เทพปีศาจหวนคืน 1193-1199
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1193 กงหว่านถิง
แปลโดย iPAT
แสงแรกแห่งรุ่งอรุณส่องสะท้อนกลีบดอกไม้และใบหญ้ที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำค้าง
อสรพิษสีเลือดเลื้อยคลานออกจากถ้ำของมันหลังจากคืนอันหนาวเหน็บ
เมื่ออุณหภูมิในร่างกายของมันกลับสู่สภาพปกติ มันเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วก่อนจะพุ่งเข้ากลืนกินเหยื่อเพื่อเก็บไว้รับมือกับความหนาวเย็นของคืนถัดไป
ในโลกนี้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดล้วนดิ้นรนต่อสู้เพื่อความอยู่รอด
อสรพิษตัวนี้ยังเลื้อยคลานต่อไป แต่ในจังหวะที่มันกำลังจะล่าเหยื่อตัวถัดไป เสียงระเบิดกลับดังขึ้นอย่างกะทันหัน
“บึม บึม บึม บึม…”
เสียงระเบิดดังขึ้นอย่างต่อเนื่องราวกับเสียงกลองสงคราม
วังขนาดใหญ่เคลื่อนที่ผ่านก้อนเมฆและร่อนลงบนทุ่งหญ้าแห่งนี้
มันเป็นวังที่งดงามและมีสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนแลบลั่นอยู่รอบๆ
ในวังหลังนี้ นู๋เอ๋อกู่หัวเราะเสียงดัง “วังอสนีทรงพลังจริงๆ! งานประลองทุ่งโลหิตครั้งนี้เผ่านู๋เอ๋อของข้าจะใช้วังอสนีหลังนี้กำหราบศัตรูทั้งหมด ฮ่าฮ่าฮ่า”
เขาเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดที่มีชื่อเสียงของฝ่ายธรรมะในภาคเหนือ เขาบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งเสียงและมีความสำเร็จที่น่าประทับใจ พลังการต่อสู้ของเขาอยู่ในระดับเดียวกับกวนซูของเผ่ากวน บัณฑิตสันโดษ และไป่ซุ้ยฮัน
นู๋เอ๋อกู่มีศีรษะเล็กแต่ท้องโต ใบหน้าซีดขาว แขนขาของเขาเล็กลีบเหมือนกิ่งไม้แห้ง โดยรวมแล้วเขาดูเหมือนคนป่วย
ตอนนี้นู๋เอ๋อกู่กำลังควบคุมวังอสนีและมีความสุขกับพลังอำนาจของมัน
นอกจากนู๋เอ๋อกู่ยังมีผู้อมตะเผ่านู๋เอ๋ออีกหลายคน ท่ามกลางพวกเขามีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งขมวดคิ้วและตะโกน “เอาล่ะ นู๋เอ๋อกู่ หยุดใช้สายฟ้า มันเสียงดังเกินไป หากเจ้าใช้อีกครั้ง ข้าจะเปลี่ยนเจ้าเป็นคางคก”
เมื่อนู๋เอ๋อกู่ได้ยินการข่มขู่ของหญิงสาว ความตื่นเต้นของเขาอันตรธานหายไปในทันที
“ท่านยายทวด ข้าผิดไปแล้ว!” เขารีบหันหลังกลับและโค้งศีรษะขอโทษ
เด็กหญิงโบกมือ “เสี่ยวกู่ เจ้าต้องทำตัวให้ดี เราไม่ควรเปิดเผยความสามารถมากเกินไปในการประลองครั้งนี้ เผ่ากวนและเผ่าหลิวอยู่ใกล้เผ่าไป่ซูมากที่สุด หากเราใช้ความพยายามมากเกินไป พวกเขาจะเฝ้าดูอยู่ข้างสนามและรอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์”
“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะทำตามคำแนะนำของท่านยายทวด” นู๋เอ๋อกู่ตบหน้าอกของตนเองด้วยความมั่นใจ
ผู้อมตะเผ่านู๋เอ่อคนอื่นๆแทบไม่สามารถกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้
ตามลำดับอาวุโส ผู้อมตะหญิงตัวเล็กผู้นี้คือยายทวดของนู๋เอ๋อกู่
จุดสำคัญที่สุดก็คือนางแข็งแกร่งมาก นางเคยทดสอบท่าไม้ตายอมตะของนางกับนู๋เอ๋อกู่ตั้งแต่เขายังเด็ก ความเจ็ดปวดที่นู๋เอ๋อกู่ได้รับทำให้เขาหวาดกลัวยายทวดผู้นี้เป็นอย่างมาก
“หือ คนเผ่ากงมาแล้วงั้นหรือ?” เป็นเพียงเวลานี้ที่เด็กหญิงมองเห็นคฤหาสน์วิญญาณอมตะอีกหลังหนึ่งอยู่ในระยะไกล
คฤหาสน์วิญญาณอมตะหลังนี้คือวังตะวันตกของเผ่ากงที่ส่องประกายเจิดจ้าราวกับแสงตะวัน
เมื่อนู๋เอ๋อกู่เห็นหญิงที่ยืนอยู่ที่ทางเข้าของวังตะวันตก เขาขมวดคิ้วทันที “เหตุใดเป็นนาง?”
หญิงผู้นี้ดูเหมือนอายุยี่สิบปลายๆ นางสวมเครื่องแต่งกายที่หรูหราราวจักรพรรดินี เส้นผมสีดำของนางถูกผูกมัดด้วยหยกและเครื่องประทับทอง ผิวของนางขาวราวหิมะ คิ้วของนางเรียวยาว ดวงตาแหลมคม โดยรวมแล้วภาพลักษณ์ของนางดูสง่างามมาก
“กงหว่านถิง?” เด็กหญิงเผ่านู๋เอ๋ออุทานด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย “ไปกับข้า”
ผู้อมตะเผ่านู๋เอ๋อบินออกจากวังอสนีและเดินทางไปยังทางเข้าวังตะวันตก
เด็กหญิงกล่าวทักทาย “น้องหว่านถิง หวังว่าเจ้าจะสบายดี”
กงหว่านถิงเผยรอยยิ้มบาง “พี่นู๋เอ๋อเฉียน วันนี้เป็นวันดีที่ได้พบท่าน”
ผู้อมตะทั้งสองยืนอยู่บนทุ่งโลหิต สถานที่จัดงานประลองครั้งใหญ่ของภาคเหนือ
ต่อมาคฤหาสน์วิญญาณอมตะหลังที่สามก็ปรากฏขึ้น
หอคอยเทพแสง!
มันเป็นคฤหาสน์วิญญาณอมตะของเผ่าเหยา
ผู้อมตะเผ่าเหยา เหยาหยวนอิงบินออกมาและทักทายผู้อมตะหญิงของกงและเผ่านู๋เอ๋อ
นู๋เอ๋อกู่ลอบส่งเสียงไปหานู๋เอ๋อเฉียนอย่างลับๆ “ท่านยายทวด ดูเหมือนเผากงจะส่งกงหว่านถิงมาในครั้งนี้ กระทั่งเผ่าเหยาก็ยังส่งคนระดับสูงมาที่นี่”
นู๋เอ๋อเฉียนตอบกลับ “กงหว่านถิงเป็นภรรยาอย่างเป็นทางการขององค์ชายฟงเซี่ยน ผู้ใดจะกล้าไม่เคารพนาง กระทั่งเหยากวงจะมาด้วยตนเอง เขาก็ยังต้องสุภาพกับนาง แต่คนที่เผ่าเหยาส่งมาคือเหยาหยวนอิง นางมีธรรมชาติที่อ่อนโยน นางไม่เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้และสังหาร แต่นางมีความสามารถพิเศษด้านการรักษา ดูเหมือนเผ่าเหยาจะไม่ต้องการเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มากนัก”
ผู้อมตะที่แต่ละเผ่าส่งมาสามารถบอกความคิดของพวกเขา
ในการต่อสู้ที่แดนศักดิ์สิทธิ์อินทรีย์เหล็ก เผ่ากงพบกับความสูญเสียมากที่สุด กงเอ๋อถูกลงโทษหลังจากกลับไป ครั้งนี้เผ่ากงต้องการส่งองค์ชายฟงเซี่ยนมาแต่องค์ชายฟงเซี่ยนปฏิเสธ ดังนั้นเผ่ากงจึงต้องส่งตัวเลือกที่ดีที่สุดลำดับถัดไปมาที่นี่ นั่นก็คือกงหว่านถิง
นางเป็นภรรยาขององค์ชายฟงเซี่ยน นางเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดที่แข็งแกร่ง พิจารณาจากตัวตนของนาง คนผู้หนึ่งสามารถบอกได้ว่าเป้าหมายของเผ่ากงในครั้งนี้คือการกอบกู้ชื่อเสียงของพวกเขา
เผ่าเหยาส่งเหยาหยวนอิงมา นางเป็นผู้อมตะสายรักษาที่ไม่เก่งเรื่องการต่อสู้ เหยากวงเป็นสหายของจักรพรรดิสวรรค์ไป่ซู พวกเขาตกลงที่จะจัดงานประลองครั้งนี้เพื่อตอบสนองความต้องการของถ้ำสวรรค์นิรันดร เห็นได้ชัดว่าเหยากวงยังให้ความสำคัญกับการหลอมรวมวิญญาณอมตะระดับแปดของเขาเป็นหลัก
เผ่านู๋เอ๋อส่งนู๋เอ๋อเฉียนและนู๋เอ๋อกู่มาในครั้งนีั เนื่องจากนู๋เอ๋อกู่เป็นคนที่ไม่สามารถพึ่งพา ดังนั้นนู๋เอ๋อเฉียนที่มีประสบการณ์และเชื่อถือได้จึงต้องตามมาดูแลเขา
สมาชิกตระกูลฮวงจินปรากฏตัวขึ้นทีละกองกำลัง
เผ่าหลิว เผ่าเย่หลิว เผ่าจางอวี๋ เผ่าเมิ้ง เผ่าหยวน เผ่าเหนียงเอ๋อ เผ่ามู่หลาน เผ่ากวน
กองกำลังตระกูลฮวงจินมีทั้งหมดสิบเอ็ดเผ่า ทุกกองกำลังเป็นกองกำลังใหญ่ของภาคเหนือ
แต่ก่อนหน้านี้มีอีกสองเผ่า
หนึ่งคือเผ่าตงฟาง แต่น่าเสียดายที่ตงฟางชางฟานทำลายเผ่าของตนเองลงด้วยแผนการฟื้นคืนชีพของเขา
อาจกล่าวได้ว่าเผ่าตงฟางประสบความสำเร็จเพราะตงฟางชางฟานและล่มสลายเพราะตงฟางชางฟานเช่นกัน
อีกหนึ่งคือเผ่าไห่ เผ่าไห่มีผู้อมตะจำนวนมาก แต่พวกเขาถูกเผ่าไป่ซูกลืนกินและต้องละทิ้งแซ่ไห่ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่ได้รับการยอมรับจากสมาชิกตระกูลฮวงจินอีกต่อไปและกระทั่งถูกดูหมิ่น
“คารวะเทพธิดากงหว่านถิง” เช่นเดียวกับเผ่าเหยาและเผ่านู๋เอ๋อ ผู้อมตะจากเผ่าต่างๆล้วนทักทายกงหว่านถิงด้วยความอ่อนน้อม
พลังการต่อสู้ของกงหว่านถิงทำให้นางกลายเป็นผู้นำของฝ่ายธรรมะ สิ่งสำคัญที่สุดคือนางเป็นภรรยาขององค์ชายฟงเซี่ยน
“เผ่ากงส่งเทพธิดาหว่านถิงมาจริงๆ ชัดเจนว่าพวกเขาต้องการสะกดข่มเผ่าเหยา”
“คนของเผ่ากงชอบดูถูกผู้อื่น กล่าวตามตรง ข้าชอบเผ่าเหยามากกว่า อย่างน้อยที่สุดเหยากวงก็เป็นคนตระกูลฮวงจินของเรา”
ผู้อมตะเผ่าต่างๆลอบพูดคุย ทุกคนสามารถสัมผัสได้ถึงคลื่นใต้น้ำของฝ่ายธรรมะ
“เมื่อเทพธิดาหว่านถิงอยู่ที่นี่ ข้า เหยาหยวนอิงจะกล้าถือป้ายคำสั่งนี้ได้อย่างไร?” เหยาหยวนอิงมอบป้ายคำสั่งของถ้ำสวรรค์นิรันดรให้กับกงหว่านถิงโดยตรง
กงหว่านถิงปฏิเสธด้วยรอยยิ้ม
เหยาหยวนอิงพยายามเสนอให้นางเป็นครั้งที่สอง
กงหว่านถิงปฏิเสธอีกครั้ง เว้นเพียงท่าทีของนางที่ดูอ่อนลงไปมาก
เหยาหยวนอิงเสนอเป็นครั้งที่สาม สุดท้ายกงหว่านถิงจึงต้องรับป้ายคำสั่งเอาไว้ด้วยการแสดงออกราวกับนางถูกบังคับ
หลังจากนางหยิบมันขึ้นมา นางก็วางมันไว้ที่ทางเข้าวังตะวันตก
กงหว่านถิงกล่าว “ทุกท่าน เชิญเข้าไปข้างใน ข้าได้เตรียมสุราอาหารเอาไว้แล้ว”
ผู้อมตะทุกคนรับคำเชิญนางจาก
ก่อนหน้านี้กงเอ๋อเคยชวนคนอื่นๆเช่นกันแต่ไม่มีผู้ใดเข้าไป อย่างไรก็ตามกงหว่านถิงแตกต่างออกไป ทุกคนต้องให้เกียรตินาง
ทุกเผ่านั่นในตำแหน่งตามสถานะของตน
เผ่านู๋เอ๋อนั่งเก้าอี้ตัวแรกจากด้านขวาเพราะพวกเขานำวังอสนีมา
เผ่าอื่นๆถูกจัดเรียงตามกองกำลังที่พวกเขาส่งมาเช่นกัน
นี่อาจทำให้บางคนไม่พอใจ แต่ต่อหน้ากงหว่านถิง ผู้ใดจะกล้าแสดงออก
“เหตุใดเผ่าเหนียงเอ๋อของข้าถึงอยู่ลำดับสุดท้าย? กงหว่านถิงดูถูกพวกเรางั้นหรือ?” เหนียงเอ๋อปิงซื่อลอบพูดคุยกับผู้อาวุโสเผ่าเหนียงเอ๋อที่นั่งอยู่ด้านข้าง
ครั้งนี้เผ่าเหนียงเอ๋อส่งเหนียงเอ๋อฝูและเหนียงเอ๋ออี้ฟางมาพร้อมกับเหนียงเอ๋อปิงซื่อ
ผู้อาวุโสเผ่าเหนียงเอ๋อวางมือบนไหล่ของเหนียงเอ๋อปิงซื่อและให้กำลังใจ “ปิงซื่อ หากเจ้าไม่พอใจก็จงสังหารคู่ต่อสู้ในการประลองครั้งนี้ เมื่อเวลานั้นมาถึง ตำแหน่งของเราจะถูกเปลี่ยน สิ่งนี้จะแสดงให้เห็นถึงศักดิ์ศรีของเผ่าเหนียงเอ๋อของเราอีกด้วย”
“ผู้อาวุโสอี้ฟาง ท่านกล่าวได้ถูกต้องแล้ว ข้าจะทำเช่นนั้น!” เหนียงเอ๋อปิงซื่อกำหมัดแน่นขณะที่ดวงตาส่องประกายขึ้น
จากที่นั่งหลัก กงหว่านถิงลอบสังเกตการเคลื่อนไหวของทุกคน เมื่อเห็นการแสดงออกของเหนียงเอ๋อปิงซื่อ นางลอบขบขันอยู่ภายใน ‘อย่าตั้งคำถามกับผู้ตั้งกฎ!’
