พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1191-1194
บทที่ 1191 ยามหกคนพบกันอีกครั้ง
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากทดสอบอานุภาพของ ‘ตีไม่พัง’ ไปแล้ว ทั้งสองก็กลับมาที่ตลาดสวรรค์ พอกลับมาถึงชัยภูมิถ้ำสวรรค์ของร้านโฉมเมฆา เหมียวอี้ก็โอบกอดอวิ๋นจือชิวจากข้างหลัง แล้วคลอเคลียอยู่ข้างหู สูดดมกลิ่นกายหอมตรงซอกคอขาวของนาง สองมือกำลังซุกซนอยู่บนร่างกายนาง
อวิ๋นจือชิวย่อมรู้ว่าเจ้าหมอนี่คิดจะทำอะไร จึงคว้ามือเขาแกะออก แล้วหันตัวใช้สองมือประคองใบหน้าเหมียวอี้เอาไว้ พร้อมบอกอย่างจริงจังว่า “ถ้าทำแบบนี้อีก วันนี้เจ้าคงฝึกตนไม่ได้แล้ว อีกไม่นานก็จะถืงเวลาทดสอบ ตัวข้าเป็นของเจ้าแล้ว หนีไม่พ้นหรอก ต่อไปอยากจะครอบครองข้าเมื่อไรก็ได้ ตอนนี้อย่าแบ่งสมาธิไปไว้ที่ตัวผู้หญิง ไม่คุ้มค่าที่จะทำแบบนั้น การเร่งเพิ่มวรยุทธ์แข่งกับเวลาต่างหากที่เป็นเรื่องสำคัญ วรยุทธ์เพิ่มขึ้นจะได้มีหลักประกันเพิ่มขึ้น เด็กดี รอให้ถึงตอนที่เจ้าจะไป ข้าจะปรนนิบัติเจ้าอย่างดีแน่นอน ตอนนี้เอาความคิดไปวางอยู่กับการฝึกตนให้หมด”
ท่านขุนนางเหมียวย่อมผิดหวังอยู่แล้ว เพราะนานมากแล้วที่ไม่ได้แตะต้องนาง ประเด็นสำคัญคือตอนนี้เจ้าตัวไม่ให้แตะต้อง นางไม่ให้แตะต้องก็ว่าแย่แล้ว ถึงขั้นสั่งอนุภรรยาคนอื่นๆ ไว้ด้วยว่าห้ามทำให้เขาเสียสมาธิ ทำให้ชีวิตเขาไร้รสชาติ
ทว่าอวิ๋นจือชิวสามารถควบคุมเขาได้ในที่แจ้ง แต่กลับควบคุมการกระทำเล็กน้อยของเขาในที่ลับไม่ได้ ถึงอย่างไรลับหลังก็ยังซ่อนหวงฝู่จวินโหรวไว้อีกหนึ่งคน
ภายใต้ความจนใจ เขาจึงทำได้เพียงใช้มือลวนลามบนร่างกายอวิ๋นจือชิวไปยกหนึ่ง ใบหน้าสวยหยาดเยิ้มแบบนั้น หน้าอกที่อวบอิ่มแบบนั้น บั้นท้ายที่อวบอัดแบบนั้น เรือนร่างขาวอ่อนนุ่มที่เต็มไปด้วยความยืดหยุ่นแบบนั้น เขารังแกจนอวิ๋นจือชิวแก้มแดงหายใจหอบ แต่ผู้หญิงคนนี้มีปณิธานอันแน่วแน่ ขนาดเป็นแบบนี้แล้วยังดึงดันไม่ให้เขาแตะต้อง เร่งให้เขากลับไปฝึกตนเหมือนเดิม
เป็นเพราะความกังวลในใจอวิ๋นจือชิว คือสิ่งที่เหมียวอี้ไม่สามารถเข้าใจได้ เพียงแต่นางไม่พูดออกมาก็เท่านั้นเอง
แต่ท่านขุนนางเหมียวถูกเรือนร่างยั่วราคะของนางปลุกปลั่นจนรุ่มร้อน เขาไม่ใช่มือใหม่เหมือนในปีนั้นแล้ว จะทำตัวซื่อสัตย์ไหวได้อย่างไร พอมุดเข้าทางใต้ดินก็ติดต่อหวงฝู่จวินโหรวทันที บอกให้นางปิดใช้งานค่ายกลป้องกัน แล้วแอบหนีเข้าไปหาความสำราญในร้านค้าสมาคมวีรชนแล้ว
หวงฝู่จวินโหรวไม่สนใจอะไรมากขนาดนั้น ขอแค่เหมียวอี้มาหานางก็ดีใจแล้ว คู่ชู้รักย่อมหาความสำราญกันตามใจชอบ หลงระเริงเต็มที่
โชคดีที่อวิ๋นจือชิวไม่รู้ ถ้ารู้ว่านางสิ้นเปลืองความคิดไปมากแต่สูญเปล่า ก็ไม่อยากจะจินตนาการถึงผลลัพธ์เลย ถ้าผู้หญิงคนนี้ไม่โมโหจนคลั่งก็แปลกแล้ว…
เวลาหลายปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในห้องสมาธิของตำหนักคุ้มเมือง เหมียวอี้ที่กำลังนั่งขัดสมาธิลืมตาขึ้น วรยุทธ์บงกชทองขั้นสี่ตรงรอยแยกสีแดงตรงหว่างคิ้วค่อยๆ จางไป ฝ่ามือสองข้างกางออก เผยดีบัวสีแดงสองเม็ด ทำให้ชั่วขณะนั้นปราณปีศาจโลหิตพรั่งพรูอยู่ในห้องสมาธิ
กลั่นกรองยาเม็ดโลหิตหมดไปอีกสองเม็ด แต่เหลือเวลาอีกอย่างน้อยสี่สิบกว่าปีกว่าจะบรรลุระดับบงกชทองขั้นห้า เวลาทดสอบใกล้เข้ามาแล้ว ทั้งยังต้องไปรวมตัวที่จวนแม่ทัพภาคตงหัวล่วงหน้าอีก เวลาไม่พอให้เขาบรรลุถึงระดับบงกชทองขั้นห้าอีกแล้ว
เขานำเกราะรบออกมา แล้วนำดีบัวสองเม็ดใส่เข้าไปในเกราะรบอีก ไม่ได้ฝึกตนต่อไป
หลังจากติดต่อพวกฝูชิงแล้ว เหมียวอี้ก็ออกจากห้องสมาธิมานั่งลงในลานบ้านข้างนอก เป่าเหลียนยกน้ำชามาวางข้างๆ แต่เหมียวอี้ให้นางถอยออกไป
ผ่านไปไม่นาน ฝูชิง อิงอู๋ตี๋กับสวีถังหรานก็มาแล้ว มายืนเรียงแถวหน้ากระดานอยู่ตรงหน้า เหมียวอี้ให้พวกเขานั่งลง ปากพวกเขาก็กล่าวขอบคุณ แต่ความจริงกลับไม่นั่งลง ไม่ทำอะไรให้ดูเหมือนมีฐานะเทียบเท่าเขา
เหมียวอี้ก็เหมือนจะค่อยๆ คุ้นชินกับความเคารพของพวกฝูชิงแล้ว ถึงอย่างไรก็เป็นแบบนี้มาหลายปี เขายกน้ำชาขึ้นมาจิบแล้วถามว่า “สถานการณ์ข้างนอกเป็นยังไงบ้าง?”
ทั้งสามสบตากันแวบหนึ่ง แล้วฝูชิงก็ตอบว่า “การทดสอบที่นรกใกล้เข้ามาแล้ว เริ่มมีข่าวลืออีกแล้วว่านายท่านจะไปเข้าร่วมการทดสอบหรือไม่ ที่บ่อนถึงขั้นมีการตั้งเดิมพันนี้ เดิมพันว่านายท่านจะไปเข้าร่วมหรือไม่ คนที่เดิมพันเหมือนจะมีไม่น้อยเลย”
เหมียวอี้แสยะยิ้ม “ถึงขั้นกล้าเอาข้าไปเดิมพันอย่างโจ่งแจ้งแล้วเหรอ สงสัยกำหนดเวลาใกล้เข้ามาแล้ว พวกเขาคงรู้แล้วว่าข้าเดินมาถึงจุดจบ ไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาแล้ว ว่ามาซิ คนที่เดิมพันว่าข้าจะไปมีเยอะกว่า หรือคนที่เดิมพันว่าข้าจะไม่ไปมีเยอะกว่า”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ฝูชิงก็ถามว่า “คาดว่าอย่างละครึ่งขอรับ บางคนคิดว่านายท่านไม่กล้าเอาชีวิตไปทิ้ง ถ้ายอมแพ้เรื่องการทดสอบก็ยังพอมีหวังจะรอดชีวิต ส่วนอีกพวกหนึ่งคิดว่าไม่ว่าจะเลือกทางไหนนายท่านก็ไม่ได้อยู่อย่างปลอดภัยอยู่ดี จะต้องไปฝ่าฟันสักครั้งแน่นอน”
“เฮอะ!” เหมียวอี้วางถ้วยน้ำชาลง แล้วถามอีกว่า “สถานการณ์การทางสมาคมร้านค้าเป็นอย่างไร?”
ทั้งสามเงียบไป ก่อนที่สวีถังหรานจะถอนหายใจแล้วบอกว่า “การควบคุมสมาคมร้านค้าของพวกเราหมดบทบาทแล้ว ร้านค้าพวกนั้นแอบปล้นอำนาจพวกเราลับหลัง ตอนนี้ไม่กล้าทำอย่างโจ่งแจ้ง แต่ถ้านายท่านออกไป เกรงว่าระบบของสมาคมร้านค้าก็จะกลับมาเหมือนเดิม”
“ดีมาก!” เหมียวอี้กวาดสายตามองทั้งสาม “จำไว้ให้ข้าด้วยนะ ว่าใครทำอะไรไว้บ้าง จดไว้ทุกรายการ อย่าให้ตกหล่น รอให้ข้ากลับมาแล้วค่อยคิดทั้งบัญชีเก่าทั้งบัญชีใหม่”
“ขอรับ!” ทั้งสามเอ่ยรับ
หลังจากให้ความสนใจกับแนวโน้มการเคลื่อนไหวของตลาดสวรรค์ แล้วรอจนกระทั่งทั้งสามออกไปแล้ว เหมียวอี้ที่นั่งอยู่ในศาลาก็เงียบงันอยู่นานมาก
การทดสอบกำลังจะมาถึง ต่อให้เตรียมตัวมากขนาดไหน แต่เขาก็ไม่อยากไปที่นรกคนเดียวอยู่ดี ไปตามลำพังอันตรายเกินไปจริงๆ ยังอยากจะหาพันธมิตรไว้สักหน่อย แต่เมื่อหาจนทั่วแล้ว จะมีใครอยากเป็นพันธมิตรกับเขาเพื่อรับมือกับการทดสอบด้วยกันบ้างล่ะ?
พอคิดไปคิดมา คนที่มีเส้นสายและภูมิหลังพอจะสนับสนุนเขาได้บ้างก็มีแค่โค่วเหวินหลาน มาถึงขั้นนี้แล้วก็ไม่ห่วงหน้าตาศักดิ์ศรีอะไรทั้งนั้น เมื่อเทียบศักดิ์ศรีกับชีวิต แน่นอนว่าชีวิตต้องสำคัญกว่า
เขาถึงได้หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับโค่วเหวินหลาน
นิสัยของโค่วเหวินหลานค่อนข้างใช้ได้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ตอบกลับมาว่า : ผู้บัญชาการใหญ่หนิว ทำไมเวลานี้ถึงมาทักทายข้าได้ล่ะ
เหมียวอี้ : ข้าน้อยกำลังจะไปทดสอบที่นรกขอรับ
ทางโค่วเหวินหลานชะงักไปครู่หนึ่ง : เจ้าต้องคิดถึงผลลัพธ์ของการไปทดสอบที่นรกให้ดีนะ เจ้าไม่ได้ล่วงเกินคนไว้แค่คนสองคน ลองไตร่ตรองดูใหม่
เหมียวอี้ : ข้าน้อยไม่มีทางเลือก คนที่ข้าน้อยล่วงเกินไว้คงไม่ปล่อยข้าน้อยไปเพียงเพราะข้าน้อยสละตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ ถ้าไม่มียศแม่ทัพเกราะม่วง ไม่มีอำนาจนี้แล้ว ก็มีแต่จะทำให้พวกเขาลงมือกับข้าน้อยสะดวกกว่าเดิม
โค่วเหวินหลาน : ถ้ารู้แบบนี้แล้ว ตอนแรกจะทำทำไม! ตอนนี้เจ้าติดต่อข้าเพราะเรื่องการทดสอบเหรอ?
