พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1199-1206

 บทที่ 1199 มานรกเป็นครั้งแรก

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ออกเดินทาง!” แม่ทัพภาคที่อยู่แถวหน้าออกคำสั่งพร้อมกัน กำลังพลที่อยู่แถวหน้าทะยานพุ่งขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว


“ออกเดินทาง!” แม่ทัพภาคแถวหลังออกคำสั่งตามมาติดๆ กำลังพลแถวหลังตามหลังขึ้นไป


กำลังพลทะยานฟ้าต่อเนื่องกันแถวแล้วแถวเล่า เงาคนเหมือนผ้าผืนใหญ่ที่ห้อยลงจากฟ้า พุ่งฝ่าเมฆครึ้มที่ลอยม้วนอยู่เหนือศีรษะ เห็นแสงอาทิตย์สีทองอยู่นอกชั้นเมฆ เกราะทองของทัพใหญ่หนึ่งล้านสะท้อนแสงระยิบระยับอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ สุดท้ายก็หายไปในท้องฟ้าราวกับเป็นมังกรยาวตัวหนึ่ง


เพิงมุงจากที่เป็นแพยาวเหยียดอยู่ในพื้นแอ่งใต้เมฆครึ้ม ในตอนนี้ถูกทิ้งร้างแล้ว


ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว เหมียวอี้ที่กำลังเร่งเหาะตามกลุ่มเหลียวซ้ายแลขวาอยู่เป็นระยะ ฉากที่ทัพใหญ่หนึ่งล้านแปดแสนเรียงแถวเหาะด้วยความเร็วสูงดูโอ่อ่าอลังการเกินไป นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาได้เห็นนักพรตจำนวนมากขนาดนี้มารวมตัวกัน ทั้งยังเป็นนักพรตที่มีวรยุทธ์บงกชทองขึ้นไปด้วย จากจุดนี้จะมองเห็นถึงพลังอำนาจของตลาดสวรรค์ได้


ที่จริงจุดออกเดินทางก็อยู่ไม่ไกลจากทางเข้าแดนอเวจี สำหรับกองกำลังที่เหาะโดยรักษารูปขบวนเอาไว้ การเดินทางนี้ใช่เวลาเพียงไม่ถึงครึ่งวัน สำหรับพวกเกาก้วนที่นำหน้าไปก่อนก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง


ท้องฟ้าที่ดำมืดมีลำแสงขนาดใหญ่หลากสีสันขนาดใหญ่กลุ่มหนึ่งกำลังหมุนวน ดาวเคราะห์หกดวงที่ถูกปรับปรุงให้เหมาะกับการอยู่อาศัยกำลังหมุนวนอย่างสงบเงียบอยู่ท่ามกลางลำแสงหลากสี ถึงแม้จะอยู่ในลำแสงหลากสี แต่กลับไม่ได้หมุนวนเร็วเท่าลำแสงหลากสี


ซวบ! เกาก้วนที่สวมผ้าคลุมบ่าสีดำพลันหยุดอยู่นอกลำแสงหลากสี ลำแสงหลากสีนั่นราวกับกระพือลมพายุออกมา ผ้าคลุมสีดำบนตัวเกาก้วนปลิวสะบัดอย่างรุนแรง ถ้าวรยุทธ์ต่ำกว่านี้นิดเดียวก็ไม่มีทางเข้าใกล้ได้เลย


“ใครกัน!” มีเสียงตะโกนดังขึ้นมากลางอากาศ ดังสะท้านอยู่ในท้องฟ้า


เกาก้วนพลิกมือดันป้ายคำสั่งออกมาบนฝ่ามือ ชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นมังกรบินสีรุ้งสายหนึ่ง ลอยเป็นรูปตัวอักษร ‘คำสั่ง’ อยู่กลางอากาศ มีเสียงมังกรคำรามดังแว่ว


แม่ทัพใหญ่เกราะแดงคนหนึ่งนำแม่ทัพเกราะม่วงสิบกว่าคนพุ่งออกมาจากดาวเคราะห์หกดวงนั้น มายืนเรียงแถวหน้ากระดานขวางอยู่ตรงหน้าเกาก้วน


แม่ทัพใหญ่เกราะแดงหัวเราะเบาๆ พลางกุมหมัดคารวะ “ที่แท้ก็เป็นทูตขวาเกา คาดว่ากำลังพลที่เข้าร่วมการดสอบคงมาถึงแล้ว เพียงแต่ยังต้องตรวจสอบตัวตนตามกฎระเบียบ” พูดจบก็โยนแผ่นหยกออกมาแผ่นหนึ่ง


พอเกาก้วนขยุ้มมือ ภาพมายามังกรก็หดกลับกลายเป็นป้ายคำสั่งและเก็บเข้าในกระเป๋า มืออีกข้างคว้าแผ่นหยกอีกแผ่นที่โยนเข้ามา ลงตราอิทธิฤทธิ์แล้วโยนกลับไป


หลังจากตรวจสอบแล้วว่าไม่มีผิดพลาด แม่ทัพใหญ่เกราะแดงถึงได้ถามพร้อมยิ้มว่า “กำลังที่เข้าร่วมการทดสอบจะมาถึงเมื่อไร?”


“ย่อมตามมาถึงในภายหลัง” เกาก้วนตอบเสียงเรียบ แล้วถามอีกว่า “จอมพลเถิงอยู่ที่ไหน เหตุใดเห็นป้ายคำสั่งราชันสวรรค์แล้วไม่มาพบข้า?”


แม่ทัพใหญ่เกราะแดงกุมหมัดตอบ “ทูตขวาเกาโปรดอย่าถือสา ใช่ว่าจอมพลจะไม่เคารพบัญชาสวรรค์ แต่เพื่อให้ความร่วมมือกับการทดสอบครั้งนี้ เขาได้นำทัพใหญ่เข้าแดนอเวจีด้วยตัวเองไปแล้ว กำลังกวาดล้างตรงทางเข้า ป้องกันไม่ให้ผู้ร้ายลอบจู่โจม ทูตขวาเกาไปพักผ่อนที่ค่ายก่อนได้!”


“ทัพใหญ่ที่เข้าร่วมการทดสอบกำลังจะมาถึงแล้ว เรื่องพักช่างเถิด เปิดเส้นทาง ข้าจะไปดูสักหน่อยว่าจอมพลเถิงเตรียมการเป็นอย่างไรบ้างแล้ว” เกาก้วนตอบเสียงเรียบ


“รอข้าติดต่อจอมพลก่อน!” แม่ทัพใหญ่เกราะแดงเอ่ยรับแล้วนำระฆังดาราออกมาเขย่าพักหนึ่ง จากนั้นก็หันตัวมาโบกมือ ร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนว่า “จอมพลมีคำสั่ง เปิดเส้นทาง!”


เมื่อมีคำสั่งออกไป บนดาวเคราะห์หกดวงก็มีแสงสีขาวสายหนึ่งยิงออกมาทันที ชนกระทบไปตรงกลางระหว่างดาวหกดวงจนกลายเป็นภาพดาวหกแฉกดวงหนึ่ง หมุนวนตามดาวเคราะห์หกดวงนั้น แสงสุกสกาวตรงพื้นที่ว่างกลางภาพสลายหายไปอย่างรวดเร็ว เผยประตูดวงดาวสีดำมืดที่หมุนวนอยู่ด้านหลัง หมุนวนในทิศทางตรงกันข้ามกับลำแสงหลากสีด้านนอก


ที่จริงด้านหลังก็คือประตูดวงดาวของทางเขานรกที่ถูกค่ายกลผนึกไว้ ค่ายกลใหญ่ที่สามารถปิดผนึกประตูดวงดาวได้ จะเห็นได้ว่ามีอานุภาพเป็นอย่างไร


ซวบ! เงาร่างของเกาก้วนถลันวูบ ไม่ได้ใช้กระสวยทองหรือกระสวยเงิน เขาพุ่งเข้าประตูดวงดาวไปในชั่วพรบตาเดียวโดยอาศัยเกราะอิทธิฤทธิ์ล่องหนป้องกันแรงดึงของประตูดวงดาว


“ปิด!” แม่ทัพใหญ่เกราะแดงร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนอีกครั้ง


เสาแสงหกสายที่ก่อตัวเป็นดาวหกแฉกหายไปในชั่วพริบตาเดียว ไม่มีดาวหกแฉกแล้ว เส้นทางประตูดวงดาวถูกลำแสงหลากสีปิดไว้อีกครั้ง


ข้างในนั้น เงาร่างของเกาก้วนถูกพ่นออกมากลางอากาศอย่างฉับพลัน เขามองไปรอบๆ เห็นเพียงทหารสวรรค์นับไม่ถ้วนกระจายกำลังอยู่รอบด้าน


“เกาก้วน ทางนี้!” เสียงที่น่าเกรงขามดังก้องอยู่ในท้องฟ้า


เกาก้วนได้ยินเสียงแล้วเอียงหน้ามอง เห็นเพียงชายหนุ่มหน้าดำที่ไว้เครายาวสามช่อ สวมชุดผ้าแพรทั้งตัวกำลังเอามือไขว้หลังยืนอยู่บนดาวเคราะห์ที่มีขนาดเส้นรอบวงหนึ่งพันจั้ง ยืนอยาบนจุดที่สูงที่สุดของดวงดาว กำลังมองมาทางนี้อย่างมีพลังเต็มเปี่ยม ตรงหว่างคิ้วเผยลายเมฆสีฟ้าอ่อนสายหนึ่ง มีวรยุทธ์ระดับสำแดงฤทธิ์


คนคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน หนึ่งในสิบสองจอมพลของตำหนักสวรรค์ เถิงเฟยจอมพลสายชวด


เส้นทางเข้าออกแดนอเวจีถูกเฝ้าโดยสิบสองจอมพลมาตลอด ทุกๆ สามร้อยปีจะโยกย้ายกำลังพลมาสับเปลี่ยนหนึ่งครั้ง ก็เท่ากับว่าสิบสองจอมพลจะต้องผลัดเวรมาเฝ้าที่นี่ทุกสามพันหกร้อยปี และการทดสอบครั้งนี้ก็ตรงกับช่วงที่จอมพลเถิงเฟยแห่งสายชวดมาเฝ้ารักษาการณ์พอดี


กำลังพลที่เรียงอยู่ตรงหน้ารีบถลันตัวเปิดเส้นทางให้ เกาก้วนเหาะเข้าไปและเหยียบลงข้างกายเถิงเฟย


เถิงเฟยที่กำลังยืนเอามือไขว้หลังเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง แล้วถามว่า “คนที่เข้าร่วมการทดสอบมาถึงแล้วเหรอ?”


เกาก้วนกวาดสายตามองไปรอบๆ “กำลังจะถึงเดี๋ยวนี้ ไม่ทราบว่าจอมพลเถิงกวาดล้างทางนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”


เถิงเฟยมองไปยังจุดลึกของท้องฟ้า “สามารถแน่ใจได้ว่าโจรกบฏในนรกติดต่อกับภายนอกจริงๆ พวกเขามาดักซุ่มที่นี่ล่วงหน้า พอเห็นทัพใหญ่ของข้ากวาดล้าง ก็ถอนกำลังออกไปทันที ไม่ได้เกิดการปะทะกัน นับว่ายังกวาดล้างได้อย่างราบรื่น รับประกันได้ว่ากำลังพลที่เข้าร่วมการทดสอบจะเข้าไปได้อย่างราบรื่น…แต่สิ่งที่พวกเราทำได้ก็มีเพียงเท่านี้ ตอนหลังจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่มีใครรู้ได้ กำลังพลหนึ่งล้านแปดแสนกว่า สุดท้ายจะรอดชีวิตกลับมาได้กี่คน?”


เกาก้วนกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ตราบใดที่การกวาดล้างบริเวณทางเข้าราบรื่น ความหวังที่ผู้เข้าร่วมการทดสอบจะรอดชีวิตกลับมาก็เพิ่มขึ้นเยอะแล้ว รอให้กำลังพลกระจายตัวกันในพื้นที่ที่ใหญ่ขนาดนี้ ต่อให้หมูหนึ่งล้านแปดแสนตัวหนีเพ่นพ่านอยู่ในนี้ แต่โจรกบฏพวกนั้นก็ไม่มีทางยับยั้งได้อย่างราบรื่น คนที่รอดชีวิตกลับมาได้คงจะมีไม่น้อย”


เถิงเฟยกล่าวช้าๆ ว่า “ขังโจรกบฏพวกนี้ไว้ที่นี่ไม่ได้เหรอ ทำไมต้องเอาชีวิตมากมายขนาดนี้มาเติม?”


เกาก้วนตอบว่า “ประเด็นสำคัญคือขังไม่อยู่แล้ว มีเส้นทางเข้าออกอื่นปรากฏขึ้น ฝ่าบาทสงสยัว่าแดนอเวจียังมีเส้นทางเข้าออกอื่นอีก มีหรือที่ฝ่าบาทจะนั่งดูโจรกบฏพวกนั้นยิ่งใหญ่ขึ้นเฉยๆ?”


เถิงเฟย “คิดมากไปเองแท้ๆ เลย สถานการณ์ภาพรวมของใต้หล้าถูกกำหนดแล้ว ตราบใดที่พวกเราเองไม่ไร้ระเบียบ โจรกบฏพวกนั้นก็แผลงฤทธิ์ไม่ได้ ยิ่งพวกเราทำให้วุ่นวาย พวกเขาก็ยิ่งมีโอกาสฉวยผลประโยชน์ ลูกหลานผู้มีอำนาจที่เข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้มีเยอะมาก ถ้าบาดเจ็บล้มตายมากเกินไป เจ้าคิดถึงผลที่จะตามมาหรือเปล่า? ผู้มีอำนาจในราชสำนักของตำหนักสวรค์ต่างหากที่เป็นฐานให้ฝ่าบาทควบคุมใต้หล้า ถ้าดาบของฝ่าบาทค่อยๆ หันเข้าหาคนของตัวเอง สักวันก็ต้องทำให้เกิดช่องว่างทางจิตใจระหว่างขุนนางกับราชัน โจรกบฏไม่นับว่าสำคัญอะไรหรอก ดาบที่ฝ่าบาทหันเข้าหาคนในต่างหากที่เป็นจุดเริ่มต้นที่ใหญ่ที่สุดของความโกลาหล อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังไม่ใช่เวลาเสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล! ข้ายังยืนยันคำเดิม สถานการณ์ภาพรวมของใต้หล้าถูกกำหนดแล้ว ตราบใดที่พวกเราไม่ไร้ระเบียบ ก็จะไม่เกิดเรื่องอะไรใหญ่โต เจ้าเป็นขุนนางที่ใกล้ชิดอยู่ข้างกายฝ่าบาท ควรถือโอกาสโน้มน้าวฝ่าบาทมากๆ หายนะเริ่มต้นจากภายในชัดๆ!”


เกาก้วนจึงบอกว่า “การตายของผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์สามคนของสายมะเมีย อย่าบอกนะว่าจอมพลเถิงไม่รู้? จอมพลเถิงไม่อยากให้เกิดเรื่องราวขึ้นภายใน คิดเหรอว่าฝ่าบาทจะไม่คิดแบบเดียวกัน สาเหตุสำคัญคือผิวเนื้อของตำหนักสวรรค์เกิดเนื้อร้าย ลูกหลานผู้มีอำนาจบางคนก็คือเนื้อร้ายที่ลุกลามเน่าเปื่อยพวกนั้น จอมพลเถิงรู้สึกว่าเนื้อร้ายพวกนี้นับเป็นหายนะภายในหรือเปล่าล่ะ? การควงดาบเฉือนเนื้อตัวเองทิ้ง ฝ่าบาทเองก็ปวดใจมากเหมือนกัน”


เถิงเฟยเอียงหน้ามองมา “ในปีนั้นทุกคนติดตามฝ่าบาทไปบุกยึดใต้หล้าเพื่ออะไรล่ะ ไม่ใช่เพราะอยากร่ำรวยอายุยืนหรอกหรือ ไม่ใช่เพราะอยากให้ร่ำรวยชั่วลูกชั่วหลานหรอกหรือ!”


“หากตำหนักสวรรค์พังลง ทุกคนจะยังร่ำรวยอายุยืนได้อย่างไร ลูกหลานจะร่ำรวยไปอีกหมื่นรุ่นได้อย่างไร จอมพลเถิง เจ้าพูดเรื่องพวกนี้กับข้าไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก ข้าตัดสินใจอะไรไม่ได้ ถ้ามีอะไรเจ้าก็ไปพูดกับฝ่าบาทด้วยตัวเอง” เกาก้วนกล่าว


“ข้าขอถามเพียงคำเดียว ต่อไปดาบของฝ่าบาทจะฟันขึ้นไปข้างบนใช่หรือไม่?” เถิงเฟยถาม


“ไม่รู้!” เกาก้วนตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย แล้วกล่าวอย่างเย็นชาอีกว่า “จอมพลเถิง วันนี้เจ้าพูดมากเกินไปแล้ว ข้าจะถือเสียว่าไม่เคยได้ยินก็แล้วกัน เกาก้วนมีตำแหน่งหน้าที่ติดตัว อย่าทำให้ข้าลำบากใจ!”


เถิงเฟยหลับตาลงช้าๆ โดยไม่พูดอะไร


ทั้งสองเงียบงันอยู่นานมาก จู่ๆ เกาก้วนก็หยิบระฆังดาราออกมา หลังจากฟังและตอบกลับแล้ว ก็เอียงหน้ามาบอกว่า “จอมพลเถิง ทัพใหญ่ของผู้เข้าร่วทดสอบมาถึงแล้ว ออกคำสั่งให้ปล่อยพวกเขาเข้าสู้สนามทดสอบเถอะ!”


เถิงเฟยลืมตาและพยักหน้า ก่อนจะตะคอกว่า “ถ่ายทอดคำสั่งบอกสมาชิกทุกคนที่กำลังกวาดล้าง เหลือทหารยามเอาไว้ ที่เหลือถอนกำลังกลับมารวมตัวกันทันที”


ผ่านไปไม่นาน ทัพใหญ่หลายแสนมารวมตัวกันจากทั่วสารทิศ มาเรียงแถวเป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างรวดเร็ว แม่ทัพใหญ่เกราะแดงระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพสิบกว่าคนนำแม่ทัพเกราะม่วงระดับบงกชรุ้งหลายร้อยคนมารายงานผลการปฏิบัติงาน


“กำลังพลที่เข้าร่วมการทดสอบกำลังจะเข้าสู่สนามแล้ว เตรียมการการตามแผน!” เถิงเฟยโบกมือ


“รับทราบ!” ทุกคนกุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง แล้วทัพใหญ่หลายแสนคนโยกย้ายกันวางกำลังทันที  ออกมาจากน่านฟ้าขนาดใหญ่ที่ถูกปิดล้อมไว้


เถิงเฟยหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับคนที่อยู่ตรงทางเข้าด้านนอก


ตรงทางเข้านรกด้านนอก สมาชิกที่เข้าร่วมการทดสอบหนึ่งล้านแปดแสนกว่าคนจัดกระบวนครบแล้ว คนส่วนใหญ่รวมทั้งเหมียวอี้เพิ่งเคยเห็นทางเข้านรกเป็นครั้งแรก ย่อมเคยเห็นการผนึกทางเข้านรกเป็นครั้งแรกเช่นกัน


ขณะที่ทุกคนกำลังอยากรู้อยากเห็น ในใจก็เริ่มรู้สึกวิตกกังวลเช่นกัน กำลังจะเข้าสู้นรกในตำนานแล้ว! อนาคตและความเป็นความตายล้วนอยู่หลังประตูที่โดนผนึกบานนั้น


ทหารยามเกราะแดงที่ขวางทางและคุมเชิงกับจุยหย่วนอยู่ตรงทางเข้าเก็บระฆังดารา แล้วหันตัวมาสั่งเสียงดังว่า “จอมพลมีคำสั่ง เปิดเส้นทางปล่อยเข้ามา!”


ภาพดาวหกแฉกปรากฏขึ้นอีกครั้ง เกิดช่องว่างตรงกลางภาพอย่างรวดเร็ว เผยประตูดวงดาวที่หมุนวนอยู่ข้างหลัง


พอจุยหย่วนโบกมือ กลุ่มที่ปรึกษาก็เหาะเข้าไปในประตูดวงดาว จากนั้นเขาก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนเสียงดังว่า “เข้าไปตามลำดับแถว ออกเดินทาง!”


กำลังพลรวมตัวกันบุกเข้าไปขบวนแล้วขบวนเล่าทันที ต่างคนต่างใช้กระสวยเงินปกป้องร่างกายและหายเข้าไปในประตูดวงดาว


จุยหย่วนนำคนนับจำนวนกำลังพลที่เข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว


ตรงทางเข้าที่อยู่ด้านในนรก เกาก้วนกับเถิงเฟยยืนเคียงข้างกัน มองดูกำลังพลโผล่มาขบวนแล้วขบวนเล่า


“ไปทางขวา เร็วๆ!”


“ไปทางซ้าย อย่าชักช้าขวางทาง เร็วๆ หน่อย!”


ที่ปรึกษาที่เข้ามาก่อนคอยบัญชาการสมาชิกที่รวมตัวกันเข้ามาไม่หยุด ตรงจุดที่ไม่ไกลมีคนโบกธงเขตของจวนหัวหน้าภาคใหญ่เก้าแห่งของตลาดสวรรค์เพื่อชี้บอกจุดรวมพล แม่ทัพภาคที่นำขบวนเข้ามารีบพากำลังพลของตัวเองไปยังจุดนั้น


ส่วนทหารยามที่เฝ้าทางเข้าก็นำคนกลุ่มหนึ่งมานับจำนวนคนที่เข้ามาข้างในอย่างรวดเร็ว


รอจนกระทั่งสมาชิกที่เข้าร่วมการทดสอบเข้ามาข้างในหมดแล้ว จุยหย่วนถึงได้พากลุ่มที่ปรึกษาตามเข้าไปในตอนสุดท้าย ทัพใหญ่ที่คุ้มกันส่งไม่ได้เข้าไปข้างในด้วย จากนั้นเขาก็สั่งให้บรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพภาพที่เข้าไปก่อนแยกกับสมาชิกที่เข้าร่วมการทดสอบ หลังจากนับและหักลบคนที่รวมตัวกันแล้ว จุยหย่วนถึงได้เขียนแผ่นหยกฉบับหนึ่ง แล้วเหาะไปรายงานตรงหน้าเกาก้วน “รายงานท่านผู้คุม จำนวนที่ควรจะมาถึงคือหนึ่งล้านแปดแสนห้าหมื่นสามร้อยยี่สิบสามคน จำนวนที่มาจริงคือหนึ่งล้านแปดแสนห้าหมื่นสามร้อยยี่สิบสามคน สมาชิกที่เข้าร่วมการทดสอบมาครบแล้วขอรับ”


บทที่ 1200 เงาร่างที่โดดเดี่ยว

โดย

Ink Stone_Fantasy

เกาก้วนดูดแผ่นหยกมาไว้ในมือ หลังจากอ่านคร่าวๆ รอบหนึ่ง เขาก็ลงตราอิทธิฤทธิ์ยืนยัน แล้วส่งให้เถิงเฟยที่อยู่ข้างๆ


ลูกน้องของเถิงเฟยก็ถือแผ่นหยกเข้ามารายงานเช่นกัน “รายงานจอมพล นับดูแล้วขอรับ สมาชิกผู้เข้าร่วมการทดสอบที่เข้ามามีทั้งหมดหนึ่งล้านแปดแสนห้าหมื่นสามร้อยยี่สิบสามคน”


เถิงเฟยก็ดูดแผ่นหยกมาไว้นมือเช่นกัน หลังจากอ่านจบแล้วก็ลงตราอิทธิฤทธิ์ส่งต่อให้เกาก้วน ทั้งสองฝ่ายยืนยันแล้วว่าจำนวนคนที่ส่งต่อให้กันไม่ผิดพลาด ทำแบบนี้จะได้ไม่มีคนโกงการทดสอบ


“ได้แล้วหรือยัง?” เถิงเฟยเก็บแผ่นหยกแล้วเอ่ยถาม


เกาก้วนพยักหน้า


“ถ่ายทอดคำสั่งลงไปให้ปล่อยได้!” เถิงเฟยเอียงหน้าสั่ง


เมื่อเสียงถ่ายทอดคำสั่งดัง กำลังพลหลายแสนที่ล้อมผู้เข้าร่วมการทดสอบก็วนกลับเข้ามาทางราวกับกางแขนสองข้างทันที เผยผู้เข้าร่วมทดสอบจำนวนหนึ่งล้านแปดแสนกว่าคนอยู่ในท้องฟ้าของแดนอเวจี


เห็นได้ชัดว่าผู้เข้าร่วมทดสอบรู้สึกปลอดภัยกว่าเมื่อโดนล้อมไว้ พอข้างหน้าเปิดทาง ก็ไม่มีใครกล้าขยับไปไหนซี้ซั้ว ทุกคนต่างกวาดสายตามองไปรอบๆ มีบางคนถึงขั้นกลืนน้ำลายด้วยความวิตกกังวล ที่จริงตั้งแต่เริ่มเข้ามาที่นี่ ที่จริงทุกคนก็เริ่มมองสำรวจท้องฟ้ารอบๆ ด้วยความวิตกกังวลตั้งแต่ตอนแรกที่เข้ามาแล้ว


เห็นได้ชัดว่าท้องฟ้าผืนนี้ไม่ปกติ อย่างน้อยก็แตกต่างจากท้องฟ้าปกติด้านนอก หมอกเพลิงที่อยู่ในจุดลึกของท้องฟ้ากำลังเปลี่ยนแปลงสีสันอย่างพิลึกกึกกือ บางครั้งก็เหมือนหมอกบางที่พรั่งพรูออกมาจากหุบเขา บางครั้งก็เหมือนสัตว์ประหลาดกำลังอ้าปาก บางครั้งก็เหมือนเทพธิดาเริงระบำ บางครั้งก็เหมือนมารปีศาจที่กำลังยิ้มอย่างชั่วร้าย บางครั้งก็เหมือนภูเขาไฟปะทุ แสงสุกสกาวเปลี่ยนรูปแบบหลากหลายอยู่ในจุดลึกของท้องฟ้า


ที่แปลกที่สุดก็คือ ในจุดลึกของท้องฟ้าเหมือนมีเสียงคนกระซิบพึมพำอยู่เสมอ บางครั้งก็มีเสียงกรีดร้อง แต่ถ้าฟังให้ดีๆ ที่จริงแล้วก็ไม่มีเสียงอะไรสักนิดเลย


“เจ้าได้ยินหรือเปล่า?”


