ลำนำบุปผาพิษ 1193-1198
บทที่ 1193 จากไป (3)
หลงซือเย่ลืมตาขึ้น “ยากที่จะได้เห็นทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนั้น หากไม่เยาะเย้ยท่านสักหน่อย ไฉนเลยจะเห็นค่าในปัญญาของข้า?”
กู้ซีจิ่วนิ่งอึ้ง วิธีการติดต่อกันของสองคนนี้…
กู้ซีจิ่วมองพวกเขา “ภายในวังใต้พิภพมีกล้องวงจรปิดอยู่ทุกที่เต็มไปหมด สายตาไม่ถูกต้องก็อาจทำให้ความลับรั่วไหลได้แล้ว พวกท่านทั้งสองติดต่อกันอย่างไรกันแน่เพื่อเริ่มวางแผน?”
“เข้าฝัน!” หลงซือเย่เอ่ยสั้นๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความรังเกียจ “เขามาเข้าฝันข้าในคืนนั้น! ให้ข้าเกลี้ยกล่อมโม่เจ้าให้ใช้ลูกกลอนสามหยาง…”
กู้ซีจิ่วไม่รู้เรื่องที่โม่เจ้าเสื่อมสมรรถภาพ ดังนั้น เธอจึงไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมโม่เจ้าจึงไม่ใช้งานนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องอย่างหลงฟั่นกลับเชื่อ ‘หมอหลี่’ ผู้นี้ได้?
เธอเอ่ยถามข้อสงสัยนี้ออกมา หลงซือเย่ชะงักเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ปิดยังเธอ “ซีจิ่ว ตอนที่พวกเราหนีออกไปครั้งก่อน ข้าใส่ยาลงไปในโลงร่างโคลนนิ่งของโม่เจ้าใช่ไหม? น่าเสียดายที่ไม่ได้ทำให้ร่างโคลนนิ่งนั้นของเขามลายสิ้นไป แต่ก็ทำให้เขาเสื่อมสมรรถภาพหลังจากสิงสู่เข้าร่าง หลงฟั่นคงไม่อยากทรยศเจ้ากับข้า ดังนั้น เขาจึงไม่ได้อธิบายสาเหตุให้โม่เจ้าเข้าใจ เพียงแต่หมกมุ่นอยู่กับการวิจัยยาถอนพิษ วิจัยออกมาชนิดแล้วชนิดเล่าก็ยังไม่ได้ผล และทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายท่านนี้ก็ยังใช้วาจายุแยงตะแคงรั่ว ทำให้โม่เจ้าคิดว่าที่เขาเสื่อมสมรรถภาพเป็นเพราะหลงฟั่นจงใจเล่นตุกติกอะไร…”
กู้ซีจิ่วนิ่งอึ้ง ‘มิน่าเล่า!’
ด้วยนิสัยขี้สงสัยของโม่เจ้า ถูกตี้ฝูอีใช้ประโยชน์จากการยุแยง ทำให้เขาเกิดความสงสัยในตัวหลงฟั่นขึ้นมาได้จริง ส่วนหลงฟั่นมีนิสัยค่อนข้างทระนง เขาคร้านที่จะอธิบายเรื่องต่างๆ จึงเย็นชากับความสงสัยของโม่เจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ก็เท่านั้น
หลงซือเย่ทอดถอนใจอีกครั้ง “โม่เจ้าแคลงใจว่าหลงฟั่นไม่จงรักภักดี ไม่ต้องการให้หลงฟั่นเห็นทุกย่างก้าวของเขาได้ จึงทำลายห้องสังเกตการณ์ของหลงฟั่น ยิ่งทำให้หลงฟั่นผิดหวัง หลงฟั่นจึงวางมือ ไม่สนใจ ปล่อยให้โม่เจ้าทนทุกข์ทรมาน
“ดังนั้น ท่านจึงได้รับความเชื่อถือจากโม่เจ้าในตอนนั้น นำกำลังคนออกไปเก็บสมุนไพร เมื่อกลับมาอีกครั้ง คนที่นำเข้ามาก็ถูกสับเปลี่ยนทั้งหมดแล้วกระมัง?”
หลงซือเย่พยักหน้าฝืนยิ้ม “ถูกต้อง ลูกน้องของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเหล่านี้ไม่ได้จงรักภักดีธรรมดา ข้านำคนออกไปก็ถูกพวกเขาจับตัวได้แล้ว เคราะห์ดีที่ข้าก็กำลังตามหาพวกเขาอยู่เหมือนกัน คราวนี้เลยไม่ต้องตามหาแล้ว…”
หลี่เมิ่งซย่าที่ขับเรือมาตลอดกระแอมเสียง ลูบจมูก “เจ้าสำนักหลง ขออภัย ตอนนั้นพวกข้าใจร้อนเกินไป ไม่ง่ายเลยที่จะเห็นสิ่งมีชีวิตออกมาจากด้านใน…” ดังนั้นพวกเขาจึงรีบร้อนบุกเข้าไป!
หากหลงซือเย่เปิดเผยตัวไม่ทันเวลา พวกเขาน่าจะซัดหลงซือเย่จนเบ้าตาเขียวช้ำ!
