พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1179-1182
บทที่ 1179 โดนเมิน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ผู้บัญชาการทั้งสี่ติดตามอยู่ข้างหลังเหมียวอี้และกลับมาที่ตำหนักคุ้มเมืองด้วยกัน
ครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องแจ้งก่อน คนกลุ่มนี้มุ่งตรงเข้าไปเลย ขึ้นไปอยู่บนแท่นสังเกตการณ์ด้วยกัน นี่คือจุดที่อยู่กึ่งกลางที่สุดของทั้งตลาดสวรรค์ สามารถมองเห็นทั้งตลาดสวรรค์ได้ ความเจริญรุ่งเรืองอันไร้ที่สิ้นสุดอยู่ในสายตาทั้งหมด เมื่อทอดสายตามองไปสามารถทำให้รู้สึกองอาจผึ่งผาย
“ชมทิวทัศน์ที่นี่ไม่เลวเลยนะ!” เหมียวอี้โบกมือชี้ไปรอบๆ พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เมื่อไม่มีปี้เยว่ฮูหยินคอยกดดัน อารมณ์เขาก็ดีใช้ได้เลย ในที่สุดก็ไม่ต้องไปเบียดอยู่กับพวกฝูงชิงที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกแล้ว แถมตำหนักคุ้มเมืองก็กว้างใหญ่ สภาพแวดล้อมก็ดี สุดท้ายเหมียวอี้ก็มีอำนาจตัดสินใจทั้งดาวเทียนหยวนแล้ว
“เหอะๆ!” พวกสวีถังหรานหัวเราะตาม แต่ในใจค่อนข้างเก็บกด อนาคตของเหมียวอี้ไม่แน่นอน พวกเขากังวลอนาคตของตัวเองเช่นกัน
ในฐานะที่เป็นหมารับใช้ของเหมียวอี้ ร่วมกับเหมียวอี้ล่วงเกินคนไว้มากมายขนาดนั้น ถ้าหากเหมียวอี้ไม่อยู่แล้ว จะไม่ให้กังวลใจก็คงยาก!
มู่หรงซิงหัวยังดีหน่อย ถึงอย่างไรนางก็ยังมีเฉาว่านเสียงคุ้มครอง ถ้าไม่ไหวจริงๆ อย่างมากก็แค่ออกจากตลาดสวรรค์ไปปักหลักที่อื่น แต่พวกสวีถังหรานกลับไม่มีปัจจัยแบบนั้น ใครจะมาขัดใจผู้มีอำนาจของตำหนักสวรรค์เพื่อพวกเขาสามคนล่ะ?
สวีถังหรานนึกเสียทีหลังแทบตาย ถ้ารู้แต่แรกว่าจะเป็นแบบนี้ ตอนแรกก็ไม่ควรจะล่วงเกินร้านค้าพวกนั้นแบบถึงตายเลย ตอนนี้ลงเรือลำเดียวกับผู้บัญชาการใหญ่แล้ว ถ้าคิดจะปลีกตัวก็คงยาก
ที่จริงเขาอยากจะเอ่ยปากถามเหมียวอี้มาตลอดว่าเตรียมตัวไว้อย่างไรหลังจากนี้ แต่จนใจที่ไม่รู้จริงๆ ว่าจะเอ่ยปากเรื่องนี้อย่างไร
ด้านบน กลุ่มพี่ใหญ่ของตลาดสวรรค์กำลังพูดคุยหัวเราะกัน
ด้านล่าง เป่าเหลียนกำลังบงการสั่งให้คนเก็บกวาดสถานที่ เอาเครื่องประดับตกแต่งแบบผู้หญิงบางส่วนที่ปี้เยว่ฮูหยินทิ้งไว้ออกไป จำเป็นต้องประดับตกแต่งใหม่อย่างเลี่ยงไม่ได้
เหมียวอี้ก็แค่มาสัมผัสความรู้สึกแค่ชั่วคราวเท่านั้น ตอนนี้ยังเข้าอยู่ไม่ได้เพราะกำลังตกแต่งปรับปรุงใหม่ ผ่านไปสักพักก็นำคนออกไปแล้ว เหลือแค่เป่าเหลียนที่อยู่จัดการงานที่นี่
เมื่อกลับมาถึงจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก เหมียวอี้ก็เปลี่ยนเส้นทางไปร้านโฉมเมฆา
เมื่อรู้ว่าปี้เยว่ฮูหยินจากที่นี่ไปแล้ว อวิ๋นจือชิวก็โล่งใจ ด้วยสัญชาตญาณของผู้หญิง นางรู้สึกได้รางๆ ว่าปี้เยว่ฮูหยินอยากจะยั่วผู้ชายของนาง
เหมียวอี้กำลังจะย้ายออกจากจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกแล้ว อวิ๋นจือชิวเรียกผีจวินจื่อมา แล้วกำชับว่า “ทำลายทางใต้ดินจองจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกได้แล้ว ถมทิ้งไปเลย แล้วขุดเส้นทางใต้ดินใหม่ใต้ตำหนักคุ้มเมืองให้เชื่อมต่อกับร้านของพวกเรา”
“ขอรับ!” ผีจวินจื่อเอ่ยรับ แต่พอคิดไปคิดมาก็บอกอีกว่า “เถ้าแก่เนี้ย ตามที่ข้าสำรวจใต้ดินมา พบว่าข้างล่างของตำหนักคุ้มเมืองมีแม่น้ำใต้ดินสายหนึ่งพอดี ข้าแนะนำให้ขุดทางใต้ดินของร้านค้าพวกนั้นผ่านไปถึงแม่น้ำใต้ดินโดยตรง แบบนี้ไม่เพียงแค่ประหยัดแรงงาน สาเหตุสำคัญที่สุดคือสามารถหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกพบได้ด้วย ในภายหลังหากถูกจับได้ว่ามีทางใต้ดินตรงไหน ก็จะไม่เกี่ยวโยงไปถึงตำหนักคุ้มเมือง ส่วนทางตำหนักคุ้มเมืองก็ขุดทางที่เชื่อมกับแม่น้ำใต้ดินทางเดียวก็พอขอรับ”
อวิ๋นจือชิวพยักหน้าเบาๆ แบบนี้ก็สามารถทำให้แม่น้ำใต้ดินเป็นเส้นทางที่ใช้งานร่วมกันได้แล้ว ไม่ต้องขุดหลายเส้นทางให้คนสังเกตเห็นได้ง่าย อาศัยวรยุทธ์ของพวกเขา การไปมาผ่านแม่น้ำใต้ดินไม่ใช่เรื่องยากอะไร “ได้! เอาตามนี้แล้วกัน รีบทำงานแข่งกับเวลา”
ผีจวินจื่อกำลังจะเริ่มถมทางใต้ดินเดิม เหมียวอี้ก็ลุกขึ้นจากไปเช่นกัน ก่อนที่จะขุดทางใต้ดิน เขาจะไม่มีที่นี่อีกเป็นการชั่วคราว
หลังจากเข้ามาในทางใต้ดินกับผีจวินจื่อแล้วเดินไปข้างหน้าได้สักระยะ เหมียวอี้ก็ดึงผีจวินจื่อมาแล้วแอบกระซิบบอกว่า “ผีจวินจื่อ ขุดทางเชื่อมต่อระหว่างร้านค้าสมาคมวีรชนกับแม่น้ำใต้ดินให้ข้าอีกทาง…”
หลังจากฟังคำสั่งจบ ผีจวินจื่อก็กล่าวอย่างแปลกใจว่า “นายท่าน ขุดทางให้ร้านค้าสมาคมวีรชนทำไม ข้าได้ยินว่าท่านกับสมาคมวีรชนไม่ถูกกันไม่ใช่เหรอ”
เหมียวอี้ถลึงตาบอกว่า “จะสนใจอะไรมากขนาดนั้น ข้าให้เจ้าขุดเจ้าก็ขุดไปสิ ข้าย่อมมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำอยู่แล้ว”
“เกรงว่าจะทำได้ยาก ร้านค้าสมาคมวีรชนจะต้องวางค่ายกลป้องกันเอาไว้ใหญ่โตแน่นอน ตอนที่ขุดไปถึงตรงนั้น ถ้าค่ายกลป้องกันไม่ปิดใช้งาน ข้าก็ไม่มีทางขุดเข้าไปได้เลย” ผีจวินจื่อตอบอย่างกลุ้มใจ
เหมียวอี้ตบบ่าเขาพร้อมบอกว่า “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องห่วง รอจนเจ้าขุดไปถึงตรงนั้นแล้ว ข้าค่อยหาทางให้ร้านสมาคมวีรชนปิดใช้งานค่ายกลป้องกันก็สิ้นเรื่องแล้ว”
ผีจวินจื่อเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าบอกว่า “ตราบใดที่สามารถปิดค่ายกลได้ งั้นก็ไม่น่าจะมีปัญหา”
“จำไว้นะ เรื่องนี้มีเจ้ากับข้าที่รู้กันสองคน ห้ามบอกคนอื่น โดยเฉพาะเถ้าแก่เนี้ย เข้าใจมั้ย?”
“ไม่บอกเถ้าแก่เนี้ย? แบบนี้จะเหมาะสมเหรอ?”
“เจ้าจะเข้าใจอะไรล่ะ? ข้าทำแบบนี้ก็เพราะหวังดีกับเถ้าแก่เนี้ย ไม่จำเป็นต้องทำให้เถ้าแก่เนี้ยกังวลเรื่องงานราชการของตำหนักสวรรค์ เข้าใจมั้ย?”
“ก็ได้ละมั้ง” ผีจวินจื่อทำท่าทางฝืนใจ
“ก็ได้ละมั้งอะไรของเจ้า?” เหมียวอี้ชี้เขาพร้อมเตือนว่า “ข้าจะบอกเจ้าให้นะ ถ้ามีบุคคลที่สามรู้เรื่องนี้ แล้วทำให้ข้าเสียงานใหญ่ ก็คอยดูเถอะว่าข้าจะลงโทษเจ้ายังไง”
“ข้าไม่บอกเถ้าแก้เนี้ยก็ได้แล้วมั้ง?”
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับส่วนรวม เจ้าต้องสาบานเพื่อรับประกัน!”