“ได้ยินแล้ว”


มีบางคนอดไม่ได้ที่จะถามเพื่อนร่วมงานที่อยู่ข้างกาย ผลปรากฏว่าแน่ใจแล้วว่าไม่ได้หูแว่วไปเอง มีเสียงประหลาดดังอยู่ในท้องฟ้าผืนนี้จริงๆ


ทว่าตามหลักการแล้ว ภายใต้สถานการณ์ปกติ ถ้าไม่ได้ร่ายอิทธิฤทธิ์ก็ไม่มีทางที่จะส่งเสียงออกมาได้เลย แต่ไม่รู้สึกเลยว่าในเสียงที่ดังแว่วนั้นมีคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ใดๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าเสียงดังออกมาได้อย่างไร อย่างไรเสียก็รู้สึกว่าไม่ใช่เสียงปกติ เหมือนมีคนกำลังเปล่งเสียงอยู่ในหัวสมองของตัวเอง ไม่ใช่เสียงที่ดังผ่านหู พอเป็นแบบนี้ก็ยังเพิ่มรสชาติความเหลวไหลลวงโลกให้กับท้องฟ้าผืนนี้ไม่น้อยเลย


“นายท่าน ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว จะเริ่มเลยมั้ยขอรับ?”


หลังจากคุยกับลูกน้องพักหนึ่ง จุยหย่วนก็เหาะไปรายงานตรงหน้าเกาก้วนและเถิงเฟยที่ยืนอยู่บนที่สูงอีกครั้ง


เกาก้วนกวาดสายตามองกำลังพลนับล้านที่สวมเกราะทอง แล้วพยักหน้าเบาๆ “เริ่มได้!”


“รับทราบ!” จุยหย่วนกุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง หันตัวมาโบกมือ นำกลุ่มที่ปรึกษาเหาะไปตรงหน้าสุดของทัพใหญ่หนึ่งล้าน


กลองสะท้านฟ้าเส้นผ่าศูนย์กลางหน้ากลองยาวถึงห้าจั้งที่เลี่ยมขอบทองลายเมฆถูกเรียกออกมาจำนวนสิบสองใบ เรียงเป็นหนึ่งแถวโดยเว้นระยะเท่าๆ กัน เรียงแถวอยู่ตรงหน้าสุดของทัพใหญ่นับล้าน


จุยหย่วนเหยียบลงบนกลองลูกหนึ่งที่อยู่ตรงกลาง เผชิญหน้ากับทัพใหญ่หนึ่งล้าน แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนเสียงดัง “ผู้เข้าร่วมทดสอบทุกคนฟังคำสั่ง ใช้กลองนี้เป็นเขตแดน เริ่มการทดสอบนอกเขต เมื่อเสียงกลองดังจบสามยก แล้วมีใครยังไม่ออกจากเขต ประหาร! เริ่มการทดสอบ ตีกลอง!”


ทหารที่ลอยอยู่หน้ากลองใหญ่ร่ายอิทธิฤทธิ์โบกไม้กลอง ควงแขนสองข้างตีหน้ากลองอย่างบ้าคลั่ง


ตุ้งๆๆๆๆ…


เสียงกลองที่ทุ้มต่ำทว่ามีจังหวะเขย่าใจคนดังก้องอยู่ในท้องฟ้า


พอคำสั่งประหารและคำสั่งเริ่มการทดสอบดังขึ้น รูปขบวนของทัพใหญ่หนึ่งล้านที่เข้าร่วมทดสอบก็วุ่นวายทันที เพื่อที่จะหลบเลี่ยงคำสั่งประหารก่อน พวกเขาไม่สนใจอะไรแล้ว ออกจากเขตแดนให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน


กำลังพลหนึ่งล้านแปดแสนไหลพุ่งจากระหว่างกลองสะท้านฟ้าขนาดใหญ่สิบสองใบราวกับอุทกภัยทันที


พอมีกลองมาวาดเส้นแบ่งเขตแดนสำหรับออกเดินทาง คนส่วนใหญ่ก็เริ่มลนลานวุ่นวาย ถอดเกราะรบเครื่องแบบตำหนักสวรรค์บนตัว เปลี่ยนใส่เกราะรบผลึกม่วง หรือไม่ก็เกราะรบผลึกแดงที่ขั้นสูงยิ่งกว่านั้น คนที่มีปัจจัยพร้อมถึงขั้นเรียกสัตว์เทพออกมาเป็นสัตว์พาหนะแล้ว


ส่วนคนที่ไม่มีปัจจัย ส่วนใหญ่เป็นผู้เข้าร่วมทดสอบที่มาฝ่าฟันเพื่ออนาคต เดิมทีก็มาเพราะกลุ้มใจที่ไร้โอกาสแสดงความสามารถอยู่แล้ว จะหาสัตว์เทพที่ไหนมาเป็นสัตว์พาหนะได้ล่ะ ส่วนใหญ่ไม่มีเกราะรบขั้นสูงด้วยซ้ำ ทำได้เพียงสวมเกราะรบเครื่องแบบของตำหนักสวรรค์แก้ขัดไป


พวกจางฮั่นฟางเปลี่ยนสวมเกราะรบผลึกแดง ซูลี่เด็กติดตามของพวกเขาทำได้เพียงอิจาฉาตาร้อน แต่ถึงอย่างไรก็ทำมาหากินอยู่ที่ตลาดสวรรค์ เกราะรบผลึกม่วงก็ยังพอถูไถหามาได้ ไม่นับว่าเป็นเกราะรบผลึกม่วงขั้นสูงสักเท่าไร เป็นแบบธรรมดาทั่วไป


ขณะที่เปลี่ยนเครื่องแต่งกาย กำลังพลแต่ละฝ่ายก็รีบเข้าหากลุ่มคนที่ตัวเองดึงมาเป็นพรคคพวกไว้ก่อนหน้านี้ พวกเขาพยักหน้าทักทายกันอย่างกระตือรือร้น รอยยิ้มเต็มไปหน้า เรียกได้ว่าสุภาพเกรงใจต่อกันอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ซูลี่ย่อมยังคงตามติดอยู่ข้างหลังพวกจางฮั่นฟาง


มีการรวมพลทั้งกลุ่มเล็กกลุ่มใหญ่อย่างรวดเร็ว คนที่อยู่ในกลุ่มมีทั้งมากทั้งน้อย ที่สำคัญคือต้องดูว่าคนที่เป็นแกนกลางของกลุ่มมีภูมิหลังใหญ่โตขนาดไหน คนที่มีภูมิหลังใหญ่โตก็จะรวบรวมคนได้เอยะกว่า


การหาพวกเข้ากลุ่มรอบนี้ไม่ได้ทำไปเพื่อการเข่นฆ่าระหว่างกัน สาเหตุแรกคือเกาะกลุ่มกันไว้เพื่อปกป้องชีวิต ป้องกันไม่ได้โดนฆ่าทำร้าย ต่อให้จะมีการเข่นฆ่าระหว่างกัน แต่ก็เป็นหลังจากที่มีการวาดผลลัพธ์การสำรวจออกมาแล้วแล้ว ไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นตอนนี้


แม้แต่ผู้เข้าร่วมทดสอบทั่วไปที่ไม่มีภูมิหลังก็ยังรีบเข้าไปรวมตัวกับกลุ่มใหญ่ๆ ไม่ได้กังวลว่าในการทดสอบครั้งนี้จะมีความขัดแย้งภายใน หรือถูกคนยึดแย่งผลงานที่สำรวจมาได้อย่างยากลำบาก สาเหตุก็ไม่ซับซ้อนเลย ตำหนักสวรรค์มีตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์แปดพันกว่า หรือพูดได้อีกอย่างว่าหนึ่งกลุ่มเพียงพอที่จะจุได้แปดพันคน


แบบนี้ก็หมายความว่าสิ่งที่คนหนึ่งคนสำรวจได้สามารถแบ่งคนได้ทั้งกลุ่ม ถ้าคนทั้งกลุ่มแบ่งปันกัน แบบนั้นทุกคนก็จะมีผลประโยชน์มากกว่า จะได้คะแนนมากกว่า ถ้าตอนสุดท้ายของการทดสอบกลุ่มไหนทำคะแนนได้เหนือกว่า ก็หมายความว่าคนทั้งกลุ่มจะสามารถเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ได้


เมื่อมีกฎกติกาแบบนี้ เบื้องล่างก็ย่อมมีแผนสำหรับหาช่องโหว่ของกติกา


“ตอนนี้ยังกินอีกเหรอ สมองมีปัญหาแล้วมั้ง?” ชายรูปร่างผอมสูงที่สวมเกราะรบสีแดงทุบพุ่งใหญ่ของชายอ้วนที่อยู่ข้างกัน


ชายอ้วนขาวที่สวมเกราะรบผลึกแดงถือน่องไก่กัดคำหนึ่ง แล้วกรอกสุราใส่ปากคำหนึ่ง เขาเคี้ยวพลางส่ายหน้า แล้วตอบอย่างคลุมเครือว่า “ถ้าท้องข้าไม่มีอาหาร ข้าก็จะไม่มีความมั่นใจ ในห้องต้องมีอาหารเพียงพอ หัวใจถึงจะไม่หวาดกลัว เฮ้อ! ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้นานแค่ไหน ให้ข้าเตรียมตัวเป็นผีที่ไม่หิวโหยเถอะ”


เตรียมตัวทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว อุปกรณ์ก็เปลี่ยนครบแล้ว รวมกลุ่มเสร็จหมดแล้ว พวกจางฮั่นฟางถึงได้มีกะจิตกะใจไปสนจอย่างอื่น จู่ๆ ผู้บัญชาการใหญ่เหลียนฟางอวี้ก็ถามอย่างแปลกใจว่า “หนิวโหย่วเต๋อล่ะ? เขาคงไม่หนีไปแล้วหรอกใช่มั้ย?”


“อยู่นั่นไง ยังไม่ออกจากเขต!” ซูลี่ชี้บอก เขาเฝ้าระวังเหมียวอี้มาตลอด สังเกตทิศทางการเคลื่อนไหวของเหมียวอี้อยู่เป็นระยะ


พอได้ยินแบบนั้น พวกจางฮั่นฟางก็มองเข้าไปในเขตที่ถูกแบ่งโดยกลองทันที เงาร่างที่สวมเกราะม่วงยืนโดดเดี่ยวอยู่ในจุดเริ่มต้น คนที่อยู่รอบข้างไปหมดแล้ว มีเพียงเขาคนเดียวที่ลอยอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน


กลุ่มคนกรูกันออกมา จ้านหรูอี้ที่สวมเกราะรบหยกแดงขี่สัตว์เกราะทองคำรามฟ้า ในมือถือทวนยาว นำกลุ่มคนโผล่ออกมา แม้แต่คนในกลุ่มนางรวมทั้งนางก็ยังจ้องไปที่เงาร่างโดดเดี่ยวในเขตแดนนั้น


จาเหรินจวิ้นเปลี่ยนมาสวมเกราะรบหยกแดงแล้วเช่นเดียวกัน ตอนนี้กำลังขี่เดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็น ในมือถือทวนยาว นำคนกลุ่มหนึ่งโผล่ออกมา จ้องมองเงาร่างโดดเดี่ยวในเขตแดนด้วยสีหน้าเยาะเย้ยถากถาง


“สถานการณ์อะไรกัน?” ชายอ้วนกำลังถือน่องไก่และกรอกสุราใส่ปาก เขาพบเห็นทิศทางการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนแปลกไป จึงหันไปมองแล้วถามว่า “เจ้าหนุ่มนั่นเป็นใคร ทำไมยังไม่ออกจากแขตแดน?”


ชายรูปร่างผอมไว้หนวดเคราและจอนผมที่อยู่ข้างกันตอบว่า “หนิวโหย่วเต๋อ! ข้ากับเขาเคยรู้จักกันตอนการทดสอบครั้งก่อน” เขาไมม่ใช่ใครที่ไหน โฉวตั้งไห่ลูกน้องของโค่วเหวินหวงที่เข้าร่วมการทดสอบครั้งก่อน มีหรือที่จะไม่รู้จักเหมียวอี้


การทดสอบครั้งก่อนไม่ราบรื่น อนาคตของโค่วเหวินหวงในตระกูลโค่วตกต่ำลง  ถูกโค่วเหวินหลานแทนที่ โฉวตั้งไห่ที่ก้าวเท้าพลาดย่อมอับอายอยู่แล้ว การทดสอบครั้งนี้ก็นับว่าเป็นฝ่ายมาลงชื่อสมัครเอง ตอนนี้พอได้เห็นเงาร่างที่โดดเดี่ยวนั่นก็เรียกได้ว่าแค้นจนกัดฟันกรอด ถ้าไม่ใช่เพราะคนคนนี้ เขาก็คงไม่ต้องมาลงชื่อสมัครเข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้


ชายร่างผอมสูงที่อยู่ข้างชายอ้วนอุทานอย่างตกตะลึง “เขาคือหนิวโหย่วเต๋อเหรอ? จุจุ สถานการณ์ไม่ดีเลยนะ! ดูท่าแล้วคงยากที่จะพ้นเคราะห์! แต่ก็ไม่เกี่ยวกับพวกเราหรอก ตระกูลโค่วสั่งมาแล้ว จะไม่ไว้หน้าก็ไม่ได้ บอกต่อๆ กันไว้ด้วย ให้ทุกคนอยู่ห่างจากขบวนการสู้รบนี้เอาไว้หน่อย ภายนอกต้องไว้หน้ากัน กลับไปจะได้อธิบายกับตระกูลโค่วได้สะดวก เมื่อถึงตอนนั้นจะได้ไม่อธิบายลำบาก”


กำลังพลสี่แสนกว่าของสายระกา สายจอ สายกุนบอกข่าวต่อๆ กันแล้ว ตอนนี้กำลังทยอยกันออกจากขบวนทัพใหญ่หนึ่งล้าน เหาะขึ้นไปบนท้องฟ้าที่อยู่สูงขึ้น


และเบื้องล่างก็ยังมีคนที่นับว่าเป็นผู้มีฝีมือในการทดสอบครั้งนี้ทยอยกันโผล่ออกมาจากกลุ่มคน พวกเขาปรากฏตัวอยู่ด้านหน้าและด้านหลังของแถวทัพใหญ่ จ้องมองเงาร่างที่โดดเดี่ยวด้วยสายตาเย็นเยียบ


เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่สวมเกราะรบหยกแดงกำลังขี่นกชิงหลวน ในมือถือดาบใหญ่ นำคนเบียดออกมาจากกลุ่มคน เขามองดูคนทางซ้ายและขวาที่กำลังใช้สายตาดุร้ายจ้องเหมียวอี้ แล้วลูบคางพร้อมด่าว่า “แม่งเอ๊ย ลงนามสัญญาบ้าอะไรล่ะ ไอ้เวรนี่มันจะตายห่าตั้งแต่ตอนเริ่มต้นแล้ว”


ต่งอิ้งเกาที่ยืนอยู่ข้างกันจ้องเงาร่างที่โดดเดี่ยวพร้อมพูดเย้ยว่า “พี่เซี่ยโห้วไม่ต้องลงมือเองหรอก อีกประเดี๋ยวถ้ามีโอกาส ข้าจะเด็ดหัวมันมาให้พี่เซี่ยโห้วระบายความโกรธ”


เซี่ยโห้วหลงเฉิงหันกลับมาบอกว่า “เจ้าแย่งได้เหรอ? คนที่อยากจะฆ่าเขาไม่ได้มีแค่คนสองคน ไม่ได้มีแค่กลุ่มสองกลุ่มด้วย”


“คนเยอะแล้วยังไงล่ะ ต่งคนนี้จะพยายามเต็มที่!” ต่งอิ้งเกากล่าวอย่างอวดดี


ฝานอวี้เฟยมาปรากฏตัวอยู่ข้างกาย บอกว่า “อย่าประมาทเชียวนะ ข้าเคยประมือกับเขามาก่อน คนคนนี้เป็นทหารกล้าที่หาพบได้ยาก เชี่ยวชาญการสู้รบ ไม่ใช่ผู้ที่คนธรรมดาจะสู้ไหว!”


นางคือลูกน้องของเซี่ยโห้วหู่เฉิง สาเหตุที่เข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้ก็ไม่ต่างจากโฉวตั้งไห่เท่าไร อีกสาเหตุหนึ่งคือได้รับคำสั่งจากเซี่ยโห้วหู่เฉิงให้มาปกป้องเซี่ยโห้วหลงเฉิง


“นั่นก็ต้องดูว่าเป็นใคร” ต่งอิ้งเกาหัวเราะเบาๆ พลางพูดเหน็บแนม นอกจากทวนยาวที่ถืออยู่ในมือ เขายังยกมือลูบ ‘ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์’ ที่สะพายเฉียงอยู่ที่บ่าด้วย


“เชอะ!” ฝานอวี้เฟยเชิดใส่ เพียงแต่แววตาที่มองเงาร่างโดดเดี่ยวแทบจะมีไฟลุกออกมา ตอนนี้นางมีฉายา ‘สาวงามผมแหว่ง’ แล้ว นี่เป็นความอัปยศของนาง และเป็นผลงานของคนคนนั้นด้วย


ตรงทางออก โค่วเหวินชิงที่อยู่ในขบวนแถวที่ปรึกษามองดูเงาร่างที่โดดเดี่ยวในสนาม ในใจรู้สึกปลงอนิจจัง ทำสีหน้าเหมือนทนมองตรงๆ ไม่ได้ แล้วก็มองดูกำลังพลกลุ่มใหญ่ของตระกูลโค่วที่กำลังแยกตัวออกไป นางแอบทอดถอนใจ ถึงอย่างไรตระกูลโค่วก็ถือว่าทำดีที่สุดแล้ว


ปี้เย่วฮูหยินที่อยู่ในขบวนแถวแม่ทัพภาคจ้องมองเงาร่างที่โดดเดี่ยว นางส่ายหน้าเบาๆ พลางถอนหายใจ ถึงอย่างไรก็เคยเป็นลูกน้องคนสนิท ตอนนี้กลับได้แต่มองดู…


“โง่เง่าจริงๆ!” เมื่อเห็นคนกลุ่มใหญ่ที่เข้าร่วมการทดสอบรวมกลุ่มหาพวกกันหมดแล้ว เถิงเฟยก็อดไม่ได้ที่จะพ่นเสียงทางจมูก “ถ้ากระจายตัวกันจะมีโอกาสรอดชีวิตมากกว่า การรวมกลุ่มอยู่ด้วยกันเป็นการรนหาที่ตาย ไม่คิดดูบ้างเลย…หืม? คนคนนั้นคือใคร ทำไมยังไม่ลงสนาม สงสัยจะมีคนไม่เห็นคำสั่งประหารของทูตขวาเกาอยู่ในสายตาซะแล้ว!”


เขาพบว่าผู้เข้าร่วมทดสอบจำนวนมากมีปฏิกิริยาแปลกไป สายตาจึงจ้องตามไปเจอเงาร่างที่โดดเดี่ยวอยู่ในสนาม


สายตาของเกาก้วนก็หยุดอยู่บนเงาร่างที่โดดเดี่ยวนั่นเช่นกัน “จะเป็นใครไปได้ล่ะ? คนที่พังร้านค้าของตระกูลเจ้าไง อย่าบอกนะว่าจอมพลเถิงจำไม่ได้?”


บทที่ 1201 ใครขวางข้า ตาย!

โดย

Ink Stone_Fantasy

“พังร้านค้าของข้า…” จอมพลเถิงงงไปชั่วขณะ ด้วยฐานะอย่างเขา เรื่องบางอย่างถ้าผ่านไปแล้วก็ให้แล้วกันไป จะเอาแต่จดจำตัวละครเล็กๆ อย่างเหมียวอี้ได้อย่างไร แต่ในขณะที่ตะลึงงัน หางตาก็ไปหยุดอยู่บนเกราะม่วงของแม่ทัพบนตัวเหมียวอี้ เมื่อเชื่อมโยงกับคำพูดของเกาก้วน เขาก็เข้าใจในทันที “หนิวโหย่วเต๋อ? เขาคือหนิวโหย่วเต๋อเหรอ?”


“เป็นเขานั่นแหละ!” เกาก้วนพยักหน้าเล็กน้อย “ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ที่ต่ำต้อยคนหนึ่ง แต่สามารถทำให้จอมพลเถิงลำบากจดจำชื่อไว้ได้ ก็นับว่าเป็นเกียรติของเขาเหมือนกัน”


ขณะที่เถิงเฟยมองเหมียวอี้อย่างงุนงง ก็พูดเหน็บแนมกลับเช่นกัน “สามารถทำให้ทูตขวาเกาจดจำได้ทั้งชื่อทั้งตัว เกรงว่าจะเป็นเกียรติยิ่งกว่า?”


เกาก้วนกล่าวเสียงเรียบว่า “ไม่เหมือนกัน ข้าเห็นเขาตั้งแต่การทดสอบครั้งก่อนแล้ว ตอนหลังเมื่อเกิดคดีร้านค้าที่ดาวเทียนหยวนข้าก็สอบสวนเขาด้วยตัวเอง นับว่าดึงดูดความสนใจของข้าแล้ว ข้าพบว่าเขามีความสามารถ อยากจะรับเขามาทำงานในหน่วยตรวจการฝ่ายขวา แต่เขากลับไม่ตอบตกลง เขาย่อมตราตรึงอยู่ในความทรงจำของข้าอยู่แล้ว”


เถิงเฟยลูบเคราพลางกวาดสายตามองกลุ่มคนที่จ้องมองอย่างดุร้าย “งั้นตอนนี้เขาก็คงจะนึกเสียใจทีหลังแทบตายแล้ว ถ้าไปทำงานกับทูตขวาเกาตั้งแต่แรก ก็คงไม่เกิดเรื่องอย่างวันนี้ขึ้นกับเขา วันนี้เจ้าเด็กนี่ไม่รอดแล้ว เนรคุณความปรารถนาดีของทูตขวาเกาเสียแล้ว!”


“ก็ไม่แน่หรอก! คนที่ทำให้ข้ามองเห็นความสำคัญได้ ย่อมต้องมีฝีมืออยู่บ้าง ไม่ครจะตกต่ำอยู่ที่นี่สิถึงจะถูก” เกาก้วนกล่าว


“อ้อ!” เถิงเฟยกล่าวอย่างรู้สึกสนใจทันที “ถ้าเขารอดชีวิตกลับมาได้ เช่นนั้นข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้วจริงๆ พวกเรามาเดิมพันกันดีมั้ย ข้าเดิมพันว่าเขาต้องตายอยู่ที่นี่ เจ้าบอกเงินเดิมพันมาสิ!”


