โตนัก มาสู้กับข้าหากมีความกล้า!”


“เจ้ามีคุณสมบัติไม่เพียงพอ” ฟางหยวนมองเย่หลิวชุนซิงด้วยสายตาดูแคลน


ดวงตาของผู้อมตะหลายคนเบิกกว้างขึ้น


พวกเขาอยากถามจริงๆว่า หากเย่หลิวชุนซิงมีคุณสมบัติไม่เพียงพอ แล้วผู้ใดมีคุณสมบัติ? เจ้ามีสิ่งใด? ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้านำความมั่นใจนี้มาจากที่ใด? เห็นได้ชัดว่าเจ้าเป็นปีศาจอมตะไร้หัวนอนปลายเท้า สามารถต่อสู้กับเย่หลิวชุนซิงถือเป็นเกียรติของเจ้าแล้ว


แต่ชัดเจนว่าฟางหยวนไม่มีความคิดเช่นนี้


กลุ่มผู้อมตะเริ่มพูดคุยและโห่ร้อง


หลังจากไม่นานการแสดงออกของกงหว่านถิงก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา “พอแล้ว! พวกเจ้าพยายามทำให้การต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ครั้งนี้เป็นเรื่องตลกงั้นหรือ?”


ผู้อมตะฝ่ายธรรมะเงียบเสียงลงทันที


จากนั้นกงหว่านถิงก็หันหน้าไปทางชูตู๋ “เป็นไปได้หรือไม่ที่ฝ่ายของเจ้าพยายามก่อกวนเพื่อชะลอการแข่งขัน”


ชูตู๋ไม่ตอบแต่หันหน้าไปทางฟางหยวน


ฟางหยวนไม่สนใจสายตาของชูตู๋ เขาหันไปด้านข้างและชี้นนิ้วออกไป “เจ้า!”


“ข้า?” อดีตผู้อาวุโสสูงสุดของเผ่าไห่ตะลึง เขาไม่คาดคิดว่าฟางหยวนจะชี้มาที่เขา


“ออกไปสู้ หากเขาชนะเจ้า นั่นหมายความว่าเขามีคุณสมบัติบางอย่างให้ข้าเคลื่อนไหว” น้ำเสียงของฟางหยวนเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส กระทั่งผู้อมตะฝ่ายเดียวกันยังแทบไม่สามารถอดทน


สายตาของผู้อมตะคนอื่นๆหันมาที่ผู้อมตะผู้โชคร้ายผู้นี้และทำให้เขารู้สึกกดดันทันที


เขาโกรธมาก “เจ้ามีสิทธิ์สั่งให้ข้าออกไปงั้นหรือ? ข้าเป็นสมาชิกเผ่าไป่ซู กระทั่งจักรพรรดิอมตะชูตู๋ก็ต้องให้เกียรติข้า!”


ผู้อมตะผู้นี้ตัดสินใจปฏิเสธ แต่หลังจากนั้นเขากลับได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากคนรอบข้าง


“เย่หลิวชุนซิงแข็งแกร่งมาก เขาชนะไปแล้วสี่รอบติดต่อกัน หากคนผู้นี้ออกไป ไม่ใช่ว่ามันจะเป็นการทำให้ฝ่ายตรงข้ามประสบความสำเร็จมากขึ้นงั้นหรือ?”


“ฮืม คนผู้นี้เป็นเพียงตัวละครเล็กๆ เย่หลิวชุนซิงสามารถเอาชนะคนระดับนี้สองคนได้อย่างง่ายดาย”


“เขาเป็นอดีตผู้อมตะเผ่าไห่ แม้เขาจะเปลี่ยนแซ่เป็นไป่ซู แต่เขาจะสามารถต่อสู้เป็นตายกับผู้อมตะตระกูลฮวงจินได้งั้นหรือ?”


เมื่อบทสนทนาลักษณะนี้ดังขึ้น เขารู้ตัวทันทีว่าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องออกไปสู้รบ


เขามองฟางหยวนด้วยสายตาดุร้าย แต่โชคไม่ดีที่ฟางหยวนหันหน้ากลับไปแล้ว


ผู้อมตะเผ่าไป่ซูโกรธและเสียใจมาก


ไม่มีสิ่งใดผิดความคาดหมาย


อดีตผู้อมตะเผ่าไห่ผู้นี้อ่อนแอกว่าเย่หลิวชุนซิงอย่างชัดเจน หลังจากแลกเปลี่ยนกระบวนท่าประมาณสิบครั้ง เขาก็แพ้


“ข้าหวังว่าผู้อาวุโสหลิวกวนซื่อจะสามารถต่อสู้ในรอบนี้และสร้างความกระจ่างให้กับพวกเรา” อดีตผู้อมตะเผ่าไห่ที่ได้รับบาดเจ็บกลับมากล่าวประชดประชันฟางหยวน


ฟางหยวนตะคอก “อ่อนแอ!”


อดีตผู้อมตะเผ่าไห่แทบไม่สามารถระงับความโกรธ “ข้าอ่อนแอเกินไปจริงๆ แต่ข้าหวังว่าท่านจะแสดงความสามารถบางอย่างออกมา”


แต่คำกล่าวต่อไปกลับทำให้เขายิ่งโกรธ


“ใช้เวลาต่อสู้นานเกินไปสำหรับคนอ่อนแอเช่นเจ้า ข้าอาจประเมินเย่หลิวชุนซิงสูงเกินไป ตอนนี้ข้าไม่มีความสนใจที่จะต่อสู้กับเขาแม้แต่น้อย”


“เจ้า!” อดีตผู้อมตะเผ่าไห่รู้สึกพูดไม่ออก


เซี่ยอู่เหิงมองฟางหยวนด้วยความรู้สึกสงสัยที่รุนแรงขึ้น


“ดูเหมือนผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สองของนิกายชูก็เป็นเพียงตำแหน่งเท่านั้น” เย่หลิวชุนซิงเย้ยหยัน