เหมียวอี้ : คาดว่าคนของอ๋องสวรรค์โค่วคงมาเข้าร่วมการทดสอบไม่น้อย หนิวโหย่วเต๋อมาขอร้อง อยากจะเป็นพันธมิตรกับพวกเขา แม่ทัพภาคโค่วได้โปรดเห็นแก่ไมตรีเก่าๆ ช่วยบอกให้ข้าหน่อย
ทางโค่วเหวินหลานลังเลอยู่นานมาก ก่อนจะบอกว่า : หนิวโหย่วเต๋อ นี่เจ้ากำลังทำให้ข้าลำบากใจนะ! ถ้าคนอื่นจะลงมือกับเจ้า แต่ฝ่ายข้าจะปกป้องเจ้า แบบนั้นจะต้องเกิดความขัดแย้งกันแน่นอน ถ้าตระกูลโค่วตระกูลเดียวสู้กับอีกหลายตระกูล ทั้งยังอยู่ในนรกอีก ชัดเจนมากว่าเป็นเรื่องที่เสียเปรียบ เจ้าจะให้ตระกูลโค่วเสียสละมากขนาดนั้นเพื่อเจ้าคนเดียวเหรอ?
เหมียวอี้ผิดหวังนิดหน่อย แต่คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายพูดถูก ตัวเองคิดมากไปจริงๆ จึงตอบไปว่า : แม่ทัพภาคโค่วไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ ไม่ได้ก็ช่างเถิด
เพียงแต่โค่วเหวินหลานบอกอีกว่า : ถ้าให้เป็นพันธมิตรกับเจ้า ตระกูลโค่วตอบตกลงไม่ได้แน่นอน แต่ถ้าจะให้คนของตระกูลโค่วไม่แตะต้องเจ้า แบบนั้นก็ยังพอได้ เอาแบบนี้แล้วกัน ข้าจะให้ท่านลุงใหญ่ของข้าช่วยพูดให้ ให้กำลังพลสายระกา สายจอ สายกุนที่เข้าร่วมการทดสอบไม่กลั่นแกล้งเจ้า ส่วนอีกเก้าสายข้าก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว เจ้าทำได้เพียงรับมือเอาเอง นอกจากนี้ การทดสอบครั้งนี้เกี่ยวข้องกับตำแหน่งที่ตลาดสวรรค์ไม่น้อยเลย โค่วเหวินชิงพี่หญิงห้าของข้า เมื่อการทดสอบครั้งก่อนเจ้าก็เคยเจอมาแล้ว ครั้งนี้นางยังเป็นที่ปรึกษาของการทดสอบเหมือนเดิม ข้าจะบอกให้นางดูแลเจ้าสักหน่อย จะได้ไม่มีคนกลั่นแกล้งเจ้าก่อนที่การทดสอบจะเริ่มขึ้น หนิวโหย่วเต๋อ สิ่งที่ข้าทำได้มีเพียงเท่านี้แหละ!
มีเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว อย่างน้อยก็ลดภัยคุกคามจากกำลังพลไปแล้วสามสาย กำลังพลสามสายนี้ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เป็นกำลังพลใต้บังคับบัญชาของจอมพลเชียวนะ! จึงกล่าวขอบคุณทันที : บุญคุณอันยิ่งใกญ่ กล่าวขอบคุณคงไม่พอ หากมีโอกาสหนิวโหย่วเต๋อจะตอบแทนอย่างดี!
โค่วเหวินหลานกล่าวว่า : จะตอบแทนหรือไม่ตอบแทนก็ช่างเถอะ ในปีนั้นข้าผิดคำพูด พาเจ้าไปด้วยกันไม่ได้ ถึงได้ทำให้เจ้าอับจนหนทาง ข้าช่วยเจ้าได้เพียงเท่านี้ เจ้ารักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีก็แล้วกัน!
สำหรับเหมียวอี้แล้ว ภายใต้สถานการณ์ที่โดดเดี่ยวไร้ความช่วยเหลือ ในที่สุดก็หาคนปลอบใจได้บ้างแล้ว
เมื่อไปที่นรกแล้ว ย่อมมีคนอยู่จำนวนหนึ่งที่เขาจะไม่ปล่อยผ่าน คนที่หลบหนีการไล่ฆ่าจากนักพรตพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพได้ ทั้งยังรอดชีวิตอยู่ในนรกจนกระทั่งวันนี้ เขาจะปล่อยผ่านคนพวกนี้ไปได้อย่างไร
เหมียวอี้นำระฆังดาราออกมาติดต่ออวิ๋นอ้าวเทียน : ข้ากำลังจะไปเข้าร่วมการทดสอบที่นรกแล้ว ระบุสถานที่เจอกันเถอะ!
ในถ้ำใต้ดินแห่งหนึ่งที่นรก อวิ๋นอ้าวเทียนที่ติดต่อเหมียวอี้เสร็จแล้วพลันผิวปาก เสียงดังก้องออกไปนอกถ้ำ
ผ่านไปไม่นาน พวกมู่ฝานจวินก็แวบเข้ามา อวิ๋นอ้าวเทียนมองพวกเขาพร้อมบอกว่า “เหมียวอี้จะเข้าร่วมการทดสอบแล้ว”
“เขาบอกว่าจะไม่มาไม่ใช่เหรอ?” ฉางเหลยงุนงง
อวิ๋นอ้าวเทียนเล่าเรื่องที่เพิ่งติดต่อกับเหมียวอี้เมื่อครู่นี้ให้ฟังทันที
หลังจากได้ฟัง จีฮวนก็เงยหน้าหัวเราะลั่น “เทพพยากรณ์สมกับเป็นเทพพยากรณ์จริงๆ เหมียวอี้จะรอดพ้นจากคำทำนายอันแม่นยำของเขาได้อย่างไร บัญชาสวรรค์ยากจะฝ่าฝืน!”
พวกเขาสบตากัน แล้วก็ยิ้มออกมาอย่างเข้าใจ คำทำนายของเทพพยากรณ์ขังพวกเขาไว้ที่นี่หลายปี อดทนผ่านไปปีแล้วปีเล่า พวกเขาค่อนข้างระแวงกลัว ในใจไม่มีความมั่นใจเลยสักนิด ไม่รู้ว่ามันจะจบลงเมื่อไร ตอนนี้ค่อยยังชั่วหน่อย ในที่สุดสถานการณ์ก็กลับมาอยู่บนวงโคจรคำทำนายของเทพพยากรณ์แล้ว รออย่างเงียบๆ อยู่ในกรงก็ไม่เลวเหมือนกัน!
ตอนนี้พวกเขากำลังเฝ้ารอประโยคหลังมาก ยามหกคนพบกันอีกครั้ง สถานการณ์จะพลิกผัน!
เวลาไม่คอยใคร ชั่วพริบตาเดียวเวลารวมตัวก่อนการทดสอบก็มาถึงแล้ว
ในคืนก่อนจะออกเดินทาง เหมียวอี้ไปค้างคืนกับอวิ๋นจือชิว
ในคืนนั้นเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์พบว่าฮูหยินวิ่งออกมาบ้วนปากอีกแล้ว ฮูหยินที่มีเสน่ห์เย้ายวนใจสภาพสะบักสะบอมมาก ครั้งก่อนทั้งสองมีประสบการณ์แล้ว จึงไม่ไปรบกวนอีก
วันต่อมา หลังจากสองสามีภรรยาออกมาจากห้องนอน ก็กอดกันแน่นซ้ำแล้วซ้ำอีก เงียบงันไม่พูดอะไรอยู่นานมาก
สุดท้ายก็ยังเป็นอวิ๋นจือชิวที่ฝืนยิ้มพลางผลักเหมียวอี้ออก ใช้ดวงตางามจ้องเขาอย่างลึกซึ้ง เพียงกำชับเบาๆ ว่า “ระวังตัวหน่อยนะ”
“อืม! ไม่ต้องเป็นห่วง ไปประเดี๋ยวเดียวเดี๋ยวก็กลับ ไม่ตายหรอก!” เหมียวอี้ปล่อยนาง แล้วหันตัวไปมองเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ว่า “ตอนที่ข้าไม่อยู่ พวกเจ้าสองคนต้องดูแลฮูหยินให้ดีนะ ไม่อย่างนั้นข้าจะมาเอาเรื่องพวกเจ้า!”
“เจ้าค่ะ!” สองสาวย่อตัวเอ่ยรับ
ไมได้พูดอะไรมากอีก เหมียวอี้ก้าวเท้ายาวเดินออกไป หายออกไปจากประตูชัยภูมิถ้ำสวรรค์
อวิ๋นจือชิวไม่ได้ไปส่ง เหมียวอี้ไม่อยากเห็นการจากลาชั่วนิรันดร์ และกำชับอนุภรรยาคนอื่นด้วยว่าไม่ต้องไปส่ง ถ้าจะไปเดี๋ยวก็ไป ถ้าจะกลับเดี๋ยวก็กลับ ทุกคนทำตามเจตนาของเขา
ขณะมองเงาร่างของเหมียวอี้คล้อยหลังไป ในดวงตาอาลัยอาวรณ์ของอวิ๋นจือชิวก็เริ่มฉายแววเศร้าโศก นางเงยหน้ามองฟ้า พร้อมกัดฟันพูดว่า “เขาเป็นคนที่มีอำนาจชี้เป็นชี้ตาย แต่เราสองสามีภรรยาเป็นเนื้อบนเขียง เล็กน้อยราวกับมด ควบคุมความเป็นความตายของตัวเองไม่ได้! ข้าอวิ๋นจือชิวขอสาบานต่อฟ้า ต้องมีสักวันที่พวกเราสองสามีภรรยาจะเหยียบให้สรรพสิ่งในใต้หล้าอยู่ใต้เท้า ไม่มีวันโดนกดขี่อยู่อย่างนี้ไปตลอด!”
เปรี้ยง! จู่ๆ ก็มีเสียงฟ้าผ่าดังอยู่บนฟ้า คนในตลาดสวรรค์พากันเงยหน้ามอง ฝนตกแล้ว!
หลังจากเหมียวอี้โผล่ออกมาจากทางใต้ดิน ก็พบว่าฝนตกแล้วเช่นกัน เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า แล้วหันกลับมามองเฮยทั่นที่นอนงีบอยู่ใต้ชายคา เรียกเบาๆ ว่า “โจรอ้วน!”
หลังจากสัปหงกอยู่พักหนึ่ง เฮยทั่นก็ลืมตาข้างเดียวมองดู จากนั้นก็ลืมตาสองข้างพร้อมกัน แล้วกระโจนตัวไปอยู่ข้างกายเหมียวอี้ ก้มหน้าพ่นลมหายใจใส่เขา
เหมียวอี้ชูมือขึ้นลูบคางมัน แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เจ้าโจรอ้วน เราไม่ได้ออกสนามรบด้วยกันมานานมากแล้ว ยินดีจะติดตามข้าไปออกศึกอีกครั้งมั้ย!”
เฮยทั่นทำสายตาตกใจนิดหน่อย จากนั้นดวงตาก็ฉายแววร้อนรนทนรอไม่ไหว สั่นหัวส่ายหน้าเดินวนรอบเหมียวอี้อย่างรวดเร็ว บนผิวดินมีรอยกรงเล็บลึกหลายรอย
มันอยู่อย่างเงียบสงบมานานเกินไป นานแล้วที่ไม่ได้วิ่งตะบึงอยู่ท่ามกลางเลือดสาดกระจาย ท่ามกลางเสียงสังหารสะท้านฟ้า ท่ามกลางพลังอิทธิฤทธิ์ที่โหมซัดสาด มันคิดถึงตอนที่ตัวเองยอดเยี่ยมไร้ที่เปรียบอยู่บนสนามรบ ท่ามกลางหัวคนที่ปลิวว่อน ท่ามกลางเลือดสดที่สาดกระเซ็น เหยียบย่ำเศษแขนซากขา ฝ่าพันธนาการของพลังอิทธิฤทธิ์ แสดงพลังของตัวเองออกมา ฉากพวกนั้นทำให้มันเลือดเดือดพล่าน!
