พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1183-1190
บทที่ 1183 นี่ก็คือราคที่ต้องจ่าย
โดย
Ink Stone_Fantasy
ที่ลานบ้านหลังหนึ่งนอกตำหนักอู๋เลี่ยง หลังจากหยางเจาชิงแต่งงานแล้วก็ย้ายออกไปพักนอกตำหนักอู๋เลี่ยง
พอทั้งสามเดินมาถึงประตูลานบ้าน ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงพูดคุยหัวเราะกันดังมาจากด้านใน พอเดินเข้าไปดู ก็เห็นหลินผิงผิงกับอู่ฉุนฟาง เฉิงอิงอู่ผู้เป็นลูกสาวก็อยู่ด้วยเช่นกัน เฉิงอิงอู่กำลังใช้สองมือเท้าเอว สะบัดผมเปียเล็กๆ ที่มีอยู่เต็มศีรษะ ไม่รู้ว่ากำลังเรียนรู้วิธีการเดินจากใคร ทำเอาหลินผิงผิงกับอู่ฉุนฟางหัวเราะไม่หยุด
ตอนนี้อู่ฉุนฟางและเฉิงอิงอู่สองแม่ลูกเป็นฝ่ายอาสาอยู่ที่นภาอู๋เลี่ยงเพื่อดูแลพวกต้นไม้ใบหญ้า ส่วนเฉิงเย่าเวยก็เป็นประมุขปราสาท ลูกชายและลูกสาวคนอื่นๆ ขึ้นเป็นประมุขตำหนักกันหมดแล้ว อู่ฉุนฟางพาเฉิงอิงอู่อยู่ที่นภาอู๋เลี่ยงต่อก็เพื่อจะรักษาความสัมพันธ์กับบุคลคลระดับสูงต่อไป เป็นการวางแผนเพื่ออนาคตของตระกูลเฉิงเช่นกัน
เฉิงอิงอู่กำลังหมุนตัวสะบัดผมเปีย แต่บังเอิญเห็นพวกเหมียวอี้ที่ยืนอยู่ไม่ไกลกำลังยิ้มพลางมองนางแสดงฝีมือโอ้อวด ทำให้เหม่อค้างอยู่กับที่ทันที
หลินผิงผิงกับอู่ฉุนฟางเห็นสถานการณ์แล้วหันไปมอง ทำให้ตะลึงค้างทันที จากนั้นทั้งคู่ก็รีบลุกขึ้นยืน รีบนำเฉิงอิงอู่เดินมาคำนับ “คำนับท่านปราชญ์!”
“ไม่ต้องมากพิธี!” เหมียวอี้ผายมือให้ยืนขึ้น แล้วเดินผ่านทั้งสามที่หลีกทางให้ออกไป พอเข้ามานั่งในศาลา หลินผิงผิงก็รีบกำชับให้คนนำน้ำชามาวางให้
เมื่อเห็นเฉิงอิงอู่ยืนขวยอายอยู่นอกศาลา เหมียวอี้ก็ยิ้มพร้อมอกยว่า “อิงอู่กำลังเต้นระบำอยู่เหรอ? เต้นต่อสิ เต้นให้ข้าดูหน่อย”
ที่จริงเขาแค่พูดหยอก แต่ใครจะคิดว่าอู่ฉุนฟางจะเร่งลูกสาวทันที “อิงอู่ ไม่ได้ยินที่ท่านปราชญ์พูดเหรอ? เต้นระบำที่เจ้าถนัดที่สุดให้ท่านปราชญ์ดู”
พอได้ยินแบบนี้ เหมียวอี้ตะลึงไปชั่วขณะ เด็กสาวที่มีกลิ่นอายโจรทั้งตัวเต้นระบำเป็นจริงๆ เหรอ? ไม่ฝืนใจเกินไปรึไง?
“ค่ะ!” เฉิงอิงอู่ตอบเสียงอ่อนปวกเปียก นางเขินอายนิดหน่อย แล้วถอยหลังไปอย่างช้าๆ
หลังจากหยุดยืนอยู่กับที่แล้ว ก็กวักมือเรียกกระบี่วิเศษออกมา นางสงบสติอารมณ์และตั้งสมาธิ พอชูกระบี่ในมือ เอวก็บิดจนกระโปรงปลิวสะบัดขึ้นมา งอขาขึ้นฟ้าราวกับวงกระจันทร์ ยืนนิ่งโดยใช้ขาข้างเดียว! จากนั้นก็เห็นคมกระบี่สะท้อนแสงอย่างช้าๆ นางกางแขนยืดเท้า เรือนร่างยืดแผ่อย่างนิ่มนวลงดงาม เปียเล็กเต็มศีรษะปลิวว่อน นี่คือระบำกระบี่
กลิ่นอายที่ต่างออกไปอบอวลอยู่ในลานบ้าน ในความดิบเถื่อนซ่อนความแข็งแกร่งและอ่อนโยนของผู้หญิงเอาไว้ บางครั้งก็เหมือนควันที่ลอยอยู่ในทะเลทรายกว้าง บางครั้งก็เหมือนพระจันทร์เสี้ยวบนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ บางครั้งก็เหมือนพระอาทิตย์ตกริมแม่น้ำ บรรยายความสง่างามไม่หมด เฉิงอิงอู่ราวกับกำลังเต้นระบายความรู้สึก ดำดิ่งลงไปอย่างช้าๆ
เป็นครั้งแรกที่เหมียวอี้ได้เห็นระบำที่มีรสนิยมแบบนี้ มีเสน่ห์ไปอีกแบบจริงๆ ดึงดูดให้ละสายตาไม่ได้ สายตาของคนอื่นๆ ก็มองตามเงาร่างที่กำลังเต้นระบำของเฉิงอิงอู่เช่นกัน มีเพียงอู่ฉุนฟางที่มองลูกสาวและเหลือบมองปฏิกิริยาของเหมียวอี้เป็นระยะ
หลังจากเต้นระบำ เฉิงอิงอู่ก็จบการระบำอย่างเป็นทางการโดยใช้ท่าเก็บกระบี่ไว้ตรงหน้าอกและใช้นิ้วกดไว้ เสร็จแล้วถึงได้ถือกระบี่คว่ำลงพลางกุมหมัดคารวะเหมียวอี้อย่างเขินอาย “แสดงฝีมืออ่อนด้อยต่อหน้าท่านปราชญ์แล้ว”
แปะๆ! เหมียวอี้ประบมือชื่นชม แล้วส่ายหน้าถอนหายใจด้วยความทึ่ง “ข้าก็ยังนึกว่าเจ้าเหมาะจะเป็นโจรทะเลทรายอย่างเดียว นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะเต้นระบำได้ด้วย คนเก่งไม่ออกหน้าโอ้อวดจริงๆ ด้วย แต่ดูจากอารมณ์ตอนที่เจ้าระบำ เหมือนยังคนึงหาทะเลทรายอยู่ อาศัยอยู่ที่นี่ค่อนข้างผูกมัดเจ้า ถ้าเจ้าชอบทะเลทรายจริงๆ ก็ให้ผู้การหยางจัดหาที่ทางที่ทะเลทรายม่านเมฆาให้ก็ได้”
อู่ฉุนฟางที่อยู่ข้างๆ รีบบอกทันทีว่า “อิงอู่ยังชอบทำงานรับใช้อยู่ข้างกายท่านปราชญ์ค่ะ”
“เหอะๆ! ทำงานที่ไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ ขอเพียงมีความตั้งใจนั้นก็พอ” เหมียวอี้โบกมือ ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องนี้ เขาหันไปมองหลินผิงผิง แล้วกล่าวด้วยสีหน้าหยอกล้อ “หลินผิงผิง ลูกน้องข้าคนนี้แต่งงานกับเจ้าแล้วเป็นยังไงบ้าง ไม่ได้ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างขาดความยุติธรรมใช่มั้ย? เขาเป็นผู้ชายของเจ้าได้อย่างเหมาะสมหรือเปล่า?”
“ยังดีค่ะ!” หลินผิงผิงตอบอย่างเขินอายเล็กน้อย
หยางเจาชิงหัวเราะเบาๆ อยู่ข้างกาย
หลังจากถามตอบไปสักพัก เหมียวอี้ก็มีธุระจะถามเหยียนซิวกับหยางเจาชิง จึงให้พวกผู้หญิงออกไปก่อน
ในระหว่างนั้นอาศัยโอกาสที่หยางเจาชิงกลับเข้ามาในลานบ้าน จู่ๆ หลินผิงผิงก็โผล่ออกมาจากด้านข้าง ดึงตัวเขามากระซิบสองสามประโยค
หยางเจาชิงได้ยินแล้วขมวดคิ้วถาม “แบบนี้ไม่เหมาะสมมั้ง เจ้ามายุ่งเรื่องนี้ไม่เหมาะสมมั้ง?”
หลินผิงผิงพึมพำว่า “ในเมื่อเจ้าตัวมีความตั้งใจแบบนั้น เจ้าไปถามความเห็นนายท่านสักหน่อยคงไม่เสียหายหรอกมั้ง”
ดังนั้น รอจนกระทั่งเหมียวอี้ออกจากตรงนี้และเดินออกจากลานบ้านไปได้ไม่นาน จู่ๆ หยางเจาชิงที่เดินตามอยู่ข้างกายเหมียวอี้ก็บอกว่า “นายท่าน มีเรื่องบางเรื่องที่ไม่รู้ว่าข้าน้อยสมควรจะพูดหรือเปล่าขอรับ?”
“มีอะไรก็พูดมาเถอะ” เหมียวอี้ยิ้มเรียบๆ
หยางเจาชิงที่กำลังเดินลงบันไดลังเลครู่หนึ่ง แล้วลองถามหยั่งเชิงว่า “อู่ฉุนฟางไหว้วานให้หลินผิงผิงบอกให้ข้าน้อยถามนายท่าน นางอยากจะให้เฉิงอิงอู่คอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายนายท่านขอรับ”
“ไม่มีความจำเป็นนั้นหรอกมั้ง” เหมียวอี้ยิ้มตอบ
เมื่อเห็นว่าเขาเหมือนจะยังไม่เข้าใจความหมาย หยางเจาชิงจึงพูดตรงๆ เสียเลยว่า “เจตนาของอู่ฉุนฟางก็คือ ถ้าหากนายท่านไม่รังเกียจเฉิงอิงอู่ ก็อยากจะให้นายท่านรับเฉิงอิงอู่เข้าห้องขอรับ”
เหมียวอี้หยุดฝีเท้าไปชั่วขณะ จากนั้นก็เดินไปข้างหน้าต่ออีก แล้วส่ายหน้าบอกว่า “ไม่กล่าวว่ารังเกียจหรือไม่รังเกียจหรอก เจ้ายังไม่เข้าใจอีกเหรอนางมีเจตนาอะไร นางทำเพื่ออนาคตของตระกูลเฉิงอย่างเดียว โดยให้เฉิงอิงอู่เป็นคนเสียสละ นี่ไม่ใช่ความตั้งใจเดิมของเฉิงอิงอู่แน่นอน ข้างกายข้ามีผู้หญิงเยอะจะตาย ยังใช้ไม่หมดเลย ไม่ขาดผู้หญิงหรอก! ถ้าข้ามีอารมณ์ขึ้นมา อยากจะได้เฉิงอิงอู่เมื่อไรก็ได้ทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องให้อู่ฉุนฟางเตรียมวางแผนหรอก เจาชิง เรื่องแบบนี้เจ้าไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยว ช่วยเหยียนซิวตั้งใจทำงานมากๆ หน่อยก็พอแล้ว”
“ขอรับ!” หยางเจาชิงดูอึดอัดเล็กน้อย ด้วยฐานะอย่างเขา เดิมทีก็ไม่ควรเอ่ยปากอยู่แล้ว ขุนนางที่ใกล้ชิดอยู่ข้างกายนายท่านไม่ควรวางแผนใดๆ เพื่อเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องตำหนักหลัง ฐานะอย่างเขาทำได้เพียงอยู่ข้างกายนายท่านเท่านั้น เดี๋ยวต่อไปถ้าเรื่องนี้รู้ถึงหูฮูหยิน อย่าว่าแต่ฮูหยินเลย ต่อให้รู้ถึงหูหยางชิ่งแล้ว หยางชิ่งจะต้องไม่ปลื้มแน่นอน ครั้งนี้ตัวเองเลอะเลือนไปแล้ว เดี๋ยวกลับไปเขาจะต้องต่อว่าหลินผิงผิงสักหน่อย
วันต่อมา หยางชิ่งส่งคนไปรับตัวเหวินฟางมาแล้ว
พอเห็นเหมียวอี้และฮูหยินที่ตำหนักหลัง เหวินฟางก็ประหม่าเล็กน้อย ความแตกต่างทางด้านฐานะทำให้เกิดแรงกดดันที่มองไม่เห็น กอปรกับไม่เจอกันมานาน เพียงแต่นางก็ยังพยายามแสร้งทำตัวผ่อนคลายเหมือนเดิม หัวเราะคิกคักพร้อมคำนับว่า “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ นี่คือนำใจเล็กน้อยที่น้องสาวลงมือทำด้วยตัวเอง” ในมือนางถือกล่องของขวัญอยู่หนึ่งกล่อง
เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ แล้วบอกเรื่องที่จะย้ายให้นางมาทำงานที่สมาคมร้านค้าแดนอู๋เลี่ยง เหวินฟางย่อมยินดีปรีดาอยู่แล้ว
อวิ๋นจือชิวก็ยิ่งเข้ากันง่าย นางดึงตัวเหวินฟางมาคุยกันสักพัก แล้วยัดของขวัญเล็กน้อยใส่มืออีกฝ่าย
จูเก๋อชิงหัวหน้าพรรคดรุณีหยกก็เคลื่อนไหวเร็วมาก เร่งเตรียมงานแต่งงานของเย่ซินกับถานเล่าเสร็จเรียบร้อยก่อนงานแต่งงานของเยารั่วเซียนแล้ว
หลังจากทางนภาอู๋เลี่ยงได้รับข่าว เดิมทีเหมียวอี้อยากจะพาอวิ๋นจือชิวไปด้วยกัน ทว่าอวิ๋นจือชิวปฏิเสธ
นางสามารถไว้หน้าเย่ซินกับถานเล่าได้ แต่นางไม่พอใจมากที่จูเก๋อชิงเอาความสัมพันธ์ระหว่างเย่ซิน ถานเล่ากับเหมียวอี้มาบีบจุดอ่อน รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องให้สองสามีภรรยาไปเป็นหน้าเป็นหน้าให้พรรคดรุณีหยกเล็กๆ เจตนาเดิมของนางคือจะไปเอง ไม่ให้เหมียวอี้ไป แต่เหมียวอี้ต้องการจะไปเพราะนึกถึงไมตรีเก่า เช่นนั้นอวิ๋นจือชิวก็ปฏิเสธที่จะไปด้วยกัน
อวิ๋นรั่วซวงอยากจะตามเหมียวอี้ไปดูความคึกครื้น ปรากฏว่าโดนอวิ๋นจือชิวดึงหูเอาไว้
เหมียวอี้ทำได้เพียงพาเหยียนซิวกับหยางเจาชิงไปด้วยกัน
หลังจากกำลังพลของแดนเซียนสายมะโรงย้ายมาอยู่ที่แดนอู๋เลี่ยง พรรคดรุณีหยกก็ยังถือว่าครองสายมะโรงด้วย จึงอาศัยบารมีของเหมียวอี้แจกบัตรเชิญทั่วสายมะโรง ทำให้ท่านทูตสายมะโรงและประมุขปราสาททุกคนมาร่วมงานเลี้ยงด้วยกัน สำนักใหญ่ๆ แต่ละแห่งก็ยิ่งมากันครบ พรรคดรุณีหยกมีหน้ามีตาขึ้นมาทันที
“คำนับท่านปราชญ์!”
ตอนที่เหมียวอี้มาถึง ก็เรียกได้ว่ามีเสียงต้อนรับดังราวกับภูเขาคำรามทะเลคลั่ง กลุ่มวีรบุรุษก้มตัวต้อนรับเป็นแถบๆ
ราชาปีศาจชิงเซิ่งซึ่งเป็นท่านทูตที่มาใหม่จากทะเลดาวนักษัตร และเจ้าถิ่นจูเก๋อชิงซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคดรุณีหยก ทั้งสองก้าวขึ้นมาคำนับพร้อมกัน แล้วนำทางอยู่ทางซ้ายและขวา
จูเก๋อชิงที่บนใบหน้าคลุมด้วยผ้ามุ้งบางสีขาวหันกลับมามองหลายครั้ง เมื่อไม่เห็นว่าอวิ๋นจือชิวมาด้วย นางก็ผิดหวังอยู่บ้าง ถ้าหากอวิ๋นจือชิวมาด้วยกัน งานแต่งงานนี้ก็ย่อมอลังการยิ่งกว่าเดิม การขาดอวิ๋นจือชิวไม่ใช่เพียงการขาดคนไปคนเดียว ที่มากกว่านั้นคือท่าทีที่แสดงว่าให้ความสำคัญหรือไม่ นางเคยถามเย่ซินมาก่อน รู้ว่าอวิ๋นจือชิวให้ความสำคัญกับบรรดาสหายเก่าของเหมียวอี้มาก แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่มา สิ่งนี้เหนือความคาดหมายจูเก๋อชิงนิดหน่อย
ท่านปราชญ์แดนอู๋เลี่ยงที่ในวันนี้คือบุคคลอันดับหนึ่งของใต้หล้า มีความโดดเด่นข่มปราชญ์คนอื่นๆ ไม่น่าเชื่อว่าวันนี้จะให้เกียรติมาร่วมงานแต่งงานของศิษย์พรรคดรุณีหยกด้วยตัวเอง ศิษย์ทั้งข้างล่างข้างบนของพรรคดรุณีหยกแหงนหน้ามอง แต่ละคนต่างก็รู้สึกเป็นเกียรติ หน้าตาหน้าตาสดใส เหมือนจะนับนิ้วรอวันที่พรรคดรุณีหยกจะผงาดขึ้นมาได้แล้ว
ศิษย์จากสำนักอื่นที่ยืนอยู่สองข้างทางพากันทำสีหน้าอิจฉาไม่หยุด อิจฉาพรรคดรุณีหยก
ตลอดทางที่เดินไป ใบหน้าเหมียวอี้เจือด้วยรอยยิ้มบางๆ สองข้างทางพบเจอคนรู้จักเก่าไม่น้อยเลย จางเทียนเซี่ยวที่ยังเป็นประมุขปราสาทดำเนินจันทร์ ประมุขปราสาทดำเนินธาราเถาชิงหลีและซือคงอู๋เว่ย เฉิงอ้าวฟางประมุขปราสาทแมกไม้ จ้าวเฟยกับอูเมิ่งหลันก็มาแล้วเช่นกัน เวิ่นไหลกงหัวหน้าพรรคร้างกระบี่ก็ยืนอยู่กับลูกศิษย์ตัวเองกู่ซานเจิ้ง เผิงอวี๋เจ้าสำนักตรีบรรพบุรุษ…
มีคนรู้จักมากมาย เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ แสดงการทักทาย ด้วยฐานะของเขาในตอนนี้ ทำให้ไม่สะดวกจะตบบ่ากอดคอกับคนสนิทต่อหน้าฝูงชนอีกต่อไป วันนี้ถึงขั้นไม่สะดวกจะทำตัวอบอุ่นเป็นมิตรด้วยซ้ำ ต้องรอให้งานแต่งงานจบก่อนถึงจะเจอกันเป็นการส่วนตัวได้
ในคืนนั้น งานแต่งงานของถานเล่ากับเย่ซินย่อมมีหน้ามีตาที่สุด พรรคดรุณีหยกกับสำนักดิรัจฉานหลวงร่วมมือกันจัดงานนี้อย่างสุดความสามารถ ทรัพยากรอะไรที่ใช้ได้ก็นำมาใช้หมด เป็นการจัดงานนี้โดยไม่เสียดายอะไร อาหารเลิศรสหายากบนงานเลี้ยงก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง นี่คือการจัดงานให้คนทั้งใต้หล้าดู
เจ้าสำนักดิรัจฉานหลวงถึงขั้นไม่พอใจนิดหน่อยที่แย่งจัดงานแต่งงานนี้ที่สำนักของตัวเองไม่ได้
เมื่องานเลี้ยงจบลง เรือนพักแยกที่ดีที่สุดที่จัดเตรียมอย่างพิถีพิถันย่อมเป็นของเหมียวอี้ หลังจากเหมียวอี้ทยอยให้สหายเก่าและคนรู้จักเก่าเข้าพบหมดแล้ว นอกจากเหยียนซิวกับหยางเจาชิงที่ยืนอยู่ข้างซ้ายและขวาของเหมียวอี้ ก็ยังเหลือจูเก๋อชิงที่เป็นเจ้าบ้านอยู่อีกหนึ่งคน
เหมียวอี้กำลังนั่งอย่างสง่างาม ตอนนี้สายตาหยุดอยู่บนใบหน้าของจูเก๋อชิงที่ยืนอยู่เบื้องล่างแล้ว จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วเดินเข้ามา จ้องดวงตาทั้งคู่ของจูเก๋อชิง
ตอนแรกเขานึกไม่ถึงว่าจูเก๋อชิงจะจัดงานใหญ่โตขนาดนี้ แต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่ แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าจูเก๋อชิงอยากจะอาศัยอิทธิพลของเขา
จูเก๋อชิงโดนเขามองจนรู้สึกกลัวนิดหน่อย เห็นเพียงเหมียวอี้ยื่นมือมาตรงหน้านาง ดึงผ้ามุ้งสีขาวบนใบหน้านางลงมา พอเขาโบกมือด้วยสีหน้าเรียบเฉย ผ้ามุ้งสีขาวก็ตกลงพื้น เผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา
การกระทำนี้ค่อนข้างไร้มารยาท จูเก๋อชิงเม้มริมฝีปากเอาไว้
แต่เหมียวอี้กลับถูกทำให้ตกตะลึง สายตาหยุดจ้องอยู่บนหน้านาง นางเกล้ามวยผมสูง ผิวขาวหมดจดราวกับหิมะ คิ้วโค้งเหมือนทิวเขาไกลๆ ดวงตาชุ่มฉ่ำดุจน้ำ ปากแดงชุ่มชื้น ยามขมวดคิ้วจนตาเป็นประกายนั้นเพียงพอจะทำให้ผู้ชายหลงใหลได้ ไม่น่าเชื่อว่าความงามเลิศล้ำนั่นจะเหนือกว่าฉินซีเสียอีก
ในที่สุดตอนนี้ก็เข้าใจแล้วว่าทำไมผู้หญิงคนนี้จึงใช้ผ้าบางปิดบังใบหน้าไว้หนึ่งชั้น นึกไม่ถึงว่าภายใต้ผ้าปิดหน้าจะซ่อนความงามเลิศล้ำเช่นนี้เอาไว้
เพิ่งจะดื่มสุราเลิศรสจนอิ่มเปรม ภายใต้การกระตุ้นของฤทธิ์สุรา เหมียวอี้กลืนน้ำลายอย่างคอแห้ง สายตามองไปทางเหยียนซิวกับหยางเจาชิง เอียงหน้าพร้อมพ่นเสียงทางจมูกหนึ่งที
ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่งอย่างเข้าใจ แล้วรีบถอยออกไปทันที
จูเก๋อชิงกำลังอยู่ในความประหม่ากังวล จาหนั้นเรื่องที่กังวลก็ได้เกิดขึ้นแล้วจริงๆ เหมียวอี้ดึงนางมาไว้ในอ้อมกอดอย่างเอาแต่ใจ หญิงงามอยู่ในอ้อมกอด เขาอุ้มนางเดินออกไป นี่คือราคาที่ต้องจ่าย!