“จักรพรรดิอมตะ เจ้าเคยเห็นเขาต่อสู้บ้างหรือไม่?” เย่หลิวชุนซิงกล่าวต่อ


ชูตู๋เงียบ เขารู้สึกได้ถึงพฤติกรรมที่แปลกประหลาดของฟางหยวน แต่เขาตัดสินใจที่จะรอดู


“ผู้อาวุโสหลิวกวนซื่อ หากท่านมีทักษะบางอย่างก็ออกไปฆ่าเขาซะ!” ผู้อมตะเผ่าไป่ซูหัวเราะเย้ยหยัน


ฟางหยวนส่ายศีรษะและโอ้อวดอย่างไร้ยางอาย “เจ้าจะเข้าใจความสามารถของข้าได้อย่างไร? นั่นเป็นเหตุผลที่เจ้าไม่มีความหวังที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญเช่นข้า”


เย่หลิวชุนซิงสะบัดแขนเสื้อและเดินจากไป เขารู้ว่าไม่สามารถบังคับให้ฟางหยวนเข้าสู่การต่อสู้


ในความเป็นจริงหลังจากต่อสู้ห้ารอบติด เขารู้สึกอ่อนเพลียมาก แม้เขาจะยังมีพลังงานอมตะเหลืออยู่ แต่สภาพจิตใจของเขาก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด


เมื่อเห็นเขาเก็บดวงดาวและกำลังจะจากไป ผู้อมตะฝ่ายชูตู๋เริ่มถอนหายใจด้วยความโล่งอก


เย่หลิวเสี่ยวจินออกมาต้อนรับเย่หลิวชุนซิงที่ประตูทางเข้าวังตะวันตก


แต่พวกเขาไม่คาดคิดว่าฟางหยวนจะเปิดปากกล่าวในจังหวะนี้ “ดูสิ เขากลัวข้าจริงๆ แม้ข้าจะไม่ได้เข้าสู่สนามประลอง เขาก็ยังหวาดกลัวข้า ตอนนี้เขาไม่สามารถอดทนได้อีกและเลือกที่จะจากไป”


เย่หลิวชุนซิงหยุดเท้าลงทันที


ดวงตาของเซี่ยอู่เหิงเบิกกว้างขึ้น เขาจ้องมองฟางหยวนและคิด ‘ในโลกใบนี้มีคนไร้ยางอายถึงเพียงนี้อยู่ด้วยงั้นหรือ? นี่ทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ พี่ชูมอบตำแหน่งผู้อาวุโสสุงสุดลำดับที่สองให้กับเขาบางทีอาจเป็นเพราะความไร้ยางอายนี้!’


มุมปากของเย่หลิวเสี่ยวจินกระตุกด้วยความโกรธ


การแสดงออกของเย่หลิวซุ้ยหงเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาหรี่ตามองฟางหยวนอย่างพิจารณา


เย่หลิวชุนซิงส่ายศีรษะและเดินต่อโดยไม่หันกลับไปมองฟางหยวน


ฟางหยวนหัวเราะเสียงดัง “เย่หลิวชุนซิง เจ้าหัวควาย โคตรเง้าสิบแปดชั่วคนของเจ้าล้วนเป็นโคกระบือทั้งหมด!”


เงียบกริบ…


หลังจากนั้นความโกลาหลจึงปะทุขึ้น


เจ้าเป็นคนเช่นไร? เจ้ามาจากที่ใด?


ผู้อมตะทั้งหมดกรีดร้องอยู่ในใจ


ผู้ใดจะคิดว่าฟางหยวนที่ดูสง่างามกลับสถบเรื่องไร้สาระและต่ำตมออกมาในที่สาธารณะ แม้พวกเขาจะรักการต่อสู้ แต่พวกเขาก็ยังรักษาภาพลักษณ์ของตนเองเสมอ ท้ายที่สุดพวกเขาต่างยกย่องว่าตนเองเป็นคนชั้นสูง การด่าทอผู้คนในลักษณะนี้เป็นเพียงการทำลายชื่อเสียงของพวกเขาเท่านั้น


“ภาพลักษณ์ที่ดีของเขาช่างสูญเปล่าจริงๆ” ผู้อมตะหลายคนมองฟางหยวนและส่ายศีรษะ


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าความประทับใจที่ดีต่อภาพลักษณ์ของฟางหยวนถูกทำลายไปอย่างสมบูรณ์


ฟางหยวนหัวเราะและเดินเข้าสู่สนามรบ “เย่หลิวชุนซิง ข้าอยู่ที่นี่แล้ว แต่เจ้ากลับไม่กล้าสู้กับข้างั้นหรือ?”


เย่หลิวชุนซิงหยุดและหันหลังกลับ


บรรยากาศเปลี่ยนไปทันที


ในวังตะวันตก เย่หลิวซุ้ยหงนั่งตัวตรงด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “ชุนซิง ระวังคนผู้นี้ เขากำลังวางแผนการบางอย่าง กลับมา!”


การแสดงออกทั้งหมดของฟางหยวนทำให้เย่หลิวซุ้ยหงรู้สึกถึงแผนร้าย


ฟางหยวนหัวเราะเสียงดัง “หนูสกปรกไร้ค่า เผ่าเย่หลิวมีเพียงคนขี้ขลาดเช่นนี้งั้นหรือ?”