“อ๋าว…” เฮยทั่นที่วิ่งวนรอบๆ พลันหยุดเท้า ดวงตาสิงโตสีแดงเลือดเบิกกว้าง เงยหน้ามองฟ้าครึ้มพลางคำรามอย่างเกรี้ยวกราดอยู่ท่ามกลางสายฝน
ต้นไม้ใบหญ้าในลานบ้านสั่นไหว เสียงดังสะเทือนทั้งตำหนักคุ้มเมือง แม้แต่คนที่เดินไปมาอยู่นอกตำหนักคุ้มเมืองก็พากันหันกลับมามองที่ตำหนักคุ้มเมือง
…………………………
บทที่ 1192 สมคบคิด
โดย
Ink Stone_Fantasy
ท่ามกลางเสียงคำรามที่สะเทือนหู เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ ก่อนจะโบกมือเก็บเฮยทั่นเข้ากระเป๋าสัตว์ แล้วหันไปมองเป่าเหลียนที่โผล่หน้าออกมาจากประตูพระจันทร์เพราะได้ยินเสียงคำรามของเฮยทั่น เขาเอามือไขว้หลังเดินเข้าไปพร้อมถามว่า “พวกฝูชิงมาแล้วหรือยัง?”
เป่าเหลียนรีบเดินเข้าไป ขณะที่เดินตามหลังเขาก็ตอบว่า “กำลังรออยู่ในโถงหลักค่ะ”
เหมียวอี้ตอบ “อืม” คำเดียว แล้วเดินไปข้างหน้าต่อ แต่เป่าเหลียนกลับอดไม่ได้ที่จะถามว่า “นายท่านกำลังจะไปเข้าร่วมการทดสอบหรือคะ?”
“เจ้าคิดว่าไงล่ะ?”
“นายท่านได้โปรดไตร่ตรองให้ดี”
“ไม่มีอะไรน่าไตร่ตรอง ไปประเดี๋ยวเดียวเดี๋ยวก็กลับ ตอนที่ข้าไม่อยู่ เจ้าก็พยายามเพิ่มวรยุทธ์ของตัวเอง รอข้ากลับมาเลื่อนขั้นขุนนางให้เจ้า!”
เป่าเหลียนอึกอักเหมือนอยากพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ติดตามอยู่ข้างกายเหมียวอี้มานานขนาดนี้ นางคุ้นชินกับคำพูดที่มีน้ำหนักและน่าเชื่อถือของเหมียวอี้แล้ว
“คำนับผู้บัญชาการใหญ่!”
พอเหมียวอี้โผล่หน้าเข้ามาในโถงหลัก ฝูชิง อิงอู๋ตี๋ สวีถังหราน มู่หรงซิงหัวก็คำนับพร้อมกัน นอกจากนี้ยังมีอีกคนหนึ่ง นั่นก็คือซูลี่ ลูกน้องของสวีถังหราน!
ซูลี่ค่อนข้างประหม่าอย่างเห็นได้ชัด
เหมียวอี้ยกมือบอกใบ้ว่าไม่ต้องมากพิธี สายตาไปหยุดอยู่บนตัวซูลี่พร้อมถามว่า “เจ้าคือซูลี่เหรอ?”
สายตาของคนอื่นๆ หันมองตาม โดยเฉพาะมู่หรงซิงหัว
“ข้าน้อยคือซูลี่ขอรับ!” ซูลี่ตอบอย่างประหม่ากังวล
เหมียวอี้ยิ้มบางๆ พลางพยักหน้า จากนั้นก็บอกอีกสี่คนว่า “ระหว่างที่ข้าไม่อยู่เพราะไปเข้าร่วมการทดสอบ ทุกคนก็ดูแลอาณาเขตของตัวเองให้ดี เรื่องทุกอย่างของตลาดสวรรค์ให้พวกเจ้าสี่คนปรึกษากันและตัดสินใจ ถ้าตัดสินใจไม่ได้ ก็รายงานขึ้นไปที่จวนแม่ทัพภาคตงหัว”
“รับทราบ!” ฝูชิง อิงอู๋ตี๋และสวีถังหรานเอ่ยรับ
ส่วนมู่หรงซิงหัวก็พลันเหลือบตามองเหมียวอี้ ไม่นับว่าตกตะลึงอะไร มีลางสังหรณ์ตั้งแต่แรกแล้ว แล้วก็เอียงหน้าช้าๆ มองเพื่อนร่วมตำแหน่งอีกสามคนที่เอ่ยรับเป็นเสียงเดียวกันอย่างไม่ประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าสามคนนี้รู้อะไรบางอย่างตั้งแต่แรกแล้ว
ที่จริงนางก็ตระหนักถึงปัญหาอะไรบางอย่างแล้วเช่นกัน หลังจากการกระทำของเฉาว่านเสียงที่จวนแม่ทัพภาคตงหัวครั้งก่อน นางก็รู้สึกได้ว่าเหมียวอี้รักษาระยะห่างกับนาง มักจะเรียกผู้บัญชาการอีกสามคนโดยไม่มีนาง
“ไม่มีอะไรจะพูดแล้วเหมือนกัน เอาอย่างนี้เถอะ ซูลี่ เราต้องร่วมทางกันพอดี ไปด้วยกันเถอะ!” เหมียวอี้พูดทิ้งท้าย แล้วเดินก้าวยาวผ่านพวกเขาออกไป ส่วนซูลี่ก็เอ่ยรับแล้วตามหลังเขาไป
คนอื่นๆ ก็รีบตามไปเช่นกัน สวีถังหรานกำชับซูลี่ว่า “ซูลี่ ครั้งนี้ดูแลนายท่านให้ดี ถ้าประมาทเลินเล่อข้าจะเอาเรื่องเจ้า”
“ขอรับ!” ซูลี่เอ่ยรับ
พวกเขาเดินตามมาส่งเหมียวอี้ตลอดทางจนออกนอกตำหนักคุ้มเมือง แล้วกุมหมัดคารวะน้อมส่ง มองตามเหมียวอี้นำซูลี่เหาะไปทางประตูเมือง
จนกระทั่งเงาคนหายไป พวกเขาถึงได้สบตากันแล้วต่างคนต่างถอนหายใจ จู่ๆ ก็ได้ยินมู่หรงซิงหัวแสยะยิ้มถามว่า “พวกเจ้าสามคนรู้ตั้งแต่แรกแล้วใช่มั้ยว่าผู้บัญชาการใหญ่จะไปเข้าร่วมการทดสอบ?”
ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ไม่ตอบอะไร สวีถังหรานหัวเราะแห้งๆ แล้วตอบว่า “ที่จริงก็เพิ่งรู้ได้ไม่นานเหมือนกัน”
“งั้นเหรอ?” มู่หรงซิงหัวพ่นเสียงทางจมูก “ในเมืองมีคนตั้งเดิมพันกันแล้ว เดิมพันว่านายท่านจะไปเข้าร่วมการทดสอบหรือไม่ ข้าได้ยินว่าผู้บัญชาการสวีก็แอบสั่งให้คนเดิมพันไปแล้วไม่น้อย ครั้งนี้คงจะทำกำไรได้ไม่น้อยเลยสิท่า?”
พอได้ยินแบบนั้น ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ก็มองไปที่สวีถังหรานด้วยสายตาเย็นเยียบพร้อมกัน
“…” สวีถังหรานพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็แก้ตัวอย่างลนลานทันที “เจ้าไปฟังใครพูดมา ข้าไม่เคยเลย”
ไม่ให้ร้อนรนคงไม่ได้ ผู้บัญชาการใหญ่ยังไปได้ไม่ไกล สามารถใช้ระฆังดาราเรียกกลับมาได้ทุกเมื่อ แถมผู้บัญชาการใหญ่ยังสามารถปลิดชีพเขาได้ตลอดเวลาด้วย ถ้าให้ผู้บัญชาการใหญ่รู้จะไม่แย่หรอกเหรอ? ที่จริงเขาก็ไม่ได้มีเจตนาอื่น เพียงแต่คิดว่าในเมื่อรู้เหตุการณ์ภายในแล้ว แล้วทำไมจะต้องพลาดโอกาสทำเงินนี้ไปด้วย ถ้าอนาคตน่าเป็นห่วง จะได้มีทุนเก่าเอาไว้ยามนั่งรองานก็เท่านั้นเอง
เรื่องนี้เขาไม่ได้ลงมือเองโดยตรง แต่วางแผนให้หวงเสี้ยวเทียนไปทำ ขนาดทำแบบนี้ยังมีข่าวหลุดได้ แสดงว่าทางหวงเสี้ยวเทียนต้องทำอะไรผิดพลาด
ที่จริงการเดิมพันนี้ไม่ได้จัดที่เขตเมืองเหนือของมู่หรงซิงหัว นางได้ยินมาว่าหวงเสี้ยวเทียนวางเดิมพันแล้วได้เงินก้อนใหญ่ แล้วบังเอิญรู้พอดีว่าหวงเสี้ยวเทียนกับสวีถังหรานรู้จักกัน ถ้าหวงเสี้ยวเทียนไม่ได้ข่าวอะไรที่แน่นอน มีหรือที่จะลงเดิมพันหนักๆ ได้ ดังนั้นนางถึงพูดลองเชิงสักหน่อย เพื่อดูท่าทีของสวีถังหรานและอีกสองคน ปรากฏว่ามีความเป็นไปได้สูงจริงๆ ด้วย
มู่หรงซิงหัวเองก็ไม่ได้มีเจตนาจะทำให้สวีถังหรานลำบาก แค่จะยืนยันให้แน่ใจสักหน่อยเท่านั้นเอง ตอนนี้พิสูจน์ได้แล้วว่าทั้งสามรู้สถานการณ์ตั้งแต่แรก และพิสูจน์แล้วว่าผู้บัญชาการใหญ่ไม่วางใจนางจริงๆ นางก็เข้าใจในฉับพลัน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมากอีก เดินลงบันไดไปแล้ว…
จวนแม่ทัพภาคตงหัว。
จุดรวมตัวอยู่ในศาลานอกจวนแม่ทัพภาค คนที่จัดการเรื่องนี้คือลูกน้องเก่าข้างกายปี้เยว่ฮูหยิน และเป็นอดีตผู้ช่วยของเหมียวอี้เช่นกัน เล่าหนานซงอดีตผู้ช่วยผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน
เมื่อเห็นเหมียวอี้นำซูลี่มารายงานตัว เล่าหนานซงก็ไม่ถือว่าดีใจหรือเสียใจอะไร ในปีนั้นเหมียวอี้ไม่ได้ปฏิบัติต่อเขาอย่างดีหรือว่าร้าย ผลประโยชน์ที่ควรจะได้ก็ได้ครบ เพียงแต่กันเขาออกจากอำนาจ ตั้งเขากับกงอวี่เฟยเอาไว้ในตำแหน่งเฉยๆ ด้วยเหตุนี้จึไม่เห็นว่าเขามีใบหน้ายิ้มอะไรให้
เหมียวอี้อ่านสถานการณ์ออก พอเห็นเขา ก็หยิบแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งดีดมาตรงหน้า แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ผู้การเล่า ไม่เจอกันนานมากแล้ว สบายดีนะ”
เล่าหนานซงถือโอกาสแอบตรวจดูของในแหวนเก็บสมบัติ จากนั้นก็ยิ้มแล้ว กุมหมัดทักทายว่า “ผู้บัญชาการใหญ่มาแล้ว”
เหมียวอี้พยักหน้า “มาลงสมัคร นี่คือผู้บังคับการกองร้อยซูลี่ อยู่ใต้สังกัดเขตเมืองตะวันตก” เหมียวอี้ถือโอกาสแนะนำซูลี่
เล่าหนานซงยิ้มแย้ม แล้วหยิบสมุดรายชื่อออกมา “ผู้บัญชาการใหญ่อย่าถือสานะ ยังต้องแยกงานออกจากเรื่องส่วนตัว ตรวจสอบสถานะ”
“ย่อมต้องทำแบบนี้อยู่แล้ว” เหมียวอี้ยิ้มตอบ
หลังจากเขากับซูลี่หยิบหนังสือรายงานตัวทดสอบส่งให้ แล้วลงตราอิทธิฤทธิ์เทียบกัน พิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่การสวมรอย เล่าหนานซงถึงได้เก็บหนังสือรายงานที่ตรวจสอบรายชื่อแล้ว จากนั้นชี้ไปยังคฤหาสน์ใหญ่ที่เพิ่งสร้างใหม่ตรงตีนเขา “ผู้บัญชาการใหญ่ หลังจากสมาชิกที่เข้าร่วมการทดสอบมารายงานตัวแล้ว ทั้งหมดก็จะเข้าไปพักอยู่ด้วยกัน จะได้ดูแลได้สะดวก ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด แล้วจะอธิบายลำบาก แต่ผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสิบล้วนมีเรือนพักเดี่ยว นี่คือสิ่งที่ท่านแม่ทัพภาคสั่งให้ดูแลพิเศษ กงอวี่เฟยเป็นคนดูแลจัดการคฤหาสน์ชั่วคราว หลังจากผู้บัญชาการใหญ่เข้าพักแล้ว หากมีปัญหาอะไรก็ไปหากงอวี่เฟยได้”
เหมียวอี้หันกลับไปมองคฤหาสน์หลังนั้นพร้อมถามว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ที่เก้าคนลงชื่อสมัครเข้าร่วมหมดเลยเหรอ?”
