ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 119-122
ตอนที่ 119 เขาไม่อาจหักหลังใครได้ทั้ง...
” พอดีจริง ข้าก็มาแล้วไม่ใช่หรือ? “
หิมะที่ตกลงมาบางๆ ทอประกายดุจดวงดาว ตู๋กูซิงหลันสวมชุดกระโปรงสีดำเขียว สองมือซุกอยู่ในปลอกแขน ส่วนหนึ่งของเส้นผมที่หนาและยาวของนางขมวดเป็นมวยอย่างง่ายๆ เส้นผมที่เหลือส่วนใหญ่ถูกปล่อยลงไปเคลียไหล่ ปลายคิ้วที่โค้งงามดั่งไต้หยู่ยังมีละอองหิมะเกาะอยู่เล็กน้อย ทำให้นางยิ่งดูอ่อนโยนขึ้นอีกหลายส่วน
จีเย่ว์ทอดเนตรมองดูนาง ชั่วขณะหนึ่งจิตใจของเขาล่องลอยกลับไปยังยามที่พึ่งได้เจอนางเป็นครั้งแรก ยามนั้นฤดูหนาวที่มีหิมะตกบางๆ เช่นนี้ นางที่อายุเพียงห้าปีงดงามน่ารักประหนึ่งตุ๊กตาเคลือบตัวน้อย ผูกผมเป็นมวยสองข้าง กำลังขี่คอนายท่านผู้เฒ่าตู๋กู และหันมาคลี่ยิ้มให้กับเขาอย่างอ่อนหวาน
นับตั้งแต่ได้สบตากันอย่างลึกซึ้งในครั้งนั้น ทำให้เขาเองก็ไม่อาจลืมเลือนได้อีก เพียงคิดจะปกป้องนางไปจนชั่วชีวิต ให้นางยิ้มแย้มเช่นนี้ตลอดไป
ตู๋กูซิงหลันมาที่นี่เพียงลำพัง ยามนี้ท้องฟ้าก็มืดครึ้มลงมากแล้ว นางเดินช้าๆ ก้าวมาหยุดอยู่ตรงหน้าจีเย่ว์ ดวงตาทั้งสองแฝงไว้ด้วยความเย็นชา
นางหันไปมองดูโหยวหนิงที่อยู่ข้างกายเขาด้วยสายตาเย็นชา ” ทางหนึ่งก็เฝ้าฝันถึงฮ่องเต้ อีกทางก็คืบคลานขึ้นมาบนตัวอี้อ๋อง โหยวหนิง อย่างเจ้านี่ละถึงเรียกว่า สิ้นคิด “
” ยังมี ครั้งหน้าเวลาจะนินทาใครรับหลัง จงจำเอาไว้ด้วยว่าต้องเสียงเบาเข้าไว้ “
โหยวหนิงที่ตอนแรกนั่งอยู่บนแผ่นหิน ยามนี้กองอยู่แทบเท้าของตู๋กูซิงหลัน นางเงยหน้าขึ้นมองตู๋กูซิงหลัน
ตู๋กูซิงหลันพึ่งจะอายุได้เพียงสิบห้าปีเท่านั้น แต่กลับมีสง่าราศีสูงส่ง มีกลิ่นอายน่ายำเกรงที่ไม่อาจมองข้าม
ความน่ายำเกรงนี้ยิ่งสะท้อนภาพตรงกับข้ามกับตัวนางโหยวหนิงที่เป็นเหมือนน้ำครำในโคลนเลน
นางคนน่ารังเกียจตู๋กูซิงหลัน ช่างน่ารังเกียจจนเข้ากระดูกดำ!
” ข้าก็แค่พูดไปไม่กี่ประโยคเท่านั้น เจ้าไยจะต้องมาหึงหวงข้าด้วย? ” โหยวหนิงกล่าวเสียงเย็นคำหนึ่ง ค่อยพยายามลุกขึ้นจากบนพื้น
คนที่เหยียบเรือสองแคมก็นับว่าเป็นคนทุเรศชัดๆ คนเช่นมันไหนจะยังกล้ามาด่านางว่า สิ้นคิดได้อีก?
ดูนางเองสิ ล่อล่วงฝ่าบาทไปแล้ว ยามนี้ยังคิดจะมาติดพันอี้อ๋องอีก!
อย่าได้ลืมไปว่า นางคือตัวต้นเหตุที่ทำร้ายเสียนไท่เฟย! อี้อ๋องมีหรือจะอภัยให้นางได้?
โหยวหนิงกำลังจะขยับตัว ก็เห็นตู๋กูซิงหลันใช้เท้าเพียงข้างเดียวก็สามารถเหยียบนางลงไปได้แล้ว สายตาของนางทอประกายเย็นชาอย่างที่สุด “ข้าไม่คิดจะพูดจาไร้สาระกับเจ้าอีก แต่มีเรื่องหนึ่งที่เจ้าต้องจำใส่กะโหลกเอาไว้ ล้มเลิกความคิดชั่วร้ายเหล่านั้นซะ กลับตัวเป็นคนดี ไม่เช่นนั้นจุดจบของเจ้าจะต้องอนาถอย่างไม่คาดคิดเป็นแน่ “
ประโยคนี้ ตู๋กูซิงหลันถือว่ายึดเอาคำสั่งสอนตามกฎของสำนักหุบเขาภูติมากล่าวเตือน หากโหยวหนิงคิดเปลี่ยนเป็นศพมีชีวิต อีกหน่อยจะต้องเสียใจเป็นแน่
โหยวหนิงถูกฝ่าเท้าของนางเหยียบจนหน้าจมพื้น ใบหน้าเลอะเทอะไปด้วยโคลนตม นางได้แต่มองตู๋กูซิงหลันด้วยความเคียดแค้น
ตู๋กูซิงหลันไม่รอให้นางกล่าวตอบ ก็ละความสนใจไปแล้ว นางหันไปมองอี้อ๋องที่ลุกขึ้นยืน “ข้ามีคำพูดจะกล่าวกับท่านเพียงลำพัง”
“ดี เช่นนั้นพวกเราเข้าไปในเรือนกันเถอะ ” พอจีเย่ว์จดจ้องมองดูนาง เขาก็รีบจัดแจงเสื้อผ้าของตน ลูบไล้ใบหน้าคิดอยากจะรักษาภาพพจน์ของตนในสายตาของนางเอาไว้
พูดจบแล้ว ตู๋กูซิงหลันก็ซัดฝ่ามือใส่โหยวหนิงจนนางสลบไป นางก้าวขาเรียวยาว เดินนำเข้าไปในเรือน
จีเย่ว์ติดตามนางมาที่ด้านหลัง มองดูเงาหลังและเส้นผมยาวที่พลิ้วไหวประหนึ่งภาพวาดนั้น
ในใจของเขาก็บังเกิดความอ้างว้างขึ้นมา …..ยามนี้นางล่วงรู้ฐานะที่แท้จริงของเขาแล้ว แล้วนางจะรังเกียจเขาหรือไม่?
