เทพปีศาจหวนคืน 1188-1192

 เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1188 การทดสอบของปีศาจ


แปลโดย iPAT 


หลายวันต่อมา


ภาคเหนือ ถ้ำปีศาจคลั่ง


“หลิวกวนซื่อ เรารอเจ้าอยู่!” ปู้อู๋หมิงออกมาต้อนรับฟางหยวนกับชูตู๋


ทั้งสามพูดคุยกันและเดินลึกเข้าไปในถ้ำ


ฟางหยวนพบว่าเส้นทางในครั้งนี้แตกต่างจากก่อนหน้าเล็กน้อย


“เส้นทางในถ้ำปีศาจเปลี่ยนแปลงบ่อยเพียงใด?” ฟางหยวนถาม


“พวกมันเปลี่ยนแปลงบ่อยขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นเส้นทางที่เราใช้ก็ต้องเปลี่ยนเช่นกัน เมื่อเสียงปีศาจดังขึ้น สัตว์อสูรจะกลายเป็นบ้าคลั่งและทำให้ภูมิประเทศเปลี่ยนไป” ปู้อู๋หมิงอธิบาย


หลังจากชั่วครู่พวกเขาก็พบเพิ่งซาน


เพิ่งซานตื่นขึ้นจากการหลับใหล “น้องชู เจ้ามาแล้ว”


ดูเหมือนเขาจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับชูตู๋


จากนั้นเขาจึงหันหน้าไปทางฟางหยวน “น้องหลิว ข้ารู้ความสามารถของเจ้าแล้ว เรามาพูดคุยเกี่ยวกับข้อตกลปีศาจคลั่งกันเถอะ”


ฟางหยวนถาม “เราจะสร้างข้อตกลงอย่างไร?”


“เราต้องไปให้ถึงชั้นในสุด แต่ข้าไม่สามารถเคลื่อนไหวได้โดยง่าย ข้าไม่สามารถไปพร้อมกับเจ้า” เพิ่งซานกล่าวอย่างคลุมเครือ


“ตามข้ามา” ปู้อู๋หมิงนำทางต่อไป


ผู้อมตะทั้งสามยังเดินลึกเข้าไปในถ้ำ


“ในถ้ำแห่งนี้ทางอ้อมเร็วกว่าทางตรง” ปู้อู๋หมิงยิ้ม


ชูตู๋พยักหน้า “เมื่อเราไปถึงที่นั่น อย่าตกใจเกินไป”


ฟางหยวนรู้สึกอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น


หลังจากนั้นพวกเขาก็พบกับพื้นที่ที่ปกคลุมไปด้วยแสงสว่าง


แสงทุกเฉกสีส่องประกายออกมาจากดิน ก้อนหิน และต้นหญ้า


ฟางหยวนสูดหายใจลึก “นี่คือพลังงานแห่งเต๋าทั้งหมด มีเพียงทรัพยากรอมตะกึ่งระดับเก้าเท่านั้นที่สามารถปลดปล่อยแสงชนิดนี้ พวกมันเป็นทรัพยากรอมตะกึ่งระดับเก้าทั้งหมดงั้นหรือ?”


ปู้อู๋หมิงหัวเราะ “น้องหลิวกล่าวถูกต้องแต่พลังงานแห่งเต๋าของทรัพยากรเหล่านี้วุ่นวายมาก พวกมันไม่สามารถใช้งาน”


ชูตู๋ยิ้ม “ก่อนหน้านี้เมื่อข้าเห็นพวกมันเป็นครั้งแรก ข้าก็ตกใจเช่นกัน”


ปู้อู๋หมิงหยุดหัวเราะ “พลังงานแห่งเต๋าของที่นี่หนาแน่นมาก บางส่วนของมันยังเหมือนกับท่าไม้ตายเขตแดนอมตะ นี่ทำให้การเดินทางผ่านมันกลายเป็นเรื่องที่ยากลำบาก น้องหลิว เจ้าสามารถทดลองด้วยตนเอง”


ฟางหยวนส่ายศีรษะ “ผู้อาวุโสปู้อู๋หมิง ตั้งแต่ท่านเป็นผู้กล่าว ข้าจะไม่เชื่อท่านได้อย่างไร? ไม่จำเป็นต้องทดลอง”


ปู้อู๋หมิงมองชูตู๋และยิ้ม “น้องหลิวฉลาดกว่าบางคน ตอนนั้นเขาปฏิเสธที่จะเชื่อข้า เขาต้องการทดลองด้วยตนเอง ข้าไม่สามารถหยุดเขา นั่นทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส”


ชูตู๋ถูจมูก “ปู้อู๋หมิงกำลังกล่าวถึงข้า ข้าต้องใช้เวลาหลายปีเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ อย่าดูแคลนพลังงานแห่งเต๋าของที่นี่ สถานที่แห่งนี้อันตรายมาก ข้าจะบอกเคล็ดลับแก่เจ้า พยายามอยู่ใกล้กับพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางสายหลักของเจ้าให้มากที่สุด นั่นจะช่วยให้เจ้าเดินไปข้างหน้าได้ง่ายขึ้น”


ปู้อู๋หมิงพยักหน้า “นั่นเป็นเรื่องจริง ข้าเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งกฎ ข้าต้องพยายามเดินไปในตำแหน่งที่มีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งกฎอยู่มากที่สุด”


“และข้าบ่มเพาะบนเส้นทางความแข็งแกร่ง ข้าจำเป็นต้องเดินไปในตำแหน่งที่มีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางความแข็งแกร่ง ดังนั้นหลังจากนี้พวกเราจะไม่สามารถช่วยเหลือเจ้า เจ้าต้องเดนนไปบนเส้นทางของตนเอง” ชูตู๋กล่าวเตือน


ฟางหยวนพยักหน้า


ปู้อู๋หมิงเริ่มก้าวเท้าออกไปเป็นคนแรก “ข้าจะไปก่อน น้องหลิว คอยดูให้ดี”


ฟางหยวนตั้งใจดูการเคลื่อนไหวของปู้อู๋หมิงอย่างเต็มที่


ปู้อู๋หมิงก้าวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง สิบก้าวแรกเขาสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างง่ายดาย แต่หลังจากนั้นมันเริ่มยากลำบากมากขึ้น เมื่อผ่านไปยี่สิบก้าวการเคลื่อนไหวของเขาเริ่มไม่มั่นคง หลังจากผ่านไปสามสิบก้าว ใบหน้าของปู้อู๋หมิงก็เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ เขาหยุดเคลื่อนไหวในก้าวที่สี่สิบสอง


ปู้อู๋หมิงถอนหายใจและหันหลังกลับมาทางฟางหยวน “น้องหลิว เจ้าตั้งใจดูหรือไม่?”


ชูตู๋หัวเราะ “ปู้อู๋หมิง! หยุดแสดงละคร เจ้าไม่สามารถเดินหน้าต่อแต่เจ้ากลับแสดงออกราวกับเป็นห่วงน้องหลิวมากมาย ความจริงก็คือเจ้าหยุดอยู่ตรงนี้!”


ปู้อู๋หมิงรู้สึกอับอายเมื่อถูกเปิดโปง เขาตะคอก “ชูตู๋ เช่นนั้นเจ้าก็แสดงให้ข้าดูว่าเจ้าจะไปได้ไกลกว่าข้าหรือไม่?”


ชูตู๋ตะคอกกลับ “ข้าต้องกลัวงั้นหรือ? คอยดูให้ดี!”


ก่อนที่เขาจะกล่าวจบประโยค เขาก็ก้าวไปข้างหน้าเรียบร้อยแล้ว


การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วกว่าปู้อู๋หมิงทำให้ฝ่ายหลังแสดงออกด้วยใบหน้าที่มืดมน


แต่ในไม่ช้าชูตู๋ก็ก้าวพลาด พลังงานแห่งเต๋าใต้ฝ่าเท้าของเขาส่องประกายขึ้นและทำให้ชูตู๋กระอักเลือดออกมาทันที


เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสในครั้งเดียว แต่เขายังไม่หยุด ชูตู๋อดทนต่อความเจ็บปวดและเดินหน้าต่อไปทีละก้าวอย่างยากลำบาก


ในที่สุดเขาก็หยุดอยู่ที่ก้าวที่สี่สิบ


“ข้าไม่สามารถเปรียบเทียบกับเจ้าได้จริงๆ” ชูตู๋เช็ดเลือดที่มุมปากและถอนหายใจ


ปู้อู๋หมิงตกใจมาก เขามองชูตู๋ด้วยดวงตาเบิกกว้าง “จักรพรรดิอมตะ เจ้าพัฒนาขึ้นมากจากครั้งก่อน! ข้ารู้สึกละอายใจนัก ข้าอยู่ในถ้ำปีศาจคลั่งมานาน แต่ข้ายังมาได้เพียงสี่สิบสองก้าวเท่านั้น”


ชูตู๋หัวเราะ “เอาล่ะ หยุดประจบข้า ข้ารู้ว่าเจ้ายังไม่ได้ใช้ความสามารถทั้งหมด เจ้าเพียงพยายามกอบกู้ใบหน้าของข้าเท่านั้น”


ปู้อู๋หมิงไม่ได้ปฏิเสธ เขาหัวเราะเบาๆ “แม้จะเป็นเช่นนั้นแต่พัฒนาการของเจ้าก็เกินกว่าจินตนาการของข้า เจ้าเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง เพิ่งซานมองคนไม่ผิดจริงๆ”


ชูตู๋หัวเราะและโบกมือ “เอาล่ะ หยุดคำเยินยอของเจ้า ต่อไปเรามาดูน้องหลิวกันเถอะ”


ผู้อมตะทั้งสองหันหน้ามาทางฟางหยวน


ฟางหยวนพยักหน้า “อย่าหัวเราะเยาะข้าเมื่อข้าทำให้ตนเองอับอาย”


“น้องหลิว ผ่อนคลายเถอะ นี่เป็นครั้งแรกของเจ้า ให้ความสำคัญกับทุกย่างก้าวและอย่าหมกมุ่นกับจำนวนก้าว” ปู้อู๋หมิงกล่าว


ชูตู๋หัวเราะ “ฮ่าฮ่า อย่ากังวล น้องหลิว ข้าจะจดจำสภาพที่น่าสมเพชของเจ้าเอาไว้ ครั้งแรกที่ข้ามาที่นี่ข้าเดินมาได้ยี่สิบสองก้าว หากเจ้าไม่สามารถเอาชนะข้า ข้าจะหัวเราะเยาะเจ้าตลอดไป ฮ่าฮ่าฮ่า”


ฟางหยวนหัวเราะผสมโรง


แต่ในความเป็นจริงเขาเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ ‘ทั้งสองตั้งใจพิสูจน์ความสามารถของข้า’


‘แม้ชูตู๋จะแนะนำข้าแต่พวกเขาก็ยังไม่มั่นใจในความสามารถของข้า ดังนั้นปู้อู๋หมิงจึงนำข้ามาที่นี่’


‘นี่คือการตรวจสอบรากฐานของข้า’


‘หากข้าทำผลงานได้แย่เกินไป พวกเขาอาจไม่ทำข้อตกลงกับข้า!’


เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเทพปีศาจไร้ขอบเขตและความลับของชีวิตนิรันดร์ ดังนั้นฟางหยวนจึงตัดสินใจที่จะแสดงผลงานที่ดีให้พวกเขาได้เห็น


ดวงตาของฟางหยวนส่องประกายขึ้น เขาสูดหายใจลึกและยืนอย่างมั่นคงก่อนจะก้าวเท้าออกไป


เขาเลือกตำแหน่งที่มีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด


แต่ในช่วงเวลาต่อมาการแสดงออกของฟางหยวนกลับเปลี่ยนแปลงไป


“ฮ่าฮ่าฮ่า” ชูตู๋สังเกตเห็นการแสดงออกของเขาและหัวเราะออกมา “น้องหลิว มองอย่างเดียวไม่มีประโยชน์ เจ้าต้องรู้สึกถึงแรงกดดันถูกต้องหรือไม่?”


ฟางหยวนเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดอยู่ภายในแต่เขาไม่ได้แสดงออก


เขาไม่ตอบชูตู๋


หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว ฟางหยวนเดินไปข้างหน้ามากกว่าสิบก้าวอย่างมั่นคง


ความรู้สึกแปลกประหลาดทวีความรุนแรงมากขึ้น ‘เกิดสิ่งใดขึ้น? เหตุใดข้าไม่รู้สึกถึงสิ่งกีดขวาง ข้าก้าวมามากกว่าสิบก้าวและรู้สึกราวกับกำลังเดินอยู่บนพื้นปกติ’


นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก


ฟางหยวนเดาได้ในไม่ช้าว่าสถานการณ์นี้เกิดจากร่างทารกอมตะของเขา


‘ชูตู๋และปู้อู๋หมิงต้องเผชิญกับแรงกดดันจากความขัดแย้งระหว่างพลังงานแห่งเต๋าที่แตกต่าง’


‘ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกถึงแรงกดดันและยากที่จะก้าวเท้าออกไป’


‘แต่ข้าแตกต่างจากพวกเขา พลังงานแห่งเต๋าเหล่านี้ไม่ส่งผลกระทบต่อข้า!’


‘แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการคาดเดาของข้าเท่านั้น ความจริงอาจไม่เป็นเช่นนั้น’


ฟางหยวนคิดและเดินต่อไปอีกสองสามก้าว


การแสดงออกของปู้อู๋หมิงและชูตู๋เปลี่ยนไปเล็กน้อย


‘หลิวกวนซื่อผู้นี้แข็งแกร่งมาก!’ ปู้อู๋หมิงตกใจมาก


‘เขาเดินมาเกือบยี่สิบก้าวแล้วแต่ยังสงบนิ่ง ครั้งแรกที่ข้ามาที่นี่ ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความยากลำบาก ข้าต้องทุ่มเทความพยายามทั้งหมด มันเป็นภาพที่น่าสมเพช!’ ชูตู๋นึกถึงประสบการณ์ของตนเองและรู้สึกประทับใจในตัวฟางหยวนมากขึ้น


ความคิดหนึ่งปรากฏขึ้นในใจของเขาอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยง ‘อยาบอกว่าหลิวกวนซื่อผู้นี้เป็นอัจฉริยะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงที่กระทั่งเก่งกาจกว่าข้าเมื่อเปรียบเทียบกับความสำเร็จบนเส้นทางความแข็งแกร่งของข้า ความสำเร็จบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงของเขาอยู่ในระดับใดกันแน่?’


หลังจากชั่วครู่ฟางหยวนแสร้งหอบหายใจราวกับว่าเขาเหนื่อยมาก


แต่การแสดงออกของเขาเปรียบเทียบกับครั้งแรกของชูตู๋และปู้อู๋หมิง มันยังต่างกันมาก


ในที่สุดฟางหยวนก็หยุดที่ก้าวที่ยี่สิบและยิ้ม “ข้าเกือบจะถึงตำแหน่งเดียวกับพี่ชู”


ชูตู๋มองฟางหยวนอย่างมีความหมาย “น้องหลิว เจ้ายังไม่ได้ใช้ความสามารถทั้งหมด”


ฟางหยวนเผยรอยยิ้มขมขื่น “ข้าแทบจะไม่สามารถก้าวต่อไป หากข้าก้าวต่อไป ข้าอาจกระอักเลือดออกมา”


รอยยิ้มของชูตู๋ดูขมขื่นยิ่งกว่า “ข้าจะไม่โกหกเจ้า ครั้งแรกที่ข้ามาที่นี่ ข้าเริ่มกระอักเลือดตั้งแต่ก้าวที่สิบ!”


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1189 ระดับการบ่มเพาะที่พุ่งสูงขึ้น


แปลโดย iPAT 


หัวใจของฟางหยวนแทบกระโดดออกมาจากหน้าอก เขาตระหนักว่าตนเองทำมากเกินไปแล้ว


แต่นี่เป็นเพียงความผิดพลาดเล็กๆ มันไม่ใช่ปัญหา


“ไปต่อกันเถอะ พวกเราจะสร้างข้อตกลงพันธมิตร ไม่จำเป็นต้องพูดมาก” ปู้อู๋หมิงกล่าว รอยยิ้มของเขาดูอบอุ่นยิ่งกว่าก่อนหน้า


ความสามารถที่ฟางหยวนแสดงออกมาทำให้ปู้อู๋หมิงต้องประเมินเขาสูงขึ้นอีกหลายระดับ


ทั้งสามเดินทางต่อไปด้วยความยากลำบาก


หลังจากสิบห้านาทีพวกเขาก็พบหินก้อนหนึ่ง


“คนใหม่งั้นหรือ?” เสียงดังขึ้นมาจากหินก้อนนี้ก่อนที่มันจะกลายเป็นผู้อมตะร่างผอมเตี้ยผู้หนึ่ง


เขาไว้เคราแพะยาวลงไปถึงหัวเข่า ดวงตาที่เรียวเล็กของเขาส่องประกายระยิบระยับ


“นี่คือหนึ่งในสามปีศาจคลั่ง บัณฑิตลึกลับ เขาบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งปัญญา” ชูตู๋แนะนำในช่วงเวลาที่เหมาะสม


ฟางหยวนอ้าปากค้างอยู่ภายใน ‘เขาคือบัณฑิตลึกลับจริงๆ!’


ฟางหยวนกล่าวทักทายโดยปกปิดความรู้สึกของตนเองเอาไว้ “คารวะผู้อาวุโส ข้าคือหลิวกวนซื่อ ข้าบ่มเพาะอยู่บนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง”


หนึ่งวันต่อมา


“น้องหลิว น้องชู เหตุใดต้องรีบจากไป พวกเจ้าควรจะอยู่ต่ออีกสักสองสามวัน” ที่ปากถ้ำปีศาจคลั่ง ปู้อู๋หมิงพยายามเชิญให้แขกทั้งสองอยู่ต่อ


“ไม่” ชูตู๋ปฏิเสธด้วยรอยยิ้มขมขื่น “เจ้ารู้สถานการณ์ของภาคเหนือ ข้าพึ่งสร้างนิกายชูและเป็นพันธมิตรกับเผ่าไป่ซู ตอนนี้ฝ่ายธรรมะกำลังมุ่งเป้ามาที่นิกายของพวกเรา”


ปู้อู๋หมิงถอนหายใจ “สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องของโลกภายนอก ชื่อเสียงมีสิ่งใดสำคัญ เทพอมตะตะวันเดือดตายไปแล้ว ดวงวิญญาณของเขายังต้องเข้าสู่ประตูแห่งชีวิตและความตาย มีเพียงชีวิตนิรันดร์ที่เป็นเป้าหมายที่คู่ควรกับพวกเราผู้อมตะ”


ชูตู๋กล่าวด้วยใบหน้าจริงจัง “ข้าจะทำให้เส้นทางความแข็งแกร่งเจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง นี่เป็นสัญญาที่ข้าทำไว้กับบางคน หากข้าไม่บรรลุเป้าหมายนี้ ข้าจะไม่สามารถมีชีวิตอย่างสงบสุข!”