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1194 ไม่คุกเข่า
แปลโดย iPAT
ผู้อมตะฝ่ายธรรมะพึ่งนั่งลงบนเก้าอี้เมื่อผู้บ่มเพาะสันโดษและปีศาจอมตะปรากฏตัวขึ้น
เมฆสีเทาบินข้ามผ่านท้องฟ้าโดยมีจักรพรรดิอมตะชูตู๋ยืนอยู่ด้านหน้าด้วยความภาคภูมิใจ ด้านหลังชูตู๋มีสมาชิกจากสองกองกำลัง ด้านหนึ่งประกอบด้วยห่าวเจิ้น เชาเหลาอู๋ หลี่ซื่อจุน หวังอู๋หมิง และคนอื่นๆ อีกด้านหนึ่งมีไป่ซูเหริน ไป่ซูหลิง ตลอดไปถึงอดีตผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสี่ของเผ่าไห่
ผู้อมตะฝ่ายธรรมะกวาดตามองกองกำลังที่พึ่งมาถึงก่อนจะหยุดสายตาที่ชูตู๋
ไม่กี่ลมหายใจต่อมา กลุ่มผู้อมตะฝ่ายธรรมะผู้หนึ่งก็ส่งหัวเราะออกมา “ฝ่ายธรรมะของเราจะชนะการต่อสู้ครั้งนี้อย่างแน่นอน นิกายชูและเผ่าไป่ซูอันใด พวกเขากล้ายั่วยุตระกูลฮวงจินของเรางั้นหรือ?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า กล่าวได้ดี”
“ดังคาด เราต้องระวังชูตู๋เล็กน้อยเท่านั้น”
กลุ่มผู้อมตะฝ่ายธรรมะพูดคุยด้วยความผ่อนคลาย
ในทางตรงข้าม การแสดงออกของห่าวเจิ้น เชาเหลาอู๋ ไป่ซูเหริน และคนอื่นๆ ดูมืดมนและกังวลมาก
พวกเขาเข้าใจสถานการณ์
ฝ่ายธรรมะนำคฤหาสน์วิญญาณอมตะมาถึงสามหลัง
วังอสนี วังตะวันตก และหอคอยเทพแสง
แต่ฝ่ายของชูตู๋ พวกเขาเดินทางมาด้วยเมฆสีเทาที่ดูน่าสมเพชเท่านั้น
ฝ่ายธรรมะดื่มสุราและทานอาหารอยู่ในคฤหาสน์วิญญาณอมตะวังตะวันตกอย่างผ่อนคลาย แต่ฝ่ายของชูตู๋ยืนอยู่ท่ามกลางสายลม
ฝ่ายธรรมะพูดคุยและหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ในทางตรงข้ามฝ่ายของชูตู๋ยืนอยู่ท่ามกลางความเงียบ
มีเพียงชูตู๋เท่านั้นที่แสดงออกด้วยความผ่อนคลาย
เขามีทั้งสมองและมัดกล้ามเนื้อ เขาฉลาดมากและคาดเดาเหตุการณ์นี้ไว้แล้วตั้งแต่ก่อนออกเดินทาง ดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกกังวลใดๆ
ชูตู๋มองผู้อมตะที่อยู่ด้านข้างและกล่าว “น้องเซี่ย เจ้าเก็บตัวบ่มเพาะมาเป็นเวลานานและมีความสำเร็จที่น่าอัศจรรย์ ตอนนี้เป็นเวลาที่เจ้าจะสร้างชื่อให้กับตนเองแล้ว ข้าจะมอบการต่อสู้แรกให้เจ้า หลังการต่อสู้ครั้งนี้ ข้าเชื่อว่าชื่อของเจ้าไม่เพียงจะถูกเผยแพร่ไปทั่วโลกแต่ยังมีโอกาสฝากร่องรอยไว้ในประวัติศาสตร์อีกด้วย!”
ดวงตาของผู้อมตะแซ่เซี่ยส่องประกายขึ้นเมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านี้
“ครั้งก่อนพี่ชูเชิญข้าแต่เวลานั้นข้ากำลังหลอมรวมวิญญาณและไม่สามารถออกมา คราวนี้ข้าต้องทำให้โลกทั้งใบรู้จักชื่อเซี่ยอู่เหิงของข้า!”
ผู้อมตะแซ่เซี่ยตอบชูตู๋ก่อนจะบินออกไป
เขายืนกอดอกอยู่บนสนามประลองอย่างเงียบๆ
ในวังตะวันตก ผู้อมตะบางคนชี้นิ้วไปที่เซี่ยอู่เหิงและกล่าวอย่างขบขัน “พวกเขาส่งเด็กน้อยไร้ชื่อออกมาตาย”
เหนียงเอ๋อปิงซื่อกำลังจะลุกขึ้นแต่ถูกหยุดไว้โดยเหนียงเอ๋ออี้ฟาง “อดทนไว้ ศัตรูเป็นเพียงผู้อมตะระดับหกที่ไร้ชื่อเสียง การฆ่าเขาไม่เพียงพอ รอบนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องลงมือ”
“อา…” เหนียงเอ๋อปิงซื่อครุ่นคิดและตระหนักว่ามันเป็นความจริง ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจไม่ลุกขึ้น
“ผู้ใดจะออกไปเป็นคนแรก” กงหว่านถิงถาม
ผู้อมตะหนุ่มผู้หนึ่งลุกขึ้นยืน “ข้า เย่หลิวเสี่ยวจิน ยินดีออกไปเป็นคนแรก!”
กงหว่านถิงลังเลอยู่ชั่วขณะ นางคิดในใจ ‘จักรพรรดิอมตะชูตู๋เป็นบุคคลที่ไม่สามารถดูแคลน เขาส่งตัวละครนิรนามออกมาในรอบแรก เขาย่อมไม่ใช่คนธรรมดา หากฝ่ายเราประมาท เราอาจแพ้ในการต่อสู้ครั้งแรก นั่นย่อมไม่ใช่เรื่องดี’
เย่หลิวเสี่ยวจินเป็นผู้อมตะวัยเยาว์และยังไร้ชื่อเช่นเดียวกับฝ่ายตรงข้าม
ในเวลานี้ผู้อมตะเผ่าเย่หลิว เย่หลิวซุ้ยหงจึงเผยรอยยิ้มกล่าว “แม้เด็กผู้นี้จะเป็นเพียงผู้อมตะระดับหก แต่เขามีความสามารถในการต่อสู้และมีท่าไม้ตายอมตะที่ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของเผ่าเย่หลิวยังต้องยกย่อง”
กงหว่านถิงไม่ต้องการสร้างความขัดแย้งตั้งแต่แรก ดังนั้นนางจึงต้องยอมรับ “เช่นนั้นเราจะรอดูความกล้าหาญของผู้เยาว์เผ่าเย่หลิว”
“รับทราบ!” ผู้อมตะหนุ่มหันหลังกลับและเดินออกไป
เมื่อเขาเดินผ่านเหนียงเอ๋อปิงซื่อ เขาชำเลืองมองเหนียงเอ๋อปิงซื่อด้วยสายตาเย้ยหยัน
‘เจ้า!” เหนียงเอ๋อปิงซื่อแทบไม่สามารถระงับความโกรธและพุ่งเข้าโจมตีฝ่ายตรงข้าม
แต่เย่หลิวเสี่ยวจินเดินออกไปแล้ว
เหนียงเอ๋อปิงซื่อสร้างชื่อให้กับตนเองในการต่อสู้ที่แดนศักดิ์สิทธิ์อินทรีย์เหล็ก แต่คนหนุ่มสาวมักไม่เต็มใจที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ เย่หลิวเสี่ยวจินเป็นหนึ่งในนั้น
ครั้งนี้เขาตั้งใจที่จะสร้างชื่อให้กับตนเองผ่านการต่อสู้ที่ดุเดือด
การประลองครั้งแรกที่กำลังจะปะทุขึ้นอยู่ภายใต้การเฝ้ามองของผู้คนทั้งหมด
ในเวลาเดียวกันที่ภาคใต้
“ข้าบอกข้อมูลสำคัญทั้งหมดเกี่ยวกับถ้ำไป่เซียงกับเจ้าแล้ว หลังจากทายาทในสายเลือดของไป่เซียงกลายเป็นผู้อมตะ อสรพิษขาวตัวนี้จะนำทางพวกเขาเข้าไปในถ้ำสวรรค์ไป่เซียง แต่ถ้ำสวรรค์ไป่เซียงเต็มไปด้วยอันตราย เพราะไป่เซียงเป็นปีศาจอมตะ เจ้าต้องระวังตัวให้มาก ตามข้อมูลของนิกายเงา ไป่เซียงเป็นคนยโสและกดขี่ผู้คน มีเพียงผู้อมตะที่แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะสามารถพูดคุยกับเขา เจ้าอย่าได้ดื้อรั้นเกินไป จงทำเพื่อผลประโยชน์เท่านั้น”
อิงอู๋เซี่ยเตือนไป่หนิงปิง
นิกายเงาต้องการฉกฉวยผลประโยชน์ในการเดิมพันห้าเซียงมานานแล้ว
แต่เพราะโอกาสยังไม่เอื้ออำนวย แผนการนี้จึงถูกเลื่อนออกไป แน่นอนว่าเหตุผลหลักเพราะนิกายเงาพยายามหลอมรวมวิญญาณทารกอมตะเป็นอันดับแรก
นิกายเงาเลือกไป่หนิงปิงด้วยเหตุผลสองประการ หนึ่ง นางเป็นผู้หลบหนีจากโชคชะตา สอง นางมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเดิมพันห้าเซียง
ไป่หนิงปิงตะคอก “ข้ารู้ว่าควรทำสิ่งใด!”
อิงอู๋เซี่ยไม่สะทกสะท้านและยังเผยรอยยิ้ม “เอาล่ะ ไปได้”
ไป่หนิงปิงนำอสรพิษขาวออกมา
มันเป็นวิญญาณระดับห้าที่ถูกดึงดูดเข้าหาไป่หนิงปิงเพราะสุดยอดกายาน้ำแข็งแห่งความมืด
ไป่หนิงปิงกระตุ้นใช้งานมิติช่องว่างอมตะเทียมของนางทันที
ในความเป็นจริงนิกายเงาขโมยวิธีนี้มาจากวังสวรรค์ แต่พวกเขามีความเข้าใจเกี่ยวกับมันเพียงหกสิบส่วน ดังนั้นมันจึงมีข้อบกพร่องมากมาย
ด้วยมิติช่องว่างเทียม ไป่หนิงปิงสามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะได้เป็นการชั่วคราวโดยไม่ต้องก้าวข้ามภัยพิบัติ อาจกล่าวได้ว่านางเป็นผู้อมตะปลอม
โดยปกติไป่หนิงปิงจะอยู่ในร่างของมนุษย์เพศหญิง แต่หลังจากกระตุ้นใช้งานมิติช่องว่างเทียม นางจะกลายเป็นผู้อมตะชาย
บางครั้งการเปลี่ยนร่างเป็นหญิงและชายสลับไปมาก็ทำให้ไป่หนิงปิงรู้สึกอึดอัดใจอยู่บ้าง
อย่างไรก็ตามไม่มีผู้ใดล้อเลียนนางเกี่ยวกับเรื่องนี้
ไท่เป่ยหยุนเฉิงเป็นคนใจดี ขณะที่ไห่ลั่วหลันไม่สนใจรายละเอียดเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ สำหรับซื่อหนิว เขากังวลเกี่ยวกับความสำเร็จและความล้มเหลวของไป่หนิงปิงมากกว่าเพราะมันจะส่งอิทธิพลอย่างมากต่อนิกายเงา
ไป่หนิงปิงเริ่มปลดปล่อยกลิ่นอายของผู้อมตะออกมา เมื่ออสรพิษขาวสัมผัสได้ถึงสิ่งนี้ ร่างกายของมันเริ่มสั่นสะท้านขึ้นก่อนที่มันจะส่งเสียงกรีดร้องขึ้นสู่ท้องฟ้า
เสียงกรีดร้องของมันแตกต่างจากอสรพิษทั่วไปอย่างสิ้นเชิงเพราะมันเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่และทรงพลัง
จากนั้นอสรพิษขาวก็นำร่างของไป่หนิงปิงทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
ไห่ลั่วหลัน อิงอู๋เซี่ย และคนอื่นๆยืนมองอยู่ที่ตำแหน่งเดิม
พวกเขาไม่สามารถติดตามไปเพราะพวกเขาไม่มีสายเลือดของไป่เซียง ตอนนี้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับไป่หนิงปิงเท่านั้น
ไป่หนิงปิงมองลงไปด้านล่าง เมื่อเห็นกลุ่มเมฆหมอกหนาทึบ ช่วยไม่ได้ที่เขาจะคิดถึงหมู่บ้านตระกูลไป่
นั่นเป็นการเผชิญหน้าครั้งแรกระหว่างไป่หนิงปิงกับอสรพิษขาว…
ที่น้ำพุจิตวิญญาณธรรมชาติของตระกูลไป่ อสรพิษขาวปรากฏตัวขึ้นที่นั่น
“คารวะนายท่านผู้ยิ่งใหญ่!” ผู้นำตระกูลไป่คุกเข่าลงบนพื้นและกระตุ้นไป่หนิงปิงในวัยเยาว์ “ไป่หนิงปิง เหตุใดไม่คุกเข่าลง!?”