“ผลลัพธ์จากการไม่ลงสมัครเข้าร่วม ผู้บัญชาการใหญ่เองก็รู้นี่นา นี่เป็นการโดนกดดันจนไม่มีทางเลือกไม่ใช่เหรอ” เล่าหนานซงตอบ
เหมียวอี้ถามอีกว่า “ทางจวนแม่ทัพภาคตงหัวมีคนเข้าร่วมการทดสอบเท่าไร?”
“เกือบสองพันคน มากันเกือบหมด” เล่าหนานซงตอบ
นึกไม่ถึงว่าจะมีคนมากมายขนาดนี้ที่ไม่กลัวตาย! เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วหันกลับมาบอกซูลี่ “เจ้าไปที่เรือนพักของข้าในคฤหาสน์ก่อน ไม่ต้องไปเบียดกับคนอื่น อยู่กับข้าแล้วกัน ข้าจะไปเยี่ยมคารวะแม่ทัพภาค เดี๋ยวค่อยกลับไปหาเจ้า”
“ขอรับ!” ซูลี่เอ่ยรับ
เล่าหนานซงสั่งให้คนคนหนึ่งคุ้มครองซูลี่ไปส่งต่อทันที ขณะเดียวกันก็สั่งให้คนไปรายงานในจวนแม่ทัพภาค
เหมียวอี้รออยู่ครู่เดียว ก็มีคนมาบอกว่าแม่ทัพภาคเชิญให้เข้าพบ ตอนนี้ถึงได้กุมหมัดคารวะเล่าหนานซงแล้วเร่งฝีเท้าเดินออกไป
ในจวน เมื่อเจอปี้เยว่ฮูหยินอีกครั้ง ระหว่างทั้งสองก็มีระยะห่างกันอย่างเห็นได้ชัด ทั้งสองฝ่ายทักทายกันโดยรักษาสถานะเจ้านายกับลูกน้องเอาไว้ ไม่เห็นปี้เยว่ฮูหยินที่เคยเด็ดดอกไม้ส่งให้ท่านขุนนางเหมียวเหมือนในปีนั้นแล้ว ดูเกรงใจขึ้นเยอะ
หลังจากคุยกันได้สักครู่เดียว เหมียวอี้ก็กล่าวขอตัวลา ปี้เยว่ฮูหยินสั่งให้คนออกไปส่งเขาด้วยตัวเอง
พอมาถึงคฤหาสน์ตรงตีนเขา คนที่เดินมาส่งก็ส่งตัวเหมียวอี้ต่อให้หทารยามที่เฝ้าคฤหาสน์ จากนั้นตัวเองก็เดินออกไป
คฤหาสน์ที่สร้างใหม่นี้ ทุกที่ดูใหม่ไปหมด ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือทำได้ค่อนข้างหยาบ แม้แต่ต้นไม้พื้นฐานที่ควรจะมีก็ไม่ได้ปลูก ถึงอย่างไรก็เป็นที่พักชั่วคราวแค่สองเดือนเท่านั้น หลังจากแน่ใจจำนวนคนที่เข้าร่วมการทดสอบแล้ว ก็รีบเร่งสร้างออกมาให้เสร็จ ตอนจุดหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้ายมีคนมาลงชื่อสมัครไม่น้อยเลย
คนที่รับตัวเหมียวอี้คือผู้ช่วยผู้บัญชาการคนหนึ่ง ชื่อว่าหลี่หวนถัง หรือพูดได้อีกอย่างว่าเป็นลูกน้องเก่าของเหมียวอี้ เพียงแต่ตอนแรกอีกฝ่ายประจำอยู่ที่ตำหนักคุ้มเมือง ไม่ได้ถูกควบคุมโดยเหมียวอี้ก็เท่านั้นเอง ตอนนี้ไม่ได้เคารพอะไรเหมียวอี้ ชี้มือส่งๆ ไปยังเรือนพักที่อยู่ในสุดจากเรือนพักสิบหลังที่เรียงแถวกัน “หนิวโหย่วเต๋อ นั่นคือเรือนพักของเจ้า”
ชักสีหน้าใส่ก็ว่าแย่แล้ว ทั้งยังบังอาจเรียกชื่อเขาตรงๆ อีก เหมียวอี้มองหลี่หวนถังหัวจดเท้า แล้วถามว่า “กงอวี่เฟยอยู่ที่ไหน?”
หลี่หวนถังชี้ไปยังพื้นดิน ทำท่าเหมือนไปกินยาผิดมา ไม่มีความแค้นอะไรต่อกัน แต่กลับตะคอกอย่างไม่เกรงใจมากว่า “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าทำความเข้าใจให้ชัดเจนนะว่าที่นี่ที่ไหน ก่อนที่มาที่นี่ ไม่ว่าเมื่อก่อนจะมีฐานะอะไร แต่ตอนนี้อยู่ในฐานะรอการทดสอบ ผู้การกงเป็นคนที่เจ้าอยากจะเจอก็เจอได้งั้นเหรอ?”
เหมียวอี้หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับกงอวี่เฟยทันที ปรากฏว่ากงอวี่เฟยไม่ตอบอะไรเขาเลย จึงเก็บระฆังดาราแล้วมองไปยังกำลังพลเดิมของตำหนักคุ้มเมืองดาวเทียนหยวนที่กำลังทำสีหน้าเยาะเย้ย ยังมีคนอีกมากมายที่เขาไม่รู้จัก คาดว่าสมาชิกที่เข้าร่วมการทดสอบคงโผล่หัวมามองทางนี้กันหมด เหมียวอี้อารมณ์อึมครึมเล็กน้อย
เห็นได้ชัดเจนมาก มีคนอยากจะให้บทเรียนเขา เขาไม่รู้ว่านี่เป็นความคิดของปี้เยว่ฮูหยินหรือเปล่า
“มองอะไรของเจ้า?” หลี่หวนถังตะคอกอีก “หรือว่าคิดจะหนี?”
เหมียวอี้เหลือบมองเขาอย่างเย็นเยียบ ไม่ได้พูดอะไรมากอีก หันตัวเดินไปยังเรือนพักที่อีกฝ่ายชี้บอก ระหว่างนั้นก็เหลียวซ้ายแลขวาตลอดทาง ทำให้แปลกใจว่าซูลี่หายไปไหนแล้ว ทำไมไม่โผล่หน้ามา หรือว่ามีคนรู้ว่าซูลี่เป็นคนของเขา แล้วมีคนทำอะไรซูลี่?
พอนึกถึงตรงนี้ เขาก็กลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับซูลี่ จึงรีบเร่งฝีเท้าเดินไป พอมาถึงเรือนพักหลังนั้น ก็เห็นประตูลานบ้านปิดสนิท จึงผลักเข้าไปโดยตรง ภาพที่ปรากฏสู่สายตาทำให้เหมียวอี้ยืนชะงักอยู่ที่เดิม
ที่จริงเรือนพักก็ไม่ได้ใหญ่โต มีห้องแค่ห้องเดียว เป็นลานบ้านเล็กๆ สำหรับสภาพแวดล้อมแบบนี้ สำหรับการพักชั่วคราวแบบนี้ เป็นไปไม่ได้ที่อีกฝ่ายจะให้ลานบ้านที่หรูหรากับเจ้า คนสองพันกว่าคนมาเบียดอยู่ด้วยกัน แค่มีเรือนเดี่ยวหลังเล็กแยกให้ก็นับว่าไม่แย่แล้ว
แบบนี้ไม่เป็นอะไรเลย ประเด็นสำคัญก็คือในลานบ้านมีคนยืนอยู่สามสิบกว่าคน ในนั้นมีคนรู้จักอยู่ไม่กี่คน ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์อีกเก้าคนของจวนแม่ทัพภาคตงหัวก็อยู่ด้วยเช่นกัน ส่วนซูลี่ก็ยืนอยู่ระหว่างคนพวกนั้น
จางฮั่นฟางเดินเข้ามาพูดกลั้วหัวเราะแล้วว่า “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าเดินมาผิดที่รึเปล่า นี่คือเรือนพักของข้านะ”
คนที่เหลือได้ยินแล้วหัวเราะลั่น เห็นได้ชัดว่ากำลังเล่นอุบายเดียวกับตอนที่อยู่งานเลี้ยง
เหมียวอี้เลิกคิ้วเล็กน้อย ตอนนี้เข้าใจแล้ว เข้าใจว่ากงอวี่เฟยสมคบคิดกับคนกลุ่มนี้ สมคบคิดกันกลั่นแกล้งเขา
ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องนี้ เขาเดินเข้าไปหากลุ่มคน แล้วบอกซูลี่ว่า “ซูลี่ เจ้าไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?”
เห็นได้ชัดว่าซูลี่ค่อนข้างอึดอัด แววตาล่อกแล่ก ไม่กล้าสบตากับเขาตรงๆ ท่าทางเหมือนกินปูนร้อนท้อง
หลิ่วกุ้ยผิงหัวเราะร่า “พี่ซู หรือว่าเจ้ารู้จักผู้บัญชาการใหญ่หนิวคนนี้?” ขณะที่ถามก็ยกมือตบบ่าซูลี่ เหมือนกำลังบอกใบ้อะไรบางอย่าง
ซูลี่กัดฟัน เงยหน้าจ้องเหมียวอี้ตรง พร้อมพูดเสียงดังว่า “จะไม่รู้จักได้ยังไง เป็นหัวหน้าของข้าที่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน เป็นคนเลวทรามต่ำช้า!”
เหมียวอี้หรี่ตาเล็กน้อย สายตาไปตกอยู่ที่มือของหลิ่วกุ้ยผิงบนบ่าของซูลี่ พร้อมบอกว่า “ซูลี่ มานี่ ไม่ต้องกลัวพวกเขาขู่!” เขาคิดว่าซูลี่โดนกดดันและควบคุม จึงพูดแบบบี้ออกมา
ใครจะคิดว่าหลิ่วกุ้ยผิงจะผลักหลังซูลี่ทีหนึ่ง ดันซูลี่ไปข้างหน้า ให้ซูลี่รักษาระยะห่างกับพวกเขา แล้วถามอีกว่า “พี่ซู พวกเราไม่ค่อยรู้จักผู้บัญชาการใหญ่หนิวคนนี้เท่าไรหรอก ทำไมเจ้าบอกว่าเขาเป็นคนเลวทรามต่ำช้าล่ะ?”