“ไม่มีอะไรน่าเดิมพัน!” สายตาของเกาก้วนจ้องเหมียวอี้อย่างสงบเงียบ “ถ้าแม้แต่เหตุการณ์เล็กๆ แบบนี้ยังผ่านไปไม่ได้ เช่นนั้นก็เลือกคนผิดแล้วจริงๆ…”


“เลือกคนผิดเหรอ?” เถิงเฟยหันกลับมาถามอย่างแปลกใจ


เกาก้วนถือโอกาสพูดต่อว่า “ถ้าแม้แต่อุปสรรคแบบนี้ยังก้าวข้ามไปไม่ได้ ก็แสดงว่าตอนแรกข้าไม่ควรเลือกเขา เป็นอย่างที่เจ้าบอก ในเมื่อเนรคุณความปรารถนาดีของข้าแล้ว ไม่สู้ตายอยู่ที่นี่ไปเสียดีกว่า ในอนาคตจะได้ไม่ยึดครองตำแหน่งแล้วทำเสียเรื่อง เป็นการทดสอบไง ทดสอบทั้งคนอื่น แล้วก็ทดสอบเขาด้วยเหมือนกัน ถ้าผ่านด่านนี้ถึงจะใช้ทำงานสำคัญได้ ถ้าไม่ผ่านตำแหน่งจะได้ว่าง ตำแหน่งบางคำแหน่ง พวกไร้ความสามารถไม่มีวาสนาได้ครองหรอก นี่เป็นจุดประสงค์ที่ราชินีสวรรค์จะปรับปรุงตลาดสวรรค์ไม่ได้เหรอ?”


“เหตุการณ์เล็กๆ? คันดินแบบนี้?” เถิงเฟยหลุดขำอย่างอัศจรรย์ใจ “เจ้าคิดว่าเขามีวรยุทธ์เท่าเจ้าเหรอ? เหตุการณ์นี้ อุปสรรคนี้ไม่เล็กสำหรับเขาเลยนะ เจ้าไม่ดูบ้างล่ะว่ามีคนตั้งเท่าไรอยากให้เขา…” คำพูดหยุดชะงัก ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้


เกาก้วนเอียงหน้าช้าๆ มองไปที่เขา แต่กลับเห็นจอมพลเถิงทำหน้าตึงและรีบหยิบระฆังดาราออกมา ไม่รู้ว่ากำลังติดต่อกับใคร


ที่จริงคำพูดของตัวเองเมื่อครู่นี้ก็ทำให้เถิงเฟยนึกขึ้นได้เช่นกัน เขาคาดเดาว่าในบรรดาคนที่ล้อมโจมตีเหมียวอี้คงจะมีคนของเขาด้วย ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ไม่ใช่การคาดเดา แต่แน่ใจว่ามีคนของเขาแน่นอน


ความคิดจิตใจของพวกลูกน้องเป็นอย่างไร ใช่ว่าเขาจะไม่เข้าใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขานั่งรักษาการณ์อยู่ที่นี่ เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา พวกลูกน้องจะต้องยิ่งอยากทุ่มเทกำลังเพื่อแสดงผลงานแน่นอน


การตายของเหมียวอี้คนเดียวไม่สำคัญอะไรสำหรับเขา ถ้าลูกน้องต้องการจะทำแบบนี้ เขาก็ไม่มีความเห็นแย้งอะไรเหมือนกัน คนที่กล้ามาลูบเคราของเขา ถ้าไม่ให้บทเรียนไว้สักหน่อย หรือถ้าไม่เชือดไก่ให้ลิงดูสักหน่อย ต่อไปไม่ว่าใครก็กล้าทำซี้ซั้วน่ะสิ ร้านค้าของจอมพลเถิงไม่ได้พังกันง่ายๆ ขนาดนั้น


เมื่อเดินขึ้นมาอยู่ในระดับอย่างเขา บารมีชื่อเสียงกับความน่าเกรงขามของตัวเองก็ไม่ได้มาจากการกระทำของตัวเองแล้ว ถ้าวางมาดแบบนั้นจะเสียเกียรติ แต่ต้องอาศัยให้พวกลูกน้องขับดุนให้เด่น เมื่ออยู่ในระดับนี้ การไม่วางมาดต่างหากที่เป็นมาดอันสง่างามอย่างแท้จริง และแน่นอน คนที่อยู่ในระดับอย่างเขาก็ไม่มีทางไปเสนอะแนะให้ลูกน้องทำเรื่องพรรค์นี้เช่นกัน ถ้ารู้ไปถึงไหนก็เสียเกียรติอยู่ดี แค่ต้องทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก็พอแล้ว


แต่ตอนนี้เขาไม่มีทางที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ได้ เรื่องราวแสดงให้เห็นอยู่ทนโท่ หนึ่งในสิบสองจอมพลผู้สง่าผ่าเผยมองดูกลุ่มลูกน้องตัวเองรุมตัวละครเล็กๆ คนหนึ่ง แบบนี้มันใช่เรื่องเสียที่ไหนกัน? จอมพลคนอื่นๆ สามารถแสร้งทำเป็นไม่รู้ได้ แต่เรื่องเกิดอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว เขาจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ได้เหรอ?


นี่คือการทดสอบที่ราชินีสวรรค์ใช้อำนาจนอกวังหลังเพื่อจัดขึ้นเป็นครั้งแรก ถ้าเขาเอาแต่ปล่อยให้ลูกน้องทำแบบนี้โดยไม่ห้าม ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้นแล้ว บางครั้งการมีตำแหน่งสูงเกินไปก็เป็นอุปสรรคเหมือนกัน


แต่คนที่เข้าร่วมทดสอบครั้งนี้ โดยส่วนใหญ่ก็มีแต่ตัวละครเล็กๆ ทั้งนั้น เขาไม่มีทางติดต่อกับคนกลุ่มนี้ได้โดยตรง ตอนนี้กำลังรีบติดต่อกับพ่อบ้านของตัวเอง สั่งให้จัดการเรื่องนี้อย่างด่วนจี๋เป็นพิเศษ


เขาใจร้อนขนาดนี้ ลูกน้องก็ย่อมไม่ชักช้า ข่าวกระจายไปถึงผู้นำทัพของกำลังพลสายชวดอย่างรวดเร็ว


มีการตอบสนองเร็วมาก เห็นในทัพใหญ่หนึ่งล้านเกิดความวุ่นวายอยู่พักหนึ่ง กำลังพลหนึ่งแสนกว่าคนของสายชวดรีบปลีกออกจากทัพใหญ่อย่างรวดเร็ว ออกห่างไปเหมือนกำลังพลของตระกูลโค่ว ออกห่างจากความขัดแย้งสนามนี้ไป


เมื่อเห็นการตอบสนองที่รวดเร็วแบบนี้ เถิงเฟยที่จ้องไม่ละสายตาก็ถอนหายใจเบาๆ


เกาก้วนเหล่ตามองสำรวจ พอเห็นการเคลื่อนไหวที่เป็นปฏิกิริยาลูกโซ่แบบนี้ ก็พอจะเดาได้แล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงกล่าวเสียงเรียบว่า “จอมพลเถิง ตัวเจ้าอยู่ในสนามทดสอบ ควบคุมสถานการณ์ในสนามทดสอบแบบนี้ กำลังทำผิดกฎปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ!”


“ทำผิดกฎอะไร?” เถิงเฟยลูบเคราพูดเหยียดว่า “ทูตขวาเกาไปฟ้องข้าต่อหน้าราชันสวรรค์หรือไม่ก็ราชินีสวรรค์ก็สิ้นเรื่องแล้ว”


อีกฝ่ายพูดไม่ผิดหรอก ตามกฎกติกา คนที่อยู่ในสนามทดสอบนี้ หากไม่ใช่ผู้ที่เข้าร่วมทดสอบก็ห้ามแทรกแซงการทดสอบ แต่การแหกกฎแบบนี้ ต่อให้อีกฝ่ายจะฟ้องร้องอย่างไรก็ทำอะไรเขาไม่ได้


เกาก้วนกล่าวอย่างสบายใจว่า “เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวข้าจะรายงานขึ้นไปตามความจริงแน่”


เถิงเฟยขี้คร้านจะสนใจเขา


เสียงกลองหยุดลง เสียงกลองหนึ่งยกจบไปแล้ว จุยหย่วนที่ยืนอยู่เหนือกลองหันกลับมามองเงาร่างที่โดดเดี่ยวนั้น เขาเองก็รู้จักเหมียวอี้เช่นกัน เมื่อเห็นเหมียวอี้ยังไม่ลงสนาม เขาก็ขมวดคิ้วนิดหน่อย โบกมือสั่งให้ตีกลองยกที่สอง


เหมียวอี้ยืนลำพังอยู่ที่เดิม สาเหตุที่ทำแบบนี้ไม่ใช่เพื่อวางมาดหล่อ วางมาดภูมิฐาน และไม่ใช่เพื่อเรียกร้องความสนใจด้วย แต่เป็นเพราะเมื่อครู่นี้ถูกกดดันจนหมดทางเลือกแล้วจริงๆ


บอกได้เพียงว่าดวงไม่ดี มารดาเจ้าเถอะ ตำแหน่งที่เขายืนไม่ได้อยู่ข้างหน้าสุดหรือข้างหลังสุด แต่ซ้ายขวาหน้าหลังของเขาเต็มไปด้วยคน เขาโดนล้อมอยู่ตรงกลางทัพใหญ่หนึ่งล้านคนพอดี ภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่ได้เตรียมตัวเลยสักนิด ต่อให้เขาจะมั่นใจในตัวเองแค่ไหน แต่ก็ไม่กล้าตามขบวนทัพพุ่งออกไปนอกเขตป้องกันทั้งๆ ที่รู้ว่ามีคนโขยงใหญ่ต้องการจะฆ่าตัวเอง ถ้าคนที่อยู่รอบข้างรวมตัวกันมาโจมตีเขา ถ้าไม่ตายก็แปลกแล้ว เขาไม่ได้มีร่างกายเป็นทองคำที่จะไม่บุบสลาย


ดังนั้นภายใต้ความจนใจ เขาจึงทำได้เพียงทำตัวโดดเด่นเหนือคนอื่น ปล่อยให้ทึกคนชื่นชมไป ที่จริงเขาไม่อยากทำตัวนอกคอกแบบนี้เลย


ส่วนตรงด้านหน้า ก็มีคนหลายกลุ่มกำลังจ้องมองเขา ขนาดตอนยังไม่เข้าร่วมการทดสอบก็มีคนจ้องมองเขาอย่างดุร้ายอย่างเสือแล้ว ไม่ใช่คนจำนวนน้อยๆ ด้วย


เขารู้ตั้งแต่ก่อนการทดสอบแล้ว ว่าเมื่อตัวเองเข้าสู่สนามทดสอบ นั่นก็อาจจะเป็นเวลาที่อันตรายที่สุดสำหรับเขา แต่นึกไม่ถึงว่าหลังจากไอ้พวกเวรตะไลมันรวมกลุ่มกันแล้ว จะมีคนกลุ่มใหญ่ขนาดนี้ดักทางตัวเองไว้ ดึงผู้เข้าร่วมทดสอบทั่วไปที่ไร้ภูมิหลังไร้อำนาจมาปะปนอยู่ด้วยกัน


ที่ฝั่งตรงข้าม ยังไม่มีใครออกไปทดสอบสักคน ต่างก็กำลังเฝ้ารอตนอยู่ตรงนั้นอย่างดุร้าย บางทีอาจจะมีบางคนมาดูเอาสนุก ช่างประเมินผู้บัญชาการใหญ่หนิวสูงจริงๆ!


เดิมทีเขาคิดว่าการที่มีคนหลักพันหรืออย่างมากก็หลักหมื่นพุ่งเป้ามาที่เขาก็แย่มากแล้ว ด้วยศักยภาพ ประสบการณ์และความมั่นใจจากการรบมาทั้งชีวิตของเขา ถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่วงล้อมไม่หนาแน่น เดิมทีก็คิดว่าจะสามารถสังหารฝ่าทางออกไปได้ แต่เขานึกไม่ถึงจริงๆ ว่าวันหนึ่งตัวเองจะได้เผชิญหน้ากับทัพใหญ่จำนวนหนึ่งล้านเพียงลำพัง ต้องอาศัยกำลังของตัวเองเผชิญกับทัพใหญ่หนึ่งล้านของตำหนักสวรรค์!


นี่เป็นจำนวนคนที่มากมายหมือนทะเลเหมือนภูเขา! จะฝ่าออกไปได้เหรอ? จะเอาตัวรอดได้เหรอ?


ที่เขายืนเงียบเหงาอยู่ตรงนี้ไม่ขยับไปไหน ไม่ใช่เพราะกลัวการต่อสู้ ก่อนการทดสอบยังกังวลอยู่บ้างนิดหน่อย แต่มากังวลตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์แล้ว ดังนั้นในใจเขาตอนนี้ไม่คิดด้วยซ้ำว่าคำว่า ‘กลัว’ หน้าตาเป็นอย่างไร แต่กำลังครุ่นคิดพิจารณาถึงปัญหานี้อยู่จริงๆ ไม่ครุ่นคิดคงไม่ได้!


เสียงกลองยกแรกหยุดลง เสียงกลองยกสองที่ดังขึ้นได้ดึงเขากลับมาจากความรู้สึกนึกคิดอย่างช้าๆ เขาค่อยๆ กวาดสายตามองกำลังพลที่มากมายดุจขุนเขาและมหาสมุทร


เขาพิจารณาอย่างกระจ่างมากแล้ว คิดจะหนีเหรอ? ถึงแม้ความเร็วของเฮยทั่นจะไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ได้ถนัดเรื่องการเหาะเหิน ไม่มีทางพาตนหนีไปได้เลย ถ้าหนีจะต้องโดนไล่ตามแน่นอน และถ้าจะสู้ด้วยของวิเศษล่ะ? ของวิเศษของตนไม่เหมาะกับการโจมตีหมู่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการโจมตีหมู่ของคนนับล้านเลย มิหนำซ้ำของวิเศษในมืออีกฝ่ายก็ไม่ได้แย่กว่าของตนด้วย แถมยังมีจำนวนมากกว่านแน่นอน ถึงอย่างไรก็มีลูกหลานของผู้มีอำนาจมากมาย เป็นไปไม่ได้ที่จะทรัพย์จาง ถ้าประลองของวิเศษกันจะเป็นการรนหาที่ตาย


จะถอนตัวจากการทดสอบก็ไม่ได้ จะหนีก็ไม่พ้น ทั้งยังต้องหาทางหลบเลี่ยงการโจมตีจากของวิเศษจำนวนมากของอีกฝ่ายด้วย วิธีการเดียวที่เป็นไปได้ก็คือรุกโจมตี สังหารเข้าไปในฝูงชน อาศัยโอกาสที่อีกฝ่ายใช้ของวิเศษไม่สะดวกเพราะมีคนเยอะเกินไป นี่คือทางออกเดียวที่พอจะเป็นไปได้


อวิ๋นจือชิว พวกเจ้าต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปดีๆ นะ!’


ในใจพึมพำประโยคนี้เงียบๆ ความคิดในใจก็ถูกกำหนดแล้วเช่นกัน ตอนที่ปณิธานอันแน่วแน่ค่อยๆ ปรากฏอยู่ในแววตา เสียงกลองยกที่สองก็จบลงแล้ว


สายตาของทุกคนมารวมอยู่บนตัวเขาหมดแล้ว ต่างก็กำลังสงสัยว่าเขาจะกล้าออกไปหรือเปล่า แต่ถ้าไม่ออกไปก็จะตายสถานเดียว


เกาก้วนไม่คุยเล่นกับเถิงเฟยอีก สายตากำลังจ้องเขาอย่างเย็นชา เถิงเฟยก็กำลังจ้องเขาเช่นกัน


ท่ามกลางทัพใหญ่หนึ่งล้านมีคนไม่น้อยที่กำลังจ้องเขาด้วยแววตาหยอกล้อ ทุกคนกำลังจับตาดูปฏิกิริยาของเขา


พอจุยหย่วนที่กำลังยืนมองเขาอยู่บนกลองโบกมือ ตุ้งๆๆๆ…กลองยกที่สามเริ่มดังขึ้นแล้ว


เหมียวอี้ที่ถอนหายใจช้าๆ เฮือกหนึ่งกางแขนสองข้าง เกราะรบบนตัวกลายเป็นหมอกสีม่วงเก็บเข้าแหวนเก็บสมบัติ เกราะรบผลึกแดงตกอยู่ในฝ่ามือ สวมครอบทั้งร่างกายเสียงดังเปาะแปะ เป็นเกราะรบผลึกแดงที่มีความบริสุทธิ์สูง!


เมื่อเกราะแดงคลุมตัว สายตาก็จ้องตรงไปหาทัพใหญ่หนึ่งล้านตรงหน้าอย่างสงบเงียบ มือขวาขยุ้มกลางอากาศอย่างมีพลัง ทวนเกล็ดย้อนพลันปรากฏอยู่ในมือ พอเขาสะบัดมือชี้เฉียงไปเบื้องล่าง “กรรร” เสียงมังกรคำรามดังแว่วไม่หยุด ลักษณะท่าทางเปลี่ยนไปในชั่วพริบตาเดียว ดุร้าย!


พอโบกมือข้างซ้าย เงาร่างของเฮยทั่นก็แฉลบออกมาจากกระเป๋าสัตว์


เฮยทั่นยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น มันสั่นหัวส่ายหางพลางเหลียวซ้ายแลขวา


“สัตว์พาหนะตัวนี้เหมือนจะเป็น ‘หลีหลง’ ชนิดหนึ่งนะ” เถิงเฟยที่กำลังมองดูกล่าวเสียงเรียบ


เกาก้วนไม่ได้กล่าวปฏิเสธ ไม่ได้ตอบอะไรทั้งนั้น ยังคงมองดูทุกการกระทำของเหมียวอี้อย่างเงียบๆ


แต่พอเหมียวอี้ชี้มือซ้ายไปที่เฮยทั่น ห่วงเหล็กบนคอเฮยทั่นเปล่งแสงสีทองทันที แยกออกกลายเป็นโลหะสีแดงที่ไหลกลิ้ง ชั่วพริบตาเดียวก็ครอบทั้งร่างกายเฮยทั่นเอาไว้ สัตว์พาหนะที่หน้าตาเหมือนมารปีศาจปรากฏตัวขึ้นในทันที


มือขวาถือทวน มือซ้ายชี้เฮยทั่นพร้อมกล่าวเสียงต่ำว่า “ข้างหน้าคือศัตรูทั้งหมด กล้าไปสู้ตายด้วยกันกับข้ามั้ย!”


เฮยทั่นที่สั่นหัวส่ายหางหยุดนิ่งทันที ดวงตาสิงโตสีแดงเลือดจ้องทัพใหญ่ตรงหน้าอย่างใจจดใจจ่อ จากนั้นก็เริ่มแสดงอาการกระสับกระส่ายร้อนรน ร่างกายโยกไหวอย่างช้าๆ แล้วจู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้นฟ้าคำราม “อ๋าว…”


เสียงดังสะเทือนท้องฟ้า มันหันขวับมองไปที่เหมียวอี้


เหมียวอี้มองออกถึงความเร่าร้อนในแววตาของมัน เงาร่างของเขาถลันวูบ ไปตกลงบนหลังของมันแล้ว


ในชั่วพริบตาเดียว เฮยทั่นก็แบกเขาพุ่งออกไปราวกับลูกธนูพุ่งออกจากสาย ไม่มีการเลี้ยวอ้อม พุ่งชนไปหากลองสะท้านฟ้าที่ดังอยู่ตรงหน้าไม่หยุด


เหมียวอี้บอกว่าข้างหน้าคือศัตรูทั้งหมด เฮยทั่นย่อมไม่เกรงใจอยู่แล้ว


เหมียวอี้เองก็นึกไม่ถึงว่าเฮยทั่นจะบุ่มบ่ามขนาดนี้ แต่ภายใต้ฉากและเหตุการณ์นี้ คนที่ผ่านสนามรบมานานอย่างเขารู้ว่าอะไรคือการทำให้สำเร็จลุล่วงในรวดเดียว เขาไม่ได้ห้ามมัน แต่กลับกระทุ้งออกไปเพื่อเสริมพลังอำนาจ


เสียงมังกรคำรามดังขึ้น บึ้ม! กลองสะท้านฟ้าถูกกระแทกจนแตกเป็นเสี่ยงๆ คนตีกลองตกใจจนลนลานหนีออกไป เงาร่างของเฮยทั่นพุ่งฝ่าเศษกลองที่ปลิวว่อนออกไปแล้ว ดูมีพลังเข้มแข็งเกรียงไกร!


จุยหย่วนที่ยืนอยู่บนกลองนึกไม่ถึงว่าจะเกิดฉากนี้ขึ้นมา ภายใต้ความตื่นตะลึง เขาตะโกนเสียงเข้มว่า “บังอาจ!”


“ปล่อยเขาไป!” ยินเกาก้วนถ่ายทอดเสียงอันราบเรียบมาถึงข้างหู เขาหันกลับไปมอง เห็นเพียงเกาก้วนยกมือท่ามกลางฝูงชนเพื่อห้ามเขาไม่ให้แสดงปฏิกิริยาอะไรอีก


จู่ๆ ก็เกิดฉากแบบนี้ขึ้น ฉากที่อาละวาดกะทันหันแบบนี้ทำให้ทุกคนในเหตุการณ์ตกใจ ทัพใหญ่หนึ่งล้านโดนข่มพลังอำนาจไปสามส่วนโดยปริยาย


เหมียวอี้หยุดสัตว์พาหนะแล้ว คุมเชิงอยู่ตรงหน้าทัพใหญ่หนึ่งล้านตามลำพัง ถือทวนชี้ออกไป พลังอำนาจยามพังกลองสะท้านฟ้าของตำหนักสวรรค์ได้เขย่าขวัญคนทั้งสนาม “หลีกไป! ใครขวางข้า ตาย!”


…………………………


บทที่ 1202 ก้อนอิฐที่ใช้โยนล่อหยก

โดย

Ink Stone_Fantasy

ทุกคนนิ่งเงียบ เสียงกลองสะท้านฟ้าระเบิดยังคงดังหึ่งๆ


คนตีกลองที่อยู่ตรงหน้ากลองสะท้านฟ้าอีกสิบเอ็ดใบก็หยุดตีกลองเพราะตกใจในการเปลี่ยนแปลงกะทันหันนี้เช่นกัน จนกระทั่งพบความผิดปกติและจะตีกลองอีกครั้ง จุยหย่วนก็โบกมือสั่งให้หยุดตีกลองแล้ว ถ้าสั่งให้หยุดแล้วตอนนี้เจ้าก็ตีข้าก็ตี เสียงกลองจะต้องดังมั่วเป็นแถบๆ แน่นอน แบบนี้ใช่เรื่องเสียที่ไหนกัน มิหนำซ้ำผู้เข้าร่วมทดสอบก็ลงสนามไปแล้ว จะตีกลองหรือไม่ตีกลองก็ไม่เป็นอะไร


กล้าพังกลองสะท้านฟ้าในโอกาสและสถานที่แบบนี้ อย่างน้อยผู้เข้าร่วมทดสอบหนึ่งล้านที่อยู่ตรงหน้าก็ไม่มีใครกล้าทำ และไม่มีใครอยากทำด้วย


โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากพังกลองสะท้านฟ้าไปแล้วหนึ่งใบ เสียงกลองที่ทำให้ทุกคนวิตกกังวลเงียบแล้ว พลังอำนาจที่แสดงออกมา ทำให้คนตะลึงค้างอย่างแท้จริง


เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่เบิกตากว้างมองเหมียวอี้กระตุกมุมปาก ตอนนี้หุบปากไม่ลงแล้ว ขาเองก็นับว่ากำเริบเสิบสาน แต่ก็ยังไม่กล้าทำเรื่องแบบนี้ต่อหน้าทูตขวาตรวจการเกาก้วน ต่อให้มีความกล้าหาญอีกร้อยเท่าก็ไม่กล้าทำแบบนี้ วันนี้นับว่าได้รู้จักแล้วว่าอะไรเรียกว่ากำเริบเสิบสาน!


พวกจางฮั่นฟางจากจวนแม่ทัพภาคตงหัวก็ยิ่งตกตะลึงอ้าปากค้าง นี่ยังใช่เจ้าเต่าหัวหดขี้ขลาดที่โดนด่าแล้วไม่ตอบโต้อยู่มั้ย?


ซูลี่ที่ติดตามอยู่ข้างๆ รวบรวมสมาธิโดยจิตใต้สำนึก ในที่สุดวันนี้ก็ได้เห็นพลังอำนาจของผู้บัญชาการใหญ่หนิวอีกครั้ง  ผู้บัญชาการใหญ่หนิวที่สั่งคำเดียวแล้วหัวสามพันหัวร่วงลงพื้น แตกต่างกับผู้บัญชาการใหญ่ตอนอยู่จวนแม่ทัพภาคราวฟ้ากับดิน!


โค่วเหวินชิงตาค้าง ปี้เย่วฮูหยินเผยอปากงามเล็กน้อย จ้านหรูอี้ประหลาดใจ จาเหรินจวิ้นพูดไม่ออก


“พลังอำนาจข่มทัพใหญ่หนึ่งล้าน น่าสนใจทีเดียว!” เถิงเฟยที่กำลังมองดูเดาะลิ้น เอามือลูบหนวดพลางเหล่ตาถามว่า “ทำลายบารมีตำหนักสวรรค์ต่อหน้าฝูงชน ทูตขวาเกาจะจัดการลงโทษอย่างไรล่ะ?”