“ได้ ข้ารับประกัน ข้าสาบานว่าจะไม่มีบุคคลาที่สามรู้เรื่องนี้ รวมทั้งเถ้าแก่เนี้ยด้วย”
“แบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย จำไว้นะ ห้ามให้มีบุคคลที่สามรู้เด็ดขาด”
หลังจากนั้นหนึ่งเดือน บนยอดเขาแห่งหนึ่งที่ห่างจากตลาดสวรรค์ดาวตงหัวไปสิบกว่าลี้ ที่นั่นคือจวนแม่ทัพภาค เป็นจวนขุนนางใหม่ของปี้เยว่ฮูหยิน
แม่ทัพภาคเดิมของดาวตงหัวย้ายออกจากระบบของตลาดสวรรค์ไปแล้ว ที่ย้ายออกไปไม่ได้มีแค่คนเดียว แต่ย้ายไปทั้งหมดเก้าคน ตอนนี้อำนาจมหาศาลของตลาดสวรรค์สิบแห่งมารวมอยู่ในมือปี้เยว่ฮูหยินคนเดียว ตลาดสวรรค์สิบแห่งที่เหมียวอี้อยู่ก็ขึ้นตรงต่อจวนแม่ทัพภาคตงหัว ตลาดสวรรค์จัดระเบียบใหม่โดยกำหนดชื่ออย่างเป็นทางการตามที่อยู่ของจวนแม่ทัพภาค ถ้าปี้เยว่ฮูหยินยังอยู่ที่ดาวเทียนหยวน ก็เกรงว่าจะถูกกำหนดชื่อเป็นจวนแม่ทัพภาคเทียนหยวนแล้ว
ปี้เยว่ฮูหยินรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการครบหนึ่งเดือนเต็ม ผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์สิบคนพาผู้บัญชาการสี่คนของตัวเองทยอยกันมาแสดงความยินดี พวกเหมียวอี้ย่อมอยู่ในจำนวนนั้นด้วยเช่นกัน เป็นเพราะท่านโหวเทียนหยวนมีหน้ามีตา ขุนนางน้อยใหญ่ของท่านโหวเทียนหยวนจึงมาร่วมแสดงความยินดีเป็นกลุ่มใหญ่ เฉาว่านเสียงก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย ท่านโหวเทียนหยวนก็มาสรรเสริญเยินยอฮูหยินด้วยตัวเองเช่นกัน
มีผู้จัดการร้านอีกนับไม่ถ้วนที่นำของขวัญมายกยอปอปั้น คนที่มีภูมิหลังค่อนข้างใหญ่โตได้รับสิทธิ์จากท่านโหวเทียนหยวน ถึงได้มีสิทธิ์เข้ามาร่วมแสดงความยินดี ส่วนคนที่เหลือทำได้เพียงนำของขวัญที่ติดชื่อตัวเองมาแขวนไว้ด้านนอกเพื่อแสดงออกว่าตัวเองเคยมาแล้ว อวิ๋นจือชิวกับหวงฝู่จวินโหรวนับว่าเป็นกึ่งๆ สหายของปี้เยว่ฮูหยิน ได้รับอนุญาตเป็นพิเศษให้มาเข้าร่วม ส่วนผู้ติดตามก็ถูกกันไว้ด้านนอก
ระหว่างผู้หญิงทั้งสองนับว่าสนิทกันแล้ว และนับว่าเป็น ‘เพื่อน’ กันด้วย หลังจากเข้ามาในงาน ทั้งสองก็จะไปเยี่ยมคำนับปี้เยว่ฮูหยิน แต่ปี้เยว่ฮูหยินกลับบอกว่ามีธุระ พวกนางจึงยังไม่ได้เข้าพบ ทำได้เพียงไปเยี่ยมคำนับตรงที่พักของเหมียวอี้แทน ถึงอย่างไรร้านค้าของทั้งสองก็อยู่ในอาณาเขตของเหมียวอี้ การไปเยี่ยมคำนับผู้บัญชาการใหญ่นับว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล และนับว่าเป็นการอาศัยงานราชการแสวงหาผลประโยชน์ใส่ตัวเช่นกัน
ใครจะคิดว่าเหมียวอี้ก็ไม่อยู่เหมือนกัน พอถามแล้วถึงได้รู้ว่าเขากำลังอยู่กับปี้เยว่ฮูหยิน จึงทำได้เพียงยกเลิกไปก่อน
เหยียนซู่ จางฮั่นฟาง หลิ่วกุ้ยผิง เหยาสิ้ง ติงเจ๋อเฉวียน ซางหรูเยว่ เกาโย่ว เหลียนฟางอวี้ รุ่ยฝาน รวมทั้งเหมียวอี้ ผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ทั้งสิบคนที่ปกติไม่ค่อยมีโอกาสพบหน้ากัน ตอนนี้กลับได้รวมตัวกันแล้ว ในจำนวนนั้นมีผู้หญิงสามคนคือเหยียนซู่ ซางหรูเยว่และเหลียนฟางอวี้
ตอนนี้พวกเขานำผู้บัญชาการสี่คนของตัวเองไปรวมตัวกันในตำหนักประชุมของจวนแม่ทัพภาคแล้ว หลังจากปี้เยว่ฮูหยินที่นั่งอยู่เบื้องสูงกล่าวให้โอวาทพอเป็นพิธีแล้ว ก็ยิ้มอย่างสนิทสนมพร้อมบอกว่า “ต่อไปนี้ทุกคนล้วนเป็นคนของจวนแม่ทัพภาคตงหัว ตอนนี้พบหน้ากันแล้ว เดี๋ยวทุกคนไปทำความคุ้นเคยกันสักหน่อยเถอะ”
พอเสร็จเรื่องตรงนี้แล้ว คนกลุ่มหนึ่งก็ออกมาจากตำหนักใหญ่ แล้วเริ่มกล่าวทักทายปราศัยกันทันที
“พี่จาง”
“พี่เหยา”
“พี่ติง!” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะทักทายทุกคนด้วยรอยยิ้ม
ใครจะคิดว่าจะไม่ได้รับเสียงตอบรับเลย แต่ละคนใช้หาทางตามองเขาหัวจดเท้า แค่มองเขาด้วยหางตาแวบหนึ่ง ถึงขั้นขี้เกียจจะมองหน้าด้วยซ้ำ ทำเอาเหมียวอี้อึดอัดเก้อเขิน แม้แต่ผู้บัญชาการทั้งสี่ของเหมียวอี้ก็โดนเมินตามไปด้วยเช่นกัน มีเพียงมู่หรงซิงหัวที่ยังดีหน่อย จะดีจะร้ายทุกคนก็ตอบกลับนางอย่างเกรงใจ เห็นได้ชัดว่าเห็นแก่หน้าเฉาว่านเสียงสามีของนาง
มีการแบ่งแยกอย่างชัดเจน เหมียวอี้นำคนยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง กำลังใช้สายตาเย็นเยียบมองกลุ่มคนที่ทักทายปราศัยกัน เห็นได้ชัดว่าวงสังคมนี้กำลังกันเขาออกไป
พอลองคิดดูนิดหน่อยก็รู้เหตุผลแล้ว คนทีสามารถเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ได้ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนที่มีภูมิหลัง แต่เหมียวอี้กลับเป็นคนที่ไปล่วงเกินคนที่มีภูมิหลังมาแล้วเกือบหมด ผู้บัญชาการใหญ่พวกนี้ไม่ใช่ร้านค้าในสังกัดของเหมียวอี้ จึงไม่กลัวว่าจะถูกเขาลงโทษ ย่อมไม่ไว้หน้าเหมียวอี้อยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะอยู่ที่จวนแม่ทัพภาค ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะให้บทเรียนกับเหมียวอี้เสียตรงนั้นเลย ถึงอย่างไรเหมียวอี้ก็เป็นคนของปี้เยว่ฮูหยิน ทุกคนยังไว้หน้าอยู่บ้าง แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะให้พวกเขาทำตัวสนิทสนมอย่างจริงใจ
ขณะที่ทุกคนตรงนี้กำลังพูดคุยทักทายกันอยู่ จู่ๆ ในสวนก็มีคนกลุ่มหนึ่งทยอยกันออกมา มีประมาณสามร้อยกว่าคน มีทั้งหญิงทั้งชาย ในจำนวนนั้นมีหลายคนที่เหมียวอี้เคยเจอในงานแต่งงานของเฉาว่านเสียงกับมู่หรงซิงหัว ทั้งหมดเป็นหัวหน้าภาคใต้บังคับบัญชาของท่านโหวเทียนหยวน ส่วนใหญ่ลูกน้องของหัวหน้าภาคพวกนั้นก็มากันครบ มาสรรเสริญเยินยอปี้เยว่ฮูหยินด้วยกัน เห็นได้ชัดว่าเพิ่งไปพบท่านโหวเทียนหยวนในสวนมา
เฉาว่านเสียงย่อมรวมอยู่ในนั้นด้วย หลังจากเห็นมู่หรงซิงหัวที่อยู่ทางนี้แล้ว เขาก็ปลีกตัวเดินออกมาจากกลุ่มคน
เหมียวอี้และคนอื่นๆ คำนับทันที “คำนับหัวหน้าภาคเฉา!”
เฉาว่านเสียงตอบเพียง “อื้ม” ไม่มองเหมียวอี้ตรงๆ ด้วยซ้ำ ท่าทีที่มีต่อเหมียวอี้ต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง ท่าทีหยิ่งยโสมาก ยิ้มให้มู่หรงซิงหัวคนเดียว “ซิงหัว ได้พบฮูหยินหรือยัง?”
เมื่อเห็นเขาทำท่าทางแบบนี้ มู่หรงซิงหัวก็มองไปที่เหมียวอี้อย่างลำบากใจแวบหนึ่ง แล้วพยักหน้าบอกว่า “เพิ่งไปพบมาค่ะ”
“เราสองสามีภรรยาไม่ได้เจอกันนาน ไปหาที่นั่งคุยกันเถอะ” เฉาว่านเสียงจูงมือที่เรียวสวยของมู่หรงซิงหัวเดินไป
เหมียวอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย มู่หรงซิงหัวเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา แต่เฉาว่านเสียงพาตัวไปโดยไม่บอกกล่าวสักคำ แบบนี้มองข้ามหัวกันเกินไปแล้ว ตอนนี้ข้าไม่ได้อยู่ในการควบคุมของเจ้าแล้วนะ
มู่หรงซิงหัวรีบสลัดมือออก แล้วถลึงตาจ้องเฉาว่านเสียงแวบหนึ่ง
เฉาว่านเสียงเข้าใจ จึงเอียงหน้ามองเหมียวอี้พร้อมถามอย่างเย็นชาว่า “หนิวโหย่วเต๋อ ภรรยาข้ามีธุระนิดหน่อย จะพาออกไปชั่วคราว เจ้าคงไม่ว่าอะไรใช่มั้ย?”
เหมียวอี้ยิ้มบางๆ “เชิญตามสะดวก!”
มู่หรงซิงหัวก็เลยถูกเฉาว่านเสียงจูงมือออกไป ส่วนสวีถังหราน ฝูชิงและอิงอู๋ตี๋ที่อยู่ข้างหลังเหมียวอี้แอบสบตากันแวบหนึ่ง
ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์คนอื่นๆ ที่มองมาทางนี้ ถ้าไม่หัวเราะเยาะก็ทำสีหน้าเยาะเย้ย
ในบรรดาผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์สิบคน เหยียนซู่ ซางหรูเยว่ เหลียนฟางอวี้ ผู้หญิงทั้งสามคนถูกหัวหน้าภาคสามคนทยอยกันจูงมือออกไปเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงสามคนนี้เป็นฮูหยินของหัวหน้าภาค ทางนี้คงจะมีมู่หรงซิงหัวที่ตำแหน่งต่ำไปหน่อย แต่ก็ช่วยไม่ได้ มู่หรงซิงหัวแต่งงานกับเฉาว่านเสียงช้าไป
หลังจากเดินไปไกลแล้ว มู่หรงซิงหัวก็เริ่มถ่ายทอดเสียงบ่นเฉาว่านเสียง “เมื่อครู่นี้ท่านทำเกินไปหน่อยรึเปล่า?”
เฉาว่านเสียงตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “ข้าเป็นหัวหน้าภาคที่ยิ่งใหญ่ จำเป็นต้องไว้หน้าผู้บัญชาการใหญ่กระจอกๆ อย่างเขาเชียวหรือ?”
“ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้บังคับบัญชาของข้า” มู่หรงซิงหัวกล่าว
“ผู้บังคับบัญชาเหรอ?” เฉาว่านเสียงพ่นเสียงทางจมูก “สักวันหนึ่งเจ้าก็ต้องเปลี่ยนผู้บังคับบัญชา ไม่ว่าเจ้าหมอนี่จะไปเข้าร่วมการทดสอบหรือไม่ เขาก็ต้องตายอยู่ดี ถ้าไปที่นรกแล้ว คนที่ต้องการเล่นงานเขาให้ตายมีเป็นโขยง เจ้าคิดว่าเขาจะยังรอดชีวิตกลับมาได้อีกเหรอ? ดังนั้นตอนนี้เจ้ารักษาระยะห่างกับเขาหน่อยดีกว่า เมื่อครู่ที่ข้าเมินเขาก็เพื่อแสดงให้ทุกคนได้เห็น เจ้าเองก็ไม่ต้องเป็นกังวล ปี้เยว่ฮูหยินเห็นแก่ความสัมพันธ์ของข้ากับท่านโหว นางไม่ปล่อยให้เขาแตะต้องเจ้าซี้ซั้วหรอก จะกลัวเขาทำไม!”
…………………………
บทที่ 1180 รับความอัปยศใหญ่หลวง
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ตอนการทดสอบในปีนั้นข้าเคยทรยศเขาครั้งหนึ่ง แต่เขาก็ไม่ถือสาและช่วยชีวิตข้าไว้ ถ้าไม่ใช่เพราะเขา เกรงว่าข้าคงจะไม่รอดชีวิตกลับมาหรอก ตอนหลังเขาก็วางตัวกับข้าดี จู่ๆ ก็เป็นแบบนี้ ท่านทำกับเขามากเกินไปหรือเปล่า?” มู่หรงซิงหัวกล่าวถามอย่างจนใจ
เฉาว่านเสียงพูดเหยียดว่า “ทำไมเขาถึงไม่ถือสาเจ้าล่ะ? ทำไมถึงช่วยชีวิตเจ้าไว้ล่ะ? ทำไมถึงวางตัวกับเจ้าดี? ผู้บัญชาการต่ำต้อยอย่างเขากล้าไม่เคารพหัวหน้าภาคอย่างข้าเหรอ? ถ้าจะพูดให้ถูกก็เป็นเพราะฐานะของข้าไง เขาไม่กล้าทำบุ่มบ่ามก็เท่านั้นเอง ตอนแรกเขาฆ่าคนมากมายอย่างสบายใจโดยไม่สนผลที่จะตามมา ตอนนี้ถึงเวลาที่เขาต้องชดใช้หนี้แล้ว แกว่งเท้าหาเสี้ยนเองทั้งนั้น ฟังข้านะ ต่อไปนี้รักษาระยะห่างกับเขาหน่อย ถ้าเปลี่ยนคนรับช่วงต่อตลาดสวรรค์แล้วเจ้าจะได้ไม่ลำบาก”
มู่หรงซิงหัวจะไปเถียงอะไรเขาได้? ทำได้เพียงถอนหายใจ…
สวีถังหราน ฝูชิงและอิงอู๋ตี๋ยืนอยู่ข้างหลังเหมียวอี้ เหมียวอี้ยืนตัวตรงอยู่ตรงหน้าพวกเขา ไม่ได้ไปเบียดแย่งทางกับคนอื่น มองดูกลุ่มหัวหน้าภาคจากไป แล้วก็มองดูกลุ่มผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์นำลูกน้องจากไป
เมื่อคนไปกันหมดแล้ว เหมียวอี้ถึงได้บอกว่า “ไปกันเถอะ!”
ทั้งสี่เพิ่งจะหันตัว จู่ๆ ด้านหลังก็มีเสียงของปี้เยว่ฮูหยินดังมา “ยังไม่ไปอีกเหรอ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”
ทั้งสี่หันกลับมาอีกครั้ง เห็นปี้เยว่ฮูหยินกับท่านโหวเทียนหยวนเดินออกมาจากตำหนักใหญ่ด้วยกัน ไม่รู้ว่าเทียนหยวนเข้าไปในตำหนักใหญ่ตั้งแต่ตอนไหน
สายตาของเทียนหยวนหยุดบนตัวเหมียวอี้ชั่วขณะ แล้วก็ขมวดคิ้วเบาๆ ทันที
ทั้งสี่ย่อมรีบก้าวขึ้นมาคำนับ โค้งตัวกุมหมัดพร้อมกัน “คำนับท่านโหว คำนับฮูหยิน”
เทียนหยวนที่เดินลงบันไดมองลงมาอย่างเหยียดหยามแวบหนึ่ง แล้วก็ไม่ได้มองอะไรอีก เอามือไขว้หลังเดินผ่านไปเลย
“ท่านโหว คนนี้คือหนิวโหย่วเต๋อ…” ปี้เยว่ฮูหยินกล่าวเตือน แต่เทียนหยวนไม่ได้หันกลับมามองแม้แต่แวบเดียว ทำให้นางอึ้งอยู่บ้าง นางจึงหันตัวมากล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “คืนนี้ต้องดื่มหลายๆ จอกนะ” พูดจบก็รีบเร่งฝีเท้าเดินตามไป
“ขอรับ!” หลังจากเอ่ยรับแล้ว พวกเหมียวอี้ถึงได้วางมือและยืนตัวตรง มองส่งเทียนหยวนและฮูหยินเดินหายไปในประตูพระจันทร์
ตอนแรกที่โดนเฉาว่านเสียงเหยียดหยาม เหมียวอี้ก็ยังไม่สะเทือนอารมณ์เท่าไรนัก ส่วนผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์พวกนั้น เขาก็ยิ่งมองข้าม แต่ปฏิกิริยาของเทียนหยวนในตอนนี้กลับทำให้เขาเริ่มหวาดระแวงแล้ว เห็นได้ชัดเจนมาก ว่าท่าทีของเทียนหยวนสามารถส่งผลกระทบต่อปี้เยว่ฮูหยินโดยตรง หลังจากนี้ตนต้องทำงานอยู่ใต้บังคับบัญชาของปี้เยว่ฮูหยิน ถ้าวุ่นวายจนไม่ได้รับการช่วยเหลือจากปี้เยว่ฮูหยิน ก็เกรงว่าจะไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข
สวีถังหราน ฝูชิงและอิงอู๋ตี๋ค่อนข้างผิดหวังในใจ พี่ใหญ่เบื้องบนมีท่าทีแบบนี้ แล้วต่อไปจะหากินอยู่ในตำหนักสวรรค์ได้อย่างไรล่ะ!
“กันเถอะ!” เหมียวอี้ถอนหายใจช้าๆ แล้วหันตัวพาทั้งสามจากไป
ที่สวนด้านใน ปี้เยว่ฮูหยินเร่งฝีเท้าเดินตามเทียนหยวน นางดึงแขนเสื้อเขาพร้อมบอกว่า “เจ้าทำแบบนี้หมายความว่ายังไง? ถึงยังไงเขาก็เป็นลูกน้องข้า เจ้าไว้หน้าข้าสักหน่อยไม่ได้เหรอ ต่อไปจะให้ลูกน้องมองข้ายังไง?”
เทียนหยวนกลับยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “หลังจากราชินีสวรรค์ประกาศเรื่องปรับปรุงตลาดสวรรค์ เขาก็หมดสิทธิ์ที่จะเป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์แล้ว แล้วอีกอย่าง ท่านโหวอย่างข้าจำเป็นต้องเกรงใจผู้บัญชาการใหญ่ด้วยเหรอ? ข้าเกรงใจไหวเหรอ?”
ปี้เยว่ฮูหยินแปลกใจทันที “ตอนแรกเจ้าชื่นชมเขามากไม่ใช่เหรอ? เจ้าบอกไม่ใช่เหรอว่าเขาเป็นคนมีฝีมือ ตั้งใจรั้งไว้เพื่อให้ช่วยข้าอีกแรงไม่ใช่รึไง?”
เทียนหยวนยิ้มเยาะ “นั่นมันก่อนที่จะประกาศเรื่องปรับปรุงตลาดสวรรค์ ตอนนี้แม้แต่ข้าเองยังช่วยเขาไม่ได้เลย จำไว้นะ คนมีฝีมือที่ไม่มีโอกาสเติบโต ก็เท่ากับเป็นคนไม่มีฝีมือนั่นแหละ!”
“เจ้าใช้อิทธิพลเกินไปหรือเปล่า จำเป็นต้องทำแบบนี้ด้วยเหรอ? ทำตัวให้สมกับเป็นท่านโหวสักหน่อยได้มั้ย? ภายนอกแสดงละครสักหน่อยไม่ได้รึไง?” ปี้เยว่ฮูหยินกลอกตามองเขา
เทียนหยวนพูดเหยียดว่า “เจ้าหมอนั่นล่วงเกินคนมากมายขนาดนั้น ทั้งยังรู้เรื่องบางอย่างที่ไม่สมควรจะได้รู้ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาถูกกำหนดไว้ในรายชื่อและต้องตายแน่นอน บวกกับตอนนี้ไม่มีใครเต็มใจจะเปลี่ยนตัวไปเป็นผู้บัญชาการใหญ่ที่ต้องเอาชีวิตไปทิ้ง ไม่อย่างนั้นเขาจะยังได้มาเดินโอ้อวดอยู่ตรงนี้เหรอ? เดิมทีไม่ต้องให้คนอื่นลงมือหรอก ข้าให้เจ้าลงมือกับเขาเพื่อให้คำอธิบายกับคนอื่นไปตั้งนานแล้ว ที่ไม่ไปแตะต้องเขาก็นับว่าไว้หน้ามากพอแล้ว เจ้ายังจะให้ข้าทำยังไงอีก?”
ปี้เยว่ฮูหยินถอนหายใจแล้วบอกว่า “ถึงอย่างไรเขาก็ติดตามรับใช้ข้ามาหลายปี”
เทียนหยวนจึงบอกว่า “เรื่องบางเรื่องเขาแกว่งเท้าหาเสี้ยนเอง ถ้าตอนแรกเขาไม่บุ่มบ่ามทำเรื่องแบบนั้น เขาจะมีจุดจบแบบวันนี้เหรอ? ถ้าไม่ไปล่วงเกินคนมากมายขนาดนั้น อาศัยความสามารถอย่างเขา ก็ยังมีหวังว่าจะรอดชีวิตกลับมาได้บ้าง ตอนนี้…เจ้าเชื่อมั้ยว่าพอเขาก้าวเข้านรกไป ก็จะโดนคนเป็นโขยงเล่นงานจนตายทันที? ต่อให้ไม่เข้าไปในนรก อนาคตเขาก็พังอยู่ดี ข้าจำเป็นต้องผิดใจกับคนอื่นเพื่อปกป้องคนไร้อนาคตอย่างเขาด้วยเหรอ? คนเราเมื่ออยู่ในสังคมแล้วไม่มองดูภาพรวม ทำอะไรวู่วามอาศัยแต่ความชอบตัวเอง ถ้าอย่างนั้นสุรารสขมที่หมักเอง ตัวเองก็ต้องกลืนลงคอเองให้ได้ ถ้าเข้ามาอยู่ในวงการนี้แล้วไม่เล่นตามกติกาของวงการนี้ นั่นก็เท่ากับรนหาที่ตายเอง เจ้ากับข้าหนุนหลังให้เขามาหลายปีขนาดนี้ ก็นับว่าทำดีที่สุดแล้ว ไม่ติดค้างอะไรเขาแล้ว ไม่ต้องคิดมาก!”
ปี้เยว่ฮูหยินเดินตามหลังเขา ก้มหน้าพึมพำว่า “ถ้าเขากลับมาได้อย่างปลอดภัยล่ะ?”
เทียนหยวนบอกว่า “ความคิดของผู้หญิงนี่นะ! แล้วยังไงล่ะ? กลับมาแล้วก็ยังเป็นลูกน้องของเจ้า ยังต้องเชื่อฟังเจ้า ทั้งยังต้องหวังให้เจ้าหนุนหลังอีก เขาจะพลิกฟ้าได้เชียวเหรอ?”