คำพูดปั่นประสาทลักษณะนี้ถูกโยนออกไปทีละดอก


ผู้อมตะทั้งหมดต่างตกตะลึง


กระทั่งชูตู๋ยังต้องการยกมือขึ้นปิดใบหน้าของตนเอาไว้ ฟางหยวนทำลายภาพลักษณ์ของนิกายชูลงอย่างสมบูรณ์


นี่เป็นครั้งแรกที่ชูตู๋ต้องพิจารณาเกี่ยวกับการตัดสินใจของตนที่ส่งฟางหยวนออกมาว่าถูกต้องหรือไม่


แต่ไม่ว่าผู้ใดจะกล่าวอย่างไร คำยั่วยุของฟางหยวนก็มีผล


ฝ่ายธรรมะจัดการได้ง่ายกว่าปีศาจอมตะหรือผู้บ่มเพาะสันโดษในบางแง่มุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันเกี่ยวข้องกับชื่อเสียง ไม่ว่าพวกเขาจะมาจากเผ่าหรือมีสายเลือดใด พวกเขาก็ไม่เต็มใจที่จะถูกฝ่ายตรงข้ามสาปแช่งหรือดูแคลนในที่สาธารณะ


กองกำลังที่ยิ่งใหญ่รวมตัวกันด้วยสายสัมพันธ์ทางสายเลือด พวกเขาให้ความสำคัญกับสายเลือดและชื่อเสียงของบรรพบุรุษ


นี่คือศีลธรรมพื้นฐานของพวกเขา!


“ชุนซิงกลับมา! ข้าจะต่อสู้กับผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สองของนิกายชูด้วยตนเอง!” เย่หลิวซุ้ยหงลุกขึ้นยืน


ฟางหยวนรู้สึกผิดหวังอยู่ภายในแต่ภายนอกเขายังหัวเราะ “เย่หลิวชุนซิง ถึงเวลาที่ต้องต่อสู้แล้ว”


เย่หลิวชุนซิงโบกมือให้กับเย่หลิวซุ้ยหงก่อนจะหันหน้าไปทางฟางหยวน “เนื่องจากเจ้าต้องการโอกาส ข้าก็จะต่อสู้กับเจ้า มันเป็นเพียงว่าข้าต่อสู้มาห้ารอบแล้วและต้องการพักผ่อนสักเล็กน้อย”


นี่เป็นคำขอที่ยุติธรรมมาก


ฟางหยวนเย้ยหยันแต่เป้าหมายของเขาก็บรรลุแล้ว


ฟางหยวนอนุญาตทันที “พักผ่อนให้มากที่สุดเท่าที่เจ้าต้องการ ข้าสามารถให้เวลาเจ้าสองหรือสามวัน หากไม่พอข้าก็จะให้เวลาเพิ่มอีกสองหรือสามปี ฮ่าฮ่าฮ่า”


“ฮ่าฮ่า หนึ่งชั่วโมงก็เพียงพอแล้ว” เย่หลิวชุนซิงยิ้มด้วยฟันที่กัดแน่น


ฟางหยวนไร้ยางอายเกินไป เป็นธรรมชาติที่เย่หลิวชุนซิงจะโกรธมาก


แต่เขายังตระหนักถึงสถานการณ์ของตนเอง เขาต้องการเวลาหนึ่งชั่วโมงเพื่อฟื้นฟูพลังจิต


เมื่อเวลานั้นมาถึงเขาจะทำให้หลิวกวนซื่อผู้นี้ได้ลิ้มรสพลังอำนาจของเขา!


หนึ่งชั่วโมงยาวนานราวกับหนึ่งปี ผู้อมตะทั้งหมดแทบไม่สามารถรอคอย


ในที่สุดเย่หลิวชุนซิงก็เดินเข้าสู่สนามรบและเผชิญหน้ากับฟางหยวน


“หลิวกวนซื่อ ข้า…” เย่หลิวชุนซิงกำลังจะกล่าวแต่แสงสีเงินกลับปะทุขึ้นจากร่างของฟางหยวนเรียบร้อยแล้ว


ฟางหยวนเปลี่ยนร่างเป็นมังกรดาบบรรพกาลและพุ่งออกไป


“น่ารังเกียจ!”


“เขาลอบโจมตี!”


ผู้อมตะฝ่ายธรรมะอุทานด้วยความโกรธ


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1204 เป็นไปไม่ได้


แปลโดย iPAT 


เย่หลิวชุนซิงหวาดกลัวมาก เขาเร่งล่าถอย


“ไร้ยางอายนัก!” เขาสาปแช่งการกระทำของฟางหยวน การกระทำทั้งหมดของฟางหยวนทำให้เขาต้องนิยามคำว่าไร้ยางอายใหม่อย่างสมบูรณ์


โชคดีที่เย่หลิวชุนซิงสามารถตอบสนองได้ทันเวลา


หนึ่งคนไล่ หนึ่งคนหนี


ระยะห่างระหว่างฟางหยวนกับเย่หลิวชุนซิงลดลงอย่างรวดเร็ว


กลุ่มผู้อมตะกลั้นหายใจ


เย่หลิวเสี่ยวจินลุกขึ้นยืนโดยไม่รู้ตัว


อย่างไรก็ตามเย่หลิวซุ้ยหงยังนั่งอยู่ เขาเข้าใจความสามารถของเย่หลิวชุนซิงเป็นอย่างดี


‘ดังนั้นเขาก็ใช้ท่าไม้ตายอมตะเปลี่ยนเป็นมังกรดาบบรรพกาล’ ชูตู๋คิด


‘มังกรดาบบรรพกาลมีศักยภาพต่ำกว่าสุนัขกลืนสวรรค์ของข้า…’ หวังอู่หมิงกัดฟันแน่น


‘ในที่สุดเขาก็ลงมือ!’ นี่คือสิ่งที่ผู้อมตะหลายคนคิด


“ไป!”