เกาก้วนจ้องหมียวอี้ลางกล่าวเสียงเรียบ “ถ้าผ่านด่านนี้ไปได้ ข้าก็จะไว้ชีวิตเขาสักครั้ง แต่ถ้าผ่านด่านนี้ไปไม่ได้ แลช้วคนพวกนั้นไม่ฆ่าเขา ข้าก็จะต้องประหารเขาเอง!”


“เจ้าไม่เหลือทางถอยไว้ให้เขาสักนิดเลยเหรอ!” เถิงเฟยกล่าว


“เขายังมีทางให้ถอยอีกเหรอ? ในใต้หล้านี้ มีข้าคนเดียวให้ทางถอยกับเขาแล้วจะมีประโยชน์อะไร?” เกาก้วนถาม


สายตาของเถิงเฟยไปหยุดอยู่บนสัตว์พาหนะของเหมียวอี้ “ขนาดสัตว์พาหนะยังสวมเกราะรบผลึกแดง สงสัยเจ้าหนุ่มนี่จะตักตวงที่ตลาดสวรรค์ได้ไม่น้อยเลย ในนั้นอาจจะมีคุณูปการของร้านค้าด้วยก็ได้”


สายตาของคนอื่นก็ค่อยๆ ไปหยุดอยู่บนตัวเฮยทั่นเช่นกัน ทุกคนยังเคยเห็นสัตว์พาหนะสวมเกราะรบเป็นครั้งแรกด้วย เกราะรบหน้าตุร้ายทั้งตัวชุดนั้น จะต้องไปหาคนมาทำให้โดยเฉพาะแน่นอน หาซื้อโดยตรงจากร้านค้าไม่ได้แน่ ทั้งยังเป็นเกราะรบผลึกแดงด้วย ดูจากพื้นที่ที่เกราะรบชุดนี้ครอบคลุม อย่างน้อยก็เท่ากับเกราะรบบนตัวคนเจ็ดแปดคน หลอมสร้างออกมาไม่ได้ภายในเวลาสั้นๆ แบบนี้ต้องใช้เงินมากเท่าไรกัน? อย่างน้อยก็แพงกว่าสัตว์พาหนะที่เป็นสัตว์เทพ ไม่มีมครทำแบบนี้ไหว แต่ต่อให้ทำไหว ในเมื่อมีเงินมากมายขนาดนั้นก็ไม่สู้ซื้อสัตว์พาหนะที่เป็นสัตว์เทพเตรียมไว้หลายๆ ตัวจะเหมาะสมกว่า ถึงอย่างไรเกราะรบก็อาจจะปกป้องสัตว์พาหนะไม่ได้


เมื่อเชื่อมโยงกับเกราะรบบนตัวเหมียวอี้ ก็มีคนไม่น้อยจ้องตาเป็นมัน แอบพึมพำว่าเจ้าหมอนี่มันทุ่มทุนจริงๆ


ที่ตรงนั้นเงียบงันไร้เสียง เหมียวอี้โบกชี้คมทวน แล้วตะโกนบอกอีกครั้ง “หลีกไป! ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าทวนของหนิวไร้ความเมตตา!”


“อ๋าว…” เฮยทั่นยื่นหัวคำรามใส่ทัพใหญ่หนึ่งล้านที่อยู่ตรงหน้า ไม่เห็นกลุ่มวีรบุรุษอยู่ในสายตาเลยจริงๆ มันเองก็นับว่าผ่านสนามรบมานับร้อยแล้วเช่นกัน


“กรรร!”


“โฮก!”


เกิดการตอบสนองของสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เทพมีสติปัญญาในระดับหนึ่ง สามารถเข้าใจความหมายที่สื่อสารระหว่างสัตว์เทพด้วยกัน เฮยทั่นกำลังท้าทายอย่างโอหังอวดดี ไม่เห็นสัตว์เทพตัวอื่นอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย ยั่วให้บรรดาสัตว์เทพของทัพใหญ่หนึ่งล้านที่เรียงแถวอยู่ตรงหน้าคำรามตอบทันที คำรามตอบเพื่อโอ้อวดอานุภาพ ทำให้กลุ่มคนต้องควบคุมสัตว์พาหนะไว้เช่นกัน


ชั่วขณะนั้น ในสนามเกิดพลานุภาพเหมือนทัพใหญ่พร้อมจะปะทะกันได้ทุกเมื่อ เสียงคำรามอันเกรี้ยวกราดของสัตว์เทพจำนวนมากดังต่อเนื่องเป็นระลอก


“คางคกอ้าปากหาว โอ้อวดไม่เบา ถามทวนในมือปู่คนนี้ก่อนเถอะ!”


จาเหรินจวิ้นที่อยู่ตรงหน้ากลุ่มคนชี้ทวนเข้ามา ชิงกลั่นแกล้งก่อนคนอื่น ก่อนหน้านี้ตอนไปหาเหมียวอี้เคยโดนเหมียวอี้สร้างความอับอายให้ ทั้งแค้นเก่าแค้นใหม่ บวกกับที่เคยประกาศไว้ต่อหน้าฝูงชนว่าจะให้บทเรียนเหมียวอี้ มีหรือที่จะยอมเสียหน้า อีกทั้งอาศัยช่วงที่เหมียวอี้กำลังมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั้งใต้หล้า ขอเพียงสามารถฆ่าเหมียวอี้ได้ ต่อให้ช่วงหลังของการทดสอบจะซ่อนตัวไม่ยอมออกมา แต่สำหรับเขาก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อเรื่องสำคัญอยู่ดี เขาเคยพูดจาโอ้อวดต่อหน้าท่านอาหญิงไปแล้ว อย่างน้อยกลับไปจะได้มีคำอธิบาย


“นายน้อยจา!”


นี่ยกง ไก้อู๋ซวง หู่โพ่ ฮัวต้าหลางที่ติดตามอยู่ทางซ้ายและขวาของเขาถ่ายทอดเสียงห้ามพร้อมกัน


เนี่ยกงรีบถ่ายทอดเสียงโน้มน้าว “นายน้อยจา จะดูถูกใครก็ได้แต่อย่าดูถูกศัตรู ตอนการทดสอบที่สถานที่ไร้ระเบียบ เขามีพลานุภาพข่มหมู่วีรบุรุษ ไม่ได้มีดีแค่ชื่อเสียงแน่นอน ประมาทไม่ได้เด็ดขาด ให้คนอื่นทดสอบฝีมือเขาก่อนดีกว่า ค่อยตัดสินใจตอนหลังก็ยังไม่สาย!”


ล้อเล่นอะไรกัน? จาเหรินจวิ้นหันกลับมามองซ้ายมองขวา “ข้าพูดออกมาแล้ว ถ้าถอยออกไปตอนนี้ ข้าจะมีหน้าไปเจอคนอื่นได้ยังไง?”


แต่หลังจากที่ได้ฟังพวกเขาพูดแล้ว ตัวเองก็รู้สึกไม่มั่นใจนิดหน่อย มาดอันทรงพลังอ่อนลงแล้ว เปลี่ยนเป็นพูดว่า “เดี๋ยวข้าจะประลองกับเขาสักสองสามท่าก่อน  ถ้าข้าไม่ไหว พวกเขาก็นำคนโจมตีเข้าไปพร้อมกัน!”


“นายน้อยจา!” ทั้งสี่อุทานห้ามอีกครั้ง


ทว่าสายไปแล้ว จาเหรินจวิ้นไม่มีทางยอมเสียหน้าแบบนี้ ควบขี่เดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นเข้าไปแล้ว พร้อมโบกทวนตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “หนิวโหย่วเต๋อ รับความตายซะเถอะ!”


เนี่ยกงและอีกสามคนพูดไม่ออก เรียกได้ว่าแอบร้องอย่างขมขื่น คิดในใจว่า เจ้าพูดโอ้อวดนิดหน่อยเพื่อกู้หน้ากลับมาก็พอแล้ว ถ้าจะลงสนามรบไปสู้กันจริงๆ นั่นก็ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น แล้ว เจ้ามีวรยุทธ์แค่บงกชทองขั้นสี่ ทั้งยังไม่มีประสบการณ์ในสนามรบ จะผลีผลามไปสู้กับหนิวโหย่วเต๋อผู้มีชื่อเสียงอันยาวนานทั้งยังโด่งดังในการรบได้อย่างไร? อีกฝ่ายไต่เต้ามาถึงจุดนี้ได้ไม่ใช่เพราะอาศัยเส้นสายภูมิหลัง แต่เป็นการสังหารฝ่ามาตลอดทางต่างหาก! ไม่ใช่ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ทั่วไปแน่นอน จะมองเห็นเป็นเรื่องธรรมดาได้อย่างไร! สาเหตุที่คนอื่นได้แต่รอจังหวะบุกโจมตี ก็เพราะอยากจะให้คนอื่นไปทดสอบฝีมือหนิวโหย่วเต๋อก่อน แต่ดูเจ้าทำสิ เป็นฝ่ายกระโดดออกไปสำรวจเส้นทางให้คนอื่น จะทำอะไรก็ไม่ทำ ดันจะไปเป็นอิฐที่ถูกโยนล่อหยก[1]เสียอย่างนั้น!


ทั้งสีร้อนใจราวกับโดนไฟเผา กังวลว่าจาเหรินจวิ้นจะทำพลาด ที่ทั้งสี่มาที่นี่ก็เพราะได้รับการฝากฝังจากฮูหยินของเทพประจำดาว ว่าให้ปกป้องนายน้อยท่านนี้ให้ดี ขอเพียงให้นายน้อยรอดชีวิตกลับไปได้ ไม่ว่าผลคะแนนจะเป็นอย่างไร ฮูหยินของเทพประจำดาวก็จะรับประกันอนาคตของพวกเขา


ในทางกลับกัน ถ้าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับจาเหรินจวิ้น เมื่อทั้งสี่กลับไปแล้วก็จะไม่มีทางแก้ตัวได้ จึงต่างคนต่างถืออาวุธไว้ในมือทันที หันกลับมาถ่ายทอดเสียงให้คนในกลุ่มข้างหลังเตรียมตัวบุกโจมตี หากเกิดอันตรายขึ้นกับจาเหรินจวิ้น ทุกคนก็ต้องพุ่งเข้าไปช่วยชีวิตทันที


คนนี้อีกแล้วเหรอ! เหมียวอี้กวาดมองด้วยสายตาเย็นเยียบ เรื่องที่จาเหรินจวิ้นกำเริบเสิบสานใส่เขาตอนอยู่ในพื้นแอ่ง เขายังจำได้อย่างชัดเจน เหมือนจะมาล้างแค้นให้เยว่สวินเกา ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นใคร? จึงโบกทวนชี้ถาม “ข้าไม่สังหารทหารเลวไร้นาม บอกซื่อแซ่มา!”


ทหารเลวไร้นามเหรอ? จาเหรินจวิ้นรู้สึกว่าตัวเองโดนดูหมิ่นแล้ว จึงเร่งพุ่งเข้าไปพร้อมตะโกนอย่างเดือดดาล “บังอาจพูดาจาโอหังอวดดี ข้าคือท่านปู่จาของเจ้าไง จาเหรินจวิ้นอยู่นี่แล้ว!”


จาเหรินจวิ้น? เหมียวอี้เข้าใจทันที เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ชื่อนี้ไม่ได้แปลกหู ตอนแรกเยว่สวินเกาก็มาหาเขาเพราะคนคนนี้ ถ้าเขาจำไม่ผิด นี่คงจะเป็นหลานชายของฮูหยินเทพประจำดาวเถาะฟ้า


พูดกันตามจริง เขาไม่อยากสร้างความแค้นกับผู้มีอำนาจของตำหนักสวรรค์ และไม่อยากฆ่าจาเหรินจวิ้นที่อยู่ตรงหน้านี้ด้วย


แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่นี่ในตอนนี้ ทำให้เขาไม่มีทางถอยแล้ว ศึกแรกมีแต่ต้องแสดงอานุภาพของตัวเองเท่านั้น จะให้สูญเสียความมั่นใจในตัวเองไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะทำให้ทัพใหญ่หนึ่งล้านที่อยู่ตรงหน้าดูถูก ถ้าอีกฝ่ายโจมตีเข้ามาแบบมืดฟ้ามัวดิน ตัวเองก็ตกอยู่ในอันตรายแล้ว!


ถ้าอยากจะรอดชีวิตจากศึกนี้ ก็ต้องทำให้คนสะเทือนขวัญในศึกแรกให้ได้ ต้องข่มขวัญกำลังใจทหารของอีกฝ่าย ต้องทำให้คนส่วนใหญ่เกรงกลัวการรบ ตนจะได้รับมือได้อย่างสบายๆ หน่อย!


แล้วอีกอย่าง ตอนนี้ระบบของตลาดสวรรค์ก็ถูกแยกออกมาจากสังกัดของผู้มีอิทธิพลฝ่ายต่างๆ แล้ว ต่อให้เป็นเทพประจำดาวเถาะฟ้าก็ยากที่จะกลั่นแกล้งเขาได้ง่ายๆ มีอะไรต้องกลัวล่ะ?


ถ้าจะพูดแบบเบาๆ หน่อยก็คือ ชีวิตของจาเหรินจวิ้นสำคัญกว่า หรือชีวิตขงตัวเองสำคัญกว่าล่ะ?


ฆ่า!


ในดวงตาเหมียวอี้ฉายแววมุ่งสังหาร ขณะมองดูจาเหรินจวิ้นที่มีวรยุทธ์บงกชทองขั้นสี่แยกเขี้ยวยิงฟันโบกทวนพุ่งเข้ามา เขาก็เรียกได้ว่าทำสีหน้าเหยียดหยาม เพราะเขาเองก็วรยุทธ์บงกชทองขั้นสี่เหมือนกัน แต่ทวนเกล็ดย้อนของเขาบวกกับเกราะรบบนตัวก็เกือบจะต้านทานพลังได้ครึ่งหนึ่งแล้ว แค่จาเหรินจวิ้นกระจอกๆ คนเดียวจะมีอะไรน่ากลัวล่ะ?


แต่ที่น่าขำก็คือ ดูจากเจตนาของจาเหรินจวิ้นแล้ว มีเดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นแต่ไม่ใช้ประโยชน์มัน กลับดันทุรังมาประลองทวนกับตนตรงๆ เป็นการรนหาที่ตายแท้ๆ เลย!


ตอนทดสอบที่สถานที่ไร้ระเบียบ เขาก็ได้รับรู้ถึงอานุภาพของเดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นแล้ว มีความสามารถในการโจมตีด้วยคลื่นเสียง


เมื่อเห็นศัตรูพุ่งโจมตีเข้ามา เฮยทั่นก็บ้าดีเดือดทันที ต้องการจะพุ่งโจมตีออกไป ทว่ากลับโดนเหมียวอี้แอบควบคุมเอาไว้


คนหนึ่งคนกับสัตว์พาหนะหนึ่งตัวเห็นศัตรูพุ่งเข้ามา แต่กลับสงบนิ่งอยู่ที่เดิม ไม้สะทกสะท้านดุจขุนเขา


“ตาย!” จาเหรินจวิ้นที่พุ่งมาตรงหน้าตะโกนเสียงดัง โบกทวนเล่นลูกไม้หลอกล่อ หมายจะทำให้เหมียวอี้สับสน เพราะที่จริงแอบซ่อนท่าไม้ตายเอาไว้ อาศัยการพุ่งโจมตีของสัตว์พาหนะ มีความรวดเร็วมากจริงๆ


เหมียวอี้ที่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่แม้แต่จะยกทวนขึ้นมาเลย ใช้สายตาเย็นเยียบมองดูความเร็วในการลงมือของอีกฝ่าย เผยยิ้มเหยียดหยามตรงมุมปากอย่างชัดเจน


จนกระทั่งทวนที่เล่นลูกไม้จ่อมาถึงตรงท่า จู่ๆ เหมียวอี้ที่นิ่งสงบดุจขุนเขาก็เคลื่อนไหวรวดเร็วดุจไฟเผา โบกทวนกวาดออกมาหนึ่งครั้ง ไม่สนใจว่าเจ้าจะเล่นลูกไม้ลอกล้อหรือไม่ กวาดทวนออกไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน


แกร๊ง! เกิดเสียงดังสะเทือน


ด้ามทวนกระแทกกับด้ามทวน ตีจนเงาทวนที่ยุ่งเหยิงปราฏฏร่างเดิมแล้ว


จาเหรินจวิ้นตกใจทันที พบว่าเหมียวอี้จับทวนมือเดียว ใช้มือข้างเดียวถือทวนสู้กับเขา บวกกับรอยยิ้มมุมปากแสดงอาการเหยียดหยามของเหมียวอี้ ช่างไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลยจริงๆ ในใจเรียกได้ว่าทั้งตะหนกทั้งโมโห สองมือที่จับทวนออกแรงผลักทันที ถือโอกาสอาศัยแรงเฉื่อยที่พุ่งเข้ามาแทงไปทางศีรษะของเหมียวอี้


ทว่าเหมียวอี้ส่งทวนออกไปด้วยมือข้างเดียวก่อนเขาแล้วหนึ่งก้าว หัวทวนสามแฉกที่แหลมคมมาพร้อมกับเสียงมังกรคำราม จ่อแทงไปตรงหน้าผากของอีกฝ่ายแล้ว


จาเหรินจวิ้นตกใจมาก ได้แต่มองดูหัวทวนที่แหลมคมจาอมาตรงหน้าตัวเองตาปริบๆ ความหวาดกลัวที่ฉายในดวงตานั้นยากที่จะปิดบังไว้ได้ เพียงชั่วแวบเดียว ในที่สุดเขาก็เข้าใจถึงความโหดร้ายของสนามรบแล้ว ไม่ใช่สถานที่ที่ลูกหลานผู้มีอำนาจอย่างเขาจะมาเล่นได้เลย


ไม่ได้ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะมาพลีชีพที่นี่ แค่บุคลิกอย่างเดียวก็ต่างกันไม่ใช่น้อยๆ แล้ว บนสนามรบให้ความสำคัญกับกับบุคลิกกับขวัญกำลังใจในการรบ!


ที่จริงวิชาทวนของเขาก็ไม่ได้แย่ เพียงแต่ของบางอย่างที่มีไว้สู้กันจริงจัง ถ้าไม่พากเพียรฝึกแบบถลกหนังให้ถึงแก่นแท้จนควบคุมได้อย่างอิสระราวกับเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายตัวเอง ต่อให้เป็นวิชาทวนที่ดีกว่านี้ก็เป็นแค่หมัดบุปผาขาผ้าปักลาย[2]อยู่ดี!


ชั่วระเดี๋ยวเดียวก็มีเสียงดังฉึก เสียงมังกรคำรามของทวนเกล็ดย้อนเงียบลง เลือดสาดกระจายออกมาจากหัวทวน หัวทวนจมลงในใบหน้าที่ครอบด้วยเกราะหัวแล้ว


ร่างของจาเหรินจวิ้นแยกออกจากเดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นในชั่วพริบตาเดียว ยังไม่ทันได้เปล่งเสียงกรีดร้องออกมา ก็โดนทวนของเหมียวอี้ปาดขึ้นมาแล้ว หัวทวนปาดเสยที่เกราะหัว  ปาดยกขึ้นมาทั้งเกราะหัวทั้งตัวคนที่ห้อยอยู่ข้างล่าง ร่างกำลังห้อยต่องแต่งอยู่บนทวนที่เหมียวอี้ใช้แขนข้างเดียวปาดขึ้นมา


เดิมทีจาเหรินจวิ้นคิดว่าต่อให้ตัวเองจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมียวอี้ แต่อย่างน้อยก็ยังปะทะกันได้สักสองสามท่า ถ้าม่ไหวจริงๆ ก็ยังมีคนคอยมาช่วยสนับสนุน แต่ชั่วพริบตาเดียวก่อนตายเขาถึงได้นึกเสียใจทีหลัง ว่าตัวเองรับมืออีกฝ่ายไม่ได้แม้แต่ท่าเดียวด้วยซ้ำ…


ปั้ง! จู่ๆ ร่างของเฮยทั่นก็เลี้ยวเปลี่ยนทิศทาง มันสะบัดหางออกไปด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ ปลายหางลากลูกกลมกรวยแหลมผลึกแดง ภายใต้สถานการณ์ที่แม้แต่เหมียวอี้เองก็ยังไม่ได้เตรียมใจ เทพมังกรสะบัดหางหนึ่งทีอย่างฉับพลัน โอกาสพอเหมาะพอดี อัศจรรย์ราวกับเป็นพู่กันของพระเจ้า


ลูกกลมกรวยแหลมฟาดหน้าผากเดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นที่แฉลบผ่านร่างกายมันไปอย่างแรง ฟาดจนเกราะน้ำแข็งของมันแตก ของเหลวที่อยู่ในศีรษะสาดกระจายไปทั่วทิศ


“อู…” เดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นกรีดร้องอย่างเศร้าโศก ร่างกายพลิกไปพลิกมาอยู่กลางอากาศ


เหมียวอี้หันกลับไปมองแวบหนึ่ง รู้สึกว่าน่าเสียดายแล้ว


เฮยทั่นก็หันกลับมามองหน้าเขาแวบหนึ่งเช่นกัน แต่กลับพลิกกรงเล็บแหลมแล้วแลบลิ้นเลีย ทำท่าทางเหมือนยังไม่ถึงอกถึงใจ


…………………………


[1] โยนอิฐล่อหยก 抛砖引玉 การใช้ของที่มีค่าไม่มากไปหลอกล่อเพื่อให้ได้ของที่มีค่ามากกว่ากันหลายเท่า


[2] หมัดบุปผาขาผ้าปักลาย 花拳绣腿 อุปมาถึงเพลงมวยที่สวยแต่กระบวนท่า แต่ใช้งานจริงไม่ได้


บทที่ 1203 วิธีรวมพลสู้รบตามมาตรฐาน

โดย

Ink Stone_Fantasy

เจ้านายกำจัดเจ้านายฝ่ายศัตรูทิ้งด้วยการโจมตีครั้งเดียว สัตว์พาหนะก็กำจัดสัตว์พาหนะของศัตรูทิ้งได้ภายในการโจมตีครั้งเดียว ทั้งสองสังหารได้อย่างสบายๆ ราวกับเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว


จาเหรินจวิ้นพุ่งโจมตีโดยหันหลังออก คนส่วนใหญ่มองไม่เห็นวรยุทธ์ของเขา แต่คนจำนวนไม่น้อยที่พอจะมีประสบการณ์ในการเข่นฆ่าอยู่บ้างเห็นแล้วส่ายหน้าทันที มีเพียงคำว่า ‘รนหาที่ตาย’ มอบให้ มีทักษะเล็กน้อยแค่นี้ แต่ยังกล้าไปท้าท้ายอันดับหนึ่งของการทดสอบในสถานที่ไร้ระเบียบอีก ถ้าไม่เรียกว่ารนหาที่ตายแล้วจะเรียกว่าอะไร? เจ้าดูสิว่าอีกฝ่ายสังหารได้อย่างสบายมือ เป็นการวิ่งไปชนหัวทวนของอีกฝ่ายเองแท้ๆ


ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่สำหรับนักพรตส่วนใหญ่ที่อยู่ในทัพใหญ่หนึ่งล้าน พวกเขายังคงเกิดความสั่นคลอนในใจ กำลังพิจารณาว่าถ้าเปลี่ยนเป็นตัวเองแล้วจะรับมือกับทวนเมื่อครู่นี้ได้หรือไม่


ในศึกแรกของเหมียวอี้ แค่โจมตีทีเดียวก็ปลิดชีพฝ่ายตรงข้ามได้แล้ว ลงมือได้อย่างผ่อนคลายและโอหังที่สุด ความทรงพลังนี้ทำให้คนไม่น้อยเกิดความกดดันในจิตใจ ในจิตใตสำนึกแอบวาดระยะห่างกับเหมียวอี้อย่างชัดเจน สำหรับคนส่วนใหญ่ ถึงอย่างไรก็มาทดสอบเพื่อฝ่าฟันอนาคตอยู่แล้ว ไม่ได้มาสู้ตายกับเหมียวอี้เพื่อให้มีอนาคตที่ดี ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นมาก็จะไม่คุ้ม


สำหรับคนพวกนี้ การที่จาเหรินจวิ้นตายด้วยน้ำมือเหมียวอี้ไม่ได้เหนือความคาดหมายเลยสักนิด แต่กลับเป็นสัตว์พาหนะของเหมียวอี้ที่แสดงฝีมือได้อย่างยอดเยี่ยม ในสายตาของคนพวกนี้ เฮยทั่นกลับข่มการแสดงฝีมือของเหมียวอี้ด้วยซ้ำ


และสำหรับคนที่ดูการต่อสู้อยู่ตรงหน้า จากแท่นจิตตรงหว่างคิ้วของจาเหรินจวิ้นก็มองออกแล้วว่าวรยุทธ์ของจาเหรินจวิ้นก็ไม่ได้สูงเท่าไรเหมือนกัน


เถิงเฟยส่ายหน้าเล็กน้อย “มีความสามารถเล็กน้อยแค่นี้ แต่ยังกล้าสู้ตัวต่อตัวกับอันดับหนึ่งที่ราชันสวรรค์แต่งตั้งให้ ช่างเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วจริงๆ จาเหรินจวิ้นนี่เป็นใครกัน ซ้ายขวามีคนติดตาม ดูแล้วเหมือนจะมีภูมิหลังอยู่นิดหน่อยนะ”


เขาก็แค่ถามส่งเดชไปอย่างนั้น ถึงอย่างไรตำหนักสวรรค์ก็มีคนที่มีเส้นสายภูมิหลังมากมาย ใครจะไปสนใจไหว


แต่ใครจะคิดว่าเกาก้วนจะตอบกลับเสียงเรียบว่า “จาหรูเยี่ยน ฮูหยินของเทพประจำดาวเถาะฟ้า จาเหรินจวิ้นก็คือหลานชายของนาง”


เถิงเฟยหันกลับมามองเขา ไม่รู้ว่านับเป็นการพูดเน็บแนมหรือเปล่า “ข่าวกรองในมือเจ้าช่างกุมสถานการณ์ไว้กว้างขวางจริงๆ แม้แต่เรื่องแบบนี้ก็ควรค่าให้เจ้าสนใจด้วยเหรอ?” เขากันกลับมามองเหมียวอี้ “หนิวโหย่วเต๋อคนนี้รู้รึเปล่าว่าจาเหรินจวิ้นคือหลานของฮูหยินผังก้วน เทพประจำดาวเถาะฟ้า?”