แสงจันทร์ส่องสว่างชายคา ในห้องห้องหนึ่ง จูเก๋อชิงไม่ได้ขัดขืนใดๆ เรือนร่างหยกงามอ้อนแอ้นพลิกไปพลิกมาอย่างสุดจะทานทน ดอกไม้บานดอกไม้ร่วงทั้งคืน ไม่ต้องพูดก็เข้าใจแล้ว
ที่นอกห้อง หยางเจาชิงและเหยียนซิวเฝ้าอยู่ทางซ้ายและขวาของประตู ไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้ ไม่สนใจศิษย์พรรคดรุณีหยกที่ทำสีหน้ากังวลอยู่ไกลๆ
…………………………
บทที่ 1184 ล้อมคอก
โดย
Ink Stone_Fantasy
วันต่อมาตอนท้องฟ้าเพิ่งจะสว่างเล็กน้อย เหมียวอี้แทบจะฉวยโอกาสออกไปตอนที่ฟ้ามืด ออกไปอย่างรีบร้อน ให้ความรู้สึกเหมือนหลบหนี
ตอนที่เกิดเรื่องเขาไม่ได้สนใจอะไรมากขนาดนั้น แต่หลังจากลุกขึ้นจากข้างกายหอมหวลนุ่มนิ่มของจูเก๋อชิง เขาก็นึกเสียใจทีหลังแล้ว
ขณะมองดูเรือนร่างอ้อนแอ้นขาวดุจหิมะที่นอนขดตัวหันหลังให้ เขาก็คิดทบทวนอะไรนิดหน่อย
นึกย้อนไปในปีที่ยังเป็นมนุษย์ หลังจากได้ยินข่าวลือว่าผู้มีอำนาจของเมืองฉางเฟิงทำพฤติกรรมประเภทนี้ ตัวเองก็จะดูถูกเหยียดหยาม จะต้องถ่มน้ำลายด่าแน่นอน แต่ตอนนี้ตัวเองกลับกลายเป็นคนประเภทเดียวกับที่ตัวเองด่าในปีนั้น
“อย่าให้ฮูหยินรู้เรื่องนี้นะ” ระหว่างทาง เขายังไม่ลืมที่จะกำชับเหยียนซิวกับหยางเจาชิง
“ขอรับ!” ทั้งสองที่เฝ้าประตูอยู่ทั้งคืนเอ่ยรับ จากนั้นสบตากันเงียบๆ ไม่กล้าพูดอะไรมากกว่านี้
ส่วนนอกห้องแห่งความปรารถนา ผู้อาวุโสหลายคนของพรรคดรุณีหยกยืนเงียบๆ อยู่นอกประตู ขณะมองดูประตูที่ปิดสนิท แต่ละคนก็ได้แต่เงียบงัน ไม่รู้ว่าควรหรือไม่ควรจะเข้าไป
แกร๊ก! ประตูเปิดออกแล้ว
จูเก๋อชิงสวมชุดกระโปรงสีขาว ปล่อยผมยาวคลุมบ่าโดยไม่ได้เกล้าขึ้น นางเดินช้าๆ มาถึงนอกประตูแล้วหยุดยืนอยู่บนบันได ใบอันหน้าอันงดงามที่แม้แต่บุปผาจันทราก็ยังละอาย แม้แต่ท้องฟ้าสีสลัวก็ยากที่จะปิดบังไว้ได้
ผู้อาวุโสหลายคนสบตากันเงียบๆ ยังคงไม่มีใครพูดอะไร ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว เจ้าสำนักยังไม่เคยพบใครด้วยใบหน้าเปลือยเปล่า แต่ไหนแต่ไรมาก็ใช้ผ้าปิดบังใบหน้ามาตลอด ตอนนี้เรียกได้ว่าทำเป็นครั้งแรก ต่อให้เป็นคนที่เคยเห็นมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน เมื่อได้เห็นตอนนี้ก็ยังอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ เพราความสวยเหนือกว่าในปีนั้นเสียอีก งามเลิศในปฐพี!
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าคือผู้หญิงของท่านปราชญ์!” จูเก๋อชิงประกาศด้วยสีหน้าท่าทางสงบนิ่ง
คำพูดนี้เท่ากับเป็นการประกาศชัดเจนแล้วว่าเมื่อคืนตัวเองกับเหมียวอี้เกิดความสัมพันธ์กันแล้วจริงๆ
เหมียวอี้ไม่ได้กลับไปที่นภาอู๋เลี่ยงโดยตรง แต่ไปหาหุบเขาเงียบๆ ที่ลับตาคน ร่างเปลือยกำลังนั่งอาบน้ำอยู่ใต้น้ำตกที่ตกปะทะลงมา
จวนผู้การใหญ่นภาอู๋เลี่ยง หยางชิ่งยืนเอามือไขว้หลังอยู่บนชั้นลอย หลับตารับแสงแดดสีทองระยิบระยับ
ชิงเหมยเร่งฝีเท้าเดินขึ้นไปบนชั้นลอย แล้วบอกหยางชิ่งด้วยเสียงต่ำเบาว่า “นายท่าน ทางพรรคดรุณีหยกส่งข่าวมาเจ้าค่ะ วันนี้เจ้าสำนักจูเก๋อชิงถอดผ้าคลุมหน้าอย่างเป็นทางการแล้ว”
“อ้อ!” หยางชิ่งยิ้มบางๆ “ได้ยินว่าจูเก๋อชิงงดงามปานเทพธิดา ไม่รู้เหมือนกันว่าจริงหรือเปล่า! ผู้หญิงคนนี้มีปณิธานอันยิ่งใหญ่ เมื่อวานจัดงานใหญ่โตขนาดนั้น จุดประสงค์คือจะอาศัยอิทธิพลของท่านปราชญ์ทำให้พรรคดรุณีหยกผงาดขึ้นมา!”
ชิงเหมยกล่าวเสริมอีกว่า “เมื่อคืนจูเก๋อชิงค้างในห้องของท่านปราชญ์เจ้าค่ะ”
หยางชิ่งทำสีหน้าตกตะลึง ดวงตาพลันเบิกกว้าง ขมวดคิ้วหันกลับไปมองชิงเหมยอย่างช้าๆ ในดวงตาฉายแววสอบถาม
ชิงเหมยพยักหน้าเบาๆ
หลังจากเงียบไปพักใหญ่ หยางชิ่งก็กล่าวเสียงเรียบว่า “ไปเชิญฮูหยินมาสักเที่ยว”
ผ่านไปครู่เดียวฉินซีก็ขึ้นมาบนชั้นลอย เมื่อคุยกันได้สองสามประโยคนางก็ออกไปอีก ไปพบอวิ๋นจือชิวที่ตำหนักอู๋เลี่ยง
ขณะเดินเล่นเป็นเพื่อนอวิ๋นจือชิวและดูนางในเก็บน้ำค้างยามเช้าในสวนดอกไม้ ฉินซีก็เปิดเผยเรื่องทางพรรคดรุณีหยกออกมาเหมือนไม่ได้ตั้งใจ
อวิ๋นจือชิวหยุดฝีเท้า ทำสีหน้าเย็นเยียบอยู่นานมาก เมื่อค่อยๆ คลายสีหน้าลงแล้ว นางก็บอกว่า “นายท่านอยู่ที่พิภพใหญ่แบกรับความกดดันไม่น้อย จะหาผู้หญิงมาผ่อนคลายสักคนก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ดังนั้นนายท่านจึงไม่ผิด จะผิดก็ผิดที่ผู้หญิงพวกนั้นที่ไม่รู้จักฟ้าต่ำแผ่นดินสูง! เจ้ากลับไปบอกหยางชิ่งนะ ว่าผู้หญิงที่นายท่านเคยแตะต้องก็เหมือนเนื้อต้องห้ามของนายท่านคนเดียว อย่าให้ผู้ชายคนไหนแตะต้องได้อีก ให้จูเก๋อชิงสละตำแหน่งเจ้าสำนักให้เย่ซิน ตำหนักประมุขถิ่นกลางของนายท่านที่ทะเลดาวนักษัตรยังว่างมาตลอด ให้จูเก๋อชิงไปนั่งรักษาการณ์ที่ตำหนักประมุขถิ่นกลางแล้วกัน ให้หยางชิ่งแจ้งทางทะเลดาวนักษัตรด้วย ว่าถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากข้า จูเก๋อชิงก็ห้ามเหยียบออกจากตำหนักประมุขถิ่นกลางแม้เพียงครึ่งก้าว และไม่อนุญาตให้นางติดต่อกับคนของพรรคดรุณีหยกด้วย ใครฝ่าฝืนคำสั่ง ประหาร! แล้วก็บอกจูเก๋อชิงด้วยว่า นายท่านไม่เคยแอบทำเรื่องอะไรที่น่าอับอาย ถ้าไม่อยากให้พรรคดรุณีหยกหายไปจากโลกนี้ ทางที่ดีพรรคดรุณีหยกก็อย่าเผยแพร่ข่าวลือที่ทำลายชื่อเสียงอันดีงามของนายท่าน ไม่อย่างนั้นจะต้องรับผลที่ตามมาเอาเอง!”
ฉินซีแอบตระหนกในใจ ให้จูเก๋อชิงไปนั่งรักษาการณ์ที่ตำหนักประมุขถิ่นกลางเสียที่ไหนกัน ทำแบบนี้เพราะต้องการจับจูเก๋อชิงไปขังตำหนักเย็นต่างหาก!
นางลังเลครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า “ท่านปราชญ์เคยโปรดปรานจูเก๋อชิง ถ้าท่านปราชญ์กลับมาเอาเรื่อง…”
อวิ๋นจือชิวกล่าวตัดบทเสียงเข้มทันที “งั้นเจ้าก็ไปบอกนายท่าน ว่านี่คือความประสงค์ของข้า ให้นายท่านมาหาข้า! ให้หยางชิ่งไปจัดการเดี๋ยวนี้ ถ้าภายในสิบวันไม่เห็นจูเก๋อชิงอยู่ที่ตำหนักประมุขถิ่นกลาง ข้าจะเอาผิดหยางชิ่ง!”
“ค่ะ!” ฉินซีรีบเอ่ยรับแล้วไปจัดการ
ข่าวนี้รู้ไปถึงหูหยางชิ่งอย่างรวดเร็ว หยางชิ่งไม่พูดพร่ำทำเพลง บอกชิงเหมยว่า “เจ้านำคนไปที่พรรคดรุณีหยกด้วยตัวเองสักรอบ จัดการตามที่ฮูหยินของท่านปราชญ์บอก”
ตอนใกล้จะพลลบค่ำ เหมียวอี้ถึงได้กลับมาถึงนภาอู๋เลี่ยงอย่างชักช้า อวิ๋นจือชิวมาต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้ม ราวกับไม่เคยเกิดเรื่องอะไรมาก่อน
นางช่วยเหมียวอี้ดึงจัดเสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่ แล้วหันกลับมาถามหยางเจาชิงกับเหยียนซิวด้วยรอยยิ้มว่า “การเดินทางไปพรรคดรุณีหยกราบรื่นสินะ ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่มั้ย?”
เมื่อนางกล่าวคำนี้ออกมา หัวใจเหมียวอี้ก็เต้นตึกตักทันที
เหยียนซิวกับหยางเจาชิงจะกล้าพูดเหลวไหลได้อย่างไร ทั้งสองแสร้งทำเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเช่นกัน ตอบพร้อมกันว่า “ทุกอย่างราบรื่นขอรับ!”
“งั้นก็ดีแล้ว!” อวิ๋นจือชิวยิ้มอย่างสนิทสนมพลางคล้องแขนเหมียวอี้เดินเข้าไปข้างใน พูดคุยยิ้มแย้มตามปกติ เหมียวอี้ย่อมมีอะไรก็พูดคุยกันดีๆ อยู่แล้ว
ณ พรรคดรุณีหยก หลังจากผ่านเรื่องระหว่างชายหญิงมาทั้งคืน จูเก๋อชิงที่รู้สึกไม่ค่อยสบายร่างกายก็จัดการกิจธุระในสำนัก จากนั้นก็ไปพักผ่อนร่างกายแล้ว นางไม่ได้เสียความรู้สึกเพราะเรื่องเมื่อคืน แต่กลับตั้งตารอคอยการรุดก้าวหน้าของพรรคดรุณีหยก
ทว่าการมาถึงของชิงเหมย ก็ได้ทำลายความเพ้อฝันของนางจนพังทลายลงในรวดเดียว
ตอนที่ทั้งสองพบหน้ากัน ชิงเหมยก็อดไม่ได้ที่จะมองสำรวจจูเก๋อชิงศีรษะจดเท้าหลายครั้ง นางแอบเดาะลิ้นอย่างอัศจรรย์ใจ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนที่สวยกว่าฮูหยินฉินซี ไม่แปลกใจเลยที่ท่านปราชญ์ควบคุมตัวเองไม่ไหว
หลังจากนางถ่ายทอดคำพูดของหยางชิ่ง บอกชัดเจนว่าเป็นเจตนาของอวิ๋นจือชิวฮูหยินท่านปราชญ์ จูเก๋อชิงก็ราวกับโดนฟ้าผ่า ยืนตะลึงค้างอยู่ที่เดิม
เมื่อคืนนางนางไม่ได้ขัดขืนต่อต้านใดๆ ได้แต่ผลักเรือไปตามน้ำ ถ้านางขัดขืนสักนิด เหมียวอี้ก็อาจจะไม่ดันทุรังทำเรื่องแบบนั้นในคืนแต่งงานของถานเล่ากับเย่ซิน จะต้องได้สติสัมปชัญญะกลับมาอย่างรวดเร็วแน่นอน ในความคิดของนาง ในเมื่ออวิ๋นจือชิวยอมให้เหมียวอี้แต่งงานรับอนุภรรยามากมายขนาดนั้นได้ ก็คงจะไม่ถือสาที่จะมีนางเพิ่มไปสักคน จากนั้นตัวเองก็จะใช้ฐานะอนุภรรยาของเหมียวอี้มาบริหารพรรคดรุณีหยก ทำให้พรรคดรุณีหยกเป็นสำนักอันดับหนึ่งในใต้หล้าอย่างราบรื่น ถ้าเป็นแบบนี้ การที่ตัวเองสละร่างกายก็ถือเป็นเรื่องที่คุ้มค่า
ปรากฏว่าแทนที่จะรอให้เหมียวอี้มารับนางไปเป็นอนุภรรยา แต่กลับได้ต้อนรับการโดนโจมตีที่หนักหน่วงขนาดนี้แทน เรื่องราวเกิดขึ้นยังไม่ถึงหนึ่งวันด้วยซ้ำ ตอนนี้นางถึงได้เหมือนกับตื่นขึ้นจากฝัน ถ้าอยากจะคิดอะไรเพ้อเจ้อก็ต้องมีคุณสมบัตินั้นเหมือนกัน นางมีคุณสมบัติอะไรให้ไปคิดเพ้อฝันแบบนั้นล่ะ?ลองดูอนุภรรยาแต่ละคนของเหมียวอี้สิ มีคนไหนบ้างที่ไม่มีภูมิหลังที่แข็งแกร่งยิ่งใหญ่ ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนที่เอาตัวเข้ามาใกล้ชิดแล้วจะมีที่ยืนอยู่ข้างกายเหมียวอี้ได้ เมื่อเผชิญหน้ากับอำนาจอิทธิพล ความงามก็ต้องกลายเป็นเรื่องรอง
ตอนนี้นางถึงได้พบว่าตัวเองมั่นใจในความสวยของตัวเองมากเกินไป!
“เจ้าสำนักจู ฟังเข้าใจแล้วหรือยัง?” ชิงเหมยถามอีกครั้ง
“ค่ะ! ฟังเข้าใจแล้ว” จูเก๋อชิงตอบพร้อมใบหน้าที่เจือด้วยรอยยิ้มอันปวดร้าว
ในเวลานางเพียงสามวันเท่านั้น ภายในสามวันนี้นางต้องส่งต่องานของพรรคดรุณีหยก จากนั้นชิงเหมยก็จะส่งนางไปยังตำหนักประมุขถิ่นกลางที่ทะเลดาวนักษัตร ปากบอกว่า ‘ส่ง’ แต่ที่จริงเป็นการควบคุมตัวนางไป จะต้องส่งนางไปยังตำแหน่งที่ระบุไว้ภายในเวลาที่อวิ๋นจือชิวกำหนด
ตอนเช้าตรู่นางยังประกาศอย่างสง่าผ่าเผยอยู่เลยว่าตัวเองกลายเป็นผู้หญิงของท่านปราชญ์แล้ว ตอนนี้กลับยุติลงอย่างรวดเร็ว สั่งห้ามเผยแพร่เรื่องเมื่อคืนอย่างเด็ดขาด…
งานแต่งงานของเยารั่วเซียนกับโม่จวินหลันเงียบมาก สาเหตุแรกเป็นเพราะนี่คือความประสงค์ของโม่จวินหลัน โม่หมิงกับเหมียวจวินอี๋ก็ไม่อยากจัดงานอย่างโจ่งแจ้งเช่นกัน การแต่งงานครั้งที่สองไม่ใช่เรื่องที่มีเกียรติยศสักเท่าไร มิหนำซ้ำเจ้าสำนักงามวิจิตรคนปัจจุบันก็ยังแต่งงานกับผู้หญิงที่เคยแต่งงานมาแล้วด้วย
ไม่ได้จัดงานให้คนรู้กันทั้งใต้หล้า จัดให้คึกคักแค่ที่สำนักงามวิจิตรของตัวเองเท่านั้น เชิญบุคคลสำคัญมาจำนวนหนึ่ง ครั้งนี้อวิ๋นจือชิวกลับมาร่วมงานพร้อมเหมียวอี้แล้ว
หลังจากงานเลี้ยงจบ ก็เป็นเวลาที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยหมู่ดาวแล้ว เหยียนซิวฉวยโอกาสตอนว่างเชิญเหมียวอี้ไปคุยกันในที่ลับตาคน ถ่ายทอดเสียงบอกว่า “นายท่าน ข้าได้รับข่าวมา จูเก๋อชิงส่งต่อตำแหน่งหัวหน้าพรรคดรุณีหยกให้เย่ซินแล้ว ส่วนนางก็โดนชิงเหมยคุมตัวไปยังตำหนักประมุขถิ่นกลางที่ทะเลดาวนักษัตรด้วยตัวเอง…”
หลังจากฟังเขาเล่าคร่าวๆ จนจบ เหมียวอี้ก็กล่าวอย่างเดือดดาลมากว่า “หยางชิ่งใจกล้ายิ่งนัก ขนาดผู้หญิงของข้าเขายังกล้าแตะ เขานึกจริงๆ เหรอว่าข้าจะไม่กล้าแตะต้องเขา!”
เหยียนซิวโบกมือ “นายท่านโปรดระงับโทสะ ข้าไปถามความจริงกับหยางชิ่งมาแล้ว หยางชิ่งบอกว่านี่เป็นความประสงค์ของฮูหยิน เป็นฮูหยินที่สั่งให้เขาทำแบบนี้ แถมฮูหยินยังบอกด้วยว่า ถ้านายท่านมาเอาเรื่อง ก็บอกไปว่าเป็นความประสงค์ของนาง ฮูหยินบอกให้นายท่านไปคุยกับนางขอรับ!”
“…” ไฟโกรธของเหมียวอี้ดับสนิทในชั่วพริบตาเดียว อ้าปากค้างพูดไม่ออก นึกไม่ถึงว่าจะถูกอวิ๋นจือชิวจับได้แล้ว เรื่องนี้เขาเป็นฝ่ายผิด มีเหตุผลอะไรไปตำหนิโทษอวิ๋นจือชิว ผู้ชายของตัวเองไปแอบคบชู้อยู่นอกบ้าน ยังจะไม่อนุญาตให้นางเดือดดาลอีกเหรอ? ไม่ฆ่าจูเก๋อชิงทิ้งก็นับว่าดีแล้ว อวิ๋นจือชิวมีความสามารถที่จะทำอย่างนั้นแน่นอน
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เหมียวอี้ก็ถามว่า “เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อไร?”
“วันถัดมาหลังจากคืนนั้นขอรับ วันที่นายท่านออกจากพรรคดรุณีหยก ชิงเหมยก็พาคนไปแล้ว” เหยียนซิวตอบ
เหมียวอี้ยิ่งฟังยิ่งพูดไม่ออก สงสัยอวิ๋นจือชิวจะรู้เรื่องนี้ตั้งแต่วันนั้นแล้ว แต่อวิ๋นจือชิวดันทำตัวเหมือนไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาก่อน ตัวเองก็เสแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหมือนกัน ไม่รู้ว่าในใจอวิ๋นจือชิวดูถูกตนอย่างไรไปแล้วบ้าง ครั้งนี้เสียหน้าใหญ่โตแล้ว
“เฮ้อ! ไปเชิญฮูหยินมาสักเที่ยวเถอะ บอกว่าข้ากำลังรอนางอยู่ที่นี่” เหมียวอี้ถอนหายใจเบาๆ แล้วหันตัวยื่นมือไปยันต้นไม้ใหญ่ข้างกาย
“รับทราบ!” เหยียนซิวเอ่ยรับคำสั่งแล้วออกไป
ผ่านไปไม่นาน อวิ๋นจือชิวก็เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มที่คุ้นเคย “วันงานมหามงคล เจ้ามายืนเหม่อใต้ต้นไม้คนเดียวทำไม? อารมณ์ไม่ดีเหรอ เป็นอะไรไปล่ะ?” นางเดินมาตรงหน้าเหมียวอี้แล้วเอามือลูบหน้าเขา
เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วถามว่า “เรื่องของจูเก๋อชิง เจ้าเตรียมจะจัดการยังไง?”
“ที่แท้เจ้าก็รู้แล้ว” รอยยิ้มของอวิ๋นจือชิวจางลงหลายส่วน “จัดการอย่างไรก็เห็นๆ กันอยู่ไม่ใช่เหรอ? ในเมื่อเจ้ารู้แล้วยังมีอะไรน่าถามอีก”
เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า “ในเมื่อเรื่องเป็นแบบนี้แล้ว ข้าอยากจะรับนางเป็นอนุภรรยา เจ้าคิดว่ายังไงบ้าง?”
ตอนนี้รอยยิ้มบนใบหน้าอวิ๋นจือชิวหายไปหมดโดยสิ้นเชิง “เรื่องนี้ข้าไม่ตอบตกลง และไม่มีทางตอบตกลงด้วย! บ้านนี้ไม่ใช่ว่าผู้หญิงทุกคนจะเข้ามาได้ โดยเฉพาะผู้หญิงประเภทที่ถือว่าตัวเองสวยแล้วไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ จะโอ้อวดกลอุบายก็ไม่รู้จักแยกแยะสถานที่เสียบ้าง ถ้าให้คนแบบนี้เข้ามาในบ้าน บ้านจะต้องไม่สงบแน่ ในเมื่อเจ้าอยากเล่นสนุกๆ ข้าก็ล้อมคอกนางไว้ให้เจ้าที่นั่นแล้วไง เจ้าอยากจะไปเล่นเมื่อไรก็ได้ทั้งนั้น ข้าไม่ขวางเจ้าหรอก ฮูหยินที่ทำได้ถึงขนาดข้าน่ะ ในใต้หล้าคงไม่มีใครว่าข้าไม่ใจกว้างแล้วล่ะมั้ง? แน่นอน ถ้าเจ้าดึงดันจะแต่งงานรับนางเข้าบ้านให้ได้ ข้าก็จะไม่ขัดขวางเจ้าเหมือนกัน แต่ข้าขอพูดสิ่งที่ไม่น่าฟังเอาไว้เสียก่อน ขอเพียงเจ้ากล้าทำแบบนี้ ข้าก็กล้าฆ่านางทิ้งได้เหมือนกัน นอกเสียจากเจ้าจะกำจัดข้าทิ้งเสียก่อน ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่ยอมถอยเด็ดขาด! หนิวเอ้อร์ วันนี้ข้าจะพูดเอาไว้เลย ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ตราบใดที่ข้ายังเป็นนายหญิงของตระกูลเหมียว จูเก๋อชิงก็ไม่มีทางเข้ามาในตระกูลเหมียวได้ ไม่มีการต่อรองใดๆ ทั้งนั้น! แล้วข้าจะบอกไว้อีกอย่าง ถ้าในการทดสอบครั้งนี้เจ้าไม่สามารถรอดชีวิตกลับมาได้ ข้าก็จะถือว่าเจ้าเป็นคนทำให้นางดวงซวย เรื่องแรกที่ข้าจะทำก็คือทำให้ศีรษะของนางตกลงพื้น!”