พอคิดถึงสายตาเย็นชาของนางเมื่อครู่ หัวใจของจีเย่ว์ก็เหมือนจะหล่นลงไปในหุบเหว สองขาที่เคลื่อนที่ไปข้างหน้าก็หน่วงหนืดประหนึ่งลากเรือ
ท่ามกลางฤดูหนาวที่โหดร้าย เขาสวมใส่เพียงเสื้อผ้าบางๆ ชั้นเดียว แต่ว่าร่างกายกลับไม่รู้สึกเหน็บหนาวเท่าไหร่ เพราะในหัวใจนั้นเย็นยะเยือกยิ่งกว่า มันเย็นเฉียบเสียจนเขารู้สึกว่าผิวหนังทุกตารางนิ้วนั้นเจ็บปวด
จนกระทั่งเมื่อเห็นตู๋กูซิงหลันนั่งอยู่ข้างโต๊ะไม้ตัวหนึ่ง เทน้ำชาอุ่นๆ ให้กับเขา จีเย่ว์ถึงได้รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาบ้าง
เขานั่งลงตรงข้างนาง ทั้งสองต่างตกอยู่ในความเงียบงัน ไอร้อนของน้ำชากลายเป็นควันสายหนึ่ง บดบังใบหน้าให้พร่าเลือนกว่าเดิม
ที่ข้ามานี่ ก็เพราะอยากจะให้ท่านยืนยันเรื่องหนึ่ง ” ครู่หนึ่ง ตู๋กูซิงหลันถึงไปเปิดปากเข้าประเด็น “ผู้ที่ยุยงให้โหยวหนิงวางแผนทำร้ายข้า ก็คือ เสียนไท่เฟย ไม่ใช่ท่าน “
นางใช้ประโยคที่ระบุแน่ชัด ไม่ใช่คำถามแม่แต้น้อย
จีเย่ว์ชะงักไปครู่หนึ่ง “ในเมื่อเจ้าแน่ใจอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องถามข้าให้มากความ”
” หากว่าไม่ได้รับคำยืนยันจากปากท่านด้วยตนเอง ใจข้าก็ไม่อาจจะสงบได้”
จีเย่ว์มองดูดวงตาดอกท้อที่งดงามคู่นั้นอยู่นาน ในที่สุดค่อยถอนหายใจออกมา ” ต่อให้ข้าคิดจะทำร้ายผู้คนทั้งโลก ก็ไม่มีทางจะคิดทำร้ายเจ้าได้แม้แต่ขุมขนหนึ่ง ความผูกพันนับแต่เยาว์วัยนี้ ชั่วชีวิตก็ไม่มีเปลี่ยนได้”
น่าเสียดาย…….เจ้ากลับไม่เคยเชื่อในตัวข้ามาก่อน
พูดคำนี้ออกมาแล้ว ดวงตาของเขาก็ยิ่งสะท้อนแววแห่งความเจ็บช้ำ “แต่อีกด้านหนึ่ง ข้าก็เป็นบุตร มารดากระทำลูกย่อมต้องชดใช้ ข้าย่อมต้องรับผิดชอบในฐานะบุตรคนหนึ่ง”
ตู๋กูซิงหลันนิ่งฟังอย่างละเอียด ยามที่จีเย่ว์พูดเรื่องนี้ออกมา นางก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า จิตใจที่หลงเหลืออยู่ของร่างเดิมกำลังสั่นสะท้าน
” ไม่ใช่เขา….ไม่ใช่เขา…….เช่นนั้นก็ดีแล้ว ” ในสมองของนางมีเสียงของเจ้าของร่างเดิมสะท้อนไปมา
สีหน้าของตู๋กูซิงหลันไม่เปลี่ยนแปลง นางยังคงจ้องมองดูจีเย่ว์ “ดังนั้นเจ้ารู้ถึงฐานะของเสียนไท่เฟยแต่แรกแล้ว อีกทั้งยังรู้ถึงฐานะของตนเองอีกด้วย? “
จีเย่ว์เองก็ไม่คิดจะปิดบังอะไรนางอีกแล้ว เขาทั้งส่ายหน้าและพยักหน้ารับ “หลังเสด็จพ่อสิ้นพระชนม์ไปถึงได้รู้ชัด”
เรื่องนี้ เขาต้องใช้เวลาอยู่นานมากถึงจะสามารถคิดตก และยอมรับได้ และเพราะมีฐานะที่แท้จริงเป็นเช่นนี้ ทำให้เขาไม่รู้ว่าสมควรจะทำเช่นไรยามเจอหน้ากับหลันเอ๋อร์ที่เขารักที่สุดดี
เขาอึดอัดขัดแย้งนัก หากว่าหลันเอ๋อร์แต่งให้กับเขา บุตรของพวกเขาในวันข้างหน้าย่อมต้องมีสายเลือดของศพมีชีวิต เช่นนั้นก็น่าอนาถนัก
แต่เขารักนางอย่างลึกล้ำ ไหนเลยจะยอมสูญเสียนางไปได้?
” ตอนนั้นท่านไยจึงต้องออกหน้าบอกให้ข้าแต่งกับอดีตฮ่องเต้ด้วยตนเอง? ” ตู๋กูซิงหลันถามขึ้นมาอีก ข้าจดจำได้อย่างชัดเจน ตอนนั้นเป็นท่านเอ่ยปากให้ข้ายอมแต่งกับอดีตฮ่องเต้ ส่งเสริมความฝันที่จะเป็นฮ่องเต้ของท่าน “
พอจีเย่ว์ได้ฟังแล้ว ใบหน้าก็ซีดขาวไปในทันที แม้แต่เส้นขนทั่วร่างก็ลุกซู่ขึ้นมา
” เป็นฝีมือของเสียนไท่เฟยอีกละสิ? ” ตู๋กูซิงหลันคาดเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ฝีมือแปลงโฉมของชิงผิงยอดเยี่ยมยิ่งนัก ในหากสามารถตบตาหลอกลวงเจ้าของร่างเดิมได้ เรื่องนี้ก็จะง่ายดายยิ่งนัก
จีเย่ว์มิได้หาข้อแก้ตัวมาอธิบาย หากแต่พยักหน้าอย่างจำใจ
ที่นางยังไม่รู้ก็คือ ยามที่เขาได้รู้ว่านางจะแต่งให้กับพระบิดานั้น เข้าพยายามจะไปหานางอย่างสุดชีวิต คิดจะขัดขวางนางไว้ แต่กลับถูกกักขังอยู่ในตำหนักฉางเล่อกง ทั้งยังกระอักเลือดออกมามากมายจนสลบไปในที่สุด ชิงผิงไม่อาจทนดูได้ จึงได้บอกความจริงแก่เขา
พอเขาสามารถลงจากเตียงได้ คิดจะไปหานางอย่างไม่สนใจสิ่งใดอีก……นางก็กลายเป็นไทเฮาไปเสียแล้ว
ระหว่างพวกเขาราวกับมีแผ่นฟ้ามาขวางกั้นไปจนชั่วชีวิต
ทางหนึ่งคือมารดาบังเกิดกล้า อีกทางคือหญิงสาวที่ตนรัก
เขาไม่อาจหักหลังใครได้ทั้งนั้น มีแต่ขึ้นครองราชย์ได้สำเร็จ กลายเป็นผู้มีอำนาจและฐานะสูงสุดในต้าโจว ถึงจะสามารถปกป้องผู้ที่เขาคิดจะปกป้องเอาไว้ได้
” ด้วยหัวใจที่ตู๋กูซิงหลันทุ่มเทให้กับเจ้า หากไม่ใช่เพราะว่ามารดาของเจ้าแทรกแซงมากเกินไป วันนี้แผ่นดินต้าโจวก็คงตกเป็นของเจ้าแล้ว ” สายตาของตู๋กูซิงหลันเต็มไปด้วยความเย็นชา “นางไยจะต้องทำเช่นนี้ด้วย? “
คำถามนี้ หากว่านางเอาไปถามเสียนไท่เฟยเองละก็ เกรงว่าคงจะไม่ได้ความจริงอะไรออกมา
แต่หากลงมือจากฝั่งจีเย่ว์ ไม่แน่ว่าอาจจะได้ล่วงรู้อะไรเพิ่มมากอีกหน่อย
จีเย่ว์ขยับริมฝีปากอยู่พักหนึ่ง ค่อยตอบประโยคหนึ่งออกมา “หลันเอ๋อร์ เจ้ารู้หรือไม่? ทายาทของศพมีชีวิต เมื่อถึงอายุช่วงหนึ่งถึงได้กลายเป็นศพมีชีวิต ก่อนที่จะกลายสภาพเป็นเช่นศพนั้น ก็จะยังมีเลือดมีเนื้อเหมือนคนทั่วไป “
ตอนที่ 120 เจ้าเดาสิว่านางพูดกับเราว่...