ฟางหยวนต้องมองไปที่ชูตู๋อย่างช่วยไม่ได้


นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินชูตู๋กล่าวถึงปณิธานของตนเอง


ความตั้งใจของชูตู๋ดูเหมือนจะไม่ใช่ของปลอม


‘ดูเหมือนจะมีเรื่องราวซ่อนอยู่เบื้องหลังชูตู๋’ ฟางหยวนคิด


“น้องหลิว เจ้ามีศักยภาพที่ยิ่งใหญ่ เหตุใดเจ้าไม่อยู่ที่นี่ต่อ?” ปู้อู๋หมิงหันมาถามฟางหยวน


ฟางหยวนยิ้ม “ข้ามาที่นี่ครั้งนี้เพื่อทำข้อตกลงปีศาจคลั่ง หลังจากนี้ข้ายังมีเรื่องอื่นที่ต้องจัดการ”


จากการแสดงความสามารถก่อนหน้า ปู้อู๋หมิงประเมินฟางหยวนไว้สูงมาก


‘ข้ายังไม่เห็นสองชั้นที่ลึกที่สุด ข้าไม่สามารถประเมินพวกมัน แต่ชั้นที่เจ็ดไม่ใช่ปัญหา วิญญาณต้นกำเนิดอยู่ชั้นในสุดแต่มีสามปีศาจคลั่งดูแลอยู่ ข้าไม่สามารถเคลื่อนไหวเพียงลำพัง’ ฟางหยวนคิดถึงเรื่องนี้และรู้สึกเสียดายเล็กน้อย


วันหนึ่งเขาจะกลับมายังถ้ำปีศาจคลั่งและใช้ความได้เปรียบของเขาตรวจสอบมัน


แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา


สิ่งที่สำคัญที่สุดในเวลานี้คือยกระดับการบ่มเพาะอย่างรวดเร็วที่สุด


สำหรับวิญญาณต้นกำเนิด กระทั่งฟางหยวนจะได้รับมัน แล้วเขาจะสามารถใช้มันงั้นหรือ? มันเป็นวิญญาณอมตะระดับเก้า ฟางหยวนคิดถึงวิญญาณสติปัญญาที่เขาไม่สามารถใช้งานและยังเป็นภาระอีกด้วย


“นอกเหนือจากชีวิตนิรันดร์ ทุกสิ่งเป็นเพียงเรื่องชั่วคราว น้องหลิว เจ้าต้องการเวลาอีกนานเท่าใด?” ปู้อู๋หมิงถาม เขาไม่ต้องการให้คนที่มีประโยชน์เช่นฟางหยวนจากไป


ดวงตาของฟางหยวนส่องประกายขึ้น เขามองไปที่ชูตู๋ “แท้จริงแล้วข้าเป็นสมาชิกนิกายชู ตอนนี้ตระกูลฮวงจินกำลังบุกโจมตีนิกายชู ข้าต้องช่วยพวกเขา”


ชูตู๋รู้ว่าฟางหยวนกำลังใช้เขาเป็นข้ออ้าง แต่เมื่อได้ยินเช่นนี้เขาก็ยังรู้สึกอบอุ่นอยู่ภายใน


“เห้อ…พวกเจ้า…ไม่เป็นไร…” ปู้อู๋หมิงไม่สามารถโต้เถียง


ฟางหยวนและชูตู๋กล่าวลาก่อนจะบินขึ้นสู่ท้องฟ้า


ระหว่างทางกลับ ฟางหยวนถามชูตู๋เกี่ยวกับสถานการณ์ในภาคเหนือรวมถึงปัญหาที่นิกายชูกำลังเผชิญอยู่


หลังจากสร้างข้อตกลงปีศาจคลั่ง ความสัมพันธ์ระหว่างฟางหยวนกับชูตู๋ยิ่งลึกซึ้งมากขึ้น


ชูตู๋เผยรอยยิ้มขมขื่นและไม่ได้ปกปิดมันจากเขา “ตอนนี้ข้ารู้สึกกดดันมากเช่นกัน แม้นิกายชูจะเป็นพันธมิตรกับเผ่าไป่ซู แต่ศัตรูของพวกเราแข็งแกร่งกว่ามาก”


“พวกเขาจะมาเมื่อใด?”


ชูตู๋หัวเราะเบาๆ “แม้พวกเขาจะแพร่กระจายข่าวและถ้อยคำที่รุนแรงออกไป แต่พวกเขายังห่างไกลจากการเริ่มต้น กองกำลังตระกูลฮวงจินมีความขัดแย้งภายในที่ไม่สามารถแก้ไข พวกเขาต้องพิจารณาหลายสิ่งหลายอย่าง มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่พวกเขาจะตัดสินใจทำบางสิ่ง พวกเขาไม่เหมือนสมาชิกบนเส้นทางสายปีศาจ”


ฟางหยวนพยักหน้า


คำกล่าวของชูตู๋ทำให้เขาได้รับข้อมูลเชิงลึกและสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ของภาคเหนือได้ชัดเจนมากขึ้น


ชูตู๋มองฟางหยวน “นี่อาจฟังดูไม่สุภาพ แต่น้องหลิว ความสำเร็จบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงของเจ้าถึงระดับปรมาจารย์เอกแล้วใช่หรือไม่?”


“อันใด? ไม่อย่างแน่นอน!” ฟางหยวตอบ


“แม้เจ้าจะไม่ใช่ปรมาจารย์เอก อย่างน้อยก็ต้องเป็นกึ่งปรมาจารย์เอก” ชูตู๋กล่าวด้วยความมั่นใจ


ฟางหยวนหัวเราะแทนคำตอบ “ท่านรู้ได้อย่างไร?”


ชูตู๋หัวเราะเบาๆ “ข้าอนุมานจากการแสดงออกของเจ้าเมื่อเจ้าเดินเข้าไปในถ้ำปีศาจคลั่ง ยิ่งความสำเร็จของเจ้าสูงเท่าใด เจ้าก็จะเดินเข้าไปได้ง่ายเท่านั้น ปู้อู๋หมิงตกใจกับพัฒนาการของข้าเพราะข้าพึ่งยกระดับความสำเร็จบนเส้นทางความแข็งแกร่งเมื่อเร็วๆนี้”


ชูตู๋มองฟางหยวนด้วยสายตาที่มีความหมาย


ฟางหยวนรู้ว่าเขาพยายามถามเกี่ยวกับท่าไม้ตายอมตะมิติภัยพิบัติ


ท้ายที่สุดชูตู๋ก็ต้องการผลประโยชน์บางอย่างจากฟางหยวน


ฟางหยวนเก็บท่าไม้ตายอมตะมิติภัยพิบัติเอาไว้โดยไม่เปิดเผย


ฟางหยวนรู้ว่าชูตู๋ต้องการถามสิ่งใดแต่เขาแสร้งทำเหมือนไม่รู้ “โอ้ ข้าเข้าใจแล้ว”


หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่ได้พูดคุยกันอีก


ความผิดหวังปรากฏอยู่ในดวงตาของชูตู๋


เขารู้ว่ามันเป็นวิธีปฏิเสธของฟางหยวน


คำว่า โอ้ ข้าเข้าใจแล้ว หมายความว่าฟางหยวนไม่ต้องการขายท่าไม้ตายอมตะมิติภัยพิบัติให้กับชูตู๋


‘ข้าจะลืมมันไปก่อน’ ชูตู๋รู้สึกเสียดายแต่เขาไม่สามารถทำสิ่งใด ในสถานการณ์นี้เขาต้องการความร่วมมือจากฟางหยวน เขาไม่สามารถทำลายความสัมพันธ์นี้


ฟางหยวนไม่ได้ไปที่ถ้ำสวรรค์ไห่ฟานกับชูตู๋


หลังจากแยกทางกับชูตู๋ ฟางหยวนบินไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ไม่กี่วันต่อมาเขาบินลงไปบนเนินเขาที่ดูธรรมดาแห่งหนึ่ง


‘ตามความทรงจำของเซี่ยซ่งซื่อ มันคือที่นี่’ ฟางหยวนมองไปรอบๆและยืนยันสถานที่


เขากระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะและค้นพบแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ซ่อนอยู่


‘พบแล้ว!’ ดวงตาของฟางหยวนส่องประกายขึ้น เขาเรียกอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดออกมาทันที


อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดนำเขาทะลวงห้วงมิติเข้าไปในแดนศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าว


เจ้าของแดนศักดิ์สิทธิ์นี้บ่มเพาะบนเส้นทางแห่งปฐพี ดังนั้นแดนศักดิ์สิทธิ์ของเขาจึงเต็มไปด้วยโคลนสีดำที่เน่าเปื่อย


อสูรโคลนตัวเล็กตัวน้อยกลิ้งไปมาอยู่บนพื้น


บางครั้งอสูรโคลนเดียวดายก็จะกระโดดขึ้นจากบ่อโคลนและสร้างคลื่นน้ำสีดำขนาดใหญ่ขึ้น


มนุษย์โคลนตัวน้อยที่มีหญ้าสีเขียวอยู่บนศีรษะลอยเข้ามาหาฟางหยวน


“บา บา บา…” มันพูด


ฟางหยวนเข้าใจความหมายของมัน


เขามองไปที่บ่อโคลนด้านล่าง “เพื่อเป็นเจ้าของคนใหม่ ข้าต้องกำจัดอสูรโคลนเดียวดายห้าตัวในครั้งเดียวงั้นหรือ? ง่ายเกินไปหรือไม่?”


เงื่อนไขนี้เป็นเรื่องยากสำหรับผู้อมตะระดับหก


แต่สำหรับฟางหยวน มันง่ายมาก!


หลังจากกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ทะเลทรายตะวันตกน้อยของเขาก็ปรากฏหนองน้ำขนาดใหญ่ขึ้น


ภายในหนึ่งเดือน ฟางหยวนเดินทางไปทั่วเพื่อค้นหาและกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์


อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดแสดงคุณค่าของมันออกมาในครั้งนี้


สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับแดนศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ ฟางหยวนได้รับมาจากการค้นวิญญาณของเชลยศึกอมตะ


ตงฟางชางฟาน ไห่เจิ้ง เซี่ยซ่งซื่อ และผู้อมตะจำนวนนับไม่ถ้วนที่ถูกคุมขังอยู่ในมิติช่องว่างของเขา แน่นอนว่าไห่เจิ้งยังมีชีวิตอยู่


ด้วยวิธีนี้ระดับการบ่มเพาะของฟางหยวนจึงพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาสามารถก้าวข้ามภัยพิบัติไปได้หลายครั้ง ทรัพยากรในมิติช่องว่างจักรพรรดิเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง


เมื่อเขากลับแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา เขาก็ก้าวข้ามภัยพิบัติสวรรค์ไปแล้วสองครั้ง เขากลายเป็นผู้อมตะระดับหกที่ต้องเผชิญหน้ากับภัยพิบัติพิภพอีกสามครั้งและภัยพิบัติสวรรค์อีกเพียงครั้งเดียวก่อนจะบรรลุระดับเจ็ด!