นางไม่ได้พูดแค่ปากเท่านั้น เพราะจะไม่มีการยอมถอยจริงๆ พอนึกถึงเรื่องนี้นางก็โมโห แค่ไปดื่มสุรามงคงคลรอบเดียวก็ได้นอนกับเจ้าของบ้านแล้ว นี่มันตัวอะไรกัน! ถึงแม้ที่พิภพเล็กจะไม่มีใครสร้างแรงกดดันให้เหมียวอี้ได้ แต่นางก็นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเหมียวอี้จะกำเริบเสิบสานถึงเพียงนี้!
สำหรับนาง การสละชีวิตของจูเก๋อชิงคนเดียวไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร นางต้องการจะนำจูเก๋อชิงมาเป็นระฆังเตือนภัยให้เหมียวอี้ฟัง ถ้าไม่ทำให้เหมียวอี้พะว้าพะวังเสียบ้าง ตอนหลังจะไม่แย่หรอกเหรอ? ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่ที่เหมียวอี้จะไปเข้าร่วมการทดสอบ เดาความเป็นความตายในอนาคตได้ยาก ที่จริงนางก็คิดจะตัดหัวจูเก๋อชิงต่อหน้าเหมียวอี้ด้วยซ้ำ ที่ยังไว้ชีวิตจูเก๋อชิงก็นับว่ายอมถอยให้แล้ว ไม่มีอย่างอื่นให้ต่อรองเด็ดขาด!
…………………………
บทที่ 1185 เกราะรบใหม่ของเฮยทั่น
โดย
Ink Stone_Fantasy
เหมียวอี้มองนางอย่างตะลึงค้าง
อวิ๋นจือชิวก็สบตาเขาตรงๆ เช่นกัน หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ถึงได้กล่าวอย่างเนิบนาบว่า “ถ้าเจ้ากล้าปล่อยนางออกมา ข้าก็กล้าที่จะเรียนรู้จากเจ้า ข้าจะหาผู้ชายมานอนด้วยสักคน ให้เจ้าได้ลิ้มลองรสชาติที่หัวใจของข้าทนรับ! ข้าได้พูดสิ่งที่ควรพูดไปหมดแล้ว เจ้าจะเลือกยังไง ก็จัดการเองตามเห็นสมควรเถอะ!”
ถ้าพูดในกรณีที่แย่ที่สุด ในเรื่องนี้เขาไม่มีเหตุผลที่จะเถียงได้เลย สุดท้ายเขาก็ยิ้มเจื่อนพร้อมบอกว่า “จัดการตามที่เจ้าบอกแล้วกัน”
ที่สำคัญที่สุดก็คือ เขาเองก็รู้ชัดอยู่แก่ใจเช่นกันว่าจูเก๋อชิงมีแผนการในใจ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่นอนกับนางเสร็จแล้วหนีไปเลยหรอก เขาไม่อยากจะรับผิดชอบอะไรผู้หญิงคนนี้เลย กลับเป็นอวิ๋นจือชิวที่ออกคำสั่งกักบริเวณจูเก๋อชิงไว้ที่ตำหนักประมุขถิ่นกลาง ทำให้เขารู้สึกผิดกับจูเก๋อชิง ถึงอย่างไรเรื่องนี้เขาก็มีความผิดเหมือนกัน
เมื่อเห็นเขายอมถอยให้กับเรื่องนี้แล้ว แววตาเย็นเยียบของอวิ๋นจือชิวก็เปลี่ยนเป็นสดใสทันที นางยิ้มหวานหยาดเยิ้ม แล้วเป็นฝ่ายคล้องแขนเขาไว้ “ไป! ผู้หญิงประเภทนั้นไม่มีค่าพอให้พวกเราสองสามีภรรยาไม่สบายใจ เรื่องมันผ่านไปแล้ว”
ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเรื่องผ่านไปแล้วหรือยัง เพราะในใจเหมียวอี้ยังรู้สึกผิดอยู่ หลังจากหาเวลาว่างปลีกตัวได้ ก็ดึงเหยียนซิวมากำชับว่า “จับตาดูทางตำหนักประมุขถิ่นกลางให้ข้าหน่อย อย่าให้ใครทำซี้ซั้วกับนาง หลังจากข้าไม่อยู่แล้ว เจ้าต้องส่งทรัพยากรฝึกตนให้นางตามกำหนดเวลา ส่วนเรื่องการกินอยู่ของนาง อย่าให้ทางทะเลดาวนักษัตรปฏิบัติต่อนางอย่างไม่ยุติธรรม ฝากเจ้าไปบอกนางด้วย ว่าถ้าข้าว่างข้าจะไปหานาง ให้นางอยู่ที่ตำหนักประมุขถิ่นกลางอย่างสงบใจ คิดเสียว่าเก็บตัวฝึกตน ตอนหลังรอให้ฮูหยินหายโกรธแล้ว ข้าจะหาทางช่วยนางออกมา ถ้ามีเรื่องอะไรเจ้าก็ติดต่อข้าได้ตลอดเวลา”
“รับทราบ!” เหยียนซิวเอ่ยรับ แต่ในใจกลับปลงอนิจจัง ถ้ารู้ตั้งแต่แรกแล้วจะทำแบบนี้ทำไม เจ้าก็มีผู้หญิงเยอะอยู่แล้ว
วันต่อมาตอนที่ออกจากที่นี่ อวิ๋นจือชิวก็สั่งเยารั่วเซียนอย่างจริงจังอีกครั้ง ว่าให้เขาใส่ใจเรื่องหลอมของวิเศษให้เหมียวอี้ เพราะเรื่องนี้สำคัญกับส่วนรวม!
เวลาสองเดือนผ่านไปเร็วมาก เหมียวอี้เองก็ไม่สะดวกจะอยู่ที่นี่นาน ตอนนี้ที่ดาวเทียนหยวนไม่มีปี้เยว่ฮูหยินคุมแล้ว ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา ก็คงจะไม่ดีถ้าเขาไม่ได้อยู่ด้วย ก่อนที่จะถึงการทดสอบครั้งต่อไป สิ่งที่เขาต้องทำก็คือทุ่มเทร่างกายและจิตใจทั้งหมดไปกับการฝึกตน
ก่อนออกเดินทาง อวิ๋นจือชิวต้องการจะส่งอวิ๋นรั่วซวงกลับไปที่นภาจอมมาร จะได้ไม่อยู่ก่อเรื่องที่นี่จนพวกหยางชิ่งปวดหัว เหยียนซิวเรียกได้ว่าไม่พอใจอวิ๋นรั่วซวงเป็นอย่างมาก
“พี่หญิงใหญ่! ข้าไม่กลับนภาจอมมาร ท่านพาข้าไปพิภพใหญ่ด้วยเถอะนะ ดีมั้ย?”
ในห้องโถงใหญ่ อวิ๋นรั่วซวงนั่งยองๆ อยู่บนพื้น กอดต้นขาของอวิ๋นจือชิวพลางร้องโวยวาย โดนอวิ๋นจือชิวบิดหูให้ตายก็ไม่ยอมปล่อย
เหมียวอี้ทำตัวไม่สะกสะท้านอยู่ข้างๆ เอามือไขว้หลังมองออกไปนอกประตู มาดูเอาสนุกแท้ๆ เลย
อวิ๋นจือชิวก้มหน้ามอง รู้สึกอับอายจนกลายเป็นความโมโห “เจ้าจะปล่อยหรือจะไม่ปล่อย? ขอขอเตือนเจ้านะ อย่าบังคับให้ข้าใช้กำลัง เจ้าจะให้ข้ามัดเจ้ากลับไปมั้ย?” พูดจบพลังอิทธิฤทธิ์ก็ลอยออกมารอบกาย
อวิ๋นรั่วซวงสู้นางไว้เสียที่ไหนกัน ปล่อยมือออกทันที แต่กลับหย่อนก้นนั่งลงบนพื้น เอามือปาดน้ำตาร้องไห้สะอึกสะอื้นว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านจากโลกนี้เร็วเกินไป พวกท่านไม่ต้องการข้าแล้ว ท่านปู่ก็ไม่ต้องการข้าเหมือนกัน ตอนนี้แม้แต่พี่หญิงใหญ่ก็ไม่ต้องการข้าแล้ว ทุกคนจะไปกันหมดแล้ว ทิ้งข้าไว้ที่นี่โดยไม่สนใจ ทุกคนมองเห็นข้าเป็นภาระ ท่านพ่อ ท่านแม่ ซวงเอ๋อร์คิดถึงท่านเหลือเกิน…”
เรียกได้ว่าร้องไห้อย่างน่าเวทนา
คำว่า ‘ท่านพ่อท่านแม่’ ที่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดสุดขีดทำให้อวิ๋นจือชิวน้ำตาคลอทันที ถึงแม้จะรู้ว่าเด็กสาวคนนี้กำลังขอความเห็นใจ แต่นางก็ยังควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้ โดนอุบายนี้ของอวิ๋นรั่วซวงสะกิดปมด้อยในใจ หรือจะเรียกว่าสะเทือนใจเหมือนเจอกับตัวเองก็ได้ เวลาไม่ได้รับความยุติธรรมนางก็คิดถึงพ่อแม่ตัวเองเหมือนกัน
ตายางแดงก่ำแล้ว แต่ปากก็ยังกล่าวอย่างไม่ปรานี “พูดเหลวไหลอะไรของเจ้า ใครบอกว่าเจ้าเป็นภาระ?”
“พวกท่านไม่ต้องการข้าแล้ว เป็นเพราะเห็นข้าเป็นภาระไม่ใช่เหรอ” อวิ๋นรั่วซวงปาดน้ำตาพลางกล่าวเสียงสะอื้น
“ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าพูด แล้วพี่น้องคนอื่นๆ ของตระกูลอวิ๋นล่ะ?” อวิ๋นจือชิวถาม
อวิ๋นรั่วซวงคิดในใจว่า ก็พวกเขาไม่รู้เรื่องพิภพใหญ่ไม่ใหญ่เหรอ…นางร้องไห้ต่อไป “ท่านพ่อ ท่านแม่ ลูกสาวช่างน่าสงสาร ลูกสาวโดดเดี่ยวเดียวดายไร้ที่พึ่ง คิดถึงพวกท่านเหลือเกิน…”
คำพูดแต่ละอย่างพวกนั้น แม้แต่เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็ยังน้ำตาคลอตามไปด้วย ส่วนเหมียวอี้ก็ทำสีหน้าพูดไม่ออก
“เด็กนี่ก่อเรื่องเก่งเกินไปแล้ว ถ้าปล่อยไว้ที่นี่ก็ไม่มีใครคุมนางได้เหมือนกัน!” พออ้างเหตุผลให้ตัวเองได้แล้ว อวิ๋นจือชิวก็เดินไปดึงแขนเสื้อเหมียวอี้ เจรจากับเขาว่า “หนิวเอ้อร์ ไม่สู้พานางไปด้วยดีมั้ย ข้าจะได้ดูนางได้สะดวก”
เหมียวอี้เหล่ตามองมา “ไม่ได้! ข้ากำลังจะเผชิญกับเรื่องอะไร ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้”
อวิ๋นรั่วซวงที่ปาดน้ำตาพลางแอบมองกล่าวอย่างเจ็บปวดทันที “พี่เขย รังเกียจข้าใช่มั้ย? กลัวว่าข้าจะกินจะใช้ของท่านใช่มั้ย ท่านไม่ต้องกังวล ถ้าไปแล้วข้าไม่เอาเปรียบท่านหรอก ข้าจะออกไปหาอะไรทำ ข้าจะเลี้ยงตัวเอง ต่อให้ลำบากกว่านี้เหนื่อยกว่านี้ข้าก็ทนได้”
คำพูดนี้ทำให้อวิ๋นจือชิวยิ่งฟังยิ่งปวดใจ
แม่งเอ๊ย! เหมียวอี้กลอกตามองบน พูดซะข้ากลายเป็นอะไรไปแล้ว
“อย่าพูดเหลวไหล พี่เขยเจ้าเป็นอย่างที่เจ้าพูดเหรอ?” หลังจากอวิ๋นจือชิวตำหนิ ก็หันกลับมาเจรจาต่อว่า “หนิวเอ้อร์ ข้ารู้ว่าเจ้ากลัวนางจะก่อเรื่องหลังจากไปที่นั่น ไม่เข้าวางใจเถอะ ข้าจะจับตาดูนางไว้อย่างดีเลย”
“เฮ้อ!” เหมียวอี้ถอนหายใจ “ถ้าเจ้าจะพานางไปด้วย ข้าก็ไม่มีความเห็นอะไรหรอก แต่จะให้ไปก่อนการทดสอบจบไม่ได้ นี่คือเส้นตายของข้า ตอนนี้ต่อให้นางร้องไห้จนดอกไม้บานออกมา ข้าก็ไม่ตอบตกลงอยู่ดี!”
อวิ๋นจือชิวเงียบไปครู่หนึ่ง กับเรื่องประเภทนี้ ตราบใดที่เหมียวอี้มีเหตุผล นางก็จะไม่คัดค้าน นางหันตัวมาบอกอวิ๋นรั่วซวงว่า “ไม่ต้องร้องแล้ว! พี่เขยเจ้ายอมถอยให้แล้ว หลังจากนี้สองปีถึงจะพาเจ้าไปด้วยได้ แต่ตอนนี้ยังไปไม่ได้ ยังไงเจ้าก็ต้องตอบตกลง ถ้าไม่ตกลงก็เลิกคิดไปเลยว่าจะได้ไป!”
อวิ๋นรั่วซวงโวยวายทันที “ข้าไม่เอาตอนหลัง ข้าจะไปตอนนี้!”
“งั้นชาตินี้ก็อย่าหวังว่าจะได้ไปเลย!” อวิ๋นจือชิวโมโหแล้ว ตะคอกว่า “ใครก็ได้ มัดนางให้ข้าหน่อย ส่งกลับนภาจอมมารไป ต่อไปนี้ถ้านางกล้าหนีมาอีก ก็ตัดขานางให้ข้าได้เลย!”
“เดี๋ยวก่อน!” อวิ๋นรั่วซวงลุกพรวดขึ้นจากพื้น แล้วปาดน้ำตากล่าวอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม “ข้าตอบตกลง ข้ารับปากว่าจะรอให้ผ่านไปสองร้อยปีแล้วค่อยไป ตกลงมั้ย? พี่หญิงใหญ่ พี่เขย พวกท่านต้องพูดคำไหนคำนั้นนะ ถ้าไม่อย่างนั้นข้าจะตายให้พวกท่านดู”
เหมียวอี้เงยหน้ามองหลังคา ไม่พูดอะไรแล้ว
อวิ๋นจือชิวทั้งโมโหทั้งอยากขำ ตะคอกว่า “เรื่องในภายหลังเอาไว้คุยกันตอนหลัง ตอนนี้เจ้าไสหัวกลับนภาจอมมารไปก่อน อย่ามาสร้างปัญหาให้ข้าที่นี่ เหยียนซิว เจาชิง พวกเจ้าสองคนคุมตัวนางกลับนภาจอมมารด้วยตัวเอง ให้ตาเฒ่าเฉียวดูไว้ก็พอ!”
“ไม่เอา…” อวิ๋นรั่วซวงร้องอย่างเศร้าโศก แต่กำลังแขนจะไปสู้กำลังขาได้อย่างไร นางถูกคุมตัวไปอย่างนี้แล้ว
ส่วนเหมียวอี้กับฮูหยินก็กลับพิภพใหญ่เช่นกัน
พอกลับถึงตำหนักคุ้มเมือง หลังจากเหมียวอี้จัดการงานที่ตลาดสวรรค์เสร็จแล้ว ก็เรียกอิงอู๋ตี๋ ชิงเฟิง โพ่เทียน ราชาปีศาจทะเลคราม เลี่ยหวนและหูเฟยให้ออกจากเมืองไปกับเขา ไปฝึกฝนตรงจุดลึกของมหาสมุทรใหญ่อีกครั้ง
ในระหว่างนั้น นอกจากจะกลับมาเป็นครั้งคราวยามมีธุระ โดยทั่วไปเขาก็พาพวกผู้ช่วยในการฝึกฝนเก็บตัวอยู่บนเกาะในระยะยาว ใช้เวลาส่วนใหญ่นั่งสมาธิฝึกฝนอยู่ในถ้ำภูขา ทุกสามวันห้าวันจะดำน้ำลงทะเลลึกไปสู้กับราชาปีศาจทะเลคราม หรือไม่ก็ประลองกับอิงอู๋ตี๋อยู่ในพายุหมุน บางครั้งก็ต้านทานดาบเพลิงนับไม่ถ้วนในค่ายกลเพลิงอัคคีที่เลี่ยหวนและหูเฟยวางไว้ ต่อสู้กันอย่างดุเดือดซ้ำแล้วซ้ำอีก
ถึงแม้เขาจะไม่ได้บอก แต่ทุกคนก็รู้สึกว่าเขากำลังเตรียมตัวเพื่อเข้าร่วมการทดสอบ แต่ละคนเกิดความกังวลในใจ
การฝึกตนเหมือนจะผ่านไปอย่างช้าๆ แต่เวลาไม่กี่สิบปีนั้นผ่านไปเร็วเหมือนชั่วดีดนิ้ว
อวิ๋นจือชิวที่กลับจากพิภพเล็กเหาะลงมาจากฟ้า นางเหยียบลงบนเกาะกลางทะเล ตรงหน้าถ้ำภูเขาที่เหมียวอี้ใช้ฝึกตน
เมื่อคนที่เฝ้าเวรยามเห็นว่าเป็นนาง ก็ไม่มีการขัดขวางใดๆ
เมื่ออวิ๋นจือชิวเดินเข้ามาในถ้ำภูเขา เหมียวอี้ที่นั่งสมาธิอยู่บนเตียงหินก็ลืมตาขึ้น แล้วถามด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้ามาได้ยังไง?”
อวิ๋นจือชิวมองซ้ายมองขวาดูสภาพแวดล้อมในถ้ำ เมื่อเห็นว่ายังสะอาด นางถึงได้พยักหน้าเบาๆ แล้วบอกว่า “ในที่สุดเยารั่วเซียนก็ไม่ได้ทำให้พวกเราผิดหวัง หลังจากรวบรวมทรัพยากรและนักหลอมของวิเศษทั้งสำนักงามวิจิตรและพิภพเล็ก ใช้เวลาเพียงสี่สิบกว่าปีก็หลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตรกับเกราะรบของเฮยทั่นได้แล้ว ข้านำของมาแล้วด้วย”
เหมียวอี้ดีใจมาก หย่อนเท้าสองข้างลงจากเตียง “ข้าดูหน่อย”
อวิ๋นจือชิวพลิกฝ่ามือข้างซ้ายและขวาเผยของที่นำมา
ฝ่ามือข้างหนึ่งรองเจดีย์สีแดงที่สูงเพียงหนึ่งฉื่อ[1] หลังคาเจดีย์โค้งขึ้น มีลวดลายงดงามประณีต
บนมืออีกข้างถือห่วงเหล็กสีแดงวงหนึ่ง บนนั้นเต็มไปด้วยลวดลายรูปมุมเหลี่ยมสี่ด้าน
เหมียวอี้ไม่แปลกตากับเจดีย์งามวิจิตร แต่ห่วงเหล็กในมืออวิ๋นจือชิวทำให้เขาสงสัย จึงชี้พร้อมถามว่า “นี่คือเกราะรบของเฮยทั่นเหรอ?”
อวิ๋นจือชิวพยักหน้ายิ้ม “ใช่แล้ว! เดี๋ยวข้าลองใช้ให้เจ้าดูสักหน่อย เจ้าก็จะเข้าใจแล้ว เฮยทั่นล่ะ?”
“พอกินยาเจี๋ยตันเสร็จก็หลับอยู่ข้างนอกตลอด!” เหมียวอี้บอกพร้อมนำนางออกไป พอออกนอกถ้ำแล้วถึงได้พบว่าไม่เห็นเงาของเฮยทั่นตรงจุดที่นอนแล้ว จึงร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนเรียกเสียงดังทันที “โจรอ้วน!”
เสียงดังก้องไปไกล ทำให้ทุกคนบนเกาะโผล่หน้าออกมา
จ๋อม! ตรงผิวทะเลไกลๆ มีเสาน้ำต้นหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้า เฮยทั่นฝ่าคลื่นขึ้นมา เหาะขึ้นฟ้าแฉลบเข้ามา พอเหยียบลงนอกถ้ำก็สั่นหัวส่ายหางร้อง “อูอู” เหมือนกำลังถามอะไรสักอย่าง
“ทำเกราะรบให้เจ้าชุดหนึ่ง มาลองหน่อยสิ!” เหมียวอี้พูดจบแล้วพยักหน้าให้อวิ๋นจือชิว
ห่วงเหล็กในมืออวิ๋นจือชิวพลันระเบิดแสงสีทองออกมา มันลอยขึ้นพลางขยายใหญ่อย่างช้าๆ ตามที่อวิ๋นจือชิวใช้มือชี้ ห่วงเหล็กก็แวบไปสวมบนคอของเฮยทั่น แล้วหดเล็กลงเท่าเดิมอย่างรวดเร็ว กลายเป็นห่วงคอบนคอของเฮยทั่น
แสงสีทองยังไม่หายไป พออวิ๋นจือชิวพลิกฝ่ามือ ห่วงคอก็ปรากฏเป็นรอยแยก ชั่วพริบตาเดียวก็เหมือนน้ำพุทะลัก โลหะสีแดงพลิกขึ้นมาเสียงดังเปาะแปะ แล้วครอบคลุมทั้งตัวของเฮยทั่นอย่างรวดเร็ว
ชั่วอึดใจเดียว เฮยทั่นเปลี่ยนโฉมหน้าไปโดยสิ้นเชิง กลายเป็นสัตว์ประหลาดสีแดงที่หน้าตาดุร้ายน่ากลัวตัวหนึ่ง
บนเขาของมันมีหนามแหลม ส่วนหัวตรงจุดที่ชนกระแทกได้ง่ายก็มีกรวยแหลมทั้งเล็กทั้งใหญ่กระจายอยู่สิบกว่าแท่งเช่นกัน บนหางที่ยาวครึ่งจั้งกลายเป็นกรวยแหลมทั้งเล็กทั้งใหญ่ ที่ปลายหางก็มีลูกกลมที่มีกรวยแหลมงอกมาหกแท่ง มันสั่นไหวตามหางที่สะบัดของเฮยทั่น
ที่ข้างซ้ายและขวาของร่างกายมัน ตรงจุดที่สัมผัสโดนก่อนยามชนกระแทกล้วนมีกรวยแหลมทั้งเล็กทั้งใหญ่ที่ออกแบบมาให้เหมาะสมตามรูปร่างของมัน กรงเล็บของขาทั้งสี่ก็ยาวขึ้นหลายส่วน กรงเล็บสีแดงสดของทุกนิ้วแหลมคมจนน่าตกใจ
เฮยทั่นที่มีดวงตาสิงโตสีแดงเลือด พอสวมเกราะรบสีแดงเลือดทั้งตัวเข้าไปอีก ก็เรียกได้ว่าเหมือนมารปีศาจจริงๆ
แต่เห็นได้ชัดว่าเฮยทั่นไม่ค่อยคุ้นชิน มันสั่นหัวส่ายหางมองดูตัวเอง เดินวนอยู่อย่างนั้นไม่หยุด หลังจากอวิ๋นจือชิวตะคอกให้มันหยุด ก็เอามือลูบเกราะเกล็ดสีแดงของมันพร้อมบอกว่า “เยารั่วเซียนบอกว่าเกราะรบบนตัวมันเหมือนกับเกราะรบบนตัวเจ้า สามารถลดพลังโจมตีของฝ่ายตรงข้ามได้สองส่วนเหมือนกัน เพียงแต่เกราะรบบนตัวมันราคาแพงกว่าของเจ้า แค่ยาเจี๋ยตันขั้นห้าอย่างเดียวก็ปาเข้าไปสามสิบสามเม็ดแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผลึกแดงที่สิ้นเปลืองไปเพราะรูปร่างของมัน”
…………………………
[1] 1ฉื่อ尺 เท่ากับ 33.33 เซนติเมตร
บทที่ 1186 เบิกสติปัญญาโดยฉับพลัน
โดย
Ink Stone_Fantasy
เหมียวอี้ทท่าเหมือนจนใจมาก สายตากลอกกลิ้งอยู่บนตัวเฮยทั่น ในใจคิดว่าตาแก่เยาคงบ้าไปแล้วสินะ เฮยทั่นไม่ได้มีวิชาอาคม มีแค่พลังอภินิหารโดยกำเนิดเท่านั้น ไม่สามารถร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมเกราะรบได้เลย ทุ่มยาเจี๋ยตันขั้นห้าไปสามสิบสามเม็ด กินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำรึไง?