จีเย่ว์มิได้รอให้ตู๋กูซิงหลันกล่าวคำใดออกมา เขาเผยยิ้มอย่างจืดเจื่อ ” เมื่อสามปีก่อน พระมารดาถึงได้ค่อยๆ กลายเป็นศพมีชีวิต ช่วงก่อนหน้านั้น นางมิได้ต่างจากคนธรรมดาแม้แต่น้อย หลังเปลี่ยนเป็นศพมีชีวิตแล้ว นางก็สูญเสียประสาทสัมผัส ประสาทการรับรส ประสาทการดมกลิ่น จากนั้นก็สูญเสียโลหิตในกายทั้งหมดไป เนื้อตัวเปลี่ยนเป็นเย็นแข็ง ในร่างมีแต่กลิ่นไอความตาย เช่นเดียวกับกลิ่นศพ ทั่วทั้งแคว้นต้าโจวอันยิ่งใหญ่ในเลยจะมีที่ให้ศพมีชีวิตได้อยู่อย่างปกติได้? “
“มีแต่กลายเป็นผู้ครองแผ่นดินแห่งนี้ เปลี่ยนแปลงกฎบัญญัติชี้เป็นชี้ตายทั้งหลาย ถึงจะมีโอกาสรักษาชีวิตรอดไว้ได้ ” จีเย่ว์กล่าวไป ความเจ็บปวดในดวงตาของเขาก็ยิ่งพลุ่งพล่านขึ้นมา “ดังนั้นพระมารดาจึงไม่อาจรอได้อีกแล้ว หากรอไปอีกวันหนึ่ง โอกาสที่นางจะถูกพบว่าเป็นศพมีชีวิตก็ยิ่งมากขึ้น ยามนี้เอง ที่นางตัดสินใจเสียสละเจ้าไป “
และเขา……ก็ไม่ได้ปกป้องนางเอาไว้ให้ดี
จีเย่ว์พูดจบแล้ว ตู๋กูซิงหลันยังคงครุ่นคิดอยู่อีกพักใหญ่ คำพูดของเขาฟังดูคล้ายกับไม่มีปัญหาใดผิดปกติ แต่นางกลับรู้สึกว่ามีบางสิ่งที่ไม่ถูกต้องแฝงอยู่
เสียนไท่เฟย …..คล้ายกับมิใช่บุคคลประเภทที่ทำการใดเพื่อให้ตนได้มีชีวิตสืบต่อไป
นางหรี่ตามอง จดจ้องไปยังจีเย่ว์ไม่คลาย “เจ้าสามารถยืนยันได้หรือว่า คำพูดที่กล่าวกับข้าในวันนี้เป็นจริง ไม่มีโป้ปดแม้เพียงครึ่งคำ? “
จีเย่ว์ยกสองนิ้วขึ้นมาสาบาน “ไม่มีแน่นนอน”
ว่าแล้ว จีเย่ว์ก็ค่อยๆ ลดมือลง เขาแตะลงไปบนถ้วยชาาอุ่นๆ ที่นางรินไว้แต่เพียงเบาๆ ยามนี้ เขายังสามารถรู้สึกถึงไออุ่นจากมันได้เป็นอย่างดี
แต่ไม่รู้ว่า สำหรับตัวเขาแล้วความอบอุ่นนี้ จะคงอยู่ได้นานเพียงไร
สักวันหนึ่งเขาเองก็จะต้องเปลี่ยนร่างกลายเป็นศพไป กลายเป็นปีศาจที่ปราศจากความรู้สึกใดๆ เมื่อถึงยามนั้น นางจะยังคงยินยอมหันมามองเขาบ้างหรือไม่? “
” หลันเอ๋อร์ วันนี้เจ้าได้รู้ฐานะที่แท้จริงของข้าแล้ว เจ้าคิด….รังเกียจข้าบ้างหรือไม่? “
ยามที่ถามคำถามนี้ออกไป หัวใจของเขาก็กระดอนขึ้นลงไม่มีหยุด ทั้งอยากจะรู้คำตอบ แต่ก็กลัวว่าจะได้ยินคำตอบที่ตนเองไม่ต้องการ
ตู๋กูซิงหลันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตอบว่า ” ที่ผ่านมาตู๋กูซิงหลันย่อมไม่เคยรังเกียจเจ้า “
หัวใจของจีเย่ว์อบอุ่นวาบ แม้กระทั้งดวงตาที่มีแต่ความมืดมิดคู่นั้นยังทอประกายสว่างวาวขึ้นมา
แต่ว่าหัวใจของเขายังไม่ทันจะอบอุ่นดี ก็ได้ยินตู๋กูซิงหลันตอบว่า “น่าเสียดาย ตู๋กูซิงหลันในอดีตคนนั้นได้ตายไปเสียแล้ว ข้าในวันนี้ไม่คิดยึดครองเจ้าอีก ย่อมไม่จำเป็นต้องพูดถึงรังเกียจแล้ว “
จีเย่ว์พลันรู้สึกว่าหัวใจถูกแทงลงไปดาบหนึ่ง ความอบอุ่นที่ได้รับเมื่อครู่สลายไปไม่เหลือสิ่งใดอีก ทำให้เขาเจ็บปวดจนแทบหายใจไม่ออก
นับตั้งแต่ที่นางแต่งให้กับเสด็จพ่อไปในวันนั้น ก็ไม่เหลือหัวใจให้กับเขาอีกแล้วหรือ?
” แต่ว่าอี้อ๋อง ตัวท่านเองเถอะ ได้ฟังโหยวหนิงพูดเรื่องที่พระมารดาของท่านถูกทำร้ายด้วยมือของข้า ท่านไม่เกลียดชัง ไม่เคียดแค้นหรือ? “
จีเย่ว์กุมหัวใจตนเองไว้ “ไม่ว่าเจ้าจะทำสิ่งใด ข้าก็จะไม่โทษเจ้า”
ความทุกข์ทรมานที่นางได้รับนับตั้งแต่เข้าวังมา มีมากมายจนเขาคาดคิดไม่ถึง และทั้งหมดนั้นล้วนเกิดจากฝีมือของพระมารดา แต่เขากลับไม่อาจทำสิ่งใดได้ ถึงวันนี้แม้ต้องเผชิญกับผลลัพธ์ที่เช่นนี้ เขาก็ไม่มีสิทธ์จะไปตำหนินาง ยิ่งไม่มีเหตุผลจะไปชิงชังนาง
เขาได้แต่เกลียดตัวเอง ที่ไม่มีอิสระ ไม่มีอำนาจ
เขาเกลียดที่ตนเองไม่แข็งแกร่งเพียงพอ เกลียดที่ตนเองไม่กล้าลงมือให้เด็ดขาด ไม่อาจทำเพื่อนางโดยไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น
เมื่อตู๋กูซิงหลันได้เห็นเขาเปิดเผยจนหมดสิ้นเช่นนี้ หัวใจของนางก็ถูกความรักความผูกพันของเจ้าของร่างเดิมกระตุ้นความรู้สึกขึ้นมา ทำให้ใจของนางสั่นไหวด้วยความเจ็บปวด
เรื่องราวในโลกล้วนไม่ธรรมดา ต้องถือว่าชะตาฟ้าทำร้ายผู้คน
ยามเมื่อตู๋กูซิงหลันจะจากไป นางมอบน้ำมนต์ให้กับจีเย่ว์ขวดหนึ่ง นั่นเป็นสิ่งที่นางใช้โลหิตของวิญญาณทมิฬวาดยันต์กำเนิดชีวิตขึ้นมา และใช้น้ำค้างมาหลอมรวมจนสำเร็จ
ในโลกมิติก่อนหน้านี้ นำมนต์เช่นนี้มักใช้เพื่อล้างพิษทั้งหลาย ถึงแม้ว่าในวันนี้จะไร้หนทางที่จะสะกดพิษที่อยู่ในสายเดือดของจีเย่ว์ แต่ว่าอย่างน้อยก็ยังสามารถยืดเวลาออกไปได้อีกหลายปี ถือว่าเป็นสิ่งที่นางใช้ทดแทนความรักสุดชีวิตสุดจิตใจของเจ้าของร่างเดิมก็แล้วกัน
……………………………………
ยามที่นางกลับไปถึงพระตำหนักตี้หัวนั้น ท้องฟ้าก็มืดมิดไปหมดแล้ว
แต่ว่ายังสามารถมองเห็นฮ่องเต้ที่ประทับอยู่บนเก้าอี้กุ้ยเฟยของนางได้อย่างชัดเจน ท่ามกลายหิมะน้อยๆ กำลังโปรยปราย เขาเอาแต่จดจ้องดูนางจนเสมือนกับวิญญาณตนหนึ่ง
หากนางกลับมาช้ากว่านี้เพียงเล็กน้อย เขาจะต้องให้ราชองครักษ์ประจำตัว ไปจับตัวนางกลับมาตำหนักเย็นเป็นแน่!