“ข้าจะไม่คุกเข่าต่อหน้าวิญญาณ!” ไป่หนิงปิงกล่าวอย่างเย็นชา
แม้อสรพิษขาวจะปลดปล่อยกลิ่นอายที่ยิ่งใหญ่ออกมาพร้อมกับเจตนาสังหาร แต่ไป่หนิงปิงกลับไม่รู้สึกหวาดกลัวแม้แต่น้อย ดวงตาสีฟ้าของเขายังจ้องมองอสรพิษขาวโดยไม่ละสายตา…
“ตามบันทึกลับของตระกูล เมื่อผู้ใช้วิญญาณได้รับการยอมรับจากอสรพิษขาว มันจะนำคนผู้นั้นบินขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อรับสืบทอดมรดก”
“ดังนั้นความลับของการรับสืบทอดมรดกของไป่เซียงก็คือการเป็นผู้อมตะ”
คำถามที่ติดอยู่ในใจของไป่หนิงปิงมาตลอดสุดท้ายก็ได้รับคำตอบในวันนี้
“โดยไม่ทันตั้งตัว ข้ามาถึงระดับนี้แล้ว” ไป่หนิงปิงสูดหายใจลึก “สำเร็จหรือล้มเหลวไม่สำคัญ ฮ่าฮ่า ข้าหวังเพียงว่าถ้ำสวรรค์ไป่เซียงจะไม่น่าเบื่อเกินไป!”
แดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา ในห้องลับของเมืองเมฆา
ฟางหยวนพ่นลมหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา
ในมือของเขาถือวิญญาณระดับมนุษย์บนเส้นทางแห่งความฝันที่พึ่งหลอมรวมสำเร็จเอาไว้
ความก้าวหน้าในการบ่มเพาะของเขาหยุดลงและไม่สามารถยกระดับได้อีกเพราะเขากลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดในความทรงจำไปแล้ว อาจมีบางส่วนที่เหลืออยู่แต่ระดับความสำเร็จของเขาไม่เอื้ออำนวยให้กลืนกินพวกมัน
เขาตระหนักว่าอาณาจักรแห่งความฝันเป็นวิธียกระดับความสำเร็จอย่างรวดเร็วที่สุด ดังนั้นในช่วงเวลาที่ผ่านมาเขาจึงหมกมุ่นอยู่กับการหลอมรวมวิญญาณระดับมนุษย์บนเส้นทางแห่งความฝัน
วิญญาณระดับมนุษย์บนเส้นทางแห่งความฝันรวมกับวิญญาณอมตะคลี่คลายปริศนาสามารถสร้างท่าไม้ตายอมตะคลี่คลายความฝัน
ด้วยท่าไม้ตายนี้ ฟางหยวนจะสามารถคลี่คลายอาณาจักรแห่งความฝันเพื่อเพิ่มความสำเร็จให้กับตนเอง
‘งานประลองทุ่งโลหิตเริ่มขึ้นแล้ว…ข้าควรเข้าร่วมสักสองสามครั้งและสังหารผู้อมตะสักสองสามคนเพื่อกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาและก้าวเข้าสู่ระดับเจ็ด’
‘แม้ทะเลตะวันออกจะมีเมืองจิ๋วและแดนศักดิ์สิทธิ์มากมายอยู่ที่นั่น แต่มันไกลเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อข้าเคยไปที่นั่นมาแล้ว เจตจำนงสวรรค์ย่อมรู้เรื่องนี้และสามารถวางแผนกำจัดข้า’
‘มันดีกว่าที่ข้าจะอยู่ที่นี่เพื่อหลอมรวมวิญญาณระดับมนุษย์บนเส้นทางแห่งความฝันและออกไปสังหารผู้อมตะในงานประลองทุ่งโลหิตในภายหลัง’
ด้วยความคิดนี้ ฟางหยวนจึงเข้าสู่อาณาจักรแห่งความฝันของตนเองอีกครั้ง
ในขบวนสินค้าที่กำลังสัญจรไปตามเส้นทางภูเขา
ฟางหยวนเป็นหนึ่งในสมาชิกของขบวนสินค้านี้
ฟางหยวนต้องการพิสูจน์ว่าตนเองเหนือกว่าน้องชายที่มีพรสวรรค์นภาที่หนึ่ง แต่ผู้นำตระกูลไม่ให้โอกาสนี้แก่เขา
ผู้นำตระกูลวางแผนร้ายต่อฟางหยวนและทำให้เขาพบกับความพ่ายแพ้
สุดท้ายเขาก็ถูกทุกคนทอดทิ้งและดูแคลน
“พรสวรรค์นภาที่สามไร้อนาคต”
“แม้เจ้าจะชนะฟางเจิ้ง แล้วอย่างไร พรสวรรค์นภาที่หนึ่งคืออนาคตของตระกูล!”
“ในฐานะพี่ชาย เจ้าไร้ความอดทนและพยายามสร้างความยากลำบากให้กับน้องชายของเจ้า ช่างน่าอายนัก”
ผู้ชนะครอบครองทุกสิ่ง
ฟางหยวนถูกเนรเทศออกจากตระกูล เขาต้องเข้าร่วมกับขบวนสินค้าและทำงานอย่างหนัก
“หยุดรถ ถนนสายนี้ขรุขระเกินไป พักก่อน” เสียงของเด็กหนุ่มดังมาจากภายในรถม้า
“แต่นายน้อย พวกเรายังอยู่ไกลจากหมู่บ้านถัดไป พวกเราพักมาสามครั้งแล้ว หากพักอีก เราจะไม่สามารถเดินทางออกจากภูเขาลูกนี้ได้ก่อนฟ้ามืด” ผู้ดูแลขบวนสินค้ายืนอยู่นอกรถม้าและกล่าวด้วยความกังวล
“เพี๊ยะ!”
แส้ฟาดลงมาที่ร่างของผู้ดูแลขบวนสินค้าและส่งเขาบินออกไป
“เจ้ากล่าวสิ่งใด?”
“ขบวนสินค้านี้เป็นของตระกูลของข้า ข้ามีสิทธิ์จัดการทั้งหมด เจ้าเป็นเพียงคนรับใช้ต่ำต้อยแต่เจ้ากลับกล้าสั่งสอนข้างั้นหรือ?”
ผู้ใช้วิญญาณหนุ่มท่าทางดุร้ายเดินออกมาจากรถม้า
“บ่าวสมควรตาย บ่าวสมควรตาย!”
ขบวนสินค้าหยุดเคลื่อนไหวทันที
เสียงดังมาจากด้านหน้า “เกิดสิ่งใดขึ้นด้านหลัง?”
คำถามดังมาจากด้านหลังเช่นกัน “เกิดสิ่งใดขึ้นด้านหน้า?”
เห็นสายตาที่จ้องมองมา ผู้ใช้วิญญาณหนุ่มขมวดคิ้วและตะโกน “มองสิ่งใด? ทาสที่เกียจคร้าน หากพวกเจ้ายังมองข้า ข้าจะควักลูกตาของพวกเจ้าออกมา!”
ฟางหวนก้มศีรษะลง
“เจ้า ถูกต้อง เจ้า!” ผู้ใช้วิญญาณหนุ่มชี้นิ้วมาที่ฟางหยวน “ออกมา คุกเข่าลงเป็นเก้าอี้ให้ข้า นี่ถือเป็นเกียรติที่ข้ามอบให้เจ้า ข้าต้องการพักผ่อนข้างนอกสักพัก”
ฟางหยวนเงยหน้ามองผู้ใช้วิญญาณหนุ่ม
“ข้าจะไม่คุกเข่า”
“กระไรนะ!?” ผู้ใช้วิญญาณหนุ่มรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ
“เจ้าพูดว่าจะไม่คุกเข่างั้นหรือ?” นิ้วของเขาชี้มาที่ฟางหยวนด้วยอาการสั่นเทา
การแสดงออกของเขาดูเกินจริงราวกับเขาได้ยินเรื่องตลกที่สุด
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าจะไม่คุกเข่า!? เจ้าเป็นทาสแต่เจ้าไม่ยอมคุกเข่างั้นหรือ!?”
จากนั้นเขาก็ได้ยินคำกล่าวของฟางหยวนอีกครั้ง
“ถูกต้อง ข้าจะไม่คุกเข่า”
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1195 เด็ก
แปลโดย iPAT
“เด็กน้อย รับท่านี้!” หลิวฮุ้ยตะโกนและปลดปล่อยกลิ่นอายที่ทรงพลังออกมาจากร่างกาย
เขายกแขนขึ้นเหนือศีรษะและควบแน่นแสงสีเทารูปจันทร์เสี้ยงขึ้นกลางอากาศ
“ดี ในที่สุดผู้อาวุโสหลิวฮุ้ยก็ใช้ท่าไม้ตายจันทร์เสี้ยวสีเทาออกมา!”
“นี่เป็นท่าไม้ตายที่โด่งดังของหลิวฮุ้ย”
“ถูกต้อง ร่างกายของผู้ที่ถูกโจมตีด้วยท่าไม้ตายนี้จะกลายเป็นหิน นี่เป็นท่าไม้ตายที่รับมือได้ยาก”
ภายในวังตะวันตก ผู้อมตะฝ่ายธรรมะโห่ร้องด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
อีกด้านหนึ่ง การแสดงของเซี่ยอู่เหิงกลับเปลี่ยนแปลงไป
เขารู้สึกถึงพลังอำนาจที่ไม่ธรรมดาของท่าไม้ตายนี้และไม่กล้าบุ่มบ่าม
เขากระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะและสร้างชั้นน้ำแข็งขึ้นมาปกป้องร่างกายของตนเอาไว้ แสงจันทร์สีเทาทำให้น้ำแข็งกลายเป็นหิน แต่ชั้นนำแข็งยังก่อตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้แสงจันทร์สีเทาไม่สามารถสัมผัสร่างกายของเซี่ยอู่เหิง
“อันใด? เขาใช้ท่าไม้ตายสายโจมตีกับร่างกายของตนเองงั้นหรือ?”
“น่าอัศจรรย์นัก! เซี่ยอู่เหิงจัดการท่าไม้ตายจันทร์เสี้ยวสีเทาได้อย่างง่ายดาย เขาค่อนข้างฉลาด!”
“ต่อไป มอบความพ่ายแพ้ให้เขา!”
ผู้อมตะฝ่ายชูตู๋โห่ร้อง
ในทางตรงข้ามอารมณ์ผ่อนคลายของผู้อมตะฝ่ายธรรมะในวังตะวันตกหายไปอย่างสมบูรณ์
“พวกเราจะไม่พ่ายแพ้ให้กับเซี่ยอู่เหิงอีกครัั้งใช่หรือไม่?”
“กระทั่งผู้อาวุโสหลิวฮุ้ยก็ยังไม่สามารถรับมือเขางั้นหรือ?”
“เซี่ยอู่เหิงไร้ชื่อเสียงขณะที่ผู้อาวุโสหลิวฮุ้ยเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับหกที่โด่งดัง!””
ขณะที่ผู้อมตะเหล่านี้กำลังพูดคุย เซี่ยอู่เหิงในชุดหินและน้ำแข็งก็พุ่งเข้าโจมตีหลิวฮุ้ย
“ตาเฒ่า แก่แล้วเหตุใดไม่พักผ่อนอยู่บ้าน? เช่นนั้นก็ตายซะ!”
เซี่ยอู่เหิงผลักฝ่ามือออกไป คลื่นหิมะและน้ำแข็งพุ่งขึ้นสู่อากาศ
ผู้อมตะฝ่ายธรรมะผู้อาวุโสหลิวฮุ้ยถูกโจมตีและจมอยู่ใต้คลื่นหิมะและน้ำแข็งเหล่านี้
เซี่ยอู่เหิงชนะ!
หลิวฮุ้ยตาย!
ทุกคนตกใจกับผลลัพธ์นี้
“ก่อนการต่อสู้ครั้งนี้ เซี่ยอู่เหิงได้รับชัยชนะมาแล้วสองรอบติดต่อกัน เขาได้รับบาดเจ็บและไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด!”
“ในการต่อสู้สองครั้งก่อนหน้า เขาต่อสู้กับผู้เยาว์ของฝ่ายธรรมะแต่เขาไม่สามารถสังหารคู่ต่อสู้ อย่างไรก็ตามตอนนี้เขากลับสังหารหลิวฮุ้ย!”
“หลิวฮุ้ยที่ยิ่งใหญ่กลับตกตายอยู่ในมือของปีศาจอมตะไร้นาม!”
“สวรรค์! ข้าไม่อยากจะเชื่อ!”
“คนผู้นี้เป็นเพียงผู้อมตะระดับหกแต่พลังการต่อสู้ของเขากลับเทียบเท่าผู้อมตะระดับเจ็ด! เขามาจากที่ใด?”
“นี่ทำให้ข้าคิดถึงปีศาตอมตะเซี่ยหู เขาใช้แซ่เซี่ยและบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งหิมะและน้ำแข็ง เขาเหมือนปีศาจอมตะเซี่ยหูในวัยเยาว์!”
“เขายังห่างไกลจากปีศาจอมตะเซี่ยหู แต่ชัยชนะสามครั้งติดต่อกันจะทำให้ชื่อเสียงของเขาแพร่กระจายไปทั่วโลก!”