ทันใดนั้นเย่หลิวชุนซิงที่กำลังล่าถอยกลับผลักฝ่ามือออกไปข้างหน้า


ดวงดาวสีน้ำเงินพุ่งเข้าไปหาฟางหยวนราวกับดาวตก


ฟางหยวนคำรามก่อนที่มังกรดาบบรรพกาลจะสะบัดร่างกายกลางอากาศหลบการโจมตีของฝ่ายตรงข้าม


เมื่อเห็นฉากเหตุการณ์นี้ช่วยไม่ได้ที่ผู้อมตะบางคนจะรู้สึกชื่นชมฟางหยวนอยู่ในใจ พวกเขารู้สึกว่าฟางหยวนมีความเชี่ยวชาญอย่างมากในการเปลี่ยนร่างเป็นมังกรดาบบรรพกาล


หลังจากทั้งหมดการเคลื่อนไหวของฟางหยวนทำให้เขาเหมือนมังกรดาบบรรพกาลที่แท้จริง


“ปัง!”


แทบจะในเวลาเดียวกันที่ฟางหยวนสะบัดหางมังกรกระแทกดวงดาวที่เขาเคลื่อนผ่านมา


มังกรดาบบรรพกาลฟางหยวนมีหางที่ทรงพลังหากเปรียบเทียบกับกรงเล็บ มันสามารถทำลายผลึกหมึกดำ แล้วดวงดาวเล็กๆเช่นนี้จะสามารถรับมือมันได้อย่างไร


การเคลื่อนไหวนี้ทำให้ชูตู๋รู้สึกประหลาดใจ


เขามีความสุข ‘วิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลที่ข้ามอบให้หลิวกวนซื่อบันทึกฉากการต่อสู้ทั้งหมดของเย่หลิวชุนซิงเอาไว้ ดังนั้นหลิวกวนซื่อจึงไม่ปล่อยให้เย่หลิวชุนซิงสร้างดวงดาวจำนวนมาก เพราะยิ่งมีดวงดาวมากเท่าใด เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่านั้น นั่นเป็นเหตุผลที่เขาสามารถเอาชนะการต่อสู้ห้ารอบ’


เย่หลิวชุนซิงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเมื่อเห็นฟางหยวนตอบสนองอย่างชาญฉลาด


เขาเร่งล่าถอย


ในเวลาเดียวกันเขายังผลักฝ่ามือและส่งดวงดาวออกมาอีกครั้ง


“ปัง ปัง ปัง…”


ฟางหยวนใช้กรงเล็บและหางทำลายดวงดาวทั้งหมด


เขาไม่เปิดโอกาสให้เย่หลิวชุนซิงสามารถสะสมพลังงานใดๆ


ทันทีที่ดวงดาวถูกส่งออกมา พวกมันก็จะถูกทำลายกลายเป็นฝุ่นผงกระจัดกระจายอยู่ในอากาศ


เกล็ดมังกรดาบบรรพกาลสีเงินส่องสะท้อนแสงอาทิตย์ขณะเคลื่อนที่ไปข้างหน้าและสร้างฉากที่งดงามขึ้น


แต่ชูตู๋กลับเริ่มขมวดคิ้ว


ฟางหยวนเลือกทำลายดวงดาวอย่างชาญฉลาดแต่ด้วยวิธีนี้ความเร็วของเขาจึงลดลง


ระยะห่างระหว่างคนทั้งสองยังไม่ถูกเติมเต็ม


ข้อได้เปรียบของการลอบโจมตีก่อนหน้าหายไปแล้วในเวลานี้


เย่หลิวชุนซินสามารถตั้งตัว


เขาตะคอกและเริ่มส่งดวงดาวจำนวนมากออกไปรอบๆ


ฟางหยยวนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก มีสองทางเลือกอยู่ตรงหน้าเขา


หากเขาพุ่งตรงเข้าหาเย่หลิวชุนซิง ฝ่ายหลังจะสามารถสะสมดวงดาว หากฟางหยวนเลือกทำลายดวงดาว เย่หลิวชุนซิงจะมีเวลาวางแผนการต่อสู้


ฟางหยวนลังเล


เมื่อเห็นสิ่งนี้ชูตู๋ขมวดคิ้วลึกขณะที่เย่หลิวซุ้ยหงเผยรอยยิ้มและเริ่มจิบสุรารสเลิศ


ความลังเลของฟางหยวนทำให้เขาพลาดโอกาสที่ดีที่สุดไปแล้วและตอนนี้มีดวงดาวมากมายอยู่ในสนามรบ


เย่หลิวชุนซิงกลายเป็นฝ่ายได้เปรียบ


ฟางหยวนถูกล้อมกรอบด้วยดวงดาวจำนวนมาก


เย่หลิวชุนซิงผ่อนคลายลงแต่เขายังส่งดวงดาวออกมาอย่างต่อเนื่อง


“หลิวกวนซื่อ เจ้าทำตัวหยิ่งผยองและโอ้อวดตนเองอย่างไร้ยางอาย แต่แท้จริงแล้วเจ้ากลับไร้ความสามารถ”


“แผนการของเจ้าค่อนข้างลึกล้ำ เจ้ายั่วยุคู่ต่อสู้ เจ้าเกือบทำให้ทุกคนคิดว่าเจ้าเก่งกาจ แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่ใช่คนเดียวกับเมื่อหลายปีก่อน”


“ไม่กี่ปีที่ผ่านมาข้าแก้ไขจุดอ่อนของท่าไม้ตายของข้ามาตลอด แม้มันจะค่อนข้างอ่อนแอในช่วงแรก แต่วิธีการของเจ้ายังไม่เพียงพอที่จะหยุดยั้งข้า”


“ตอนนี้เจ้าจะแก้ไขสถานการณ์อย่างไร?”