แต่ชั่วพริบตาเดียวก็เข้าใจแล้ว สิ่งนี้ไม่ได้มีไว้ให้เฮยทั่นควบคุม แต่มีไว้ให้เขาควบคุม ให้เขาควบคุมเพื่อปกป้องเฮยทั่น เยารั่วเซียนให้สิทธิพิเศษกับเจ้าโจรอ้วนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว!
พวกอิงอู๋ตี๋ที่มองดูอยู่ไกลๆ สูดหายใจอย่างตกตะลึง ไม่น่าเชื่อว่าสัตว์เทพตัวหนึ่งจะสวมเกราะรบผลึกแดงทั้งชุด รูปร่างใหญ่โตขนาดนี้ คาดว่าสีแดงผลึกที่ใช้ไปคงจะหลอมสร้างเป็นเกราะรบผลึกแดงเจ็ดสิบแปดสิบชุดกระมัง
ต้องทราบไว้ว่าการหลอมสร้างของวิเศษระดับผลึกแดงเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก นักหลอมของวิเศษโดยทั่วไปยากที่จะควบคุมลักษณะพิเศษของมันได้ ต่อให้เป็นช่างตีเหล็กในโลกมนุษย์ก็เข้าใจหลักการนี้เช่นกัน ของที่ยิ่งทนทานก็ยิ่งทำยาก ระดับความยากของมันก็เหมือนกับระดับความทนทานของมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขั้นตอนของการหลอมสร้างเกราะรบซับซ้อนกว่าขั้นตอนการหลอมสร้างอาวุธเยอะมาก โครงสร้างของดาบสักด้ามไม่ซับซ้อนเหมือนเกราะรบเลย
ถ้าหากหลอมสร้างคนเดียว การหลอมสร้างเกราะรบที่ใหญ่โตขนาดนี้ คาดว่าใช้เวลาเพียงไม่กี่สิบปีคงทำไม่ทัน ตามมาตรฐานของพิภพใหญ่ แค่ค่าคนงานอย่างเดียวก็เยอะแทบแย่แล้ว การใช้เวลาไม่กี่สิบปีเพื่อหลอมสร้างของใช้เจ้าสักชิ้น ไม่ว่าใครก็ต้องคิดราคาแพงทั้งนั้น คนหลอมสร้างต้องหยุดฝึกตนหลายสิบปี ย่อมต้องการทำกำไรก้อนใหญ่ให้เพียงพอกับการชดเชยอยู่แล้ว
นอกจากนี้จำนวนผลึกสกัดที่แฝงอยู่ในผลึกแดงก็มีต่ำ แค่คิดก็รู้แล้วว่าเกราะรบบนร่างกายสัตว์เทพตัวนี้มีมูลค่าเป็นอย่างไร ทุกคนเห็นแล้วต่างก็รู้สึกว่าฟุ่มเฟือยเกินไป นี่พวกเขายังไม่รู้นะว่าในนั้นทุ่มยาเจี๋ยตันขั้นห้าไปสามสิบสามเม็ด
ช่างเถอะ! เหมียวอี้ที่ปวดหัวใจเล็กน้อยมองไปที่เจดีย์งามวิจิตรในมืออวิ๋นจือชิวอีก
“หลังจากขยายใหญ่แล้ว เจดีย์นี้จะสูงห้าจั้ง ไม่สะดวกจะแสดงต่อหน้าคนนอก มันสะดุดตาเกินไปจริงๆ เดี๋ยวเจ้าค่อยไปขบคิดเอาเองทีหลังก็แล้วกัน” อวิ๋นจือชิวบอกเขา
สูงห้าจั้งเหรอ? แบบนั้นต้องสิ้นเปลืองสีแดงผลึกไปมากเท่าไรกัน? เหมียวอี้ดึงมุมปากเล็กน้อย ถามว่า “ใช้วัตถุดิบไปมากเท่าไรเพื่อหลอมสร้างออกมา?”
อวิ๋นจือชิวบอกว่า “เพื่อที่จะทำของพวกนี้แข่งกับเวลา เยารั่วเซียนเรียกรวมยอดฝีมือหลอมของวิเศษของพิภพเล็กสามสิบกว่าคนให้มาช่วยกันทำ เขาคอยชี้แนะ แล้วคนอื่นก็ผลัดเวรกันมาทำ หลายสิบปีมานี้ไม่เคยได้หยุดเลย ถึงได้เร่งหลอมสร้างของออกมาได้ แถมของที่ใช้ผลึกแดงทำก็หลอมสร้างค่อนข้างยากลำบาก บวกกับเสาผลึกแดงที่เจ้านำมาจากดาวดำเนินเซียนก็มีพื้นที่ใหญ่เกินไป ถ้ารอสกัดตอนใกล้จะใช้งานก็สายเกินไปแล้ว เพราะแบบนี้เบื้องหลังก็เลยยังมีคนอีกหลายพันผลัดเวรกันเร่งสกัดเสาผลึกแดงที่เจ้าได้มาจากดาวดำเนินเซียน สามารถจัดหาวัตถุดิบให้เยารั่วเซียนหลอมสร้างได้ทุกเมื่ออย่างทันเวลา ภูเขาลูกหนึ่งถูกเผาจนแดงหมดแล้ว ส่วนวัตถุดิบที่ใช้ไป เสาผลึกแดงยาวสิบกว่าจั้งต้นที่เจ้านำมาจากดาวดำเนินเซียนก็ยังไม่พอ ใช้โซ่ใหญ่อีกเส้นถึงจะครบ แค่ยาเจี๋ยตันขั้นห้าอย่างเดียวก็ปาเข้าไปสี่สิบกว่าเม็ดแล้ว”
เหมียวอี้ได้ยินแล้วทำหน้าเหมือนโดนตะคริวกิน กล่าวอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกว่า “ของสองชิ้นนี้ใช้เงินเป็นกองจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะร่ำรวยมาจากดาวดำเนินเซียน ก็คงจะจ่ายไม่ไหวจริงๆ จ่ายมากขนาดนี้เพื่อหลอมสร้างออกมา แต่เจดีย์งามวิจิตรก็เป็นแค่ของวิเศษขั้นห้าชิ้นหนึ่งเท่านั้น ตามหลักการแล้วถ้าทุ่มผลึกแดงเยอะขนาดนี้ อย่างน้อยก็ต้องหลอมสร้างเป็นของวิเศษขั้นหกได้แล้วไม่ใช่เหรอ?”
อวิ๋นจือชิวถอนหายใจแล้วบอกว่า “เรื่องนี้ก็ช่วยไม่ได้ วรยุทธ์เจ้าไม่สูงพอ ของวิเศษขั้นหกเจ้าก็ควบคุมไม่ได้ เลยทำได้เพียงหลอมสร้างของวิเศษขั้นห้าให้เจ้าใช้ หนิวเอ้อร์ เรื่องเงินเป็นเรื่องเล็ก ตราบใดที่ทุ่มเงินแล้วสามารถรับประกันความปลอดภัยได้ ต่อให้จ่ายมากกว่านี้ก็คุ้มค่า ดังนั้นข้าจึงบอกเรื่องที่เจ้าต้องเผชิญให้เยารั่วเซียนรู้ เยารั่วเซียนรับปากแล้วว่าจะหลอมสร้างของวิเศษไว้ให้เจ้าป้องกันตัวอีกสองชิ้น ข้าให้วัตถุดิบเขาไปแล้ว เขาจะพยายามช่วยหลอมสร้างให้เจ้าก่อนที่การทดสอบจะมาถึง”
เหมียวอี้อึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง เขาไม่อยากทุ่มกำลังทรัพย์มากเกินไป อยากจะเหลือของบางอย่างไว้ให้เป็นทรัพยากรของพวกอวิ๋นจือชิวในภายหลัง ถ้าหากเขาไม่อยู่แล้ว พวกอวิ๋นจือชิวจะได้ไม่ถึงขั้นขัดสน เขาเตรียมคิดวางแผนในกรณีที่กลับมาไม่ได้แล้ว
ทว่าในเมื่ออวิ๋นจือชิวทำไปแล้ว ตอนนี้เขาก็ไม่สะดวกจะพูดอะไรให้นางอกสั่นขวัญแขวน
เหมียวอี้เก็บของวิเศษสองชิ้นไว้แล้ว ถ่วงอารมณ์ฝึกตนไว้ชั่วคราว หลายสิบปีมานี้ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้พบหน้าอวิ๋นจือชิว เตรียมจะอยู่เป็นเพื่อนนางสักหน่อย
ทั้งสองพูดคุยหัวเราะกันอยู่ในป่าภูเขาที่เงียบสงบ เสียงนกร้องราวกับมายา ทั้งสองยืนอยู่ตรงยอดเขาบนเกาะพลางทอดสายตามองไปไกล คลื่นสีมรกตหมื่นลี้ ทะเลใหญ่ท้องฟ้ากว้าง ทั้งสองเดินเนิบนาบอยู่บนหาดทรายที่ถูกคลื่นซัดมากองรวมกันชั้นแล้วชั้นเล่า ทิ้งรอยเท้าสองคู่เอาไว้ พูดคุยถึงความทรงจำในปีก่อนๆ รำลึกความหลังกัน
เดิมทีเหมียวอี้อยากจะรั้งอวิ๋นจือชิวให้อยู่ผ่อนคลายสักสองวัน แต่อวิ๋นจือชิวกลับรู้สึกว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะให้ความสำคัญกับเรื่องรักใคร่มากเกินไป ไม่อยากรบกวนการฝึกฝนของเขา เพื่อที่จะช่วยให้เขาสำรวมใจให้เร็วที่สุด ก่อนที่จะไปนางจึงพูดถึงเรื่องการฝึกฝน “เจ้าอยู่ฝึกฝนที่นี่ได้ผลเป็นยังไงบ้าง?”
“ก็ได้ผลอยู่บ้างนิดหน่อย ประสิทธิภาพที่มากที่สุดก็คือวรยุทธ์เพิ่มขึ้นเล็กน้อย” เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน
“ท่าหนึ่งทวนสิบสังหารที่เจ้าบอก ได้ผลตามที่เจ้าต้องการหรือเปล่า?” อวิ๋นจือชิวถามอย่างไม่แน่ใจ
เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วตอบว่า “ตอนพูดน่ะง่าย แต่ข้าไม่รู้เลยว่าโดนพลังอิทธิฤทธิ์ของตัวเองย้อนทำร้ายจนบาดเจ็บไปตั้งกี่ครั้งแล้ว ไม่มีทางแบ่งใช้ท่าหนึ่งทวนสิบสังหารได้เลย”
อวิ๋นจือชิวได้ฟังแล้วขมวดคิ้ว ถามว่า “ทำไมเจ้าจะต้องแบ่งใช้หนึ่งทวนสิบสังหารให้ได้ล่ะ? ในเมื่อตัวมันเองมีอานุภาพมากมายขนาดนั้นอยู่แล้ว เจ้าจำเป็นต้องทำให้มันอ่อนลงด้วยเหรอ? เจ้าก็แค่ใช้มันเป็นท่าไม้ตายของตัวเองไม่ได้เหรอ?”
เหมียวอี้ตอบว่า “ถ้าไม่แบ่งใช้ พอข้าใช้ท่านี้ครั้งเดียวพลังก็หมดแล้ว ไม่มีพลังเหลือไว้สู้ต่อตอนหลังเลย เจ้าคิดว่าข้าอยากจะลำบากแบบนี้เหรอ?”
อวิ๋นจือชิวส่ายหน้า “ข้าเข้าใจที่เจ้าพูด แต่ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น ข้าก็แค่คิดไม่ตก ในเมื่อเจ้าไม่มีทางแบ่งท่านี้ได้ ในเมื่อทำไม่ได้แล้วทำไมต้องฝืน? ทำไมต้องดึงดันอยู่กับท่านี้ไม่ยอมเลิก ฝึกท่าใหม่ไม่ได้เหรอ? หนึ่งทวนสิบสังหารก็เป็นท่าหนึ่ง หนึ่งทวนหนึ่งสังหารก็เป็นท่าหนึ่งเหมือนกัน เจ้าใช้ท่าหนึ่งทวนสิบสังหารได้ แล้วทำไมจะใช้ท่าหนึ่งทวนหนึ่งสังหารไม่ได้ล่ะ? ทำไมจะต้องแบ่งหนึ่งทวนสิบสังหารออกให้กลายเป็นทวนเดียว เจ้าลองคิดกลับกันสิ เจ้าฝึกทวนเดียวไปเสียเลย อานุภาพก็เหมือนกับท่าที่เกิดขึ้นหลังจากเจ้าแบ่งท่าหนึ่งทวนสิบสังหารไม่ใช่เหรอ เริ่มจากง่ายไปยากจะยิ่งสบายกว่าไม่ใช่หรือไง เจ้าจำเป็นต้องเริ่มจากระดับสูงขนาดนั้นด้วยเหรอ? ถ้าฝึกระดับยากเกินไปไม่ไหว ทำไมไม่วางลงก่อน ลองฝึกแบบง่ายๆ ดีมั้ย?”
“…” เหมียวอี้อ้าปากค้างพูดไม่ออกทันที ยืนมองนางอย่างตะลึงค้าง ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังโง่งง
อวิ๋นจือชิวยังนึกว่าตัวเองพูดจาไม่เหมาะสม โบกมือยิ้มทันที “ข้าไม่รู้สถานการณ์การฝึกของเจ้าชัดเจน ข้าก็แค่พูดเรื่อยเปื่อยจากมุมมองของคนนอก ถ้าไม่ได้ก็ช่างเถอะ การที่เจ้าเอาแต่ฝึกแล้วพลังอิทธิฤทธิ์ย้อนทำร้ายตัวเอง ข้าแค่รู้สึกว่าไม่ใช่กลยุทธ์ระยะยาว ถ้าเจ้าทำแบบนั้นจะเกิดเรื่องได้ง่าย”
เพี้ยะ! จู๋ๆ เหมียวอี้ก็ตบต้นขา แล้วอุ้มอวิ๋นจือชิวขึ้นมาหมุนทันที พร้อมโห่ร้องอย่างดีใจว่า “วางลงก่อน! เจ้าพูดถูกแล้ว วางลง! คนที่อยู่นอกเหตุการณ์อย่างเจ้าพูดถูก ทำไมต้องดึงดันฝึกท่านี้ไม่ยอมวางด้วยล่ะ ก็แค่ต้องวางลง!”
คำพูดของอวิ๋นจือชิวทำให้เขาดีใจแทบบ้าแล้วจริงๆ เรียกได้ว่าเหมือนโดนไม้ตีแสกหน้าเตือนสติ ทำไมไม่วางลงล่ะ?
ใช่แล้ว! ทำไมไม่วางลง?
ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว เขาคิดมาตลอดว่าจะแบ่งท่าหนึ่งทวนสิบสังหารมาใช้อย่างไร เพราะอานุภาพของท่าหนึ่งทวนสิบสังหารก็เห็นๆ กันอยู่ เขาตัดใจทิ้งอานุภาพของท่าหนึ่งทวนสิบสังหารไม่ลง ด้วยเหตุนี้เขาจึงลำบากไปแล้วไม่รู้ตั้งเท่าไร คำพูดเตือนสติที่เหมือนน้ำรดหัวของอวิ๋นจือชิวเพิ่งจะทำให้เขาพบว่าตัวเองมัวไปศึกษาสิ่งที่ไม่จำเป็น
หนึ่งทวนสิบสังหารก็คืออานุภาพของหนึ่งทวนสิบสังหาร ทำไมต้องทำให้มันอ่อนลงด้วยนะ ทำไมต้องดึงดันไม่ยอมปล่อย? วางลงแล้วเริ่มใหม่ไม่ได้หรือไง? เริ่มจากท่าง่ายๆ ก่อนไม่ได้เหรอ?
ไม่ใช่แค่เขา พวกอิงอู๋ตี๋ที่ได้รู้จักกับอานุภาพของหนึ่งทวนสิบสังหารก็ถูกเขาพาเข้าสู่ทางตันเช่นกัน ล้วนกลายเป็นคนที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมด กลับเป็นคำพูดของคนนอกเหตุการณ์อย่างอวิ๋นจือชิวที่ทำให้เขานึกออกในฉับพลัน!
เมื่อเห็นเข้าทำท่าทางดีใจเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่างในฉับพลัน อวิ๋นจือชิวที่โดนอุ้มหมุนจนกระโปรงปลิวก็เบิกบานใจไปด้วย นางหัวเราะคิกคักพร้อมทุบบ่าเขาเบาๆ “โดนเจ้าหมุนจนเวียนหัวหมดแล้ว รีบวางข้าลงเถอะ”
เหมียวอี้ที่วางนางลงกลับไม่ยอมปล่อยนางไปง่ายๆ กอดนางพลางจูบบนใบหน้านางอย่างบ้าคลั่ง หลังจากปล่อยมือออก เหมียวอี้ก็ใช้สองมือเท้าเอว พร้อมกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “คำพูดอันมีค่าดั่งทองของฮูหยินทำให้ข้าเข้าใจอย่างฉับพลัน เบิกสติปัญญาโดยฉับพลัน!”
“น้ำลายเหม็นเต็มหน้าข้าหมดแล้ว!” อวิ๋นจือชิวที่โดนเขาจูบจนน้ำลายติดเต็มหน้าสะบัดผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ด “ข้าก็แค่พูดไปเรื่อยเปื่อย เจ้ารู้สึกว่าใช้ได้ผลก็พอแล้ว”
“ฮ่าๆ…” เหมียวอี้เงยหน้าหัวเราะลั่น ความห่อเหี่ยวที่สะสมในสภาพจิตใจเพราะหนึ่งทวนสิบสังหารถูกกวาดหายไปจนหมดสิ้น รู้สึกผ่อนคลายทั้งกายทั้งใจ อดใจไม่ไหวอยากจะลองดูสักหน่อยแล้ว
อวิ๋นจือชิวไม่อยากรบกวนการฝึกฝนของเขา จึงไม่ได้อยู่ที่นี่ต่อ นางกลับไปที่ตลาดสวรรค์ก่อน
และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เหมียวอี้ก็หยุดประลองต่อสู้กับพวกอิงอู๋ตี๋ชั่วคราว เขามักจะโผล่อยู่บนหาดทรายริมทะเลบ่อยๆ ถือทวนพลางหลับตาตั้งสมาธิเผชิญหน้ากับทะเลกว้าง หลังจากรวบรวมจิงชี่เสินแล้วก็พลันแทงออกไปหนึ่งทวน
การทำแบบนี้ย่อมไม่สามารถทำให้เขาก้าวครั้งเดียวเหยียบถึงท้องฟ้าได้ เรื่องคิดท่าใหม่ไม่ได้ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก
พวกอิงอู๋ตี๋ก็มักจะมองเหมียวอี้ที่อยู่บนชายหาดจากที่ไกลๆ บางครั้งก็เห็นเหมียวอี้แทงออกมาหนึ่งทวนอย่างรวดเร็ว บางครั้งก็เห็นเหมียวอี้แทงออกมาหนึ่งทวนอย่างช้าๆ เห็นได้อย่างชัดเจนว่ากำลังตระหนักอะไรบางอย่างได้
ตั้งแต่เปลี่ยนวิธีการฝึกฝนวิชาทวน พอเหมียวอี้กลับเข้ามาในถ้ำภูเขาก็มักจะรู้สึกเหมือนเข้าไปอยู่ในกรงขัง ตั้งแต่นั้นมาจึงไม่อยู่ในถ้ำอีก แต่นั่งฝึกตนอยู่บนหินโสโครกริมทะเลแทน ไม่ว่าแสงแดดจะแก่กล้า ไม่ว่าจะมีพายุฝน ไม่ว่าจะมีคลื่นโหมซัดสาด เขาก็นั่งสมาธิอยู่ท่ามกลางดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ตลอด สัมผัสกับสรรพสิ่งแห่งฟ้าดิน ช่วยให้การสัมผัสรับรู้ของตัวเองผ่อนคลายและก่อตัว
หลังจากอิงอู๋ตี๋เข้าไปถามครั้งหนึ่งแล้วไม่ได้รับการตอบสนอง ก็ไม่เข้าใกล้เขาอีกแล้ว
ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือน เสื้อผ้าบนตัวเหมียวอี้ก็หายไปหมดแล้ว ผมก็กลายเป็นยุ่งเหยิงไม่ได้มัดรวบ ปล่อยให้แผ่สยาย หนวดเคราะก็ไม่ได้โกนเช่นกัน
หูเฟยที่รับหน้าที่ดูแลเรื่องอาหารการกินมีเจตนาดี อยากจะไปเตือนให้เหมียวอี้อาบน้ำสักครั้ง แต่กลับโดนอิงอู๋ตี๋ขวางไว้ “พยายามอย่าเข้าไปรบกวนเขา ตอนนี้เขาเหมือนจะตระหนักอะไรบางอย่างได้ใหม่ อยู่ในสภาวะหลงลืมตัวเองแล้ว สภาวะแบบนี้เกิดขึ้นได้ยาก ทุกคนคอยเฝ้ารอบๆ ไม่ให้มีคนเข้าใกล้ไปรบกวนก็พอ”
พวกเขาสบตากันแวบหนึ่ง แล้วพยักหน้าครุ่นคิด ส่วนอิงอู๋ตี๋ก็ติดต่อกับฝูชิงทางตลาดสวรรค์ ให้เขาบอกคนทางตลาดสวรรค์ให้เรียบร้อย ว่าพยายามอย่าให้เรื่องที่ตลาดสวรรค์มารบกวนเหมียวอี้
แต่ถ้าจะไม่ให้รบกวนเขาเลยก็คงเป็นไปไม่ได้ ถึงอย่างไรเหมียวอี้ก็ยังอยู่ในตำแหน่ง เมื่อถึงกำหนดเวลาก็ต้องไปติดต่อกับทางจวนแม่ทัพภาคตงหัว
แต่นอกจากนี้ เหมียวอี้ก็แทบจะฝึกทวนและนั่งสมาธิฝึกตนอยู่ริมชายหาดไม่ห่างไปไหน เป็นแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมา
เคลื่อนไหวอยู่ในขอบเขตที่กำหนด สภาวะนี้ต่อเนื่องกันเป็นเวลาเกือบสิบปี ในสิบปีนี้ไม่ได้กินอะไรเลยสักคำ ไม่ได้ดื่มน้ำเลยสักอึก ดูดน้ำค้างยามเช้า กินลมหนาวตอนกลางคืน ฝึกฝนแบบปี้กู่[1] เสื้อผ้าบนตัวขาดหลุดรุ่ย ทั้งร่างกายโป๊เปลือย เพียงแต่สกปรกเกินไปจึงไม่มีใครมอง
ในวันหนึ่งหลังจากผ่านไปสิบปี บึ้ม! จู่ๆ เสียงระเบิดที่ดังสะท้านฟ้าสะเทือนดินก็ดังขึ้น!