หลี่กงกงยืนอยู่ข้างองค์ฮ่องเต้ คอยถือร่มถวาย สองมือของเขาเย็นแข็งดุจเดียวกับหัวไชเท้าไปแล้ว ทันทีที่มองเห็นไทเฮาน้อยเสด็จกลับมา สองตาก็เขาก็เป็นประกายวิบวับ รีบกราบทูลว่า “ไทเฮาพะยะค่ะ พระองค์เสด็จกลับมาแล้วว~”
หากว่าช้าไปอีกนิดละก็ เขาคงกลายเป็นน้ำแข็งไปแล้ว!
ไม่รู้ว่าฝ่าบาททรงเป็นอะไรไปกันแน่ จะต้องเสด็จลงมาตากหิมะรออยู่ตรงนี้ให้จงได้ ไม่ว่าเขาจะคะยั้นคะยอขอร้องเพียงไรก็ล้วนไม่ได้ผล
ดูเอาถอะ……ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในจวนตระกูลตู๋กูแล้วโดนไทเฮาน้อยกระทำเรื่องพรรค์นั้นเข้า……พอกลับมาก็ไม่ยอมห่างจากไทเฮาเลย
” ไทเฮาพะยะค่ะ หมอหลวงซุนได้ส่งยาของวันนี้มาแล้ว น้ำร้อนในพระตำหนักตี้หัวก็ต้มไปถึงห้ารอบแล้ว ยามนี้เพียงแต่รอพระองค์ลงมือผสมเท่านั้น “
ตู๋กูซิงหลันฟังดูคำพูดเหล่านี้แล้วอดจะทำหน้าแปลกๆ ไม่ได้ ว่าไงนะ จะให้นางไปช่วยต้มน้ำหรือไง?
จีเฉวียนสวมใส่ฉลองพระองค์ชุดยาว พระพักตร์ที่สง่างามนั้นมีละอองหิมะเกาะอยู่บางๆ เมื่อตู๋กูซิงหลันเดินเข้าไปใกล้ถึงได้ตรัสว่า “เข้าไปด้านใน”
ทันทีที่มีรับสั่ง หลี่กงกงก็สั่งให้คนเข้ามายกฮ่องเต้ไปทั้งเก้าอี้เข้าไปยังเรือนปีกข้างของพระตำหนัก
ที่นี่เป็นห้องสรงที่จีเฉวียนทรงใช้อยู่เป็นประจำทุกวัน เรียนว่าสระเย่วหัว
สระน้ำจัดสร้างเป็นรูปดอกกุ้ยฮวา (ดอกไม้หอมห้ากลีบ) สามารถให้ผู้คนยี่สิบคนลงแช่น้ำได้พร้อมๆ กัน
ทั้งสี่ด้านล้อมด้วยกำแพงกระจกสีกระทั่งหลังคาก็ยังเป็นกระจกแก้ว ทำให้แสงเดือนและแสงดาวสามารถส่องสว่างลงมาได้ จนทั้่วทั้งห้องสรงดูเรืองรองระยิบระยับ
ภายในสระมีไอน้ำหมุนวน ทั้งยังมีกลิ่นยาสมุนไพรเข้มข้นไม่น้อย
ฮ่องเต้ทรงถอดฉลองพระองค์ตัวนอกออกไป เหลือเพียงฉลองพระองค์ตัวในที่บางและขาวดุจหิมะ ชาววังเข้ามาประคองพระองค์ลงไปในสระน้ำ จากนั้นก็โปรยกลีบดอกกุ้ยลงไปอีกชั้นหนึ่ง ภาพที่ปรากฎเบื้องหน้างดงามเหนือธรรมดายิ่ง
ค่ำคืนนี้ไร้แสงจัทร์ ในห้องจึงจุดเทียนมากมาย ภายใต้แสงสะท้อนกระจกแวววาม ทั่วทั้งสระน้ำเย่วหัวจึงงดงามเหนือบรรยาย
ฮ่องเต้เจ้าชีวิตทรงสนานอยู่ในสระน้ำ พระวรกายตลอดพระองค์อยู่ในน้ำ แต่สระไม่ลึก ไม่ได้ท่วมถึงไหปลาร้าของพระองค์ พระเกศาทั้งหมดถูกปล่อยออกมา ดูราวกับสาหร่ายที่หมุนพันอยู่ในน้ำ ดวงพักตร์ที่งดงามล้ำเลิศนั้นเพราะถูกความร้อนในน้ำเข้า จึงปรากฎสีสันที่ธรรมดาไม่เคยได้เห็นขึ้นมา
ในช่วงเวลานั้นเอง ในสมองของตู๋กูซิงหลันพลันปรากฎคำหนึ่งขึ้นมา — จอมมาร
เจ้าฮ่องเต้ที่น่ารังเกียจผู้นี้ กลับเป็นไอ้หนุ่มที่ได้รับใบหน้าอันล้ำเลิศจากสรวงสวรรค์ ทั้งรูปโฉมและเรือนร่างเช่นนี้ช่างล้ำเลิศนัก เมื่อปลดเปลี้องเครื่องทรงประจำพระองค์ฮ่องเต้ออกไป เหลือเพียงรูปลักษณ์ตามธรรมชาติ ก็ดูเย้ายวนน่ามองไปจนถึงแก่นกระดูก
นางยืนอยู่ที่ริมสระเย่วหัวอย่างไม่รู้ว่าตนเองสมควรจะทำสิ่งใดดี
ไอ้หนุ่มนั่นสั่งให้นางมาคอยรับใช้เวลาแช่ยาตลอดครึ่งเดือนนี้ แต่พอนางมาถึงกลับไม่มีเรื่องใดให้นางต้องลงมือกระทำแม้แต่น้อย จะปล่อยให้นางได้ชมดูพระพักตร์ที่งามล้ำหาใดเปรียบและพระวรกายที่ล้ำค่าดุจทองคำแบบนี้นะหรอ?
หลังจากที่ชาววังทั้งหลายจัดแจงทุกสิ่งเรียบร้อยแล้ว ก็พากันถอยออกไป เพียงชั่วขณะเดียวทั่วทั้งพระตำหนักเย่วหัวก็เหลือเพียงพวกเขาสองคน
ฮ่องเต้ประทับนั่งอยู่ในสระ สองพระหัตถ์พาดอยู่บนขอบสระ ดวงเนตรหงส์ปิดลง ตรัสถามออกมาเบาๆ ว่า ” ไปเจออี้อ๋องมาหรือ? “
ตู๋กูซิงหลัน “อืม”
” เขาทำให้เจ้าลำบากใจหรือไม่”
” ไม่มีหรอก ” ตู๋กูซิงหลันส่ายศีรษะ
เจ้าจัดการพระมารดาของเขาเสียจนเป็นเช่นนี้ เขากลับไม่ตัดพ้อแม้เพียงครึ่งคำ นี่เป็นความรักแท้หรือว่าแสร้งเป็นน่าสงสารกันแน่? “
ตู๋กูซิงหลัน “…..” นี่เขากำลังพูดเรื่องประหลาดอันใดอยู่กันแน่?