พอตกกลางคืน ในจวนแม่ทัพภาคตงหัวก็จัดงานเลี้ยงสุราใหญ่โต แม่ทัพภาคปี้เยว่แสดงความขอบคุณต่อผู้ที่มา
คนระดับหัวหน้าภาคล้วนอยู่ที่สวนด้านใน ส่วนคนที่เหลือนั่งด้านนอกสวน
ขณะที่เหมียวอี้และผู้บัญชาการของตัวเองถูกพาไปนั่งที่โต๊ะของผู้บัญชาการใหญ่ เขาเห็นโต๊ะของผู้บัญชาการใหญ่จางฮั่นฟางว่างอยู่ครึ่งหนึ่ง ถึงได้พาคนของตัวเองเข้าไปนั่ง
แต่ใครจะคิดว่าจู่ๆ จางฮั่นฟางจะยื่นมือพร้อมบอกว่า “ขออภัยนะ ตรงนี้มีคนนั่งแล้ว”
เหมียวอี้มองเขาแวบหนึ่ง แล้วหันตัวไปยังโต๊ะถัดไป ปรากฏว่าผู้บัญชาการใหญ่ติงเจ๋อเฉวียนก็ยื่นมือห้ามเช่นกัน “ตรงนี้ก็มีคนนั่งแล้วเหมือนกัน”
“ตรงนี้มีคนจองไว้แล้ว” หลิ่วกุ้ยผิงที่อยู่โต๊ะถัดไปยื่นมือห้ามเช่นกัน
เหมียวอี้เหลือบมองที่นั่งตรงแถวนี้แวบหนึ่ง พบว่านอกจากผู้บัญชาการใหญ่หญิงสามคนที่ไม่อยู่ ผู้บัญชาการใหญ่ที่เหลืออีกหกคนก็ให้ลูกน้องไปนั่งแยกที่อื่น ยึดครองที่นั่งแถวนี้ไว้เต็มหมดแล้ว เดิมทีมีที่นั่งว่างอยู่แล้วแท้ๆ ชัดเจนว่ากำลังจงใจกลั่นแกล้งเขา
“ทุกท่านทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร? คนก็มากันครบแล้วยังจะมีใครอีก?” เหมียวอี้ถามเสียงเรียบ
จู่ๆ ผู้บัญชาการใหญ่เหยาสิ้งก็กวักมือ กลุ่มผู้จัดการร้านที่นั่งอยู่ข้างหลังลุกขึ้นเดินเข้ามาพร้อมเสียงหัวเราะทันที มาทยอยกันนั่งลงตรงตำแหน่งว่าง
ผู้บัญชาการใหญ่รุ่ยฝานกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “เต็มแล้ว ตอนนี้เห็นแล้วรึยัง? ผู้บัญชาการใหญ่หนิว ตรงนี้ไม่มีที่นั่งของท่านหรอก ไปดูที่อื่นแล้วกัน”
ที่นั่งแถวที่อยู่ทางนี้ ผู้จัดการร้านอีกกลุ่มที่นั่งอยู่ข้างหลังหัวเราะเสียงดังทันที เรียกได้ว่าเสียงหัวเราะดังเป็นแถบ
พวกผู้จัดการร้านที่มาจากดาวเทียนหยวนทำได้เพียงกลั้นขำ ไม่กล้าหัวเราะออกมาก็เท่านั้นเอง
เหมียวอี้กลับทำสีหน้าเรียบเฉย แต่สวีถังหราน ฝูชิงและอิงอู๋ตี๋สีหน้าแย่นิดหน่อย
อวิ๋นจือชิวกับหวงฝู่จวินโหรวนั่งอยู่ไม่ไกล พวกนางมองเหมียวอี้กับลูกน้องที่ยืนอยู่ท่ามกลางเสียงหัวเราะเยาะอย่างตะลึงงัน อวิ๋นจือชิวกัดริมฝีปากอย่างปวดใจ ส่วนหวงฝู่จวินโหรวทำสีหน้าสับสน ไม่มีทางจินตนาการได้เลยว่าผู้บัญชาการใหญ่หนิวที่สูงส่งอยู่ที่ดาวเทียนหยวนจะทนความอัปยศแบบนี้ได้
ในโอกาสและสถานที่แบบนี้ ผู้หญิงทั้งสองได้เห็นเองกับตาว่าเหมียวอี้ได้รับความอับอายสุดจะทนอยู่ท่ามกลางฝูงชน
เหมียวอี้กวาดสายตามองผู้จัดการร้านที่วิ่งเข้ามาครองที่นั่ง ไม่มีใครคุ้นตาสักคน ไม่มีใครมาจากดาวเทียนหยวน แล้วก็หันกลับมากวาดสายตามองรอบๆ พอสายตาสบประสานกับอวิ๋นจือชิวและหวงฝู่จวินโหรวแล้ว ก็หันกลับมาบอกลูกน้องว่า “ไปกันเถอะ!”
เขานำลูกน้องทั้งสามไปที่โต๊ะของอวิ๋นจือชิว เมื่อเห็นโต๊ะนี้ยังว่างอยู่ เขาก็นั่งลงทันที หลังจากนั่งลงแล้วก็พยักหน้าบอกทั้งสองว่า “ผู้จัดการร้านหวงฝู่ ผู้จัดการร้านอวิ๋น ไม่มีที่ให้นั่งแล้ว ขอนั่งด้วย”
“หึหึ! มุดเข้าใต้กระโปรงผู้หญิงเพื่อปิดบังความอับอายแล้ว”
จางฮั่นฟางที่อยู่ทางนั้นพลันเงยหน้ามองฟ้าถอนหายใจ ไม่ได้หันหน้ามาหาเหมียวอี้ แต่ใครก็รู้ทั้งนั้นว่าหมายถึงเหมียวอี้ ทำให้เกิดเสียงหัวเราะลั่นดังเป็นแถบอีกครั้ง
เหมียวอี้ทำเหมือนไม่ได้ยิน มองอวิ๋นจือชิวที่นั่งอยู่ตรงข้ามแวบหนึ่ง อวิ๋นจือชิวส่ายหน้าเล็กน้อย บอกใบ้เขาว่าอย่าวู่วาม
นางกลัวว่าเหมียวอี้จะระเบิดอารมณ์ แค่ดูสถานการณ์ก็รู้แล้ว ถ้าหากมีการลงมือสู้กันขึ้นมา ทุกคนก็จะตั้งตัวเป็นศัตรูกับเหมียวอี้ เขาจะต้องเสียเปรียบแน่นอน
พวกฝูชิงก็กังวลมากเช่นกันว่าเหมียวอี้จะวู่วาม ผู้บัญชาการใหญ่เหมียวทำอะไรวู่วามมาตลอด!
ทว่าเหมียวอี้ในวันนี้ควบคุมอารมณ์ได้ดีเป็นพิเศษ ทำสีหน้าเรียบเฉยมาตลอด ไม่มีท่าที่ว่าจะระเบิดอารมณ์
จนกระทั่งสุราอาหารมาครบแล้ว คำพูดเยาะเย้ยแดกดันก็ยังดังไม่หยุด
มู่หรงซิงหัวกลับมาก่อนแล้ว ตอนที่หาพวกเหมียวอี้ที่นั่งอยู่ทางนี้เจอ ตอนแรกก็ยังไม่รู้ว่าคนกลุ่มหนึ่งกำลังพูดจาแดกดันใคร รอจนกระทั่งรายงานตัวกับเหมียวอี้แล้วนั่งลง ถึงได้รู้ว่าคนกลุ่มนั้นกำลังพูดจาแดกดันเหมียวอี้
“ก็แค่ไอเด็กเมื่อวานซืนที่หลบวางมาดอยู่ในอาณาเขตของตัวเอง พอก้าวออกจากประตูมาก็เป็นแค่เต่าหัวหด”
“ไอ้พวกอาศัยบารมีคนอื่นมาอวดเบ่ง นับเป็นตัวอะไรกัน”
“จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ได้นะ เขามีอำนาจบารมีจะตาย ตัดหัวคนไปหลายพัน นึกว่าในโลกนี้จะไม่มีใครกล้าตีหมาละมั้ง”
“ถ้าเก่งนักก็ลองให้เขามาฆ่าคนในอาณาเขตข้าดูบ้างสิ ข้าจะตัดขาเขาทิ้งเลย ถ้าข้าด่าเขา เขาจะกล้าเถียงรึเปล่านะ?”
“อย่างน้อยเวลาจะตีหมาก็ต้องดูเจ้าของด้วย ต่อให้ไม่ไว้หน้าคนอื่น แต่พวกเราก็ต้องไว้หน้าแม่ทัพภาค!”
“พวกเจ้าว่าไอ้เด็กนี่มันจะกล้าเข้าร่วมการทดสอบมั้ย!”
“ถ้ามันเข้าร่วมการทดสอบ ข้าก็จะเล่นงานมันให้ตาย แต่ถ้าไม่เข้าร่วม ข้าก็จะถือเชือกมัดสุนัขไปสวมคอมันแล้วจูงมันเดินเล่น”
เสียงพูดจาเยาะเย้ยถากถางดังเป็นระลอก เสียงหัวเราะก็ดังเป็นระลอกเช่นกัน บรรยากาศทางนี้คึกคักมาก เพียงแต่ฝูชิง อิงอู๋ตี๋ สวีถังหรานที่อยู่ท่ามกลางสายตาฝูงชนถูกมองจนเงยหน้าไม่ขึ้นสักเท่าไร
ต่อให้เป็นคนหน้าด่านหน้าทนอย่างสวีถังหรานก็ยังนั่งไม่ติดที่แล้ว
สีหน้าของมู่หรงซิงหัวค่อนข้างแย่ นางเอียงหน้ามองเหมียวอี้อยู่เป็นระยะ คนที่กล้าก้าวออกไปเสี่ยงตายต่อสู้ครั้งแล้วครั้งเล่าในการทดสอบครั้งก่อน นางแทบจะไม่กล้าเชื่อว่าเขาจะสามารถอดทนกับความอัปยศแบบนี้ได้!
อวิ๋นจือชิวหน้าตึงมาก หมัดที่กำอยู่ใต้โต๊ะกำลังสั่นเทิ้ม เริ่มจะทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว เมื่อเห็นนางกำลังจะระเบิดอารมณ์ เหมียวอี้กลับชูจอกสุราพูดยับยั้งว่า “ดื่มสุรา!”