ทั้งฝ่ายธรรมะและฝ่ายของชูตู๋ต่างวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเซี่ยอู่เหิง
“เสี่ยวจิน อย่าเสียใจ นี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้า ฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งเกินไป เขากระทั่งสามารถสังหารหลิวฮุ้ย!” เย่หลิวซุ้ยหงปลอบใจเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านข้าง
มันคือเย่หลิวเสี่ยวจิน
ขณะนี้แขนขวาของเขายังถูกแช่แข็ง ผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีดำน้ำเงิน กระทั่งเลือดและกระดูกยังได้รับผลกระทบ
เย่หลิวเสี่ยวจินรู้สึกเจ็บปวดมากหลังจากพ่ายแพ้ เขากลับมาที่ห้องโถงแห่งนี้และก้มศีรษะลงตลอดเวลา
สำหรับคำกล่าวของเย่หลิวซุ้ยหง ดูเหมือนเขาจะไม่ได้ยิน
เย่หลิวซุ้ยหงเห็นสิ่งนี้และถอนหายใจ “เจ้ายังเด็ก ความพ่ายแพ้ครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อเจ้า ความอัปยศจะทำให้เจ้าพยายามมากขึ้น ผู้ใดจะรู้ว่าในอนาคตเจ้าอาจประสบความสำเร็จและเหนือกว่าพวกเขา สิ่งสำคัญคืออย่าสูญเสียความมั่นใจ”
เย่หลิวซุ้ยหงมองไปทางเซี่ยอู่เหิงจากนั้นก็เลื่อนสายตาไปทางเหนียงเอ๋อปิงซื่อที่ไม่สามารถสงบนิ่ง
“ข้าขอออกไปได้หรือไม่?” เหนียงเอ๋อปิงซื่อลอบขออนุญาตผู้อาวุโสเผ่าเหนียงเอ๋อ
อย่างไรก็ตามเหนียงเอ๋ออี้ฟางยังส่ายศีรษะ “คนผู้นี้ชนะมาสามครั้งแล้ว มีผู้บาดเจ็บล้มตาย ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในจุดสูงสุด หากเจ้าสังหารเขา มันจะไม่มีสิ่งใดพิเศษ แต่หากเจ้าทำไม่สำเร็จ ศักดิ์ศรีของเจ้าจะถูกทำลาย อีกฝ่ายไม่ได้โง่เขลา เหตุใดพวกเขาถึงปล่อยให้เซี่ยอู่เหิงสู้ต่อไป?”
แต่ต่อมาชูตู๋กลับถอนเซี่ยอู่เหิงออจากการต่อสู้
เหนียงเอ๋อปิงซื่อตะคอก “แม้เขาจะไม่ต่อสู้แต่ข้าก็จะขึ้นไป เขาชนะสามครั้ง ข้าจะชนะอย่างน้อยหกครั้ง!”
เหนียงเอ๋อปิงซื่อลุกขึ้นและโค้งคำนับกงหว่านถิง “ข้าขอออกไปต่อสู้!”
คิ้วกงหว่านถิงขมวดเล็กน้อย
ฝ่ายของชูตู๋ได้รับชัยชนะสามครั้งติดต่อกัน
นี่ทำให้ฝ่ายธรรมะสูญเสียชื่อเสียงและยังสร้างความเสียหายต่อศักดิ์ศรีของกงหว่านถิงอีกด้วย
กงหว่านถิงรู้ว่าเหนียงเอ๋อปิงซื่อได้รับมรดกของผู้พิทักษ์ดาบเผ่าเหนียงเอ๋อ หลังจากไตร่ตรอง นางไม่มีเหตุผลที่จะไม่อนุญาตเขา
เหนียงเอ๋อปิงซื่อเข้าสู่สนามประลองและตะโกน “ผู้ใดต้องการตาย?”
เสียงโห่ร้องของฝ่ายชูตู๋เงียบลงทันที
“ระวัง อย่าหลงกลเด็กผู้นี้ เขาเป็นผู้อมตะระดับหกที่สามารถสังหารผู้อมตะระดับเจ็ด!”
“เขาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในการต่อสู้ที่แดนศักดิ์สิทธิ์อินทรีย์เหล็ก เขาโหดเหี้ยมมาก เขาฆ่าผู้อมตะไปหลายคนในครั้งนั้น”
“กระทั่งปีศาจเฒ่าซากศพพิษก็ไม่สามารถทำสิ่งใดเขา”
“เขาเป็นผู้สืบทอดของผู้พิทักษ์ดาบเผ่าเหนียงเอ๋อ เขาย่อมไม่ใช่คนธรรมดา”
เผชิญหน้ากับการท้าทายของเหนียงเอ๋อปิงซื่อ ฝ่ายชูตู๋กลายเป็นเงียบงันไปชั่วขณะ
“เด็กยุคนี้แต่ละคนช่างโหดเหี้ยมนัก” ชูตู๋เผยรอยยิ้มบาง
“พี่ชู โปรดให้ข้าออกไป” เซี่ยอู่เหิงร้องขอ
แต่ชูตู๋จะอนุญาตได้อย่างไร
เซี่ยอู่เหิงได้รับบาดเจ็บกระทั่งมิติช่องว่างบางส่วนยังกลายเป็นหินและสูญเสียทรัพยากรจำนวนมากจากท่าไม้ตายของหลิวฮุ้ย
“อย่ากังวล ข้ามีแผนจัดการเด็กผู้นี้แล้ว” ชูตู๋เผยรอยยิ้มมั่นใจ
“ท่านยายหยิน ข้าต้องฝากการต่อสู้ครั้งนี้ไว้กับท่านแล้ว” ชูตุ๋กล่าวกับผู้อมตะชุดคลุมดำที่อยู่ด้านหลังเขา
ผู้อมตะหลังค่อมผู้นี้ถือไม้เท้าเอาไว้ในมือและไม่เคยกล่าวสิ่งใด
เมื่อได้ยินคำกล่าวของชูตู๋ นางก็ยกมือขึ้นปิดหมวกออก
“ฮิฮิ หญิงชราผู้นี้จะดูแลเจ้าเป็นอย่างดี” ยายหยินบินเข้าสู่สนามประลองและจ้องมองเหนียงเอ๋อปิงซื่อด้วยดวงตาสีเหลืองที่ขุ่นมัว
“อันใด? นางคือปีศาจอมตะระดับเจ็ด ยายหยิน!”
“ชูตู๋ช่างไร้ยางอายนัก เหนียงเอ๋อปิงซื่อเป็นเพียงผู้อมตะระดับหก แต่เขากลับส่งผู้เชี่ยวชาญระดับสูงที่มีชื่อเสียงออกมา!”
“ไม่ดีแล้ว เรียกเหนียงเอ๋อปิงซื่อกลับมา!” เหนียงเอ๋ออี้ฟางกังวลมาก
เหนียงเอ๋อปิงซื่อเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นของเผ่าเหนียงเอ๋อและได้รับการดูแลอย่างดี ครั้งนี้เหนียงเอ๋ออี้ฟางถูกส่งมาดูแลความปลอดภัยให้กับเหนียงเอ๋อปิงซื่อ หากเหนียงเอ๋อปิงซื่อตาย เหนียงเอ๋ออี้ฟางจะต้องรับผิดชอบ
อย่างไรก็ตามเจตจำนงแห่งการต่อสู้ของเหนียงเอ๋อปิงซื่อกลับยิ่งพุ่งสูงขึ้น เขาพุ่งเข้าโจมตียายหยินทันที
…..
แดนศักดิ์สิทธิ์ภูเขาหิมะ ยอดเขาที่หนึ่ง
“เจ้าต้องขอบคุณข้าที่ทำให้ระดับการบ่มเพาะของเจ้าพุ่งสูงขึ้นและกำลังจะถึงระดับห้า” ท่านหญิงหว่านซูพูดกับหม่าหงหยุนขณะที่ถือบอลสายฟ้าเอาไว้ในมือ
หม่าหงหยุนตะโกนอย่างบ้าคลั่ง “คนชั่ว เจ้ายังต้องการทรมานข้า เจ้าจะทรมานข้าไปถึงเมื่อใด? ข้าไม่ต้องการบ่มเพาะเช่นนี้ ปล่อยข้าไป!”
ท่านหญิงหว่านซูเย้ยหยัน “นั่นเป็นไปไม่ได้”
จากนั้นนางก็ส่งบอลสายฟ้าออกไป
“เปรี้ยง!”
ร่างของหม่าหงหยุนสั่นกระตุก เขากลอกตาไปมา อ้าปากค้าง และกรีดร้องตลอดเวลา
“อ๊าก…”
เขากรีดร้องกระทั่งประกายสายฟ้าสลายไปจนหมด
“ล้มเหลวอีกครั้ง เจ้าเด็กนี่!” ใบหน้าของท่านหญิงหว่านซูกลายเป็นมืดมน นางตบแก้มของหม่าหงหยุนอย่างดุเดือด
หม่าหงหยุนหมดสติจากการตบของนาง
…..
ภาคกลาง นิกายคฤหาสน์วิญญาณ
ฝนเทลงมาอย่างหนักทำให้ท้องฟ้ากลายเป็นสีดำ
ร่างของจ้าวเหลียนหยุนเปียกโชกไปด้วยสายฝน สายตาของนางพร่ามัวและรู้สึกวิงเวียนศีรษะอย่างรุนแรง
นางต้องประคองสติด้วยกำลังทั้งหมด
แม้นางจะเป็นปีศาจต่างโลกที่มีความทรงจำของโลกใบก่อนหน้า แต่นางยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับโลกของผู้อมตะมากนัก นางไม่สามารถเชื่อมโยงสิ่งต่างๆ
สิ่งเดียวที่นางกังวลคือหม่าหงหยุน
“ปีศาจต่างโลกผู้นี้ช่างโง่เขลานัก” หลี่จุนอิงเฝ้าสังเกตอยู่อย่างลับๆ
ซูเฮาส่ายศีรษะ “ข้าไม่เคยคาดคิดว่านางจะดื้อรั้นถึงเพียงนี้ มันผ่านไปมากกว่าสิบวันแล้ว”
หลี่จุนอิงหันกลับมาที่สามีของนาง “ท่านเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าฟงจินฮวงอาจใช้เรื่องนี้ต่อต้านพวกเรา นางอาจขอให้จ้าวเหลียนหยุนยอมแพ้ในการชิงตำแหน่งผู้นำนิกายและสัญญาว่าจะช่วยคนรักของนาง”
ซูเฮายิ้ม “เป็นไปไม่ได้ ด้วยธรรมชาติของฟงจินฮวง นางจะไม่ทำเช่นนั้น หลังจากทั้งหมดทั้งสองล้วนยังเด็ก”
…..
ในอาณาจักรแห่งความฝัน ภาคใต้
“อา…” ฟางหยวนกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด
“เด็กน้อย ตอนนี้เจ้ารู้จักเจ็บปวดแล้วงั้นหรือ? หากเจ้าคุกเข่าลง เจ้าก็คงไม่ต้องทรมานเช่นนี้” ชายวัยกลางคนเคราหนากำลังรักษาอาการบาดเจ็บให้กับฟางหยวน
ฟางหยวนเงยหน้าขึ้นและกำหมัดแน่น “ท่านลุง บุรุษจะคุกเข่าให้บิดามารดาและสวรรค์พิภพเท่านั้น ข้าจะไม่คุกเข่าตามคำสั่งของผู้ใด! แม้ตายข้าก็จะไม่คุกเข่า!”
“หากไม่สนใจชีวิตของตนเอง การรักษาเจ้าก็ไร้ประโยชน์!” ชายวัยกลางคนบ่น
“ฮืม ข้าไม่ได้ขอให้ท่านรักษา!” ฟางหยวนอดทนต่อความเจ็บปวดและยืนขึ้นก่อนจะเดินออกจากระโจมไปโดยไม่หันหลังกลับ
อย่างไรก็ตามเขากลับล้มลงบนพื้นหลังจากเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว ความเจ็บปวดทำให้เขาหมดสติ
เมื่อเขาตื่นขึ้นอีกครั้ง เขาก็พบว่าตนเองกลับมาอยู่ในกระโจมของชายวัยกลางคนอีกหน
“เจ้ายังเด็กเกินไป” ชายวัยกลางคนยกถ้วยสุราขึ้นดื่ม “ข้ารักษาอาการบาดเจ็บของเจ้าแล้วครึ่งหนึ่งและปล่อยให้อีกครึ่งเป็นบทเรียนของเจ้า”
ฟางหยวนพึมพำ “ขอบคุณ ท่านลุง แต่ข้าบอกท่านไปแล้วว่านี่ไม่ใช่เรื่องของเด็กแต่เป็นเรื่องของหลักการ!”
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1196 จิตวิญญาณดาบ
แปลโดย iPAT
ทุ่งโลหิต
การต่อสู้ระหว่างเหนียงเอ๋อปิงซื่อกับยายหยินดึงดูดความสนใจของทุกคน
ยายหยินเป็นปีศาจอมตะที่มีประสบการณ์สูง นางบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งภูตผีและมีชื่อเสียงโด่งดังในภาคเหนือ
นางเคลื่อนไหวราวกับภูตผีและมีวิญญาณอาฆาตเคลื่อนไหวอยู่รอบๆ
เหนียงเอ๋อปิงซื่อเป็นทายาทผู้สืบทอดของผู้พิทักษ์ดาบเผ่าเหนียงเอ๋อ การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วราวกับสายฟ้า
ทั้งสองต่อสู้กันมาหลายกระบวนท่าและตอนนี้การต่อสู้กำลังเข้าสู่จุดสำคัญ
กลางสนามรบ ความมืดปกคลุมพื้นที่ทั้งหมด
แสงดาบของเหนียงเอ๋อปิงซื่อถูกปิดกั้น แม้มันจะพุ่งไปทุกทิศทางแต่ความมืดก็ยังกลืนกินมันเข้าไป โดยรวมแล้วยายหยินสามารถควบคุมสถานการณ์ทั้งหมด
“ยายหยินเป็นผู้เชี่ยวชาญบนเส้นทางสายปีศาจ นางแข็งแกร่งและเต็มไปด้วยประสบการณ์” หวังอู๋หมิงยกย่อง
แต่ชูตู๋ขมวดคิ้วและนิ่งเงียบ
เขาคิด ‘ยายหยินเป็นผู้อมตะระดับเจ็ด แต่นางไม่สามารถสังหารเหนียงเอ๋อปิงซื่อได้ในทันที แม้นางจะดูเหมือนเหนือกว่า แต่แสงดาบของเหนียงเอ๋อปิงซื่อยังอาละวาดไปรอบๆ เขายังคิดว่าสามารถเอาชนะ!’