ครู่ต่อมา จึงเห็นพระองค์ลืมพระเนตรขึ้น จดจ้องมองนางอย่างตรงไปตรงมา “วันนี้เราได้พบเสียนไท่เฟยอีกครั้ง เจ้าเดาดูสิว่านางกล่าววาจาใดกับเรา? “
ตอนที่ 121 องค์หญิงองค์สุดท้าย
ตู๋กูซิงหลันนั่งลงบนม้านั่งตรงข้ามสระน้ำ สุ่มหยิบเอาผลไม้ที่แวววาวดุจอัญมณีขึ้นมาลูกหนึ่ง ค่อยหันไปคลี่ยิ้มน้อยๆ ให้พระองค์
ผลไม้ที่แดงสดใสนั้นถูกคีบอยู่บนปลายนิ้ว ประกบลงไปบนกลีบปากที่แดงฉ่ำปานกลีบดอกไม้นั้นอย่างช้าๆ เมื่อกัดเข้าไปคำหนึ่ง ก็ปรากฎน้ำผลไม้สีแดงใสออกมา น้ำผลไม้บนริมฝีปากไหลลงไปถึงปลายคาง
จากนั้นค่อยหยดลงไปบนลำคอที่งามระหง ตู๋กูซิงหลันใช้ปลายนิ้วลูบเช็ดขึ้นมาเบาๆ น้ำผลไม้ที่เปรอะบนปลายนิ้ว ถูกนางละเลียดลงไปคำหนึ่ง จากนั้นค่อยหันไปตอบคำถามจีเฉวียน “ฝ่าบาท ทรงเดาสิเพคะว่าหม่อมฉันจะเดาหรือไม่? “
ไอน้ำระเหยเป็นม่านหมอก จีเฉวียนมองดูกิริยาของนาง ช่างเป็นนางมารที่ล่อลวงวิญญาณผู้คนโดยแท้
เพียงแค่ดวงตาดอกท้อคู่นั้น ก็ราวกับบึงน้ำลึกสุดหยั่งที่ดึงดูดผู้คนให้จมลงไป
ทั้งๆ ที่การแต่งกายของนางมิได้งดงามเลยสักนิด ถึงขั้นที่สามารถเรียกได้ว่าจืดชืดไร้ความน่าดู แต่ว่าในช่วงขณะนั้นกลับทรงรู้สึกว่าไม่อาจละสายพระเนตรไปจากนางได้ ราวกลับว่าแสงสว่างใดๆ ในสระเย่วหัวล้วนถูกนางกลบรัศมีไปเสียจนสิ้น
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน นับตั้งแต่ที่ฮ่องเต้ทรงรู้สึกว่าสตรีผู้นี้พอดูได้ไม่ขัดหูขัดตาอยู่บ้าง พระองค์ก็ยิ่งมองดูก็ยิ่งรู้สึกว่านางน่าดูมาขึ้นเรื่อยๆ น่าดูจนถึงขนาดที่ทรงรู้สึกว่าน่าดึงดูดเสียแล้ว
ฝ่าบาททรงรู้สึกว่าพระองค์ประชวรเข้าแล้ว! ทั้งยังประชวรไม่น้อยทีเดียว! นี่จะต้องเป็นเพราะว่าสายพระเนตรเกิดปัญหาขึ้นแล้วเป็นแน่
ความสามารถทางการแพทย์ของหมอหลวงซุนอย่างไรเสียก็ต้องมีขีดจำกัดจึงได้ตรวจไม่พบพระอาการประชวร สมควรที่จะทรงมีรับสั่งให้เรียกตัวหมอที่มีฝีมืออีกสักชุดเข้ามาในวังแล้ว
ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ถึงได้รู้สึกพระองค์ขึ้นมา ทรงหรี่พระเนตรหงส์มองดู “เจ้าเดาสิว่าเราจะเดาเจ้าหรือไม่เดา? ดูท่าเจ้าจะดื้อดึงมากเกินไปแล้ว คำถามของเรา มีหรือให้เจ้าถามกลับได้? “
สมควรจับตัวนางมาฟาดยิ่งนัก นางจะได้รู้ว่าอะไรคือรับสั่งฮ่องเต้ไม่อาจขัดขืน!
ตู๋กูซิงหลันยังลิ้มรสผลไม้สีแดงนั้นต่อไป กลีบปากของนางถูกย้อมไปด้วยน้ำผลไม้ ทำให้ริมฝีปากนั้นดึงดูดผู้คนมากกว่าเดิม นางหันมาคลี่ยิ้มอ่อนหวานให้กับจีเฉวียน “ฝ่าบาท พระองค์ก็ทรงรู้ว่าข้าโง่เขลา ไหนเลยจะคาดเดาได้ว่าเสียนไท่เฟยกล่าวอะไรไป? ขอทรงโปรดเมตตาอย่าปิดบัง อย่าได้กลั่นแกล้งหม่อมฉันอีกเลยเพคะ “
น้ำเสียงของนางนุ่มนวลอ่อนหวาน ทั้งยังมีอารมณ์ของสาวน้อยอยู่หลายส่วน
เมื่อมองดูนางผ่านไอน้ำ จีเฉวียนก็เกือบจะถลำตัวเชื่อคำพูดไร้สาระเหล่านั้นเข้า เขาขยับตัวเปลี่ยนอริยาบท จนน้ำในสระเกิดแรงกระเพื่อม
” นางเตือนเราเรื่องท่านย่าของเจ้า เจียงเย่วฮูหยิน “
ตู๋กูซิงหลัน “เอ๋? “
จีเฉวียนมิได้รีบร้อนอธิบายให้นางฟัง หากถามกลับว่า ” เจ้าเคยได้ยินเรื่องแคว้นต้าเย่วหรือไม่? “
นางทางหนึ่งกินผลไม้ทางหนึ่งก็ผงกศีรษะอย่างไม่ใส่ใจเท่าใด “ก็ได้ยินมาบ้าง”
หลังจากที่เกิดคดีของเสียนไท่เฟยแล้ว ทั่วสังคมภายนอกผู้คนต่างก็ถกเถียงเรื่องแคว้นต้าเย่วกันใหญ่ นางจะอย่างไรก็ได้ฟังมาบ้างเล็กๆ น้อยๆ ต่างก็ไม่พ้นเรื่องแคว้นต้าเย่วมีทหารศพมีชีวิตอยู่จำนวนหนึ่ง และเสียนไท่เฟยมีความเกี่ยวพันกับแคว้นต้าเย่ว
” เช่นนั้นเจ้าเคยได้ยินคนในครอบครัวพูดไหมว่า เสียนไท่เฟยและเจียงเย่วฮูหยินมีความสัมพันธ์ต่อกันเช่นไรแน่? “
พอจีเฉวียนถามคำถามนี้ออกมา ตู๋กูซิงหลันก็ชะงักไปเล็กน้อย นางทราบดีว่า ที่ผ่านมาตระกูลตู๋กูดีต่อเสียนไท่เฟยอย่างยิ่ง แต่ว่าที่แท้จริงแล้วมีความสัมพันธ์เช่นไร กลับไม่เคยได้ยินมาก่อน