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1190 งานประลองทุ่งโลหิต


แปลโดย iPAT 


ภาคเหนือ ถ้ำสวรรค์ฟงเซี่ยน


ผู้อมตะระดับแปดองค์ชายฟงเซี่ยนนั่งปิดเปลือกตาอยู่อย่างเงียบๆ


เปลวไฟลุกโชนขึ้นรอบตัวเขาราวกับอาภรณ์ที่สะบัดตัวขึ้นสู่อากาศ


เป็นเพียงเวลานี้ที่องค์ชายฟงเซี่ยนอ้าปากและพ่นไข่มุกเม็ดเล็กๆออกมา


ไข่มุกเพลิงขยายใหญ่ขึ้นเท่าศีรษะของทารก


มันบินไปรอบตัวองค์ชายฟงเซี่ยนก่อนที่องค์ชายฟงเซี่ยนจะพ่นไข่มุกเพลิงออกมาอีกครั้ง


เมื่อเวลาผ่านไป มีไข่มุกเพลิงแปดลูกบินอยู่รอบๆ


องค์ชายฟงเซี่ยนเปิดเปลือกตาขึ้นในที่สุด


ดวงตาของเขาส่องประกายขึ้นขณะที่ไข่มุกเพลิงระเบิดตัวเองและกลายเป็นเปลวไฟแตกกระจายออกไป


“ข้าล้มเหลวอีกครั้ง ข้าไม่สามารถอนุมานร่องรอยของฟางหยวน” ดวงตาขององค์ชายฟงเซี่ยนมองไปยังเปลวเพลิงที่เลือนหายไป


องค์ชายฟงเซี่ยนล้มเหลวมาหลายครั้งแล้ว เขาไม่ได้เรียนรู้สิ่งใดเลย


“ข้าไม่ใช่ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา การเลียนแบบวิธีการบนเส้นทางแห่งปัญญาของข้าไม่สามารถอนุมานตำแหน่งที่อยู่ของฟางหยวน” องค์ชายฟงเซี่ยนถอนหายใจ


เขาได้รับมอบหมายให้จับกุมตัวฟางหยวน แต่ปัญหาคือฟางหยวนซ่อนตัวเองได้ดีเกินไป ตราบเท่าที่ฟางหยวนอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์หรือถ้ำสวรรค์ กระทั่งเทพธิดาจื่อเว่ยก็ยังไม่สามารถอนุมานสิ่งใด


องค์ชายฟงเซี่ยนบ่มเพาะอยู่บนเส้นทางแห่งไฟ แน่นอนว่าเขาย่อมไม่สามารถทำสิ่งนี้ได้เป็นธรรมดา


ฟางหยวนออกมาข้างนอกเป็นครั้งคราวแต่เขาใช้ท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคยและวิญญาณอมตะขีดจำกัดความมืดปกปิดร่องรอยของตนเองทุกครั้ง


“นายท่าน เผ่ากงมาที่นี่ พวกเขาขอพบท่าน” เป็นเพียงเวลานี้ที่ผู้อมตะหญิงชุดเหลืองเดินเข้ามารายงาน


นางเป็นหนึ่งในสองผู้อมตะหญิงคนสนิทขององค์ชายฟงเซี่ยนชื่อเล่อเหยา


“เผ่ากงมาที่นี่งั้นหรือ? ฮืม!” องค์ชายฟงเซี่ยนขมวดคิ้ว “ข้าไม่อยากพบพวกเขา”


“แต่ผู้อมตะเผ่ากงนำป้ายคำสั่งของถ้ำสวรรค์นิรันดรมาด้วย” เล่อเหยาลังเล


องค์ชายฟงเซี่ยนเผยรอยยิ้มบาง “ป้ายคำสั่งของถ้ำสวรรค์นิรันดรสามารถควบคุมสมาชิกตระกูลฮวงจิน แต่ข้าไม่ใช่”


เล่อเหยากังวล “แต่นายท่านลืมไปหรือไม่ตอนนี้พวกเราเป็นสายลับอยู่ในภาคเหนือ ท่านยังเป็นบุตรเขยของเผ่ากง ท่านเป็นผู้อาวุโสสูงสุดนอกของเผ่า หากท่านต่อต้านคำสั่งของถ้ำสวรรค์นิรันดรอย่างเปิดเผย มันจะเกิดปัญหาหรือไม่?”


“ฮ่าฮ่าฮ่า” องค์ชายฟงเซี่ยนหัวเราะเสียงดัง “เล่อเหยา เจ้ากล่าวถูกเพียงครึ่งเดียว เราไม่สามารถดูแคลนถ้ำสวรรค์นิรันดร มันเป็นถ้ำสวรรค์ระดับเก้าของเทพอมตะตะวันเดือด มันเหมือนกับวังสวรรค์ของภาคกลาง แต่ครั้งนี้ถ้ำสวรรค์นิรันดรสั่งให้ตระกูลฮวงจินทั้งหมดโจมตีเผ่าไป่ซู นี่คือการต่อสู้ระหว่างตระกูลฮวงจินกับกองกำลังภายนอก การล่มสลายของวังแปดสิบแปดเปลวเพลิงที่แท้จริงสร้างเผ่าไป่ซูและนิกายชูขึ้นมา เพื่อหยุดความตกต่ำของถ้ำสวรค์นิรันดร พวกเขาจะไม่ขอความช่วยเหลือจากข้า แต่เหยากวงคือตัวเลือกเดียวของพวกเขา!”


องค์ชายฟงเซี่ยนเข้าใจเรื่องนี้อย่างชัดเจน แต่เล่อเหยายังไม่เข้าใจ “แล้วเหตุใดเผ่ากงถึงนำป้ายคำสั่งของถ้ำสวรรค์นิรันดรมาที่นี่?”


ดวงตาขององค์ชายฟงเซี่ยกลายเป็นเย็นชา “คนเผ่ากงพยายามใช้ชื่อเสียงของถ้ำสวรรค์นิรันดรเพื่อใช้งานข้า เจ้าก็รู้ว่าเผ่ากงมีความทะเยอทะยานที่จะเป็นกองกำลังอันดับหนึ่งของฝ่ายธรรมะ”


“เช่นนั้นพวกเราจะไม่พบพวกเขา!” เล่อเหยาเผยรอยยิ้มงดงาม


ทุกสิ่งเป็นไปตามการวิเคราะห์ขององค์ชายฟงเซี่ยน หลายวันต่อมาป้ายคำสั่งของถ้ำสวรรค์นิรันดรก็ถูกส่งไปยังกองกำลังตระกูลฮวงจินทั้งหมด


เหยากวงรับป้ายคำสั่งจากถ้ำสวรรค์นิรันดรและถอนหายใจ


“ถ้ำสวรรค์นิรันดรยังคงเลือกข้า” เหยากวงพึมพำราวกับเขารู้อยู่ตลอดเวลา


แท้จริงแล้วสถานการณ์ชัดเจนมาก


จักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูเป็นผู้อมตะระดับแปด หากกองกำลังตระกูลฮวงจินต้องการกำจัดเผ่าไป่ซู พวกเขาต้องมีผู้อมตะระดับแปดเช่นกัน


นอกจากจักรพรรดิสวรรค์ไป่ซู ปีศาจอมตะเซี่ยหู และปรมาจารย์ห้าธาตุ ผู้อมตะระดับแปดของภาคเหนือก็เหลือเพียงองค์ชายฟงเซี่ยนและเหยากวงเท่านั้น


ตัวตนขององค์ชายฟงเซี่ยนมีปัญหา


เขาไม่มีสายเลือดตระกูลฮวงจิน เขาเป็นเพียงบุตรเขยของเผ่ากง!


หากถ้ำสวรรค์นิรันดรต้องพึ่งพาองค์ชายฟงเซี่ยน นั่นจะไม่ใช่การพิสูจน์คำกล่าวของปรมาจารย์ห้าธาตุงั้นหรือ? สายเลือดตระกูลฮวงจินที่ยิ่งใหญ่ไม่สามารถพึ่งพาตนเองเพื่อเอาชนะศัตรูที่แข็งแกร่ง


ดังนั้นถ้ำสวรรค์นิรันดรจึงเหลือตัวเลือกเดียว นั่นคือเหยากวง!


ในความเป็นจริงเหยากวงไม่ต้องการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้


ตอนนี้เขายุ่งมากกับการหลอมรวมวิญญาณอมตะฟื้นคืนจากความตายระดับแปด


เมื่อถูกขัดจังหวะ เหยากวงจึงอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ดีนัก


เหยากวงโยนป้ายคำสั่งของถ้ำสวรรค์นิรันดรลงบนพื้นอย่างไม่แยแส


“ข้าควรไปคุยกับจักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูก่อน” เหยากวงถอนหายใจและบินเข้าสู่สวรรค์สีขาว


ครู่ต่อมาจักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูก็ได้รับคำเชิญจากเหยากวง เขาลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจไปพบและพูดคุยกับเหยากวง


ผู้อมตะระดับแปดทั้งสองพูดคุยกันอย่างลับๆอยู่ในสวรรค์สีขาว


แท้จริงแล้วพวกเขาเป็นสหายกัน


หลังจากต่อสู้กับปีศาจอมตะเซี่ยหู ทั้งสองยิ่งใกล้ชิดกันมากขึ้น


ดังนั้นพวกเขาจึงพบกันโดยปราศจากความโกรธหรือเกลียดชัง


“สหาย เป็นอย่างไรบ้าง?” เหยากวงถามด้วยรอยยิ้ม


“เห้อ…ข้าจะบอกความจริงกับเจ้า ข้าไม่เคยคิดว่ามันจะกลายเป็นเช่นนี้” จักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูถอนหายใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น


เดิมทีเขาเพียงต้องการยึดครองถ้ำสวรรค์ไห่ฟาน


แต่ชูตู๋แข็งแกร่งกว่าความคาดหมายของเขา นั่นทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงเรื่อยๆ


ชูตู๋และผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาปล่อยข่าวลือเกี่ยวกับจักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูรวมถึงภัยคุกคามจากเขา


จักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูรู้เรื่องนี้แต่เขาก็ไม่สามารถทำสิ่งใด


เหยากวงเข้าใจความรู้สึกของฝ่ายตรงข้าม เขายิ้ม “สหาย ตอนนี้เจ้าเข้าใจหรือยังว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเป็นผู้นำกองกำลังฝ่ายธรรมะ กระทั่งผู้อมตะระดับแปดเช่นพวกเราก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ”


“ข้าเคยอิจฉาสถานะผู้บ่มเพาะสันโดษของเจ้า ข้ายังเคยแนะนำให้เจ้าอย่าเข้าสู่ฝ่ายธรรมะ ตอนนี้เจ้าเข้าใจหรือยัง?”