…………………………
บทที่ 1193 คนทรยศ
โดย
Ink Stone_Fantasy
เหมียวอี้เดินมาตรงหน้าซูลี่เช่นกัน แล้วเอียงหน้าบอกว่า “พวกเราไปกันเถอะ”
ตอนนี้เขาไม่อยากก่อเรื่อง เส้นสายและภูมิหลังของคนพวกนี้ก็เห็นๆ กันอยู่ ถ้าสู้กันขึ้นมาต่อให้ปี้เยว่ฮูหยินจะไม่ช่วยพวกเขา แต่ก็จะไม่ทำอะไรพวกเขาเหมือนกัน ถ้ามีปี้เยว่ฮูหยินอยู่ด้วย ตนก็ทำอะไรพวกเขาไม่ได้
ถ้าจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ ก็ต้องหาจุดที่สามารถแก้ปัญหาได้ในรวดเดียว ไม่อย่างนั้นคนที่เล่นอยู่ในกติกานี้ก็จะทั้งละโมบทั้งโหดร้าย!
คนพวกนี้ก็ได้รับการบอกใบ้เจตนาจากร้านค้าใหญ่ๆ ที่อยู่เบื้องหลังตั้งแต่แรกแล้วเช่นกัน ว่าไม่อยากให้หนิวโหย่วเต๋อรอดชีวิตกลับมา!
ต่อให้เบื้องหลังจะไม่มีใครบอกใบ้เจตนา แต่ในฐานะที่อยู่ภายใต้เส้นสายต่างๆ การกู้หน้ากลับมาให้เส้นสายที่อยู่เบื้องหลังตัวเองก็ถือเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เหมียวอี้ทำให้ร้านค้าแต่ละร้านเสียหายหนักมาก เสียทั้งฉากหน้าเสียทั้งภายใน พวกเขาย่อมต้องการให้เหมียวอี้เสียหน้าอยู่แล้ว ถ้าสั่งสอนแค่นี้ยังทำไม่ได้ก็ไม่ต้องไปทำอะไรกินแล้วล่ะ หรือว่าเรื่องแบบนี้ยังต้องให้พวกจอมพล เทพประจำดาวเอ่ยปากกำชับด้วยตัวเองว่าให้พวกเจ้าสู้กับตัวละครเล็กๆ? ถ้าต้องทำแบบนั้น การเลี้ยงพวกเจ้าไว้จะมีประโยชน์อะไร? เป็นไปไม่ได้ที่คนใหญ่คนโตจะเอ่ยปากพูดอะไรแบบนี้ เรื่องเล็กๆ ย่อมต้องให้ตัวละครเล็กๆ ไปจัดการ ถ้าให้ตัวละครใหญ่ๆ ลงมือเองจะเป็นการลดฐานะเกินไป ส่วนตัวละครเล็กๆ ก็มีเอาไว้ขับดุนฐานะให้ตัวละครใหญ่ๆ
แต่จนใจที่ไม่สะดวกจะลงมือกับเหมียวอี้ที่นี่ ปี้เยว่ฮูหยินไม่ได้มีไว้ในตำแหน่งเฉยๆ เช่นนั้นก็ทำได้เพียงหาความบันเทิงก่อนล่วงหน้า จึงได้จงใจสร้างความอัปยศให้แบบนี้
ซูลี่กลับเป็นฝ่ายถอยหลังไปเอง เหมือนไม่กล้าอยู่ใกล้กับเหมียวอี้มากเกินไป พอถอยไปอยู่ระหว่างคนกลุ่มนั้นแล้ว ถึงได้บอกว่า “เจ้าบอกให้ข้าไปแล้วข้าต้องไปงั้นเหรอ? หนิวโหย่วเต๋อ ตอนนี้เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นหัวหน้าข้ารึไง? พอมาถึงที่นี่แล้วทุกคนก็เป็นเหมือนกันหมด อยู่ในสถานะรอการทดสอบ ไม่ถึงคราวให้เจ้าเรียกข้าไปนั่นมานี่หรอก!”
“ฮ่าๆๆ…” ทุกคนได้ยินแล้วหัวเราะลั่น
เหมียวอี้ยังคงทำสีหน้าเรียบเฉย แต่แววตาเย็นเยียบลงในทันที ในชั่วพริบตาเดียวก็เข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว จึงจ้องซูลี่อย่างเย็นเยียบ มองจนซูลี่ชาวาบหนังศีรษะ ถึงอย่างไรก็อยู่ที่ตลาดสวรรค์มาหลายปี อำนาจในการข่มเหงของผู้บัญชาการใหญ่หนิวครอบคลุมทั้งตลาดสวรรค์มาโดยตลอด ถึงแม้ตอนนี้จะเป็นเหมือนเสือที่ออกมานอกป่า แต่สำหรับเขาแล้วก็ยังมีอานุภาพหลงเหลืออยู่
แปะๆ! ผู้บัญชาการใหญ่ติงเจ๋อเฉวียนเรียกได้ว่าปรบมือแสดงความยินดี ถามอย่างกลัวว่าใต้หล้าจะไร้เรื่องวุ่นวาย “พี่ซู เมื่อครู่นี้เจ้าบอกว่าผู้บัญชาการใหญ่หนิวเลวทรามต่ำช้า มันเรื่องอะไรกันแน่ล่ะ?”
เมื่อถูกกระตุ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ซูลี่ก็แข็งใจรวบรวมความกล้า ชี้เหมียวอี้พร้อมบอกกับทุกคนว่า “คนคนนี้ใช้อำนาจที่ตำหนักสวรรค์ประทานให้มาแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว กุเรื่องใส่ร้ายร้านค้าใหญ่ๆ ของตลาดสวรรค์ เลื่อนตำแหน่งให้แต่ญาติสนิทมิตรสหาย ทั้งยังใช้อำนาจข่มขู่ผู้หญิงที่มีสามีแล้ว ลามกโลภสมบัติ ชื่อเสียงฉาวโฉ่ที่ดาวเทียนหยวน เรียกได้ว่าทำชั่วสารพัดอย่าง ถ้าแบบนี้ไม่เรียกเลวทรามต่ำช้า แล้วแบบไหนถึงจะเรียกว่าเลวทรามต่ำช้าล่ะ!”
เขารู้ว่าครั้งนี้ได้ล่วงเกินเหมียวอี้อย่างถึงที่สุดแล้ว แต่จะไม่ทำแบบนี้ก็ไม่ได้ ก่อนหน้านี้เขาฟังคำสั่งเหมียวอี้แล้วมาตามหาเรือนพัก พอคนอื่นได้ยินว่าเขาคือคนของเหมียวอี้ ก็ถูกหลี่หวนถังที่อยู่ข้างนอกตำหนิทันที หลังจากมาถึงเรือนพักแล้ว พวกจางฮั่นฟางก็ถามเขาเพียงคำเดียว ว่าจะอยู่กับพวกเขาหรือจะอยู่กับเหมียวอี้
ไม่ต้องพิจารณาอะไรมากเลย บางครั้งคนเราก็ต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริง ซูลี่บอกทันทีว่ายินดีจะติดตามพวกเขา แต่พวกจางฮั่นฟางต้องการให้เขาตัดขาด ต้องการให้เขามอบตัว พิสูจน์ว่าเขาไม่ใช่คนของเหมียวอี้ ดังนั้นจึงเกิดภาพอย่างที่เห็น
เรื่องราวก็เรียบง่ายแบบนี้ เหมียวอี้เองก็เข้าใจการตัดสินใจเลือกของซูลี่ เขาเข้าใจถึงความจนใจของซูลี่ ขนาดเขาเองยังรู้สึกจนใจเลย ซูลี่ไม่อยากรนหาที่ตายมาติดตามเขาก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แต่หลังจากซูลี่พูดแบบนี้ออกมา คุณสมบัติก็ต่างออกไปแล้ว
“ฮ่าๆ…” มีคนไม่น้อยหัวเราะจนตัวโยน ไม่น่าเชื่อว่าหนิวโหย่วเต๋อจะโดนลูกน้องของตัวเองดูหมิ่นต่อหน้าฝูงชน พอเห็นสีหน้าแบบนั้นของหนิวโหย่วเต๋อ ก็รู้สึกว่าน่าขำจริงๆ
ท่ามกลางเสียงหัวเราะของกลุ่มคน เหมียวอี้จ้องซูลี่พร้อมบอกว่า “ซูลี่ ถ้าเจ้าอยากจะต่อสู้เพื่ออนาคต ข้าก็ไม่ขัดขวางเจ้าหรอก เจ้ากลัวว่าข้าจะทำให้เจ้าลำบากไปด้วย ข้าก็ไม่โทษเจ้าเช่นกัน แต่มีอยู่คำหนึ่งที่เจ้าต้องจำไว้ให้ดี ข้าไม่ถือสาที่คนเรามีปณิธานต่างกัน แต่ถ้าเป็นคนทรยศ ถ้าไม่ปล่อยไปเด็ดขาด!”
ซูลี่รู้สึกกินปูนร้อนท้อง หันมองซ้ายมองขวา
ฮูหยินของหัวหน้าภาคบางคน ผู้บัญชาการใหญ่เหยียนซู่ยืนขึ้นกล่าวว่า “หนิวโหย่วเต๋อ ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะมาขู่กันได้อย่างป่าเถื่อน ไม่ปล่อยไปเหรอ? ยังไม่รู้เลยว่าใครจะไม่ปล่อยใครกันแน่!”
เหมียวอี้ไม่แก้ตัวกับนาง ยื่นนิ้วชี้ไปที่ซูลี่อย่างจริงจัง เขาไม่ได้พูดอะไรอีก พลันหันตัวเดินจากไปแล้ว
พอออกมาจากเรือนพัก ก็เดินไปหาเรือนพักทีละห้อง ผลักประตูลานบ้านเข้าไปทีละหลัง
ผลปรากฏว่าเป็นอย่างที่คาดไว้ คนที่ตามดูเอาสนุกอยู่ข้างหลังเล่นงานเขาจริงๆ เรือนพักสิบหลังที่จัดไว้ให้ผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ทั้งสิบถูกครอบครองไว้หมดแล้ว
เหมียวอี้ขี้เกียจจะเถียงกับพวกเขา หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับปี้เยว่ฮูหยิน ถามไปตรงๆ ว่า : ฮูหยินต้องการจะเล่นงานข้าน้อยให้ตายเลยใช่มั้ย?
เขาไม่ได้มาฟ้องปี้เยว่ฮูหยินให้ช่วยเหลือ แค่อยากจะแน่ใจสักหน่อยว่าคนพวกนี้มีปี้เยว่ฮูหยินคอยอนุญาตอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า
ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ ข้างล่างมีคนกลุ่มนี้ก่อกวน ข้างบนมีปี้เยว่ฮูหยินอนุญาต เขาก็เลิกคิดได้เลยว่าจะเข้าร่วมการทดสอบอย่างราบรื่น ถ้าถูกกดดันจนหมดหนทางจริงๆ เขาก็ไม่ต้องพิจารณาอีกแล้ว ว่าถ้ามีเรื่องกับปี้เย่วฮูหยินแล้วจะอยู่ทำมาหากินที่ดาวเทียนหยวนต่อได้อย่างไร ย่อมต้องแตกหักกับปี้เยว่ฮูหยินโดยไม่สนใจอะไรแล้ว เช่นนั้นเขาก็ทำได้เพียงติดต่อกับเกาก้วน ทูตขวาตรวจการของตำหนักสวรรค์โดยตรง ฟ้องร้องต่อฝ่ายตรวจการของตำหนักสวรรค์!
ปี้เยว่ฮูหยิน : ทำไมผู้บัญชาการใหญ่หนิวถามแบบนี้?
เหมียวอี้ถาม : แล้วทำไมในเขตคฤหาสน์รวมพลก่อนการทดสอบแห่งนี้ คนคุมกับทุกคนถึงร่วมมือกัน แม้แต่ที่ยืนก็ไม่เหลือให้ข้าน้อยเลย?
ปี้เยว่ฮูหยิน : มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ? รอก่อน
ผ่านไปไม่นาน ปี้เยว่ฮูหยินก็นำหลันเซียงและคนอื่นๆ เหาะลงมาจากฟ้า มาเหยียบลงตรงหน้าเหมียวอี้ แค่นางมองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเหมียวอี้มีเรื่องกับคนพวกนี้ พอจะเข้าใจคร่าวๆ แล้ว ชั่วพริบตานี้ในใจนางเดือดดาลนิดหน่อย นางคิดว่าต่อให้พวกเจ้าจะเล่นงานหนิวโหย่วเต๋อ แต่ก็ต้องรอให้ข้าส่งตัวเขาไปก่อนสิ ถึงตอนนั้นถ้าพวกเจ้าจะเล่นงานอย่างไรก็ไม่เกี่ยวกับข้าแล้ว ถ้าก่อเรื่องตอนนี้แล้วรู้ไปถึงหูราชินีสวรรค์ ถ้าการทดสอบครั้งแรกที่ราชินีสวรรค์จัดตั้งเองเกิดปัญหาที่อาณาเขตข้า แล้วจะให้ราชินีสวรรค์มองข้าอย่างไร?