“ดูจากกิริยาของเจ้าแล้ว ก็จะไม่ทราบเป็นแน่ ” จีเฉวียนดึงสายตากลับมา มองดูกลีบดอกกุ้ยที่ลอยอยู่บนสระน้ำ สายพระเนตรพลันอึมครึมขึ้นมาอีก
ผ่านไปอีกครู่ใหญ่พระองค์จึงได้ตรัสว่า ” เสียนไท่เฟย เดิมชื่อว่า เจี่ยงเวย เมื่อสามสิบปีก่อน ภายใต้ความขัดสนไร้หนทางจึงถูกเจียงเย่วฮูหยินรับตัวไว้ ต่อมา ภายใต้การจัดการของเย่วฮูหยิน เจี่ยงเวยได้กลายเป็นนางกำนัลพระจำพระองค์ของเสด็จแม่ “
” ไม่ต้องคิดก็รู้เลยว่า ตั้งแต่วันนั้นที่นางได้พบกับเสด็จแม่ ก็เป็นหมากที่เย่วฮูหยินวางเอาไว้ “
ตู๋กูซิงหลันตั้งใจฟังอย่างละเอียด จนหัวคิ้วขมวดมุ่น “ความหมายของฝ่าบาทก็คือ เสียนไท่เฟยเป็นคนของท่านย่าหม่อมฉัน? นางตั้งใจส่งตัวเสียนไท่เฟยมาอยู่ข้างกายฉางซุนฮองเฮา เพื่อให้ได้ใกล้ชิดกับอดีตฮ่องเต้? “
ข้อมูลนี้มีที่มายิ่งใหญ่ไม่น้อย แต่นางกลับคิดหาสาเหตุที่ท่านย่าต้องการกระทำเช่นนั้นไม่ออก
จีเฉวียนเหลือบตามองดูนางคราหนึ่ง “เจ้าไม่ใช่คนโง่จริงๆ “
ตู๋กูซิงหลันยังไม่คลายมือจากผลไม้ นางกัดลงไปอีกคำใหญ่ด้วยความประหลาดใจ “ฝ่าบาทส่งปรีชากล้าหาญเหนือผู้คน คำพูดของนางเพียงไม่กี่คำ ก็ทรงเชื่อแล้วหรือ? “
” เจ้าไม่จำเป็นต้องมาทำยกยอเสริมหมวกให้เรา เรามิใช้ผู้นำที่มัวเมา ทั้งยังไม่ใช่ตัวโง่เขลา ” ผิวบนพระพักตร์ของฝ่าบาทถูกยาในสระรมจนมีเหงื่อออกบางๆ ชั้นหนึ่ง ความเจ็บปวดที่มีอยู่ก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย
พระองค์ประทับยืนอยู่กลางสระ เสด็จเข้าไปใกล้ตู๋กูซิงหลันอีกหลายก้าว คนช่างงดงาม รูปร่างก็ยิ่งเลิศล้ำ แต่ว่าท่วงท่ายามเดินเหินกลับกระบิดกระบวยอยู่บ้าง
หากไม่ใช่เพราะตู๋กูซิงหลันรู้ว่าเขาได้รับบาดเจ็บ คงจะต้องสงสัยแน่ว่า เขาถูกท่านราชครูรังแกจับพลิกคว่ำบนเป็นล่างมาแน่นอน
กระทั่งในที่สุดยามเมื่อเขาเสด็จเข้ามาใกล้ตู๋กูซิงหลัน ก้าวผ่านไอน้ำที่บดบังนางไป เขาก็ตรัสอีกว่า ” ดอกไฮ่ถางในพระตำหนักเฟิงหมิงและตระกูลตู๋กู ที่ใดผลิบานได้งดงามกว่ากัน? “
พออยู่ดีๆ ก็ถูกถามขึ้นมาเช่นนี้ ในสมองของตู่กูซิงหลันก็บังเกิดเครื่องหมายคำถามขึ้นมาทันที
“ความหมายของฝ่าบาทก็คือ…….”
จีเฉวียนจ้องมองนาง ก็เห็นว่าสีหน้าของตู๋กูซิงหลันแปลกประหลาดไปในทันที
พระองค์คลายพระขนง สตรีผู้นี้ฉลาดล้ำจริงๆ เพียงแค่กระตุ้นก็รู้ได้ทันทีว่าปัญหาอยู่ที่ใด
นี่ก็สมควรอยู่บ้าง อาศัยฝีมือของนางเพียงคนเดียวก็สามารถล่อลวงให้เสียนไท่เฟยกระโดดลงไปในกับดักได้ นางจะเป็นคนโง่ไปได้อย่างไร
พอเขาครุ่นคิดถึงตรงนี้ ก็ได้ยินนางกล่าวออกมาว่า “ฝ่าบาท พระองค์คงมิได้พอพระทัยในสวนไฮ่ถางของบ้านเรา คิดจะสั่งให้คนไปขุดมาใช่ไหม? ยามนี้เป็นฤดูหนาวแล้ว ต้นไม้ยากที่จะรอดชีวิตได้ ดอกไฮ่ถางในพระตำหนักเฟิ่งหมิงก็งดงามมากอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเอาที่บ้านของหม่อมฉันมาหรอกมั้ง? “
สมองของสตรีผู้นี้ ทำไมวันๆ ถึงได้เอาแต่พะวักพะวงอยู่กับสมบัติข้าวของมีค่า!
” ก็พระองค์ทรงเอามาทุกอย่าง แม้แต่เก้าอี้กุ้ยเฟยของหม่อมฉันยังยกมาด้วย…..” ตู๋กูซิงหลันยังไม่ลืมเตือนเขาเสียงเบา
ไม่ต้องพูดถึงว่าเก้าอี้ตัวนี้ของนางนั่งสบายหรือไม่ แค่มองดูอัญมณีเม็ดใหญ่ที่ฝังอยู่บนนั้น คนก็รู้สึกอารมณ์ดี ผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูกแล้ว
จีเฉวียน “………” แค่เก้าอี้ตัวเดียว มันสำคัญมากขนาดนั้นเลยหรือ? เอาแต่เสียดายไม่ยอมยกให้เขาอยู่ได้ นี่ยังคิดจะทวงกลับไปอีกรึ!
ผู้คนมากมายคิดจะมอบสิ่งของให้เขา เขายังไม่เหลือบแลแม้แต่น้อย!
อย่าว่าแต่ ใครกันที่เคยกล่าวเอาไว้ตั้งแต่แรก ว่าจะดูแลเขาเหมือนดั่งบุตรในอุทร นี่นางดูแลลูกแบบนี้หรือไง?