เสียงคำรามของมังกรดังขึ้น ฟางหยวนสะบัดหางและใช้กรงเล็บทำลายดวงดาวที่อยู่รอบๆ


มังกรดาบบรรกาลมีพลังและความเร็วที่น่าประทับใจ แต่น่าเสียดายที่ผู้ชมตระหนักว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายได้เปรียบ


ฟางหยวนโจมตีอย่างดุเดือดแต่เย่หลิวชุนซิงที่อยู่ห่างออกไปยืนมองอย่างสะดวกสบาย


เมื่อเวลาผ่านไปดวงดาวจำนวนมากก็ปรากฏขึ้นรอบตัวเย่หลิวชุนซิง


“หลิวกวนซื่อแพ้แล้ว!” หวังอู๋หมิงกล่าว


เซี่ยอู่เหิงไม่ได้พูดแต่คิด ‘ผู้อาวุโสหลิวกวนซื่ออยู่ในระดับเดียวกับผู้อาวุโสห่าวเจิ้นและผู้อาวุโสเชาเหลาอู๋ แต่เขายังไม่สามารถเปรียบเทียบกับเย่หลิวชุนซิง’


ชูตู๋ขมวดคิ้วลึก ความสามารถที่ฟางหยวนแสดงออกมาไม่สอดคล้องกับความคาดหวังของเขา แต่เขารู้สึกว่าฟางหยวนยังมีความมั่นใจ ดังนั้นชูตู๋จึงเลือกที่จะเฝ้ามองต่อไป


เย่หลิวเสี่ยวจินหัวเราะเสียงดังอยู่ที่ประตูทางเข้าวังตะวันตก เขาตะโกน “หลิวกวนอันใด เหตุใดเจ้าไม่โอ้อวดต่อไป เจ้าบอกว่าท่านชุนซิงไม่สามารถเปรียบเทียบกับเจ้ามิใช่หรือ? เจ้าบอกว่าการต่อสู้กับเขาเป็นการลดเกียรติของเจ้ามิใช่หรือ? แล้วตอนนี้เจ้ากำลังทำสิ่งใด? เป็นไปได้หรือไม่ว่าเจ้าเก่งแต่ปาก!?”


มังกรดาบบรรพกาลคำรามเสียงดังด้วยความโกรธ


เมื่อตระหนักถึงความโกรธเกรี้ยวของฟางหยวน เย่หลิวเสี่ยวจินก็หัวเราะอีกครั้ง


“ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สองของนิกายชูก็เพียงเท่านี้”


“กล่าวอย่างยุติธรรม เขาก็มีความสามารถอยู่บ้าง”


“แต่นั่นยังไร้ประโยชน์!”


“ความลังเลของหลิวกวนซื่อก่อนหน้านี้เป็นข้อผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ขณะที่เย่หลิวชุนซิงสามารถฉวยโอกาสได้อย่างยอดเยี่ยม”


“เป็นเรื่องธรรมดา นิกายชูคือสิ่งใด? พวกเขาจะสามารถเปรียบเทียบกับกองกำลังตระกูลฮวงจินได้อย่างไร? ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สองของพวกเขามีความสามารถเพียงเท่านี้ กระทั่งชูตู๋ก็ยังตัดสินใจผิดพลาด”


ผู้อมตะฝ่ายธรรมะดื่มสุราอย่างมีความสุขอยู่ในวังตะวันตก


เย่หลิวซุ้ยหงลูบเคราและเผยรอยยิ้มสดใส แต่เขายังไม่ลืมที่จะกล่าวเตือนเย่หลิวชุนซิง “ระวัง ลมหายใจมังกรเป็นอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดของมังกรดาบบรรพกาล ถึงตอนนี้เขายังไม่ได้ใช้มันออกมาแม้แต่ครั้งเดียว”


เย่หลิวชุนซิงพยักหน้าเล็กน้อย


แม้จะไม่มีคำเตือนของเย่หลิวซุ้ยหง เขาก็ระวังเรื่องนี้อยู่แล้ว


ผู้เชี่ยวชาญไม่ได้ตัดสินด้วยความแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียวแต่ยังรวมถึงสภาพจิตใจระหว่างการต่อสู้อีกด้วย


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเย่หลิวชุนซิงที่พ่ายแพ้ตงฟางชางฟานมาตลอดจะมีจิตใจที่แข็งแกร่ง เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการฝึกฝนและก้าวข้ามความพ่ายแพ้มานับครั้งไม่ถ้วน


รากฐานของเขามั่นคงมาก


เย่หลิวชุนซิงไม่ได้ล่าถอยอีกเพราะตอนนี้เขายืนอยู่ที่ขอบสนามรบและค่อนข้างห่างไกลจากฟางหยวน


เย่หลิวชุนซิงมองดวงดาวที่โคจรอยู่รอบๆและคิด ‘ข้ามีดวงดาวนับร้อยปกป้องอยู่ กระทั่งชูตู๋จะมาด้วยตนเอง ข้าก็ยังสามารถต่อต้านเขาได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้วหลิวกวนซื่อเป็นผู้ใด? ตงฟางชางฟาน แม้เจ้าจะจากไปแล้วแต่ขอให้ข้ารักษาชื่อเสียงของหมื่นหิ่งห้อยดาราเอาไว้ หลังจากทั้งหมดท่าไม้ตายของข้าก็เกิดจากการได้รับคำแนะนำของท่าน’


ในขณะที่ผู้คนทั้งหมดรู้สึกว่าการต่อสู้ครั้งถูกตัดสินแล้ว การเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดกลับเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน


วิญญาณอมตะดาบทะลวงมิติ!


ฟางหยวนกระตุ้นใช้วิญญาณอมตะดาบทะลวงมิติระดับเจ็ด


มังกรดาบบรรพกาลเป็นสัตว์อสูรบนเส้นทางแห่งดาบที่มีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งดาบจำนวนมากอยู่บนร่างกาย นอกจากนั้นฟางหยวนยังใช้วิญญาณอมตะคิ้วดาบเพิ่มร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งดาบให้กับตนเองอยู่เสมอ ดังนั้นร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งดาบของเขาจึงบรรลุถึงระดับหนึ่งหมื่นร่องรอยไปแล้ว


หนึ่งพันร่องรอยสามารถเพิ่มพลังให้กับวิญญาณอมตะสองเท่า


หนึ่งหมื่นร่องรอยสามารถเพิ่มพลังให้กับวิญญาณอมตะสิบเท่า!