ความจริงแล้ว เรื่องราวต่อจากนี้ก็คาดเดาต่อได้ง่ายแล้ว หลงซือเย่ชำนาญการแปลงโฉม พวกคนที่เขาพาออกไปล้วนไม่ได้กลับมา ตอนกลับ นอกจากตัวเขาแล้ว คนอื่นต่างถูกสับเปลี่ยนหมดแล้ว…
หลงซือเย่เคยออกไปเก็บสมุนไพรสามครั้ง ล้วนเลือกแต่คนที่รูปร่างและคุณสมบัติแตกต่างกัน จึงพาคนกลับมาได้อีกสิบกว่าคน
เนื่องจากโม่เจ้าไว้ใจหมอหลี่อย่างเต็มที่ ย่อมไม่ตรวจสอบคนที่เขาพากลับมาอีกครั้ง จึงเล็ดรอดผ่านเข้ามาได้อย่างง่ายดาย
กู้ซีจิ่วเข้าใจและปะติดปะต่อเรื่องรวทั้งหมดได้แล้ว
เพราะโม่เจ้าสงสัยในตัวหลงฟั่น รื้อห้องสังเกตการณ์ของหลงฟั่น ทำให้หลงฟั่นไม่พอใจ ทำให้หลงฟั่นวางมือจากการสังเกตการณ์ทั้งหมดโดยสิ้นเชิง และหลงซือเย่ที่ปลอมตัวเป็นหมอหลี่ก็ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากโม่เจ้า เข้านอกออกในห้องของเขาได้ จึงง่ายที่จะวางกลอุบายที่จอสังเกตการณ์ของโม่เจ้า ทำให้โม่เจ้ามองอะไรไม่ออก
บวกกับพวกองครักษ์ในวังใต้พิภพเดิมทีก็ไม่พอใจโม่เจ้า ในที่สุด…
—————————————————–
บทที่ 1194 จากไป (4)
บวกกับพวกองครักษ์ในวังใต้พิภพเดิมทีก็ไม่พอใจโม่เจ้า คอยทำลายจอสังเกตการณ์ กล้องวงจรปิดอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้น คนของตี้ฝูอีเคลื่อนไหวภายในอีกครั้งย่อมสะดวกมากขึ้น คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนฉลาด กระทำการอันใดย่อมระมัดระวัง ไม่ให้เหลือร่องรอยอย่างแน่นอน…
กู้ซีจิ่วเป็นคนมีเหตุมีผล เธอเข้าใจปัญหาเหล่านี้ได้อย่างรวดเร็ว และเอ่ยถามส่วนที่สำคัญขึ้นมาอีก “วิชาการแพทย์ของหลงฟั่นน่าพิศวง วิชาพิษก็สูงส่ง พวกเจ้าใส่ยาอะไรลงไปทำให้หลงฟั่นไม่ทันได้รับรู้ก่อน? มันคือพิษอะไร?”
ตี้ฝูอีกระแอมเสียง “เนื่องจากหลงฟั่นมีประสาทสัมผัสไวต่อยามากเกินไป หากใช้พิษอย่างเดียว เขาจะรับรู้ได้อย่างง่ายดาย ดังนั้น ต้องทำขึ้นมาโดยเฉพาะ ต้องดำเนินการหลายขั้นตอน เริ่มต้นที่ภายในห้องโถงนั้นมีเครื่องเรือนที่ทำมาจากไม้จินซือหนาน มีเสียงพิณของอาซี เลือดของข้า ท้ายสุดบวกกับเม็ดผงยาชนิดหนึ่ง ทั้งสี่อย่างนี้ไม่มีพิษในตัวมันเอง หากแต่อยู่รวมกันและมีเสียงพิณบรรเลงพิเศษถึงจะมีผล อีกทั้งยังไม่มีสี ไม่มีกลิ่น หลงฟั่นย่อมตรวจสอบไม่ได้”
กู้ซีจิ่วชะงักงันไปครู่หนึ่ง “เหตุใดต้องพูดให้ข้าฟังละเอียดเยี่ยงนี้?”
เมื่อสักครู่ โม่เจ้าถามอันใดไม่ออก คาดว่าจนถึงตอนนี้ เจ้านั่นยังคงเต็มไปด้วยความสงสัยอยู่ตรงนั้น
ระลอกเสียงของตี้ฝูอีอ่อนโยน “ข้าย่อมไม่มีทางปิดบังอะไรเจ้า”
กู้ซีจิ่วนิ่งอึ้ง
ตี้ฝูอียังเอ่ยถามอีก “ยังโกรธข้าอยู่หรือไม่?”
กู้ซีจิ่วยกมุมปากโค้งยิ้ม ไม่สนใจเขา กลับถอนหายใจในใจ เรื่องราวเหล่านี้บางทีอาจไม่ควรค่าแก่การพูดถึง ทว่าถ้าจะทำให้สำเร็จกลับต้องมีความคิดสุขุมรอบคอบอย่างแรงกล้าเพื่อวางแผน วงแหวนหนึ่งเชื่อมโยงกับอีกวงแหวนหนึ่ง หากวงแหวนวงใดเกิดผิดพลาด ความพยายามทุกอย่างที่ทุ่มเทไปก็จะสูญเปล่า แท้จริงแล้วอันตรายยิ่งนัก
ตอนที่ตี้ฝูอีถูกจับตัวมาก็เกรงว่าจะเป็นการวางแผนเฉพาะหน้า เขาพยายามเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยนาง!
เธอย่อมไม่โกรธเขา ตอนนั้นที่เธอสูญเสียความทรงจำ และค่อนข้างโง่เขลา หากตี้ฝูอีบอกแผนการให้เธอฟังก่อน เกรงว่าเธอในตอนนั้นจะเก็บความลับเอาไว้ไม่ได้
ทว่า เธอก็โมโหนิดหน่อย ทั้งๆ ที่คนผู้นี้ไม่ได้สูญเสียพลังวิญญาณ อีกทั้งยังเป็นเทพที่แค่สะบัดมือก็ทำให้คนหายวับไปกับตาได้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเธอที่ฟื้นคืนความทรงจำแล้ว กลับทำท่าทางอ่อนแอ ราวกับแค่ลมพัดก็ปลิวล้มลงได้ ทำให้เธอตึงเครียดไม่น้อย…
ถึงแม้ว่าเขาทำไปเพื่อเล่นละครตบตาต่อหน้าโม่เจ้า แต่ก็แอบส่งกระแสเสียงมาบอกให้เธอรู้หน่อยก็ได้!