เกาก้วนบอกว่า “จาหรูเยี่ยนเคยอยากจะยัดจาเหรินจวิ้นให้เป็นลูกน้องของหนิวโหย่วเต๋อ แต่หนิวโหย่วเต๋อไม่ไว้หน้า ถึงได้มีหัวคนหลายพันร่วงลงพื้นไงล่ะ เจ้าว่าเขารู้หรือไม่ล่ะ?”


เถิงเฟยกล่าวกลั้วหัวเราะทันที “รู้แล้วยังกล้าฆ่า นี่จะสู้ตายโดยไม่สนใจอะไรใช่มั้ย? อืม ก็สู้ตายจริงๆ นั่นแหละ!” เขาจ้องเหมียวอี้พลางหรี่ตาเล็กน้อย


เหมียวอี้สะบัดทวนแล้ว ไม่เพียงแค่ของบนตัวจาเหรินจวิ้นที่ถูกเก็บไปหมด คาดว่าคงไม่อยากจะทำอะไรยุ่งยาก จึงเก็บร่างที่ไม่สมประกอบของจาเหรินจวิ้นไปด้วยเสียเลย


ต่อหน้าทัพใหญ่หนึ่งล้าน เขาหยิบสมุนไพรเซียนซิงหัวออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน ไม่ใช่ต้นเดียว แต่เป็นสองต้น ขยำเข้าด้วยกันแล้วตบเข้าปาก แล้วพยายามร่ายอิทธิฤทธิ์กลืนลงไป ยังไม่จบแค่นั้น เขาหยิบยาเม็ดม่วงทองอีกหนึ่งเม็ดยัดใส่ปากอีก


ยาเม็ดม่วงทองนี้ หลังจากที่เขาได้อันดับหนึ่งจากการทดสอบครั้งก่อน ตำหนักสวรรค์ก็ให้รางวัลเป็นยาเม็ดม่วงทองหนึ่งแสนเม็ด ยาชนิดนี้เม็ดเดียวเทียบเท่ากับยาแก่นเซียนหนึ่งร้อยเม็ด นอกจากจะมีพลังจิตวิญญาณเต็มเปี่ยม ประโยชน์ที่มากที่สุดก็คือพลังจิตวิญญาณที่อยู่ในยาเม็ดชนิดนี้ก่อตัวแข็งแล้ว ไม่เหมือนยาแก่นเซียนที่พอฝ่าเปลือกออกแล้วพลังจิตวิญญาณที่อยู่ข้างในจะเต็มจนล้นออกมา ยังต้องร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมเอาไว้ แต่ยาเม็ดม่วงทองกลับไม่ได้ยุ่งยากแบบนี้ อยากจะกลั่นกรองเมื่อไรก็กลั่นกรองได้ทุกเมื่อ


ภายใต้สถานการณ์เร่งด่วน ของสิ่งนี้สามารถฟื้นฟูพลังอิทธิฤทธิ์ได้เป็นอย่างดี ในขณะที่มียาแก่นเซียนไว้ฝึกตน นอกจากจะนำยาเม็ดชนิดนี้มาทดลองสรรพคุณ เหมียวอี้ก็ไม่ค่อยได้ใช้งานมันเท่าไรเลย เตรียมติดตัวไว้รับมือกับสถานการณ์เร่งด่วน เอาไว้ป้องกันเหตุไม่คาดคิด


พอกลืนลงไปเม็ดหนึ่ง เขาก็พลิกฝ่ามือหยิบอีกเม็ดยัดเข้าปาก ยัดเข้าปากเม็ดแล้วเม็ดเล่า


ทุ่มกินยาไปก่อนแล้ว เห็นได้ชัดว่าเตรียมตัวเอาไว้สำหรับการบาดเจ็บ เป็นจังหวะก่อนที่จะสู้สุดชีวิต ด้วยเหตุนี้เอง เวลาที่สายตาของเขาจ้องไปทางไหน กำลังพลที่อยู่ตรงนั้นก็จะเตรียมป้องกัน ‘อย่างสะเทือนใจ’ อยู่พักหนึ่ง ป้องกันไม่ให้เขาพุ่งสังหารเข้ามา


ส่วนพวกเนี่ยกงก็เหม่อค้างแล้ว ยังไม่ได้สติกลับมา นึกไม่ถึงว่าจาเหรินจวิ้นจะหายไปแบบนี้ เร็วจนไม่มีเวลาให้พวกเขานึกออกว่าต้องเข้าไปช่วยชีวิตด้วยซ้ำ ไม่น่าเชื่อว่าแค่ท่าเดียวก็ถูกจัดการได้แล้ว!


อาศัยทักษะแค่เท่านี้  เจ้ายังกล้าถ่อเข้าไปสู้กันตัวต่อตัวอีกเหรอ?’


พวกเนี่ยกงตกตะลึงตาค้างอยู่นานกว่าจะได้สติกลับมา ในใจพวกเขาร่ำร้องอย่างโมโหปนเศร้าโศก เคยเห็นคนที่วางกับดักคนอื่น แต่ไม่เคยเห็นใครเอาชีวิตตัวเองมาวางกับดักคนอื่นเล่นแบบนี้เลย โดนลูกหลานผู้มีอำนาจที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเล่นงานถึงตายแล้วจริงๆ


การที่จาเหรินจวิ้นตายไป พวกเขาไม่ได้เศร้าใจหรือเป็นทุกข์เลย แต่ท่านอาหญิงของจาเหรินจวิ้นจะเศร้าโศกทุกข์ใจแน่ ถ้าผู้หญิงคนนั้นเศร้าโศกทุกข์ใจขึ้นมา แล้วพวกเขาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและไม่ล้างแค้นให้จาเหรินจวิ้น เดี๋ยวกลับไปพวกเขาก็จะต้องกลายเป็นศัตรูอาหญิงของจาเหรินจวิ้นเสียเอง มารดาเจ้าเถอะ นี่มันเรื่องะอไรกันวะ!


“คนที่ตัดหัวหนิวโหย่วเต๋อมาได้ จะได้รางวัลเป็นยาแก่นเซียนสิบล้านเม็ด หลังจากการทดสอบถ้ารอดชีวิตกลับไป จะได้เป็นผู้บัญชาการใหญ่ที่อาณาเขตดาวเถาะฟ้า!” เนี่ยกงพลันพูดจาบ้าบิ่น ทำเหมือนตัวเองเป็นเทพประจำดาวเถาะฟ้า ก็เพราะไม่มีทางเลือก การตายของจาเหรินจวิ้นทำให้เขาประสาทเสียอย่างถึงที่สุด สุดท้ายก็โบกทวนตะโกนเสียงดังว่า “ตามข้าไปสังหาร!”


สัตว์พาหนะของเขาพุ่งน้ำเข้าไปก่อน ไก้อู๋ซวง หู่โพ่ ฮัวต้าหลางกางแขนตะโกนเสียงดังตามไปทีหลัง “ฆ่า!”


ทั้งสี่ล้วนมีวรยุทธ์บงกชทองขั้นเก้า สามารถทำให้จาหรูเยี่ยนเรียกมาปกป้องหลานชายตัวเองได้ วรยุทธ์ย่อมไม่แย่อยู่แล้ว


เขาว่ากันว่า ถ้าตบรางวัลอย่างงามย่อมต้องมีผู้กล้าออกมาทำงานให้ ทว่าความจริงนั้นมีไม่เยอะ


ถึงแม้ตรงนี้จะมีคนไม่น้อยรู้ถึงฐานะภูมิหลังของจาเหรินจวิ้นอยู่ก่อนแล้ว ไม่อย่างนั้นจาเหรินจวิ้นคงรวบรวมกำลังพลไม่ได้มากขนาดนี้ แต่คนประมาณห้าหมื่นคนที่มาจากอาณาเขตดาวเถาะฟ้า มีเพียงหมื่นคนเท่านั้นที่ตะโกนตามว่า “ฆ่า” แล้วโจมตีตามออกไป ส่วนคนที่เหลือก็ได้แต่มองหน้ากันเลิกลั่กและยืนอยู่ที่เดิมอย่างลังเลมาก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้เข้าร่วมทดสอบที่ไม่มีอำนาจและภูมิหลังอะไร


คนที่ติดตามพวกเนี่ยกงไปมีเพียงคนสามร้อยกว่าคนที่ขี่สัตว์เทพ ในจำนวนนั้นมีผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์เพียงสองร้อยกว่าคน คนพวกนี้ส่วนใหญ่ทำมาหากินอยู่ในอาณาเขตของเทพประจำดาวเถาะฟ้า ถ้าหลานชายของฮูหยินเทพประจำดาวเถาะฟ้าโดนฆ่าตายแล้วตัวเองไม่ออกหน้า แบบนั้นยังจะคิดหลบอยู่ในแดนอเวจีจนกว่าการทดสอบจะจบอีกเหรอ? ต่อให้สามารถหลบได้จนถึงตอนสุดท้าย แต่หลังจากออกไปแล้ว ถ้ารักษาตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ไว้ไม่ได้ ยังคิดที่จะย้ายไปตำแหน่งอื่นอย่างราบรื่นอยู่หรือเปล่า? ตำแหน่งเทพแห่งผืนดินหรือผีหลักเมืองก็มีตั้งมากมาย ถ้าการทดสอบไม่ราบรื่นจะได้มีข้ออ้างพอดี ต่อให้ตัวเองมีเส้นสายสักหน่อยก็คงไม่อนาถขนาดนั้น แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ ถ้าไม่ออกหน้าก็จะแก้ตัวไม่ขึ้นแล้ว เป้าหมายคือหนิวโหย่วเต๋อเชียวนะ เดิมทีก็ต้องการจะแสดงความสามารถของตัวเองให้อำนาจเส้นสายที่อยู่เบื้องหลังเห็นอยู่แล้ว ถ้าไม่ออกหน้าตอนนี้แล้วจะไปออกหน้าตอนไหน?


กลุ่มผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ที่เดิมทีคิดว่าจะซ่อนตัวอย่างราบรื่นจนกว่าการทดสอบจะจบ ตอนนี้กลับถูกโยงเข้าไปเกี่ยวข้อง จำเป็นต้องแข็งใจบุกโจมตีเข้าไป


ส่วนคนอีกเกือบหมื่นคนที่เหลือก็เหาะตามไป ถ่อมาเข้าร่วมการทดสอบถึงที่นี่ แต่แค่สัตว์พาหนะก็ยังหามาไม่ได้ ย่อมเป็นพวกที่ไม่มีภูมิหลังเส้นสายอะไรเช่นกัน


คนพวกนี้ตะโกนว่าฆ่าเสียงดังพลางพุ่งตัวตามออกไป แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะอยากล้างแค้นให้จาเหรินจวิ้น แต่เพราะคิดว่าข้างหน้ามียอดฝีมือมากมายคอยกันไว้ให้ คาดว่าคงไม่ถึงคราวที่พวกเขาจะได้ลงมือหรอก แค่โผล่หน้าออกไปสักหน่อยเผื่อแสดงให้เห็นว่าตัวเองได้พยายามก็พอแล้ว ถ้าข้างหน้าต้านทานไว้ไม่อยู่ ตัวเองค่อยหนีไปก็ยังไม่สาย ต่อให้หนิวโหย่วเต๋อนั่นจะเก่งขนาดไหน แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะตามทันคนนับหมื่นที่หนีกระจัดกระจาย


คนที่ลังเลตัดสินใจไม่ได้อยู่ที่เดิม เห็นได้ชัดว่ารู้ตัวช้าไปหน่อย รอจนกระทั่งคิดได้เหมือนคนกลุ่มแรกที่อยู่ตรงหน้า ก็มีกำลังพลอีกเกือบสองหมื่นตะโกนว่า “ฆ่า” และพุ่งตัวออกไปแล้ว คนที่เหลือเห็นว่ามีคนมากจึงเกิดความกล้าหาญ บวกกับค่อยๆ คิดได้แล้วเช่นกัน คนที่เหลือจึงโจมตีตามออกไปทั้งหมด


ดังนั้นกำลังพลห้าหมื่นกว่าคนจึงพุ่งสังหารตามกันเข้าไป เป็นฉากที่อลังการงานสร้างมาก


“จุจุ!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงลูบคางพลางเดาะลิ้น ยิงฟันยิ้มพร้อมพูดว่า “ใช้ฝูงชนก็ทำให้ไอ้เวรนั่นตายได้เหมือนกัน!”


“เฮ้อ!” เมื่อเห็นนักพรตบงกชทองหลายหมื่นพุ่งโจมตีไปทางนักพรตบงกชทองคนเดียวอย่างเหมียวอี้ โค่วเหวินชิงก็ถอนหายใจเบาๆ


สุดท้ายก็ยากจะพ้นเคราะห์! ปี้เย่วฮูหยินส่ายหน้ายิ้มอย่างขื่นขม ในใจรู้สึกปลงอนิจจัง รู้อยู่ชัดๆ ว่าเป็นหลานของฮูหยินเทพประจำดาวเถาะฟ้า แต่ก็ยังฆ่าอย่างโหดเหี้ยม แบบนี้ไม่ใช่การรนหาที่ตายหรอกเหรอ!


จ้านหรูอี้ถือทวนในมือเขย่าเบาๆ เก็บทวนเอาไว้แล้ว ผลลัพธ์สามารถคาดเดาได้ ตัวเองไม่ต้องลงมือแล้ว


อย่างน้อยนางก็คิดว่าถ้าเปลี่ยนเป็นตัวเอง ก็คงจะรับมือกับการโจมตีของทัพใหญ่ห้าหมื่นไม่ไหวเช่นกัน นี่ไม่ใช่ทัพใหญ่ของนักพรตบงกชแดงหรือบงกชม่วง แต่เป็นทัพใหญ่ของนักพรตบงกชทอง วรยุทธ์ของทุกคนล้วนอยู่ระดับบงกชทอง จะสู้ยังไงล่ะ? ต่อให้มีของวิเศษที่ร้ายกาจ แต่ก็ยากจะรับมือไหว มิหนำซ้ำก็เป็นไปไม่ได้ที่ตรงนี้จะมีคนที่มีกำลังทรัพย์มากพอที่จะหาของวิเศษระดับนั้นมาได้ หรือต่อให้จะหามาได้ แต่นักพรตวรยุทธ์บงกชทองจะควบคุมของวิเศษระดับนั้นได้อย่างไร


ดังนั้น เหมียวอี้ก็คือคนตายคนหนึ่งในสายตานาง เพียงแต่น่าเสียดายที่ให้คนอื่นเก็บผลงานไปก่อน


ซูลี่ที่ติดตามอยู่ข้างกายพวกจางฮั่นฟางเรียกได้ว่าโล่งอก


“จอมพลเถิง นี่ก็คือความร่ำรวยและวาสนาที่ลูกหลานผู้มีอำนาจควรจะได้รับอย่างที่เจ้าบอก ขนาดลูกน้องยังสามารถให้รางวัลเป็นตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่แทนเทพประจำดาวเถาะฟ้าได้เลย เห็นตำแหน่งขุนนางตำหนักสวรรค์เป็นอะไรไปแล้ว? ที่ราชินีสวรรค์จัดการทดสอบครั้งนี้ขึ้นมา ก็เพื่อจะแต่งตั้งและให้รางวัลผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์เท่านั้น!” เกาก้วนที่มองดูเหตุการณ์กล่าวเสียงเรียบ


กล้ามเนื้อบนใบหน้าเถิงเฟยกระตุกเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ต่อ เปลี่ยนเรื่องพูดว่า “หนิวโหย่วเต๋อนั่นจะกลืนยาเม็ดม่วงทองเยอะขนาดนั้นไปทำไม? อาศัยวรยุทธ์อย่างเขา เกรงว่าใช้เวลาหลายวันก็ยังใช้ไม่หมดเลยมั้ง?”


เกาก้วนเพียงจ้องมอง เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน


เหมียวอี้กลืนยาเม็ดม่วงทองไปสิบเม็ดเม็ดติดต่อกัน เมื่อเห็นทัพใหญ่พุ่งเข้ามา ก็หยุดยัดของเข้าปากแลว้ เขาถือทวนไว้ในมือ เตรียมตัวจะพุ่งเข้าไปสังหาร


แต่ใครจะคิดว่าพวกเนี่ยกงก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน จู่ๆ ก็หยุดอยู่กับที่และเรียงแถวหน้ากระดาน รอจนกระทั่งกำลังพลที่อยู่ข้างหลังพุ่งมาถึง ก็ต่างคนต่างหันตัวไปโบกทวนสั่ง “กลุ่มพวกเจ้าตามข้ามา”


“กลุ่มพวกเจ้าตามข้ามา เร็วๆ หน่อย ใครขัดคำสั่ง ประหาร!” ไก้อู๋ซวงตะโกนขู่อย่างเกรี้ยวกราด


ทั้งสี่รีบจัดกลุ่มกำลังพลห้าหมื่นกว่าคนที่ทยอยกันพุ่งเข้ามาด้วยความรวดเร็ว แค่มองก็รู้ว่าเป็นผู้มีฝีมือที่บัญชาการกองทัพมาเป็นเวลานาน บัญชาการรบได้อย่างเชี่ยวชาญมาก ไม่น่าเชื่อว่าจะจัดกำลังพลที่กระจัดกระจายวุ่นวายได้ทั้งหมดในเวลาอันรวดเร็ว จากนั้นก็ต่างคนต่างนำกองทัพของตัวเองแยกย้ายกันพุ่งไปข้างหน้า ใช้ทั้งปากทั้งนิ้วคอยบัญชาการไม่หยุด


ในกำลังพลจำนวนห้าหมื่นกว่านั้น เห็นได้ชัดว่ามีคนไม่น้อยที่คุ้นชินกับการบัญชาการแบบนี้แล้ว แค่ได้ยินได้เห็นก็เข้าใจ ส่วนคนที่เหลือต่อให้จะฟังไม่เข้าใจ แต่ติดตามคนกลุ่มใหญ่ไปก็พอแล้ว


เหมียวอี้แสยะยิ้มในใจ กำลังคิดอยู่เลยว่าถ้าอีกฝ่ายพุ่งเข้ามาพร้อมกันทั้งหมด ตัวเองคงเปลืองแรงที่จะฝ่าสังหารออกไป แต่นึกไม่ถึงว่าศัตรูจะเป็นฝ่ายกระจายกำลังให้เอง แบบนี้จะสกัดตนได้อย่างไร เฮยทั่นร้อนรนจนทนไม่ไหวตั้งนานแล้ว มันสั่นหัวส่ายหาง แล้วจู่ๆ ก็พุ่งออกไปราวกับธนูยิงออกจากสาย ไม่หลบหลีกเลยสักนิด มันพุ่งโจมตีเข้าไปหากลุ่มคนโดยตรง


“กระจาย!” พวกเนี่ยกงรีบโบกอาวุธบัญชาการ


กำลังพลที่กำลังจะมาถึงตรงหน้าเหมียวอี้กระจายตัวไปสี่ทิศอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้เหมียวอี้ฝ่าออกไปแล้ว


“ล้อม!”


พวกเนี่ยกงตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดแทบจะพร้อมกัน กำลังพลห้าหมื่นที่เพิ่งจะกระจายตัวรีบบุกเข้ามาล้อมเหมียวอี้อีกครั้ง


“เตรียมเชือกมัดเซียน!”


ตามเสียงตะโกนของพวกเนี่ยกงที่ดังต่อเนื่องกัน กำลังพลห้าหมื่นพากันหยิบเชือกมัดเซียนของตำหนักสวรรค์ออกมา


“ปล่อย!”