ในวังตะวันตก เมื่อเห็นอัจฉริยะของเผ่าตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เหนียงเอ๋ออี้ฟางรู้สึกกระวนกระวายใจและไม่สามารถละสายตาจากการต่อสู้
หากสถานการณ์เลวร้ายลง เขาจะรีบออกไปช่วยเหนียงเอ๋อปิงซื่อทันที
ไม่ว่ามันจะเป็นการทำลายกฎหรือทำลายชื่อเสียงของเผ่าเหนียงเอ๋อ เขาก็ต้องรักษาชีวิตของเหนียงเอ๋อปิงซื่อเอาไว้!
“ฮิฮิ เด็กน้อย เจ้าไม่มีที่ให้หลบแล้ว ยอมรับความตายซะ!” เป็นเพียงเวลานี้ที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในสนามรบ
ยายหยินชี้นิ้วไปที่เหนียงเอ๋อปิงซื่อ
ท่าไม้ตายอมตะกรงขังภูตพราย!
ดวงตาของเหนียงเอ๋อปิงซื่อกลายเป็นไร้แวว แสงดาบที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วสูญสลายไปและเผยให้เห็นร่างจริงของเด็กหนุ่ม
“ฮิฮิ” ยายหยินหัวเราะด้วยความพึงพอใจ
มือของนางขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่าก่อนที่นางจะฟาดลงบนศีรษะของเหนียงเอ๋อปิงซื่อ
หากการโจมตีนี้เกิดขึ้น กะโหลกศีรษะของเหนียงเอ๋อปิงซื่อจะถูกบดขยี้
“หยุด!” เหนียงเอ๋ออี้ฟางตะโกนและพุ่งออกจากวังตะวันตก
อย่างไรก็ตามชูตู๋เตรียมการไว้ล้วงหน้าแล้ว เขารู้ว่าเมื่อยายหยินลงมือสังหารเหนียงเอ๋อปิงซื่อ ผู้อมตะฝ่ายธรรมะจะออกมาขัดขวาง
ดังนั้นชูตู๋จึงจัดทัพรออยู่แล้ว
ห่าวเจิ้นเคลื่อนไหวทันที
“สหาย ช่างไร้ยางอายนัก เจ้าต้องการขัดขวางการต่อสู้ตัวต่อตัวงั้นหรือ?” ห่าวเจิ้นยิงสายฟ้าไปที่ใบหน้าของเหนียงเอ๋ออี้ฟาง
เกราะไม้สีมรกตปรากฏขึ้นบนร่างกายของเหนียงเอ๋ออี้ฟางอย่างรวดเร็ว
นี่คือท่าไม้ตายอมตะของเหนียงเอ๋ออี้ฟาง มันมีพลังป้องกันที่ไม่ธรรมดา ไม่ว่าสายฟ้าของห่าวเจิ้นจะรุนแรงเพียงใด มันก็ไม่สามารถฝากร่องรอยไว้บนเกราะไม้มรกต ตรงข้ามมีใบไม้สีเหลืองและสีเขียวงอกออกมาราวกับมันได้รับประโยชน์จากสายฟ้าของห่าวเจิ้น
ชูตู๋อ้าปากค้าง
เขารู้สึกประหลาดใจ
สิ่งที่ทำให้ชูตู๋ประหลาดใจไม่ใช่เกราะไม้ของเหนียงเอ๋ออี้ฟางเนื่องจากเกราะไม้ของเขามีชื่อเสียงในภาคเหนืออยู่แล้ว มันเป็นท่าไม้ตายอมตะที่เขาคิดค้นขึ้นด้วยตนเอง เกราะใบไม้ผลิ
แต่สิ่งที่ทำให้ชูตู๋ประหลาดใจคือการแสดงออกของเหนียงเอ๋ออี้ฟาง
สายฟ้าของห่าวเจิ้นทำให้เหนียงเอ๋ออี้ฟางสูญเสียโอกาสที่ดีที่สุดในการช่วยเหนียงเอ๋อปิงซื่อไปแล้ว
ชูตู๋พิจารณาสิ่งที่เขาทำ เหนียงเอ๋อปิงซื่อเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นของเผ่าเหนียงเอ๋อ ชีวิตของเด็กผู้นี้กำลังตกอยู่ในอันตราย แต่เหนียงเอ๋ออี้ฟางกลับเลือกที่จะปกป้องตนเองจากสายฟ้าของห่าวเจิ้นมากกว่าการช่วยชีวิตเหนียงเอ๋อปิงซื่อ
การกระทำนี้หมายความว่าเขาไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนที่จะช่วยเหนียงเอ๋อปิงซื่อ
เกิดสิ่งใดขึ้น?
“โอ้ ไม่!” ทันใดนั้นหัวใจของชูตู๋พลันสั่นสะท้านขึ้น เขามองไปที่สนามรบ
เขากำลังจะเตือนยายหยิน แต่มันสายไปแล้ว
เหนียงเอ๋อปิงซื่อปล่อยแสงลึกลับออกมาจากดวงตาของเขา
การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เสียงหัวเราะของยายหยินหยุดชะงักลงทันที
หัวใจของนางส่งสัญญาณเตือนถึงอันตราย นางต้องการป้องกันตนเอง แต่มันสายเกินไป
แสงดาบสว่างไสวขึ้น
ชีวิตและความตาย ชัยชนะและความพ่ายแพ้ พวกมันถูกกำหนดภายในช่วงเวลานี้
วิญญาณอาฆาตยังบินวนเวียนอยู่รอบๆแต่ยายหยินล้มลงบนพื้นด้วยร่างที่ถูกตัดออกเป็นสองส่วน
นางมองเหนียงเอ๋อปิงซื่อด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ เขาหยุดพ้นจากท่าไม้ตายอมตะของนางได้อย่างไร?
“กรงขังภูตพรายเป็นท่าไม้ตายที่ยายหยินภาคภูมิใจ นางใช้มันสร้างชื่อและท่องเที่ยวไปทั่วภาคเหนือ แต่มันใช้ไม่ได้ผลกับเหนียงเอ๋อปิงซื่องั้นหรือ?” ชูตู๋และกลุ่มของเขาตกตะลึง
“เกิดสิ่งใดขึ้น?” ในวังตะวันตก ผู้อตะฝ่ายธรรมะรู้สึกประหลาดใจ
“นี่คือจิตวิญญาณดาบ มันเป็นท่าไม้ตายอมตะจากมรดกของผู้พิทักษ์ดาบ มันเป็นทักษะที่หลอมรวมเส้นทางแห่งปัญญาและเส้นทางสายอื่นๆเข้าด้วยกัน” เหนียงเอ๋ออี้ฟางหัวเราะ
เย่หลิวเสี่ยวจินคิด ‘เขากำลังบอกว่าเหนียงเอ๋อปิงซื่อเป็นผู้สืบทอดที่โดดเด่นที่สุดในประวัติศาสตร์งั้นหรือ?’
เย่หลิวเสี่ยวจินเป็นอัจฉริยะของเผ่าเย่หลิวแต่น่าเสียดายที่เขาแพ้เซี่ยอู่เหิง
ในทางตรงข้ามเหนียงเอ๋อปิงซื่อสามารถสังหารยายหยินผู้อมตะระดับเจ็ด นี่ทำให้ทุกคนเห็นถึงความแตกต่าง
“เหนียงเอ๋ออี้ฟางเข้าใจสถานการณ์ของเหนียงเอ๋อปิงซื่อแต่ยังแสร้งรีบร้อนออกมาด้วยความตื่นตระหนก” เชาเหลาอู๋รู้สึกไม่พอใจกับความไร้ยางอายของเหนียงเอ๋ออี้ฟาง
การแสดงของเหนียงเอ๋ออี้ฟางทำให้ผู้อมตะทั้งสองฝ่ายคิดว่าเหนียงเอ๋อปิงซื่อตกอยู่ในอันตราย
กระทั่งยายหยินยังถูกหลอก
เขาทำหน้าที่ได้ดีจริงๆ
‘ไม่ อาจเป็นเพราะยายหยินมั่นใจกับท่าไม้ตายอมตะกรงขังภูตพรายของนางมากเกินไป’ ชูตู๋ลอบประเมินอยู่ในใจ ‘และเหนียงเอ๋อปิงซื่อผู้ไม่ได้เป็นเพียงคนโหดเหี้ยมแต่เขายังมีทักษะในการแสดงและสามารถหลอกลวงยายหยิน การโจมตีของเขาทั้งทรงพลังและรวดเร็ว เขายังเด็กแต่กลับแข็งแกร่งถึงเพียงนี้!’
“กลับมาเร็วเข้า!” เหนียงเอ๋ออี้ฟางตะโกนเรียกเหนียงเอ๋อปิงซื่อ
เหนียงเอ๋อปิงซื่อสังหารยายหยินแต่เขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน
เขาเร่งล่ายถอยแต่ก่อนจากไปเขายังเก็บซากศพของยายหยินกลับไปด้วย
นี่คือการต่อสู้ของเหนียงเอ๋อปิงซื่อ
นิกายชูไม่ได้หยุดเขาเพราะนี่เป็นหนึ่งในกฎของการประลองครั้งนี้
ก่อนหน้านี้เซี่ยอู่เหิงก็เก็บศพของผู้อมตะหลิวฮุ้ยไว้เช่นกัน
เซี่ยอู๋เหิงอาจชนะสามครั้งแต่เขาสามารถสังหารหลิวฮุ้ยที่เป็นผู้อมตะระดับหกเท่านั้น ในขณะที่เหนียงเอ๋อปิงซื่อชนะเพียงครั้งเดียวแต่เขาสามารถสังหารผู้อมตะระดับเจ็ดยายหยิน
อาจกล่าวได้ว่าฝ่ายธรรมะเหนือกว่าเล็กน้อย
ชูตู๋รู้สึกกดดัน
‘ข้าควรส่งผู้ใดออกไป?’
ชูตู๋ลังเล
ในไม่ช้าผลของการต่อสู้ครั้งนี้ก็เดินทางมาถึงฟางหยวน
ฟางหยวนยังบ่มเพาะอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา
‘เหนียงเอ๋อปิงซื่อสังหารยายหยิน?’ ฟางหยวนประหลาดใจเล็กน้อยกับข้อเท็จจริงนี้
มีผู้อมตะระดับหกหลายคนสามารถต่อสู้กับผู้อมตะระดับเจ็ด แต่ผู้อมตะระดับหกที่สามารถสังหารผู้อมตะระดับเจ็ดหาได้ยาก
เหนียงเอ๋อปิงซื่อ…ฟางหยวนไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับคนผู้นี้
แต่คนที่ฟางหยวนรู้สึกสนใจมากกว่าคือเซี่ยอู่เหิง
หากกล่าวให้ถูกต้องกว่านั้นก็คือเขาสนใจแดนศักดิ์สิทธิ์ของผู้อมตะหลิวฮุ้ยที่อยู่กับเซี่ยอู่เหิง
‘ผู้อมตะหลิวฮุ้ยบ่มเพาะอยู่บนเส้นทางแห่งปฐพี เขาผ่านภัยพิบัติสวรรค์มาแล้วสองครั้ง ด้วยการกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเขา ข้าจะสามารถก้าวเข้าสู่ระดับเจ็ดได้อย่างแน่นอน’
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ฟางหยวนรีบเขียนจดหมาย
เขาบอกชูตู๋ว่าต้องการซื้อแดนศักดิ์สิทธิ์ของหลิวฮุ้ยจากเซี่ยอู่เหิง
สำหรับคำเชิญของชูตู๋ ฟางหยวนใช้เหตุผลว่าเขากำลังปิดประตูฝึกตนเพราะต้องการชะลอเวลาเผชิญหน้ากับภัยพิบัติ
“ข้าต้องก้าวเข้าสู่ระดับเจ็ดก่อนที่ข้าจะเข้าร่วมในการประลองครั้งนี้’
ข้อตกลงพันธมิตรนิกายชูไม่ได้ผูกมัดมากนัก แม้นิกายชูจะถูกทำลาย ฟางหยวนก็สามารถเลือกที่จะไม่ปรากฏตัว
ฟางหยวนให้ความสำคัญกับการบ่มเพาะของเขาเท่านั้น สำหรับเรื่องอื่น ทั้งหมดเป็นเรื่องรอง
ชูตู๋ขมวดคิ้วเมื่อได้รับคำตอบจากฟางหยวน
“เห้อ…หากหลิวกวนซื่อมาที่นี่ ข้าจะไม่รู้สึกยากลำบากเช่นนี้” ชูตู๋ถอนหายใจ
เซี่ยอู่เหิงที่ยืนอยู่ด้านข้างถามด้วยความสงสัย “เมื่อครู่พี่ชูกล่าวถึงผู้อาวุโสหลิวกวนซื่อเช่นนั้นหรือ?”
ชูตู๋หัวเราะ “เขากล่าวถึงเจ้าในจดหมาย เขาหวังว่าเจ้าจะขายแดนศักดิ์สิทธิ์ของหลิวฮุ้ยให้เขา”
เซี่ยอู่เหิงส่ายศีรษะ “ข้าไม่ได้รับวิญญาณอมตะของหลิวฮุ้ย นอกจากนั้นข้ายังไม่รู้ว่ามีทรัพยากรที่อยู่ในมิติช่องว่างของเขามากน้อยเพียงใด ดังนั้นข้าจะขายมันได้อย่างไร?”
ความตั้งใจของเขาชัดเจนมาก
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1197 มังกรดาบ
แปลโดย iPAT
ชูตู๋ยิ้ม
ในความเป็นจริงเซี่ยอู่เหิงเป็นคนที่ชูตู๋ต้องการรับเข้าสู่นิกายชู ดังนั้นเขาจึงให้ความสำคัญกับเด็กผู้นี้
อย่างไรก็ตามฟางหยวนเป็นพันธมิตรคนสำคัญ ชูตู๋ต้องการความช่วยเหลือและผลประโยชน์จากฟางหยวนมากกว่า
‘ในจดหมายของหลิวกวนซื่อ เขาขอให้ข้าทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ’ ชูตู๋คิดกับตนเองก่อนจะส่งเสียงไปหาเซี่ยอู่เหิง “น้องเซี่ย การร่วมมือกับผู้อาวุโสหลิวกวนซื่อเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าในการตรวจสอบแดนศักดิ์สิทธิ์ของหลิวฮุ้ย”
“อย่างไร?” เซี่ยอู่เหิงสงสัย
“เนื่องจากผู้อาวุโสหลิวมีอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุด อินทรีย์ตัวนี้สามารถทะลวงเข้าสู่แดนศักดิ์สิทธิ์ มันเป็นวิธีที่ดีที่จะทำให้เจ้าสามารถนำทรัพยากรที่อยู่ภายในออกมา จากนั้นผู้อาวุโสหลิวก็จะจ่ายด้วยราคาที่เหมาะสม นี่ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับพวกเจ้าทั้งสองคนงั้นหรือ?” ชูตู๋ตอบ
ดวงตาของเซี่ยอู่เหิงส่องประกายขึ้น
“อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุด! ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับสัตว์อสูรตัวนี้ แต่ข้าไม่เคยคาดคิดว่าผู้อาวุโสหลิวกวนซื่อจะมีสัตว์อสูรที่หายากเช่นนี้!”