ดังนั้น เธอจึงไม่อยากสนใจเขาไปชั่วขณะ หันหน้าไปคุยกับหลงซือเย่
ทั้งสองคุยกันถึงเรื่องโม่เจ้ากับหลงฟั่น กู้ซีจิ่วขมวดคิ้ว “ทั้งสองคนนี้ต่างหนีไปแล้ว แต่ก็ยังไม่อาจวางใจได้ เป็นปัญหาที่ไม่อาจจบลงด้วยดี”
หลงซือเย่ยังไม่ทันได้พูดอะไร ตี้ฝูอีก็พูดแทรกขึ้นมา “ไม่มีทาง โม่เจ้าถึงแม้จะหนีไปได้ แต่กายจิตของเขาบาดเจ็บสาหัส เขาจะก่อกรรมทำชั่วไม่ได้ไปอีกห้าสิบปี ส่วนหลงฟั่น เมื่อกี้เป็นพวกกู่ฉานโม่กับมู่เฟิงสกัดกั้นเขาไว้ ท้ายที่สุดแล้ว ด้วยความคุ้นชินกับพื้นที่ เขาจึงหลบหนีผ่านทางลับทางหนึ่งออกไปได้ แต่เขาก็บาดเจ็บสาหัสเช่นกัน ต้องใช้เวลาฟื้นตัวอย่างน้อยแปดถึงสิบปี”
หลงซือเย่กับกู้ซีจิ่วต่างโล่งใจ หลังจากครั้งนี้ พวกเขาสามารถอยู่อย่างสงบสุขได้อย่างน้อยสิบกว่าปี ส่วนหลังจากสิบกว่าปีนั้น ไม่รู้ว่าว่าโลกใบนี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินอีกหรือไม่!
กู้ซีจิ่วยังคงเชื่อมั่น ดูจากความเร็วในการฝึกฝนของเธอ สิบกว่าปีก็สามารถบรรลุขั้นเก้าขึ้นไปได้นานแล้ว เมื่อถึงเวลา ยังไม่แน่ว่าใครจะหาเรื่องใครกัน!
เธอกับหลงซือเย่พูดคุยกันต่อเรื่องอื่นอีก
ตี้ฝูอีนั่งพิงอยู่ในห้องโดยสาร พูดแทรกขึ้นไปตั้งหลายครั้งกลับไม่ได้รับการตอบรับจากกู้ซีจิ่ว และหลงซือเย่ก็จงใจมองข้าม ไม่สนใจเขา
—————————————————-
บทที่ 1195 ความเสียหายหนึ่งหมื่นแต้ม!
หลีเมิ่งซย่ามองเจ้านายของบ้านตนอย่างเห็นอกเห็นใจยิ่งนักแวบหนึ่ง รู้สึกว่าเงาร่างของนายท่านเปล่าเปลี่ยวอ้างว้างยิ่งนัก…
ขับขี่เรือประเภทนี้ไม่อาจใจลอยได้ พอหลีเมิ่งซย่าใจลอยไปเล็กน้อยก็ทำให้เรือที่ขับประหนึ่งเรือไวกิ้งก็มิปาน ส่ายโคลงเคลงต่อเนื่องกันหลายที…
เดิมทีที่ว่างในเรือลำนี้ก็ไม่ใหญ่นัก เมื่อส่ายโคลงเคลง ร่างของตี้ฝูอีไหลไปตามการโคลง ถลาตรงเข้าใส่ร่างกู้ซีจิ่ว กู้ซีจิ่วไม่ได้ตั้งตัว ถูกเขาถลาใส่จนล้มลงบนพื้น เป็นเบาะรองเนื้อให้เขา…
เรือนกายเขาสูงใหญ่ เรือนกายเธอบอบบางอ้อนแอ้น กู้ซีจิ่วถูกเขาทับไว้ด้านล่าง แทบจะมุดเข้าไปในอ้อมอกของเขาแล้ว กลิ่นอายบนร่างเขาปกคลุมไปทั่วตัวเธอในชั่วพริบตา หัวใจกู้ซีจิ่วเต้นรัว ใบหน้าแดงปลั่งดั่งแสงอาทิตย์อุทัย
ถึงแม้ยามนี้เธอจะโหยหาอ้อมอกของเขา แต่ที่นี่มีคนอื่นอยู่ด้วย! ยังมีสายตาอีกสองคู่มองอยู่!
จึงรีบผลักเขาออกไป “ท่านลุกขึ้น…”
ตี้ฝูอีก็ไม่มีท่าทีอื่นใด รีบลุกขึ้นนั่ง “โคลงเคลงเกินไป ไม่ทันระวัง…” ตำหนิคนผิดโดยตรง “หลีเมิ่งซย่า เจ้ารนหาที่ตายใช่ไหม? ขับเรือก็สามารถขับอย่างเลิศล้ำได้ถึงเพียงนี้เชียว? กลับไปจะตัดเบี้ยหวัดเจ้า!”