ทั้งสี่ตะโกนพร้อมกัน ต่อให้เป็นคนโง่ก็รู้ว่าต้องทำอย่างไร ขณะเดียวกันก็ได้พิสูจน์แล้วว่าทั้งสี่บัญชาการรบทัพใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง


เชือกมัดเซียนหลายเส้นถูกโยนมาจากซ้ายขวาหน้าหลังทันที พุ่งเข้ามาอย่างหนาแน่นทั่วสารทิศราวกับฝนกระหน่ำ


เหมียวอี้ตกใจมาก ถึงแม้จะทำงานอยู่กับตำหนักสวรรค์มาหลายปี แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นวิธีรวมพลสู้รบตามมาตรฐานของตำหนักสวรรค์


…………………………


บทที่ 1204 ล้อมโจมตี

โดย

Ink Stone_Fantasy

เสียแรงที่เมื่อครู่เขารู้สึกว่าเมื่ออีกฝ่ายกระจายกำลังแล้วเขาจะโจมตีฝ่าได้สะดวก นึกไม่ถึงว่าชั่วพริบตาเดียวจะตกอยู่ในสภาพที่อับจนแล้ว และยิ่งนึกไม่ถึงว่าเจ้าสี่คนนั้นจะจัดกำลังที่กระจัดกระจายมาสู้รบได้รวดเร็วขนาดนี้ รู้สึกได้ว่าสี่คนที่อยู่ข้างกายจาเหรินจวิ้นไม่ธรรมดา ทั้งหมดมีวรยุทธ์บงกชทองขั้นเก้า แต่ไม่นาเชื่อว่าจะไม่ปะทะกับตนตรงๆ แต่ใช้วิธีการที่มั่นใจและเชื่อถือได้ยิ่งกว่ามาสู้กับตน ไม่ยอมมาเสี่ยงอันตรายง่ายๆ


พอเห็นลักษณะท่าทางของทั้งสี่ ก็ชัดเจนมากว่ามีพื้นเพมาจากทหารประจำการของตำหนักสวรรค์ มีประสบการณ์เรื่องระดมกำลังที่สุด เหมียวอี้ที่อยู่ตำหนักสวรรค์มานานเพิ่งเคยสู้รบกับทหารประจำการของตำหนักสวรรค์เป็นครั้งแรก ไม่ใช่ทหารสวรรค์ที่เฝ้าประตูเฝ้าสวนอย่างตนจะเทียบติด


กำลังพลห้าหมื่นกว่าที่กระจายตัวรีบโอบล้อมเข้ามารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว ล้อมเหมียวอี้ไว้อย่างแน่นหนาจนแม้แต่น้ำหยดเดียวก็ผ่านเข้าออกไม่ได้ และโบกแขนสองข้างโยนเชือกมัดเซียนออกมาพร้อมกัน ภาพเหตุการณ์นี้หาพบได้ยาก เป็นฉากที่ยิ่งใหญ่อลังการ


คนที่อยู่ด้านนอกมองไม่เห็นว่าเหมียวอี้ที่อยู่ข้างในมีสภาพเป็นอย่างไร มีคนไม่น้อยที่ถืออาวุธในมือเริ่มหละหลวมแล้ว ต่างก็คิดว่าเหมียวอี้จบเห่แล้ว เชือกมัดเซียนมากมายขนาดนี้ล้อมโจมตีพร้อมกัน ต่อให้เป็นนักพรตบงกรุ้งก็ยากที่จะรอดตัวไปได้


สาเหตุก็ไม่ซับซ้อน เชือกมัดเซียนมีทั้งความแข็งแกร่งและอ่อมนุ่มประสานส่งเสริมกัน ต่อให้วรยุทธ์ของเจ้าจะสูงแต่ก็ทำลายให้พังไม่ได้


สาเหตุที่เชือกมัดเซียนถูกเรียกว่าเชือกมัดเซียน ก็เพราะมีคุณสมบัติต้านทานในระดับหนึ่ง สามารถเลื้อยอยู่ท่ามกลางพลังอิทธิฤทธิ์ที่โหมซัดสาดราวกับเป็งูเทพ ตราบใดที่มีคนร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุม เมื่อพันตัวเป้าหมายที่ถูกมัด เป้าหมายก็จะดิ้นหลุดได้ยากมาก ไม่อย่างนั้นคงไม่ถูกใช้งานเพื่อมัดนักพรตที่ทำผิดกฎหรอก


แน่นอนว่า ต่อให้นักพรตบงกรุ้งจะถูกมัดแล้ว แต่เชือกมัดเซียนระดับนี้ก็คงจะมัดไม่ไหว ถ้าอีกฝ่ายอาศัยวรยุทธ์ก็คงจะทำให้พังขาดได้ แต่การรับมือคนคนที่วรยุทธ์สูงกว่านั้น ก็ย่อมต้องมีนักพรตที่ระดับสูงกว่านั้นลงมือ และมีเชือกมัดเซียนที่ระดับสูงกว่านั้นเช่นกัน


เพียงแต่การใช้กระบวนทัพในตอนนี้รับมือกับเหมียวอี้ ก็เรียกได้ว่ามากเกินพอแล้ว


เหมียวอี้ที่พุ่งไปข้างหน้าต่อชกเชือกมัดเซียนที่กรูเบียดมาตรงหน้าจนปลิวออกไป อยากจะโจมตีให้เกิดช่องโหว่เพื่อให้ตัวเองหลุดพ้น แต่ว่าไม่ได้ผล เชือกมัดเซียนที่ปลิวออกไปอยู่ภายใต้การร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุม มันสั่นไหวอยู่พักหนึ่งแล้วปลิวกลับมาอีกครั้ง


และเวลาก็ไม่สะดวกจะให้เขาพัวพันอยู่แบบนี้ เชือกมัดเซียนที่โจมตีเข้ามาหนาแน่นเกินไปแล้ว เกราะอิทธิฤทธิ์ล่องหนก็ปกป้องตัวเองไมได้ ของสิ่งนี้มีคุณสมบัติต้านทานในระดับหนึ่ง สามารถเลื้อยต่อไปได้ท่ามกลางเกราะล่องหน


เหมียวอี้ปาดทวนที่อยู่ในมือด้วยความเร็ว ชั่วพริบตาเดียวก็ฟันเชือกมัดเซียนได้ต่อเนื่องสิบกว่าเส้น ฟันของวิเศษที่เปลี่ยนแปลงได้ชนิดนี้จนระเบิดเป็นผงทองกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า


เชือกมัดเซียนสู้กับความแหลมคมของอาวุธผลึกแดงได้ยาก มิหนำซ้ำยังเป็นทวนเกล็ดย้อนที่ทำมาจากผลึกแดงที่มีความบริสุทธิ์สูงด้วย


แต่ก็ยังคงไร้ประโยชน์ ถ้ามีแค่ร้อยเส้นพันเส้นเขาก็ยังพอรับมือไหว แต่เพราะเชือกมัดเซียนที่โยนเข้ามาหนาแน่นเกินไปจริงๆ ปลิวเข้ามาห้าหมื่นกว่าเส้นในรวดเดียว สามารถฝังกลบเขาได้ด้วยซ้ำ ไม่มีใครสามารถลงมือได้เร็วถึงขั้นปาดทวนหลายหมื่นครั้งในชั่วพริตาเดียวได้หรอก


ขอเพียงให้เขาโดนเชือกมัดเซียนสักเส้นเกาะติดขึ้นมา ก็จะสามารถมัดไขว้เขาทั้งตัวได้เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจำนวนที่มากขนาดนั้น


เขาถึงขั้นคิดว่าจะใช้ลูกกลมตีไม่พังมาปกป้องตัวเองด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่มีประโยชน์ นอกเสียจากเจ้าจะอยากหลบอยู่ในลูกกลมตีไม่พังตลอดชีวิตโดยไม่ออกไปไหน มิหนำซ้ำเชือกมัดเซียนยังสามารถเปลี่ยนเป็นยาวได้ สามารถมัดลูกกลมตีไม่พังไว้ด้วยกันได้เลย


ขณะกำลังฉุกละหุก ในหัวเหมียวอี้ก็พลันมีแสงสว่างวาบ ทวนเกล็ดย้อนที่โบกอยู่ในมือพลันหายไป ถูกเขาเก็บเอาไว้แล้ว


โอกาสรอดชีวิตเป็นช่วงเวลาที่เกิดขึ้นสั้นมาก ภายใต้ความวิตกกังวลแบบนี้ เขาดูแลเฮยทั่นไม่ไหวด้วยซ้ำ แผ่นเกล็ดบนเกราะรบพลันตั้งขึ้นมา หนามบนแผ่นเกล็ดทุกแผ่นก็ตั้งขึ้นมาเช่นกัน บนเกราะรบราวกับมีหนามงอกใอย่างฉับพลัน นี่ก็คือเกราะรบที่เยารั่วเซียนหลอมสร้างให้เขาในตอนแรก


วูบ! ชั่วพริบตาเดียวเหมียวอี้ก็หมุนวนอย่างรวดเร็วราวกับพายุหมุน


ฉึกๆๆๆ…


เชือกมัดเซียนระเบิดกลายเป็นหมอกสีทองเส้นแล้วเส้นเล่า


เกราะรบที่กำลังหมุนวนอย่างรวดเร็วนั้นแหลมคมราวกับมีคมดาบนับไม่ถ้วนกำลังกรอตัด เชือกมัดเซียนที่เข้ามาใกล้จะถูกฟันแหลกในทันที ไม่มีทางเข้าใกล้ตัวของเหมียวอี้ได้เลย ร้ายกาจยิ่งกว่าตัวเม่นเสียอีก เรียกได้ว่าเชือกมาเท่าไรก็ตัดขาดเท่านั้น ชั่วพริบตาเดียวรอบกายเหมียวอี้ก็ปกคลุมไปด้วยหมอกสีทองที่ระเบิดออกมาอย่างหนาแน่น


“อ๋า!” มีเสียงร้องตกใจท่ามกลางทหารสวรรค์ที่ร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมเชือกมัดเซียน


“เป็นอะไรไป?” เนี่ยกงที่บัญชาการรบอยู่ข้างๆ หันกลับมาตะคอกถาม ตอนนี้เชือกมัดเซียนที่กรูเข้าไปมีเยอะมากจริงๆ มองเห็นสภาพของเหมียวอี้ที่โดนขังอยู่ในนั้นได้ไม่ชัดเลย


คนที่อุทานตกใจตอบว่า “เชือกมัดเซียนของข้าน้อยถูกทำพังแล้วขอรับ”


“จะร้องโวยวายตกใจทำไม เขาก็แค่ดิ้นรนตอนใกล้ตายเท่านั้น ความเสียหายของเจ้า เดี๋ยวกลับไปจะชดเชยให้สองเท่า!”


เนี่ยกงที่ไม่เข้าใจสถานการณ์ในนั้นชัดเจนตะคอกตำหนิ


แต่ไม่นานเขาก็พบความไม่ชอบมาพากลแล้ว เสียงร้องตกใจท่ามกลางกำลังพลหลายหมื่นดังขึ้นต่อเนื่องเป็นระลอก บวกกับเสียงระเบิดของเชือกมัดเซียนก็ถี่เกินไป


คนที่ดูการต่อสู้อยู่ภายนอกก็สังเกตเห็นสีหน้าสะเทือนใจของกำลังพลหลายหมื่นที่ล้อมเป็นรูปวงกลมเช่นกัน ทำให้แต่ละคนเบิกตากว้างมองดูทันที ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นในนั้น อย่าบอกนะว่าขนาดใช้เชือกมัดเซียนหลายหมื่นก็ยังจับหนิวโหย่วเต๋อนั่นไม่ได้?


เกาก้วนที่เดิมทีเหลือบตาลงเล็กน้อย ตอนนี้พลันลืมตาจ้องมองไปทางนั้นแล้วเช่นกัน ส่วนเถิงเฟยที่ลูบหนวดอยู่ข้างกันก็หยุดชะงัก สายตาจ้องตรงจุดที่กำลังพลล้อมไว้


ไม่ว่าจะเป็นคนที่รู้จักหรือไม่รู้จักเหมียวอี้ ไม่รู้ว่ามีคนตั้งเท่าไรที่ทำสีหน้าตกตะลึงประหลาดใจ


ในขบวนทัพที่กำลังพลหลายหมื่นรวมตัวกัน พวกเนี่ยกงสบตากันอยู่ไกลๆ ในดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง แอบคิดในใจว่าเป็นไปได้อย่างไร


ไม่นานการคาดเดาของพวกเขาก็ได้รับการพิสูจน์แล้ว เชือกมัดเซียนหลายหมื่นที่โผเข้าไป สิ่งที่ได้คืนมากลับเป็นหมอกสีทองผืนใหญ่ หมอกสีทองที่ระเบิดออกมาครอบเชือกมัดเซียนที่ตามมาทีหลังเอาไว้ ทำให้มองเห็นไม่ชัดว่าข้างในเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่เห็นได้ชัดว่าหมอกสีทองเกิดขึ้นหลังจากเชือกมัดเซียนระเบิดออก


ทันใดนั้น หมอกสีทองที่อบอวลก็กระเพื่อมไปยังทิศทางเดียวภายใต้การพัดม้วนของพลังอิทธิฤทธิ์ ปรากฏเงาคนคนหนึ่งรางๆ อยู่ในหมอกสีทอง


“อิ๋งอิ๋ง” เสียงมังกรคำรามที่นุ่มนวลพลันดังขึ้น ในหมอกสีทองที่เลือนรางมีหัวทวนสามแฉกที่แหลมคมแทงออกมา


ตามทวนที่แทงออกมา หมอกสีทองที่อยู่รอบหัวทวนขยายออกไปอย่างฉับพลัน เผยให้เห็นเหมียวอี้ที่กำลังทำสายตาเย็นเยียบดุร้ายและถือทวนด้วยมือข้างเดียว


ทุกคนตกตะลึงอ้าปากค้าง พวกเนี่ยกงตกใจจนหน้าถอดสี พากันร่ำร้องในใจอย่างบ้าคลั่งว่า เป็นไปได้อย่างไร?


“ฝีมืออ่อนด้อย ยังกล้างัดออกมาใช้ทำร้ายข้าอีก!” เหมียวอี้ที่โบกทวนไปทางซ้ายทางขวาอย่างช้าๆ หลันหยุดชะงัก ทวนชี้ไปที่เนี่ยกง พร้อมตะโกนเสียงดังด้วยเสียงอันดุร้าย “หนิวโหย่วเต๋ออยู่นี่แล้ว ใครกล้าสู้ตายกับข้าสักตั้งมั้ย!”


“อ๋า…” กำลังพลหลายหมื่นที่กำลังตกตะลึงถูกเสียงตะโกนนี้ปลุกเรียกสติ พวกเขาสูดหายใจอย่างตกตะลึง โอ้สวรรค์! ขนาดเชือกมัดเซียนหลายหมื่นก็ยังทำอะไรเจ้าเวรนี่ไม่ได้!


เมื่อได้ยินเสียงนี้ คนส่วนใหญ่ก็พากันถอยหลังโดยจิตใต้สำนึก


ถึงแม้จะอยากหลบหลีกการท้าสู้นี้ แต่เมื่ออยู่ท่ามกลางสายตาคนที่ดูการสู้รบอยู่ข้างนอก บวกกับเสียงอันเกรี้ยวกราดของเหมียวอี้ที่ตะโกนออกไปแล้ว ช่างเหมือนกับเป็นเสียงตะโกนขู่ให้ทัพใหญ่หลายหมื่นถอยหลังจริงๆ ทุกคนที่ดูการต่อสู้ทำสีหน้าตื่นตะลึง ไม่รู้ว่าในนั้นเกิดเรื่องน่ากลัวอะไรขึ้นกันแน่ ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้หนิวโหย่วเต๋อมีพลังอำนาจขนาดนี้!


ข้างนอกไม่รู้ว่ามีคนตั้งเท่าไรที่มองมาตรงนี้อย่างตกใจ จ้องมองตรงนี้ตาไม่กะพริบ อยากจะรู้มากว่าในนี้เกิดเรื่องอะไรกันแน่


ส่วนเหมียวอี้ที่อยู่ในนั้นก็พลันหันกลับมา ด้านหลังมีเสียงระเบิดดังครั้งแล้วครั้งเล่า เห็นเพียงเฮยทั่นที่โดนมัดไว้อย่างแน่นหนาดิ้นรนจนเชือกมัดเซียนขาดหลายเส้น มันกางกรงเล็บแหลมคมสี่ข้างตะกุยบนร่างกายตัวเอง กรงเล็บแหลมผลึกแดงขยุ้มจนเชือกมัดเซียนที่มัดตัวเองอยู่ระเบิดออกเส้นแล้วเส้นเล่า


เพียงแต่ร่างกายของมันใหญ่โตเกินไป มีบางจุดที่กรงเล็บของมันตะกุยไปไม่ถึงเลย และไม่มีทางโดนแรงดึงออกด้วย


เหมียวอี้เห็นแล้วอึ้งไปชั่วขณะ เรียกได้ว่าดีใจเหนือความคาดหมาย เด็กดีเอ๋ย พลังกายของเจ้าอ้วนนี่จะต้องเยอะขนาดไหนกัน ไม่น่าเชื่อว่าจะอาศัยแรงกายดึงเชือกมัดเซียนจนขาด


ถึงแม้เขาจะเคยเห็นมาก่อนว่าพลังของเฮยทั่นสามารถทะลุผ่านภูเขาได้ รู้ว่าเฮยทั่นมีพละกำลังมาก แต่ก็นึกไม่ถึงว่าจะมากถึงขั้นนี้ สามารถดึงเชือกมัดเซียนให้ขาดได้โดยตรง อย่างน้อยนักพรตระดับบงกชทองก็ไม่มีทางดึงเชือกมัดเซียนที่ทำจากผลึกทองให้ขาดได้แบบนี้แน่


“ซี๊ด…” กำลังพลที่ล้อมสูดหายใจอย่างตกตะลึงอีกครั้ง มองเฮยทั่นด้วยความตื่นตะลึง


เหมียวอี้ถลันตัวเข้าไป แทงทวนยาวไปที่เฮยทั่น พอทวนแทงบนเกราะรบบนตัวเฮยทั่น หัวทวนที่แหลมคมก็กรีดหนึ่งครั้ง ทำให้เชือกมัดเซียนบนตัวเฮยทั่นขาดหมดในชั่วพริบตาเดียว


“อ๋าว…” พอเฮยทั่นหลุดจากการถูกมัด มันก็คำรามใส่กลุ่มคนอย่างเกรี้ยวกราดบ้าระห่ำทันที เผยฟันคมที่น่ากลียดดุร้าย มันกำลังสะบัดร่างกาย ในดวงตาสิงโตสีเลือดฉายแววโกรธแค้นบ้าคลั่ง


เหมียวอี้ขึ้นไปเหยียบบนหลังมัน คนกับสัตว์พาหนะรวมเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง


เมื่อเห็นว่าขนาดทำแบบนี้แล้วยังล้อมเหมียวอี้ไว้ไม่ได้ พวกเนี่ยกงที่กำลังตกใจก็ส่งสายตาให้กัน หลังจากพยักหน้าพร้อมกันแล้ว ก็หันไปชูมือตะโกนบอกกำลังพลที่อยู่ข้างหลัง “ฆ่า!”


ทั้งสี่คนพุ่งนำออกไป โอบล้อมโจมตีเหมียวอี้จากสี่ทิศ ในเมื่อไม่สามารถจัดการเหมียวอี้ได้อย่างมั่นใจและประหยัดแรง ทั้งสี่ก็ทำได้เพียงออกโรงด้วยตัวเอง ถ้าตอนนี้ไม่ทำตัวเป็นผู้นำ ก็เป็นเรื่องยากที่จะปลุกระดมให้คนอื่นขึ้นมาข้างหน้า ถึงอย่างไรคนพวกนี้ก็ไม่ใช่ลูกน้องของตน ใช่ว่าตนสั่งคำเดียวแล้วจะเชื่อฟังได้ ตอนนี้ทำได้เพียงนำหน้าไปก่อน


สัตว์พาหนะสามร้อยกว่าตัว คนสามร้อยกว่าคนที่มีสัตว์เทพเป็นสัตว์พาหนะแข็งใจพุ่งสังหารตามเข้าไป กำลังพลหลายหมื่นที่ล้อมอยู่ทั้งสี่ทิศต่างก็กำลังเหลียวซ้ายแลขวา ตอนนี้ยังไม่มีใครเคลื่อนไหวอะไร


เหมียวอี้ถือทวนมองไปรอบๆ สีหน้าเย็นเยียบมุ่งสังหาร


เมื่อเห็นว่ากำลังจะโอบล้อมได้ ฮัวต้าหลาง หนึ่งในคนที่นำกำลังพลบุกเข้ามาก็พลันยกฝ่ามือ เถาวัลย์สิบกว่าเส้นพลันยิงออกมา เลื้อยขยายครอบคลุมไปที่เหมียวอี้ บนเถาวัลย์ทุกเส้นมีดอกไม้ตูมสีชมพูหลายดอก


เหมียวอี้พลันหันกลับมา เจอกับปีศาจเถาวัลย์อีกแล้ว เขาโบกทวนชี้ไป เลือกเป้าหมายแรกที่จะโจมตี ใครลงมือก่อนเขาก็จะฆ่าคนนั้นก่อน!


เหมียวอี้โบกทวนฟันเถาวัลย์ที่โผเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ฟันจนเถาไม้ปลิวว่อน แล้วโจมตีไปหาฮัวต้าหลางโดยตรง


ฮัวต้าหลางที่พุ่งเข้ามาตรงหน้ามองข้ามเถาไม้ที่โดนตัดฟันไม่หยุดหย่อน มุมปากกลับเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์


เหมียวอี้ที่สังเกตเห็นรู้สึกได้ลางๆ ว่าต้องมีลับลมคมใน แต่ช่วยไม่ได้ที่ไหวตัวไม่ทันแล้ว จู่ๆ ดอกไม้ตูมบนเถาไม้ที่โดนตัดขาดก็เบ่งบาน ชั่วพริบตาเดียวกลีบดอกไม้ขนาดใหญ่ดอกหนึ่งก็อ้าออกและหุบลง กลืนเหมียวอี้เข้าไปพร้อมกับสัตว์พาหนะ


จากนั้นเถาไม้นับไม่ถ้วนก็ระเบิดออกมาจากฮัวต้าหลาง เป็นลักษณะท่าทางที่บ้าบิ่น รัดดอกไม้ที่กลืนเหมียวอี้เอาไว้แน่นแล้วม้วนเป็นก้อนใหญ่ราวกับก้อนหิมะกลิ้ง


เมื่อใช้ท่านี้สำเร็จ ฮัวต้าหลางก็เงยหน้าหัวเราะลั่น “โจรกระจอก! ติดกับดักแล้ว!”


พวกเนี่ยกงที่พุ่งเข้ามาก็เหมือนจะมีความมั่นใจในตัวเขาสุดๆ เช่นกัน แต่ะคนเผยรอยยิ้มชั่วร้าย


เป็นเพราะทั้งสามรู้ว่าพิษที่เกิดขึ้นในดอกไม้สดที่กลืนกินเหมียวอี้เข้าไปสามารถฝ่าเกราะพลังอิทธิฤทธิ์ได้ มันร้ายกาจที่สุด เป็นท่าไม้ตายของฮัวต้าหลาง เมื่อพลาดท่าจะต้องติดกับดักแน่นอน และลูกตะกร้อที่กำลังกลิ้งนั้น ไม่ว่าตอนอยู่ข้างในเจ้าจะทำลายมันอย่างไร แต่มันก็จะงอกมาเสริมใหม่ได้อย่างรวดเร็ว มันจะขังเจ้าไว้ตรงกลางตลอด


เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นแบบนี้ ในกำลังพลหลายหมื่นก็มีคนพุ่งเข้ามาเสริมอานุภาพทันที เมื่อมีคนนำ ทุกคนก็เข้าใจในทันที การมอบถ่านท่ามกลางหิมะ[1]เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก แต่ถ้าจะให้เพิ่มดอกไม้บนผ้าดิ้นที่สวยงาม[2]ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร พวกเขาจึงกรูกันเข้าไป พร้อมตะโกนว่า “ฆ่า” ไม่หยุด ขวัญกำลังใจในการรบเพิ่มขึ้นสูงมาก มีพลังอำนาจน่าหวาดกลัว


เมื่อมองจากด้านนอก ผู้ที่ดูการต่อสู้รู้สึกงุนงง ดูท่าแล้ว หรือว่าจะโจมตีโต้ตอบสำเร็จอีกแล้วอีกแล้ว?


แต่ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ฮัวต้าหลางที่หัวเราะลั่นอยู่ในนั้นถึงทำสีหน้างุนงง จ้องลูกตะกร้อมที่หยุดกลิ้งและขยายใหญ่ขึ้นอย่างงุนงง พร้อมอุทานว่า “เป็นไปไม่ได้!”


พวกเนี่ยกงมองตาม ทำให้ตกใจเช่นกัน ไม่น่าเชื่อว่าลูกตะกร้อนั่นจะเปลี่ยนสีแล้ว กลายเป็นถ่านไปแล้ว


ส่วนฮัวต้าหลางก็เขย่าเถาวัลย์แล้ว ทำท่าเหมือนกลัวว่าจะหนีไม่ทัน ตัดขาดการเชื่อมต่อกับเถาวัลย์นั่นอย่างเหี้ยมหาญ


บึ้ม! ลูกตะกร้อระเบิดออก เหมียวอี้พาสัตว์พาหนะสังหารฝ่าออกมาแล้ว


“จะหนีไปไหน!” เนี่ยกงตะโกน รีบพุ่งเข้าไปแทนที่ แล้วโบกทวนดักสังหาร


เหมียวอี้พุ่งออกมาอย่างดุร้าย เขากวาดมองอย่างเย็นเยียบพร้อมสะบัดทวนออกมา บนหัวทวนก็มีจุดสีดำขนาดเท่าเม็ดถั่วเหลืองหมุนวน พุ่งเข้าไปปะทะกับเนี่ยกงอยางกล้าหาญ


เกิดเสียงดังปั้ง ทวนในมือเนี่ยกงหลุดมือกระเด็นออกไปแล้ว


เกิดเสียงดังบึ้ม ทวนเกล็ดย้อนโจมตีอาวุธในมือเนี่ยกงจนกระเด็น ยังไม่หยุดแค่นั้น หัวทวนที่แหลมคมจ่อไปโดนเกราะรบผลึกแดงบนหน้าอกของเนี่ยกงแล้ว


อุบ! เนี่ยกงเงยหน้ากระอักเลือดขึ้นฟ้าอย่างบ้าคลั่ง ร่างกายสะเทือนจนกระเด็นถอยหลังออกจากตัวสัตว์พาหนะราวกับฝนดาวตก กระแทกใส่กลุ่มคนที่พุ่งตามมาข้างหลัง


การเปลี่ยนแปลงที่กะทันหันเพียงชั่วแวบเดียว เรียกได้ว่าทำให้กำลังพลหลายหมื่นที่ตะโกนว่าฆ่าและพุ่งเข้ามาตกใจจนเหม่อค้างไปตามๆ กัน!


…………………………


[1] มอบถ่านให้ท่ามกลางหิมะ 雪中送炭 อุปมาว่าช่วยเหลือคนที่กำลังลำบาก


[2] เพิ่มดอกไม้บนผ้าดิ้นที่สวยงาม 錦上添花 อุปมาว่าเสริมแต่งในสิ่งที่ไม่จำเป็น ไปช่วยเหลือคนที่สบายดีอยู่แล้ว


บทที่ 1205 สงบเงียบ! เศร้าระทมทว่างดงาม!

โดย

Ink Stone_Fantasy

วูบ…ปั้ง!