ท่านโหวเทียนหยวนสั่งนางมาแล้ว ว่านี่เป็นครั้งแรกที่ราชินีสวรรค์มีอำนาจนอกวังหลัง จะต้องปฎิบัติอย่างจริงจัง ไม่อย่างนั้นราชินีสวรรค์ก็อาจจะไม่เสียดายที่จะเชือดไก่ให้ลิงดู!
จางฮั่นฟางและคนอื่นๆ พากันหดหัว นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะเรียกปี้เยว่ฮูหยินออกมาโดยตรง ตอนอยู่งานเลี้ยงที่จวนแม่ทัพภาคตงหัวในปีนั้น ก็ไม่เห็นว่าเหมียวอี้จะกล้าเถียงอะไรเลย ตอนนี้พวกเขาหันตัวเงียบๆ อยากจะหนีไป ซูลี่ก็ตกใจเช่นกัน
“หยุดนะ!” ปี้เยว่ฮูหยินตะคอกเสียงเข้ม ตะคอกหยุดทุกคน แล้วถามอย่างเย็นเยียบว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
เหมียวอี้ตอบตรงๆ อย่างไม่กังวลว่า “คนพวกนี้ครอบครองเรือนพักทุกหลังไปหมดแล้วขอรับ ข้าน้อยไม่มีที่อยู่”
“อย่ามาใส่ร้ายป้ายสี ใครบอกว่าพวกเราครอบเรือนพักไปหมด เจ้ามีพยานหลักฐานรึเปล่า?” ซางหรูเยว่ถาม
“พยานบุคคลก็อยู่ฝ่ายเจ้าหมดแล้วไง” เหมียวอี้ตอบเสียงเรียบ
“งั้นก็แปลว่าไม่มี…”
“หุบปากให้หมด ไม่เห็นหัวข้าเลยรึไง?” หลังจากปี้เยว่ฮูหยินพูดตัดบท ก็หันมองรอบๆ พร้อมร่ายอิทธิฤทธิ์ตะคอกอีกครั้ง “กงอวี่เฟย!”
พอเสียงดังออกไป เงากระโปรงเงาหนึ่งก็แฉลบเข้ามา กงอวี่เฟยโผล่ออกมาจากไหนก็ไม่รู้ นางคำนับอย่างยำเกรง “ฮูหยิน!”
“เจ้าดูแลงานแบบนี้น่ะเหรอ?” ปี้เยว่ฮูหยินตะคอกถามตรงนั้นทันที
กงอวี่เฟยเหลือบมองพวกจางฮั่นฟางแวบหนึ่ง แล้วแข็งใจตอบว่า “ไม่ทราบว่าเรื่องอะไร ฮูหยินได้โปรดชี้แนะสักหน่อย!”
ปี้เยว่ฮูหยินจ้องนางอย่างเย็นเยียบ แต่สุดท้ายก็ยังพูดวางมาดพอเป็นพิธีเท่านั้น “จัดหาที่พักให้ผู้บัญชาการใหญ่หนิวเดี๋ยวนี้ ถ้าเกิดเหตุอะไรอีกข้าจะเอาเรื่องเจ้า!”
“รับทราบ!” กงอวี่เฟยเอ่ยรับคำสั่ง
“แล้วก็พวกเจ้าอีก!” ปี้เยว่ฮูหยินโบกมือชี้คนกลุ่มนั้น “ถ้ากล้าก่อเรื่องอีก อย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้า!” พูดจบก็หันไปมองเหมียวอี้แวบหนึ่ง แล้วสะบัดแขนเสื้อนำคนเหาะกลับไปทันที
เหมียวอี้หรี่ตาจ้องเงาร่างของนางที่หายไปในจวนแม่ทัพภาคบนยอดเขา เขาเข้าใจแล้ว ปี้เยว่ฮูหยินไม่แม้แต่จะซักถามคนพวกนี้เลย ด้วยท่าทีแบบนี้ ก็แสดงออกชัดเจนแล้วว่าปี้เยว่ฮูหยินยังเข้าข้างคนพวกนั้น แต่ก็มองออกเช่นกัน ว่าปี้เยว่ฮูหยินไม่อยากให้สมาชิกที่เข้าร่วมทดสอบเกิดเรื่องขึ้นก่อนจะถูกส่งตัวออกไป ไม่อย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าเขาเลย
“ผู้บัญชาการใหญ่หนิว เชิญเถอะ!” จู่ๆ กงอวี่เฟยก็ยื่นมือเชิญอย่างไม่เกรงใจ
เหมียวอี้มองเห็นความเคียดแค้นในแววตาของนาง ตอนนี้ยังทำอะไรนางไม่ได้ ทำได้เพียงจดจำบัญชีนี้ไว้ก่อน เขาเดิมตามนางไป โดยที่ข้างหลังมีเสียงเยาะเย้ยถากถางดังตามมาเป็นแถบ
เรือนพักยังคงเป็นเรือนพักหลังเดิมเหมือนกับตอนแรก ตอนนี้ไม่มีใครกล้าวิ่งเข้ามาพูดแล้วว่าเรือนพักหลังนี้มีเจ้าของ ถึงอย่างไรเมื่อครู่นี้ปี้เยว่ฮูหยินก็ออกหน้าเอง ผู้บัญชาการใหญ่พวกนั้นไม่กล้ามีเรื่องกับปี้เยว่ฮูหยินเช่นกัน ในภายหลังยังต้องทำมาหากินอยู่ภายใต้ท่านโหวเทียนหยวนอีก
ที่พวกเขาไปเข้าร่วมการทดสอบ ไม่ใช่เพราะจะวิ่งเข้าไปเสียงอันตราย แต่ทำไปเพื่อรับมือกับการทดสอบล้วนๆ พอเข้าไปในนรกแล้วก็ต้องหาที่ซ่อนตัว รอให้การทดสอบจบแล้วค่อยกลับมาอีกที จะมีผลงานหรือไม่มีผลงานก็ไม่สำคัญ พวกเขาไม่เคยคิดอยู่แล้วว่าจะต้องรักษาตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์เอาไว้ การปกป้องชีวิตต่างหากที่สำคัญ พวกเขาเองก็ถูกกดดันจนหมดหนทางเช่นกัน ถ้าไม่เข้าร่วมการทดสอบ ก็จะถูกลดขั้นให้ไปเป็นพวกเทพแห่งผืนดิน ผีหลักเมืองตั้งหนึ่งหมื่นปี! พวกเทพแห่งผืนดิน ผีหลักเมืองได้ค่าตอบแทนแค่นิดเดียว ไม่พอให้เป็นเศษเงินสำหรับใช้ในชีวิตประจำวันของพวกเขาด้วยซ้ำ ถ้าอาศัยค่าตอบแทนเล็กน้อยนั่นประทังชีวิตหนึ่งหมื่นปี ก็จะต้องขาดแคลนทรัพยากรฝึกตนจำนวนมาก นี่ไม่ใช่แค่ปีสองปี แต่เป็นหนึ่งหมื่นปี โหดเกินไปแล้ว ต่อให้มีภูมิหลังเส้นสาย แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องจัดหาทรัพยากรฝึกตนมาเติมให้เจ้าโดยสูญเปล่าเป็นเวลาหนึ่งหมื่นปี ภายใต้ความจนใจ จึงทำได้เพียงไปอยู่ที่นรกสักหนึ่งร้อยปี พอออกจากนรกไปแล้ว ต่อให้จะไม่ได้เป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์อีก แต่อย่างน้อยก็ยังย้ายไปเป็นผู้บัญชาการใหญ่ที่อื่นได้ เพียงแต่ทรัพยากรลดลงก็เท่านั้นเอง สามารถเลี้ยงชีพได้อย่างไม่มีปัญหา นี่ก็คือข้อดีของการมีภูมิหลังเส้นสาย
คนอื่นๆ ที่ลงชื่อสมัครย่อมไม่ได้โชคดีแบบนี้ สาเหตุที่พวกเขาลงชื่อสมัครเข้าร่วมการทดสอบ ก็เพราะต้องการจะฝ่าฟันเพื่ออนาคต คนที่ไปเดิมพันในนรก ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกทะเยอะทะยานที่กลุ้มใจเพราะไม่มีโอกาสได้แสดงความสามารถ
นี่ก็คือจุดที่เหมียวอี้ชอบ หลังจากได้ที่พักแล้ว เขาก็เดินไปทั่วเพื่อหาพรรคพวก หวังว่าจะสร้างพันธมิตรมาปกป้องตัวเองเหมือนตอนอยู่การปราบจลาจลทะเลดาวนักษัตร ทว่าการทดสอบครั้งนี้ต่างจากการปราบจลาจลทะเลดาวนักษัตร และต่างจากการทดสอบของตำหนักสวรรค์ครั้งก่อนด้วย เพราะครั้งนี้ไม่ได้มีเป้าหมายเป็นการเข่นฆ่ากัน แค่ให้ไปสืบสถานการณ์ในนรกเฉยๆ ถ้าใครอยากจะเป็นพันธมิตรกับผู้บัญชาการใหญ่หนิวโหย่วเต๋อผู้โด่งดัง ก็แสดงว่าอยู่ดีไม่ว่าดี แกว่งเท้าหาเสี้ยนแล้ว
แค่คิดก็รู้ถึงผลลัพธ์แล้ว ท่านขุนนางเหมียวไม่มีพันธมิตรสักคน นอกจากทุกคนหลบหนีให้ห่างเขาแล้ว ยังได้ยินคำพูดเยาะเย้ยถากถางไม่น้อยด้วย เพราะพวกเขาโดนพวกจางฮั่นฟางดึงไปเป็นพวกตั้งนานแล้ว พวกเขาไม่ต้องไว้หน้าเหมียวอี้ก็ได้ แต่ยังต้องไว้หน้าพวกจางฮั่นฟาง พวกเขาไปนรกเพื่อเสี่ยงอันตรายไม่ใช่เพื่อเอาชีวิตไปทิ้ง แต่ละคนล้วนกอดความหวังที่จะมีชีวิตกลับมา หลังจากกลับมาแล้ว ไม่ว่าจะยังได้อยู่ที่ตลาดสวรรค์หรือไม่ แต่อย่างน้อยก็ยังได้ทำงานเป็นขุนนางของตำหนักสวรรค์ พวกแม่ทัพภาค หัวหน้าภาค หัวหน้าภาคใหญ่อะไรที่อยู่เบื้องบนก็ยังเป็นคนของผู้มีอำนาจพวกนั้นไม่ใช่เหรอ
ที่เรียกว่าปรับปรุงตลาดสวรรค์อะไรนั่น ในสายตาของสมาชิกทั่วไปที่เข้าร่วมการทดสอบ นี่คือการเปลี่ยนน้ำแกงโดยไม่เปลี่ยนยา[1]แท้ๆ เลย พวกเขาแค่อยากจะฉวยโอกาสครั้งนี้ให้ตัวเองไต่เต้าเท่านั้น
…………………………
[1] เปลี่ยนน้ำแกงโดยไม่เปลี่ยนยา 换汤不换药 อุปมาว่าเปลี่ยนรูปแบบแต่ไม่เปลี่ยนเนื้อหา
บทที่ 1194 วิสัยทัศน์แคบ
โดย
Ink Stone_Fantasy
สำหรับผลลัพธ์นี้ เหมียวอี้เตรียมใจไว้ตั้งแต่แรกแล้ว หลังจากโดนซูลี่ทรยศหักหลัง เขาก็เตรียมพร้อมทางด้านสภาพจิตใจไว้แล้ว
แบบนี้เรียกว่ารู้อยู่แก่ใจแต่ยังดึงดัน การยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่ลองไม่ใช่ลักษณะของเขา อย่างน้อยก็กอดความหวังเอาไว้นิดหน่อย ต่อให้หาเจอแค่คนเดียว เขาก็เชื่อว่าจะสามารถหาได้อีกหนึ่งกลุ่มหลังจากกำลังพลทั้งหมดของตำหนักสววรรค์ที่เข้าร่วมการทดสอบรวมตัวกัน แต่ผลลัพธ์ก็ยังสะเทือนใจเขานิดหน่อย
ในเมื่อหาพันธมิตรไม่ได้สักคน เขาก็ตัดใจแล้วเช่นกัน รู้ว่าหลังจากกำลังพลทั้งหมดของตำหนักสวรรค์ที่เข้าร่วมการทดสอบมารวมตัวกัน ก็ไม่จำเป็นต้องลองหาอีกแล้ว
เป็นการตัดความเพ้อเพ้อฝันจริงๆ ปล่อยให้นอกลานบ้านมีคนมาด่าทอแดกดันทุกวัน ซูลี่ก็ยิ่งถูกกระตุ้นให้มาทุกวัน พอเขาอ้าปากพูดก็จะมีเสียงหัวเราะดังลั่น เหมียวอี้นั่งขัดสมาธิฝึกตนอย่างสงบใจอยู่ในห้อง ฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เตรียมตัวว่าถึงแม้จพะต้องเผชิญหน้ากับคนนับหมื่น แต่ก็จะพุ่งไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ!