วิญญาณอมตะดาบทะลวงมิติเป็นวิญญาณอมตะระดับเจ็ดที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว แต่ตอนนี้พลังของมันกระทั่งเพิ่มขึ้นอีกสิบเท่า!


ในเวลาเดียวกันยังต้องบวกความเร็วดั่งเดิมของมังกรดาบบรรพกาลเข้าไปด้วย


มังกรดาบบรรพกาลไม่มีวิธีโจมตีระยะไกลที่รุนแรงแต่การระเบิดความเร็วของมันเป็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อ


มังกรดาบบรรพกาล วิญญาณอมตะดาบทะลวงมิติ และร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งดาบมากกว่าหนึ่งหมื่นร่องรอย ทั้งหมดทำให้ฟางหยวนหายไปจากตำแหน่งเดิมของเขาทันที


ก่อนที่ทุกคนจะสามารถตอบสนอง เขาก็บินผ่านสนามรบและปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเย่หลิวชุนซิงเรียบร้อยแล้ว


เย่หลิงชันซิงยังเผยรอยยิ้มมั่นใจในชัยชนะของตนแต่ในเสี้ยวพริบตาต่อมารูม่านตาของเขากลับหดเล็กลดด้วยความตกใจอย่างที่สุด


เขามีเพียงหนึ่งความคิดที่เกิดขึ้นในใจ


‘เป็นไปไม่ได้!’


และนี่คือความคิดสุดท้ายในชีวิตของเย่หลิวชุนซิง


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1205 ระวังหลิวกวนซื่อ


แปลโดย iPAT 


ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป!


ก่อนหน้านี้มังกรดาบบรรพกาลยังถูกปิดล้อมโดยกลุ่มดาวจำนวนมาก มันยังคำรามซ้ำๆราวกับไม่สามารถทำสิ่งใด


ก่อนหน้านี้เย่หลิวชุนซิงยังอยู่อีกด้านหนึ่งของสนามรบและอยู่ภายใต้การปกป้องจากกลุ่มดาวมากมาย


ก่อนหน้านี้ผู้อมตะทั้งหมดรู้สึกว่าเย่หลิวชุนซิงได้รับชัยชนะแล้วเพราะพวกเขาคุ้นเคยกับฉากเหตุการณ์นี้เป็นอย่างดี


ก่อนหน้านี้ผู้อมตะห้าคนพ่ายแพ้ต่อเย่หลิวชุนซิงในสถานการณ์เดียวกันนี้


ความคิดของผู้อมตะเหล่านี้แทบจะเหมือนกันทั้งหมด


แต่ในเวลาต่อมา…


ฟางหยวนกลับระเบิดความเร็วที่น่าสะพรึงกลัวออกมา


มังกรดาบบรรพกาลทำลายสิ่งกีดขวางทั้งหมดและปรากฏตัวตรงหน้าเย่หลิวชุนซิง


มันอ้าปากกว้างและ…


ลมหายใจมังกร!


ในขณะที่เย่หลิวชุนซิงยังมั่นใจกับชัยชนะของตน ศีรษะของเขาถูกตัดออก


ร่างกายของมนุษย์อ่อนแอมาก คนผู้หนึ่งจะตายทันทีเมื่อถูกตัดศีรษะ กระทั่งผีดิบอมตะ ศีรษะของพวกเขาก็ยังเป็นจุดอ่อน


เย่หลิวชุนซิงเสียชีวิตทันที


ฟางหยวนคว้าร่างและดวงวิญญาณของเย่หลิวชุนซิงยัดเข้าไปในมิติช่องว่างของเขาอย่างรวดเร็ว


เขาวางแผนมานานแล้ว!


กระตุ้นใช้วิญญาณอมตะดาบทะลวงมิติ ปล่อยลมหายใจมังกร และเก็บซากศพ กระบวนการทั้งหมดเกิดขึ้นแทบจะในเวลาเดียวกัน


หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการเหล่านี้ ร่างมังกรของเขาก็บินออกจากสนามรบและสร้างระยะห่างออกไปหลายลี้เรียบร้อยแล้ว


กระทั่งตัวฟางหยวนเองยังรู้สึกอัศจรรย์ใจกับความเร็วของเขา


ความเร็วชนิดนี้อาจทำให้ร่างมนุษย์ระเบิดจากแรงกดดันมหาศาล แต่โชคดีที่ฟางหยวนอยู่ในร่างของมังกรดาบบรรพกาลและไม่รู้สึกถึงแรงกดดันใดๆ


‘ในการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วระดับนี้ ข้าต้องมีสมาธิ มิฉะนั้นทิศทางการเคลื่อนที่ของข้าอาจเบี่ยงเบนไป ผู้ใดจะรู้ว่าข้าจะพุ่งชนภูเขาหรือพื้นดินหรือไม่? มันเร็วเกินไป เพียงเสี้ยวพริบตาข้าก็สามารถสร้างระยะห่างได้หลายลี้’ ฟางหยวนคิด


เขานึกถึงการฝึกซ้อมในมิติช่องว่างจักรพรรดิ ในเวลานั้นเขาพุ่งชนภูเขาและทำให้ตนเองตกอยู่ในสภาพมึนงง การเคลื่อนไหวครั้งนี้ดูเหมือนสมบูรณ์แบบแต่ในความเป็นจริงนี่เป็นครั้งแรกที่ฟางหยวนใช้มันในการต่อสู้จริง