ร่างหลีเมิ่งซย่าสะท้านคราหนึ่ง กล่าวอย่างหวาดผวา “นายท่าน อย่านะเจ้าคะ…ข้าน้อยยากจนข้นแค้นจนแม้แต่กระโปรงก็ซื้อไม่ได้แล้ว กระโปรงนี้ยังต้องซื้อเชื่อเลย…”
ตี้ฝูอีเอ่ยหน้าตาย “ข้าไม่สน เว้นแต่ว่าแม่นางกู้จะไม่เอาความเจ้า มิเช่นนั้นเงินเจ้าจะถูกหักแน่นอน!”
หลีเมิ่งซย่ารีบขอความเมตตาจากกู้ซีจิ่ว “แม่นางกู้เจ้าขา ละเว้นด้วยเถิดเจ้าค่ะๆ ขอท่านและนายท่านโปรดเมตตาด้วย อย่าให้นายท่านหักเงินของข้าน้อยเลย ข้าน้อยเบื้องบนมีผู้เฒ่าผู้แก่ เบื้องล่างมีลูกหลานเยาว์วัย ทนรับการหักเงินของเขาไม่ไหวหรอกเจ้าค่ะ”
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออก
กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าตัวเองนอนๆ อยู่ก็ถูกยิงเสียได้ เธอถือโทษอะไรกับหลีเมิ่งซย่ากัน? เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเจ้าตี้ฝูอีผู้นี้ฉวยโอกาสเอาเปรียบเธอไม่ใช่หรือไง?!
หลีเมิ่งซย่าพูดอยู่ไม่หยุดจนใจลอย จึงขับเรือลำนั้นไม่เข้าท่ายิ่งกว่าเดิม เห็นได้ว่ายกระดับจากโหมดเรือไวกิ้งเป็นโหมดรถไฟเหาะแล้ว กู้ซีจิ่วลุกพรวดขึ้นมา “ข้าขับเอง!”
บีบหลีเมิ่งซย่าออกไป เธอเข้าบังคับโดยตรง
เห็นได้ชัดว่าเธอบังคับเรือลำนี้ได้ชำนาญกว่าหลีเมิ่งซย่า เรือมั่นคงรวดเร็วนัก หลีเมิ่งซย่ามองอย่างประหลาดใจ “แม่นางกู้ ท่านขับได้ชำนาญเหลือเกิน! โม่เจ้าเคยสอนท่านขับเรือใช่หรือไม่?”
“ไม่ ข้าเรียนรู้จากการมองกะลาสีเรือคนนั้นตอนหนีออกไปคราวก่อน”
หลีเมิ่งซย่ารู้สึกว่าตนได้รับความเสียหายหนึ่งหมื่นแต้ม!
นางเรียนรู้การขับเจ้าของเล่นชิ้นนี้อยู่ทั้งวัน ตอนที่นางเรียนอยู่ กะลาสีที่ถูกนางควบคุมคนนั้นยังประจบประแจงอยู่เลยว่านางเฉลียวฉลาด นางหลงนึกว่าตัวเองเรียนรู้สิ่งนี้ได้รวดเร็วที่สุดแล้ว กลับนึกไม่ถึงเลยว่า…
เหนือคนยังมีคนอยู่จริงๆ น่าโมโหเหลือเกิน!
แม่นางกู้ผู้นี้พิเศษกว่าคนทั่วไปจริงๆ ไม่แปลกเลยที่นายท่านของบ้านตนจะชอบนาง เพื่อนางแล้วแม้กระทั่งศักดิ์ศรีหรือชีวิตก็ไม่ต้องการแล้ว…
เดิมทีหลีเมิ่งซย่ายังรู้สึกคับข้องใจแทนเจ้านายของตนอยู่บ้าง รู้สึกว่ากู้ซีจิ่วไม่คู่ควรต่อความชอบของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย เมื่อได้เห็นในยามนี้แล้ว อืม สองคนนี้ช่างเป็นกิ่งทองใบหยกโดยแท้!
หลีเมิ่งซย่ายังไม่ลืมที่จะขอความเมตตา “แม่นางกู้ ท่านอย่าถือสาข้าน้อยได้ไหมเจ้าคะ? ข้าน้อยยากจนมากจริงๆ…”
กู้ซีจิ่วอับจนวาจา มองหลีเมิ่งซย่าแวบหนึ่ง “ประมุขหอเงาราตรีผู้สูงส่งไฉนเลยจะยากจนได้? เจ้ายังคิดจะบอกว่าเบื้องบนเจ้ามีบุพการีวัยแปดสิบ เบื้องล่างมีลูกน้อยอายุสามขวบต้องเลี้ยงดูอยู่กะมัง?”
หลีเมิ่งซย่าหน้าแดง “สิ่งเหล่านี้ไม่มีเจ้าค่ะ ปีนี้ข้าน้อยเพิ่งอายุยี่สิบสาม เป็นเด็กกำพร้า ไม่มีบุพการี เมิ่งซย่ายังมิได้ออกเรือน จึงไม่มีลูกน้อย”
“เช่นนั้นที่เจ้าบอกว่าเบื้องบนมีผู้เฒ่าผู้แก่ เบื้องล่างมีลูกหลานเยาว์วัยเล่า?”
“ผู้อาวุโสแต่ละท่านของหอเงาราตรีล้วนเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ มีความสามารถในการถลุงเงินยิ่งนัก หอเงาราตรียังรับศิษย์ใหม่เข้ามาอีกกลุ่มหนึ่ง ล้วนเป็นเด็กน้อยเยาว์วัยทั้งสิ้น นั่นก็ต้องการเงินเช่นกัน…ผู้ที่น่าเวทนาคือประมุขอย่างข้าแม้แต่กระโปรงสำรองสักตัวก็ไม่มี…” หลีเมิ่งซย่ากำหมัดอย่างขุ่นเคือง
—————————————————————–
บทที่ 1196 รับบท ‘แม่นางหลิน’ จนติดเป็นนิสัยแล้วหรือไง?