…………………………
[1] ปี้กู่ 辟谷 คือวิธีการฝึกอย่างหนึ่งของนักพรตเต๋า โดยหลีกเลี่ยงทานธัญพืชห้าชนิดได้แก่ ข้าว ข้าวโพด ข้าวฟ่าง ข้าวสาลี และถั่ว
บทที่ 1187 ได้เก็บเกี่ยวความรู้ไม่น้อยเลย
โดย
Ink Stone_Fantasy
อิงอู๋ตี๋และคนอื่นๆ ที่นั่งฝึกตนอย่างสงบอยู่ในถ้ำตัวเองรีบโผล่ออกมา เห็นเพียงคลื่นยักษ์กระพือขึ้นที่ผิวทะเล แล้วสะท้อนกลับมาในขณะที่สั่นสะเทือน คลื่นยักษ์ระลอกหนึ่งโผเข้ามาโจมตีทั้งเกาะราวกับจะครอบฟ้าคลุมดิน
ราชาปีศาจทะเลครามถลันตัวขึ้นไปอยู่บนฟ้า โบกมือผลักไปรอบๆ ทำให้คลื่นยักษ์ที่โจมตีเข้ามาราวกับมีชีวิตขึ้นมาทันที คลื่นยักษ์พัดม้วนกลับไป เปลี่ยนแปลงขึ้นลงตลอดทางไปยังมหาสมุทรที่อยู่ไกลๆ
สายตาของทุกคนรีบมองไปทางเหมียวอี้ที่อยู่ริมทะเลทันที เห็นเพียงเหมียวอี้ชี้ทวนไปทางมหาสมุทร ยืนเงียบๆ อยู่อย่างนั้น
“ฮ่าๆ…” จู่ๆ ก็เห็นเหมียวอี้เงยหน้าหัวเราะลั่นขึ้นฟ้า
พวกเขามองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่รู้เขากำลังหัวเราะอะไร แต่เห็นเหมียวอี้ที่หัวเราะอย่างบ้าคลั่งตกอยู่ในความเงียบงันอีก สักประเดี๋ยวก็เห็นเขาแทงทวนออกไปทางมหาสมุทรหนึ่งทวน
ชั่วพริบตานี้ ชิงเฟิงที่ลอยอยู่บนฟ้าพลันเบิกตากว้าง จ้องมองหัวทวนที่เหมียวอี้แทงออกมาแบบตาไม่กะพริบ จ้องจุดสีดำขนาดเท่าเม็ดถั่วเหลืองที่หมุนวนอยู่บนหัวทวน
บึ้ม! วาดผ่านผิวทะเลราวในแนวเฉียงกับฝนดาวตก จุดหมายที่โดนโจมตีจมลงจนเกิดเป็นหลุมน้ำวนขนาดใหญ่ คลื่นยักษ์สูงเทียมฟ้าที่เด้งขึ้นจากผิวทะเลโผกลับมาอีกครั้ง ต้องอาศัยให้ราชาปีศาจทะเลครามร่ายอิทธิฤทธิ์ข่มไว้ ทำให้กำแพงคลื่นยักษ์ม้วนกลับไป ไม่อย่างนั้นทั้งเกาะต้องโดนคลื่นโจมตีแน่นอน
“เขาฝึกฝนสำเร็จแล้ว” ชิงเฟิงที่ลอยอยู่บนฟ้ากล่าวเสียงเรียบ
“อะไรนะ?” อิงอู๋ตี๋หันกลับมาถาม
“ท่าหนึ่งทวนสิบสังหารของเขาถูกแบ่งสำเร็จแล้ว หลังจากแบ่งแล้วก็ไม่โดนพลังอิทธิฤทธิ์ย้อนทำร้ายอีก” ชิงเฟิงกล่าว
เขาไม่รู้ว่าเหมียวอี้ได้เริ่มฝึกท่าใหม่ไปแล้ว แค่นึกว่าเหมียวอี้แบ่งท่าหนึ่งทวนสิบสังหารสำเร็จแล้ว
“สำเร็จแล้ว…” อิงอู๋ตี๋พึมพำ มองไปทางเหมียวอี้ที่อยู่ริมทะเลอย่างตกตะลึง “ความพยายามไม่ทรยศคนตั้งใจจริงๆ ด้วย เมื่อมีท่านี้จะต้องเป็นเสือติดปีกแน่นอน”
เหมียวอี้ที่อยู่บนชายหาดเก็บทวนในมือ หันตัวมาอย่างช้าๆ มองไปหาทุกคนที่อยู่บนท้องฟ้า ถลันตัวขึ้นไป แล้วกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มชื่นมื่นว่า “ในที่สุดก็สำเร็จแล้ว เก็บตัวฝึกฝนมาหลายปี ในที่สุดก็ได้รับผลตอบแทนแล้ว ข้ามีความมั่นใจที่จะไปทดสอบในนรกยิ่งกว่าเดิมแล้ว!”
คนที่เหลือส่งสายตาให้กัน ถึงแม้ทุกคนจะเดาออกแล้วว่าเขาต้องไปทดสอบในนรก แต่เขาก็ไม่เคยบอกเลย ครั้งนี้นับว่าเปิดเผยอย่างเป็นทางการแล้ว
“ยินดีกับนายท่าน!” อิงอู๋ตี๋และคนอื่นๆ กุมหมัดแสดงความยินดี
“พี่สามไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นคนนอกแบบนี้!” เหมียวอี้หัวเราะลั่น อารมณ์ดีใช้ได้เลย ในที่สุดก็ก็เดินออกมาจากการเก็บตัวฝึกฝนหลายปีนี้แล้ว
ส่วนหูเฟยเอามือปิดปากหัวเราะ แล้วบอกว่า “ผู้บัญชาการใหญ่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ควรจะไปอาบน้ำสระผมสักหน่อยนะ”
ตอนนี้ทุกคนได้รับการเตือนจากพวกฝูชิงแล้ว ว่าไม่สามารถเรียกว่าคุณชายห้าได้อีก ทุกคนจึงเปลี่ยนเป็นเรียกผู้บัญชาการใหญ่หรือไม่ก็นายท่าน
เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ มองดูเสื้อผ้าที่ขาดหลุดรุ่ยของตัวเอง แล้วยกมือลูบหนวดเคราที่ยาวเฟื้อย จากนั้นก็หัวเราะเสียงดัง โบกมือถูปากตัวเอง หนวดเคราทีคลุมเต็มปากถูกถอนออกมาทั้งโคนทันที สะอาดเรียบร้อยราวกับใช้มีดโกน จากนั้นก็ถลันตัวเหาะออกไป ไปอยู่ใต้น้ำตกระหว่างภูเขาที่อยู่ไม่ไกล ไปยืนชำระล้างอยู่ในนั้นโดยตรง
พวกเขาทยอยกันเหาะลงไป ส่วนเลี่ยหวนก็ดึงแขนหูเฟยอย่างค่อนข้างเดือดดาล “ผู้ชายอาบน้ำมีอะไรน่าดูนักหนา!”
หูเฟยที่โดนดึงไว้กลอกตาเถียงกลับว่า “มีแค่เจ้าที่เข้าหอโคมเขียวได้ แต่ข้าห้ามดูคนอาบน้ำงั้นเหรอ?”
เมื่ออาบน้ำเสร็จจนสดชื่น เปลี่ยนเสื้อผ้าตัวใหม่กลับมาแล้ว หูเฟยก็ช่วยหวีผมมัดผมให้เหมียวอี้ด้วยตัวเอง และพวกเขาก็เตรียมอาหารรสเลิศล้ำค่าเอาไว้เต็มโต๊ะ ต้องทราบไว้ว่าในระหว่างสิบปีนี้เหมียวอี้ไม่ได้ดื่มน้ำสักหยด ไม่มีข้าวตกถึงท้องสักเม็ด
เหมียวอี้ที่อารมณ์ชื่นบานชูจอกสุราดื่มกับทุกคนอย่างถึงอกถึงใจ เขาดีใจมากจริงๆ
หลังจากกินอิ่มแล้วก็ผ่อนคลายสักหน่อย เหมียวอี้เข้าไปในถ้ำอีกครั้ง ฟื้นฟูพลังอิทธิฤทธิ์สักหน่อย
เพื่อรับประกันว่าคุ้นเคยกับท่าใหม่ที่ฝึกฝนอย่างเพียงพอ เขาจึงฝึกฝนต่อเพื่อใช้ท่านี้ได้อย่างมั่นคงแข็งแรง ออกนอกถ้ำมาทดลองฝีมือทุกวัน
หลังจากฝึกฝนอย่างมั่นคงหนึ่งปี ในความสมบูรณ์แบบก็ยังมีจุดที่บกพร่องอยู่ นั่นก็คือท่านี้ยังคงใช้พลังอิทธิฤทธิ์มหาศาลเหมือนเดิม ถึงแม้จะไม่ได้สิ้นเปลืองเหมือนท่าหนึ่งทวนสิบสังหาร แต่ก็ใช้งานท่านี้มากไม่ได้อยู่ดี ถ้าใช้หลายครั้งก็ยังทำให้ตัวเองสิ้นเปลืองจิงชี่เสินจนหมด จะทำให้เกิดอาการเดียวกับตอนใช้ท่าหนึ่งทวนสิบสังหาร
ไม่อาจหลีกเลี่ยงสิ่งนี้ได้ ถ้าอยากแสดงอานุภาพของท่านี้ ก็จะต้องรวบรวมจิงชี่เสินและพลังอิทธิฤทธิ์ให้เพียงพอแล้วใช้ออกมา
ข้อบกพร่องที่ใหญ่ที่สุดก็คือ ท่านี้ไม่สามารถแสดงออกมาได้ทุกเมื่อเหมือนกับท่าหนึ่งทวนสิบสังหาร จำเป็นต้องพิจารณาความหนักเบา ไม่สามารถใช้พลังของตัวเองให้หมดในรวดเดียว นี่ก็คือข้อแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดเมื่อเทียบกับท่าหนึ่งทวนสิบสังหาร ท่าหนึ่งทวนสิบสังหารสามารถใช้ได้อย่างเต็มที่ถึงอกถึงใจ ไม่ต้องพะวงว่าจะใช้อย่างเต็มที่หรือไม่ ด้วยเหตุนี้จึงสามารถใช้ได้อย่างทันท่วงที ตอนนี้ท่านี้กลับแตกต่างกับท่าไม้ตายของชิงเฟิงไม่เท่าไร ก่อนชิงเฟิงจะลงมือก็ต้องพิจารณาก่อนเหมือนกัน
แบบนี้ไม่เป็นผลดีเวลาต่อสู้ เหมียวอี้อยากจะพยายามแก้ไขปัญหานี้ แต่สุดท้ายก็พบว่ามันไม่ใช่ปัญหาที่จะสามารถแก้ไขได้ตอนนี้เลย
กุญแจสำคัญของข้อบกพร่องนี้ก็ยังเป็นวรยุทธ์ของเขา พลังงานในร่างกายมีเขาแค่เท่านี้ แถมสิ่งที่จะรับประกันอานุภาพของท่านี้ได้ก็คือพลังงานที่ใช้จะต้องเพียงพอ เดิมทีพลังงานในร่างกายของเขาก็ไม่พออยู่แล้ว ตอนลงมือไม่ชั่งน้ำหนักไม่ได้เลย มีเพียงการรอให้วรยุทธ์ของตัวเองแข็งแกร่งเพียงพอก่อน พลังงานในร่างกายถึงจะเพียงพอ เกรงว่าต้องรอแบบนั้นถึงจะสามารถใช้ท่านี้ได้อย่างอิสระราบรื่น
ก็เหมือนเอาน้ำหนึ่งอ่างกับมหาสมุทรมาเปรียบเทียบกัน ถ้าเป็นน้ำหนึ่งอ่างเจ้าจะต้องระวังเวลาสาดออกไป ไม่อย่างนั้นอาจจะสาดหมดในรวดเดียว ส่วนน้ำในมหาสมุทรย่อมมีเพียงพอให้เจ้าใช้ได้อย่างอิสระราบรื่นอยู่แล้ว
ปัญหานี้มีเพียงการรอให้วรยุทธ์สูงขึ้นมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน แต่เหมียวอี้ชื่นชอบวิธีการใช้ท่านี้ด้วยมือเปล่าของชิงเฟิง สิ่งนี้มีประโยชน์ต่อการสู้ในระยะใกล้ หากในศึกเดือดเกิดเหตุไม่คาดคิดจนต้องสูญเสียอาวุธ สิ่งนี้จะแสดงบทบาทได้มากแน่นอน
แต่พอทดลองแล้วก็ก็ยังไม่เข้าใจเลย ถึงได้เชิญชิงเฟิงไปเดินเล่นและสืบถามในภูเขา
ป่าไม้เงียบสงบ ใบไม้ตกปลิวว่อน ใบไม้แห้งและตะไคร่น้ำ เสียงนกร้องไพเราะ
หลังจากฟังความสงสัยของเขาแล้ว ชิงเฟิงที่เงียบไปครู่หนึ่งก็ส่ายหน้าบอกว่า “ข้าเองก็ไม่รู้ชัดเหมือนกัน ที่จริงข้ารู้สึกฉงนใจมากที่นายท่านสามารถแสดงท่านี้โดยอาศัยอาวุธได้ นี่คือปัญหาที่ข้าอยากจะแก้ไขมาตลอด ถึงยังไงเวลาใช้มือเปล่าสู้กับคนมีอาวุธก็เสียเปรียบมากเกินไป แต่ข้าไม่มีทางใช้ท่านี้ผ่านอาวุธได้เลย ความแตกต่างระหว่างสองสิ่งนั้น เกรงว่าจะเป็นคนละเส้นทางแต่จุดหมายเดียวกัน ถ้านายท่านสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ ก็เท่ากับแก้ไขโจทย์ยากของของข้าน้อยเหมือนกัน ดังนั้นข้าน้อยก็ไม่มีทางคลายความสงสัยให้นายท่านได้เช่นกัน”
เหมียวอี้คิดไปคิดมาก็พบว่าเป็นอย่างนี้จริงๆ ชิงเฟิงไม่น่าจะปิดบังอะไร เพราะท่านี้ของชิงเฟิงไม่สามารถร่ายอิทธิฤทธิ์แสดงบนอาวุธได้จริงๆ
สุดท้ายทั้งสองก็พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของท่าที่ตัวเองใช้ ต่างก็หวังว่าจะได้ความรู้อะไรบ้าง ปรากฏว่าปัญหาที่ทั้งคู่เผชิญมีความแตกต่างกัน เป็นคนละเส้นทางกันโดยสิ้นเชิง
เหมียวอี้ใช้ท่าหนึ่งทวนสิบสังหารรวบรวมจิงชี่เสินให้เชื่อมต่อกับพลังอิทธิฤทธิ์เพื่อฝึกท่านี้ออกมา ในเนื้อแท้ไม่มีอะไรแตกต่างกับท่าหนึ่งทวนสิบสังหารสักเท่าไร เป็นการปล่อยท่าอย่างบ้าคลั่งล้วนๆ จำเป็นต้องอาศัยสื่อนำ ก่อนหน้านี้ตอนที่พลังอิทธิฤทธิ์ย้อนทำร้าย ระดับของอาวุธที่ใช้ก็แทบจะถึงขั้นระเบิดตัวเอง กายเนื้อย่อมทนรับการปล่อยพท่าอย่างบ้าคลั่งแบบนี้ได้ยาก จำเป็นต้องเป็นหนึ่งเดียวกับทวน ใช้ทวนเป็นจุดหมุนเวียนพลังอิทธิฤทธิ์
ส่วนชิงเฟิงนั้นต่างกัน ท่าของเขาก็เหมือนกับการตัดก้อนแป้ง ต้องดึงอานุภาพที่ต้องการจะปล่อยให้ได้จำนวนหนึ่งก่อน ดึงมารวมเป็นจุดเดียวกัน แล้วค่อยปล่อยสิ่งที่เตรียมไว้โจมตีออกไป ไม่มีปัญหาเรื่องการปล่อยท่าอย่างบ้าคลั่งเหมือนเขื่อนกั้นแม่น้ำพัง
สรุปก็คือท่าหนึ่งคือการโจมตีโดยปล่อยท่าอย่างบ้าคลั่ง อาศัยการควบคุมขนาดพลังเพื่อควบคุมอานุภาพการโจมตี ส่วนอีกท่าหนึ่งกักเก็บขนาดของพลังเอาไว้เรียบร้อยแล้ว หลังจากกักเก็บจนถึงจุดหนึ่งก็ค่อยโจมตีให้ถึงชีวิต ด้วยเหตุนี้อานุภาพการโจมตีของเหมียวอี้จึงมีลักษณะการระเบิดมากกว่า ส่วนอานุภาพการโจมตีของชิงเฟิงก็มีลักษณะการผ่านทะลุได้มากกว่า
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!” หลังจากทำความเข้าใจซึ่งกันและกันจนกระจ่างแล้ว เหมียวอี้ถึงพยักหน้าช้าๆ เดินไปข้างหน้า “ดังนั้นพวกเราจึงไม่สามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ของกันและกันได้แล้ว”
ชิงเฟิงพูดต่อว่า “ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ วิธีการโจมตีสองประเภทนี้ล้วนเป็นการโจมตีที่เหนือกว่าระดับวรยุทธ์ ดังนั้นเมื่อสืบสาวจนถึงแก่นแท้แล้ว ก็ยังเป็นเพราะวรยุทธ์ของพวกเราไม่พอ ไม่มีทางควบคุมอานุภาพการโจมตีแบบนี้ได้อย่างอิสระราบรื่น ถ้าวรยุทธ์ของนายท่านสูงถึงระดับหนึ่งแล้ว ความสามารถในการปกป้องกายเนื้อสูงถึงระดับหนึ่งแล้ว ถึงตอนนั้นไม่จำเป็นต้องอาศัยอาวุธก็สามารถใช้ท่านี้ได้เหมือนกัน”
เหมียวอี้ส่ายหน้าหัวเราะเบาๆ “ใครจะไปรู้ว่าเรื่องแบบนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อไร ข้าอยากจะเตรียมตัวให้รอบคอบสำหรับการทดสอบครั้งนี้ ถ้าประมือกันแล้วเสียอาวุธไว้ ข้าจะได้มีหลักประกันเพิ่มอีกชั้น”
“แบบนี้…” หลังจากชิงเฟิงทำท่าลังเลนิดหน่อย ก็บอกว่า “ถ้าจะแค่ฝึกเพื่อเตรียมไว้เฉยๆ ข้าน้อยก็มีอีกวิธีการหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะใช้ได้หรือไม่”
“หืม!” เหมียวอี้หยุดฝีเท้าแล้วหันมาถาม “หมายความว่ายังไง?”
ชิงเฟิงหยุดเดินตามเขา “นายท่านแค่ต้องใช้อาวุธปล่อยอานุภาพของท่านี้ ถ้าตอนประมือกันสวมเกราะรบ ก็ไม่รู้ว่าจะใช้เกราะรบให้เป็นเหมือนอาวุธเพื่อแสดงอานุภาพของท่านี้ได้หรือไม่ ถ้าสามารถทำได้ การที่นายท่านสวมเกราะรบก็เท่ากับใช้ท่านี้ด้วยมือเปล่าเหมือนกันไม่ใช่หรอกเหรอ?”
เหมียวอี้อึ้งทันที จากนั้นก็ตบหน้าผากตัวเองแรงๆ กระทืบเท้าบอกว่า “ทำไมข้าลืมเรื่องนี้ไปได้!”
พอพูดจบก็พลิกฝ่ามือ เกราะรบผลึกแดงปรากอยู่ในมือ แล้วพลิกม้วนขึ้นตัวเสียงดังเปาะแปะ ชั่วพริบตาเดียวก็สวมเกราะรบเสร็จแล้ว เขายกมือสองข้างดูถุงมือเกราะรบที่ปกป้องฝ่ามือ สุดท้ายก็กำหมัด ครุ่นคิดวิธีการควบคุมทวนอย่างเงียบๆ
หลังจากเตรียมจิงชี่เสินกับพลังอิทธิฤทธิ์อย่างเหมาะสมแล้ว จู่ๆ ก็เกิดเงาหมัดที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว หมัดข้างหนึ่งชกขึ้นฟ้าในแนวเฉียง
ชิงเฟิงพลันหรี่ตา สังเกตเห็นจุดสีดำขนาดเท่าเม็ดถั่วเหลืองที่หมุนวนตอนปล่อยหมัดออกมา
บึ้ม! พุ่มของต้นไม้ที่ใหญ่บดบังท้องฟ้ากลายเป็นผงแป้งในทันที อานุภาพที่หลงเหลือสะเทือนไปถึงป่าไม้ในรัศมีสิบกว่าจั้ง ชั่วพริบตาเดียวก็พลิกปลิวไปรอบๆ แบบถอนรากถอนโคน
พวกอิงอู๋ตี๋ปรากฏตัวอยู่บนท้องฟ้าแล้วมองมาข้างล่างอย่างรวดเร็ว เห็นเพียงต้นไม้ใบหญ้าหายไปเป็นวงใหญ่ เหมียวอี้กับชิงเฟิงยังยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสบายดี เพียงแต่เหมียวอี้สวมเกราะรบทั้งตัวแล้ว
“เหอะๆ! คำพูดของชิงได้ปลุกคนให้ตื่นจากฝัน สำเร็จแล้วจริงๆ ด้วย!” เหมียวอี้ที่ดีใจไม่หายมองไปรอบๆ “เพียงแต่ยังไม่คุ้นชินกับการควบคุมท่าแบบนี้ ไม่สามารถควบคุมอานุภาพได้ สะเทือนไปถึงป่าไม้รอบข้าง”
ชิงเฟิงกุมหมัดกล่าวว่า “ยินดีกับนายท่าน”
“ดีที่มีเจ้าคอยเตือน! การเก็บตัวฝึกฝนบนเกาะครั้งนี้ได้เก็บเกี่ยวความรู้ไม่น้อยเลย!” เหมียวอี้ยิ้มพลางมองหมัดสองข้างของตัวเอง นึกไม่ถึงว่าครั้งนี้จะไม่เพียงแค่ได้แก้ปัญหาใหญ่ของท่าหนึ่งทวนสิบสังหาร ทั้งยังได้วิธีการโจมตีท่านี้โดยไม่ใช้อาวุธควบคุมด้วย เพิ่มความสามารถในการปกป้องชีวิตตัวเองได้เยอะมาก มีความมั่นใจกับการไปนรกมากขึ้นหลายส่วน
พอเงยหน้าขึ้น เห็นอิงอู๋ตี๋ลอยอยู่บนฟ้า ก็กล่าวเสียงดังว่า “พี่สาม เรียกรวมคน กลับกันเถอะ!”