คนโต๊ะนี้ชูจอกสุราตามเงียบๆ ต่างก็หวังว่าจะได้ออกจากงานเลี้ยงนี้ไปเร็วๆ หน่อย แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้ไม่มีท่าทีว่าจะลุกออกจากโต๊ะล่วงหน้าเลย ดันทุรังกินดื่มอยู่ในงานท่ามกลางเสียงหัวเราะเยาะจนงานจบ
หลังจากงานเลี้ยงเลิก จวนแม่ทัพภาคตงหัวก็ไม่มีที่พักให้แขกมากมายขนาดนั้น คนส่วนใหญ่กล่าวอำลาและกลับไปพร้อมเจ้านายตัวเอง
ตอนที่เหมียวอี้นำลูกน้องทั้งสี่ไปบอกลาปี้เยว่ฮูหยิน ปี้เยว่ฮูหยินก็มองเหมียวอี้ด้วยแววตาสับสน เป็นไปไม่ได้ที่นางจะไม่ได้ยินเสียงคึกครื้นด้านนอก ระหว่างที่อยู่ในงานเลี้ยงของสวนด้านใน ทีแรกนางก็คิดจะออกไปห้ามปรามสักหน่อย แต่กลับโดนท่านโหวเทียนหยวนดึงข้อมือเอาไว้ นางไม่รู้เลยว่าเหมียวอี้ทนไหวได้อย่างไร
พวกเขาไม่ได้พูดอะไรกันมาก หลังจากบอกลาตามมารยาทแล้ว ก็กำชับให้เหมียวอี้กลับไปเฝ้าตลาดสวรรค์ให้ดี
ตอนที่พวกเมียวอี้ออกจากจวนแม่ทัพภาค ตอนอยู่ในดาราจักรก็ ‘บังเอิญ’ เจออวิ๋นจือชิวกับหวงฝู่จวินโหรวที่ออกมาก่อนล่วงหน้า แล้วทั้งสองฝ่ายก็เดินทางออกไปด้วยกัน
ระหว่างทางหวงฝู่จวินโหรวอยากจะพูดอะไรบางอย่างอยู่ตลอด ทว่าไม่สะดวกจะถ่ายทอดเสียงให้คนอื่นมองอะไรออก แต่ความจริงเก็บกดแทบแย่ สุดท้ายก็ฝืนยิ้มพร้อมบอกว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ไม่จำเป็นต้อถือสาคนต่ำช้าที่ปากไม่มีหูรูดพวกนั้น”
“เฮอะ! คิดว่าข้ากลัวพวกเขาเหรอ? สินค้าระดับนี้คู่ควรกับข้าหรือไง? ต่อให้เข้ามาพร้อมกัน ข้าก็กล้าฆ่ามันทิ้งได้หลายยกเลย! คนที่ข้าสู้ด้วยจริงๆ คนที่ข้ากลัวจริงๆ ก็คือคนที่ไม่โผล่หน้ามา คนที่ไม่ออกมาพูดอะไรต่างหากล่ะ เพราะข้าไปรู้อะไรบางอย่างที่ไม่สมควรรู้ มีคนอยากจะยืมดาบฆ่าคน ที่ข้าอดทนก็เพราะสิ่งนี้ ส่วนสวะที่เห่าหอนพวกนั้น เดี๋ยวข้าค่อยจัดการพวกมันทีหลังก็ได้!” เหมียวอี้แสยะยิ้ม
ในระหว่างงานเลี้ยง ที่จริงเขากำลังรอให้ปี้เยว่ฮูหยินโผล่หน้ามาตลอด จะได้ตัดสินท่าทีของคนอีกคนได้ เพราะก่อนหน้านี้ท่าทีของคนคนนั้นทำให้เขาหวาดระแวงกลัว ปรากฏว่าตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่เห็นปี้เยว่ฮูหยินโผล่มาเลย เขาไม่เชื่อหรอกว่าปี้เยว่ฮูหยินจะไม่รู้ถึงความเคลื่อนไหวด้านนอก นี่ต่างหากคือเหตุผลที่แท้จริงที่เขาไม่กล้าลงมือ เพราะคนบางคนมีเจตนาแอบแฝง อยากให้เกิดเรื่องขึ้นกับเขา?
…………………………
บทที่ 1181 ชาวพุทธซื่อบื้อ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ที่พูดต่อหน้าคนพวกนี้ได้ ก็เพราะไม่ได้เห็นพวกเขาเป็นคนนอก หวงฝู่จวินโหรวก็เป็นคนของตัวเองอย่างลับๆ ส่วนสวีถังหรานก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว
ทว่าคำพูดนี้ทำให้หวงฝู่จวินโหรวค่อนข้างประหลาดใจ ฟังไม่ค่อยออกว่าหมายความว่าอะไร มู่หรงซิงหัวก็เช่นเดียวกัน
สวีถังหราน ฝูชิงและอิงอู๋ตี๋แอบหัวใจกระตุกวูบ พวกเขาพบว่าเมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ในฐานะที่พวกเขาเป็นลูกน้องคนสนิทของปี้เยว่ฮูหยิน แต่ปี้เยว่ฮูหยินกลับไม่ออกหน้าเพื่อผู้บัญชาการใหญ่ พวกเขาย่อมนึกเชื่อมโยงถึงท่าทีของท่านโหวเทียนหยวนได้ในทันที อย่าบอกนะว่าผู้บัญชาการใหญ่กับท่านโหวเทียนหยวนสู้กันแล้ว?แบบนี้น่ากลัวไปหน่อยหรือเปล่า?
ชั่วพริบตาเดียวทั้งสามก็เริ่มเป็นทุกข์เป็นร้อนกับส่วนได้ส่วนเสียของตน ไม่รู้ว่าเหมียวอี้ไปรู้เรื่องอะไรที่ไม่สมควรจะรู้
ในบรรดาพวกเขามีเพียงอวิ๋นจือชิวที่รู้ว่าเหมียวอี้รู้เรื่องอะไรที่ไม่สมควรรู้ ตอนศีรษะของคนหลายพันที่ตลาดสวรรค์ตกถึงพื้นเมื่อครั้งก่อน ปี้เยว่ฮูหยินเดาเจตนาของเบื้องบนออกและแย่งผลงานเหมียวอี้จนได้รับรางวัลจากราชันสวรรค์ เบื้องหลังต้องมีความเกี่ยวข้องกับท่านโหวเทียนหยวนแน่นอน ไม่อย่างนั้นคนระดับอย่างปี้เยว่ฮูหยินก็ทำเรื่องนี้ไม่ไหว
นางเข้าใจในทันทีว่าทำไมเหมียวอี้ถึงอดทนแบบนี้ได้ เรื่องแย่งผลงานจะว่าเล็กก็เล็กจะว่าใหญ่ก็ใหญ่ ถ้าพูดให้เป็นเรื่องใหญ่ก็คือหลอกลวงราชันสวรรค์ ภายใต้สถานการณ์ปกติเหมียวอี้ไม่มีทางกล้าพูดออกมาแน่นอน เพราะว่าเหมียวอี้มีส่วนร่วมในเรื่องหลอกลวงราชันสวรรค์เหมือนกัน แต่ตอนนี้เหมียวอี้ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ปกติเลย ในขณะที่ไม่แน่ใจว่าเหมียวอี้จะจนตรอกเป็นหมากระโดดกำแพงแล้วพูดจาเหลวไหลหรือไม่ ใครบางคนอยากจะถือโอกาสแก้ไขปัญหาที่จะตามมาในภายหลัง!
หรือพูดได้อีกอย่างว่า เมื่อครู่นี้เหมียวอี้ไม่ได้สู้กับคนที่เห่าหอนพวกนั้นเลย แต่กำลังสู้กับเทียนหยวนและภรรยาโดยตรง!
อวิ๋นจือชิวคิดแล้วรู้สึกกลัวทีหลัง เมื่อครู่ตอนที่เกิดเรื่อง เกรงว่าเหมียวอี้คงจะไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะต่อสู้ด้วยซ้ำ
ขณะเอียงหน้ามองเหมียวอี้ที่กำลังเหาะอย่างเงียบๆ อวิ๋นจือชิวก็ทั้งกลัวทั้งปลื้มใจ พบว่าตัวเองดูถูกผู้ชายของตัวเองไปแล้ว เขาไม่ใช่คนที่ดีแต่ทำอะไรบุ่มบ่ามวู่วาม
หารู้ไม่ว่าที่เหมียวอี้สามารถอดทนแบบนี้ได้ เป็นเพราะมีอีกเหตุผลหนึ่ง เพราะมีอวิ๋นจือชิวอยู่ในเหตุการณ์ด้วยเหมือนกัน ถ้าทะเลาะกันขึ้นมาแล้วเขาเสียเปรียบ อวิ๋นจือชิวจะต้องลุกขึ้นยืนเพื่อเขาแน่นอน แบบนั้นจะทำให้อวิ๋นจือชิวลำบากไปด้วย ส่วนหวงฝู่จวินโหรวกลับเป็นคนที่ค่อนข้างทำอะไรสอดคล้องกับความเป็นจริง
“เปลี่ยนเส้นทาง!” เมื่อหันกลับไปสำรวจข้างหลังครู่หนึ่ง จู่ๆ เหมียวอี้ก็บอกให้เปลี่ยนเส้นทาง พาคนวนอ้อมรอบหนึ่ง ไม่ได้กลับเป็นเส้นทางแนวตรง
และในจวนแม่ทัพภาคตงหัว หลังจากเหมียวอี้กล่าวขอตัวลาไปแล้ว ปี้เยว่ฮูหยินกำลังยืนทอดถอนใจอยู่ในโถง ท่านโหวเทียนหยวนเดินเอามือไขว้หลังออกมาอย่างไร้สุ้มเสียง แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มบางๆ “สงสัยตอนแรกข้าจะไม่ได้มองคนผิดจริงๆ เป็นคนที่ส่าสนใจจริงๆ เป็นข้าเองที่คิดมากไป ทำตัวเป็นคนต่ำทรามไปแล้วรอบหนึ่ง!”
“หมายความว่ายังไง?” ปี้เยว่ฮูหยินหันกลับมาถาม
เทียนหยวนยิ้มตอบ “ไม่ได้หมายความว่ายังไงหรอก ลูกน้องข้าคนนี้ไม่ใช่คนที่พูดจาเหลวไหล รู้สึกว่าให้ลูกน้องแบบนี้เอาชีวิตไปทิ้งช่างน่าเสียดายจริงๆ แต่จนใจที่เรื่องบางเรื่องเจ้ากับข้าตัดสินใจเองไม่ได้! ช่างเถอะ วันนี้ไม่พูดเรื่องคนอื่นแล้ว เจ้ากับข้ามามีความสุขกันสักหน่อยเถอะ!” พูดจบก็อุ้มปี้เยว่ฮูหยินเดินออกไป…
เหมียวอี้ที่กลับมาถึงตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวนเงียบงันไปนานมาก เดิมทีเขาอยากจะให้สวีถังหรานสร้างสถานการณ์แล้วตัดหัวคนอีกสักชุด ทว่าเมื่อผ่านเรื่องที่จวนแม่ทัพภาคตงหัวมาแล้ว ก็ทำให้เขาต้องหดเงื้อมมือที่เตรียมจะยื่นออกไปกลับเข้ามา กลัวว่าจะโดนคนอื่นฉวยโอกาสนี้จับผิด เมื่อไม่มีปี้เยว่ฮูหยินสนับสนุน เขาก็ไม่มีสิทธิ์ทำอะไรตามอำเภอใจที่ดาวเทียนหยวนแล้ว
ทว่าในที่สุดเรื่องที่เกิดขึ้นที่จวนแม่ทัพภาคตงหัวก็แพร่ไปทั่วทั้งตลาดสวรรค์แล้ว เมื่อมีคนจงใจช่วยกระพือข่าว แอบเผยแพร่อย่างอึกทึกครึกโครม ชั่วประเดี๋ยวเดียวผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์อย่างเหมียวอี้ก็กลายเป็นเรื่องตลกแล้ว ทั้งยังใส่สีตีไข่จนยิ่งไม่น่าฟังขึ้นเรื่อยๆ เรียกได้ว่าพูดไปต่างๆ นาๆ
ถึงขั้นมีข่าวแพร่ออกไปว่าเหมียวอี้โดนบังคับให้คุกเข่าเลียพื้นรองเท้าด้วย สรุปก็คือทุกคนรู้กันหมดแล้วว่าเขาโดนสร้างความอัปยศต่อหน้าฝูงชนแต่ไม่กล้าเถียงสักคำ
เพียงแต่เรื่องที่คนหลายพันโดนตัดหัวยังมีอานุภาพที่ยังหลงเหลืออยู่ จึงยังไม่มีใครกล้าพูดเรื่องนี้อย่างเปิดเผยที่นี่ ทุกอย่างล้วนเผยแพร่ไปอย่างลับๆ
ในห้องทำงานห้องหนึ่ง เกาก้วน ทูตตรวจการขวาของตำหนักสวรรค์กำลังนั่งโบกมืออยู่หลังโต๊ะยาว ลูกน้องคนหนึ่งที่นำแหวนเก็บสมบัติวางบนโต๊ะกุมหมัดกล่าวอำลาแล้วถอยออกไป
ไม่นานบนโต๊ะยาวก็มีแผ่นหยกวางเป็นกอง ล้วนเป็นรายงานที่เบื้องล่างรายงานขึ้นมา เรื่องราวที่อาณาเขตแต่ละแห่งของตำหนักสวรรค์สามารถสืบค้นได้ล้วนอยู่ในรายงานรวมนี้หมดแล้ว หลังจากเขากับซือหม่าเวิ่นเทียนเลือกสรรแล้ว ก็จะนำข่าวที่รู้สึกว่ามีค่าพอหรือมีความสำคัญรายงานขึ้นไปให้ราชันสวรรค์รู้ ถ้านำทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ส่งไปให้ราชันสวรรค์หมด ถ้านำเรื่องราวมากมายในใต้หล้ามากองรวมกัน ราชันสวรรค์ก็ไม่ต้องฝึกตนกันพอดี เรื่องที่ควรจะแบ่งไปให้เบื้องล่างก็ย่อมต้องแบ่งไปให้เบื้องล่างจัดการ เพียงแต่จะเลือกให้ใครดูแลเรื่องอะไรก็เท่านั้นเอง สิ่งที่ราชันสวรรค์ต้องทำก็คือเลือกใช้คน
เกาก้วนเลือกไปได้สักพัก ก็เลือกข่าวทางจวนแม่ทัพภาคตงหัวมาอ่านก่อน เรื่องงานเลี้ยงฉลองของปี้เยว่ฮูหยินก็ย่อมรวมอยู่ในนั้นด้วย
หลังจากเจอข่าวที่เหมียวอี้โดนทำให้อับอาย เกาก้วนก็ตั้งสติอยู่นานมาก สุดท้ายก็พึมพำกับตัวเองเบาๆ ว่า “สมกับเป็นคนที่ใช้ความคิดเลือกสรรมาอย่างดี ทำให้คนวางใจไม่น้อยเลย…”
จากนั้นก็อ่านแผ่นหยกทั้งฉบับจนหมด สุดท้ายก็ยิ้มมุมปากพร้อมพูดเหน็บแนมเบาๆ ว่า “งานเลี้ยงมีหน้ามีตา…อย่ามาเสียใจทีหลังแล้วกัน!”