กู้ซีจิ่วเห็นใจนาง “เช่นนั้นปกติแล้วนายท่านของพวกเจ้าหักเงินเท่าใด?”
หลีเมิ่งซย่าเผยสีหน้าโศกหมองปานญาติเสีย “ทุกครั้งล้วนหักเป็นเวลาครึ่งปี เป็นเงินห้าหมื่นตำลึง!”
จำนวนที่หักมากมายจริงๆ
มิน่าเล่าประมุขหลีผู้นี้ถึงมีทีท่าปานฟ้าจะถล่ม
กู้ซีจิ่วคิดแวบหนึ่ง ด้วยเหตุนี้เธอจึงออกตั๋วเงินเปล่าใบหนึ่ง “ข้าไม่โทษเจ้า แต่ข้าโทษเขา…หากว่าเขาตัดเงินเจ้าด้วยสาเหตุนี้ ข้าก็ทนดูไม่ได้อยู่บ้าง เอาเช่นนี้เถิด รอข้ากลับไปจะมอบเงินห้าหมื่นตำลึงให้เจ้าเป็นการด่วน”
ตั๋วเงินของเธอมีมากมายนัก ห้าหมื่นตำลึงน่ะเรื่องจิ๊บจ๊อย!
ดวงตาของหลีเมิ่งซย่าส่องประกายแล้ว รีบคล้อยตามผลประโยชน์ที่ได้รับทันที แทบจะยืดอกตอบรับแล้ว “ขอบคุณแม่นางกู้ยิ่งนักเจ้าค่ะ! ต่อไปนี้หอเงาราตรีจะติดตามเพียงแม่นางเท่านั้น!”
กู้ซีจิ่วเงียบงัน
ตี้ฝูอีก็เงียบงันเช่นกัน…
ไม่กี่คนคุยเล่นกันอยู่พักหนึ่ง ไม่นานนัก ในที่สุดเรือก็โผล่ขึ้นมาจากลาวา เข้าเทียบฝั่งแล้ว
ตี้ฝูอียื่นมือให้กู้ซีจิ่ว “ซีจิ่ว พยุงข้าหน่อยสิ พวกเราออกไปกันเถอะ”
เจ้าคนผู้นี้รับบท ‘แม่นางหลิน’ จนติดเป็นนิสัยแล้วหรือไง?
กู้ซีจิ่วเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ไม่สนใจเขา กระโดดขึ้นฝั่งไปเสียดื้อๆ
“ตี้ฝูอี เจ้าเล่นบทอ่อนแอจนติดเป็นนิสัยไปแล้วสินะ? ซีจิ่วไม่ชอบพวกปวกเปียก ระวังการเสแสร้งของเจ้าจะถูกแขยงเอา!” พลางเหินขึ้นฝั่งไปเช่นกัน
เป็นหลีเมิ่งซย่าที่ยังคงมีความเป็นลูกน้องอยู่ เอ่ยอย่างเห็นใจ “นายท่าน ประเดี๋ยวข้าน้อยไปเรียกมู่เฟิงมาประคองท่านดีไหมเจ้าคะ?”
ตี้ฝูอีเลิกคิ้วมองนาง “ข้านึกว่าเจ้าจะแสดงความจงรักภักดีด้วยการเขามาประคองเองเสียอีก”
หลีเมิ่งซย่ารีบตอบทันที “ข้าน้อยมิกล้า ข้าน้อยไม่กล้าฝ่าฝืนกฏหรอกเจ้าค่ะ” นายท่านของนางมีนิสัยประหลาด ปกติแล้วไม่อนุญาตให้สตรีปรนนิบัติรับใช้อยู่ใกล้ตัว
ตี้ฝูอียิ้มแล้ว “นับว่าเจ้ายังรู้กฎอยู่ เดิมทีเห็นแก่ที่เจ้ารู้กฎเกณฑ์ ตะไม่หักเงินเจ้าแล้ว แต่เมื่อครู่นี้เจ้าเป็นฝ่ายคล้อยตามผลประโยชน์เอง ต่อไปนี้ข้าจะไม่เดือดเนื้อร้อนใจกับเงินทองของเจ้าแล้ว”
ประโยคนี้มีความนัยยิ่งนัก หลีเมิ่งซย่าตระหนกทันที “นายท่าน ความหมายของท่านคือต่อไปนี้จะไม่ให้เงินข้าน้อยแล้วหรือเจ้าคะ?”
ตี้ฝูอีกล่าวอย่างเฉื่อยชา “ไปหานายใหม่ของเจ้าสิ!” เรือนกายพลันเหินขึ้น ร่อนลงบนฝั่ง ทิ้งให้หลีเมิ่งซย่ายืนตะลึงอยู่บนเรือและอากาศร้อนระอุที่แสนวิเวกวังเวง…
….