เฮยทั่นก็ไม่แสดงความอ่อนแอเช่นกัน สะบัดหางออกมาอีกครั้ง เหยี่ยวมารวานรยักษ์ที่เฉียดผ่านมันไปถูกลูกกลมหนามกวาดโดน ทำให้เลือดสดที่ปนกับขนเหล็กสาดกระเด็น “วี้ด…” มันส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวดพลางม้วนกลิ้งออกไป


เนี่ยกงมีวรยุทธ์บงกชทองขั้นเก้า ไม่น่าเชื่อว่าโดนโจมตีแค่ครั้งเดียวก็กระเด็นแล้ว อย่าว่าแต่คนอื่นที่ตกใจ ไก้อู๋ซวง หู่โพ่ ฮัวต้าหลางที่โผโจมตีเข้ามาก็ตกใจเช่นกัน


“ฆ่า!” ท่ามกลางเสียงตะโกนอันเดือดดาล เหมียวอี้โบกทวนชี้ออกไป


เฮยทั่นที่เลี้ยวเบี่ยงเส้นทางเล็กน้อยแบกเหมียวอี้กระโจนไปหาไก้อู๋ซวงด้วยความเร็วสูงแล้ว


ทั้งสามที่พุ่งเข้ามาตกใจมาก เห็นกับตาว่าเนี่ยกงโดนโจมตีครั้งเดียวจนกลายสภาพเป็นแบบนั้น ทั้งสามไม่ได้คิดว่าตัวเองมีความสามารถมากกว่าเนี่ยกง ที่จริงในบรรดาทั้งสี่คน เนี่ยกงคือคนที่เก่งที่สุด ขนาดเนี่ยกงยังทนการโจมตีเพียงครั้งเดียวไม่ไหว แล้วทั้งสามตะกล้าใช้กำลังปะทะตรงๆ ได้อย่างไร


ที่สำคัญที่สุดก็คือ ไม่เห็นว่าทวนยาวในมือเหมียวอี้มีจุดที่พิเศษตรงไหน เป็นทวนวิเศษขั้นห้าชิ้นหนึ่งแท้ๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะอาศัยกำลังโจมตีเนี่ยกงทีเดียวจนล้มคว่ำ เป็นพลังที่น่ากลัวเกินไปแล้ว


ตอนนี้ทั้งสามเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว ว่าอันดับหนึ่งที่ราชันสวรรค์แต่งตั้งและประทานรางวัลให้เป็นอย่างที่ร่ำลือจริงๆ ไม่ใช่ชื่อเสียงอันจอมปลอม ไม่ใช่คนที่พวกเขาจะไปลูบคมได้


เรียกได้ว่ารีบหยุดอย่างกะทันหัน หันเลี้ยวอย่างลนลาน จะกล้าใช้กำลังปะทะตรงๆ ได้อย่างไร


เมื่อเห็นเหมียวอี้โผเข้ามาหาตัวเอง ไก้อู๋ซวงก็ตกใจจนขนลุกซู่ เลี้ยวหนีอย่างลุกลี้ลุกลน อยากจะหลบคมทวนของเหมียวอี้ เพราะไม่สามารถสู้กับคนคนนี้ไหวเลย โหดเกินไปแล้ว!


แต่ช่วยไม่ได้ เพราะคนที่พุ่งเข้ามาโหดเกินไป ถ้าอยากจะเลี้ยวหนีให้ไวก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่พูด เขาชักช้า แต่เหมียวอี้กลับโผเข้ามาอย่างรวดเร็ว


ชั่วขณะนั้นไม่มีทางหลีกกันพ้น “ย๊า!” ไก้อู๋ซวงพยายามใช้วรยุทธ์ทั้งหมดฟันดาบอย่างบ้าคลั่งไปทางเหมียวอี้ที่โผเข้ามาด้านข้าง หมายจะสร้างอุปสรรคเพื่อให้คลาดผ่านกันไป


เหมียวอี้ทำสีหน้ามุ่งสังหาร มีหรือที่จะปล่อยอีกฝ่ายไป เขากระโจนขึ้นจากตัวเฮยทั่น อาศัยแรงเฉื่อยจากเฮยทั่นเพิ่มความเร็วในการโผเข้ามา หัวทวนที่มีจุดสีดำขนาดเท่าเม็ดถั่วเหลืองหมุนวนแทงเฉียงจากข้างบนลงข้างล่างหนึ่งครั้ง


ปั้ง! ทวนที่รวดเร็วดุดันปานอัสนีบาตฟาดดาบใหญ่ที่ฟันเข้ามาอย่างบ้าคลั่งจนกระเด็นออกไป และตอนนี้ทวนก็โดนเกราะหัวของไก้อู๋ซวงแล้ว


อั้ก! ศีรษะครึ่งหนึ่งของไก้อู๋ซวงถูกโจมตีจนจมลงไปในทรวงอก เลือดสดทะลักจากปากและจมูกพร้อมกันอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่ลิ้นก็จุกปากออกมาครึ่งหนึ่งแล้ว ดวงตาสองข้างที่มีเลือดไหลเบิกกว้าง ทั้งร่างกายล้มลงอย่างฉับพลัน สะเทือนจนเหยี่ยวมารวานรยักษ์ที่เขาขี่อยู่ร้อง “วี๊ด” ด้วยความเศร้าโศก มันเสียสมดุลและสะบัดไก้อู๋ซวงพลิกกระเด็นเสียงดังโครม


โชคดีที่บนตัวไก้อู๋ซวงสวมเกราะรบผลึกแดง ไม่อย่างนั้นทวนนี้จะต้องโจมตีจนหัวเขาระเบิดแน่นอน


เฮยทั่นพุ่งตามมาติดๆ พอรับเหมียวอี้แล้วก็รีบเลี้ยวออกไป เร่งไล่สังหารหู่โพ่


หู่โพ่หันกลับมามอง เห็นเหมียวอี้ใช้ทวนเดียวสังหารไก้อู๋ซวงอีกแล้ว ใช้ทวนแก้ปัญหาอีกแล้ว แล้วตอนนี้เทพสังหารอย่างเขาก็ไล่ตามตนมาอีก เรียกได้ว่าตกใจจนหนังหัวชาวาบ ลนลานเร่งให้เหยี่ยวมารวานรยักษ์รีบพาหนี


ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเหมือนจะผ่านไปช้า แต่ที่จริงการต่อสู้ดำเนินไปเร็วมาก กำลังพลหลายหมื่นที่พุ่งเข้ามาอย่างงุนงง มีบางคนเพิ่งจะหยุดยั้งการพุ่งเข้ามา ยังจะมีทางเหลือให้เขาหนีได้อย่างไร โดนอุดหมดแล้ว


แต่หู่โพ่จะสนใจอะไรขนาดนั้น เขาโบกทวนฟันอย่างบ้าคลั่งติดต่อกัน ฟันพวกเดียวกันที่กำลังขี่สัตว์เทพจนล้มตายไปหลายคน


เขาถูกความโหดเหี้ยมของเหมียวอี้ทำให้รู้สึกขี้ขลาด ตอนนี้สนใจแต่จะหนีเอาชีวิตรอด จะไปสนใจความเป็นความตายของ ‘พวกเดียวกัน’ ได้อย่างไร มิหนำซ้ำทุกคนก็มารวมตัวกันแค่ชั่วคราวอยู่แล้ว ไม่ได้นับว่าเป็นพวกเดียวกันเลย


“อา…” พวกเดียวกันล้มลงบนสัตว์พาหนะท่ามกลางเสียงกรีดร้อง ต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึงว่าหู่โพ่จะฆ่าลูกน้องตัวเองเพื่อเอาชีวิตรอด


จากนั้นก็เห็นเหมียวอี้สังหารเข้ามาอีก คนที่ขี่สัตว์เทพพวกนั้นเอาเยี่ยงอย่างทันที สนใจแต่เรื่องหนีเอาชีวิตรอดก่อน พอข้างหน้ามีคนขวางทาง ก็โบกอาวุธสังหารฝ่าวงล้อมอย่างบ้าคลั่งทันที


ก็ช่วยไม่ได้แล้ว ถ้าก่อนหน้านี้นักพรตหลายหมื่นยังหยุดอยู่ที่เดิมต่อไป พอประสบเหตุการณ์แบบนี้ก็ยังกระจายตัวง่ายหน่อยแต่ ตอนนี้กรูกันเข้ามาเพื่อ ‘เพิ่มดอกไม้บนผ้าดิ้นที่สวยงาม’ เบียดกันอยู่ในขอบเขตเล็กๆ ล้อมทั้งข้างนอกข้างในเอาไว้ไม่รู้ตั้งกี่ชั้น คนที่อยู่นอกวงไม่เห็นด้วยซ้ำว่าข้างในเกิดอะไรขึ้น คนที่ความรู้สึกช้ายังพุ่งมาทางนี้ด้วย


คนเบียดกัน ข้างนอกไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คนข้างในพุ่งออกข้างนอก แถมยังไม่มีคนบัญชาการ คนข้างนอกและคนข้างในพุ่งชนใส่กัน เกิดความพัลวันพันเกทันที คนข้างในอยากจะฝ่าออกไปแต่ก็มีอุปสรรคหลายชั้น ทำได้เพียงโบกอาวุธใส่ ‘พวกเดียวกัน’ เพื่อเปิดทาง


คนที่ยังเบียดออกไปไม่ได้ย่อมไม่รอความตายอยู่เฉยๆ ในเมื่อไม่เห็นว่าพวกเขาเป็นพวกเดียวกัน พวกเขาก็ย่อมต้องสู้สุดชีวิตเพื่อปกป้องตัวเอง ควงอาวุธฟันมั่วๆ เพื่อต่อต้าน ยิ่งเป็นกลุ่มนักพรตที่ขี่สัตว์เทพก็ยิ่งฝ่าออกไปได้ยาก


“อา…” เสียงกรีดร้องดังเป็นแถบๆ


ยามระดมทัพใหญ่สู้รบ สิ่งที่ถือเป็นข้อห้ามมากที่สุดก็คือการเสียระเบียบ ต้องทราบไว้ว่าตอนนี้ไม่ได้วุ่นวายแค่คนสองคน แต่วุ่นวายเป็นกลุ่ม นี่คือข้อห้ามที่ใหญ่ที่สุดของทหาร


ส่วนกลุ่มคนที่ดูการต่อสู้อยู่ข้างนอกก็เห็นทัพใหญ่หลายหมื่นชุลมุนวุ่นวายราวกับผึ้งแตกรัง แล้วก็เห็นหนีกระเจิดกระเจิง ทุกคนพากันเบิกตากว้างมองดูอย่างตกตะลึง


ขนาดพวกเขาฆ่า ‘พวกเดียวกัน’ แล้วยังไม่รู้สึกผิดปกติทางจิตใจเลย เหมียวอี้ก็ย่อมไม่เกรงใจอยู่แล้ว พุ่งเข้าไปในกลุ่มคนที่หมดขวัญกำลังใจและเอาแต่หลบหนีเหมือนแมลงวันไร้หัว ออกทวนราวกับมังกร สังหารจนเห็นเลือดตลอดทาง ไม่มีใครสกัดขวางได้


เมื่อมีพวกหู่โพ่เบิกทางอยู่ข้างหน้า เหมียวอี้ก็เรียกได้ว่าสังหารฝ่าออกไปได้อย่างสบายๆ


ส่วนทหารสวรรค์เกราะทองพวกนั้น ต่อให้สวมเกราะทองไปก็ไม่มีประโยชน์ จนทนการปาดจากทวนเกล็ดย้อนได้อย่างไร เมื่อคมทวนไปถึงตรงไหน ตรงนั้นก็มีเลือดสาดเหมือนฝนตก


ที่จริงสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือเฮยทั่น มันไม่สนใจว่าข้างหน้ามันจะมีอะไรอยู่ เอาแต่ใช้หัวที่มีกรวยแหลมพุ่งชนอย่างบ้าคลั่ง ใช้กรงเล็บข่วนเกาตลอดทาง ลากหางที่เป็นลูกกลมหนามกวาดไปทางซ้ายทางขวาอย่างบ้าคลั่ง มันไปตรงไหนตรงนั้นก็จะมีเสียงกรีดร้องเป็นแถบ บดขยี้อยู่ในกลุ่มคนจะเกิดทางเลือด กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งตลอดทาง


แต่มุทะลุดุดันก็ส่วนมุทะลุดุดัน เฮยทั่นร่างกายใหญ่โตเกินไป เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ถูกโจมตีเลยเมื่ออยู่ท่ามกลางฝูงชน ภายใต้การโต้ตอบจากกลุ่มคนที่ชุลมุนวุ่นวาย ก็ไม่รู้ว่าเฮยทั่นโดนโจมตีไปกี่ครั้งแล้ว โดนทำร้ายจนคำรามอย่างบ้าคลั่งไม่หยุด


ตอนแรกเหมียวอี้ยังดูแลมันได้ กลัวว่ามันจะเจ็บตัว เพราะต่อให้มีเกราะรบผลึกแดง แต่ก็รับประกันได้ยากว่าจะไม่ถูกทำให้สะเทือนจนบาดเจ็บ ผลก็คือยิ่งเจ้าสัตว์ตัวนี้โดนทำร้าย มันก็ยิ่งบ้าบิ่นดุดัน เขาพบว่าความทนทานต่อการโจมตีของเจ้าอ้วนยังไม่หายไป แต่กลับแข็งแกร่งยิ่งขึ้นหลังจากวิวัฒนาการ ยังทนมือทนเท้าเหมือนอย่างที่เคยเป็น


แบบนี้เหมือนเสือติดปีกจริงๆ! เหมียวอี้ดีใจมาก เมื่อมีเจ้าอ้วนคอยช่วย การปลีกตัวออกไปก็มีความมั่นใจยิ่งขึ้นแล้ว!


มีเฮยทั่นที่กล้าหาญแบบนี้ เหมียวอี้ก็ยิ่งออกทวนได้รวดเร็วดุดันยิ่งขึ้น จุดไหนที่คมทวนไปถึง อุปสรรคข้างหน้าก็จะถูกกวาดล้างอย่างรวดเร็ว ทำให้ตามหู่โพ่ทันได้เร็วมาก


สัตว์พาหนะของหู่โพ่โดน ‘พวกเดียวกัน’ โต้กลับจนบาดเจ็บ เขาเห็นอยู่ตำตาว่าตัวเองกำลังจะฝ่าวงล้อมออกไปได้ แต่พอได้ยินเสียงกรีดร้องข้างหลังแล้วหันกลับไปมอง ก็พบว่าเหมียวอี้ที่เลือดเปื้อนเต็มตัวตามทันแล้ว ให้ทวนสังหารเข้ามาอย่างบ้าระห่ำ


หู่โพ่ตกใจจนขวัญกระเจิงทันที เขาอาศัยวรยุทธ์ที่แข็งแกร่งกว่ายื่นมือไปคว้าทหารสวรรค์คนหนึ่งทุ่มไปข้างหลัง ต้องการจะสร้างอุปสรรคให้กับเหมียวอี้สักหน่อย


ตรงหน้ากำลังจะฝ่าวงล้อมได้แล้ว ขอเพียงสร้างอุปสรรคขัดขวางเพิ่มสักหน่อยก็พอ เขามองออกว่าสัตว์พาหนะของเหมียวอี้เหาะได้ไม่เร็วเท่าเหยี่ยวมารวานรยักษ์ของตน ตอนหลังก็ย่อมปลีกตัวหนีไปได้


ทว่าความจริงมักโหดร้ายเสมอ ความเป็นความตายบนสนามรบเป็นเรื่องที่พูดยาก บทจะรอดก็รอด บทจะตายก็ตาย


ฉึก! หู่โพ่ที่หันหน้ากลับมาร่างสะเทือนอย่างรุนแรง พบว่าร่างของตัวเองแยกออกจากสัตว์พาหนะอย่างควบคุมไม่ได้แล้ว


พอเหลือบตาลงมองไปตามคมทวนที่เสียบคอตัวเองอยู่ ถึงได้พบว่าทวนยาวที่ย้อมไปด้วยคาวเลือดแทงทะลุเกราะทองของคนที่ตัวเองจับทุ่มออกไปแล้ว ทะลุหน้าอกขงคนคนนั้นออกมาจอปาดอยู่บนคอตัวเองโดยตรง


มั่นคงเด็ดเดี่ยวและแม่นยำ หนึ่งทวนที่ว่องไวปราดเปรียว ไม่น่าเชื่อว่าขนาดตัวเองก็ยังหนีไม่พ้น…ขณะที่หู่โพ่ถลึงตามอง ความคิดเล็กน้อยเช่นนี้ก็แวบเข้ามาในหัว จนกระทั่งตอนตายก็ยังไม่ได้เห็นหน้าศัตรูที่ใช้ทวนแทงคอตัวเอง เพราะเงาร่างของอีกฝ่ายถูกบังด้วยคนที่ตัวเองทุ่มเข้าไป ขนาดตัวเองอยากจะเคลื่อนสายตาไปมองยังยากเลย


เฮยทั่นที่ไล่ตามมาใช้กรงเล็บทั้งคู่ตะปบไปข้างหน้า เสียบเข้าแผ่นหลังเหยี่ยวมารวานรยักษ์ของหู่โพ่ อาศัยกำลังอันป่าเถื่อนดึงเหยี่ยวมารวานรยักษ์กลับมาทั้งตัว แล้วอ้าปากที่เหมือนแอ่งเลือดกัดไปที่คอของเหยี่ยวมารวานรยักษ์ที่กำลังจะหันหน้ากลับมาจิกโต้ตอบ มันกัดไว้แล้วส่ายหน้าฉีก บวกกับออกแรงที่กรงเล็บทั้งสองข้าง มันฉีกคอของเหยี่ยวมารวานรยักษ์จนขาดเสียงดักแคว่ก


ท่ามกลางกลุ่มคนที่หนีกระเจิดกระเจิง ฉากที่ทั้งคู่สังหารฝ่าออกมาจากฝูงชนทำให้ทุกคนต้องกลั้นหายใจ สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่เฮยทั่น เป็นเพราะเกราะรบของเฮยทั่นสะดุดตาเกินไป บวกกับเป็นทิศทางที่กองทัพหลายหมื่นชุลมุนที่สุด ถ้าไม่อยากให้สนใจก็คงยาก


ภาพนี้ปรากฏอยู่ในสายตาของทุกคน ทุกคนที่ดูการต่อสู้ได้แต่มองดูตาปริบๆ


ท่ามกลางกลุ่มคนที่ชนออกมา เฮยทั่นฉีกเหยี่ยวมารวานรยักษ์ทั้งเป็น ส่วนเหมียวอี้ที่ยืนอยู่บนหลังเฮยทั่นก็ยิ่งปลิดสองชีวิตได้ในหนึ่งทวน ด้ามทวนแทงทะลุคนหนึ่ง หัวทวนกำลังปาดอีกคนหนึ่ง ใช้วิธีการที่เขย่าขวัญสังหารฝ่าออกมาจากกองทัพที่ชุลมุน


การกระทำของคนหนึ่งคนกับสัตว์พาหนะหนึ่งตัวยังไม่ทันมีอะไรเปลี่ยนแปลง แค่พุ่งฝ่าฝูงชนจนแตกกระเจิง สังหารฝ่าออกมาอย่างห้าวหาญไร้ที่เปรียบ!


ไม่รู้ว่าฉากนี้ตราตรึงอยู่ในใจคนมากมายตั้งเท่าไร


กองทัพที่ชุลมุนวุ่นวายอยู่ข้างหลังไม่กล้าเข้าใจเหมียวอี้ราวกับเห็นเทพแห่งโรคระบาด ขวัญกำลังใจนักรบพังทลายหมดแล้ว ลนลานหนีกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศ


บนปากเฮยทั่นยังกัดหัวเหยี่ยว เหมียวอี้ที่ยังถือทวนคาศพสองศพหันขวับกลับมาอย่างดุร้าย ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์กวาดมองไปรอบๆ ไม่นานก็เห็นฮัวต้าหลางที่หนีออกมาจากอีกฝั่ง


ส่วนฮัวต้าหลางที่หันหน้ากลับมา พอเห็นเหมียวอี้ใช้วิธีการแบบนั้นปาดทวนใส่หู่โพ่ เห็นเจ้าเวรที่น่าสยองมันฆ่าเพื่อนร่วมงานไปแล้วอีกคน เขาก็ยิ่งรู้สึกสะท้านใจ จึงหันเลี้ยวอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง ลุกลี้ลุกลนหลบหนี เพราะกลัวว่าเหมียวอี้จะไม่ปล่อยเขาไป เขาไม่กล้าอยู่ตรงนี้นานแล้ว หนีไปยังจุดลึกในท้องฟ้า พันธมิตรที่ดึงมาเป็นพวกก็ย่อมไม่สนใจแล้ว


นักพรตอีกสองร้อยกว่าคนที่ขี่สัตว์เทพฝ่าออกมาจากกองทัพชุลมุนก็ยิ่งตระหนกตกใจ ในจำนวนนั้นส่วนใหญ่เป็นลูกหลานผู้มีอำนาจ ไม่ค่อยมีใครได้เห็นการเข่นฆ่าที่โหดร้ายทารุณแบบนี้มาก่อน หนีกระเจิงไปคนละทิศทาคนละทางเช่นกัน


กำลังพลหลายหมื่นที่รวมตัวกันชั่วคราวกลัวว่าจะโดนเหมียวอี้กวาดล้าง จึงกระจัดกระจายเหมือนผึ้งแตกรัง ไม่คุ้มที่จะเอาชีวิตมาทิ้งกับเรื่องแบบนี้ รีบหนีเอาชีวิตรอดแล้ว


กำลังพลห้าหมื่นกว่าที่รวมตัวกันแตกกระเจิงตรงนี้ เหมียวอี้พวกข้ามคนพวกนั้น จ้องแค่ฮัวต้าหลาง แต่เฮยทั่นดันเหาะช้ากว่าคนอื่น ทั้งยังทิ้งระยะห่างกันไปแล้ว ต่อให้ไล่ตามตอนนี้ก็ตามไม่ทัน ทำได้เพียงมองดูเจ้านั่นหนีเอาชีวิตรอดไปได้


จู่ๆ ก็รู้สึกหนักที่หัวทวน พอเหมียวอี้หันไปมอง ถึงได้พบว่าหู่โพ่ปรากฏร่างเดิมแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเสือโคร่งรูปร่างใหญ่ตัวหนึ่ง ร่างเดิมของเขาไม่สามารถฝ่าการรัดพันของเกราะรบผลึกแดงบนตัวได้ ทำให้เบียดจนเลือดเนื้อและกระดูกระเบิดออกมา


เหมียวอี้ใช้เท้าถีบหนึ่งที มีเสียงปั้งดังสองครั้งติดต่อกัน คนที่ห้อยอยู่บนด้ามทวนชนกับหู่โพ่ ทั้งสองถูกถีบกระเด็นออกไปพรัอมกัน


ใช้มือข้างเดียวคว้าทวนมาถือเฉียงไว้ในมือ ทั้งตัวเหมียวอี้เต็มไปด้วยเลือดราวกับไปอาบน้ำเลือดมา ตอนนี้กำลังใช้สายตาเย็นเยียบกวาดมองรอบข้าง เลือดสดบางส่วนที่เปื้อนอยู่บนร่างกายกลายเป็นไข่มุกเลือดลอยขึ้นมาช้าๆ ภายใต้สภาพไร้แรงโน้มถ่วง สงบเงียบ! เศร้าระทมทว่างดงาม!


เฮยทั่นที่อยู่ใต้เท้าก็เหมือนกับเปื้อนเลือดมาเช่นกัน มันกำลังเลียกรงเล็บตัวเอง


เสียงกรีดร้องโวยวายหายไป รอบข้างสงบเงียบ!


ศพของสัตว์เทพเกือบร้อยตัวลอยช้าๆ อยู่รอบด้าน ทั้งยังมีร่างมนุษย์อีกสองพันกว่า บางคนยังคงดิ้นรนอยู่นิดหน่อย ที่จริงเหมียวอี้ไม่ได้ฆ่าเยอะขนาดนั้น ส่วนใหญ่เป็นผลจากการเข่นฆ่ากันเองเพื่อเอาชีวิตรอดในกองทัพอันชุลมุนวุ่นวาย


…………………………


บทที่ 1206 ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ลูกธนูดาวตก

โดย

Ink Stone_Fantasy

แต่ในสายตาคนนอกกลับไม่เป็นแบบนี้ พวกเขาเห็นแค่ทัพใหญ่ห้าหมื่นโยนเชือกมัดเซียนหลายหมื่นเส้นออกไป แล้วตอนหลังก็ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ตอนนี้เห็นเพียงทัพใหญ่หลายหมื่นคนโดนเหมียวอี้สังหารจนกรีดร้องขวัญกระเจิงอย่างต่อเนื่อง หลังจากบาดเจ็บล้มตายก็ไม่มีใครหนีพ้น กองทัพหลายหมื่นคนถูกซัดจนแพ้ย่อยยับ


สิ่งที่ทำให้คนตกตะลึงที่สุดก็คือ หลังจากทัพแตกแล้ว ก็ไม่มีกำลังพลคนไหนหนีเข้ามาในกลุ่มคนที่กำลังดูการต่อสู้อยู่ แต่กลับหนีไปยังจุดลึกในดาราจักร ราวกับว่าต่อให้มีคนมากกว่านี้แต่ก็ไม่มีทางสกัดขวางการไล่สังหารของหนิวโหย่วเต๋อได้ แบบนี้ต้องตระหนกตกใจมากขนาดไหน?