ที่พูดเหน็บแนมต่องานเลี้ยงที่มีหน้ามีตาของปี้เยว่ฮูหยิน ก็เพราะเขาเป็นคนริเริ่มเรื่องปรับปรุงตลาดสวรรค์ แผนการของราชันสวรรค์กับราชินีสวรรค์ เขาคือคนที่เข้าใจดีที่สุด ตอนนี้ทำไปเพื่อไม่ให้เรื่องปรับปรุงตลาดสวรรค์โดนสกัดตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อให้วิธีการดำเนินงานใหม่ของตลาดสวรรค์เป็นไปในแนวทางที่ถูกต้อง ถึงได้ประกาศว่าจะทดสอบผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ รอให้เวลานานไปแล้วทุดคนเห็นพ้องต้องกันกับวิธีการดำเนินงานในปัจจุบัน รอให้คนที่ได้ประโยชน์บอกว่าทำแบบนี้แล้วดี การทดสอบผู้บัญชาการใหญ่ของลาดสวรรค์ก็จะจบลงเช่นกัน ต่อไปก็จะถึงคราวที่คนระดับแม่ทัพภาคของตลาดสวรรค์จะต้องไปทดสอบในนรกต่อแล้ว ตอนหลังก็จะทดสอบหัวหน้าภาค การทดสอบหัวหน้าภาคใหญ่ก็จะทยอยจัดขึ้นเช่นกัน คนที่เห็นด้วยกับการทำแบบนี้ก็จะไม่สะดวกจะกลับคำพูดแล้ว
ราชันสวรรค์ตัดสินใจที่จะควบคุมตลาดสวรรค์ ตัดสินใจที่จะควบคุมช่องทางร่ำรวยที่ใหญ่ที่สุดของขุนนางในราชสำนักแล้ว ต่อให้แรงกดดันจะมากกว่านี้แต่ก็ต้องผลักดันต่อไป ราชินีสวรรค์นำอิทธิพลของตระกูลเซี่ยโห้วปะทะอยู่ข้างหน้า ส่วนราชันสวรรค์ก็คอยหนุนอยู่เบื้องหลังราชินีสวรรค์
เมื่อถึงตอนนั้นแล้ว เมื่อถึงคราวทดสอบแม่ทัพภาคของตลาดสวรรค์ เกาก้วนก็นึกไม่ออกว่าปี้เยว่ฮูหยินยังจะมีอะไรให้ดีใจอีก…
ในจวนผู้บัญชากการเขตเมืองตะวันออก ภายใต้ดอกไม้ที่สว่างนวลใต้แสงจันทร์ มักจะเห็นสวีถังหรานเอามือไขว้หลังเดินช้าๆ พร้อมทอดถอนใจอยู่บ่อยๆ เขาเงยหน้ามองดวงจันทร์ที่ส่องสว่าง อนาคตน่ากังวล!
เขาดันขึ้นเรือลำเดียวกับโจรเสียแล้ว
ในร้านค้าร้านร้านหนึ่ง เมื่อเผชิญกับคำพูดอัปยศอดสูที่เผยแพร่อยู่ข้างนอก ฉินเวยเวยกำลังมองผู้คนที่สัญจรไปมาอยู่นอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย นางเป็นกังวลมากเช่นกัน
ก๊อกๆ! ด้านนอกมีเสียงเคาะประตู ฉินเวยเวยรู้ได้โดยไม่ต้องเดาว่าเป็นใคร “เข้ามา!”
พอประตูเปิดแล้วหันกลับมามอง ก็พบว่าเป็นอย่างที่คาดไว้ ฝ่าอินที่แต่งหน้าเข้มและเสียบเครื่องประดับศีรษะอันงดงามประณีตบนศีรษะผลักประตูเข้ามาแล้ว
พอฝ่าอินเข้ามายืนในห้อง สองมือก็จับกระโปรงลายดอกกางขึ้น แล้วหมุนตัวพร้อมถามด้วยรอยยิ้มว่า “เวยเวย ข้าแต่งตัวแบบนี้เป็นยังไงบ้าง? ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นผู้หญิงที่อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนรึยัง?”
ฉินเวยเวยสะอิดสะเอียนกับการแต่งหน้าที่ฉูดฉาดของนางแล้วจริงๆ มีคุณสมบัติประจำตัวที่บริสุทธิ์สูงส่งแท้ๆ แต่กลับแต่งหน้าทาแป้งให้ตัวเองกลายเป็นผู้หญิงธรรมดาๆ ไปได้ ริมฝีปากก็ทาจนแดงเหมือนไปดื่มเลือดไก่มา ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมทุกครั้งที่สาวงามคนนี้เดินตลาดจึงทำให้คนเดินถนนเป็นฝ่ายหลีกทางให้ก่อนได้
เพียงแต่นางอาศัยอยู่ร้านเดียวกับฝ่าอิน จึงสะอิดสะเอียนจนชินตั้งนานแล้ว นางขมวดคิ้วบอกว่า “ด้านนอกกำลังพูดจาว่าร้ายนายท่านไปทั่ว เจ้าไม่เป็นห่วงนายท่านสักนิดเชียวหรือ? ยังมีกะจิตกะใจมาแต่งตัวอยู่ในนี้อีกเหรอ?”
ฝ่าอินยิ้มพร้อมตอบว่า “คิดมากไปแล้ว ใส่ร้ายป้ายสีข้า รังแกข้า ดูหมิ่นข้า หัวเราะเยาะข้า ดูแคลนข้า ชั่วร้ายกับข้า หลอกลวงข้าแล้วอย่างไรล่ะ? แค่อดทนกับเขา ถอยให้เขา ตามใจเขา หลีกเลี่ยงเขา เคารพเขา แล้วรออีกไม่กี่ปี เจ้าคอยดูเขาไว้! การที่นายท่านไม่สนใจกับสิ่งนี้ ถึงจะเป็นผู้มีปัญญาที่แท้จริง ทำไมเวยเวยถึงคิดมากล่ะ?”
“เจ้าบอกว่าเจ้าต้องการเข้าสู่ทางโลก แต่ปากพูดถึงแต่คำสอน” ฉินเวยเวยกนอกตามองนาง
ฝ่าอินเอามือปิดปากทันที ชาดทาปากถูกเช็ดเป็นรอยอยู่ที่มุมปากแล้ว จะเห็นได้เลยว่าทาไปหนาขนาดไหน นางก้าวขึ้นมาดึงแขนฉินเวยเวย “งั้นพวกเรามาคุยเรื่องทางโลกกันหน่อยดีกว่า ตอนที่เจ้ากับสามีร่วมห้องกัน เจ้าบอกข้าหน่อยสิว่ารสชาติเป็นยังไง”
ฉินเวยเวยอับอายจนเหงื่อแตก แต่รู้ว่าถ้าไม่พูด นางก็จะกวนใจเหมือนแมลงวันหัวเขียว ส่งเสียงหึ่งๆ อยู่ข้างหูเจ้าตลอด จึงตอบส่งๆ ไปว่า “อธิบายไม่ชัดเจนหรอก รอให้เจ้าลองกับนายท่านสักครั้งก็จะรู้แล้ว”
ฝ่าอินแห้งเหี่ยวทันที “ท่านสามีงานยุ่งตลอด ไม่มีเวลาร่วมห้องกับข้าเลย ว่ากันว่ามนุษย์เราทำงานลำบากมาก ดูจากที่ท่านสามีงานยุ่งขนาดนี้ก็รู้แล้ว”
ฉินเวยเวยพูดไม่ออก พอพูดถึงเรื่องนี้นางก็โมโหนิดหน่อย หลังจากอยู่ร่วมกับเทพเจ้าแห่งโรคห่าอย่างฝ่าอิน เหมียวอี้ก็ตกใจจนไม่กล้ามาที่นี่เลย
แต่ใครจะคิดว่าฝ่าอินจะกลับมามีชีวิตชีวาเร็วมาก นางดึงแขนฉินเวยเวยพร้อมพูดอย่างกระปรี้กระเปร่าอีกว่า “ข้าได้ยินว่าผู้หญิงในบ้านสามารถร่วมห้องกับชายอื่นได้ด้วย ทางโลกเรียกกันว่าแอบคบชู้ สามารถทำเรื่องแบบนั้นได้เหมือนกัน สามารถสัมผัสกับรสชาตินั้นได้เช่นเดียวกัน เวยเวย เจ้าคิดว่าข้าแอบไปคบชู้กับผู้ชายแบบไหนถึงจะเหมาะสม?…ช่างเถอะ เจ้าไม่ต้องบอกหรอก เดี๋ยวข้าไปเดินหาเอาที่ตลาดก็ได้ หาผู้ชายสักคนที่ตัวเองถูกชะตาก็ไม่เลวเหมือนกัน”
โอ้สวรรค์! ฉินเวยเวยตะลึงค้างราวกับโดนฟ้าผ่าทันที จากนั้นก็รู้สึกกลัวขึ้นมา รีบดึงนางไว้อย่างลุกลี้ลุกลน พบว่าผู้หญิงคนนี้ฝึกตนอยู่กับธรรมเนียมพุทธตั้งแต่เด็กจนกลายเป็นคนโง่ไปแล้วจริงๆ มีผู้หญิงที่ไหนสามารถพูดเรื่องแบบนี้ได้อย่างสบายปากบ้างล่ะ ถ้าทำเรื่องที่น่าโดนจับใส่กรงถ่วงน้ำแบบนั้นจริงๆ ก็อย่าว่าแต่ฝ่าอินเลย ถึงตอนนั้นฉินเวยเวยเองก็จะโดนอวิ๋นจือชิวถูกจับหักขาด้วยเหมือนกัน
“ฝ่าอิน ผู้หญิงแอบคบชู้ไม่ได้นะ”
“ทำไมไม่ได้ล่ะ?”