ลมเย็นโบกพลิ้ว เมฆาขาวลอยล่อง
กู้ซีจิ่วกับตี้ฝูอีนั่งอยู่ในรถม้าคันหนึ่ง
รถเป็นรถม้าไม้ลายทองที่แข็งแรงยิ่งนัก เป็นบรรณาการจากหลีเมิ่งซย่า
หลีเมิ่งซย่าเพื่อจะทำให้ตี้ฝูอียอมเก็บนางกลับไปอีกครั้งจึงทุ่มเทสุดชีวิต นำรถไม้ลายทองที่นางเพิ่งสร้างเสร็จยังไม่ทันได้ใช้ออกมาส่งมอบให้ จากนั้นก็กล่าวอำลาส่งพวกเขาทั้งน้ำตา
สัตว์ที่ลากรถก็คืออาชาเวหาพิเศษตัวนั้นของตี้ฝูอี เหินบินว่องไว ไปมาดั่งสายลม
ด้านนอกรถม้าคือสี่ทูต อยู่ด้านหน้าสองคน ด้านหลังอีกสองคน
เนื่องจากรถม้าคันนี้เป็นพาหะขนาดใหญ่โต ดังนั้นสี่ทูตจึงยืนอยู่นอกรถได้ไม่แออัด มู่อวิ๋นถึงขั้นนอนเอกเขนกอยู่หน้ารถม้า เกลือกกลิ้งอย่างเป็นสุข รู้สึกสบายอุรายิ่งนัก
ส่วนหลงซือเย่หลังจากออกจากภูเขาไฟแล้วก็ตรงกลับเขาถามสวรรค์ไปเลย ยามที่จะจากไปตี้ฝูอีไม่ถือสาความบาดหมางแต่หนหลังมอบแผนที่ค่ายกลฉบับหนึ่งให้เขา บนนั้นแจกแจงไว้ว่าค่ายกลต่างรอบหุบเขาถามสวรรค์มีวิธีทำลายอย่างไรบ้าง เขียนไว้ละเอียดนัก ทำให้สีหน้าหลงซือเย่ทะมึนแล้วทะมึนอีก ตัดสินใจว่าหลังจากกลับไปแล้วจะรีบปฏิรูปทันที ไม่อาจปล่อยให้ตี้ฝูอีมาเตร็ดเตร่ที่เขาถามสวรรค์ของเขาประหนึ่งเป็นสวนหลังบ้านของตนได้อีก
ยามที่ต้องจากกัน หลงซือเย่นิ่งไปครู่หนึ่ง เอ่ยประโยคหนึ่งกับกู้ซีจิ่วอย่างหนักแน่นจริงใจ “ซีจิ่ว ร่างโคลนนิ่งร่างนี้ของเธอถึงแม้จะสมบูรณ์แบบ แต่ยังไงซะก็เป็นของที่สร้างขึ้น ไม่ถือว่ามีเลือดเนื้อเชื้อไขของบุพการี ถ้าหากว่าเธอยังเปลี่ยนได้ก็เปลี่ยนกลับร่างเดิมเถอะ!”
—————————————————————-
บทที่ 1197 ตรวจร่างกายให้เจ้า
กู้ซีจิ่วย่อมอยากสลับคืนอยู่แล้ว อย่างไรเสียร่างนี้ก็เป็นสิ่งที่หลงฟั่นสร้างขึ้น อีกทั้งดูเหมือนจะมีอุปกรณ์บอกตำแหน่งติดตั้งอยู่ด้วย!
เมื่อนึกถึงอุปกรณ์บอกตำแหน่ง กู้ซีจิ่วก็แทบจะนั่งไม่ติดแล้ว “นี่พวกเราจะไปไหนกัน?”
“กลับวัง”
“กลับวังที่เป็นความลับของท่านน่ะหรือ? ไม่ได้นะ! ข้าไปที่นั่นไม่ได้!”
ตี้ฝูอีเลิกคิ้วมองเธอ ถอนหายใจแล้วเอ่ยถาม “ยังโกรธข้าอยู่หรือ?”
กู้ซีจิ่วส่ายหน้า “ไม่ได้โกรธ ข้าพูดจริงๆ ไปที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์กันเถอะ ที่นั่นค่อนข้างปลอดภัย…”
“ที่นั่นของข้าปลอดภัยกว่า” ตี้ฝูอีเอ่ยขัดเธอ “ซีจิ่ว ที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์เจ้าเรียนวรยุทธ์ไปพอสมควรแล้ว ไปอีกก็ไม่มีประโยชน์อะไร ตามข้ากลับไปที่วังเถอะ”
“ในร่างข้ามีอุปกรณ์บอกตำแหน่งอยู่ ถ้ากลับไปที่นั่นกับท่านจะเป็นการเผยฐานลับของท่านได้ง่ายดายยิ่ง!” ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็เอ่ยประเด็นสำคัญออกมาแล้ว
ตี้ฝูอีตบตำแหน่งข้างตัวเบาๆ “มานี่!”
สาวน้อยคนนี้ตั้งแต่ขึ้นรถมาก็นั่งอยู่ตรงข้ามเขา เว้นระยะห่างจากเขาครึ่งเมตรเต็มๆ ทำให้เขาไม่สบอารมณ์เท่าไหร่
“ทำไม?” กู้ซีจิ่วไม่ขยับ
“ตรวจร่างกายให้เจ้า” ตี้ฝูอียิ้มมิเชิงยิ้ม “มานี่!”
ประโยคนี้ค่อนข้างมีเลศนัยอยู่บ้าง กู้ซีจิ่วไม่หลงกลเขา ยื่นข้อมือตนให้เขาแทน “ต้องจับชีพจรรึ? แบบนี้สะดวกกว่า”
ตี้ฝูอีไม่พูดอะไร เขาเคลื่อนไหวทันที จับข้อมือเธอไว้แล้วรั้งเข้าสู่อ้อมแขน!
ด้วยเหตุนี้เขาจึงโผเข้าทับร่างของกู้ซีจิ่ว!
เกิดเสียงดัง ‘ตุบ!’ ตี้ฝูอีทำให้เธอกระแทกถูกผนังห้องโดยสาร ท้ายทอยของกู้ซีจิ่วแนบชิดสนิทกับผนังห้องโดยสาร
กู้ซีจิ่วมองคนที่ทับอยู่บนร่างตน ทึ่มทื่อไปชั่วขณะ!