เมื่อฟางหยวนระเบิดความเร็วสูงสุด เขาต้องทุ่มเทพลังงานและสมาธิทั้งหมดในการควบคุมร่างมังกรดาบบรรพกาล ด้วยเหตุนี้เขาจึงสามารถเคลื่อนไหวในรูปแบบที่ไม่ซับซ้อนมากนักและต้องอยู่ในร่างของมังกรดาบบรรพกาลเท่านั้น


มิฉะนั้นมันจะอันตราย


‘มังกรดาบมีพลังโจมตีที่รุนแรงแต่มีพลังป้องกันไม่มาก มันไม่มีความสมดุล’


‘โชคดีที่ครั้งนี้ข้าสามารถสังหารเย่หลิวชุนซิง โชคของข้าค่อนข้างดี’


‘อันดับแรกข้าต้องหาสถานที่กลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์ก่อนที่จะคิดถึงเรื่องอื่น’


ฟางหยวนบินออกจากทุ่งโลหิตโดยไม่หันหลังกลับ


ผู้อมตะทั้งสองฝ่ายมองเขาจากไปด้วยความมึนงง


ฝุ่นผงยังลอยคละคลุ้งอยู่ในสนามรบ หลังจากชั่วครูสติของพวกเขาจึงกลับมาอีกครั้ง


“หลิวกวนซื่อสังหารเย่หลิวชุนซิง!”


“ไม่น่าเชื่อ นี่เป็นความฝันหรือไม่?”


“เร็วเกินไป เราไม่สามารถตอบสนองต่อความเร็วชนิดนี้”


โดยไม่คำนึงถึงฝ่ายธรรมะหรือปีศาจ ทั้งสองฝ่ายต่างกรีดร้องและลอบวิพากษ์วิจารณ์อย่างดุเดือด


เย่หลิวเสี่ยวจินยืนตะลึงอยู่ที่ประตูทางเข้าวังตะวันตกราวกับรูปปั้น


ไม่นานก่อนที่เย่หลิวชุนซิงจะถูกฆ่า เย่หลิวเสี่ยวจินยังตะโกนล้อเลียนฟางหยวนอย่างสนุกสนาน


แต่ตอนนี้เขากลับไม่สามารถกล่าวสิ่งใด เขากระทั่งยกมือขึ้นตบใบหน้าของตนเองซ้ำๆก่อนที่จะเชื่อข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น


เย่หลิวซุ้ยหงยืนขึ้นจากเก้าอี้ เขายังถือถ้วยสุราเอาไว้ในมือขณะที่เคราของเขาเปียกชุ่มไปด้วยสุราหกจากถ้วย


ในจังหวะที่ฟางหยวนสังหารเย่หลิวชุนซิง เย่หลิวซุ้ยหงกำลังจิบสุราอย่างมีความสุข


แต่หลังจากเกิดเรื่องนี้ขึ้น เย่หลิวซุ้ยหงผุดลุกขึ้นยืนโดยไม่สนใจถ้วยสุราที่อยู่ในมือ นี่ทำให้สุราหกรดเคราและเสื้อผ้าของเขา


เย่หลิวชุนซิงตายแล้ว!


ผู้เชี่ยวชาญเผ่าเย่หลิวที่มีชื่อเสียงของภาคเหนือตายแล้ว!


การเสียชีวิตของเขาเกิดขึ้นอย่างกะทันหันโดยปราศจากสัญญาณเตือนใดๆ


หากเย่หลิวเสี่ยวจินถูกยกย่องว่าเป็นความหวังในอนาคตของเผ่าเย่หลิว เย่หลิวชุนซิงก็คือเสาหลักของเผ่าเย่หลิวในปัจจุบัน


แต่เขาเสียชีวิตไปแล้ว


ชีวิตของเขาจบลงที่นี่!


สิ่งนี้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเย่หลิวเสี่ยวจินและเย่หลิวซุ้ยหง


และสำหรับเผ่าเย่หลิวทั้งหมด นี่คือความสูญเสียครั้งใหญ่มาก!


“น่ากลัวเกินไป”


“เขาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สองของนิกายชู แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ธรรมดา”


“ชูตู๋มีสายตาที่แหลมคมอย่างแท้จริง ข้าเคยดูแคลนหลิวกวนซื่อมาก่อน แต่ความเข้าใจของข้ายังเป็นสิ่งผิวเผินมาก”


ผู้อมตะฝ่ายชูตู๋แสดงออกอย่างมีความสุข


แม้พวกเขาจะไม่ชอบฟางหยวนแต่ความสำเร็จของฟางหยวนสามารถแก้ปัญหาที่ยากลำบากของพวกเขา


จากนี้ชื่อเสียงของเขาจะโด่งดังไปทั่วภาคเหนือ


“น่าทึ่งมาก ผู้อาวุโสหลิวโอ้อวดตนเองและยั่วยุฝ่ายตรงข้ามเพื่อทำให้ศัตรูลำพองใจ เขาค่อยๆดำเนินแผนการไปทีละขั้น เห็นได้ชัดว่าเขาแข็งแกร่ง แต่เขายับยั้งตนเองเอาไว้จนถึงวินาทีสุดท้ายก่อนจะระเบิดพลังออกมาในครั้งเดียว!” เซี่ยอู่เหิงถอนหายใจ


เขาเข้าใจสถานการณ์


เหตุการณ์ที่พลิกผันเกิดจากแผนการของฟางหยวนและนี่ทำให้เขารู้สึกชื่นชมฟางหยวนเป็นอย่างมาก


“ข้าทำตัวน่าอายนัก ก่อนหน้านี้ข้าคิดว่าผู้อาวุโสหลิวไม่มีสิ่งใดน่าประทับใจ เห้อ…หากข้าเป็นศัตรูของผู้อาวุโสหลิว ข้าอาจตายโดยไม่รู้ตัว ข้ายังอ่อนประสบการณ์เกินไป!”