“ข้าเข้าใจ แต่ข้าทำงานหนักมานานแล้ว มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย กระทั่งตอนนี้ข้าก็ยังไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้” จักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูกล่าวอย่างเปิดเผย


เหยากวงเงียบก่อนจะกล่าวต่อ “ข้าไม่ต้องการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ป้ายคำสั่งของถ้ำสวรรค์นิรันดรมาถึงมือข้าแล้ว”


จักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูถอนหายใจ เขาทั้งดีใจและเศร้าใจในเวลาเดียวกัน


พวกเขาเป็นสหายที่ดี แต่สิ่งที่น่าเศร้าก็คือพวกเขาต้องต่อสู้กัน กระทั่งพวกเขาจะเป็นผู้อมตะระดับแปด แต่พวกเขาก็ไม่สามารถตัดสินใจได้ด้วยตนเอง


จักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูถอนหายใจยาว “เช่นนั้นเราก็มาสู้กัน”


เหยากวงโบกมือ “นั่นจะเป็นสิ่งสุดท้าย แม้ข้าจะเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้ แต่เผ่าเหยาไม่ใช่กองกำลังเดียวของตระกูลฮวงจิน ในความคิดเห็นของข้าเราควรปล่อยให้เด็กๆต่อสู้กันก่อน”


จักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูคิดและพยักหน้า “เช่นนั้นเรามากำหนดวันประลองกันเถอะ”


“ได้” เหยากวงคิดก่อนกล่าว “เราควรใช้ทุ่งโลหิตเป็นสถานที่ประลอง”


“ที่นั่นเหมาะสมแล้ว” จักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูเห็นด้วย


ทั้งสองตัดสินใจจัดงานประลองการต่อสู้ที่ทุ่งโลหิต หลังจากพูดคุยกันสักพัก พวกเขาก็ออกจากสวรรค์สีขาวและกลับเผ่าของตน


งานประลองทุ่งโลหิตสร้างความปั่นป่วนขึ้นในโลกของผู้อมตะภาคเหนือทันที


ผู้อมตะตระกูลฮวงจินเต็มไปด้วยความมั่นใจ


ในแง่ของรากฐาน นิกายชูกับเผ่าไป่ซูไม่สามารถแข่งขันกับกองกำลังพันธมิตรตระกูลฮวงจิน


จักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูมาจากผู้บ่มเพาะสันโดษขณะที่ชูตู๋เป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงบนเส้นทางสายปีศาจ


ยังมีเวลาอีกเล็กน้อยก่อนที่การประลองจะเกิดขึ้น ข่าวนี้แพร่กระจายไปถึงภาคกลางและภาคอื่นๆเช่นกัน


ทั้งสองฝ่ายกำลังรวบรวมความแข็งแกร่ง กองกำลังตระกูลฮวงจินคัดสรรตัวแทนอย่างระมัดระวังโดยเลือกเฉพาะชนชั้นสูงของตระกูล ขณะที่เผ่าไป่ซูและนิกายชูเริ่มสรรหาผู้เชี่ยวชาญและเตรียมการอย่างเต็มความสามารถ


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1191 อ้อนวอน


แปลโดย iPAT 


ภาคกลาง ถ้ำนรกใต้พิภพ


สุราและอาหารเลิศรสตั้งอยู่กลางสวนสวย


“พี่ซื่อ ข้าได้ยินว่าท่านชอบสุราเลิศรส ข้าเตรียมสุราเหล่านี้ไว้ให้ท่านโดยเฉพาะ” ผู้อมตะหยางฟงกล่าวกับแขกคนสำคัญของเขา


แขกผู้นี้มีดวงตาสีทอง ผมสั้นสีขาว เขาอยู่ในชุดต่อสู้รัดรูปกับเข็ดขัดสีฟ้าและเกราะเข่า


หยางฟงเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญจากนิกายจิตวิญญาณบรรพกาล แต่เปรียบเทียบกับแขกของเขา ชื่อเสียงของหยางฟงยังด้อยกว่า


เนื่องจากแขกผู้นี้ก็คือซื่อเล่ย เขาบ่มเพาะอยู่บนเส้นทางแห่งปฐพีเป็นหลักและเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงเป็นเส้นทางสายรอง เขาเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดบนจุดสูงสุดและเป็นที่รู้จักกันในนามของราชาวานรอมตะ!


“เช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว” ซื่อเล่ยหัวเราะเและยกถังสุราขึ้นดื่ม


กระทั่งกลิ่นของสุรายังให้ความรู้สึกราวกับเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำ ไอสุราสีแดงราวกับเปลวไฟที่สว่างไสว


ซื่อเล่ยยกย่อง “สุราที่ดี! นี่คือสุราจักรพรรดิเพลิงในตำนาน น้องฟง เจ้าเตรียมตัวมาดีจริงๆ”


ผู้อมตะหยางฟงหัวเราะ “ข้าจะไม่ซ่อนมันจากพี่ซื่อ ข้าต้องจ่ายด้วยราคามหาศาลเพื่อนำมันออกมาจากคลังสมบัติของนิกายจิตวิญญาณบรรพกาล นี่ต้องขอบคุณบรรพชนของเรา เมื่อสามแสนปีก่อนผู้อมตะจากนิกายจิตวิญญาณบรรพกาลเป็นสหายกับผู้อมตะของทะเลตะวันออก จักรพรรดิสุรา ระหว่างการแข่งขันบนเส้นทางแห่งการหลอมรวม สุราจักรพรรดิเพลิงถูกสร้างขึ้นโดยจักรพรรดิสุรา เขาสูญเสียมันให้กับบรรพชนของเราหลังจากพ่ายแพ้ในการแข่งขัน”


นิกายจิตวิญญาณบรรพกาลเป็นนิกายที่มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานที่สุดท่ามกลางสิบนิกายโบราณของภาคกลาง


“โอ้” ซื่อเล่ยรู้สึกประทับใจ “จักรพรรดิสุรา ข้ารู้จักคนผู้นี้ เขาเป็นผู้อมตะระดับแปดบนเส้นทางแห่งอาหารที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ ความพยายามตลอดชีวิตของเขาคือการสร้างห้าราชันและสามจักรพรรดิสุรา ตำนานกล่าวว่าเมื่อคนผู้หนึ่งรวมแปดสุดยอดสุราเข้าด้วยกัน พวกเขาจะได้รับวิญญาณสุราระดับแปด ด้วยการใช้วิญญาณดวงนี้ คนผู้นั้นจะสามารถเปลี่ยนพลังงานอมตะระดับแปดให้เป็นพลังงานอมตะระดับเก้า หลังจากจักรพรรดิสุราเสียชีวิต เขาทิ้งมรดกไว้เบื้องหลัง ปัจจุบันผู้อมตะซุ้ยเซียนเว่ยของทะเลตะวันออกเป็นผู้สืบทอดคนที่หนึ่งร้อยสามสิบเจ็ดของเขา”


“พี่ซื่อช่างรอบรู้นัก ข้าประทับใจจริงๆ” หยางฟงยกถ้วยสุราขึ้น


ซื่อเล่ยโบกมือ “การดื่มด้วยถ้วยสุราไม่เพียงพอ เรามาดื่มจากถังสุราโดยตรงดีกว่า”


“ได้! พี่ซื่อ ท่านเป็นคนตรงไปตรงมา ข้าก็จะทำเช่นเดียวกัน” หยางฟงตบโต๊ะตอบ


แต่ในจังหวะนี้การแสดงออกของซื่อเล่ยกลับเปลี่ยนแปลงไป เขามองออกไปด้านนอก


วิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งข้อมูลปรากฏขึ้นกลางอากาศและไม่ได้ลงมา


ดวงตาสีทองของซื่อเล่ยส่องประกายขึ้น “นี่คือวิญญาณอมตะจากนิกายของข้า น้องฟง โปรดอนุญาตให้มันเข้ามา”


สวนแห่งนี้ไม่ใช่สวนธรรมดาเพราะมันคือคฤหาสน์วิญญาณอมตะของนิกายจิตวิญญาณบรรพกาล


หยางฟงเปิดทางให้วิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งข้อมูลบินเข้ามาหาซื่อเล่ย


หลังจากตรวจสอบ ซื่อเล่ยเริ่มเปิดประเด็น “ผู้อมตะภาคเหนือล้วนเป็นคนบ้า เผ่าไห่พึ่งถูกทำลายและตอนนี้พวกเขากำลังเข้าสู่การต่อสู้ครั้งใหม่ กองกำลังตระกูลฮวงจินทั้งหมดรวมตัวกันเพื่อจัดการกองกำลังพันธมิตรระหว่างนิกายชูและเผ่าไป่ซูที่พึ่งก่อตั้งขึ้น”


“นิกายชู?” หยางฟงรู้สึกสับสน


“มันเป็นนิกายที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ เจ้ารู้จักชูตู๋ของภาคเหนือหรือไม่?”