กัดฟันกล่าว “ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย เจ้าเล่นนอกกติกาเกินไปแล้วนะ!”
เมื่อครู่ยามที่ตี้ฝูอีรั้งตัวเธอ เธอชักมือกลับตามสัญชาตญาณทันที เธอคิดว่าด้วยความสามารถของตี้ฝูอี หนนี้ตนคงชักกลับมาไม่ได้ ยังคงถูกดึงเข้าสู่อ้อมอกของเขาเช่นเดิม
กลับนึกไม่ถึงว่าเธอแค่ชักกลับตามสัญชาตญาณโดยไม่ได้ตั้งใจเท่านั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะลากเขาเข้ามาด้วย ซ้ำยังทับเธออย่างหนาแน่นด้วย!
ฮือๆ เจ็บท้ายทอยจัง! ไม่รู้ว่าจะปูดหรือเปล่า…
ตี้ฝูอีหลุบตามองเธอที่ใต้ร่าง สีหน้าไร้เดียงสา “ข้าไม่ได้ตั้งใจ”
กู้ซีจิ่วอยากถีบเขานัก!
เรี่ยวแรงของเขาเหนือกว่าเธอมาก ซ้ำเธอยังออกแรงจริงๆ ไม่ได้ แล้วเขาจะถูกลากเข้ามาง่ายๆ เช่นนี้ได้อย่างไร? เจ้าคนผู้นี้หาประโยชน์ใส่ตัว!
ตี้ฝูอีหลุบตามองนาง หัวเราะเบาๆ “เด็กน้อย เจ้าอยากให้ข้าอิงแอบแนบอกเจ้า ข้าย่อมตอบสนองต่อความปรารถนาของเจ้า…”
ดูเขาพูดเข้าเถอะ! พูดเหมือนเธอเป็นสตรีเสเพลไม่มีผิด
กู้ซีจิ่วผลักเขา “เข้าข้างตัวเองให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ ข้าไม่ได้ได้อยากให้ท่านมาอิงแอบแนบอกข้าเสียหน่อย…”
ยามที่ผลักมือของเขาออก จู่ๆ ก็รู้สึกว่าผิดปกติ เธอยื่นมือไปจับข้อมือของเขาทันที
“มือท่านทำไมถึงเย็นขนาดนี้?” มือเขาเย็นเฉียบ ต่างจากยามปกติเหลือเกิน
ตี้ฝูอีกลับผละจากร่างเธอบุกขึ้นเสีย “วันนี้ค่อนข้างหนาว” คิดจะชักมือตนกลับ
กู้ซีจิ่วเม้มปากเน้น จับข้อมือเขาไว้ไม่ปล่อย ตี้ฝูอีจึงหยอกล้อนาง “ยังจะพูดอีกว่าไม่สนใจให้ข้าอิงแอบแนบอก จับข้าไว้แน่นถึงเพียงนี้…”
“ข้าจับชีพจรให้ท่าน!” กู้ซีจิ่วตัดบทเขา ใบหน้าเฉิดฉันมีสีหน้ากังวล “ท่านเงียบก่อน”
ตี้ฝูอีมองนางไม่ขยับและไม่พูดอะไรอีกจริงๆ
วิชาแพทย์ของกู้ซีจิ่วก็เลิศล้ำยิ่งนักเช่นกัน ฝีมือการจับชีพจรไม่ด้อยไปกว่าหลงซือเย่เลย ครั้งนี้หลังจากเธอกับตี้ฝูอีพบพานกันอีกครั้ง ก็เกินเรื่องมากมายขึ้นเป็นพรวน ถึงแม้จะตกระกำลำบากร่วมหัวจมท้ายด้วยกัน แต่เธอก็ไม่มีเวลาจับชีพจรตรวจอาการให้เขาเลย
———————————————————
บทที่ 1198 หนักหนากว่าที่เธอจินตนาการไว้!
ต่อมาพอขึ้นมีเวลาแล้ว แต่เขาเผยวรยุทธ์ที่แท้จริงออกมา ยังคงเป็นบุคคลที่ทรงอำนาจน่าเกรงขามเช่นเดิม ดังนั้นเธอจึงไม่ฉุกคิดถึงการจับชีพจรตรวจอาการเขาเลย
จบจนยามนี้ ทั้งสองมีการแตะเนื้อต้องตัวกันอยู่บ่อยครั้ง ในที่สุดเธอก็สังเกตเห็นว่าอุณหภูมิร่างกายเขาผิดปกติ!
เมื่อเธอแคลงใจขึ้นมาแล้ว เช่นนั้นก็ไม่อาจปิดบังเธอได้อีก และตี้ฝูอีก็ไม่คิดจะปิดบังเธอ ดังนั้นจึงปล่อยให้เธอตรวจอาการเขา
ชีพจรของเขาไม่ค่อยปกติจริงๆ เห็นได้ว่าเป็นอาการของการเสียเลือดมากเกินไป แต่ก็ดูไม่เหมือนอาการเสียเลือดมากไปเสียทั้งหมด…
เธอกางฟูกในรถม้าออก “ท่านนอนลงสิ”
ตี้ฝูอีมองฟูกจากนั้นก็มองเธอ “นี่เจ้าจะเล่นพลิกผ้าห่มกับข้าหรือ?” เขาได้ยินกู้ซีจิ่วเอ่ยถึงคำศัพท์นี้เป็นบางครั้ง ดังนั้นจึงทราบว่าความหมายคืออะไร นำมาใช้ตามที่ได้เรียนรู้
ริมฝีปากจิ้มลิ้มของกู้ซีจิ่วเม้มแน่น “ข้าไม่มีอารมณ์มาล้อเล่นกับท่านหรอกนะ ท่านนอนลงไปก่อน!”