ผ่านไปไม่นาน กลุ่มคนก็เหาะออกจากเกาะอย่างรวดเร็ว เร่งกลับถึงตลาดสวรรค์ สำหรับเหมียวอี้ ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องเก็บตัวฝึกฝนบนเกาะอีกแล้ว ปัญหาที่อยากจะแก้ไขก็แก้ไขได้แล้ว อาศัยเวลาที่เหลืออยู่ตอนนี้ ถ้าอยากจะประมือกับพวกอิงอู๋ตี๋เพื่อเพิ่มความเร็วก็คงไม่ได้ผลสักเท่าไร วรยุทธ์ของเขาก็เห็นๆ กันอยู่ ต่อให้เร็วกว่านี้ก็ไม่เร็วไปถึงไหน การใช้เวลาที่เหลือเพิ่มวรยุทธ์ ไม่ว่าจะอยู่บนเกาะหรืออยู่ที่ตลาดสวรรค์ก็เหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องออกจากตลาดสวรรค์มาเสียเวลาอยู่ที่นี่อีก
…………………………
บทที่ 1188 ยอมถอยเพื่อรุก
โดย
Ink Stone_Fantasy
เวลาวันแล้ววันแล้ว เดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วแล้วปีเล่า ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปอีกยี่สิบปี
ผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวนแทบจะสูญหายไปจากสายตาของฝูงชน แต่ลับหลังคำพูดดูหมิ่นเหยียดหยามผู้บัญชาการใหญ่หนิวโหย่วเต๋อก็ยังมีแบบไม่หยุดหย่อน แต่ผ่านไปเกือบเจ็ดสิบปี คำพูดใส่ร้ายของฝูงชนก็ไม่ได้ครึกโครมเหมือนตอนแรกแล้ว แต่เป็นคำพูดตลกขบขันหลังกินอาหารดื่มน้ำชาก็เท่านั้นเอง
ตำหนักคุ้มเมืองที่อยู่ตรงกลางของตลาดสวรรค์ยังคงสูงส่ง ตั้งแต่ที่มันเริ่มมีอยู่ เจ้าของที่อยู่ในนั้นก็ไม่เคยถูกเหน็บแนมบารมีชื่อเสียงเหมือนหลายสิบปีที่ผ่านมานี้เลย การที่ตำแหน่งสำคัญเบื้องล่างแทบจะเป็นคนของผู้บัญชาการใหญ่หนิวหมด ตอนนี้ข้อดีของมันได้แสดงออกมาแล้ว คำสั่งของผู้บัญชาการใหญ่หนิวคำเดียวยังคงสามารถทำให้หัวคนร่วงลงพื้นได้เหมือนเดิม
ด้วยเหตุนี้พลังอำนาจความน่าหวาดกลัวของศีรษะคนนับพันในปีนั้นจึงยังคงอยู่ ถ้าไม่ใช่เพราะศีรษะคนนับพันครั้งนั้น เกรงว่าตลาดสวรรค์ในตอนนี้คงไม่มีใครหวาดเกรงผู้บัญชาการใหญ่ท่านนี้แล้ว แต่ถ้าไม่มีศีรษะนับพันในปีนั้น ผู้บัญชาการใหญ่หนิวก็คงไม่ถึงขั้นกลายเป็นเรื่องน่าหัวเราะเยาะเหมือนในวันนี้เช่นกัน
ถึงแม้จะไม่มีใครเห็นผู้บัญชาการใหญ่หนิวอยู่ในสายตาอีก แต่ก็ไม่มีใครอยากกดดันให้ผู้บัญชาการใหญ่หนิวกลายเป็นสุนัขกระโดดกำแพงในตอนนี้ ของแสดงความเคารพที่ร้านค้าใหญ่ๆ ควรจะนำมามอบให้ที่ตำหนักคุ้มเมืองก็ยังดำเนินต่อไป แต่ไม่มีของขวัญล้ำค่าราคาแพงแล้ว
ถ้าพูดโดยมองจากโดยรวม ของขวัญแสดงความเคารพที่เหมียวอี้ได้รับในแต่ละปีไม่ได้มากมายเหมือนในปีก่อนๆ แล้ว มีแนวโน้มลดลงทุกปี คนส่วนใหญ่แค่แสดงน้ำใจพอเป็นพิธี ไม่อยากสิ้นเปลืองกับผู้บัญชาการใหญ่ที่กำลังจะขาดแรงสนับสนุนอย่างเขาอีกต่อไป
เมื่อได้รายการของขวัญที่อวิ๋นจือชิวจัดระเบียบให้แล้ว เหมียวอี้ก็ย่อมไม่พอใจ เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ในสวน
ใช่ว่าเหมียวอี้จะไม่รู้ว่าลับหลังร้านค้าพวกนั้นเป็นคนกระพือข่าวสาดโคลน ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานก็เดาออกว่าเป็นพวกขา แต่ก็ใช่ว่าเหมียวอี้จะไม่อยากจัดการพวกเขา เขาอยากจะสังหารหมู่เจ้าพวกนั้นพร้อมกันทีเดียว ไม่มีใครอยากถูกเยาะเย้ยเสียดสีจากโลกภายนอก แต่ตอนนี้เขาไม่ได้รับการสนับสนุนจากจวนแม่ทัพภาคตงหัว จึงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ในปีนั้นมีคนในจวนแม่ทัพภาคตงหัวหวังให้เกิดเรื่องขึ้นกับเขา ภาพเหตุการณ์นั้นยังชัดเจนในความทรงจำ เขากังวลว่าพอตัวเองลงมือที่นี่แล้ว เบื้องบนก็จะหาข้ออ้างมาจัดการเขาก่อน
ต่อให้ตัวเองรอดชีวิตกลับมาหลังจากการทดสอบ ถ้าไม่มีการสนับสนุนจากจวนแม่ทัพภาคตงหัว เขาก็ไม่สะดวกจะปั้นน้ำเป็นตัวยัดเยียดความผิดให้ร้านค้าพวกนั้นเหมือนครั้งก่อนอีก ถ้าทำแบบนั้นจริงๆ ก็จะเป็นการสร้างปัญหาให้ตัวเอง พอคิดไปคิดมาก็พบว่า ไม่ว่าจะเป็นก่อนการทดสอบหรือหลังการทดสอบ ตัวเองก็ไม่สามารถทำอะไรร้านค้าพวกนั้นได้ ภูมิหลังของอีกฝ่ายก็เห็นๆ กันอยู่ อย่างมากเจ้าก็แค่ไปสร้างความยุ่งยากให้พวกเขานิดหน่อย ไม่มีทางระบายความโกรธแค้นแบบรุนแรงได้
แต่ถ้าไม่ระบายความโกรธนี้ เขาก็รู้สึกอึดอัดจริงๆ หลังจากเดินไปเดินมาในสวนดอกไม้พลางครุ่นคิดซ้ำๆ จู่ๆ เขาก็หยุดฝีเท้า นึกถึงใครบางคนขึ้นมา หยางชิ่ง!
เขายกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเอง ใต้บังคับบัญชาตัวเองยังมีคนแบบหยางชิ่ง ทำไมไม่ขอคำชี้แนะจากเขาล่ะ? เจ้าหมอนั่นเก่งเรื่องวางแผนเล่นงานคนที่สุดแล้ว
จึงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อหยางชิ่งทันที
พิภพเล็ก ในจวนผู้การใหญ่ของนภาอู๋เลี่ยง หลังจากได้รับข้อความจากเหมียวอี้ หยางชิ่งที่กำลังฝึกตนก็งงนิดหน่อย จากนั้นก็ถามรายละเอียดทันที
หลังจากถามแล้ว หยางชิ่งก็บอกว่า : ให้เวลาข้าน้อยครึ่งชั่วยาม ให้ข้าน้อยพิจารณาให้ดีสักหน่อย
สุดท้ายก็ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม หลังจากหลังจากเดินไปเดินมาอยู่ในจวนผู้การใหญ่ประมาณเกือบครึ่งชั่วยาม หยางชิ่งก็ส่งข้อความกลับไปอีกครั้ง : นายท่านอยากจะในภายหลังมีความยุ่งยากน้อยลง หรืออยากจะให้ภายหลังมีความยุ่งยากมากขึ้น?
เหมียวอี้ตอบ : ต้องอยากให้มีความยุ่งยากน้อยลงอยู่แล้ว
หยางชิ่ง : เช่นนั้นก็อดทนไว้ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้านายท่านอยากจะกลับมาอย่างราบรื่นหลังจากการทดสอบ ยังคงครองตำแหน่งนั้นอยู่ ในภายหลังจะต้องอยู่ร่วมกันไปอีกแสนนาน ในภายหลังพวกเขาย่อมต้องสำรวมมากขึ้น
เหมียวอี้ : ทนไม่ไหวแล้ว ที่ข้าติดต่อเจ้าก็เพราะอยากให้เจ้าคิดหาวิธีเด็ดหัวพวกเขาอย่างชอบด้วยเหตุผล ถ้าต้องอดทนไว้ข้าจะมาถามเจ้าทำไม?
หยางชิ่งรู้สึกจนใจ หลายปีมานี้เขารู้จักสถานการณ์ของพิภพใหญ่แล้วไม่น้อยผ่านฉินเวยเวย ครั้งนี้ได้ใช้ประโยชน์พอดี จึงบอกเหมียวอี้ไปเพียงว่า : เหตุผลไม่ซับซ้อนเลย ยอมถอยเพื่อรุก คิดบัญชีย้อนหลัง!
ใช่ว่าเหมียวอี้จะไม่อยากคิดบัญชีย้อนหลัง แต่ถูกสถานการณ์บีบบังคับ นึกไม่ออกว่าจะใช้วิธีการไหนคิดบัญชีย้อนหลังอย่างชอบธรรม จึงถามรายละเอียดทันทีว่าจะยอมถอยเพื่อรุก คิดบัญชีย้อนหลังอย่างไร หลังจากถามจนรู้ชัดแล้ว เขาก็หัวเราะลั่นสามครั้ง เรียบง่ายไม่ซับซ้อนจริงๆ ด้วย แต่กลับได้ประสิทธิภาพที่สุด!
หลังจากติดต่อกับหยางชิ่งเสร็จแล้ว เขาก็รีบเรียกรวมพวกฝูชิง
“เลิกคุมเข้มสมาคมร้านค้า?” สวีถังหรานถามอย่างงุนงง
หลัจากเข้ามาในสวนดอกไม้ด้านหลังตำหนักคุ้มเมือง ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ก็สบตากันแวบหนึ่ง ยังนึกว่าตัวเองฟังผิดไป
ครั้งนี้ไม่มีมู่หรงซิงหัว หลังจากครั้งก่อนโดนเฉาว่านเสียงดูถูกดูแคลน ในการประชุมครั้งนี้เหมียวอี้จึงกันมู่หรงซิงหัวไว้ข้างนอกแล้ว
ฝูชิงกุมหมัดถาม “นายท่าน ครั้งก่อนฆ่าคนไปเยอะขนาดนั้น ไม่ง่ายเลยกว่าจะสร้างธรรมเนียมธรรมเนียมการควบคุมสมาคมร้านค้าได้ ถ้าเลิกคุมเข้ม เพื่อเห็นแก่ผลประโยชน์ตัวเอง สมาคมร้านค้าพวกนั้นไม่เกรงใจแน่ จะต้องได้คืบจะเอาศอกแน่นอน”
อิงอู๋ตี๋ถามทันที “นายท่านไม่อยากล่วงเกินคนพวกนั้นเหรอ? ขออภัยที่ข้าน้อยพูดตรงๆ นะ แต่นายท่านได้ล่วงเกินพวกเขาไปแล้ว มาทำดีด้วยจวนตัวแบบนี้อาจจะไม่มีประโยชน์ กลับจะทำให้พวกเขาแอบเยาะเย้ยแดดดันด้วยซ้ำ จะนึกว่านายท่านกลัวพวกเขา จะยิ่งจัดการสถานการณ์ได้ยากกว่าเดิม”
เหมียวอี้ยิ้มเรียบๆ พร้อมตอบว่า “ต้องให้พวกเขาคิดว่าข้ากลัวพวกเขาสิ ถึงจะทำให้พวกเขาได้คืบจะเอาศอก ถ้าพวกเขาไม่ได้คืบจะเอาศอก หลังจากกลับมาจากการทดสอบข้าจะเด็ดหัวพวกเขายังไงล่ะ?”
เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา กลิ่นอายสังหารที่ซ่อนอยู่ในนั้นก็ทำให้ทั้งสามอกสั่นขวัญแขวน อย่าบอกนะว่าจะตัดหัวอีกครั้ง?
“อย่าบอกนะว่านายท่านจะเข้าร่วมการทดสอบที่นรก?” สวีถังหรานถามหยั่งเชิง
“ถ้าข้าไม่เข้าร่วม แล้วจะยังมีทางให้ถอยอีกเหรอ?” เหมียวอี้ถามกลับ
หลังจากแน่ใจท่าทีของเขาแล้ว สวีถังหรานก็ว้าวุ่นในใจ คิดว่าเหมียวอี้จะรอดชีวิตกลับมาได้เหรอ? จึงโน้มน้าวทันที “นายท่าน การไปครั้งนี้เกรงว่าจะมีเคราะห์มากกว่ามีโชค นายท่านได้โปรดไตร่ตรอง”
เป็นคำพูดประจบสอพลอล้วนๆ เลย เขารู้ว่าต่อให้เหมียวอี้ไม่ไปก็มีเคราะห์มากกว่าโชคอยู่ดี นี่ก็คือสิ่งที่เขาคิดวนเวียนไม่หยุด
“ก็เพราะมีเคราะห์มากกว่ามีโชคนี่แหละ ข้าถึงให้พวกเจ้าทำแบบนี้” เหมียวอี้เด็ดดอกไม้ดอกหนึ่งไว้ในมือ หยิบมาจ่อจมูกดมพร้อมพูดต่อว่า “ที่ให้พวกเจ้าเลิกคุมเข้มร้านค้าในตอนนี้ ก็เพราะอยากจะให้พวกเจ้าล่วงเกินคนพวกนั้นให้น้อยลงหน่อย ถ้าข้าไม่สามารถรอดชีวิตกลับมาได้ พวกเจ้าจะได้มีแรงกดดันน้อยลง และการที่พวกเจ้าถอยให้ ถึงจะทำให้พวกเขาเข้าใจผิดคิดว่าข้ากลัวพวกเขา ถ้าไม่ทำให้พวกเขามีความกล้าขึ้นสักหน่อย แล้วจะทำให้พวกเขาฝ่าฝืนกฎที่ควบคุมสมาคมร้านค้าได้ยังไง? เมื่อไม่มีการผูกมัดแล้ว ลูกท่านหลานเธอพวกนั้นที่อาศัยภูมิหลังย่อมต้องเหยียบย่ำกฎของสมาคมร้านค้าที่ข้าตั้งขึ้น หลังจากที่ข้าไปแล้ว พวกเจ้าก็ลดฐานะตัวเองลงหน่อย ปิดตาข้างเดียวให้พวกเข้าบ้าง ให้พวกเขาควบคุมสมาคมร้านค้าไว้ในมืออีกครั้ง พวกเจ้าแค่ต้องจดจำพฤติกรรมทุกอย่างของพวกเขาเอาไว้ รอให้ข้ากลับมาก่อน ค่อยคิดทั้งบัญชีเก่าทั้งบัญชีใหม่พร้อมกัน!”
ตอนนี้ทั้งสามถึงได้เข้าใจเจตนาของเขา ขณะที่กำลังพูดไม่ออก พวกเขาก็ครุ่นคิดว่า ท่านนี้เปลี่ยนเป็นคนมีแผนการแยบยลล้ำลึกแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน ไม่น่าเชื่อว่าตอนนี้จะเริ่มวางแผนล้างแค้นหลังจากกลับมาจากการทสอบหนึ่งร้อยปีแล้ว ดูไม่เหมือนลักษณะการทำงานของผู้บัญชาการใหญ่เลย!
แต่พอได้ยินแบบนี้ ก็เหมือนผู้บัญชาการใหญ่หนิวจะมีความมั่นใจมากว่าจะรอดชีวิตกลับมาได้
ที่จริงนี่ก็เป็นหนึ่งในจุดประสงค์ที่หยางชิ่งแนะนำให้เหมียวอี้ทำอย่างนี้ เพราะสามารถทำให้ลูกน้องหวั่นเกรงได้บ้าง หลังจากเหมียวอี้ออกจากตลาดสวรรค์ไปแล้ว พวกลูกน้องจะได้ไม่ถึงขั้นคิดว่าเหมียวอี้ต้องตายแน่นอน แล้วสั่งให้แยกย้ายกันไปตามทางตัวเองทันที ต้องสร้างเครื่องพันธนาการที่มองไม่เห็นไว้บนตัวลูกน้อง ถึงจะผูกมัดลูกน้องไม่ให้กล้าทำอะไรกำเริบเสิบสานเกินไปได้ ไม่อย่างนั้นถ้าลูกน้องวิ่งไปไกลเกิน ต่อให้เจ้ากลับมาได้ ทุกคนก็ไม่มีทางหันกลับมาอีกแล้ว
หยางชิ่งถึงขั้นเสนอแนะขั้นตอนให้เหมียวอี้อย่างละเอียด แนะนำเหมียวอี้ว่าถ้าหากเป็นไปได้ ถ้าสามารถเคลื่อนไหวได้สักหน่อยก่อนจะไปเข้าร่วมทดสอบ ทางที่ดีก็อย่าพลาดโอกาสนี้ ให้ข่าวที่แพร่ออกไปกลับมาทำให้ขวัญกำลังใจทหารมั่นคง ให้ทุกคนคิดว่าเหมียวอี้ยังมีหวังที่จะรอดชีวิตกลับมา ขณะเดียวกันก็ให้เบื้องบนมองเห็นคุณค่าในตัวเหมียวอี้ ถึงอย่างไรสภาพตกอับของเหมียวอี้ในตอนนี้ก็เห็นๆ กันอยู่ มีเพียงการสร้างคุณค่าให้ตัวเองเท่านั้น ถึงจะทำให้เบื้องบนมองเห็นความสำคัญ เบื้องบนถึงจะเหลือทางหนีทีไล่ให้เขา ไม่ถึงขั้นแทรกแซงทำให้การวางหมากที่ตลาดสวรรค์ของเขาวุ่นวายทันทีที่เขาไป เมื่อเขามีคุณค่า เบื้องบนถึงจะไว้หน้าเขาบ้าง ส่วนอีกด้านหนึ่งก็ให้พวกฝูชิงเลิกวางมาดต่อไป ให้พวกร้านค้าที่ตลาดสวรรค์นึกว่าเป็นความประสงค์ของเหมียวอี้ ต่อให้ไม่เหยียบเส้นแต่ก็ต้องให้ท้ายจนร้านค้าพวกนั้นก้าวล้ำเส้น เพื่อสร้างโอกาสลงมือในตอนหลัง
นอกจากนั้นก็คือให้ลูกน้องสูญเสียการควบคุมที่มีต่อสมาคมร้านค้า สูญเสียโอกาสในการตักตวงผลประโยชน์ เมื่อลูกน้องที่คุ้นชินกับการตักตวงผลประโยชน์สูญเสียผลประโยชน์ไปอย่างกะทันหัน ภายใต้จิตใจที่ไม่สมดุลแบบนี้ จะต้องสะสมความแค้นต่อสมาคมร้านค้าแน่นอน รอให้เขากลับมาจุดระเบิด พอสั่งคำเดียวจะต้องเปลืองแรงน้อยแต่ได้ผลงานมากแน่นอน จะสามารถกวาดฝุ่นตรงหน้าได้อย่างรวดเร็วปานสายฟ้าฟาด!
เป็นอย่างที่คาดไว้ ฝูชิงยิ้มเจื่อนพร้อมบอกว่า “ถ้ามีอำนาจในการควบคุมก็จะมีอำนาจในการฉกกวยผลประโยชน์ ถ้าผ่อนปรนอำนาจในการควบคุมสมาคมร้านค้า เกรงว่าพวกลูกน้องที่ได้ผลประโยชน์น้อยลงจะต้องบ่นแน่นอน”
“ตอนนี้สนใจอะไรมากขนาดนั้นไม่ไหวหรอก จัดการตามนี้แล้วกัน” เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวเราะ
สวีถังหรานมองซ้ายมองขวาแล้วเห็นขาดไปคนหนึ่ง จึงถามว่า “นายท่าน แล้วทางผู้บัญชาการมู่หรงจะทำอย่างไร? ต้องแจ้งให้นางรู้สักหน่อยมั้ย?”
เหมียวอี้ส่ายหน้า “นางไม่ได้โง่ เมื่อพวกเจ้าสามคนผ่อนปรนการคุมเข้มสมาคมร้านค้า นางไม่มีทางที่จะแบกรับความโกรธแค้นอยู่คนเดียว ย่อมต้องไหลไปตามกระแสน้ำอยู่แล้ว ครั้งก่อนพวกเจ้าก็เห็นท่าทีของเฉาว่านเสียงแล้วนี่ ตอนนี้ข้ายังไม่แน่ใจว่ามู่หรงมีท่าทีอย่างไร ถ้านางเปิดโปงแผนนี้ออกไปก็ไม่ได้ผลแล้ว ให้นางตามกระแสทำตามพวกเจ้าก็แล้วกัน ส่วนเรื่องนี้จะเป็นความคิดของข้าหรือไม่ พวกเจ้าก็อย่าให้นางรู้ รอให้การเวลาพิสูจน์คนแล้วกัน!” พูดจบก็ถอนหายใจเบาๆ
ซูลี่ ผู้บังคับการกองร้อยคนหนึ่งใต้บังคับบัญชาของผู้บัญชาการสวีถังหรานแห่งเขตเมืองตะวันตกของตลาดสวรรค์ เป็นชายวัยกลางคน
เมื่อออกจากตลาดสวรรค์ดาวตงหัว ก็เหาะไปเหยียบลงที่ตีนเขาแห่งหนึ่ง เมือ่เงยหน้ามองจวนแม่ทัพภาคตงหัวที่กว้างใหญ่บนยอดเขา ก็รู้สึกเครียดกังวลเล็กน้อย จวนแม่ทัพภาคของแต่ละพื้นที่คือจุดรับสมัครเข้าร่วมการทดสอบในนรก
มาถึงที่นี่แล้ว จะลงสมัครเข้าร่วมการทดสอบที่นรกหรือไม่ กลับรู้สึกกลัวเมื่อใกล้จะถึงเวลา รู้สึกลังเลอยู่บ้าง
เขามีวรยุทธ์บงกชทองขั้นสาม ในปีนั้นโค่วเหวินหลานปราบเฮยหวังจนทำให้นักพรตบงกชทองของตลาดสวรรค์ตายเกือบหมด ทำให้สวีถังหรานดึงตัวเขามาจากข้างนอก ตอนแรกสวีถังหรานรับปากแล้วว่ารอให้เขามีคุณสมบัติและประสบการสักหน่อย ก็จะให้เขาเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการ แต่ใครจะคิดว่าหลังจากเหมียวอี้ได้เลื่อนขั้นเป็นผู้บัญชาการใหญ่แล้ว ก็จับผู้บังคับการกองร้อยของตัวเองซึ่งเป็นราชาปีศาจไปเติมไว้ในตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการของสี่เขตเมือง สวีถังหรานจะกล้าขัดใจเหมียวอี้ได้อย่างไร ย่อมต้องระงับอนาคตของซูลี่เอาไว้
ให้คนที่มีวรยุทธ์บงกชทองขั้นสามเชื่อฟังคำสั่งของนักพรตบงกชทองขั้นสอง ซูลี่ย่อมอารมณ์เสียอยู่แล้ว ตำแหน่งของคนเบื้องบนใช่ว่าเป็นแค่ปีสองปีแล้วจะเปลี่ยนได้ บางทีอาจจะอยู่ในตำแหน่งเป็นพันปีหมื่นปีด้วยซ้ำ เมื่อเห็นว่าอนาคตสิ้นหวัง แล้วบังเอิญมีการทดสอบที่นรกพอดี หลังจากครุ่นคิดซ้ำไปซ้ำมา ก็ตัดสินใจมาลงสมัครเข้าร่วมช่วงชิงตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์!