พอไม่ทันระวัง ฮ่องเต้ก็ถูกนางลากออกนอกเรื่องไปแล้ว “เก้าอี้ที่ได้รับความโปรดปรานจากร่างกายของเรา ก็ย่อมต้องเป็นของเรา หากว่าเจ้ายังเสียดายละก็ เราอนุญาตให้เจ้ามานั่งที่พระตำหนักตี้หัวได้บ่อยๆ
พอได้ฟังเข้า เจ้าวิญญาณทมิฬก็โผล่ออกมาอีกครั้ง! “เจ้าฮ่องเต้สุนัขนี่คือพวกจี้ปล้นโดยแท้! หลันๆ จะให้อั้วลงมือกัดเขาอีกรอบไหม? ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าควรจะงับลงไปที่ตรงไหน ฮืมๆ “
” คราวนี้รับรองว่าต้องสำเร็จ เอาให้มันสิ้นลูกสิ้นหลานไปเลย”
ตู๋กูซิงหลันกรอกตามองเจ้าถวนจื่อบนบ่า ก็เห็นใบหน้าของมันแสยะแยกเขี้ยว กระเ**้ยนกระหือรือเสียจนมือป้อมๆ นั้นสั่นน้อยๆ
พอสมองของนางลองจินตนาการภาพเจ้าวิญญาณทมิฬกัดฮ่องเต้ในสมอง นางก็รู้สึกขนอ่อนลุกทั่วตัว คนก็พลอยรู้สึกตะครั่นตะครอไปด้วย
นางรีบจัดการกดหัวมันกลับลงไปในทันที จากนั้นพอหันกลับก็พบว่าฝ่าบาทผู้ถูกนินทาอยู่นั้นกลับไปมีสีพระพักตร์เป็นภูเขาน้ำแข็งอีกครั้ง
” พระตำหนักเฟิ่งหมิง เป็นสถานที่ที่ปฐมกษัตริย์ทรงสร้างขึ้นเพื่อสตรีในดวงใจ เพราะได้ฟังว่าสตรีผู้นั้นชื่นชอบดอกไฮ่ถางเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นทั่วทั้งพระตำหนักเฟิ่งหมิงจึงเต็มไปด้วยดอกไฮ่ถาง “
จากนั้น นางก็ได้ยินฮ่องเต้ตรัสเสริมอีกว่า “องค์หญิงองค์สุดท้ายของแคว้นกู่เย่ว์ ก็โปรดปรานดอกไฮ่ถางเป็นอย่างมาก “
ตอนที่ 122 แรงดึงดูดมหาศาล
” ผู้คนใต้หล้าต่างพูดกันว่า ยามที่ปฐมกษัตริย์เสด็จปราบปรามแคว้นกู่เย่ว์ ได้ประหารชาวเผ่ากู่เย่ว์จนสิ้น แต่กลับไม่ทราบว่า ปฐมกษัตริย์ทรงละเว้นชีวิตของคนผู้หนึ่งไว้ ทั้งยังนำตัวนางกลับมายังเมืองหลวงด้วย “
“สตรีที่ถูกนำกลับมาจากแคว้นกู่เย่ว์ผู้นั้น แม้ตายก็ไม่ขอยอมเข้าวัง สุดท้าย นางก็แต่งให้กับตระกูลตู๋กู กลายเป็นนายหญิงของตระกูลตู๋กูไป “
ตรัสแล้ว จีเฉวียนก็ทรงเหลือบพระเนตรมองม้วนอักษรไม้ไผ่บนโต๊ะข้างตัวนาง “สิ่งนี้เป็นสารลับของปฐมกษัตริย์ที่เก็บงำอยู่ในพระตำหนักเฟิงหนิง ทั้งหมดคือบันทึกยามที่ปฐมกษัตริย์ทรงคิดคำนึงถึงนาง “
บันทึกที่เก็บซ่อนความคะนึงหาและความรักทั้งหมดที่ปฐมกษัตริย์ทรงมีให้กับเย่วฮูหยินถูกเก็บรักษาเอาไว้บนชั้นบนสุดของหอสูงในพระตำหนักเฟิงหนิง กุญแจประจำหอสูงนั้นมีแต่ฮ่องเต้ในแต่ละรุ่นสามารถถือครองไว้
ปฐมกษัตริย์ทรงทิ้งรับสั่งเอาไว้ หลังจากที่ฮ่องเต้องค์ต่อๆ ไปขึ้นครองราชย์ จะต้องเสด็จมาเปิดดูห้องชั้นบนของพระจำหนักเฟิงหนิงด้วยพระองค์เอง ทำความเข้าพระทัยความสัมพันธ์ที่ผ่านมาของต้าโจวและแคว้นกู่เย่ว์ ทั้งยังมีราชโอการให้ฮ่องเต้ในรุ่นหลังล้วนต้องให้ความเคารพต่อเย่วฮูหยิน
ทั้งยังย้ำเตือนพวกเขาเรื่องการครองตนของผู้นำ อย่าได้กระทำผิดพลาดเช่นที่พระองค์ทรงเคยกระทำในตอนนั้น
ดังนั้นจีเฉวียนจึงทรงทราบฐานะของเย่วฮูหยินตั้งแต่แรกแล้ว เมื่อได้พบเจอกับเรื่องประหลาดลี้ลับต่างๆ ในสุสานของเย่วฮูหยิน เขาจึงได้ไม่ประหลาดใจอันใด
รวมถึง ยามที่ได้เห็นว่าตู๋กูซิงหลันมีความสามารถในการใช้ยันต์และปราบปีศาจพวกนั้นด้วย เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าแปลกประหลาดจนเกินเลย เพราะเดิมที่แคว้นกู่เย่ว์เองก็เต็มไปด้วยเรื่องประหลาดลี้ลับเหล่านี้อยู่แล้ว นางซึ่งเป็นทายาทรุ่นหลังของเย่วฮูหยิน จะมีความสามารถแปลกๆ พวกนี้อยู่บ้าง ก็อยู่ในความคาดคะเนของเขาอยู่แล้ว
แต่ว่าที่เขาคิดไม่ถึงก็คือ ระหว่างเสียนไท่เฟยและเย่วฮูหยินยังมีความสัมพันธุ์อีกชั้นหนึ่งอยู่ด้วย
บันทึกไม้ไผ่ที่อยู่บนโต๊ะเหล่านั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสิ่งของล้ำค่าของปฐมกษัตริย์ที่เก็บเอาไว้ในหอสูง นี่เป็นเพียงเรื่องราวความรักของชายหญิง แต่ไม่ได้เปิดเผยความเล้นลับใดๆ
ตู๋กูซิงหลันเปิดออกดู ประโยคแรกนั้นเขียนไว้ว่า “เจียงเย่วที่รักของเรา…..”
เนื้อหาล้วนหนีไม่พ้นความคิดคำนึงสุดหยั่ง ความเจ็บปวดรวดร้าว โศกเศร้า และเสียดาย
ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าสองมือเหน็บชาไปหมดราวกับขาดเลือด!
ในสมองของนางยามนี้สับสนวุ่นวายไปหมด…….หลังจากครุ่นคิดจัดลำดับอยู่อีกครึ่งค่อนวันถึงได้ข้อสรุปออกมาบ้างเล็กน้อย
” ความหมายก็คือ ท่านย่าของข้าเป็นองค์หญิงของแคว้นกู่เย่ว์ ปู่ของท่านกับปู่ของข้าเป็นศัตรูความรักกัน? ท่ามกลางความรักสามเส้าที่วุ่นวายนี้ ปู่ของข้าคือผู้ที่ได้ชัยในที่สุด? ท่าเช่นนั้นปู่ของข้าก็นับว่าสุดยอดไปเลย! แม้แต่สตรีในดวงใจของปฐมกษัตริย์ก็กล้าแย่งมา เจ๋ง! “
ดูเอาสิในบันทึกลับของปฐมกษัตริย์นี้เต็มไปด้วยความคิดคะนึงหาอย่างที่สุด เรียกว่าแทบจะควักหัวใจออกมาเลย
ท่านปู่สามารถชิงท่านย่ามาจากพระหัตถ์ของเขาได้ นับว่ายอดเยี่ยมอย่างแท้จริง!
จีเฉวียน “…..” เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมการจับประเด็นของตู๋กูซิงหลันถึงได้ประหลาดถึงเพียงนี้
” ดูท่าเจ้ายังฟังคำพูดของเราไม่เข้าใจสักเท่าไหร่นัก ” สีพระพักตร์ของจีเฉวียนเย็นชาอย่างยิ่ง “แคว้นต้าโจวปราบปรามแคว้นกู่เย่ว์ เย่วฮูหยินคือผู้สืบทอดสายโลหิตของผู้ครองแคว้น การที่นางอบรมดูแลเสียนไท่เฟยมาด้วยตนเอง มีสิทธิ์อย่างมากที่จะทำไปเพื่อทำลายแคว้นต้าโจว”
ตู๋กูซิงหลันลูบปลายคางอย่างครุ่นคิด หากว่าเรื่องนี้เป็นจริงละก็ ด้วยความโกรธแค้นที่ล่มชาติ ทำลายล้างบ้านเมือง หากว่าท่านย่าคิดจะล้างแค้นก็นับว่าเข้าใจได้อยู่
ปฐมกษัตริย์คือศัตรูคู่แค้นที่ไม่อาจอยู่ร่วมฟ้าเดียวกัน นางย่อมไม่มีทางยอมแต่งให้กับปฐมกษัตริย์เป็นแน่
ดังนั้นจึงได้อบรมเลี้ยงดูเสียนไท่เฟยขึ้นมา เหตุผลเช่นนี้ก็พอจะกล่าวได้อยู่
แต่พอคิดๆ ดูแล้ว ตู๋กูซิงหลันก็ตอบกลับว่า “หากว่านางคือคนที่ท่านย่าของหม่อมฉันอบรมเลี้ยงดูจริงๆ ละก็ สมควรที่จะดูแลทะนุถนอมหม่อมฉันต่างหาก หากว่าไม่ใช่เพราะว่าหม่อมฉันมีไหวพริบอยู่บ้าง ก็คงจะถูกนางให้ร้ายจนกลายเป็นปีศาจ ถูกเผาเป็นขี้เถ้าไปแล้ว “
” ยิ่งไปกว่านั้น ท่านย่าก็จากโลกนี้ไปนานหลายปีแล้ว ปากอยู่บนร่างของเสียนไท่เฟย นางคิดจะใส่ความท่านย่าของหม่อมฉันอย่างไร ท่านย่าก็ไม่มีโอกาสอธิบายแก้ต่างได้ เรื่องนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง ขอฝ่าบาทอย่าได้ทรงรีบร้อนตัดสิน “
ตู๋กูซิงหลันกล่าวจนจบแล้ว ก็ไม่เห็นว่าจีเฉวียนจะทรงมีดำรัสตอบเช่นไร พระองค์พิงอยู่กับขอบสระ ดวงเนตรหงส์นั้นเอาแต่จดจ้องมายังนาง มองเสียจนหัวใจของตู๋กูซิงหลันรู้สึกคันยุกยิกขึ้นมา
ทันใดนั้นราวกับคิดขึ้นมาได้ว่า เรื่องของท่านย่า แม้แต่เจ้าของร่างเดิมและเชียนเชียนต่างก็ไม่เคยได้รู้มาก่อน พี่ใหญ่เองก็ไม่เคยกล่าวถึง เรื่องนี้ย่อมเป็นความลับอย่างที่สุดเป็นแน่ แล้วทำไมเจ้าฮ่องเต้สุนัขนี่ถึงได้เอามาบอกนางง่ายๆ?