“ข้าเคยได้ยินชื่อเสียงของเขา ชูตู๋เป็นผู้อมตะบนเส้นทางความแข็งแกร่งที่ถูกเรียกว่าจักรพรรดิอมตะ”


“ถูกต้อง เขาสร้างนิกายชูขึ้นมา คนผู้นี้ไม่สามารถมองข้าม เขาใช้ถ้ำสวรรค์ไห่ฟานต่อต้านการรุกรานของจักรพรรดิสวรรค์ไป่ซู นอกจากเขาจะแข็งแกร่ง เขายังเลี้ยงดูผู้อมตะบนเส้นทางความแข็งแกร่งเอาไว้มากมาย”


หยางฟงขมวดคิ้วกล่าว “เส้นทางความแข็งแกร่งเหมือนดวงอาทิตย์ที่กำลังจะตกดิน มันไม่มีสิ่งใดพิเศษ แต่พวกเขากลับสามารถสร้างนิกายชูขึ้นที่ภาคเหนือ ชูตู๋ผู้นี้ช่างกล้าหาญนัก!”


“เป็นเช่นนั้น” ซื่อเล่ยกล่าว “นี่เป็นการแสดงที่น่าดูชม ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะจัดงานประลองการต่อสู้ ฮ่าฮ่าฮ่า ภาคเหนือเป็นสถานที่ที่น่าตื่นเต้นจริงๆ พวกเขาต่อสู้กันตลอดเวลา เหตุใดข้าไม่เกิดที่ภาคเหนือ!?”


“โอ้” ซื่อเล่ยตบศีรษะของตัวเองและกล่าวต่อ “ข้าเกือบลืมไปแล้ว วังสวรรค์สั่งให้พวกเราโจมตีแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งดวงดาวเดี๋ยวนี้”


“เพราะเหตุใด? วังสวรรค์แน่ใจแล้วงั้นหรือว่าฟางหยวนจะไม่มาที่นี่?” หยางฟงถามด้วยความประหลาดใจ


ตั้งแต่อิงอู๋เซี่ยหลบหนีไป เทพธิดาจื่อเว่ยของวังสวรรค์ก็ไม่เคยยอมแพ้ที่จะค้นหาร่องรอยของฟางหยวน


แม้นางจะไม่สามารถอนุมานสิ่งใดเช่นเดียวกับองค์ชายฟงเซี่ยน แต่นางยังสามารถสรุปเกี่ยวกับแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งดวงดาว


แดนศักดิ์สิทธิ์แห่งดวงดาวอยู่ในถ้ำนรกใต้พิภพในอาณาเขตของนิกายจิตวิญญาณบรรพกาล


เทพธิดาจื่อเว่ยขอให้ราชาวานรอมตะซื่อเล่ยทำงานนี้


ซื่อเล่ยเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายเทพยุทธ์อมตะขณะที่นิกายจิตวิญญาณบรรพกาลส่งหยางฟงมาร่วมมือกับซื่อเล่ย


ซื่อเล่ยทำตามคำสั่งของเทพธิดาจื่อเว่ยและกำลังรอให้ฟางหยวนปรากฏตัว


แต่หลังจากรอคอยมาเป็นเวลานานฟางหยวนก็ยังไม่ปรากฏตัว


ไม่นานมานี้แดนศักดิ์สิทธิ์แห่งดวงดาวเผชิญหน้ากับภัยพิบัติ แต่ฟางหยวนตัดสินใจเพิกเฉยต่อมัน


เทพธิดาจื่อเว่ยสังเกตเห็นความมุ่งมั่นของฟางหยวนและอนุมานได้ว่าหากแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งดวงดาวยังอยู่ มันจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อฟางหยวนในอนาคต


ดังนั้นนางจึงตัดสินใจทำลายแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งดวงดาว


…..


นิกายคฤหาสน์วิญญาณ


ภูเขาหัวใจทะเลสาบ


ที่พักของฟงจินฮวง


“ศิษย์พี่ช่างยอดเยี่ยมนัก ท่านสามารถหลอมรวมได้กระทั่งวิญญาณประเภทนี้!” ฉินซวนถือวิญญาณไว้ในมือและกรีดร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น


ฟงจินฮวงเผยรอยยิ้มบาง “นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่”


นางมีวิญญาณอมตะปีกแห่งความฝัน การเข้าสู่อาณาจักรแห่งความฝันทำให้ความสำเร็จบนเส้นทางแห่งการหลอมรวมของนางบรรลุถึงระดับปรมาจารย์ การหลอมรวมวิญญาณระดับสามไม่ถือเป็นสิ่งใดสำหรับนางในเวลานี้


“ศิษย์พี่!” ทันใดนั้นผู้ใช้วิญญาณหญิงผู้หนึ่งก็วิ่งเข้ามาด้วยใบหน้าที่อวบอ้วนของนาง


ฉินซวนไม่พอใจกับพฤติกรรมนี้ “ซุนเหยา เจ้าเป็นศิษย์ชั้นสูงของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เหตุใดจึงแสดงพฤติกรรมที่ไม่สำรวมเช่นนี้ เจ้าตื่นตระหนกเรื่องใด?”


ฟงจินฮวงยิ้ม “อย่ากังวล ข้าอยู่ที่นี่ บอกข้ามา”


ซุนเหยาสูดหายใจลึกก่อนกล่าว “มันคือจ้าวเหลียนหยุน นางกำลังมา!”


“กระไรนะ! จ้าวเหลียนหยุน?” การแสดงออกของฉินซวนเปลี่ยนแปลงไป “จ้าวเหลียนหยุนเป็นปีศาจต่างโลก นางได้รับมรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจปล้นสวรรค์ เมื่อนางเข้าสู่นิกายคฤหาสน์วิญญาณ นางกลายเป็นคู่แข่งคนสำคัญของศิษย์พี่ จ้าวเหลียนหยุนต้องการชิงตำแหน่งผู้นำรุ่นต่อไปของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ แล้วเหตุใดนางถึงมาหาท่านที่นี่?”


รอยยิ้มของฟงจินฮวงค่อยๆเลือนหายไป “ข้าไม่แน่ใจเช่นกัน ไปเถอะ ไปพบนางและถามให้แน่ชัด”


ทั้งสามออกจากห้องและพบกับหญิงสาวผู้หนึ่ง


เด็กผู้หญิงคนนี้อยู่ในชุดสีขาวสะอาด เส้นผมสีดำของนางยาวสลวย ดวงตาของนางราวกับท้องฟ้ายามค่ำคืน แต่นางกลับแสดงออกด้วยความวิตกกังวล


ความงามที่สามารถเทียบเคียงกับฟงจินฮวงเช่นนี้ไม่ใช่ผู้ใดนอกจากจ้าวเหลียนหยุน


“ศิษย์น้อง ข้าสงสัยว่าเจ้ามีธุระใดกับข้า?” ฟงจินฮวงถาม


จ้าวเหลียนหยุนลังเลอยู่ชั่วขณะก่อนที่ดวงตาของนางจะส่องประกายด้วยความมุ่งมั่น


นางคุกเข่าลงอย่างกะทันหัน


ฉินซวนและซุนเหยาอ้าปากค้างด้วยความคาดไม่ถึง


ฟงจินฮวงค่อนข้างตกใจเช่นกัน “ศิษย์น้องจ้าว เหตุใดเจ้าถึงทำเช่นนี้?”


“ข้าไม่มีทางเลือกอื่นจริงๆ โปรดช่วยท่านพี่หม่าหงหยุนของข้าด้วย!” จ้าวเหลียนหยุนกล่าวด้วยน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้ม


“หม่าหงหยุน เขาคือผู้ใด? อย่างไรก็ตามเจ้าควรลุกขึ้นก่อน” ฟงจินฮวงรีบเดินเข้าไปช่วยประคองจ้าวเหลียนหยุนให้ยืนขึ้น


นางเป็นคนใจกว้างและแสดงออกเหมือนพี่สาว


แม้นางกับจ้าวเหลียนหยุนจะแข่งขันกันเพื่อชิงตำแหน่งผู้นำนิกาย แต่เมื่อจ้าวเหลียนหยุนมาขอร้องให้นางช่วยเหลือ ฟงจินฮวงก็ไม่ได้ดูแคลนจ้าวเหลียนหยุนและยังห่วงใยอีกฝ่าย


แต่จ้าวเหลียนหยุนไม่ลุก นางสะบัดมือของฟงจินฮวงออกและสะอื้นไห้ “ตอนนี้ผู้เดียวที่ช่วยข้าได้คือศิษย์พี่ฟงจินฮวงเท่านั้น”


…..


ภาคใต้ หมู่บ้านแสงจันทร์บรรพกาล


ฟางหยวนป้องหมัดและกัดฟันแน่น เขากล่าวกับสองคนที่นั่งอยู่ด้านหน้า “ท่านลุง ท่านป้า พวกท่านได้รับมรดกจากท่านพ่อท่านแม่ของข้า ตอนนี้ข้ามีหินวิญญาณเพียงเล็กน้อย แล้วพวกท่านจะไม่ช่วยข้าเลยงั้นหรือ?”