ทว่าสาเหตุที่คนกลุ่มนี้ต้องการจะทำให้เหมียวอี้เสียหน้าจนหมดสิ้น ไม่ใช่เพื่อความสะใจของตัวเองเท่านั้น แต่ยังต้องการแสดงความสามารถให้คนที่หนุนหลังตัวเองเห็นด้วย ไม่อย่างนั้นคงไม่มาทำตัวเหมือนผู้หญิงปากร้ายทุกวันเหมือนคนที่กินอิ่มแล้วว่างงานหรอก ย่อมต้องการให้ข่าวนี้แพร่กระจายออกไปอยู่แล้ว
เมื่อมีระฆังดาราช่วยส่งข่าว ไม่นานทางดาวเทียนหยวนก็มีข่าวแพร่ออกไปอย่างบ้าคลั่งว่าเหมียวอี้ได้รับความอัปยศจากลูกน้องตัวเองอยู่ที่จวนแม่ทัพภาคตงหัว คำด่าของซูลี่ผู้บังคับการกองร้อยเขตเมืองตะวันตกก็ยิ่งเป็นจุดเน้น
ข่าวนี้แพร่กลับมาที่ตลาดสวรรค์ การทดสอบยังไม่ทันเริ่ม ข้างนอกก็มีคนลับมีดเตรียมฟันเหมียวอี้แล้ว นี่ยังเป็นแค่ที่จวนแม่ทัพภาคตงหัวเท่านั้น เมื่อถึงเวลาเหมียวอี้ยังต้องเผชิญหน้ากับคนมากกว่านี้ จะมีหนทางรอดชีวิตได้อย่างไร ทุกคนเหมือนจะคิดถึงจุดจบของเหมียวอี้ได้แล้ว!
พอข่าวแพร่กลับมา อวิ๋นจือชิวก็เรียกรวมอนุภรรยามาประชุมทันที แล้วเตือนต่อหน้าทุกคนว่า “นายท่านอยู่ข้างนอกเพียงลำพัง เผชิญหน้ากับความกดดันใหญ่หลวง ไม่ว่าข้างนอกจะมีข่าวอะไร แต่ทุกคนก็อย่าไปรบกวนนายท่าน อย่าให้นายท่านแบกรับความกดดันภายนอกแล้วยังต้องรู้สึกว่าไม่มีหน้ามาเจอกับทุกคนอีก ทุกคนต้องเชื่อในความสามารถของนายท่าน เชื่อว่านายท่านจะต้องพลิกสถานการณ์ได้แน่นอน อย่าเพิ่มแรงกดดันทางจิตใจให้นายท่านจนนายท่านทำเรื่องวู่วามเพื่อกู้หน้ากลับมาเด็ดขาด เข้าใจชัดเจนกันหมดแล้วใช่มั้ย?”
“ปั้กๆ” นางทุบโต๊ะใส่กลุ่มผู้หญิงที่นิ่งเงียบมาตลอด
หลังจากสั่งแล้ว ผู้หญิงกลุ่มนี้ก็แยกย้ายกันออกไป แต่อวิ๋นจือชิวกลับร้องไห้ทันที เริ่มกอดเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ร้องไห้สะอึกสะอื้น
ฉินเวยเวยที่กลับมาถึงร้านค้าตัวเองรู้สึกทุกข์ใจมาก สถานการณ์ข้างนอกไม่มีอะไรชี้ชัดเลยว่าเหมียวอี้จะมีชีวิตอยู่ได้นานเท่าไร ความเครียดมหาศาลนี้ทำให้นางแทบจะหายใจไม่ออก นางอยากจะติดต่อเหมียวอี้ ถามเหมียวอี้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง แต่อวิ๋นจือชิวไม่อนุญาตให้ใครไปรบกวนเหมียวอี้ทั้งนั้น
ในสถานการณ์ที่ไม่รู้ว่าจะไปกำจัดความเครียดทิ้งที่ไหน ความหวังแรกของนางก็คือหยางชิ่ง นางติดต่อหยางชิ่งเพื่อให้ช่วยคลายความกดดัน
หลังจากหยางชิ่งถามสถานการณ์โดยละเอียดแล้ว ก็บอกว่า : เวยเวย ในจุดนี้เจ้าสู้อวิ๋นจือชิวไม่ได้เลยนะ นางถนัดเรื่องนี้มากกว่าเจ้า นางข่มอารมณ์ไว้ได้ ภายใต้แนวโน้มของสถานการณ์แบบนี้ ตอนนี้เจ้าทำอะไรก็ไม่มีประโยชน์ทั้งนั้น อย่ารบกวนเหมียวอี้ คนของพิภพเล็กบุกมาถึงพิภพใหญ่ได้ก็เพราะให้เหมียวอี้เป็นใหญ่ ถ้าเขาผ่านด่านนี้ไปไม่ได้ ก็ต้องกลับมาอย่างพ่ายแพ้ ต่อไปก็จะต้องหลบๆ ซ่อนๆ ถ้าอยากจะปิดปากคนอื่นที่มาพิภพเล็กอีกก็ยากแล้ว ต้องให้เขายืนอยู่ในระบบของตำหนักสวรรค์อย่างมั่นคง สามารถนำทุกคนผ่านการโจมตีของอุปสรรคคลื่นลมนี้ได้เท่านั้น เขาถึงจะเป็นแกนหลักของทุกคนได้อย่างแท้จริง เจ้าเองก็มีส่วนได้กับผลประโยชน์นี้ด้วย เข้าใจมั้ย?
ฉินเวยเวย : ท่านพ่อ! แต่ตอนนี้สถานการณ์ของเขาอันตรายมากจริงๆ ข้ากลัวจัง!
หยางชิ่ง : เวยเวย! ที่เขาสามารถเดินมาจนถึงทุกวันนี้ได้ จะต้องมีปัจจัยต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกรวมกัน เรื่องบางอย่างพวกเรารู้ แต่บางอย่างพวกเราก็ไม่รู้ เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นความบังเอิญ ไม่มีทางที่โชคดีจะไปรวมอยู่ที่ตัวเขาคนเดียว! ในเมื่อเขากล้าไปเสี่ยงอันตรายที่ใหญ่หลวงขนาดนี้ ก็แสดงว่าต้องมีความมั่นใจอยู่บ้างแน่นอน ถ้าเขาไม่มีความมั่นใจเลยสักนิด เขาก็คงจะหนีกลับมาแล้ว เหมียวอี้ในวันนี้ไม่ใช่คนมุละทุในปีนั้นอีกแล้ว ไม่ใช่เจ้าเด็กที่ใจร้อนบ้าบิ่นคนนั้นอีกแล้ว ผ่านอุปสรรคมามากมายขนาดนี้ เขาเริ่มเติบโตสุกงอมอย่างช้าๆ ข้าถึงขั้นมองเห็นขั้นตอนการเติบโตของเขาด้วยซ้ำ ถ้าเปลี่ยนเป็นเขาในปีนั้น ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะทนความอัปยศแบบนี้ ด้วยนิสัยอย่างเขาไม่มีทางปล่อยคนพวกนั้นไปง่ายๆ หรอก แต่ตอนนี้เขายังสามารถสงบจิตใจข่มอารมณ์ได้ ก็แสดงว่ามีความมั่นใจในตัวเองพอสมควร มีความมั่นใจว่าจะกลับมาคิดบัญชีกับคนพวกนั้นได้ ไม่อย่างนั้นเขาคงดึงคนพวกนั้นให้ตายตกไปตามกันไปก่อนแล้ว เจ้าอยู่กับเขามาหลายปีขนาดนี้ ทำไมไม่เข้าใจเขาสักนิดเลยล่ะ?
พอได้ฟังแบบนี้แล้ว ฉินเวยเวยก็มีความมั่นใจเพิ่มขึ้นไม่น้อย สิ่งนี้ตั้งอยู่บนการวินิจฉัยตัดสินที่แม่นยำของหยางชิ่งที่มีมาโดยตลอด แต่ก็ยังวางใจอย่างเต็มที่ไม่ได้ อดไม่ได้ที่จะถามอีกว่า : ท่านพ่อ! ท่านแน่ใจเหรอว่าเขาจะกลับมาได้อย่างปลอดภัย?
หยางชิ่ง : เวยเวย! เหมียวอี้เป็นทหารสายบุก นี่คือความสามารถของเขา เจ้าต้องมั่นใจในตัวเขา!
หลังจากพ่อกับลูกสาวติดต่อกันเสร็จแล้ว หยางชิ่งที่ยืนอยู่ในลานบ้านก็เงยหน้ามองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว พร้อมทั้งถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ได้
คำพูดเมื่อครู่นี้ ถึงแม้จะด้านหนึ่งจะเป็นการตัดสินจากเขา แต่ส่วนใหญ่ก็พูดไปเพื่อปลอบใจฉินเวยเวย ต่อให้เขาจะไม่มีความมั่นใจใดๆ กับผลลัพธ์ในการเดินทางครั้งนี้ของเหมียวอี้ แต่เขาจะทำอย่างไรได้ล่ะ?
ที่สำคัญคือเวลาเจอคนแบบเหมียวอี้ หยางชิ่งก็ไม่มีทางไประบายอารมณ์โกรธได้เลย เวลาจะใช้งานเจ้าอีกฝ่ายถึงจะถามเจ้า อีกฝ่ายแค่ต้องการให้เจ้าเสนอความคิดเห็นอย่างที่ตัวเองต้องการ หรือไม่ก็จะขอให้เจ้าไปทำอะไรสักอย่าง ส่วนเวลาอื่นไม่ว่าจะทำอะไร อีกฝ่ายก็จะไม่บอกเจ้าเลย อำนาจของฝ่ายรุกอยู่ในมือของเหมียวอี้เสมอ เจ้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าลับหลังเหมียวอี้ทำบ้าบออะไรไว้บ้าง ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางตัดสินใจอย่างแม่นยำ เมื่อเจอกับคนแบบนี้เขาก็ทำได้เพียงถอนหายใจ
แดนอเวจี ในถ้ำภูเขาแห่งหนึ่ง หลังจากได้รับข่าวจากจีเหม่ยลี่และอนุภรรยาคนอื่นๆ พวกอวิ๋นอ้าวเทียนก็มารวมตัวอยู่ด้วยกัน สีหน้าดูค่อนข้างเคร่งเครียด
“อามิตตาพุทธ!” ฉางเหลยประนมมือพลางถอนหายใจ แล้วบอกว่า “นึกไม่ถึงว่าการก่อเรื่องของพวกเราครั้งเดียว จะสร้างปัญหาให้เหมียวอี้ใหญ่โตขนาดนี้”
ซือถูเซี่ยว “ไม่แปลกใจที่ตอนแรกเจ้าหมอนั่นเดือดเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนั้น แทบจะด่าบรรพบุรุษมารเฒ่าอวิ๋นเสียแล้ว ถ้าเปลี่ยนเป็นใครก็ต้องโมโหทั้งนั้น”
“เป็นเรื่องยากที่เหมียวอี้จะผ่านด่านนี้ไปได้” มู่ฝานจวินกล่าวเน้นยำทีละคำ
หลังจากพวกเขาเงียบไปพักหนึ่ง จู่ๆ จีฮวนก็หัวเราะลั่น “ทุกคนคงจะคิดมากไปแล้ว มีคำทำนายของเทพพยากรณ์อยู่ การที่เจ้าเด็กนั่นวิ่งมาเจอกับพวกเรา ก็เป็นการพิสูจน์คำทำนายได้แล้ว พวกเราเป็นกระต่ายตื่นตูมไปเองแน่นอน”
พวกเขาสบตากันแวบหนึ่ง แล้วสุดท้ายก็พยักหน้าเงียบๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะโล่งใจเพราะคำทำนายเหลวไหลนั่น แบบนี้ต้องเชื่อใจเทพพยากรณ์มากเท่าไรกัน!