หากว่าเขาเกลียดชังนาง ทำไมถึงได้เล่าให้นางฟังราวกับเป็นเพียงเรื่องธรรมดาเรื่องหนึ่ง?
นี่…..คงไม่ใช่ว่าคิดจะให้นางได้ตายอย่างเข้าใจมั้ง?
ตู๋กูซิงหลันคิดได้แล้วก็ลูบไล้ลูกกระเดือกของตนเอง ค่อยๆ กลืนน้ำลายที่ไร้รสชาติลงไปคำหนึ่ง ” ฝ่าบาท คงไม่ใช่เพราะว่าฐานะของท่านย่า พระองค์จึงคิดจะเอาชีวิตน้อยๆ ของหม่อมฉันหรอกนะ? “
” ศีรษะของเจ้าจะคิดเป็นเงินได้สักเท่าไร? เราจะเอามาทำอะไร? “
” จริงด้วยๆ เพคะ ไม่กี่ตำลึงเท่านั้น! ” ตู๋กูซิงหลันพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ศีรษะของหม่อมฉันยังน่าดูอยู่มาก เก็บเอาไว้ดู ล้างตาบ้างนับว่ามีประโยชน์มาก “
ตู๋กูซิงหลันว่าพลางก็ไม่ลืมมองดูเงาของตนเองที่สะท้อนอยู่ในถ้วยน้ำชา อืม….นับว่างดงามมากจริงๆ
จีเฉวียนทอดพระเนตรมองดูนางที่ทำท่างทำทางเข้าข้างตนเองอย่างจริงจัง มุมโอษฐ์ก็ชักจะกระตุกขึ้นมา ” เราชักจะรู้สึกว่าศีรษะของเจ้าก็น่าดูไม่เลว หากว่าตัดออกมาคงจะขายได้หลายเงินอยู่ไม่น้อย “
” ต่อให้ขายไม่ได้เงิน แต่ว่าแขวนเอาไว้ในห้องเป็นของตกแต่งอย่างหนึ่ง ก็นับว่าดูไปสบายตาดีไม่เลวเลย “
” หรือต่อให้ทำเป็นของตกแต่งไม่ได้ เอาไปตุ๋นลงหม้อก็คงจะได้รสชาติดีมาก”
ตู๋กูซิงหลัน “!!! ” ไอ้หนุ่มนี่เป็นมารปีศาจหรือยังไง? หรือเป็นเผ่าโบราณที่กินคนกัน?
ถ้าหากจะตัดก็ต้องเป็นนางที่ตัดหัวสุนัขของเขาลงมามากกว่ามั้ง?
นางฝืนยิ้มออกมา แม้แต่นิ้วมือที่ยังเปรอะเปื้อนน้ำผลไม้ก็ยังสะบัดเป็นพัลวัน “อยู่ดีๆ หม่อมฉันก็รู้สึกว่าตนเองอัปลักษณ์มาก อัปลักษณ์อย่างที่สุดไปเลย อัปลักษณ์เสียจนทำให้ปวดตา ไม่เหมาะจะทำของตกแต่งเลยสักนิด! หากว่าเสวยศีรษะของหม่อมฉันเข้าไปก็อาจจะทำให้กลายเป็นคนโง่ได้! “
พอเห็นนางตื่นตระหนกราวกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง ฮ่องเต้ก็ทรงลอบแย้มสรวลอย่างเงียบๆ พระองค์ทรงค้นพบว่าสตรีผู้นี่ยามเฉลียวฉลาดก็ปราดเปรียวอย่างที่สุด ยามโง่เขลาขึ้นมานั้น….อืม ……..คล้ายกับว่าจะมีความน่ารักอยู่บ้าง
พอดำริได้เช่นนี้ สีพระพักตร์ของจีเฉวียนก็เปลี่ยนเป็นดำคล้ำ! ดวงตาของเขาชักจะอาการหนักเข้าไปทุกที ถึงได้อยู่ๆ ก็รู้สึกขึ้นมาว่า สตรีที่ใจดำทั้งยังรู้จักเสแสร้งผู้นี้น่ารัก?
พระองค์รีบหุบยิ้ม แล้วตรัสเสียงเบาๆ ว่า “หากว่าเจ้ารู้จักประมาณตนเองก็นับว่าดีแล้ว “
วิญญาณทมิฬ “ดูสิอั๋วว่าแล้วไหมละ? ปากของบุรุษนั้นหลอกลวงเสียยิ่งกว่าผีทั้งหลาย เมื่อไม่กี่วันก่อนเขายังบอกว่าเจ้าเป็นเซียนหญิงอยู่เลย! “
ตู๋กูซิงหลัน “ฝ่าบาท ในเมื่อหม่อมฉันหน้าตาอัปลักษณ์ ก็จะไม่ขออยู่ที่นี่ให้ระคายเคืองพระเนตรแล้ว ขอประทานอนุญาตทูลลากลับไปเก็บตัวเสียเดี๋ยวนี้ รับรองว่าจะไม่ปรากฎตัวขึ้นเบื้องพระพักตร์อีกเพคะ “
ได้ยินแล้วไหมละ? เมื่อครู่เจ้าฮ่องเต้สุนัขนั่นหัวเราะเยาะใคร? รสชาติเช่นนี้เป็นอย่างไรบ้าง?
ฮ่องเต้ทรงหรี่พระเนตร …….ครู่ใหญ่ถึงได้กล้ำกลืนโทสะที่เกือบจะระเบิดออกมาลงไปได้ นางช่างสมควรตายไปเสีย!
ตู๋กูซิงหลันพูดแล้วก็ทำท่าจะลุกขึ้นยืน แต่ยังไม่ทันได้ลุก กลับได้ยินรับสั่งเย็นชาขึ้นมาว่า “ก็ลองเดินไปก้าวหนึ่งดู เราจะได้ตัดขาของเจ้าทิ้ง! “
ตู๋กูซิงหลัน “……..” พูดจริงหรือเปล่า เจ้าฮ่องเต้สุนัขอย่าคิดจะมาบีบนางให้จนมุม ประเดี๋ยวแม่ควบคุมตัวเองไม่ได้ ระเบิดบึ้มขึ้นมาจับเจ้ามาสับโช๊ะจบเลย
นางสงบนิ่งอยู่ที่เดิม กลับเห็นฮ่องเต้กวักพระหัตถ์เรียก “มาที่ข้างกายเรา “
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น