ตอนนี้เมื่อมาถึงจุดรับสมัครแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะไตร่ตรองอีกครั้ง ถึงอย่างไรตลาดสวรรค์ก็เป็นแหล่งที่มีทรัพยากรมั่งคั่ง หลังจากผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ถูกกดดันจนหมดทางเลือก โดยทั่วไปคนที่พอจะมีตำแหน่งฐานะที่ตลาดสวรรค์สักหน่อย ก็ไม่มีใครมาเสี่ยงอันตรายแบบนี้ แล้วอีกอย่าง ถ้าผู้บัญชาการใหญ่หนิวโหย่วเต๋อตกม้า ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าลูกน้องคนสนิทของหนิวโหย่วเต๋อจะถูกกวาดล้าง ใช่ว่าตัวเองจะไม่มีโอกาสขึ้นนั่งตำแหน่งสูงเสียเมื่อไร
ลังเลแล้วลังเลอีก ครุ่นคิดแล้วครุ่นคิดอีก ในที่สุดซูลี่ที่กำลังจ้องจวนแม่ทัพภาคบนยอดเขาก็ทำสายตาเด็ดเดี่ยว ถ้าทำสำเร็จแล้วก็จะกลายเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ ต่อไปนี้ก็จะไม่ขาดแคลนทรัพยากรฝึกตนแล้ว ถ้าจะเป็นคนไม่เอาถ่านไปทั้งชีวิต ไม่สู้ไปฝ่าฟันเพื่ออนาคตสักหน่อยดีกว่า!
…………………………
บทที่ 1189 อันดับหนึ่งของการทดสอบรอบใหม่
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ช้าก่อน!”
ในโถงรับแขกนอกจวนแม่ทัพภาค ซูลี่แสดงหลักฐานยืนยันฐานะขุนนางของตัวเอง ทหารยามบอกให้เขารอสักครู่ แล้วเข้าไปรายงานในตำหนัก
ผ่านไปไม่นาน ผู้การสองหลันเซียงก็ออกมาแล้ว ปี้เยว่ฮูหยินมอบหมายเรื่องการลงสมัครเข้าร่วมการทดสอบให้หลันเซียงจัดการ
เมื่อตรวจสอบฐานะของซูลี่อีกครั้ง หลันเซียงก็ให้เขาลงตราอิทธิฤทธิ์บนสมุดรายชื่อ ก่อนจะบอกว่า “ให้เวลาพวกเจ้าไตร่ตรองอย่างเพียงพอแล้ว ถ้าต้องการถอนตัวออกจากทดสอบ ก็ต้องจัดการล่วงหน้าหนึ่งปีก่อนที่การทดสอบจะเริ่มขึ้น ไม่อย่างนั้นถ้ารายงานชื่อขึ้นไปให้ตำหนักสวรรค์ทำสมุดลงทะเบียนแล้ว ที่นี่ก็ไม่สามารถตามกลับมาให้เจ้าได้ ดังนั้นต้องถอนตัวถายในเวลาที่กำหนด ไม่อย่างนั้นต้องแบกรับผลที่ตามมาเอาเอง เข้าใจแล้วใช่มั้ย?”
“เข้าใจแล้ว!” ซูลี่กุมหมัดเอ่ยรับ
“จำไว้ ครึ่งปีแรกก่อนการทดสอบ ถือหนังสือรายงานมารวมตัวและรายงานตัวที่นี่”
“ขอรับ!”
ตอนนี้หลันเซียงถึงได้แจกหนังสือรายงานเข้าร่วมการทดสอบให้ซูลี่ จากนั้นก็หันตัวเดินออกไป
ซูลี่กุมหมัดคารวะให้ทหารยามที่อยู่ด้านข้างอีกครั้ง แล้วถึงได้หันตัวเหาะออกไป
เมมื่อกลับมาถึงตำหนักด้านในของจวนแม่ทัพภาค หลันเซียงก็เจอปี้เยว่ฮูหยินนอนขี้เกียจหงอยเหงาอยู่บนเตียงเตี้ย ขณะเดียวก็เหลือบมองจิ้งจอกสีชมพูที่นอนขดหดหู่หงอยเหงาอยู่ข้างๆ เช่นเดียวกัน
หลันเซียงติดตามปี้เยว่ฮูหยินมาหลายปี ทั้งยังเป็นคนข้างกาย เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่สังเกตเห็นความสัมพันธ์ระหว่างปี้เยว่ฮูหยินกับปีศาจจิ้งจอกพันหน้า เดาว่าเมื่อคืนนี้ทั้งคู่คงจะไม่ได้ทำเรื่องดีๆ กัน
“เป็นอะไรไป?” ปี้เยว่ฮูหยินลืมตาเล็กน้อย
หลันเซียงรายงานว่า “มีผู้บังคับการกองร้อยคนหนึ่งที่วรยุทธ์บงกชทองขั้นสามมาลงสมัครเข้าร่วมการทดสอบค่ะ เป็นคนของตลาดสวรรค์ ดาวเทียนหยวน”
ปี้เยว่ฮูหยินยื่นมือไปหยิบสมุดรายชื่อมาอ่าน พบว่าผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว แต่มีคนมาสมัครแค่ประมาณห้าร้อยคน นางกวามองรอบหนึ่งแล้วไม่เห็นชื่อของเหมียวอี้ จึงลุกขึ้นอย่างเกียจคร้านแล้วถามว่า “หนิวโหย่วเต๋อยังไม่มาลงชื่อสมัครอีกเหรอ?”
“ยังเลยค่ะ” หลันเซียงส่ายหน้า
หลังจากปี้เยว่ฮูหยินนั่งขัดสมาธิครุ่นคิดสักพัก ก็หยิบระฆังดาราออกมา หลังจากติดต่อเหมียวอี้ได้แล้วก็ถามว่า : หนิวโหย่วเต๋อ การทดสอบครั้งนี้ เจ้าเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วมกันแน่?
เหมียวอี้ตอบว่า : เข้าร่วม
ปี้เยว่ฮูหยิน : แล้วทำไมยังไม่เห็นเจ้าลงชื่อ?
เหมียวอี้ : ข้าน้อยจะไปลงชื่อตอนก่อนหมดเขตลงสมัครขอรับ
ที่จริงยังอยากจะสังเกตการณ์สักหน่อย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดคิดอะไร ที่จริงคนที่มีสภาพจิตใจแบบนี้ก็มีไม่น้อยเลย
ปี้เยว่ฮูหยินมองดูสมุดรายชื่อที่รับสมัคร แล้วบอกว่า : ลูกน้องเจ้าที่เขตเมืองตะวันตก มีผู้บังคับการกองร้อยคนหนึ่งที่ชื่อซูลี่มาลงชื่อสมัครแล้ว
นับว่าเปิดเผยข่าวให้เหมียวอี้แล้ว
“ซูลี่?” หลังจากคุยกันเสร็จ เหมียวอี้ก็งุนงงนิดหน่อย ชื่อนี้ค่อนข้างคุ้นหู เหมือนจะเคยเห็นบนรายชื่อกำลังพลของตลาดสวรรค์มาก่อน จากนั้นก็หยิบระฆังดาราขึ้นมาติดต่อสวีถังหราน แล้วถามว่า : ลูกน้องเจ้ามีผู้บังคับการกองร้อยที่ชื่อซูลี่หรือเปล่า
ทางสวีถังหรานตอบว่า : มีคนคนนี้อยู่ขอรับ เหมือนเขาจะลาหยุดออกไปข้างนอกแล้ว ไม่ทราบว่าผู้บัญชาการใหญ่มีอะไรจะกำชับหรือขอรับ?
เหมียวอี้ : งั้นก็แสดงว่าฟังไม่ผิด เมื่อครู่ปี้เยว่ฮูหยินบอกข่าวข้ามา ซูลี่ไปที่จวนแม่ทัพภาคตงหัว ไปลงชื่อสมัครเข้าร่วมการทดสอบที่นรก
สวีถังหรานแสดงความเดือดดาลทันที : ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ บังอาจมาแย่งชิงกับนายท่าน รอเขากลับมาแล้วข้าน้อยจะลงโทษเขา
เหมียวอี้ : อย่าทำซี้ซั้ว เจ้าจะไปลงโทษเขาทำไม? เขาควบคุมอะไรได้เหรอ ข้าก็แค่ถามดูเฉยๆ มีเพิ่มอีกสักคนก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร ไปนรกแล้วยังมีเพื่อนไว้คอยช่วยเหลือกันและกันด้วย ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีคนกล้าหาญแบบนั้นสักคน เจ้าอย่าทำให้เขาตกใจจนถอนตัว
สวีถังหรานโล่งใจ สงสัยนายท่านจะไม่ได้กำลังโกรธ จึงตอบทันทีว่า : ข้าน้อยเข้าใจแล้วขอรับ!
นอกจวนเทพประจำดาวเถาะฟ้า บนศาลาริมหน้าผา ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งกำลังพูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ส่วนใหญ่ล้วนเป็นแขกที่มา จาหรูเยี่ยนฮูหยินเทพประจำดาวเป็นเจ้าบ้าน
ขณะที่พวกผู้หญิงกำลังพูดคุยกันเสียงจ้อกแจ้กจอแจ ก็มีลูกน้อยมายืนอยู่ตรงประตูแล้วถ่ายทอดเสียงรายงาน “ฮูหยิน นายน้อยเหรินจวิ้นขอพบขอรับ”
โดยส่วนใหญ่คนที่อยู่ตรงนี้ล้วนเป็นลูกสาวจากตระกูลผู้มีอำนาจทั้งนั้น คงไม่ดีถ้าจะมีผู้ชายเข้ามาที่นี่ จาหรูเยี่ยนจึงกล่าวขออภัยทุกคน แล้วลุกขึ้นเดินออกไป พอลงมาถึงชั้นล่าง ก็เห็นจาเหรินจวิ้นผู้เป็นหลานชาย
“ท่านอาหญิง!” จาเหรินจวิ้นคำนับพร้อมรอยยิ้ม หน้าตาดูเป็นคนมีความสามารถ
จาหรูเยี่ยนยิ้มพลางผายมือ หลังจากเรียกเข้ามานั่งข้างใน ถึงได้ถามว่า “เหรินจวิ้น ทำไมวันนี้ว่างมาหาข้าได้”
จาเหรินจวิ้นเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า “ท่านอาหญิง หลานลงชื่อสมัครเข้าร่วมการทดสอบที่นรกครั้งนี้แล้ว”
“อะไรนะ?” จาหรูเยี่ยนได้ยินแล้วอุทานอย่างตกใจ นางลุกขึ้นยืน แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง “หาเรื่องวุ่นวาย เรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมไม่ปรึกษาสักหน่อย? ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า ข้าจะบอกพ่อเจ้าที่ตายไปแล้วยังไง? ถอนตัวเดี๋ยวนี้ ที่นั่นคือสถานที่ที่อันตรายถึงชีวิต ไม่ใช่ที่ที่คนฐานะอย่างเจ้าควรจะไป”
จาเหรินจวิ้นกุมหมัดคารวะ “ท่านอาหญิง หลานโตแล้วนะ อยู่บ้านว่างๆ ตลอดไม่ใช่วิธีการที่ดี ไม่สู้ไปเข้าร่วมการทดสอบฝ่าฟันอนาคตดีกว่า”
ที่จริงครั้งก่อนเขาอยากจะอยู่ในตำแหน่งสักตำแหน่งที่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน แต่ใครจะคิดว่าจะเจอกับคนที่ใช้ไม้อ่อนไม่แข็งไม่ได้ผลอย่างเหมียวอี้ นอกจากจะไม่ได้อะไรสักอย่างแล้ว ทั้งยังทำให้ผังก้วนที่เป็นเทพประจำดาวเถาะฟ้าโมโห ถึงขั้นทำให้ลงไม้ลงมือตบท่านอาหญิงด้วย ด้วยเหตุนี้จึงไม่กล้าเอ่ยถึงเรื่องนี้อีกเป็นระยะเวลานานมาก
แต่จะว่าไปแล้ว พฤติกรรมของผังก้วนก็ทำให้ในใจเขาไม่พอใจอยู่บ้าง ที่ผังก้วนขึ้นนั่งในตำแหน่งนี้ได้ ก็เพราะในปีนั้นตระกูลจาเสียสละอย่างใหญ่หลวงเพื่อสนับสนุน การลงสมัครเข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้มีอารมณ์ขุ่นเคืองแฝงอยู่หลายส่วน เขาไม่อยากอาศัยเส้นสายของผังก้วน อยากอาศัยความสามารถของตัวเองพิสูจน์ดูสักครั้ง
“นี่เจ้าโทษว่าอาหญิงไม่จัดเตรียมตำแหน่งให้เจ้าเหรอ กำลังขุ่นเคืองอาใช่มั้ย?” จาหรูเยี่ยนรีบเดินมาตรงหน้าเขา แล้วกล่าวเกลี้ยกล่อมด้วยเจตนาดี “ไม่ใช่ว่าอาไม่เตรียมให้เจ้านะ และไม่อยากทำให้เจ้าน้อยใจด้วย อากำลังสืบข่าวอยู่ตลอดว่าที่ไหนมีตำแหน่งดีๆ ที่เหมาะสมจะให้เจ้า ไม่ต้องพูดถึงเรื่องทดสอบอีกแล้ว ถอนตัว ถ้ามีอาอยู่ ก็ยังไม่ถึงคราวที่เจ้าจะต้องไปเสี่ยงอันตรายนี้หรอก เดี๋ยวจะหาตำแหน่งดีๆ ให้เจ้าแน่นอน”
ที่จริงผู้มีอำนาจของตำหนักสวรรค์มีเยอะเกินไป ตำแหน่งดีๆ ทุกที่มีแต่เด็กเส้น จะไปแย่งตำแหน่งใครก็ไม่เหมาะสมทั้งนั้น ไม่ใช่ว่ามีเส้นสายแล้วจะได้ตำแหน่งง่ายๆ เหมือนที่คนนอกคิด การแข่งขันระหว่างลูกหลานผู้มีอำนาจก็ดุเดือดมากเหมือนกัน ตำแหน่งดีๆ ก็ไม่ได้ไขว่คว้ามาง่ายขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้ที่เกิดมามีภูมิเหลังดีแล้วคิดจะวางอำนาจบาตรใหญ่ได้เลย
แต่ที่ยุ่งยากก็คือ ถ้าไม่ใช่ตำแหน่งดีๆ ก็ไม่อยากจะได้มาแก้ขัด เพราะมันเกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีหน้าตา
จาเหรินจวิ้นยิ้มตอบว่า “ต่อให้อาศัยเส้นสายของท่านอาเขยให้ได้ตำแหน่งดีๆ มา แต่หลานก็ไม่ไปอยู่ดี ครั้งก่อนที่อาเขยตบหน้าท่านอาหญิง หลานรู้สึกเจ็บปวดอยู่ในใจ หลานต้องอาศัยความพยายามของตัวเองเพื่อฝ่าฟันอนาคต ไม่ให้ใครมาว่าได้ทั้งนั้น”
ถึงแม้จะพูดแบบนี้ แต่ที่จริงก็อยากจะขอการสนับสนุน ไม่อย่างนั้นคงไม่ถ่อมาหาทั้งๆ ที่รู้ว่าท่านอาหญิงจะห้ามปราม ประการแรกคืออยากจะได้ของวิเศษสักชิ้น ประการต่อมาคือหวังจะให้ท่านอาหญิงช่วยพูดให้ตัวเองสักหน่อย ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของเทพประจำดาวเถาะฟ้าที่เข้าร่วมการทดสอบเกาะกลุ่มกับเขาโดยมีเขาเป็นจุดศูนย์กลาง ถ้าสามารถได้รับการสนับสนุนนี้ คาดว่าการทดสอบครั้งนี้คงไม่อันตรายสักเท่าไร ถึงอย่างไรการทดสอบครั้งนี้ก็ไม่ได้มีการเข่นฆ่าเป็นเป้าหมาย ไม่อย่างนั้นจะมีคนกล้ามาเข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้ได้อย่างไร
แต่คำพูดนี้ทำให้จาหรูเยี่ยนปวดใจ น้ำตาแทบจะไหลออกมา ดึงมือเขาพร้อมบอกว่า “เจ้าโง่เหรอ เรื่องระหว่างสามีภรรยาเจ้าจะเข้าใจอะไร ข้ากับอาเขยเจ้าทะเลาะกันแต่ก็นอนร่วมเตียงกันอยู่ดี การทะเลาะเบาะแว้งเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด อย่าทำตัวเป็นเด็กน้อยเลย เชื่อฟังอาเถอะ ถอนตัวจากทดสอบ เรื่องของเจ้าอาจะพยายามจัดเตรียมให้เร็วที่สุด”
จาเหรินจวิ้นส่ายหน้าบอกว่า “ท่านอาหญิง ท่านอย่าเกลี้ยกล่อมอีกเลย หลานตัดสินใจแน่วแน่แล้ว…”
ชั่วอึดใจเดียวก็ผ่านไปหลายปี การทดสอบระดับผู้บัญชาการใหญ่จบลงแล้ว ไม่ง่ายเลยกว่าผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์จะหนีเอาชีวิตรอดออกมาจากการทดสอบครั้งนี้ได้ ปรากฏว่ามาเจอการทดสอบสนามต่อไปอย่างต่อเนื่องกันอีก แถมจะไม่เข้าร่วมก็ไม่ได้ ใครจะอยากโดนลดขั้นไปเป็นเทพแห่งผืนดิน ผีหลักเมืองตั้งหนึ่งหมื่นปีล่ะ แต่ละคนแอบร้องว่าซวยแล้ว
การทดสอบสองร้อยปีก่อน คนที่โดดเด่นที่สุดก็คือเหมียวอี้ แต่ความโดดเด่นของเหมียวอี้ผ่านไปแล้ว คนที่ได้อันดับหนึ่งในทดสอบครั้งนี้ชื่อว่าจ้านหรูอี้ เป็นผู้หญิง ได้รับรางวัลและแต่งตั้งจากราชันสวรรค์เช่นเดียวกัน ได้เลื่อนยศเป็นแม่ทัพเกราะม่วงหนึ่งแถบเป็นกรณีพิเศษ
ชั่วขณะนั้น ชื่อเสียงของจ้านหรูอี้โด่งดังไปทั่วน่านฟ้า หนิวโหย่วเต๋อที่ได้อันดับหนึ่งจากการทดสอบครั้งก่อนย่อมถูกเอ่ยถึงอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่จ้านหรูอี้ได้หน้าได้ตาไร้ที่เปรียบ ส่วนหนิวโหย่วเต๋อกลับถูกพูดถึงในหัวข้อคนซวยตกต่ำ
จ้านหรูอี้เองดันเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ ส่วนหนิวโหย่วเต๋อก็เป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ด้วยเช่นกัน ไก่ตัวผู้กับไก่ตัวเมียที่ได้อันดับหนึ่งจะสมัครเข้าร่วมการทดสอบครั้งต่อไปหรือไม่กลายเป็นหัวข้อสนทนาใหญ่ แม้แต่ตลาดสวรรค์ของดาวเทียนหยวนก็พากันพูดถึงเรื่องนี้เช่นกัน
“นางจะเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วมแล้วเกี่ยวอะไรกับข้าล่ะ? ทำไมต้องเอาข้ากับนางไปเปรียบเทียบกัน? ทุกคนกินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำกันหรือไง”
อวิ๋นจือชิวกลับมาจากพิภพเล็ก พอมาถึงก็ได้ยินเรื่องนี้ จึงมาที่ตำหนักคุ้มเมืองผ่านทางใต้ดิน แอบเจอกับเหมียวอี้ในห้องสมาธิฝึกตน นางถือโอกาสเอ่ยถึงเรื่องนี้แล้วถามเหมียวอี้ว่ารู้มั้ยว่าจ้านหรูอี้เป็นตัวละครแบบไหน ทว่าเหมียวอี้กลับมองเหยียด
สิ่งที่เขาสนใจยิ่งกว่าก็คือ ของวิเศษสองชิ้นจากเยารั่วเซียนที่อวิ๋นจือชิวนำกลับมาด้วย ชิ้นหนึ่งเป็นลูกกลมโลหะสีแดง ส่วนอีกชิ้นเป็นของวิเศษที่ประกอบขึ้นจากลูกกลมขนาดเท่าเม็ดถั่วเหลืองสิบหกเม็ด
ของวิเศษชิ้นใหญ่เหมียวอี้ไม่แปลกตา เป็นของวิเศษที่เคยเห็นตอนอยู่ที่การปราบจลาจลทะเลดาวนักษัตร แล้วตอนหลังเยียนเป่ยหงได้ไป มันชื่อว่า ‘เมฆลอยสังหาร’ แต่เป็นของวิเศษขั้นห้าที่ทำจากผลึกแดง อีกทั้งยังถูกเยารั่วเซียนปรับปรุงใหม่และเพิ่มสมรรถนะแล้ว ‘เมฆลอยสังหาร’ ในปีนั้นเทียบไม่ติด’
ที่จริงหลังจากวรยุทธ์ถึงระดับบงกชทองแล้ว ของวิเศษโดยทั่วไปก็จะหมดประโยชน์ เพราะทนรับการโจมตีของนักพรตบงกชทองไม่ไหวเลย โดยเฉพาะเมื่ออยู่ที่พิภพใหญ่ ของวิเศษที่มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย ต่อให้เป็นของวิเศษผลึกม่วง แต่ก็ทนพลังทำลายล้างของอาวุธผลึกม่วงไม่ไหวอยู่ดี ด้วยเหตุนี้จึงพบเห็นคนที่ใช้ของวิเศษพวกนั้นได้น้อยมากที่พิภพใหญ่ ถ้าจะมีคนใช้ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นอาวุธผลึกแดงซึ่งสามารถต้านทานการโจมตีได้ เพียงแต่ของวิเศษผลึกแดงเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ใช้ไม่ไหว
ส่วนพวกของวิเศษทั่วไปที่หลอมสร้างจากผลึกขาว ผลึกดำ ผลึกทอง ก็ได้แต่นำออกมาใช้ต่อสู้กับนักพรตระดับต่ำเท่านั้น เมื่อเจอกับนักพรตระดับสูงมากมายที่พิภพใหญ่ก็ไม่มีประโยชน์เลย ยกตัวอย่างเช่นกระจกหยินดำในมือเหมียวอี้ ต่อให้สู้กับนักพรตบงกชม่วง แต่ก็มีประโยชน์แค่นิดหน่อยเท่านั้น
ตอนนี้ ‘เมฆลอยสังหาร’ กำลังถูกควบคุมให้เปลี่ยนแปลงร้อยแปดพันเก้าอยู่ในมืออวิ๋นจือชิว บางครั้งก็เปลี่ยนเป็นวัวตัวใหญ่ตัวหนึ่ง บางครั้งก็หดเล็กกลายเป็นไก่ตัวผู้ลายสีรุ้งตัวหนึ่ง ถึงขั้นเปลี่ยนเป็นต้นไม้ใหญ่ได้ด้วย เปลี่ยนแปลงไปต่างๆ นาๆ
“เมฆลอยสังหารทำไมเปลี่ยนสีสันไปต่างๆ นาๆ ได้? ข้ายังไม่เคยเห็นสมรรถนะนี้มาก่อนนะ?” เหมียวอี้เห็นแล้วกล่าวด้วยความทึ่ง
อวิ๋นจือชิวที่กำลังควบคุมอาวุธอธิบายว่า “ตงกัวหลี่กับลูกศิษย์หลอมสร้างเครื่องประดับหลากสีสันและสมจริงราวกับมีชีวิตไม่ใช่เหรอ นี่คืออาวุธที่เยารั่วเซียนริเริ่มสร้างขึ้นโดยผนึกความแปลกพิสดารของสำนักงามประณีต ข้างในนี้ซ่อนรูปแบบการเปลี่ยนแปลงไว้ให้เจ้ามากมาย เปลี่ยนเป็นสัตว์ชนิดต่างๆ ได้ เปลี่ยนเป็นต้นไม้ใบหญ้าหรือพวกภูเขาก็ได้ เขาบอกว่าเจ้าจะได้ลอบจู่โจมได้สะดวก เขาบอกว่าเจ้าชอบลอบจู่โจม ในปีนั้นเจ้าเพิ่งวรยุทธ์บงกชทองขั้นสาม แต่ก็กล้าไปลอบจู่โจมที่ค่ายฆ้องเหล็กของทะเลดาวนักษัตรแล้ว”
“ลอบจู่โจม…ฮ่าๆ!” เหมียวอี้กลั้นขำไม่อยู่ ขณะที่มองดูความเปลี่ยนแปลง เขากลับอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าถอนหายใจ “ตาแก่เยาช่างมีพรสวรรค์ในการหลอมของวิเศษจริงๆ ให้เขาควบคุมสำนักงามวิจิตรก็นับว่าเหมาะสมกับตำแหน่งแล้ว”
…………………………
บทที่ 1190 ตีไม่พัง
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เขามีพรสวรรค์ในด้านนี้จริงๆ เขาขอค่ายกลแปดทิศที่พิภพเล็กจากข้า เตรียมจะศึกษาเรียนรู้ค่ายกลวิเศษ พร้อมทั้งเตรียมเตรียมวิเคราะห์วิธีการหลอมสร้างระฆังดาราด้วย ดูว่าจะหลอมสร้างเป็นระฆังอันเดียวที่สามารถติดต่อได้ทีละหลายๆ คนได้มั้ย เขารู้สึกว่าระฆังดาราที่ใช้อยู่ตอนนี้ยุ่งยากเกินไป ทั้งยังบอกด้วยว่าถ้าเจ้าอยู่ที่พิภพใหญ่แล้วเจอของวิเศษอะไรแปลกๆ ก็ให้นำมาให้เขา” ขณะที่พูดอธิบาย อวิ๋นจือชิวก็เก็บเมฆลอยสังหาร กลายเป็นลูกกลมโลหะสีแดงลูกหนึ่งตกอยู่ในฝ่ามือนางอีกครั้ง แล้วส่งมอบให้เหมียวอี้
“เจ้าให้ค่ายกลแปดทิศเขาไปแล้วเหรอ?” เหมียวอี้ทำสีหน้าตกใจ เหมือนกำลังเตือนนางถึงราคาของค่ายกลแปดทิศ ถ้าพังขึ้นมาจะขาดทุนใหญ่โต
อวิ๋นจือชิวพยักหน้าบอกว่า “ให้เขาศึกษานิดหน่อยไม่เป็นไรหรอก คิดเสียว่าเขาหลอมสร้างของล้ำค่าให้เจ้า มอบให้เขาก็ไม่เป็นอะไรหรอก อย่าบอกนะว่ายังมีของล้ำค่าอะไรที่สำคัญกว่าชีวิตตัวเองอีก?”