เซี่ยอู่เหิงหยุดชั่วขณะก่อนตอบ “ข้ายินดีทำธุรกรรมกับผู้อาวุโสหลิว!”
ขณะที่แผนการของฟางหยวนกำลังจะประสบความสำเร็จ ผู้อมตะบางคนเดินออกมาจากวังตะวันตก
“เขาคือผู้อมตะเผ่าหลิว หลิวจวนเฉิน!” หวังอู๋หมิงจำคนผู้นี้ได้ทันที
“เขาออกมาต่อสู้งั้นหรือ?” ชูตู๋มอง
อย่างไรก็ตามหลิวจวนเฉินไม่ได้เดินเข้าสู่สนามรบแต่หยุดอยู่ที่ประตูทางเข้าวังตะวันตก “จักรพรรดิอมตะชูตู๋ พวกเราต้องการใช้ศพของยายหยินเพื่อแลกกับศพและดวงวิญญาณของผู้อาวุโสหลิวฮุ้ย”
ศพของหลิวฮุ้ยตกอยู่ในเงื้อมมือของศัตรู โดยธรรมชาติแล้วผู้อมตะเผ่าหลิวย่อมไม่เต็มใจเห็นฉากดังกล่าว
ศพยังไม่เป็นไร สิ่งสำคัญคือดวงวิญญาณ
ดวงวิญญาณของหลิวฮุ้ยยังไม่ถูกทำลาย
ดังนั้นผู้อมตะเผ่าหลิวจึงต้องการศพและดวงวิญญาณของหลิวฮุ้ยกลับคืนไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นก็ตาม
เดิมทีหลิวจวนเฉินไม่มีสิ่งแลกเปลี่ยนที่เหมาะสมและตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจ
แต่หลังจากเหนียงเอ๋อปิงซื่อสังหารยายหยิน ผู้อมตะเผ่าหลิวเริ่มเห็นความหวัง
หลิวจวนเฉินติดต่อเผ่าเหนียงเอ๋อเพื่อขอแลกเปลี่ยนศพยายหยินด้วยทรัพยากรจำนวนมาก
ศพและมิติช่องว่างของยายหยินยังอยู่ มีเพียงดวงวิญญาณของนางเท่านั้นที่ถูกทำลายไปแล้ว
แต่ยายหยินเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดขณะที่หลิวฮุ้ยเป็นผู้อมตะระดับหก ดังนั้นเผ่าหลิวจึงคาดว่าธุรกรรมนี้มีโอกาสประสบความสำเร็จ
ฝ่ายของชูตู๋ตกสู่ความโกลาหลทันทีเมื่อพวกเขาได้ยินถ้อยคำเหล่านี้
ชูตู๋อุทาน “น่าทึ่งมาก หลิวจวนเฉิน คนผู้นี้มีความสามารถจริงๆ”
ยายหยินมักเคลื่อนไหวเพียงลำพัง นางมีความสัมพันธ์กับผู้อมตะคนอื่นๆน้อยมาก ในความเป็นจริงยายหยินกระทั่งเป็นศัตรูของผู้อมตะส่วนใหญ่ ยายหยินมาที่นี่ในครั้งนี้เพียงเพราะบารมีของชูตู๋และผลประโยชน์เท่านั้น
อย่างไรก็ตามชูตู๋รู้ว่าผู้อมตะเหล่านี้หวังว่าทั้งสองฝ่ายจะทำธุรกรรมแลกเปลี่ยนกัน
เหตุผลก็คือในการต่อสู้ที่ดุเดือดย่อมมีบางคนที่ล้มตาย แต่เมื่อพวกเขาเสียชีวิต ทรัพยากรและดวงวิญญาณของพวกเขาจะตกอยู่ในกำมือของศัตรูขณะที่พวกเขาไม่สามารถทำสิ่งใด
ภายใต้สถานการณ์นี้พวกเขาสามารถพึ่งพาผู้อมตะฝ่ายเดียวกันที่ยังมีชีวิตอยู่นำดวงวิญญาณของพวกเขากลับคืนมาเท่านั้น
‘หากข้าตอบตกลงกับคำขอของหลิวจวนเฉิน ข้าจะสามารถเติมเต็มความต้องการของผู้อมตะเหล่านี้และทำให้ความกังวลของพวกเขาลดลง มิฉะนั้นขวัญกำลังใจของพวกเขาจะลดลงและอาจส่งผลกระทบร้ายแรงในการต่อสู้’
ชูตู๋เข้าใจถึงความสำคัญของเรื่องนี้
สมาชิกส่วนใหญ่ของนิกายชูและเผ่าไป่ซูเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษหรือปีศาจอมตะ พวกเขาไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวกันตั้งแต่แรก พวกเขาร่วมมือกันในครั้งนี้เพราะชื่อเสียงของจักรพรรดิอมตะชูตู๋และจักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูรวมถึงผลประโยชน์
หากชูตู๋ปฏิเสธธุรกรรมนี้ ผู้อมตะเหล่านี้จะรู้สึกประหม่าและคอยระวังซึ่งกันและกัน
ชูตู๋ลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตอบตกลง
หลิวจวนเฉินมีความสุขมากหลังจากประสบความสำเร็จในการแลกเปลี่ยน
เซี่ยอู่เหิงสูญเสียแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับหกและดวงวิญญาณของผู้อมตะแต่เขาได้รับแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับเจ็ดขณะที่ชูตู๋ยังมอบท่าไม้ตายบนเส้นทางแห่งหิมะเพิ่มเติมให้กับเขา
ดังนั้นเซี่ยอู่เหิงจึงค่อนข้างมีความสุขกับผลลัพธ์นี้
หลังจากการทำธุรกรรมนี้ กงหว่านถิงเห็นถึงความสำคัญของมันและเริ่มเจรจากับชูตู๋
ด้วยเหตุนี้ทั้งสองฝ่ายจึงเพิ่มกฎของการประลองเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนศพและดวงวิญญาณของเชลยศึก
หลังจากครึ่งวันการต่อสู้ก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง
ฝ่ายของชูตู๋ส่งผู้อมตะเผ่าไป่ซูออกมา คนผู้นี้เคยเป็นผู้อาวุโสสุงสุดของเผ่าไห่มาก่อน สมาชิกที่แท้จริงของเผ่าไป่ซูยังได้รับการดูแล
นี่เป็นเพราะก่อนหน้านี้จักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูขอให้ชูตู๋ช่วยปกป้องบุตรหลานเผ่าไป่ซูให้ได้มากที่สุด
สุดท้ายแผนการของฟางหยวนก็ล้มเหลว
เขาได้รับจดหมายจากชูตู๋ที่อธิบายเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น ชูตู๋ขอโทษฟางหยวนด้วยถ้อยคำที่สุภาพ
ฟางหยวนเข้าใจความยากลำบากของชูตู๋
เขายืนอยู่ในห้องลับและพึมพำกับตนเอง “แดนศักดิ์สิทธิ์บนเส้นทางแห่งภูตผีไม่มีประโยชน์สำหรับข้า ดูเหมือนข้าต้องออกไปคว้าแดนศักดิ์สิทธิ์มาด้วยตนเองเพื่อก้าวเข้าสู่ระดับเจ็ด”
อย่างไรก็ตามมีกองกำลังมากมายในการประลองครั้งนี้ แม้ฟางหยวนจะมีท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคยแต่เขายังต้องการวิธีการต่อสู้ใหม่ๆ
ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ประกาศต่อโลกภายนอกว่าตนเองเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง
“ข้ามีวิญญาณอมตะความแข็งแกร่งของหมีบินแต่พลังของหมีบินยังค่อนข้างแย่”
“โชคดีที่ข้าคิดเรื่องนี้มาก่อนแและมีวิธีแก้ไขมากมายในเวลานี้!”
ฟางหยวนมองศพมังกรที่อยู่ตรงหน้า
นี่คือสัตว์อสูรเดียวดาย
ร่างกายของมันเปล่งประกายด้วยแสงสีเงิน เขาของมันแหลมคมราวกับหอก ดวงตาเป็นสีขาวบริสุทธิ์ เขี้ยวของมันดูน่าสะพรึงกลัว มันเป็นมังกรสองกรงเล็บที่มีเกล็ดหลายชั้นและส่องประกายราวกับโลหะ
มันคือมังกรสีเงิน
ทั้งตัวของมันมีความยาวประมาณสิบเมตร มันเหมือนงานศิลปะชั้นสูงชิ้นหนึ่ง แต่มันปลดปล่อยกลิ่นอายที่เย็นยะเยือกออกมาราวกับผู้ใดก็ตามที่เข้าใกล้จะถูกเจาะทะลวงร่างกายโดยอากาศอันแหลมคมที่อยู่รอบๆ
นี่เป็นเพราะมังกรตัวนี้เป็นสัตว์อสูรบนเส้นทางแห่งดาบ มังกรดาบ!
ตอนนี้มันตายแล้ว ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งดาบกำลังรั่วไหลออกมาอย่างช้าๆและหลอมรวมเข้ากับสภาพแวดล้อม
นี่เป็นสิ่งที่ฟางหยวนเตรียมเอาไว้ เปลี่ยนเป็นมังกรดาบ!
“ท่าไม้ตายเปลี่ยนเป็นมังกรดาบต้องใช้วิญญาณกรงเกล็ดมังกร วิญญาณเขามังกร วิญญาณกรงเล็บมังกร วิญญาณดวงตามังกร และอื่นๆ หากหนึ่งในวิญญาณเหล่านี้เป็นวิญญาณอมตะ มันจะกลายเป็นท่าไม้ตายอมตะ!”
“แต่ข้ามีวิญญาณอมตะเปลี่ยนรูปลักษณ์ มันเป็นแก่นแท้บนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นข้าไม่จำเป็นต้องหลอมรวมวิญาณอมตะที่เกี่ยวข้องกับมังกร ข้าสามารถใช้วิญญาณระดับมนุษย์ร่วมกับวิญญาณอมตะเปลี่ยนรูปลักษณ์เพื่อสร้างท่าไม้ตายอมตะเปลี่ยนเป็นมังกรดาบ!”
ท่าไม้ตายบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงเป็นท่าไม้ตายที่ง่ายมาก
นี่เป็นหนึ่งในข้อได้เปรียบของเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง
ท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางสายอื่นไม่ได้ง่ายดายเช่นนี้แต่เส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงแตกต่างออกไป
นอกจากนี้ฟางหยวนยังเป็นปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งปัญญา ไม่เพียงเขาจะประสบความสำเร็จในการคิดค้นท่าไม้ตายอมตะเปลี่ยนเป็นมังกรดาบ แต่เขายังทำให้มันมีประสิทธิภาพสูงขึ้นอีกด้วย
โดยธรรมชาติแล้วผู้อมตะฮันตงมีส่วนช่วยในเรื่องนี้
เขาเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง เขาเชี่ยวชาญในการเปลี่ยนเป็นอสรพิษวิญญาณ
มังกรมีรูปร่างและลักษณะคล้ายอสรพิษ แม้ฮันตงจะเสียชีวิตและดวงวิญญาณแตกสลายไปแล้ว แต่เขายังทิ้งจิตวิญญาณแผ่นดินที่เก็บองค์ความรู้ตลอดชีวิตของเขาเอาไว้เบื้องหลัง นี่เพียงพอที่จะเป็นแหล่งอ้างอิงสำหรับฟางหยวน
เขาเริ่มปรับแต่งมังกรดาบเดียวดายทันที
ร่างของมังกรดาบเดียวดายเต็มไปด้วยร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งดาบและตัวมันเองก็เป็นทรัพยากรอมตะที่ใช้ในการหลอมรวมวิญญาณอมตะ
กระบวนการปรับแต่งค่อนข้างราบรื่น
หลายวันต่อมา
ฟางหยวนยืนนิ่งและสูดหายใจลึก่อนจะกระตุ้นใช้วิญญาณทีละดวง
ครู่ต่อมาแสงสีเงินจึงปะทุขึ้นบนร่างกายของเขา
หลังจากแสงสีเงินหายไป มังกรดาบสีเงินที่สง่างามก็ปรากฏตัวขึ้น
ดวงตาของมังกรดาบเป็นสีขาวแต่มันเปล่งประกายด้วยความเฉลียวฉลาด
มันคือฟางหยวน!
‘ท่าไม้ตายอมตะเปลี่ยนเป็นมังกรดาบประสบความสำเร็จ ต่อไป…’
ฟางหยวนเริ่มทำความคุ้นเคยกับร่างใหม่ของเขา
การฝึกซ้อมดำเนินไปอย่างเหมาะสม
หลังจากทำความคุ้นชินกับร่างใหญ่ ฟางหยวนเริ่มทดสอบความสามารถของมังกรดาบ
ประการแรก ค่าใช้จ่าย
น้อยมาก!