และฉากที่เหมียวอี้เพิ่งสังหารฝ่าศึกเลือดออกมาก็น่าตกตะลึงเช่นนี้ พวกเขามองดูศพที่ลอยอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง


ขนาดตกอยู่ท่ามกลางแนวรบ ไม่น่าเชื่อว่าขนาดเชือกมัดเซียนหลายหมื่นเส้นก็ยังมัดเขาไว้ไม่ได้!


ไม่น่าเชื่อว่าวงล้อมโจมตีของทัพใหญ่หลายหมื่นคนจะถูกเขาคนเดียวทำศึกเลือดจนแตกพ่ายยับเยิน!


ทัพใหญ่ห้าหมื่นล้อมโจมตี แต่ก็ยังโดนเขาคนเดียวสังหารตายไปสองพันกว่าคนแล้ว!


ก่อนหน้านี้โค่วเหวินชิงยังทอดถอนใจด้วยความเป็นห่วงและทนมองไม่ได้ ตอนนี้นางได้แต่ตกตะลึงพูดไม่ออก จ้องมองคนที่เหมือนปีนออกมาจากกองเลือดอย่างเหม่อค้าง ในใจนึกเสียดายไม่หยุด เหวินหลานมีลูกน้องคนสนิทที่ห้าวหาญขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าตระกูลโค่วจะพลาดไปเพราะผลได้ผลเสียชั่วคราว ถ้าไม่ใช่เพราะโค่วเหวินหลานอยากจะตอบแทนน้ำใจ เกรงว่า…ถ้าทุ่มทรัพยากรฝึกเลี้ยงทหารกล้าแบบนี้ แล้วให้เวลาสักระยะเพื่อรอให้วรยุทธ์สูงขึ้นมา แค่คิดก็รู้แล้วว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร น่าเสียดายจริงๆ!


ปี้เยว่ฮูหยินตะลึงค้างอย่างแท้จริง ช่วงสุดท้ายของการทดสอบที่สถานที่ไร้ระเบียบ นางก็ได้รู้ถึงความห้าวหาญของเหมียวอี้แล้ว แต่ไม่เคยเห็นเหมียวอี้เหี้ยมหาญขนาดนี้มาก่อน อาศัยกำลังรบของตัวเองคนเดียวสู้กับทัพใหญ่หลายหมื่นคนและตีจนแพ้ยับเยิน!


ในจนางเรียกได้ว่าทอดถอนใจด้วยความเสียดายไม่หยุด นักพรตห้าหมื่นกว่าคนที่วรยุทธ์อยู่ในระดับเดียวกันโดนหนิวโหย่วเต๋อคนเดียวทำศึกเลือดจนแพ้ย่อยยับ!


คนหนึ่งคนตีทัพใหญ่ของนักพรตบงกชทองจำนวนห้าหมื่นคนจนแตกยับหมายความว่าอะไรล่ะ? อย่างน้อยถ้าเอาค่าจ้างของทัพใหญ่ห้าหมื่นไปแลกก็ไม่ขาดทุนอยู่ดี!


ปี้เยว่ฮูหยินไม่รู้ว่าถ้าท่านโหวเทียนหยวนสามีของนางได้รู้เรื่องนี้แล้วจะรู้สึกอย่างไร คาดว่าถ้าได้รู้แล้วก็คงจะไม่ให้หนิวโหย่วเต๋อมาร่วมการทดสอบครั้งนี้แน่นอน ต่อให้ลดขั้นเป็นเทพแห่งผืนดินหรือผีหลักเมือง แต่ก็คุ้มค่าที่จะทุ่มทรัพยากรเลี้ยงต่อไป มีพื้นฐานแบบนี้ ต่อให้เป็นหนึ่งหมื่นปีก็ยังคุ้มค่าที่จะรอคอย จะทนแรงกดดันขัดใจกับคนบางพวกก็ไม่เป็นอะไร  ทหารนับพันนั้นหาง่าย แต่แม่ทัพคนเดียวนั้นหายาก!


“ปี้เยว่ ได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นลุกน้องคนสนิทของเจ้าไม่ใช่เหรอ?” ข้างๆ มีแม่ทัพภาคคนหนึ่งหันกลับมาถ่ายทอดเสียงถาม ในน้ำเสียงแฝงอารมณ์อิจฉาเล็กน้อยด้วย


“…” ปี้เยว่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี บอกไม่ถูกว่าบนใบหน้าแสดงความรู้สึกอะไร


เดิมทีเขาเป็นลูกน้องคนสนิทของนางจริงๆ นางเองก็นึกไม่ถึงว่าลูกน้องคนสนิทของตัวเองจะห้าวหาญถึงขั้นนี้ แต่เมื่อคิดถึงสิ่งที่ตัวเองทำกับลูกน้องคนสนิทก่อนจะถึงการทดสอบ นางก็ไม่เชื่อว่าเหมียวอี้จะไม่เข้าใจเลยสักนิด คาดว่าตัวเองคงทำให้เหมียวอี้ผิดหวังไปแล้ว


พอคิดถึงเรื่องนี้ นางก็มานึกเสียใจทีหลังแทบแย่ ในใจเริ่มบ่นโทษท่านโหวเทียนหยวน ในปีนั้นผู้ชายคนนั้นบอกว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นคนมีฝีมือ ทั้งยังสั่งไม่ให้ตนเมินเฉยไม่ดูแลด้วย ปรากฏว่าพอเจอกับจุดหัวเลี้ยวหัวต่อที่ต้องเลือกก็เปรียบเปรียบผลประโยชน์ทันที เขาบอกนางว่า ‘คนมีฝีมือที่ไม่มีโอกาสเติบโต ก็เท่ากับเป็นคนไม่มีฝีมือ’ ก็แน่ล่ะ ขนาเจ้ายังไม่ให้โอกาสคนมีฝีมือได้เติบโตเลย แล้วอีกฝ่ายจะเติบโตได้อย่างไรล่ะ? เอาแต่พิจารณาผลประโยชน์ พิจารณาไปพิจารณามาจนมองคนผิด ทำเอาข้าเสียลูกน้องคนโปรดที่สามารถพบเจอแต่ได้มิอาจไขว้คว้าไปหนึ่งคน!


เถิงเฟยเอามือปั่นขยี้เคราครู่หนึ่งขณะจ้องเหมียว จากนั้นก็ลูบเคราต่อไปพลางส่ายหน้าเบาๆ “เดิมทีก็ผ่านการทดสอบมาครั้งหนึ่งแล้ว ทั้งยังอาศัยศักยภาพที่แท้จริงช่วงชิงอันดับหนึ่งมา ไม่ต้องสงสัยในความสามารถแล้ว แต่กลับยังต้องถูกโยนลงมาในนรกอีกครั้ง อาจจะน่าเสียดายไปหน่อยนะ…การทดสอบครั้งนี้ไม่ค่อยยุติธรรม!”


คำพูดสื่อความหมายชัดเจนมาก เกิดรักในความสามารถขึ้นมาแล้ว กังวลว่าเหมียวอี้จะตายอยู่ในนรก


“ไม่มีอะไรยุติธรรมหรือไม่ยุติธรรม ถ้าวันนี้เขาผ่านด่านนี้ไปได้ สิ่งที่เข้าจะได้รับกลับมา คิดว่าจะมีแค่คนมาเรียกร้องความยุติธรรมให้เขางั้นเหรอ? ต้องมีการจ่ายถึงจะมีผลตอบแทน จอมพลเถิง เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?” เกาก้วนถามเสียงเรียบ


เถิงเฟยได้ยินแล้วทำท่าครุ่นคิด จากนั้นก็พยักหน้าเบาๆ วันนี้ต่างหากที่เป็นการ ‘รบครั้งเดียวเลื่องชื่อ’ ของหนิวโหย่วเต๋ออย่างแท้จริง อาศัยกำลังของตัวเองคนเดียวเพื่อตีทัพใหญ่ห้าหมื่นจนแตกพ่าย ผลการรบที่ฆ่าตายไปสองพันคน ขอเพียงแค่รอดชีวิตกลับไปได้ ไม่สนว่าตอนสุดท้ายจะมีคะแนนการทดสอบจะเป็นอย่างไร สำหรับเบื้องล่าง เขาได้ใจคนเต็มที่ ลูกน้องไม่กล้าไม่เชื่อฟัง สำหรับเบื้องบน ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็จะมีคนมาเสนอตัวรับประกันอนาคตให้เขาเอง ยกตัวอย่างเช่น ถ้าสามารถได้หนิวโหย่วเต๋อมาเป็นลูกน้องได้ จอมพลเถิงก็จะต้องเน้นเลี้ยงดูฝึกฝนเป็นพิเศษแน่นอน


“ถ้าสามารถรอดชีวิตกลับไปได้ การทดสอบครั้งนี้ก็ย่อมทำให้เขาสมปรารถนาแล้ว แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าจะรอดชีวิตกลับไปได้หรือเปล่า” เถิงเฟยกล่าว


“ดังนั้นถึงได้เรียกว่าการทดสอบไงล่ะ”


“กรร…” เฮยทั่นที่เลียกรงเล็บเสร็จพลันคำรามอย่างเกรี้ยวกราด ทำลายความเงียบสงบที่อยู่รอบข้างแล้ว


หันหน้ามองไปรอบๆ แวบหนึ่ง เมื่อเห็ฯว่าไม่มีใครกล้าทำอะไรบุ่มบ่ามอีก เหมียวอี้ถึงได้เริ่มเก็บกวาดสนามรบ


จุดไหนที่เฮยทั่นแบกเขาไป ทั้งศพทั้งของก็ถูกเหมียวอี้เก็บไปพร้อมกันหมด


เนี่ยกงยังตายไม่สนิท กำลังลืมตาครึ่งหนึ่งหนึ่ง ยังไม่ขาดใจตาย แต่กลับขยับเขยื้อนไม่ได้ ได้แต่มองดูเหมียวอี้ใช้ทวนแทงเข้ามา


ตราบใดที่ยังไม่ตายสนิท เหมียวอี้ก็จะใช้ทวนแทงเสริมเพื่อให้ตาย ท่ามกลางสายตาของฝูงชน เขาไม่ปล่อยให้รอดไปสักคน เก็บกวาดของกำนัลจากการรบที่เป็นของตัวเองอย่างรวดเร็ว


ทุกคนได้แต่มองดูเหมียวอี้เก็บกวาดสิ่งของอยู่อย่างนั้น


ฉากและเหตุการณ์แบบนี้ ถ้าจะพูดถึงคนที่ตกตะลึงพรึงเพริดจริงๆ ก็คงหนีไม่พ้นจางฮั่นฟางและผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์อีกแปดคนของของจวนแม่ทัพภาคตงหัว เรียกได้ว่าทั้งตกตะลึงทั้งหวาดกลัวเมื่อนึกย้อนไป พอนึกถึงภาพที่ตัวเองดูหมิ่นผู้บัญชาการใหญ่หนิวตอนนั้น แล้วมองดูผู้บัญชาการใหญ่หนิวในตอนนี้อีกครั้ง พวกเขาก็รู้สึกหนาวหลังคอ อีกฝ่ายกลัวพวกเขาเสียที่ไหนกัน แค่ยังไม่แผลงฤทธิ์ก็เท่านั้นเอง หรือไม่ก็ไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาเลย ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะยังรอดชีวิตอยู่อย่างนี้เหรอ!


ซูลี่ที่ตามก้นพวกเขาอยู่ก็ยิ่งหน้าซีด ทั้งมือเท้าทั้งหนังศีรษะชาวาบ วันนี้ถึงได้รู้ว่าอำนาจบารมีของผู้บัญชาการใหญ่หนิวที่ปกคลุมตลาดสวรรค์ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เป็นคนที่ซูลี่จะไปสบประมาทได้เหรอ…


จ้านหรูอี้ที่ยืนอยู่ตรงหน้ากลุ่มคนจ้องมองการกระทำของเหมียวอี้ ในดวงตาฉายแววลังเลนิดหน่อย ไม่รู้ว่าควรจะก้าวขึ้นไปท้าสู้หรือไม่ ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ก็ได้พูดจาโอหังต่อหน้าหนิวโหย่วเต๋อไปแล้ว แต่ศักยภาพของหนิวโหย่วเต๋อที่ได้อันดับหนึ่งจากการทดสอบก็ไม่ได้อ่อนด้อยเลยจริงๆ นางไม่มีความมั่นใจว่าจะเอาชนะอีกฝ่ายได้


เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็อยู่แถวหน้าของกลุ่มคนเช่นเดียวกัน เขากำลังจ้องเหมียวอี้ที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือดอย่างตะลึงค้าง นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเหมียวอี้จะห้าวหาญโหดเหี้ยมถึงขนาดนี้ พอนึกถึงสัญญาศึกตัดสินที่ตัวเองลงนามกับเหมียวอี้ก่อนหน้านี้ มุมปากก็กระตุกนิดหน่อย


ยังไมต้องพูดถึงเรื่องนั้น โชคดีที่ตนลงนามสัญญาไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยอย่างตน ก็เกรงว่าคงจะไม่ถึงคราวให้จาเหรินจวิ้นลงสนามหรอก ตนคงจะกระโดดออกไปลุยก่อนแล้ว พอลองนึกถึงผลลัพธ์นั้น เขาก็ยังรู้สึกกลัวอยู่บ้างเหมือนกัน ได้แต่เหล่ตามองต่งอิ้งเกาที่พูดจาโอหังไว้ก่อนหน้านี้


“ทักษะของหนิวโหย่วเต๋อร้ายกาจกว่าในปีนั้นไม่ใช่น้อยๆ!” ฝานอวี้เฟยพึมพำกับตัวเอง จากนั้นก็เหล่ตามองต่งอิ้งเกาเช่นกัน แต่กลับพูดหยอกล้อว่า “ต่งอิ้งเกา เจ้าบอกว่าเจ้าจะเด็ดหัวเขามาไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้ทำไมไม่พูดอะไรสักคำล่ะ กลัวแล้วล่ะสิ?”


“ช้างหน้าขำ! ข้าน่ะเหรอกลัวเขา? ขาก็แค่ให้เขาช่วยเก็บของให้ข้าเท่านั้นเอง” ต่งอิ้งเกาพูดดูถูก


ไม่ได้พูดแค่ปากเท่านั้น มือก็เคลื่อนไหวอย่างไม่ชักช้า พลิกมือถอด ‘ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์’ ที่สะพายอยู่บนบ่าลงมา ตัวธนูขยายใหญ่หนึ่งเท่าในชั่วพริบตาเดียว พอกางนิ้วทั้งห้า ลูกธนูดาวตกอันแหลมคมที่เต็มไปด้วยลายเมฆก็ปรากฏขึ้นมาสามดอก คีบอยู่ระหว่างนิ้วพร้อมกัน ลูกธนูสามดอกขึ้นสายพร้อมกัน


ชิวพริบตาที่ดึงสายธนู บนธนูโค้งที่งามประณีตจะมีแสงสีทองสายหนึ่งกระเพื่อมราวกับเป็นระลอกคลื่น เมื่อดึงสายธนูเต็มที่ ลำแสงนั้นก็ออกจากสองฝั่งไปรวมอยู่ที่สายธนูทันที


ต่งอิ้งเกาที่กางแขนดึงสายธนูเบี่ยงทิศทางเล็กน้อย คมธนูเล็งไปยังเหมียวอี้ที่กำลังเก็บกวาดของกำนัลจากการรบ ผลปรากฏว่าเห็นเหมียวอี้ก็เงยหน้าช้าๆ มองมาที่เขาเช่นกัน


เหมียวอี้ยังไม่อวดดีถึงขั้นมองข้ามทุกสิ่งอย่าง ตอนที่เก็บของบนสนามรบก็ยังคอยระแวดระวังรอบข้างอยู่ตลอด ต่งอิ้งเกาที่ยืนอยู่แถวหน้าคุยโวโอ้อวดขนาดนี้ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะมองไม่เห็น


ต่งอิ้งเกาไม่แยแส มุมปากโค้งยิ้มเล็กน้อยอย่างเยือกเย็น จะเห็นได้ว่ามีความมั่นใจในตัวเองขนาดไหน


ภายใต้สายตาที่จับจ้องอยู่ทางซ้ายและขวา นิ้วทั้งห้าของต่งอิ้งเกาพลันปล่อยสายธนู ลำแสงบนสายธนูที่ตึงแน่นเชื่อมโยงไปถึงลูกธนูดาวตกสามดอกในชั่วพริบตาเดียว เกิดเสียงดังสะเทือน พลังอิทธิฤทธิ์กระเพื่อมไปรอบด้าน ลูกธนูสามดอกพลันยิงออกจากสาย พังทลายกลางอากาศ กลายเป็นลำแสงสามสายรูปตัวอักษร ‘品’ และหายไปอย่างรวดเร็ว


ความเร็วของลูกธนูทำให้เหมียวอี้ตกใจมาก ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นก็คือ เขาพบว่าตรงส่วนหน้าของลำแสงสามสายมีจุดสีดำสามจุดกำลังหมุนวน ถึงแม้จะไม่ใหญ่เท่าจุดสีดำตอนที่เขาลงมือ มีขนาดเท่าเม็ดถั่วเขียว แต่ก็ไม่มีทางที่เหมียวอี้จะไม่รู้ว่าสิ่งนี้หมายความว่าอะไร


ภายใต้สถานการณ์คับขัน เหมียวอี้รีบกระโดดขึ้นจากหลังเฮยทั่น ต้องการจะหลบหลีก


แต่ใครจะคิดว่าลำแสงสามสายนั้นจะเลี้ยวยิงเข้ามาเป็นเส้นโค้ง ไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถไล่ติดตามยิงได้ นี่คือสิ่งที่เหนือความคาดหมายของเหมียวอี้มาก


“บัดซบ!” เหมียวอี้ตะโกนเสียงดัง โบกทวนตีอย่างบ้าคลั่ง บนหัวทวนก็มีจุดสีดำขนาดเท่าเม็ดถั่วเหลืองหมุนวนอยู่เหมือนกัน


แต่สิ่งที่ทำให้เขารับมือลำบากก็คือ ทวนเกล็ดย้อนฟันโดนลำแสงสองสายนั้นไปแล้วแท้ๆ แต่กลับวาดผ่านลำแสงไป ไม่มีวัตถุจริงใดๆ กีดขวาง รู้สึกถึงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ราวกับช้อนเงาพระจันทร์จากในน้ำ


ชั่วพริบตาเดียว ลำแสงสามสายก็มาถึงด้านหน้าของหน้าอกเขา แล้วปรากฏเป็นร่างจริงอย่างฉับพลัน กลายเป็นลูกธนูของจริงสามดอกที่มีจุดสีดำขนาดเท่าเม็ดถั่วเขียวลอยหมุนวน ฝ่าเกราะพลังอิทธิฤทธิ์ของเขาอย่างเหี้ยมโหด


แกร๊งๆๆ! มีเสียงสะเทือนดังขึ้นสามครั้งแทบจะพร้อมกัน ลูกธนูสามดอกยิงโดนหน้าอกและท้องของเหมียวอี้


อั้ก! เหมียวอี้เงยหน้าขึ้นฟ้าพร้อมกระอักเลือดสดคำหนึ่ง สะเทือนจกระเด็นออกไปหลายสิบจั้ง สูญเสียแรงโน้มถ่วงและกำลังลอยกลิ้งอยู่กลางอากาศไม่หยุด


ส่วนลูกธนูดาวตกสามดอกที่ยิงโดนเหมียวอี้ก็พลิกกลางอากาศ ยิงย้อนกลับไปอีก ความเร็วสู้ตอนที่ยิงออกมาไม่ได้ พอต่งอิ้งเกากางนิ้วทั้งห้า ลูกธนูดาวตกสามดอกก็ถูกคว้ากลับมาอยู่ในมือเขา


พอบุ้ยปากไปทางเหมียวอี้ที่ลอยอยู่ในท้องฟ้าอย่างไร้แรงโน้มถ่วง ต่งอิ้งเกาก็ใช้สายตาเหยียดหยามมองฝานอวี้เฟยที่ค่อนข้างตกใจ แล้วพูดเหน็บแนมว่า “สาวงามผมแหว่ง เป็นยังไงล่ะ? ข้าเด็ดหัวหนิวโหย่วเต๋อได้ง่ายๆ เหมือนหยิบของในกระเป๋าเท่านั้น!”


ฝานอวี้เฟยมองธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ในมือของเขาอย่างอึ้งๆ นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าธนูนี้จะมีอานุภาพมากขนาดนี้ พอยิงธนูครั้งเดียวก็ทำให้หนิวโหย่วเต๋อที่เมื่อครู่นี้ยังองอาจห้าวหาญล้มคว่ำแล้ว


“ดี!” ทันใดนั้น เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ปรบมือพร้อมตะโกนชมเสียงดัง


“ดี!” กำลังพลของกระบวนทัพเดียวกันตะโกนตามทันที


“ดี!” บางกระบวนทัพที่ขัดแย้งกับเหมียวอี้ก็ตะโกนชมเช่นกัน เมื่อครู่นี้ถูกพลังอำนาจของเหมียวอี้ข่มจนหายใจไม่ทั่วท้อง นึกไม่ถึงว่าพอโดนลูกธนูที่อยู่ฝั่งนี้ก็ล้มคว่ำแล้ว ทำให้ขวัญกำลังใจในการรบของทุกคนเพิ่มขึ้นทันที


“ของไม่เลวเลยนี่ วันหลังข้าขอยืมเล่นมั่งสิ”


ท่ามกลางเสียงตะโกนชม จู่ๆ ก็มีเสียงที่ไม่เข้าพวกดังขึ้นหนึ่งประโยค เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่จ้องธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ตาเป็นมันกล่าวขึ้นมา


เมื่อกล่าวมาแบบนี้ ต่งอิ้งเกาก็ทำสีหน้าเหมือนโดนตะคริวกิน ในใจบ่นด่าอย่างบ้าคลั่ง นิสัยอย่างเจ้าน่ะ ของที่ให้ยืมไปแล้วยังมีหวังจะได้กลับคืนมาอีกเหรอ?


ฝานอวี้เฟยกลั้นขำ คิดในใจว่าพี่ชายแท้ๆ ของผู้บัญชาการใหญ่เซี่ยโห้วไม่ใช่คนดีอะไรนัก มีชื่อเสียงเรื่องไร้เหตุผล พอต่งอิ้งเกาโดนพัวพันอยู่แบบนี้ เดี๋ยวเจ้าตัวคงได้เป็นทุกข์แน่


“อ๋าว…” เสียงคำรามอันเดือดดาลช่วยแก้ไขความลำบากใจของต่งอิ้งเกาแล้ว


ทุกคนหันไปมอง เห็นสัตว์พาหนะที่สวมเกราะรบของของหนิวโหย่วเต๋อคำรามหนึ่งครั้ง ราวกับเป็นบ้าประสาทเสียไปแล้ว มันพุ่งเข้ามาอบ่างบ้าบิ่น ตรงไปหาต่งอิ้งเกา


ต่งอิ้งเกาทำสีหน้าเหยียดหยาม ลูกธนูดาวตกสามดอกดึงเหนี่ยวอยู่บนสายธนู ปั้ง! เสียงระเบิดดังท่ามกลางพลังอิทธิฤทธิ์ที่สาดซัด


แกร๊งๆๆ! เฮยทั่นโดนลูกธนูสามดอกภายในชั่วพริบตาเดียว ร่างกายที่ใหญ่โตขนาดนี้ก็สะเทือนจนกระเด็นออกไปได้เหมือนกัน


“ดี!” กลุ่มคนตะโกนชมอีกครั้ง


แต่ความทนทานของเฮยทั่นนั้นไม่ธรรมดา ร่างกายม้วนกลิ้งอยู่พักหนึ่ง แล้วก็เลี้ยวกระโจนเข้ามาอีก


ต่งอิ้งเกาตกตะลึงนิดหน่อย เหมือนจะนึกไม่ถึงว่าเฮยทั่นจะถึกทนขนาดนี้ เขากวักมือเรียกลูกธนูดาวตกสามดอกกลับมาแล้วง้างสายธนูอีกครั้งทันที


แกร๊งๆ! เฮยทั่นถูกทำให้สะเทือนจนกระเด็นอีกครั้ง


ทว่าพอเฮยทั่นยืนอย่างมั่นคงได้ มันก็โผเข้ามาอีก สู้สุดชีวิตแบบไม่ตายเลิกจริงๆ!


“ข้าก็อยากจะเห็นว่าเดรัจฉานอย่างเจ้าจะทนลูกธนูของข้าได้สักกี่ครั้ง!” ต่งอิ้งเกาแสยะยิ้ม ลูกธนูดอกแล้วดอกเล่ายิงจนเฮยทั่นล้มคว่ำ ราวกับกำลังเล่นกับเด็กสามขวบ


…………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)