ด้วยเหตุนี้ตี้ฝูอีจึงนอนลงไป ซ้ายังอ้าแขนไปทางเธอด้วย “อยากเข้ามานอนอิงแอบด้วยกันหรือไม่?”
อ้อมแขนของเขาช่างดึงดูดผู้คนเหลือเกิน เป็นตำแหน่งที่เธอโหยหามาโดยตลอด ทุกครั้งยามที่เขาโผล่มาหายังไม่ทันได้อ้าแขนออก เธอก็อยากโผเข้าใส่อย่างไม่ได้เรื่องแล้ว…
ครั้งนี้กู้ซีจิ่วโผเข้าใส่จริงๆ เพียงแต่มิใช่ไปนอนเคียงข้างเขา เป็นการฟุบลงบนอกเขา เอียงหูฟังจังหวะหัวใจเขา
ตี้ฝูอีมองศีรษะเล็กๆ ที่อยู่บนอกนั้น อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นว่า “ซีจิ่ว มีเรื่องหนึ่งจะปรึกษากับเจ้า…”
กู้ซีจิ่วยื่นนิ้วหนึ่งไปกดปากเขาไว้ “ชู่ เงียบก่อน!”
นางเป็นห่วงเขาถึงเพียงนี้ ในใจตี้ฝูอีอบอุ่นยิ่งนัก รู้สึกเหมือนกระแสความร้อนปั่นป่วนในใจ…ด้วยความปั่นป่วนนี้ อัตราการเต้นของหัวใจจึงเพิ่มขึ้นไม่น้อย
“นี่ ท่านใจเย็นลงก่อนสิ สงบจิตสงบใจแล้วหายใจเข้าลึกๆ…” สิ่งที่เธอต้องการฟังคือการไหลเวียนของโลหิตที่จำเป็นต้องให้เขาอยู่ในสภาวะสงบถึงจะฟังได้
โอบร่างอรชรหอมกรุ่นไว้ในอ้อมอก นางอันเป็นที่รักฟุบอยู่ตรงทรวงอกซ้ำยังห่วงใยเขาถึงเพียงนี้ ตี้ฝูอีรู้สึกว่าถ้าไม่ให้เขาปั่นป่วนเลย นี่เป็นระดับความยากที่ค่อนข้างสูงอยู่บ้าง
โชคดีที่ปกติแล้วเขาเชี่ยวชาญการควบคุมพลังยุทธ์และลมหายใจเป็นที่สุด ดังนั้นเขาจึงหลุบตาน้อยๆ แล้วจัดการ ผ่านไปไม่กี่นาทีในที่สุดเขาก็สงบใจลงได้แลว
อันที่จริงเขากระจ่างแจ้งสภาวะของร่างกายตนยิ่งนัก บอกกล่าวนางสักหน่อยก็พอแล้ว แต่เขาละโมบในความห่วงใยที่นางมีต่อเขายิ่งนัก แม้ว่านางจะดุร้ายกับเขาก็ตาม…
กู้ซีจิ่วแทบจะเคล้นคลึงแขนขาของเขาจนทั่วรอบหนึ่งแล้ว ถึงขั้นที่แกะเสื้อคลุมเขาออกดูบาดแผลเหล่านั้นบนร่างเขา ด้วยความสามารถในการฟื้นฟูของตี้ฝูอี บัดนี้ความสร้างเนื้อใหม่ขึ้นมาเติมเต็มตั้งนานแล้วถึงขั้นที่ควรเหลือเพียงรอยแผลเป็นจางๆ เท่านั้น
แต่บาดแผลนี้ไม่ใช่ ถึงแม้เขาจะใช้ยาที่ดีที่สุดแล้ว ต่แผลนั้นก็ยังคงเปิดอ้าอย่างน่าเกลียดอยู่ มีเพียงสะเก็ดเลือดบางๆ ชั้นหนึ่งเท่านั้น…
แน่นอนว่าตอนที่เขาเพิ่งถูกปล่อยตัวในตำหนักใต้ดิน น่าจะเป็นเพราะต้องควบคุมสถานกรณ์ และไม่อยากทำให้เธอเป็นกังวลด้วย บาดแผลตรงข้อมือจึงถูกเขาใช้เวทวิชาอำพรางไว้ เมื่อคนอื่นมองจะเห็นเพียงว่าตรงนั้นมีแผนเป็นจางๆ อยู่ที่นั่นสองรอยเท่านั้น
ตี้ฝูอีแข็งแกร่งยิ่งนักมาโดยตลอด แข็งแกร่งเหนือธรรมดา ดังนั้นในใจของกู้ซีจิ่วแล้วต่อให้เขาบาดเจ็บนั่นก็ไม่เรียกว่าเป็นปัญหา เขาสามารถฟื้นฟูได้ในไม่กี่นาที และบาดแผลที่ถูกเขาใช้เวทอำพรางปกปิดไว้
จวบจนยามนี้พอได้ตรวจร่างกายเขา พบว่าบาดแผลโชกเลือดเหล่านั้นไม่สมานตัวเลย เธอถึงรู้ว่าเขาบาดเจ็บสาหัสยิ่งนักจริงๆ แล้ว!
หนักหนากว่าที่เธอจินตนาการไว้!
บางที ‘ความอ่อนแอ’ ในยามนั้นของเขาอาจไม่ใช่การเสแสร้ง แต่เป็นความจริง ตรวนสลายวิญญาณพวกนั้นก็ไม่ใช่ของปลอมไม่ได้มาตรฐาน…
—————————————————————
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น