ค่าใช้จ่ายในการรักษาร่างมังกรดาบเอาไว้น้อยมาก ท้ายที่สุดแล้วมันก็เป็นเพียงสัตว์อสูรเดียวดายระดับหกเท่านั้น
ประการต่อมา พลังการต่อสู้
ฟางหยวนจัดเตรียมทรัพยากรอมตะไว้ตรงหน้า
สิ่งแรกคือหัวใจน้ำแข็งที่มีอายุหลายร้อยปี เขากวาดกรงเล็บมังกรออกไปและรู้สึกราวกับกำลังหั่นเต้าหู้
ถัดมาฟางหยวนฟาดกรงเล็บไปที่ผลึกหินอัคนีชิ้นหนึ่ง
ผลึกหินอัคนีชิ้นนี้เป็นทรัพยากรอมตะระดับหกที่แข็งแกร่งและหายากมาก แต่กรงเล็บมังกรยังสามารถฝากรอยฝังลึกเอาไว้บนผลึกหินอัคนีชิ้นนี้
ฟางหยวนตระหนักถึงความแหลมคมของกรงเล็บมังกรทันที เขาไม่จำเป็นต้องทดสอบกับทรัพยากรระดับเจ็ดที่อยู่ด้านข้างอีกต่อไป
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1198 ลมหายใจมังกร
แปลโดย iPAT
วิญญาณคือแก้นแท้แห่งสวรรค์พิภพ มนุษย์คือจิตวิญญาณของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด
สติปัญญาของมนุษย์สูงที่สุดในบรรดาสิ่งมีชีวิตทั้งหมด อย่างไรก็ตามวิถีแห่งสวรรค์พยายามรักษาสมดุลของทุกสิ่ง แม้มนุษย์จะมีสติปัญญาสูงที่สุด แต่ร่างกายของพวกเขากลับบอบบางมาก
มนุษย์ไม่มีกรงเล็บ ขน ปีก หรือเหงือกที่แหลมคม
มนุษย์อาจไม่อ่อนแอ แต่พวกเขาอยู่ในระดับล่างสุด โดยพื้นฐานแล้วพวกเขาไม่สามารถแข่งขันกับสัตว์อสูรทั่วไป
ผิวหนังของมนุษย์ไม่ต่างจากกระดาษเมื่อเปรียบเทียบกับสัตว์อสูรเดียวดาย
อย่างไรก็ตามเมื่อฟางหยวนเปลี่ยนร่างเป็นมังกรดาบ เขาได้รับคุณสมบัติที่โดดเด่นของมังกรดาบ แม้มันจะแตกต่างจากมังกรดาบที่แท้จริง แต่มันก็ทะลุขีดจำกัดของมนุษย์ไปไกลแล้ว
แนวคิดดั่งเดิมของเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงเริ่มมาจากการศึกษาสิ่งมีชีวิตทั้งหมดและเพิ่มข้อดีของสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆให้กับร่างกายของตนเอง
หากมนุษย์ไม่มีกรงเล็บที่แหลมคม พวกเขาก็จะเปลี่ยนนิ้วของมนุษย์ให้เป็นกรงเล็บ หากมนุษย์ไม่มีขน พวกเขาก็จะเปลี่ยนเส้นผมให้เป็นขน
หากมนุษย์ไม่มีปีก พวกเขาก็จะสร้างปีกและโบยบินขึ้นสู่ท้องฟ้า หากมนุษย์ไม่มีเหงือก พวกเขาก็จะสร้างเหงือกและว่ายลงไปในส่วนลึกของมหาสมุทร
แต่ยุคปัจจุบันแนวคิดของเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงไม่ได้จำกัดอยู่เพียงสิ่งเหล่านี้
พวกเขาต้องการใช้เส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงเพื่อเลียนแบบข้อดีของเส้นทางสายอื่น
เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งต่างๆก็พัฒนาขึ้น
ตั้งแต่เทพปีศาจคลั่งสร้างเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง เส้นทางสายนี้ไม่เคยตกต่ำลงและยังถูกส่งต่อมาถึงปัจจุบัน
ฟางหยวนเหยียดร่างมังกรของเขาเบาๆและบินเข้าไปหาทรัพยากรอมตะระดับเจ็ด
นี่คือผลึกหมึกดำขนาดใหญ่ มันถือเป็นทรัพยากรอมตะระดับเจ็ดที่แข็งแกร่งและยากที่จะแปรรูป
กรงเล็บมังกรกรีดเฉือนมันแต่กลับไม่สามารถทิ้งร่องรอยใดๆเอาไว้
ฟางหยวนคาดเดาสิ่งนี้ไว้แล้ว ดังนั้นเขาจึงสะบัดหางโจมตี
“ปัง!”
หางมังกรปะทะผลึกหมึกดำ
ความเจ็บปวดพุ่งเข้าโจมตีฟางหยวนขณะที่พื้นผิวของผลึกหมึกดำเกิดรอยแตกร้าวบางๆ
ชัดเจนว่าหางมังกรอันตรายกว่ากรงเล็บ
นี่เป็นลักษณะพิเศษของมังกรดาบ
มังกรแต่ละชนิดมีความสามารถที่แตกต่างกัน มังกรบางตัวมีเขี้ยวที่แหลมคม แต่บางตัวอาจเป็นกรงเล็บหรือหาง
มังกรดาบมีร่างกายเรียวเล็กและมีหางที่แข็งแกร่งกว่ากรงเล็บ
สิ่งที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าพลังหางคือความเร็วของมังกรดาบ
ฟางหยวนพบว่าการโจมตีระยะไกลของมังกรดาบไม่ดีนัก แต่การระเบิดความเร็วของมันเป็นสิ่งที่น่าประทับใจ
แม้มันจะไม่สามารถเปรียบเทียบกับวิญญาณอมตะดาบทะลวงมิติแต่มันก็ไม่ด้อยกว่าท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งเลือด แม่น้ำเลือด
นอกจากความเร็ว มังกรดาบยังสามารถเปรียบทิศทางได้เร็วกว่าท่าไม้ตายอมตะแม่น้ำเลือด
และอาวุธที่ทรงพลังที่สุดของมังกรดาบคือลมหายใจมังกร
มันกรเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถใช้ลมหายใจในการโจมตี
นี่เป็นความสามารถโดยกำเนิดของมังกรแทบทุกชนิด
เช่นเดียวกับอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดที่มีความสามารถโดยกำเนิดคือเจาะทะลวงห้วงมิติและเดินทางเข้าสู่แดนศักดิ์สิทธิ์หรือถ้ำสวรรค์
“โฮก…”
ฟางหยวนทดสอบลมหายใจมังกร
แสงสีขาวถูกยิงออกไปปะทะผลึกหินอัคนีทรัพยากรอมตะระดับหก
ผลึกหินอัคนีเกิดการสั่นสะเทือนขึ้นเล็กน้อยก่อนจะหยุดลงอย่างรวดเร็ว
แต่ในช่วงเวลาต่อมาผลึกหินอัคนีกลับเกิดรอยแตกร้าวขึ้นก่อนที่มันจะแยกออกเป็นสองส่วนและร่วงหล่นลงสู่พื้น
พื้นผิวที่ถูกตัดเรียบราวกับมันถูกแยกออกโดยอาวุธที่แหลมคมที่สุดในโลก
กรงเล็บมังกรของฟางหยวนสามารถทิ้งรอยฝังลึกเอาไว้เท่านั้น แต่ลมหายใจมังกรกลับสามารถตัดมันออกเป็นสองส่วน
พลังอำนาจของลมหายใจมังกรสามารถมองเห็นได้จากสิ่งนี้
แม้ฟางหยวนจะเตรียมใจมาแล้ว แต่เมื่อเห็นมันถูกผ่าครึ่ง เขายังต้องพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
เขาทำการทดสอบต่อไป
ลมหายใจมังกรพุ่งเข้าโจมตีผลึกหมึกดำทรัพยากรอมตะระดับเจ็ด
ผลึกหมึกดำที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าผลึกหินอัคนีปรากฎรอยกรีดลึกหลายนิ้วบนพื้นผิว
ฟางหยวนทดสอบสิบหกครั้งและถึงขีดจำกัดในที่สุด
ในช่วงเวลาสั้นๆ เขาไม่สามารถปล่อยลมหายใจมังกรออกมาได้ เขารู้สึกราวกับนักผจญภัยที่เดินทางอยู่กลางทะเลทรายและไร้น้ำดื่มมานานกว่าครึ่งเดือด หากเขาพยายามใช้ลมหายใจมังกรต่อไป เขาอาจได้รับบาดเจ็บ
ลมหายใจมังกรสิบหกครั้งฝากรอยกรีดเฉือนจำนวนมากไว้บนพื้นผิวของผลึกหมึกดำ
หลังจากพักผ่อนเล็กน้อย ฟางหยวนฟื้นตัวขึ้นในระดับหนึ่งและปล่อยลมหายใจมังกรครั้งที่สิบเจ็ดออกไป!
ฟางหยวนจดจำช่วงเวลานี้เอาไว้ในใจ
เขาประเมิน ‘ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของข้า ข้าสามารถใช้ลมหายใจมังกรได้สิบหกครั้งติดต่อกัน หลังจากพักห้านาที ข้าจะฟื้นตัวและสามารถใช้ลมหายใจมังกรอีกครั้ง แต่หลังจากใช้ลมหายใจมังกรครั้งที่สิบเจ็ด ข้าจะตกอยู่ในสภาพที่เลวร้ายยิ่งกว่าก่อนหน้าและยังต้องพักอีกห้านาที’
‘หากข้าเพิ่มวิญญาณลมหายใจมังกรเข้าไป ข้าอาจปล่อยลมหายใจมังกรได้มากขึ้น’
ฟางหยวนไม่ได้ใช้วิญญาณลมหายใจมังกรในท่าไม้ตายอมตะนี้
นี่เป็นเพราะเขายังขาดวัสดุในการหลอมรวมวิญญาณดวงนี้
หลังจากตรวจสอบสินค้าอยู่ในสวรรค์สีเหลืองอยู่เป็นเวลานาน เขาพบวัสดุในการหลอมรวมที่เขาต้องการในที่สุด
แต่เขาต้องจ่ายด้วยราคาที่ค่อนข้างแพง
มีเพียงมังกรที่มีชีวิตเท่านั้นที่สามารถปล่อยลมหายใจออกมาและมันคือวัสดุในการหลอมรวมวิญญาณลมหายใจมังกร
หลังจากหลอมรวมวิญญาณลมหายใจมังกรและผสานมันเข้ากับท่าไม้ตายอมตะเปลี่ยนเป็นมังกรดาบ ฟางหยวนทดสอบท่าไม้ตายนี้อีกครั้งและผลลัพธ์เป็นไปตามความคาดหวังของเขา
ฟางหยวนไตร่ตรองและสรุป
‘ด้วยการใช้วิญญาณอมตะระดับหกเป็นแกนกลาง ท่าไม้ตายอมตะเปลี่ยนเป็นมังกรดาบเดียวดายทำให้พลังการต่อสู้ของข้าเพิ่มสูงขึ้น แต่มันยังไม่เพียงพอให้ข้าต่อสู้กับผู้อมตะระดับเจ็ด’
แน่นอนว่าวิธีการป้องกันตัวของผู้อมตะระดับเจ็ดย่อมแข็งแกร่งกว่าผลึกหมึกดำ
ฟางหยวนใช้อาวุธที่ทรงพลังที่สุดของมังกรดาบเดียวดายแต่ยังไม่สามารถทำลายผลึกหมึกดำ
กล่าวได้ว่ามังกรดาบไม่เพียงพอสำหรับงานประลองทุ่งโลหิต
ฟางหยวนตระหนักถึงเรื่องนี้
เขาหยุดการทดสอบและบินไปพบจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยา
ฟางหยวนเปิดเผยเจตนาของเขาออกมาโดยตรง “ทักทายผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่ง ข้ามาที่นี่เพื่อทำการแลกเปลี่ยน”
ดวงตาของจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาส่องประกายขึ้น เขารู้ว่าฟางหยวนมีของดีมากมายอยู่ในมือ
และเพื่อให้นิกายหลางหยาพัฒนาขึ้น จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาต้องการทรัพยากรล้ำค่าเหล่านั้น
อย่างไรก็ตามจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาไม่สามารถบังคับให้ฟางหยวนส่งมอบทรัพยากรเพราะมันเป็นการละเมิดข้อตกลงพันธมิตร
“ดีที่เจ้ามีความคิดเช่นนี้” จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยารู้สึกสนใจ “เจ้าต้องการแลกเปลี่ยนสิ่งใด?”