ผู้เป็นป้าเย้ยหยัน “นั่นไม่ถูกต้อง พวกเราไม่ได้รับสิ่งใดจากพ่อแม่ของเจ้า พวกมันอยู่กับน้องชายของเจ้า น้องชายของเจ้ามีพรสวรรค์นภาที่หนึ่ง อนาคตของเขายาวไกลกว่าเจ้า ข้าเชื่อว่าพ่อแม่ของเจ้าจะทำเช่นเดียวกันหากพวกเขายังมีชีวิตอยู่”


“โอ้ ฟางหยวน” ลุงกล่าวอย่างช้าๆ “ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดสิ่งใด เจ้าต้องการใช้หินวิญญาณเพื่อซื้อเคล็ดลับการหลอมรวมวิญญาณและหลอมรวมวิญญาณ แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าการหลอมรวมวิญญาณยากลำบากเพียงใด? มันมีความเสี่ยงมากเพียงใด? โอ้ ฟางหยวน เจ้ายังเด็กเกินไป อย่าคิดถึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ด้วยพรสวรค์นภาที่สาม หยุดฝันลมๆแล้งๆ”


มันเป็นฤดูหนาว แต่หัวใจของฟางหยวนกลับหนาวเย็นยิ่งกว่า


เขายืนนิ่งอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเปิดปากกล่าวอีกครั้ง “ข้าเข้าใจแล้ว”


เขาหันหลังกลับและเดินออกไป


ป้าประชดประชัน “จะไปเช่นนี้งั้นหรือ? ไม่แม้แต่จะบอกลา ช่างไร้มารยาทจริงๆ”


ลุงยิ้มและกล่าวด้วยน้ำเสียงเสแสร้ง “โอ้ ฟางหยวน อย่าคิดมาก ไปพักและกลับมาทานอาหารเย็น”


ฟางหยวนไม่หยุดเดินและกระทั่งเดินเร็วขึ้น


เขาออกมาถึงถนนที่เต็มไปด้วยผู้คน


ตอนนี้เป็นเวลาหัวค่ำ แม้จะไม่มีหิมะ แต่อากาศยังหนาวเย็น


ฟางหยวนกำหมัดแน่นและมองขึ้นไปบนท้องฟ้า


ดวงดาวมากมายส่องประกายระยิบระยับ


แสงดาวส่องสะท้อนอยู่ในรูม่านตาของฟางหยวน


‘ต้้งแต่ข้าถูกนำมาที่โลกใบนี้ ข้าก็ต้องประสบความสำเร็จบางอย่างในชีวิต พรสวรรค์นภาที่สามแล้วอย่างไร? ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องประสบความสำเร็จ!’


ฟางหยวนไม่รู้ว่ามีบางคนกำลังเฝ้ามองสถานการณ์ทั้งหมดอยู่ด้านหลังอย่างเงียบๆ


ดวงดาวบนท้องฟ้าในคืนนี้สว่างมาก มันส่องสะท้อนร่างที่อยู่ด้านหลังให้ปรากฏตัวอย่างชัดเจน


มันคือฟางหยวนอีกคน


แต่รูปลักษณ์ของฟางหยวนคนนี้เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง


ภายใต้การเฝ้ามองของเขา ท้องฟ้ายามค่ำคืนและทุกสิ่งในอาณาจักรแห่งความฝันค่อยๆเลือนหายไป


ในโลกแห่งความเป็นจริง ฟางหยวนเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างช้าๆและพึมพำ “ผู้ใดจะคิดว่าข้าจะได้สัมผัสกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตอีกครั้ง”


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1192 ยินยอม


แปลโดย iPAT 


ภาคกลาง นิกายคฤหาสน์วิญญาณ


“จ้าวเหลียนหยุนอาจเป็นปีศาจต่างโลกแต่นางมีความรักที่ลึกซึ้ง” เทพธิดาไป่ชิงมารดาของฟงจินฮวงมองผ่านช่องหน้าต่างออกไปและเห็นจ้าวเหลียนหยุนยังคุกเข่าอยู่ที่ลานกว้าง


จ้าวเหลียนหยุนมาหาฟงจินฮวงและขอร้องให้นางช่วยหม่าหงหยุน


ไม่ว่าฟงจินฮวงจะกล่าวสิ่งใด จ้าวเหลียนหยุนก็ยังไม่ยอมลุกขึ้น ฟงจินฮวงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขอความช่วยเหลือจากบิดามารดาของนาง


เทพธิดาไป่ชิงมารดาของนางเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดของนิกายคฤหาสน์วิญญาณขณะที่ฟงจิวเก้อบิดาของนางเป็นผู้อมตะที่มีชื่อเสียง


ฟงจิวเก้อไปหาเทพธิดาไป่ชิงแต่ไม่ได้สนใจจ้าวเหลียนหยุน เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้า “ที่รัก เจ้าไม่รู้งั้นหรือว่าจ้าวเหลียนหยุนได้รับคำแนะนำจากบางคน”


ดวงตาของเทพธิดาไป่ชิงส่องประกายขึ้น “ท่านหมายถึงซูเฮาและหลี่จุนอิงเช่นนั้นหรือ?”


สถานที่ที่มีการรวมกลุ่มของผู้คนย่อมมีการแข่งขันเพื่อแย่งชิงผลประโยชน์เสมอ


นิกายคฤหาสน์วิญญาณมีความขัดแย้งภายในเช่นกัน


ฟงจิวเก้อมีพลังการต่อสู้เทียบเท่ากับผู้อมตะระดับแปด ไม่มีผู้อมตะจากสิบนิกายโบราณที่สามารถแข่งขันกับเขา แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่มีศัตรู


การแข่งขันบนโลกใบนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการต่อสู้และการฆ่าฟันเท่านั้น


ซูเฮาและหลี่จุนอิงเป็นฝ่ายตรงข้ามของฟงจิวเก้อในนิกายคฤหาสน์วิญญาณ


ทั้งสองเป็นคู่สามีภรรยา


ซูเฮาเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา ขณะที่หลี่จุนอิงรู้จักกันในนามของเทพธิดามายา นางมีความสามารถที่ไม่ธรรมดา


ในชีวิตก่อนหน้าของฟางหยวน ฟงจิวเก้อเสียชีวิตในด่านรับสืบทอดมรดกของเทพปีศาจปล้นสวรรค์ เทพธิดาไป่ชิงถูกกดดันอย่างรุนแรงจากซูเฮาและหลี่จุนอิง แต่หลังจากฟางหยวนใช้วิญญาณกาลเวลา ฟงจิวเก้อถูกช่วยชีวิตและทำให้ประวัติศาสตร์เปลี่ยนแปลงไป


การกลับมาของฟงจิวเก้อทำให้ซูเฮาและหลี่จุนอิงตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอีกครั้ง


อย่างไรก็ตามอิทธิพลของจ้าวเหลียนหยุนทำให้ทั้งสองยังสามารถยืนหยัดอยู่ได้


เมื่อเทพธิดาไป่ชิงกล่าวถึงชื่อของคนทั้งสอง ฟงจิวเก้อพยักหน้ายอมรับ “มันคือพวกเขา นี่เป็นความผิดพลาดของข้า เวลานั้นข้าเป็นคนส่งซูเฮาไปทำภารกิจเกี่ยวกับมรดกของเทพปีศาจปล้นสวรรค์ แต่ผู้ใดจะคิดว่าพวกเขาจะได้รับประโยชน์จากมันจริงๆ”


“ฮวงเอ๋อต้องการเป็นผู้นำนิกายรุ่นต่อไป เดิมทีไม่มีผู้ใดสามารถแข่งขันกับนาง แต่ตอนนี้จ้าวเหลียนหยุนปรากฏตัวขึ้น ปีศาจต่างโลกหญิงผู้นี้ฉลาดมากและมีมุมมองที่แตกต่างในหลายแง่มุม นางประสบความสำเร็จด้วยวิธีการเฉพาะตัวของนางเอง นางคู่ควรที่จะเป็นคู่แข่งของฮวงเอ๋ออย่างแท้จริง”


“คราวนี้จ้าวเหลียนหยุนมาคุกเข่าและขอความช่วยเหลือ ซูเฮาต้องอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ จ้าวเหลียนหยุนต้องการช่วยชายคนรัก นางต้องต่อสู้เพื่อชิงตำแหน่งผู้นำ หากฮวงเอ๋อยอมแพ้การแข่งขันเพื่อช่วยจ้าวเหลียนหยุน ในฐานะผู้นำรุ่นต่อไปจ้าวเหลียนหยุนจะสามารถหยิบยืมพลังอำนาจของนิกาย แต่ในกรณีที่ฮวงเอ๋อปฏิเสธ มันจะทำให้เกิดปัญหา”


ฟงจิวเก้อวิเคราะห์และเปิดเผยแผนการของซูเฮาได้อย่างง่ายดาย


เทพธิดาไป่ชิงกล่าวอย่างสนุกสนาน “ที่รัก เหตุใดข้าจะไม่เข้าใจ สิ่งเหล่านี้เกี่ยวกับวิญญาณที่สำคัญที่สุดของนิกายคฤหาสน์วิญญาณของเรา มันคือวิญญาณแห่งความรัก นิกายของเราถูกขับเคลื่อนโดยความรัก ซูเฮาขอให้จ้าวเหลียนหยุนทำเช่นนี้ แม้เขาอาจไม่คาดหวังว่านางจะประสบความสำเร็จ แต่หลังจากจ้าวเหลียนหยุนถูกฮวงเอ๋อปฏิเสธ คนอื่นๆจะเห็นใจนาง”


“ฮ่าฮ่าฮ่า ที่รัก เจ้าฉลาดมาก ข้ากังวลเกินไป” ฟงจิวเก้อหัวเราะ


ซูเฮาพยายามช่วยจ้าวเหลียนหยุนเอาชนะฟงจินฮวงและกลายเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นต่อไป ด้วยวิธีนี้เขาจะสามารถใช้จ้าวเหลียนหยุนเพื่อผูกมิตรกับคนอื่นๆและต่อต้านฟงจิวเก้อ


ซูเฮาวางแผนมาเป็นอย่างดี


ตลอดมาตัวตนปีศาจต่างโลกของจ้าวเหลียนหยุนเป็นอุปสรรคสำคัญในการเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณเนื่องจากผู้คนมักชื่นชอบผู้ที่มีภูมิหลังคล้ายคลึงกันมากกว่า


จ้าวเหลียนหยุนที่มาจากโลกใบอื่นถูกมองข้ามและกีดกัน


แต่หลังจากเรื่องนี้ภาพลักษณ์ของจ้าวเหลียนหยุนในสายตาสมาชิกนิกายคฤหาสน์วิญญาณได้เปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์


แม้จ้าวเหลียนหยุนจะเป็นปีศาจต่างโลกแต่นางก็รักชายผู้หนึ่งของโลกผู้ใช้วิญญาณ


เพื่อชายผู้นี้ นางสามารถทำทุกสิ่งเพื่อแย่งชิงตำแหน่งผู้นำนิกาย


นางเป็นคนน่าสงสารที่ไม่มีผู้ใดให้ความช่วยเหลือ คนรักของนางอยู่ที่ภาคเหนือและอาจตายได้ทุกเมื่อ