หวงฝู่จวินโหรวที่ได้รู้ข่าวติดต่อเหมียวอี้ทันที นางปรี๊ดแตกแล้ว : เจ้าบอกว่าจะไม่เข้าร่วมการทดสอบไม่ใช่เหรอ ไหนบอกว่าติดต่อกับตระกูลโค่วเรียบร้อยแล้ว จะไปทำงานในอาณาเขตของตระกูลโค่ว?
เหมียวอี้ : เรื่องราวมีการเปลี่ยนแปลงนิดหน่อย
หวงฝู่จวินโหรว : อย่ามาใช้มุกนี้ เจ้าหลอกข้ามาตั้งแต่แรกแล้ว! หลอกข้าสนุกนักใช่มั้ย? ตอนนี้ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะตายยังไง!
เหมียวอี้ : ข้าจะตายหรือไม่ตายแล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้า? เจ้านับเป็นอะไรกับข้า?
หวงฝู่จวินโหรว : ไปตายซะ!
เหมียวอี้ : เอาล่ะ คุยเรื่องสำคัญดีกว่า เห็นแก่ที่ข้ากำลังจะไปตาย เจ้าบอกข้าได้มั้ยว่าปีศาจโลหิตอยู่ที่ไหน?
ตอนนี้เขากังวลมากว่าเกิดอะไรขึ้นกับศีลแปดหรือเปล่า ว่ากันตามหลักเหตุผล ตอนนี้มีข่าวลือใหญ่โตเกี่ยวกับเขา เป็นไปไม่ได้ที่ศีลแปดจะไม่รู้เรื่องการทดสอบผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์เลยสักนิด แต่ไม่น่าเชื่อว่าศีลแปดจะไม่ติดต่อกับเขาสักครั้งเลย เขาอยากจะรู้ที่อยู่ของปีศาจโลหิต แล้วลองไปตามหาตัวดู ดูว่าศีลแปดอยู่กับปีศาจโลหิตหรือไม่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือไม่
หวงฝู่จวินโหรวยังคงตอบคำเดิม : ไปตายซะ!
“กฎระเบียบสมาคมร้านค้าของดาวเทียนหยวนที่พวกเราใช้อยู่ตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าแตกต่างจากกฎระเบียบสมาคมร้านค้าแห่งอื่นของตำหนักสวรรค์ ข้ารู้สึกว่าไม่เหมาะสมเป็นอย่างมาก”
“ผู้จัดการร้านโจวพูดถูก ก็เพราะแบบนี้ ทุกครั้งที่กลับไปชำระบัญชี ข้ากลายเป็นตัวตลกในสายตาผู้จัดการสาขาอื่นๆ ของร้านค้าแล้ว”
“กฎของสมาคมร้านค้าที่ใช้อยู่ตอนนี้ เดิมทีก็กดขี่ผูกมัดพวกเราอยู่แล้ว หนิวโหย่วเต๋อมีสิทธิ์อะไรมาตั้งกฎให้ตัวเขาเองมีอำนาจตัดสินใจ?”
“ใช่! ควรจะกลับมาใช้กฎแบบเดิม ข้าแนะนำให้เลือกหัวหน้าสาขากับหัวหน้าสมาคมของสมาคมร้านค้าทั้งสี่เขตเมืองใหม่”
“เห็นด้วย!”
“ข้าเห็นด้วย!”
เมื่อได้รู้ว่าเหมียวอี้เริ่มถูกจำกัดอำนาจและเริ่มสูญเสียอิสระอย่างเป็นทางการ ไม่สามารถกลับมาจัดการพวกเขาได้อีก ภายใต้สถานการณ์ที่ผู้บัญชาการทั้งสี่เขตเมืองแสดงความอ่อนแอให้เห็น กลุ่มผู้จัดการร้านค้าของตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวนที่มีหน้าตาก็รวมตัวกันประชุมอยู่ใน ‘ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท’ ภัตตาคารที่ใหญ่ที่สุดของตลาดสวรรค์ พวกเขาเรียกร้านค้าต่างๆ ของตลาดสวรรค์ให้มาลงชื่อเลือกหัวหน้าสมาคมรวมทั้งกรรมการของสมาคมร้านค้า แสดงออกอย่างโจ่งแจ้งว่าจะรื้อฟื้นกฎเดิมของสมาคมร้านค้ากลับมา
ที่ทำแบบนี้เพราะต้องการแย่งอำนาจกลับคืนมาจากมือของตำหนักคุ้มเมือง ถ้าไม่แย่งกลับมาคงไม่ได้ ถ้าอิทธิพลที่มีต่อร้านค้าร้านอื่นๆ ของตลาดสวรรค์ถูกควบคุมโดยตำหนักคุ้มเมือง อำนาจในการดำเนินกิจการแบบผูกขาดของร้านตัวเองก็จะสั่นคลอน เดิมทีร้านค้าระดับไหนสามารถขายอะไรได้บ้าง ทุกคนก็ได้แบ่งแยกไว้เรียบร้อยแล้ว ทำแบบนี้สามารถรักษาสถานะผู้นำตลาดของตัวเองได้ แต่ปรากฏว่าพอโดนผู้บัญชาการใหญ่หนิวตั้งกฎมาแบบนี้ ทำให้ไม่ว่าใครอยากจะค้าขายอะไรก็ขายได้ แย่งส่วนแบ่งตลาดของพวกเขาไปทางอ้อม ทำให้ส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของพวกเขาโดยตรง
กฎของสมาคมร้านค้าถูกควบคุมอยู่ในมือสมาคมร้านค้าอีกครั้ง ถ้าร้านค้าร้านอื่นๆ ไม่ทำตาม พวกเขาก็สามรถอ้างชื่อสมาคมร้านค้ามากดดันได้
หวงฝู่จวินโหรวที่นั่งอยู่ข้างๆ ไม่พูดอะไรสักคำ
อวี้ซวีเจินเหริน ผู้จัดการร้านขายของชำซื่อตรงที่นั่งอยู่อีกด้านก็ไม่พูดอะไรเช่นกัน ตอนนี้เขานับว่าเป็นผู้จัดการร้านใหญ่ของตลาดสวรรค์แล้ว มีสิทธิ์นั่งอยู่ตรงนี้ ส่วนพวกอวิ๋นจือชิว ไม่ว่าจะเป็นภูมิหลังหรือขนาดธุรกิจ ตรงนี้ก็ไม่มีที่ให้นางเลย
ณ หอกลิ่นสวรรค์ ท่านแม่สวีที่ได้ยินข่าวมาบ้างจากข้างนอกเข้ามาในห้องนอนของเสวี่ยหลิงหลงแล้ว นางนั่งบ่นชุดใหญ่อยู่ตรงข้ามเสวี่ยหลิงหลง สุดท้ายก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “กลุ่มคนของสมาคมร้านค้าเรียกรวมร้านค้าทั้งตลาดสวรรค์มาลงชื่อเลือกหัวหน้าสมาคมแล้ว นี่กำลังจะแย่งอำนาจของสมาคมร้านค้ากลับมาจากตำหนักคุ้มเมืองชัดๆ”
เสวี่ยหลิงหลงกัดริมฝีปาก แล้วถามหยั่งเชิงว่า “ท่านแม่ ผู้บัญชาการใหญ่หนิวไม่มีหวังที่จะรอดชีวิตกลับมาสักนิดเลยเหรอ?”
ท่านแม่สวีถอนหายใจพลางส่ายหน้า “เกรงว่าจะยากนะ! ตัวคนเดียวอยู่ภายใต้สถานการณ์แบบนั้น ไม่น่าจะเป็นไปได้! น่าเสียดายแล้ว พวกเราอยู่ที่ตลาดสวรรค์ได้เห็นเองกับตาตั้งแต่ตอนเขาเป็นเพื่อนบ้านจนเดินขึ้นไปทีละก้าวละก้าว น่าเสียดายที่ไต่เต้าเร็วเกินไป วิธีการโหดร้ายเกิรนไป ทำอะไรเกินพอเหมาะพอดี ถึงได้สร้างหายนะให้ตัวเอง!”
“ถ้าผู้บัญชาการใหญ่หนิวกลับมาไม่ได้ แล้วผู้บัญชาการสวีจะ…” เสวี่ยหลิงหลงกล่าวด้วยสีหน้ากังวล
ท่านแม่สวีรู้ว่านางกำลังหมายถึงเรื่องที่สวีถังหรานชิงตัวนางครั้งก่อน จึงยิ้มเจื่อนพร้อมบอกว่า “เขายังจะกล้าทำเรื่องนี้ในสถานการณ์แบบนี้อีกเหรอ? ตอนนี้แค่ปกป้องตัวเองเขายังลำบากเลย เขาไม่กล้าขัดแย้งกับผู้จัดการร้านหวงฝู่หรอก ไม่มีมาดของคนที่ราชันสวรรค์แต่งตั้งให้รางวัลเหมือนในปีนั้นแล้ว”
สวีถังหรานหยุดแล้วจริงๆ พอเหมียวอี้ไปเขาก็หยุดทันที หยุดเรื่องกอบโกยหาความร่ำรวยไว้ชั่วคราว เขาติดต่อซูลี่ไม่ได้เลย ถ้าจะพูดให้ชัดคืออีกฝ่ายไม่สนใจทางนี้แล้ว ทำเอาสวีถังหรานเดือดดาลแต่ไม่มีที่ให้ระบายความโกรธ
เขาไม่ได้แยแสเรื่องนี้มากเท่าไร แค่เดือดดาลไปชั่วขณะเท่านั้นเอง คอยไปหาฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋อยู่เป็นระยะเพื่อถามความจริง ตอนนี้เขารู้สึกว่าตัวเองกับสองคนนี้เป็นตั๊กแตนบนเชือกเส้นเดียวกัน ดังนั้นจึงอยากจะมาดูสักหน่อยว่าพวกเขามีแผนอย่างอื่นหรือเปล่า
แต่จนใจที่สองคนนั้นก็ข่มอารมณ์ไว้คราวเช่นกัน
ตอนนี้จำเป็นต้องยอมรับว่าหยางชิ่งวางแผนไว้ดี เหมียวอี้บอกกับทั้งสามอย่างจริงจใจถึงแผนที่หยางชิ่งวางไว้ให้ สถานการณ์ในตอนนี้ดำเนินไปตามหมากที่เหมียวอี้วางไว้จริงๆ ตอนนี้กลับทำให้พวกเขาสงบลงได้ชั่วคราว ในใจของทั้งสามคิดอย่างอื่นเตรียมไว้บ้างนิดหน่อย เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่วางแผนเพื่ออนาคตเลย แต่ชั่วขณะนี้ก็ยังไม่กล้าลงมือทำจริง การที่สถานการณ์ของตลาดสวรรค์ล้วนเป็นไปตามแผนของเหมียวอี้ทำให้พวกเขากดดันไม่น้อย ไม่รู้ว่าได้วางแผนอีกอย่างไว้ป้องกันพวกเขาหรือเปล่า ทั้งสามจึงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ไม่อย่างนั้นถ้าเหมียวอี้สามารถกลับมาได้จริงๆ แบบนั้นก็ไม่มีทางยุติเรื่องราวได้แล้ว อย่างน้อยก็ทำให้ทั้งสามอดทนรอดูสถานการณ์ตอนหลัง
…………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น