“อันดับแรก ดูนี้” ฟางหยวนนำบางสิ่งออกมา
“ดวงวิญญาณของผู้อมตะงั้นหรือ?” จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาขมวดคิ้ว ดวงวิญญาณของผู้อมตะถือเป็นทรัพยากรอมตะที่ใช้ในการหลอมรวม หากเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณ พวกมันจะมีค่ามากขึ้น กระทั่งความทรงจำเกี่ยวกับการบ่มเพาะก็มีค่าเช่นกัน
ผู้อมตะมากมายมีวิธีระเบิดทำลายดวงวิญญาณของตน ย้อนกลับไปฉินไปเฉิงก็เคยระเบิดทำลายตัวเองและทำให้ฟงจิวเก้อตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายมาแล้ว
เช่นเดียวกับเหนียงเอ๋อปิงซื่อที่สามารถทำลายดวงวิญญาณของยายหยินได้โดยตรง
จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาเข้าใจคุณค่าของดวงวิญญาณของผู้อมตะ แต่ดวงวิญญาณนี้ถูกดัดแปลงมาแล้วโดยฟางหยวน ผู้อื่นไม่สามารถค้นวิญญาณนี้ได้อีกและทำให้มันเป็นได้เพียงวัสดุในการหลอมรวมเท่านั้น
“ดวงวิญญาณนี้สามารถแลกแต้มผลงานได้เพียงร้อยแต้ม” จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาตอบด้วยความผิดหวังเล็กน้อย
ฟางหยวนยิ้ม “ไม่ ข้าคิดว่าราคาอาจสูงกว่านี้เล็กน้อย เราสามารถวางดวงวิญญาณนี้ไว้บนภูเขาตงฮันและทำให้มันกลายเป็นวิญญาณความเด็ดเดี่ยว ดวงวิญญาณของผู้อมตะเป็นสินค้าชั้นยอด มันจะผลิตวิญญาณความเด็ดเดี่ยวจำนวนมหาศาล หากมีวิญญาณความเด็ดเดี่ยวมากขึ้น เราจะสามารถตอบสนองคำขอของเผ่ามนุษย์หิน”
จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาสำนึกได้และพยักหน้า “นั่นเป็นเรื่องจริง”
เขาประเมินอีกครั้งและกล่าว “ดวงวิญญาณของผู้อมตะระดับหกสามารถแลกแต้มผลงานได้สองร้อยแต้ม”
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1199 ลดแลกแจกแถม
แปลโดย iPAT
ฟางหยวนพยักหน้าเห็นด้วย
นี่เป็นราคาที่ยุติธรรม ดวงวิญญาณของผู้อมตะมีค่ามากขึ้นเพราะมันสามารถผลิตวิญญาณความเด็ดเดี่ยว
เมื่อพันธมิตรสี่เผ่าพันธุ์ก่อตั้งขึ้น เผ่ามนุษย์หินร้องขอวิญญาณความเด็ดเดี่ยวจำนวนมาก เนื่องจากพวกเขามีความต้องการสินค้าชนิดนี้สูงมาก
อย่างไรก็ตามวิญญาณความเด็ดเดี่ยวมักถูกขายในสวรรค์สีเหลือง พวกเขาไม่สามารถลดราคา
ปัจจุบันความสัมพันธ์ระหว่างเผ่ามนุษย์หินกับนิกายหลางหยามีความใกล้ชิดกันมากขึ้น แต่วิญญาณความเด็ดเดี่ยวส่วนใหญ่ยังถูกขายในสวรรค์สีเหลือง
แดนน้ำแข็งของภาคเหนือขาดแคลนทรัพยากร เผ่ามนุษย์หินไม่สามารถจ่ายในราคาที่นิกายหลางหยาพึงพอใจ
เพื่อผลประโยชน์ของนิกายหลางหยา จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาไม่สามารถขายสินค้าส่วนใหญ่ให้กับเผ่ามนุษย์หิน
เผ่ามนุษย์หินไม่พอใจเกี่ยวกับเรื่องนี้แต่พวกเขาก็ไม่สามารถทำสิ่งใด
วิญญาณความเด็ดเดี่ยวยังเป็นสินค้าที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาดโดยเฉพาะเมื่อผู้อมตะภาคใต้กำลังสำรวจอาณาจักรแห่งความฝัน พวกเขาต้องการวิญญาณความเด็ดเดี่ยวจำนวนมาก
เรื่องนี้ยังทำให้เกิดการค้าขายวิญญาณความเด็ดเดี่ยวในตลาดมืด
วิญญาณความเด็ดเดี่ยวถูกขายต่อในราคาที่สูงมาก
นิกายหลางหยาขึ้นราคาวิญญาณความเด็ดเดี่ยวซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่วิญญาณความเด็ดเดี่ยวก็ยังได้รับความนิยมอย่างมาก
ท่ามกลางแหล่งรายได้ทั้งหมดของฟางหยวน ธุรกรรมวิญญาณความเด็ดเดี่ยวทำกำไรให้เขามากที่สุด
จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยารับดวงวิญญาณของผู้อมตะไว้และกล่าว “ด้วยดวงวิญญาณของผู้อมตะ เราสามารถผลิตวิญญาณความเด็ดเดี่ยวได้มากขึ้น แต่น่าเสียดายที่ดวงวิญญาณของผู้อมตะไม่ใช่สิ่งที่หาได้โดยง่าย การลงทุนในไท่ชิวยังเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ฟางหยวน หากเจ้ามีเวลาว่าง เดินทางไปที่ไท่ชิวสักสองสามครั้ง แม้ดวงวิญญาณของสัตว์อสูรหรือพืชอสูรอาจด้อยกว่าดวงวิญญาณของผู้อมตะ แต่เราสามารถใช้พวกมันทดแทน หากเจ้าลงมือด้วยตนเอง เราจะพัฒนาไท่ชิวได้เร็วขึ้น”
จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยารู้จักความสามารถของฟางหยวน
ฟางหยวนตอบ “ข้าจะเข้าร่วมงานประลองทุ่งโลหิตเร็วๆนี้ ข้าเกรงว่าข้าคงไม่สามารถแบ่งความสนใจ นี่คือดวงวิญญาณของผู้อมตะดวงที่สอง ข้าหวังว่าผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งจะตรวจสอบคุณภาพของมัน”
“ดวงที่สอง?” จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาขมวดคิ้วแต่เขาไม่แปลกใจ
เขารู้จักฟางหยวนและไม่แปลกใจหากฟางหยวนจะขายดวงวิญญาณของผู้อมตะสองสามดวง
“นี่เป็นดวงวิญญาณของผู้อมตะเผ่ามนุษย์วิหค” แต่สิ่งนี้ทำให้จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาประหลาดใจเล็กน้อย
ผู้อมตะเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์หายากมาก เขาไม่คาดหวังว่าฟางหยวนจะมีดวงวิญญาณของผู้อมตะเผ่ามนุษย์วิหค
“เจ้าสังหารเขางั้นหรือ?” จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาถามอย่างไม่เป็นทางการ
ฟางหยวนยิ้ม “ถูกต้อง”
นี่เป็นดวงวิญญาณของผู้อมตะเผ่ามนุษย์วิหคเจิ้งหลิง ดวงวิญญาณของผู้อมตะคนแรกคือปีศาจอมตะเซี่ยซ่งซื่อ
นิกายหลางหยาเป็นกองกำลงเผ่ามนุษย์ขน นอกจากนั้นจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาก็ไม่รู้จักผู้อมตะเผ่ามนุษย์วิหคผู้นี้ ดังนั้นเขาจึงรับมันไว้
ด้วยวิธีนี้ฟางหยวนจึงได้แต้มผลงานมาหลายร้อยแต้ม
แต่ฟางหยวนยังนำดวงวิญญาณของผู้อมตะคนที่สามออกมา
จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยายิ้ม “ดูเหมือนเจ้าจะตั้งใจขายดวงวิญญาณของผู้อมตะ เช่นนั้นก็นำทั้งหมดที่เจ้ามีออกมา!”
“ได้” ฟางหยวนนำดวงวิญญาณของผู้อมตะออกมาทีละดวง
เขามีดวงวิญญาณของผู้อมตะจำนวนมาก
ไม่ว่าจะเป็นดวงวิญญาณของตงฟางชางหาน เซี่ยซ่งซื่อ เจิ้งหลิน และคนอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีผู้อมตะจากถ้ำสวรรค์ไห่ฟานและทะเลไหลเชี่ยว
เมื่อฟางหยวนนำดวงวิญญาณของผู้อมตะออกมาสามดวง จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยายิ้ม
แต่เมื่อฟางหยวนนำดวงวิญญาณของผู้อมตะดวงที่สิบออกมา การแสดงออกของจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาเริ่มเปลี่ยนไป “เจ้าฆ่าคนไปมากเท่าใด?”
ฟางหยวนยิ้ม “มันเป็นเพียงความโชคดีเท่านั้น”
เขายังนำดวงวิญญาณของผู้อมตะออกมาอย่างต่อเนื่อง
จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาตกใจมาก
“ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดเจ้าจึงสามารถละทิ้งเผ่ามนุษย์และเข้าข้างพวกเรา!” จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยารู้สึกพูดไม่ออก
“เจ้าเป็นเพียงผู้อมตะระดับหก!”
“เจ้าพึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะแต่กลับสามารถสังหารผู้คนมากมาย เจ้าเหมือนเทพปีศาจจิตวิญญาณวัยเยาว์!”
ฟางหยวนเผยรอยยิ้มขมขื่นเมื่อได้ยินชื่อเทพปีศาจจิตวิญญาณ “นอกจากดวงวิญญาณของผู้อมตะ ข้ายังมีข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการบ่มเพาะของผู้อมตะบนเส้นทางสายต่างๆ ข้ามีเคล็ดลับการหลอมรวมวิญญาณอมตะและท่าไม้ตายอมตะมากมาย ข้ามีกระทั่งท่าไม้ตายอมตะเขตแดน และมีแผนที่ล่าสุดของแต่ละภูมิภาค ข้าจะมอบมันให้กับนิกายเพื่อให้สหายร่วมนิกายสามารถเดินทางในโลกภายนอกได้สะดวกยิ่งขึ้น”
ฟางหยวนกำลังลดราคาครั้งใหญ่
ฟางหยวนสังหารผู้คนมากมายและได้รับข้อมูลปริมาณมหาศาลจากการค้นวิญญาณ
ข้อมูลและสมบัติส่วนใหญ่ของแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยามาจากบรรพชนผมยาวในอดีต บางส่วนเป็นสิ่งที่จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาซื้อมาจากสวรรค์สีเหลือง
อย่างไรก็ตามพวกมันเป็นข้อมูลที่เก่าแก่มากแล้ว แตกต่างจากข้อมูลของฟางหยวน พวกมันเป็นข้อมูลใหม่ กระทั่งสวรรค์สีเหลืองก็ไม่มีขาย
นี่ทำให้จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาไม่สามารถปฏิเสธ
เขาแตกต่างจากจิตวิญญาณแผ่นดินหยางหยาคนก่อนหน้า จิตวิญาณแผ่นดินหลางหยาคนก่อนสนใจเพียงการหลอมรวมวิญญาณขณะที่จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาคนใหม่มีความทะเยอทะยานที่จะนำนิกายหลางหยาปกครองโลก
ผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนส่วนใหญ่ของนิกายหลางหยาหันมาบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง
นิกายหลางหยาต้องรวบรวมข้อมูลทุกประเภทเช่นเดียวกับกองกำลังมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นกองกำลังตระกูลฮวงจินของภาคเหนือหรือสิบนิกายโบราณของภาคกลาง
ด้วยวิธีนี้ฟางหยวนจึงได้รับแต้มผลงานจำนวนมหาศาล
ในเมืองเมฆาอื่น
ผมที่สิบสองอยู่ระหว่างการหลอมรวมวิญญาณ
“โอ้ ไม่ ข้าพลาด!” การแสดงออกของผมที่สิบสองเปลี่ยนไปเมื่อไฟในการควบคุมของเขาอ่อนกำลังลง
เขากระตุ้นใช้วิญญาณก่อนจะพ่นเลือดคำโตออกมา
“พรวด!”
เปลวไฟลุกไหม้ขึ้นอีกครั้ง ร่างของผมที่สิบสองสั่นสะท้านขึ้น เขาได้รับบาดเจ็บจากผลกระทบย้อนกลับ ร่างกายของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเลือด
แต่ดวงตาของเขายังจดจ่ออยู่กับกองไฟ
หลังจากไม่นานกองไฟก็ดับมอดลง
ค่ายกลวิญญาณบนเส้นทางแห่งการหลอมรวมหยุดการทำงานขณะที่วิญญาณเจตจำนงของตนเองมากกว่าหนึ่งร้อยดวงจะปรากฏขึ้น
ผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนของนิกายหลางหยาเติบโตขึ้นภายใต้การดูแลของจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาคนก่อนหน้า พวกเขามีความเชี่ยวชาญด้านการหลอมรวมที่ไม่ธรรมดาแต่มีพลังการต่อสู้ต่ำ
วิญญาณเจตจำนงของตนเองเหล่านี้เป็นวิญญาณระดับห้า แต่ผมที่สิบสองสามารถหลอมรวมพวกมันขึ้นมาได้ในครั้งเดียว นี่แสดงให้เห็นถึงความสามารถที่ไม่ธรรมดาบนเส้นทางแห่งการหลอมรวมของผมที่สิบสอง
ผมที่สิบสองคิด ‘โชคดีที่ข้าเสียสละตนเองเพื่อชดเชยความผิดพลาด มิฉะนั้นวิญญาณเหล่านี้จะถูกทำลายทั้งหมด นอกจากนั้นข้ายังต้องเสียค่าชดเชยสามเท่า’
เพื่อเพิ่มความสามารถในการผลิตวิญญาณเจตจำนงของตนเอง ฟางหยวนไม่เพียงใช้แต้มผลงานเพื่อดึงดูดผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขน แต่ฟางหยวนยังเป็นผู้จัดหาวัสดุในการหลอมรวมทั้งหมด
ความสัมพันธ์ระหว่างฟางหยวนกับผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนไม่เหมือนก่อนหน้าอีกต่อไป
ฟางหยวนมีพลังการต่อสู้ระดับแปด ผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนจึงเต็มไปด้วยความเคารพต่อฟางหยวน ยิ่งไปกว่านั้นสภาพคล่องทางการเงินของฟางหยวนยังทำให้ผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนยอมรับความแตกต่างระหว่างพวกเขา
ผมที่สิบสองรู้สึกเวียนศีรษะอย่างรุนแรง
‘การหลอมรวมวิญญาณเจตจำนงของตนเองสิบเอ็ดรอบโดยไม่หยุดพักทำให้ร่างกายและจิตใจของข้าเหนื่อยล้าเกินไป ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นคือคำเตือนว่าข้าต้องพัก แต่ข้าจะรับภารกิจนี้อีกในอนาคตเพื่อแลกกับหินวิญญาณอมตะ’
เมื่อนึกถึงหินวิญญาณอมตะ ผมที่สิบสองแสดงออกด้วยความขมขื่น
“สัตว์อสูรเดียวดายไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเลี้ยงดู”
“สัตว์อสูรเดียวดายมีความอยากอาหารสูงมาก นี่เป็นภาระที่ยิ่งใหญ่ ทุกเดือนข้าต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมากเพื่อเลี้ยงดูพวกมัน!”
“สิ่งสำคัญที่สุดก็คือวิญญาณทาสอมตะไม่ใช่ของข้า ทุกครั้งที่ข้ายืมมันมาใช้งาน ข้าต้องจ่ายด้วยแต้มผลงาน!”
“พิจารณาในระยะยาว ข้าต้องซื้อวิญญาณทาสอมตะมาไว้ในการครอบครอง แต่วิญญาณทาสอมตะระดับหกต้องใช้แต้มผลงานถึงหนึ่งหมื่นแต้ม!”
ผมที่สิบสองนำวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลออกมา
วิญญาณดวงนี้บรรจุข้อมูลเกี่ยวกับแต้มผลงานของสมาชิกที่ให้การสนับสนุนนิกายหลางหยาเอาไว้
ผมที่สิบสองพบชื่อของเขาในครึ่งบนของรายชื่อทั้งหมดอย่างง่ายดาย
“มากกว่าหกร้อยแต้ม แต่ข้ายังห่างไกลจากเป้าหมาย!” ผมที่สิบสองเผยรอยยิ้มขมขื่น เส้นทางของเขายังอีกยาวไกล
“แต่ผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนคนอื่นๆก็อยู่ในสถานการณ์คล้ายๆกันกับข้า หลายคนยังเลวร้ายกว่าข้าอีกด้วย”
“ข้อได้เปรียบของข้าคือข้าบ่มเพาะอยู่บนเส้นทางแห่งทาส ข้ามีสัตว์อสูรเดียวดายหลายตัว ข้าสามารถเก็บแต้มผลงานได้เร็วกว่าคนอื่นๆ”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น