“ครั้งนี้ซูเฮาวางแผนได้ดี ไม่ว่าฮวงเอ๋อจะตัดสินใจอย่างไร นางก็ยังพ่ายแพ้ ในความเป็นจริงเพื่อชิงตำแหน่งผู้นำนิกาย นางต้องปฏิเสธจ้าวเหลียนหยุน” ฟงจิวเก้อกล่าวเสียงเรียบ


“เช่นนั้นเราจะปล่อยให้จ้าวเหลียนหยุนคุกเข่าอยู่ตรงนี้ต่อไปงั้นหรือ?” เทพธิดาไป่ชิงถาม


ฟงจิวเก้อยิ้ม “อย่ากังวล นางจะไม่อยู่ที่นี่นานนัก นี่เป็นเพียงการแสดงเท่านั้น”


แต่เทพธิดาไป่ชิงส่ายศีรษะ “ข้าไม่เห็นด้วยกับท่านในเรื่องนี้ ท่านไม่เห็นสายตาของจ้าวเหลียนหยุนเช่นนั้นหรือ? มันเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและแน่วแน่ นางจมอยู่ในความทุกข์ แล้วท่านคิดว่าซูเฮาจะบอกความจริงกับนางงั้นหรือ? จ้าวเหลียนหยุนอาจคิดว่านี่เป็นความหวังเดียวของนางในการช่วยเหลือคนรัก นางจะไม่ยอมแพ้และจะคุกเข่าอยู่ที่นี่ต่อไป”


ฟงจิวเก้อไม่ตอบแต่มองขึ้นไปบนท้องฟ้าโดยไม่สนใจจ้าวเหลียนหยุน


ฟงจิวเก้อรู้สึกเสียใจเล็กน้อยในเวลานี้


หากเขารู้เรื่องนี้มาก่อน เขาจะไม่นำตัวจ้าวเหลียนหยุนมาจากภาคเหนือและกลายเป็นอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของฟงจินฮวง


กระทั่งฟงจิวเก้อจะมีพลังการต่อสู้ระดับแปด เขาก็ไม่สามารถทำสิ่งใด


“กระทั่งแม่ของเจ้าก็ยังสงสารจ้าวเหลียนหยุน โอ้ ฮวงเอ๋อ ครั้งนี้พวกเราจะไม่แนะนำเจ้า พวกเราจะรอดูว่าเจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” ฟงจิวเก้อลอบคาดหวัง


บนเส้นทางไปยังภูเขาหัวใจทะเลสาบ


ฉินซวนเตะก้อนหินออกจากเส้นทางด้วยความโกรธ “จ้าวเหลียนหยุนผู้นี้ช่างน่ารำคาญนัก! นางกล้าขอให้ศิษย์พี่สละตำแหน่งผู้นำนิกายรุ่นต่อไป นางช่างไร้ยางอายนัก!”


“แต่นางไม่มีทางเลือก นางอธิบายแล้วว่านางต้องทำเพื่อคนที่นางรัก” ซุนเหยาพึมพำ


“ถูกต้อง แต่ถึงกระนั้นนางก็ทำเช่นนี้ไม่ได้! นางคุกเข่าอยู่บนพื้นโดยไม่ยอมลุกขึ้นและต้องการให้พวกเราขอร้องให้นางลุกขึ้นงั้นหรือ? น่าชัง! ข้าโกรธมากจริงๆ นางทำให้บ้านของศิษยพี่ถูกรายล้อมไปด้วยผู้ชมมากมาย นางทำให้ศิษย์พี่ไม่สามารถกลับบ้านและต้องมาเร่ร่อนอยู่ที่นี่!” ฉินซวนโกรธจนแทบคลั่ง


“อย่างไรก็ตามนางช่างน่าสงสารจริงๆ ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยรู้สึกเช่นนี้แต่เมื่อได้ยินคำกล่าวของนาง ข้าพบว่าจ้าวเหลียนหยุนเป็นคนดีคนหนึ่ง…” ซุนเหยาส่ายศีรษะ


“นี่! เจ้าอยู่ข้างผู้ใดกันแน่! เจ้ากำลังพูดแทนจ้าวเหลียนหยุน!” ฉินซวนโกรธมากและชี้นิ้วไปที่ซุนเหยา “ศิษย์พี่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมที่สุดในการเป็นผู้นำรุ่นต่อไปของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ จ้าวเหลียนหยุนเป็นคนนอก นางจะเป็นผู้นำนิกายได้อย่างไร? ซุนเหยา เจ้าลืมไปแล้วงั้นหรือว่าศิษย์พี่ดูแลพวกเรามาดีเพียงใด? เจ้าจะตอบแทนความเมตตาด้วยการเป็นปฏิปักษ์งั้นหรือ?”


“ไม่ ข้าไม่มีเจตนาเช่นนั้น ข้าเพียงรู้สึกสงสาร ไม่ว่าศิษย์พี่จะตัดสินใจอย่างไร ข้าก็จะสนับสนุนศิษย์พี่!” ซุนเหยาเร่งโบกมือ


ฉินซวนสงบลงเล็กน้อยแต่นางยังรู้สึกกังวลแทนฟงจินฮวง “ศิษย์พี่กำลังลำบาก จ้าวเหลียนหยุนผู้นี้เป็นตัวปัญหาจริงๆ หากศิษย์พี่ตกลงทำตามคำเรียกร้องของนาง ศิษย์พี่จะสูญเสียตำแหน่งผู้นำนิกาย แต่หากศิษย์พี่ปฏิเสธ ผู้คนจะบอกว่าศิษย์พี่ใจร้าย พวกเขาจะเริ่มเห็นใจจ้าวเหลียนหยุนและยอมรับนางมากขึ้น ผู้ตัดสินไม่ใช่ผู้อาวุโสของนิกายเท่านั้นแต่พวกเขายังต้องพิจารณาถึงมุมมองของคนรุ่นเราอีกด้วย ผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณทุกรุ่นต้องได้รับการยอมรับจากทุกคน!”


“ฮ่าฮ่าฮ่า” ฟงจินฮวงหัวเราะเบาๆกับตนเองขณะเดินไปข้างหน้า


เมื่อนางหยุดเดิน ฉินซวนและซุนเหยาจึงตระหนักว่าพวกนางมาถึงเนินเขาที่พวกนางมาบ่อยครั้ง


ฟงจินฮวงเงยหน้ามองดวงดาวบนท้องฟ้า


จากนั้นนางจึงเปิดปากกล่าว “ข้าจะปฏิเสธ”


น้ำเสียงของนางฟังดูเรียบง่ายแต่ซุนเหยาและฉินซวนยังรู้สึกได้ถึงความมุ่งมั่นและแน่วแน่จากนาง


ดวงตาของฟงจินฮวงส่องประกายขึ้นขณะที่สายลมยามค่ำคืนพัดเข้ามาลูบไล้ใบหน้าของนาง นางกล่าวต่อ “แม้จ้าวเหลียนหยุนจะน่าสงสาร แต่ตำแหน่งผู้นำนิกายรุ่นต่อไปคือเป้าหมายของข้า นี่คือเส้นทางที่ข้าเลือกด้วยตัวของข้าเองและจะไม่เปลี่ยนมันเพื่อผู้อื่น!”


…..


ภาคเหนือ แดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา ฟางหยวนอยู่ในอาณาจักรแห่งความฝันของตนเองอีกครั้ง


ภูเขาชิงเหมา


ในหมู่บ้านแสงจันทร์บรรพกาล ฟางหยวนในวัยเยาว์ยืนอยู่ต่อหน้าผู้นำตระกูลแสงจันทร์


“ท่านต้องการให้ข้ายอมแพ้ฟางเจิ้งในวันพรุ่งนี้งั้นหรือ?” ฟางหยวนกล่าวด้วยดวงตาเบิกกว้าง


ผู้นำตระกูลแสงจันทร์ถอนหายใจ “ฟางหยวน ข้าเข้าใจว่ามันไม่ใช่ความผิดของเจ้า แต่เจ้าต้องเข้าใจว่าเขาอยู่ใต้เงาของเจ้ามาตลอดและไม่สามารถปลดปล่อยตนเอง เขาท้าประลองกับเจ้าเพราะต้องการเอาชนะหัวใจของตนเองและกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริง”


ฟางหยวนก้มศีรษะลง “ท่านผู้นำ ตั้งแต่ท่านเรียกข้ามาพบอย่างลับๆ นั่นก็หมายความว่าข้าแข็งแกร่งกว่าเขา”


“นั่นถูกต้อง เจ้าได้รับมรดกจากพ่อแม่ของเจ้าและประสบความสำเร็จในการหลอมรวมวิญญาณ สิ่งนี้ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับเจ้า แต่ฟางเจิ้งมีพรสวรรค์นภาที่หนึ่ง เขาได้รับการสั่งสอนจากผู้อาวุโสหลายคนและมีทักษะที่ค่อนข้างดี ตอนนี้เขาขาดเพียงประสบการณ์เท่านั้น” ผู้อาวุโสของตระกูลแสงจันทร์กล่าว


“พรสวรรค์นภาที่หนึ่ง…ฮ่าฮ่าฮ่า” ฟางหยวนเงยหน้ามองผู้นำตระกูลแสงจันทร์และเผยรอยยิ้มเย้ยหยัน


“เจ้าตัดสินใจอย่างไร?” ผู้นำตระกูลแสงจันทร์มองฟางหยวนอย่างเย็นชา


ฟางหยวนหันหลังกลับและเดินจากไป


ร่างของเขาหายไปในความมืด


มีเพียงประโยคเดียวที่เขาทิ้งไว้เบื้องหลัง “ข้าจะทำ”


ผู้นำตระกูลพึมพำกับตนเอง “เขายินยอมอย่างง่ายดาย เขาต้องมีแผนการบางอย่าง เพื่อความปลอดภัย ข้าควรทำให้เขาอ่อนแอลงก่อน”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)