“เพราะนั่นคือเรื่องที่น่าอับอายในสังคม”
“หรือพูดได้อีกอย่างว่า ถ้าลองแอบคบชู้แล้วจะได้สัมผัสประสบการณ์ที่เรียกว่าความเปลี่ยนแปลงของน้ำใจมนุษย์มากขึ้น เป็นแบบนี้ใช่หรือเปล่า?”
เมื่อเห็นว่ายิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ ฉินเวยเวยก็แทบจะระเบิดอารมณ์ นางรู้ว่าผู้หญิงคนนี้สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้จริงๆ ไม่สามารถใช้เหตุผลปกติคุยกับนางได้เลย ทำได้เพียงพูดหลอกลวง ดึงนางมาพูดตบตาทันทีว่า “เจ้าแต่งงานแล้ว ต้องร่วมห้องกับสามีของตัวเองก่อน ตอนหลังถ้าได้รับอนุญาตจากสามีแล้ว เจ้าถึงจะแอบคบชู้ได้ ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่เรียกว่าคบชู้ เข้าใจมั้ย?” คำพูดพวกนี้น ขนาดนางพูดเองยังอับอายจนเหงื่อแทบแตกเลย
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้…” ฝ่าอินพึมพำพลางพยักหน้าช้าๆ
ในอ่างอาบน้ำของตำหนักคุ้มเมือง หวงฝู่จวินโหรวที่ปล่อยผมยาวสยายนั่งเปลือยอยู่ในอ่างน้ำเอนกายพิงขอบอ่าง เหมียวอี้ที่ร่างเปลือยเปล่าเอนกายอยู่ในอ้อมอกนาง ศีรษะหนุนอยู่บนหน้าอกขาวอวบอิ่มพลางหลับตางีบ ดื่มด่ำความรู้สึกยามหวงฝู่ออกแรงนวดขมับให้เขา
หลังจากคุยเรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับข่าวลือข้างนอกไปสักพัก หวงฝู่จวินโหรวก็วางมือมากอดเหมียวอี้ แล้วลองถามหยั่งเชิงว่า “ข้างนอกมีข่าวลือบิดเบือนเกี่ยวกับเจ้ามากมายขนาดนั้น เจ้าไม่โกรธสักนิดเลยเหรอ?”
“โกรธแล้วจะมีประโยชน์เหรอ?” เหมียวอี้ยิ้มบางๆ แล้วลืมตาสองข้าง มือที่อยู่ใต้น้ำบีบนวดต้นขาของนาง “โกรธแล้วแก้ปัญหาไม่ได้ แค่ต้องพิสูจน์ว่าไม่ได้เป็นแบบนี้พวกเขาบอกก็พอแล้ว
หวงฝู่ใช้นิ้ววาดบนหน้าอกของเขาหลายวง “จะพิสูจน์ยังไง?”
ในดวงตาเหมียวอี้ฉายแววดุดันแวบหนึ่ง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มทันที “ใช้เวลาพิสูจน์”
“เฮ้อ!” ถอนหายใจเบาๆ “ข้าแค่รู้สึกว่าถ้ามีคนใส่ร้ายเจ้าแบบนี้ต่อไป ก็จะทำให้ชื่อเสียงของเจ้าป่นปี้หมดแล้ว”
เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ ยกมือลูบใบหน้าที่อยู่เหนือศีรษะตัวเอง “แค่คำด่าเล็กน้อยพวกนั้นจะสำคัญอะไร ตลอดทางที่เดินมา ข้าโดนด่าจนชินแล้ว”
“เจ้าเคยโดนคนด่าแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร?” หวงฝู่แปลกใจ แล้วถามหยั่งเชิงว่า “ด่าว่าเจ้าแอบคบกับผู้หญิงที่มีสามีแล้วน่ะเหรอ?” สิ่งที่นางนึกได้ก็คือเรื่องของเถ้าแก่เนี้ยร้านโฉมเมฆา
เหมียวอี้ยิ้มพลางส่ายหน้า เรื่อง ‘ไอ้เหมียวจัญไร’ ในปีนั้น เรื่องแต่งงานกับผู้หญิงมือสองในปีนั้น เพียงแต่ไม่สะดวกจะพูดออกมา
ไม่อยากพูดเรื่องนี้อีกแล้ว เขาพลิกตัวแล้วจูบบนริมฝีปากนาง โถมทับทั้งร่างกายให้ลงไปพัวพันกันอยู่ในน้ำ…
หลังจากนั้นหนึ่งเดือน เมื่อเตรียมวัตถุดิบหลอมขอวิเศษครบแล้ว เหมียวอี้ก็ออกจากตลาดสวรรค์ คนที่ออกไปด้วยกันยังมีอวิ๋นจือชิวและเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ พวกเขากลับพิภพเล็กด้วยกัน จะกลับไปร่วมงานแต่งงานของเยารั่วเซียน
…………………………
บทที่ 1182 การขู่ของอวิ๋นรั่วซวง
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อได้กลับมาที่พิภพเล็กอีกครั้ง เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยอ๋อร์ที่จากที่นี่ไปนานหลายปีก็ตื่นเต้นดีใจอยู่บ้าง เพียงแต่จิตใจและโลกทัศน์ต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิงแล้ว
ยามเผชิญหน้ากับการคำนับของทุกคนที่แดนอู๋เลี่ยง ทั้งสองก็มีท่าทีสงบเยือกเย็น สำหรับการยึดครองอาณาเขตของปราชญ์เต๋าเฟิงเป่ยเฉินได้ ทั้งสองเหมือนจะไม่รู้สึกเหนือความคาดหมายเลยสักนิด เมื่อได้เห็นนักพรตของพิภพเล็กอีกครั้ง ก็มองด้วยสายตาสอบสวนราวกับอยู่สูงกว่า ทำให้คนอื่นๆ รู้สึกกดดัน
บางทีทั้งสองอาจจะไม่ได้สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของตัวเองก็ได้ นึกย้อนไปยังปีแรกที่ติดตามเหมียวอี้ที่ถ้ำคล้อยบูรพา พวกนางระมัดระวังเรื่องเล็กๆ น้อยๆ กดดันราวกับเหนือหัวมีภูเขากดทับหลายลูก ทว่าในตอนนี้หญิงรับใช้อย่างพวกนางสองคนเป็นบุคคลที่อยู่เหนือคนมากมายในพิภพเล็กแล้ว ตอนแรกจะคาดคิดได้อย่างไรว่าตัวเองจะมีวันนี้ได้
โชคชะตาก็เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์แบบนี้ ในปีนั้นมีคนที่เข้าร่วมการคัดเลือกหญิงรับใช้กับพวกนางตั้งมากมาย มีบางคนยังติดตามรับใช้เจ้านายตัวเองอยู่ในตำแหน่งต่ำต้อยอยู่เลย เมื่อพูดถึงหญิงรับใช้ทั้งสองของเหมียวอี้แห่งนภาอู๋เลี่ยง ถึงแม้ในปีนั้นจะรู้จักกัน แต่ตอนนี้กลับไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะได้แสดงความเคารพด้วยซ้ำ มีบางคนที่ไม่ได้ถูกท่านเซียนคัดเลือก พอออกจากสถานที่ฝึกอบรมก็ตกอับไปเป็นอนุภรรยาของมนุษย์ธรรมดา แก่ตายกลายเป็นกองดินตั้งนานแล้ว
พอกลับมาที่นี่ อวิ๋นจือชิวก็ให้ทั้งสองหยุดพักทันที ให้ทั้งสองไปเที่ยวเล่นให้เต็มที่ ถึงอย่างไรตอนนี้ที่พิภพเล็กก็ไม่มีใครเป็นภัยคุกคามต่อเหมียวอี้ได้ ต่อให้ก่อเรื่องใหญ่โตก็ไม่เป็นไร มีเหมียวอี้คุ้มครองอยู่
หญิงรับใช้ทั้งสองออกไปข้างนอกอย่างตื่นเต้นดีใจพร้อมกับองครักษ์ที่หยางชิ่งส่งมา รีบไปพบเยารั่วเซียนที่สำนักงามวิจิตร อยากจะเห็นว่ามารดาบุญธรรมในอนาคตหน้าตาเป็นอย่างไร
ยามอยู่ต่อหน้าเหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิว พวกนางสองคนเป็นบ่าวรับใช้ แต่พอออกจากข้างกายสองคนนั้น พวกนางก็เป็นบุคคลที่อยู่ในระดับเจ้านายของใต้หล้า
“พี่หญิงใหญ่ พี่เขย!”
อวิ๋นรั่วซวงที่สวมชุดกระโปรงสีชมพูวิ่งกระโดดโลดเต้นออกมาจากตำหนักหลัง ดวงตางามกลมโต แต่พอมองเห็นคนด วงตาทั้งคู่ก็ยิ้มจนกลายเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว ข้างปากมีลักยิ้มเล็กๆ สองข้าง ฟันขาวสะอาดทั้งปาก ดูน่ารักซุกซน
“อืม!” เหมียวอี้พยักหน้ายิ้มแห้งๆ พอเห็นน้องสะใภ้ตัวน้อยคนนี้เขาก็ปวดประสาทนิดหน่อย จิตใต้สำนึกพาให้เขานึกถึงหลัวซวงเฟยผู้เหลวไหลที่มีไฝเส้นขนงอกบนใบหน้า
หลังจากอวิ๋นอ้าวเทียนและคนอื่นๆ ออกจากพิภพเล็กไป อวิ๋นรั่วซวงก็มาหาพี่หญิงใหญ่กับพี่เขยที่นี่ แต่พอหาตัวไม่เจอ นางเด็กน้อยคนนี้ก็วางยาเหยียนซิวเสียเลย พอวางยาจนเหยียนซิวจนเลอะเลือนแล้ว ก็ล้วงข้อมูลจนรู้เรื่องพิภพใหญ่จากปากเหยียนซิว ก็ดีเลย งั้นนางก็อยู่ที่นี่ไม่ไปไหนแล้ว ยึดครองตำหนักอู๋เลี่ยงแล้ว
หยางชิ่งที่นั่งรักษาการณ์อยู่ที่นี่ปวดหัวกับบรรพบุรุษผู้เหลวไหลท่านนี้มาก จะด่าก็ด่าไม่สะดวก จะตีก็ตีไม่ได้ จะไล่ก็ไล่ไม่ได้
“พี่เขย ท่านเห็นข้าแล้วไม่ดีใจเหรอ?” อวิ๋นรั่วซวงเอามือไขว้หลังพร้อมยื่นหน้าเข้ามาใกล้เหมียวอี้
เหมียวอี้หัวเราะแห้งๆ พลางถอยหลังโดยจิตใต้สำนึก
“ไอ๊หยา!” อวิ๋นรั่วซวงพลันร้องอย่างเจ็บปวด อวิ๋นจือชิวบิดหูนางเดินออกไปแล้ว บิดหูไปพลางด่าไปพลาง “เจ้าอยากจะเรียนรู้การเป็นกุลสตรีไม่ใช่เหรอ? เป็นกุลสตรีได้ไม่กี่วันก็เผยร่างเดิมเสียแล้ว กล้าถ่อมาวางยาพิษถึงที่นี่ เจ้าวอนมือวอนเท้านักใช่มั้ย!”