เหมียวอี้พูดไม่ออกแล้ว
“พอแล้ว! เจ้าเองก็ไม่ใช่คนขี้งกอะไรขนาดนั้น”
“นี่ไม่เกี่ยวขี้งกหรือไม่ขี้งก ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้ว่าพวกเขาหลอมของวิเศษ ในเมื่อหลอมของวิเศษก็มุ่งทำลายของล้ำค่าโดยเฉพาะ เวลาศึกษาของวิเศษของคนอื่นก็มักจะรื้อออกมาตรวจดูอยู่แล้ว ตอนที่อยู่ตลาดสวรรค์เขาก็ทำลายไปหลายชิ้นแล้ว ถ้าเขาอยากจะศึกษา เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องให้ของแพงกับเขาขนาดนี้”
อวิ๋นจือชิวกลอกตามองเขา “งั้นจะให้ข้าขอเขากลับคืนมาเหรอ?”
เหมียวอี้อ้าปากค้าง บ่ายเบี่ยงที่จะตอบคำถามในทันที ชี้ไปยังของอีกชิ้นในมือนาง “แล้วนี่คืออะไรอีกล่ะ?”
อวิ๋นจือชิวเผยเม็ดกลมเล็กผลึกแดงขนาดเท่าเม็ดถั่วเหลืองสิบหกเม็ดในฝ่ามือ ทุกเม็ดมีตะขอเล็กอยู่บนนั้นด้วย คล้ายๆ ต่างหูของผู้หญิง “นี่เป็นของดีเชียวนะ เป็นของที่เยารั่วเซียนทุ่มเทจิตใจและกำลังไปมากมายเพื่อหลอมสร้างขึ้นมา เจ้าอย่าไปมองว่ามันเล็ก ตามที่เยารั่วเซียนบอก นี่คือสุดยอดผลงานที่เขารวบรวมกำลังสติปัญญาและประสบการณ์หลายปีตั้งแต่ที่เคยศึกษาค้นคว้าของวิเศษแบบผ่อนแรงเป็นต้นมา นี่คือของวิเศษแบบป้องกันตัว เขาบอกว่าสมรรถนะการผ่อนแรงในเกราะรบและทวนเกล็ดย้อนที่เคยหลอมสร้างให้เจ้า เมื่อนำมาเทียบกับชิ้นนี้แล้วต่างกันเหมือนรุ่นเล็กมาเจอกับรุ่นใหญ่เลย เทียบไม่ติดเลยสักนิด เขาให้สิ่งนี้เจ้าไว้ป้องกันตัว ถ้าใช้ได้อย่างเหมาะสม ต่อให้เจอกับนักพรตบงกชรุ้ง มันก็ช่วยให้เจ้าต้านทานได้สักพักหนึ่งเช่นกัน เขาอดหลับอดนอนจนหัวหงอกไปเยอะเลย วาดภาพไปไม่รู้ตั้งกี่ภาพกว่าจะหลอมสร้างของที่เอาไว้ให้เจ้าปกป้องชีวิตได้ อาศัยแค่ของล้ำค่าชิ้นนี้ มอบค่ายกลแปดทิศให้เขาก็ไม่เสียเปรียบเลยสักนิด”
“อ้อ!” เหมียวอี้เกิดความสนใจขึ้นมาทันที “ของเล็กๆ แบบนี้ร้ายกาจจนต้านทานการโจมตีจากนักพรตบงกชรุ้งได้เลยเหรอ?”
ต้องทราบไว้ว่าต่อให้บนตัวเขาจะสวมเกราะรบผลึกแดง แต่ก็ยากที่จะต้านทานการโจมตีจากนักพรตบงกชรุ้งได้ บางทีเกราะรบอาจจะไม่เป็นไร แต่กายเนื้อที่อยู่ในนั้นจะต้องถูกทำลายอยู่ภายใต้การโจมตีที่บ้าคลั่งแน่นอน
อวิ๋นจือชิวยิ้มตอบว่า “ถ้าใส่ของนี้ไว้บนตัวเจ้า ยามหน้าสิ่วหน้าขวานเจอการโจมตีจากยอดฝีมือจะสามารถปกป้องชีวิตได้ เม็ดกลมเล็กสิบหกเม็ดนี้สามารถปกป้องชีวิตเจ้าได้สิบหกครั้ง เดิมทีเขาอยากจะทำให้เจ้าหลายๆ เม็ดกว่านี้ แต่เขาพิจารณาแล้วว่าถ้าสิบหกเม็ดนี้ช่วยเจ้าต้านทานศัตรูไม่ไหว ต่อให้บนตัวเจ้ามีเยอะกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะของสิ่งนี้ก็มีข้อเสียของมันเหมือนกัน บวกกับเวลาไม่เพียงพอด้วย ถ้าหลอมสร้างต่อไปวัตถุดิบก็ไม่พอ ก็เลยหลอมสร้างให้เจ้าแค่สิบหกเม็ด เยารั่วเซียนตั้งชื่อให้มันแบบไม่ค่อยไพเราะเท่าไร มันชื่อว่า ‘ตีไม่พัง’!”
“ตีไม่พัง?” เหมียวอี้นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ แล้วกล่าวด้วยตาเป็นประกายว่า “มาๆๆ ลองดูหน่อย ดูว่าจะตีไม่พังยังไง”
อวิ๋นจือชิวมองไปรอบๆ มองดูพื้นที่ว่างในห้องสมาธิ แล้วส่ายหน้าบอกว่า “คงไม่ดีถ้าจะใช้งานที่นี่ ไปหาที่ข้างนอกลองเถอะ”
“ได้!” เหมียวอี้พยักหน้า แล้วทั้งสองก็ออกจากห้องสมาธิด้วยกัน เข้าสู้แม่น้ำใต้ดินผ่านทางใต้ดิน
ตอนที่ดำเข้ามาในแม่น้ำใต้ดิน อวิ๋นจือชิวก็พบว่าเหมียวอี้หันกลับไปมองข้างหลังเป็นระยะ จึงอดไม่ได้ที่จะถ่ายทอดเสียงถาม “ในน้ำดำมืดแบบนี้ เจ้ามองดูอะไรของเจ้า?”
“ไม่ได้ดูอะไร แค่ระวังตัวก็เท่านั้นเอง” เหมียวอี้พูดเอาตัวรอดไปอย่างนั้น ที่จริงทางร้านค้าสมาคมวีรชนก็มีเส้นทางที่ผ่านแม่น้ำใต้ดินเหมือนกัน เพียงแต่ปากทางเข้าอยู่ข้างหลัง เขาบังเอิญว่าจะเจอหวงฝู่จวินโหรวโผล่มาพอดี
เมื่อถึงร้านโฉมเมฆาแล้ว ทั้งสองก็ปลอมตัวออกมาพร้อมกัน หลังจากออกจากตลาดสวรรค์ ทั้งคู่ก็เหาะขึ้นฟ้าไปตามหาดาวเคราะห์ที่สงบเงียบลับตาคนในดาราจักรอันกว้างใหญ่ ยืนตรงข้ามกันจัดรูปแบบสถานการณ์เพื่อทดสอบของวิเศษ
“ดูให้ดีนะ!” อวิ๋นจือชิวเตือน พอพลิกมือ ก็จับเม็ดกลมเล็กสิบหกเม็ดที่เปล่งแสงอยู่ในฝ่ามือ พอนางเขย่าฝ่ามือ เม็ดกลมเล็กสิบหกเม็ดก็เปล่งแสงสีทองออกมาทันที แสดงรายละเอียดที่แฝงอยู่ในของวิเศษขั้นห้า มันลอยขึ้นมากลางอากาศ ภายใต้การร่ายอิทธิฤทธิ์ชี้นำของอวิ๋นจือชิว จู่ๆ มันก็กระจายออกไปแขวนอยู่บนเสื้อผ้าของอวิ๋นจือชิว ไปแขวนตรงด้านหน้าของหน้าอก แขนข้างซ้ายและขวา บนขาสองข้าง แขวนกลับด้านบนแผ่นหลัง ถึงขั้นแขวนอยู่บนปิ่นปักผมบนศีรษะด้วยเม็ดหนึ่ง ดูแล้วไม่สะดุดตาเท่าไรเลย ถ้าไม่สังเกตดีๆ ก็นึกว่าเป็นเครื่องประดับบนตัวนางเท่านั้น
หลังจากเตรียมตัวเสร็จแล้ว นางก็เตือนอีกว่า “ตอนเข้าร่วมการทดสอบ เจ้าสามารถแขวนมันบนเกราะรบของเจ้าแบบนี้เพื่อเตรียมป้องกันไว้ทุกเมื่อ สามารถเก็บไว้ในกำไลเก็บสมบัติ แล้วค่อยนำออกมาตอนจะใช้ก็ได้เหมือนกัน”
เหมียวอี้ยังมองไม่ค่อยเข้าใจว่าหมายความว่าอะไร แต่อวิ๋นจือชิวก็หัวเราะคิกคักพลางกวักมือเรียกเขาแล้ว “มาสิ! ปล่อยออกมาให้เต็มที่เลย โจมตีข้าให้เต็มที่เลย ดูว่าของวิเศษของข้าจะต้านทานไหวหรือเปล่า”
เหมียวอี้เหลือบมองเม็ดกลมเม็ดเล็กๆ บนตัวนาง แล้วกล่าวเหมือนกระตือรือร้นอยากจะลอง “ให้ข้าโจมตีเต็มที่จริงเหรอ? อย่าให้ตัวเจ้าบาดเจ็บเลย”
“พูดเหลวไหลอะไร ข้ามีของวิเศษปกป้องร่างกาย เจ้าแค่ลงมือก็พอ”
“ใช้มือเปล่า หรือใช้อาวุธดี?”
“ตามใจเจ้า ใช้อาวุธแล้วกัน!”
“ได้! ระวังตัวไว้นะ” พอเหมียวอี้พูดจบ ก็โบกมือช้อนทวนเกล็ดย้อนขึ้นมา จากนั้นถลันตัวเข้าไป พุ่งทวนแทงออกไปหนึ่งครั้ง
พออวิ๋นจือชิวพลิกฝ่ามือร่ายอิทธิฤทธิ์ ลูกกลมเล็กเม็ดหนึ่งตรงหน้าอกก็กะพริบแสงสีแดงลอยขึ้นมาทันที แล้วจู่ๆ ก็กลายเป็นลูกกลมใหญ่สีแดงลูกหนึ่งบังตรงหน้านางไว้
บึ้ม! เสียงระเบิดดังสนั่น ทวนของเหมียวอี้โจมตีโดนลูกกลมโลหะสีแดง
หลังจากโจมตีโดนแล้วถึงได้ค้นพบทันทีว่า สิ่งที่เรียกว่าพลังป้องกันของสมบัติชิ้นนี้ก็ไม่ได้ยอดเยี่ยมสักเท่าไร โดนทวนของเขาโจมตีทีเดียวจนกลายเป็นหลุมเข้าไป
เขายังกังวลอยู่เลยว่าถ้าใช้แรงมากเกินไปจะทำให้อวิ๋นจือชิวที่อยู่ข้างหลังบาดเจ็บหรือเปล่า แต่ใครจะคิดว่าจะมีเรื่องประหลาดเกิดขึ้น นั่นก็คือโจมตีจนเป็นหลุมเข้าไปข้างในแต่ไม่ทะลุ อีกด้านหนึ่งที่อยู่ตรงกันข้ามกลับแตกออกและกระเด็นกลับมา เป็นการแตกออกและกางกลับหลัง ราวกับร่มที่โดนพายุฝนกระหน่ำโจมตีแล้วพลิกกลับหลังหักเข้ามา
เหมียวอี้นึกไม่ถึงว่าจะยังมีการเปลี่ยนแปลงแบบนี้อีก ทำเอาฉุกละหุกจนทำอะไรไม่ถูก ทั้งตัวโดนพลิกครอบอยู่ในพื้นที่ว่างรูปทรงกลม
เมื่อลูกกลมนั้นโดนโจมตี ก็จะพลิกครอบเขาไว้ทันทีราวกับตอบสนองตามเงื่อนไข เหมียวอี้ถือทวนอยู่ในพื้นที่ว่างที่มีขนาดเท่าห้องเล็กๆ พลางเหลียวซ้ายแลขวา พอไม่รู้สึกถึงการโจมตีอะไร เขาก็โบกทวนโจมตีทันที เกิดเสียงดังปั้ง ลูกกลมที่ห่อคลุมตัวเองอยู่เด้งกลับออกไปอีกครั้ง
เขาได้อิสระกลับมาอีกครั้ง ลูกกลมนั้นกลับสู่สภาพเดิมตอนก่อนจะโจมตีครั้งแรก ขณะกำลังจะลงมือกับอวิ๋นจือชิวอีก อวิ๋นจือชิวก็ยกมือส่งสัญญาณให้เขาหยุด แล้วยิ้มอย่างสนิทสนมพร้อมถามว่า “หนิวเอ้อร์ ของชิ้นนี้เป็นยังไงบ้าง?”
เหมียวอี้เก็บทวน แล้วมองลูกกลมขนาดใหญ่ พร้อมขมวดคิ้วบอกว่า “ก็ไม่เท่าไร ต้านทานการโจมตีได้แค่ครั้งเดียว มองไม่ออกว่ามีประโยชน์อะไร”
อวิ๋นจือชิวหลุดขำออกมา “อุตส่าห์ออมมือให้เจ้า เจ้ายังไม่รู้จักแยกแยะอีก เจ้ารู้รึเปล่าว่าถ้าเมื่อครู่นี้ข้าร่ายอิทธิฤทธิ์ปิดผนึกมันเอาไว้ ตอนนี้เจ้าคงโดนขังอยู่ในนั้นออกมาไม่ได้หรอก นอกเสียจากวรยุทธ์เจ้าจะแข็งแกร่งจนถึงขั้นทำลายเกราะรบผลึกแดงได้”
เหมียวอี้ได้ยินแล้วตกใจ “เจ้าหมายความว่า เมื่อครู่นี้หลังจากเจ้าห่อข้าแล้ว ยังปิดตายขังข้าได้ด้วยเหรอ?”
อวิ๋นจือชิวพยักหน้า “นี่ก็คือจุดที่มหัศจรรย์ของมัน ยิ่งวรยุทธ์สูง การโจมตีก็ยิ่งรุนแรง กระตุ้นให้การอาศัยแรงกางกลับของมันเร็วยิ่งขึ้น บวกกับแรงเฉื่อยของร่างกายผู้โจมตี ถ้าไม่รู้สถานการณ์แล้วลืมป้องกัน เมื่อตกอยู่ในเงื้อมมือมันขึ้นมา จะต้องเสียเปรียบและโดนห่อไว้แน่นอน เมื่อครู่นี้เจ้าก็ได้รับบทเรียนไปแล้ว จุดที่มหัศจรรย์ที่สุดของมันก็คือสมรรถนะการอาศัยแรงผ่อนแรง ต่อให้อานุภาพการโจมตีจะแรงกว่านี้ แต่ก็ยากที่จะทำให้มันพังเสียหายได้”
ขณะที่พูดนางก็ชกหมัดไปบนลูกกลม ทำให้ลูกกลมหักกลับทันที ชั่วพริบตาเดียวก็ครอบห่อทั้งสองเข้าไว้ในลูกกลม เมื่ออวิ๋นจือชิวร่ายอิทธิฤทธิ์เล็กน้อย รอบข้างก็มีเสียงแกร๊กเบาๆ “ตอนนี้ข้าปิดตายมันแล้ว ถ้าคนที่โดนขังอยู่ข้างในอยากจะออกไปให้ได้ภายในเวลาอันสั้น ก็เป็นไปไม่ได้เหมือนกัน นอกเสียจากจะคิดหาทางทำให้มันพังได้ หรือไม่ก็เจอกับคนที่วรยุทธ์สูงล้ำลึกจริงๆ แต่ถ้าเป็นคนที่วรยุทธ์สูงเกินไป ของวิเศษชิ้นนี้ก็ขังอีกฝ่ายไว้ไม่ได้เช่นกัน”
ปั้งๆๆ! นางควบคุมแรงชกออกไปอีกสามหมัด แต่ลูกกลมที่ขังทั้งสองไว้ก็เปิดไม่ออกจริงๆ “ถ้าเห็นว่าอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ ไม่มีที่ให้หลบแล้วจริงๆ ก็สามารถเข้าไปหลบข้างในเพื่อถ่วงเวลาได้”
จากนั้นก็ร่ายอิทธิฤทธิ์คลายผนึกทันที ปั้ง! พอชกไปอีกหนึ่งหมัด ลูกกลมก็ระเบิดแผ่ไปข้างหลังกลายเป็นลูกกลมอีกครั้ง ปล่อยทั้งสองออกมาแล้ว
อวิ๋นจือชิวชี้ลูกกลมพร้อมอธิบายว่า “เมื่อครู่ตอนที่พวกเรารวมการโจมตีไปที่จุดเดียว มันก็จะหักกลับ แต่ถ้ามันโดนโจมตีเป็นบริเวณกว้าง มันก็จะคว่ำตามพลังโจมตี จะปกป้องคนที่หลบอยู่ข้างหลังเอาไว้ เดี๋ยวพอข้าทดลองให้เจ้าดู เจ้าก็จะเข้าใจแล้ว”
พูดจบก็ลอยออกไปอยู่ไกลๆ แล้วจู่ๆ ก็บิดตัวฟาดฝ่ามือออกมาหนึ่งครั้ง
ปั้ง! ด้านหน้าของลูกกลมที่โดนโจมตีราวกับโดนกดให้แบนในทันที
เหมียวอี้ที่ยืนอยู่ด้านข้างลูกกลมมองเห็นความเปลี่ยนแปลงทางด้านหน้าและด้านหลังของลูกกลมทุกอย่าง ทำให้เข้าใจหลักการของมันทันที
ด้านหน้าของลูกกลมโดนโจมตีทั้งแถบ จึงถูกผลักไปข้างหลังราวกับถูกกดให้แบนลีบ ส่วนพื้นผิวด้านหลังที่ยังไม่โดนโจมตีกลับไม่ขยับเลย ทั้งตัวลูกกลมแทบจะโดนกดจนแบนราบ จากนั้นก็งอโค้งกลายเป็นรูปชามตามพลังโจมตีที่ได้รับ ตอนนี้พื้นผิวที่โดนโจมตีถึงได้แตกออกแล้วไหลไปข้างหลังเหมือนสัตว์ลอกคราบ สุดท้ายก็พลิกกลับหลังไปปิดช่องโหว่จนกลายเป็นลูกกลมอีกครั้ง
ไม่ใช่การกางออกทั้งแถบแล้วพลิกคว่ำกลับหลังแบบก่อนหน้านี้ แต่เป็นการพลิกเข้ามาเหมือนตอนถอดถุงเท้า ลูกกลมราวกับถูกแรงโจมตีรอบดันบีบอัดให้ลอกคราบ
เหมียวอี้ย่อมจินตนาการออก ว่าคนที่หลบอยู่ข้างหลังลูกกลมจะต้องถูกลูกกลมครอบเอาไว้แน่ ก็เท่ากับปกป้องเอาไว้แล้วเช่นกัน ทั้งยังสามารถต้านทานการโจมตีระลอกที่สองให้ผู้ถูกปกป้องได้ด้วย
อวิ๋นจือชิวถลันตัวเข้ามาถาม “เห็นชัดเจนแล้วใช่มั้ย?”
เหมียวอี้พยักหน้า แล้วเดาะลิ้นชม “ตาแก่เยาช่างก่อความวุ่นวายเก่งจริงๆ ขนาดของวิเศษแบบนี้ยังหลอมสร้างออกมาได้ ของสิ่งนี้ยังสามารถทนรับแรงโจมตีได้มากขนาดไหนกัน?”
อวิ๋นจือชิวส่ายหน้า “ไม่แน่ใจ ถึงอย่างไรเยารั่วเซียนก็บอกแล้วว่าของสิ่งนี้แสดงสมรรถนะการอาศัยแรงเพื่อผ่อนแรงได้อย่างสุดยอด เจ้าไม่เห็นเหรอว่าตอนที่เราโจมตีมัน มันก็แทบจะอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับไปไหนเลย? ตอนที่มันพลิกออกก็แทบจะสลายพลังโจมตีส่วนใหญ่ออกไปหมด เยารั่วเซียนบอกว่าถ้าโดนโจมตีเกินความสามารถที่มันจะรับไหว มันก็จะพลิกกลับหน้ากลับหลังซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกว่าพลังโจมตีที่ได้รับสลายไปมันถึงจะหยุด คนที่ควบคุมมันแทบจะไม่โดนพลังโจมตีใดๆ เลย อย่างน้อยก็ช่วยเจ้าต้านทานการโจมตีหนึ่งครั้งได้อย่างเต็มร้อย เยารั่วเซียนคาดว่าต่อให้เจอนักพรตพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพ เจ้าแค่อย่าทำให้ข้างหลังมีจุดรับแรงตอนที่ของวิเศษชิ้นนี้โดนโจมตีก็พอ หรือไม่ก็อย่าให้อีกฝ่ายจับตัวเจ้ามาโจมตีได้ คาดว่านักพรตพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพก็อาจจะทำลายมันไม่ได้ง่ายๆ เช่นกัน นี่ก็เป็นสาเหตุที่เยารั่วเซียนตั้งชื่อให้มันว่า ‘ตีไม่พัง’ !”
…………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น