“ทุกคนต้องระวังหลิวกวนซื่อผู้นี้ เขาเจ้าเล่ห์มาก หากพบเขาในอนาคต จงระวังตัวให้มาก” ในวังตะวันตก นู๋เอ๋อกู่เปิดปากกล่าวทำลายความเงียบด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียด


เมื่อคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขารู้สึกว่าฟางหยวนร้ายกาจและเจ้าเล่ห์มาก


ความหยิ่งยโสก่อนการต่อสู้และการแสดงความอ่อนแอระหว่างการต่อสู้เป็นเพียงแผนการเพื่อให้เขาสามารถโจมตีในตอนสุดท้าย


เขาแสดงออกราวกับหมดสิ้นหนทาง แต่เมื่อเขาเคลื่อนไหว มันกลับทำให้ทุกคนรู้สึกหวาดกลัว


“ปิงซื่อ หากเจ้าพบหลิวกวนซื่อในอนาคต มันจะดีที่สุดที่เจ้าจะหลีกเลี่ยงเขาและล่าถอย” เหนียงเอ๋ออี้ฟางมองเหนียงเอ๋อปิงซื่อและกล่าวด้วยความกังวล


เหนียงเอ๋อปิงซื่อพยักหน้า “ข้าเข้าใจ ตอนนี้ข้ายังอ่อนแอเกินไป มีเพียงการบรรลุระดับเจ็ด ข้าจึงจะสามารถต่อสู้กับหลิวกวนซื่อผู้นี้”


ผู้อมตะฝ่ายธรรมะพูดคุย


“เย่หลิวชุนซิงเสียชีวิตอย่างน่าอนาถ เขาเข้าใจความสามารถทั้งหมดของเย่หลิวชุนซิง สิ่งที่เขาแสดงออกก่อนหน้าเป็นเพียงการแสดงเท่านั้น”


“เห้อ…ผู้ใดจะคิดว่าเขาจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้”


“ผู้อาวุโสเย่หลิวซุ้ยหงอย่าโทษตัวเองเลย พวกเราจะแก้แค้นให้กับเผ่าเย่หลิวอย่างแน่นอน!”


เย่หลิวซุ้ยหงฟื้นคืนสติในเวลานี้


แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขายังไม่เข้าใจ หลิวกวนซื่อสามารถทะลวงผ่านแนวป้องกันของเย่หลิวชุนซิงได้อย่างไร?


เขาต่อสู้กับเย่หลิวชุนซิงหลายกระบวนท่าและเห็นได้ชัดว่าแนวป้องกันของเย่หลิวชุนซิงแข็งแกร่งมาก


ความสงสัยนี้ปกคลุมหัวใจของเย่หลิวซุ้ยหงราวกับเมฆหมอกที่หนาทึบ


เขาสูดหายใจสองครั้งแต่ใบหน้ายังซีดขาว เขาบังคับให้ตนเองสงบลงเพราะตอนนี้เขาเป็นตัวแทนของเผ่าเย่หลิว


หากผลงานของเขาไม่ดี เผ่าเย่หลิวทั้งหมดจะสูญเสียใบหน้า


“ท่านหญิงกงหว่านถิง” เย่หลิวซุ้ยหงโค้งคำนับ “เย่หลิวชุนซิงมีสายเลือดตระกูลฮวงจินที่บริสุทธิ์ การเสียสละชีวิตของเขาที่นี่ถือเป็นเกียรติประวัติสำหรับเขา เขาเป็นวีรบุรุษแห่งตระกูลฮวงจินของเรา แต่ตอนนี้ศพของเขายังอยู่ในเงื้อมมือของปีศาจ ดวงวิญญาณของเขาอาจยังอยู่ ข้าร้องขอด้วยความเคารพโปรดช่วยกอบกู้ศพและดวงวิญญาณของเขากลับคืนมาด้วย”


“แน่นอน” กงหว่านถิงกล่าวด้วยทัศนคติที่ตรงไปตรงมา


ตามกฎที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันก่อนหน้านี้ พวกเขาสามารถแลกเปลี่ยนศพและดวงวิญญาณ


แต่ตอนนี้ฟางหยวนจากไปแล้ว ไม่มีผู้ใดรู้ว่าศพและดวงวิญญาณของเย่หลิวชุนซิงจะเป็นอย่างไร แม้ผู้อมตะฝ่ายธรรมะจะต้องการไล่ล่าฟางหยวน แต่มันก็สายไปแล้ว


ดังนั้นกงหว่านถึงจึงต้องถามจากชูตู๋


ชูตู๋ประหลาดใจกับการจากไปอย่างกะทันหันของฟางหยวนเช่นกัน เขารีบส่งจดหมายไปถามฟางหยวน นอกจากนั้นชูตู๋ยังต้องการพึ่งพาความแข็งแกร่งของฟางหยวนต่อไป


ขณะที่กงหว่านถิงกำลังถามชูตู๋ ชูตู๋ได้รับข้อความจากฟางหยวน


“ศพของเย่หลิวชุนซิงมีประโยชน์สำหรับข้า พี่ชู หากท่านไม่มีทางเลือก เพียงขับไล่ข้าออกจากนิกายชู”


นี่เป็นประโยคที่เรียบง่ายแต่มันแสดงให้เห็นถึงทัศนคติอันแน่วแน่และไม่ยอมอ่อนข้อของฟางหยวน


ชูตู๋ขมวดคิ้วแต่ยังตอบกลับกงหว่านถิงอย่างใจเย็น “เทพธิดากงโปรดวางใจ ศพของเย่หลิวชุนซิงจะได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ข้าแจ้งผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สองของนิกายชูให้ทราบแล้ว แต่เพื่อแลกกับศพ พวกท่านต้องจ่ายด้วยราคาที่เหมาะสม”


“ทุกอย่างสามารถพูดคุย” เย่หลิวซุ้ยหงรับปากทันที เขาแสดงความตั้งใจออกมาอย่างชันเจนมาก

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)