“พี่หญิงใหญ่ ข้าผิดไปแล้ว ถ้าบิดหูอีกหูข้าจะหลุดแล้วนะ…”
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยอ๋อร์ไม่อยู่ หยางชิ่งจึงโบกมือให้ฉินซีพาชิงเหมยกับชิงจวี๋ไปคอยรับใช้อยู่ข้างกายอวิ๋นจือชิว จากนั้นก็เดินเล่นช้าๆ อยู่ข้างกายเหมียวอี้ รายงานเรื่องบางอย่างให้รู้
หลังจากรายงานเรื่องสำคัญเสร็จ หยางชิ่งก็เอ่ยถึงคนคนหนึ่ง “นายท่าน นี่คือจดหมายที่น้องสาวของท่านฝากไว้ขอรับ”
“น้องสาวของข้าเหรอ?” เหมียวอี้งงไปชั่วขณะ เจ้าสามอยู่ที่พิภพใหญ่ไม่ใช่เหรอ?
หยางชิ่งเตือนว่า “แดนเซียนขอรับ เหวินฟางจากสมาคมร้านค้าแดนเซียน”
“อ้อ!” เหมียวอี้เข้าใจในทันที หยางชิ่งเคยส่งข่าวมาบอกเขาแล้ว ว่าเหวินฟางเคยมาหาเขา แต่ว่าเขาไม่อยู่ แล้วทางหยางชิ่งเองก็ไม่สะดวกจะบอกว่าเขาไปที่ไหน เหวินฟางที่ค่อนข้างผิดหวังจึงทำได้เพียงทิ้งจดหมายไว้แล้วจากไป กว่านางจะเดินทางมาได้สักครั้งนั้นไม่ง่ายเลย
พอหยิบจดหมายขึ้นมาอ่าน ก็พบว่าในนั้นเป็นคำพูดหยอกล้อทั้งหมด บอกประมาณว่าตอนนี้เขามีหน้ามีตาแล้ว คงจะลืมน้องสาวคนนี้ไปแล้วใช่มั้ย
เหมียวอี้ปาดเหงื่อนิดหน่อย ถ้าไม่พูดถึงเรื่องนี้ เขาก็ลืมน้องสาวจอมเอาเปรียบคนนี้ไปแล้วจริงๆ ถ้าจะพูดแบบไม่น่าฟังหน่อยก็คือ ด้วยสถานการณ์ของเขาในตอนนี้ เขาจะไปจำตัวละครเล็กๆ แบบนี้ได้อย่างไร
หลังจากอ่านจบ เหมียวอี้ก็ไตร่ตรองเล็กน้อย ก่อนจะบอกว่า “วรยุทธ์อย่างนางทำให้ไปไหนมาไหนลำบาก ส่งคนไปรับนางมาแล้วกัน ผู้หญิงคนนี้รักความก้าวหน้ามาก สามารถทนงานลำบากได้ด้วย แต่อยู่ที่แดนเซียนไม่มีโอกาสอะไร ข้าจะบอกทางมู่ฝานจวินเอง เจ้าไปที่ดูสมาคมร้านค้าของแดนอู๋เลี่ยงสักหน่อย จัดหาตำแหน่งที่เหมาะสมให้นางสักตำแหน่ง ถึงแม้จะไม่ใช่ท้องสาวแท้ๆ แต่ในปีนั้นก็มีไมตรีต่อกันจริงๆ ช่วยข้าดูแลสักหน่อย ให้โอกาสนางสักหน่อยแล้วกัน”
“ขอรับ!” หยางชิ่งเอ่ยรับ “เดี๋ยวจะกลับไปจัดการขอรับ”
เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วถามอีกว่า “เรื่องของถานเล่ากับเย่ซินล่ะ ทางจูเก๋อชิงไม่ได้ทำอะไรสองคนนั้นใช่มั้ย?”
หยางชิ่งยิ้มพร้อมตอบว่า “นางก็ยังกล่าวคำเดิม ตราบใดที่จัดงานแต่งงานที่พรรคดรุณีหยก และให้นายท่านเป็นเจ้าภาพจัดงานให้ทั้งสอง นางก็จะไม่มีความเห็นแย้งใดๆ แน่นอน เจตนาของนางเดาได้ไม่ยากเลย หลังจากสำนักของแดนเซียนสายมะโรงถูกบังคับให้ย้ายมาอยู่ที่นี่หมด ถ้าอยากจะลงหลักปักฐานที่แดนอู๋เลี่ยงก็ค่อนข้างยากลำบาก ดังนั้นนางจึงอยากจะอาศัยอิทธิพลของนายท่าน เพื่ออนาคตของพรรคดรุณีหยก เจ้าสำนักอย่างนางก็เรียกได้ว่าทุ่มกำลังความคิดไปเยอะมาก และเห็นได้ชัดว่านางก็แน่ใจแล้วเช่นกัน ว่าในเมื่อนายท่านสามารถเอ่ยปากแบบนี้ได้ ก็จะตอบตกลงได้เพราะเห็นแก่หน้าถานเล่าและเย่ซินเช่นกัน ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนี้ ข้าน้อยจะต้องให้บทเรียนนางแน่นอน!”
เหมียวอี้ส่ายหน้าหัวเราะ “พอแล้ว มาครั้งนี้ก็ถือโอกาสจัดการเรื่องเบ็ดเตล็ดพวกนี้ไปด้วยกันเสียเลยเถอะ ข้าอยู่ที่นี่อย่างมากก็แค่สองเดือน เจ้าบอกให้นางเตรียมการแข่งกับเวลาแล้วกัน ถึงตอนนั้นข้าไปสักเที่ยวก็สิ้นเรื่องแล้ว”
“ขอรับ!” หยางชิ่งเอ่ยรับ
“เออใช่ เรื่องงานแต่งงานของเยารั่วเซียนกับโม่จวินหลัน เจ้าจัดให้มีหน้ามีตาหน่อยนะ”
“เกรงว่าจะไม่ได้ขอรับ ทางนั้นหวังว่าจะจัดให้เรียบง่าย เป็นเจตนาของโม่จวินหลัน พอจะเข้าใจความรู้สึกของโม่จวินหลันได้ ถึงอย่างไรก็เคยผ่านการแต่งงานมาแล้วครั้งหนึ่ง”
“งั้นก็ตามใจพวกเขาแล้วกัน”
ตอนบ่าย เมื่อรู้ว่าเหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวมาแล้ว เยารั่วเซียนก็พาโม่จวินหลันไปคำนับด้วยกัน เห็นได้ชัดว่าโม่จวินหลันค่อนข้างละอายใจ
เรื่องนี้ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือเหมียวอี้สังเกตเห็น ว่าหลังจากเยารั่วเซียนกลายเป็นเจ้าสำนักแล้ว เจ้าตัวก็พิจารณาเรื่องต่างๆ เพื่ออนาคตของทั้งสำนักโดยยืนอยู่ในมุมของเจ้าสำนัก ไม่เห็นแก่ตัวเองอีกแล้ว รู้จักเรียนรู้ที่จะเป็นฝ่ายมาคำนับก่อนแล้ว
แน่นอน เห็นได้ชัดว่าเยารั่วเซียนยังอยากจะรักษาหน้าสักหน่อย ถึงอย่างไรก็ดื้อรั้นกับเหมียวอี้มาหลายปีขนาดนั้น จึงมาโดยอ้างว่ามาเยี่ยมเฮยทั่น
ส่วนเชียนเอ๋อร์กับเสวี่ยอ๋อร์ก็ไปเที่ยวเล่นอย่างผ่อนคลายแล้วจริงๆ
ในตำหนักอู๋เลี่ยง เยารั่วเซียนกำลังลูบตัวเฮยทั่นพลางสื่อสารกัน เห็นได้ชัดว่าเขาค่อนข้างตื่นเต้นดีใจ วัดตัวให้เฮยทั่นด้วยตัวเอง เตรียมจะหลอมสร้างเกราะรบให้เฮยทั่น
ส่วนอวิ๋นจือชิวก็จูงมือโม่จวินหลันและพูดคุยยิ้มแย้มอยู่ด้วยกัน นางมีของขวัญมอบให้ต่างหาก เหมียวอี้เห็นแล้วแอยส่ายหน้า ผู้หญิงคนนี้กำลังใช้อุบายซื้อใจคนอีกแล้ว
ฉวยโอกาสตอนที่อวิ๋นจือชิวไม่ว่างเพราะต้องรับแขก อวิ๋นรั่วซวงแอบตามเหมียวอี้ เกาะแกะกวนใจกับเขาแล้ว
ไม่ว่าเหมียวอี้จะเดินไปที่ไหน อวิ๋นรั่วซวงก็ตามไปที่นั่น ดึงแขนเสื้อเหมียวอี้ไม่ยอมปล่อย พัวพันเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย “พี่เขย พาข้าไปด้วยสิ พาข้าไปดูที่พิภพใหญ่หน่อยสิ พี่เขยคนดี พี่เขยที่รัก ขอร้องท่านเถอะนะ”
เหมียวอี้ที่ถูกดึงแขนเสื้อหยุดฝีเท้าอยู่ใต้ชายคาอย่างจนใจ “ซวงเอ๋อร์ ชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดกัน อย่าฉุดดึงข้าได้มั้ย?”
อวิ๋นรั่วซวงยิ้มตาหยีทันที ดวงตางามทั้งคู่กลายเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว “งั้นท่านตอบตกลงข้าก็สิ้นเรื่องแล้วนี่นา”
เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วบอกว่า “เรื่องนี้ข้าตัดสินใจเองไม่ได้ เจ้าไปหาพี่สาวเจ้าไป”
“ถ้าไปหานางแล้วได้ผล ข้าจะมาหาท่านทำไมล่ะ?” อวิ๋นรั่วซวงถาม
เหมียวอี้พยายามแกะมือนางออก “งั้นก็ขออภัยที่ข้าไร้ความสามารถ ขนาดข้ายังต้องเชื่อฟังพี่สาวเจ้าเลย”
“ไม่ใช่แล้วมั้งท่าน? ชายผู้ยิ่งใหญ่อย่างท่านยังกลัวเมียอีกเหรอ เมียท่านเข้มงวดเหรอ?” อวิ๋นรั่วซวงถลึงตาถาม
“เชอะ!” เหมียวอี้โบกมืออย่างดูถูก แล้วหันตัวก้าวเข้าไปในประตูพระจันทร์ “เจ้าจะพูดยังไงก็เรื่องของเจ้าเถอะ”
“หยุดนะ!” อวิ๋นรั่วซวงกระทืบเท้า แล้วขู่ว่า “ถ้าท่านไม่ตอบตกลง ข้าก็จะบอกพี่สาวข้า ว่าท่านเคยไปหอโคมเขียว!”
“ใช้มุกนี้กับข้าไม่ได้ผลหรอก” เหมียวอี้ยิ้มพลางเอามือไขว้หลัง แล้วเดินไปข้างหน้าต่อ
พรึ่บ! จู่ๆ อวิ๋นรั่วซวงก็ถลันตัวมาขวางตรงหน้าเขา ใช้สองมือดึงคอเสื้อของตัวเองไว้ ทำท่าเหมือนจะฉีกเสื้อตรงหน้าอกตัวเอง พร้อมเตือนอย่างจริงจังว่า “ถ้าไม่พาข้าไปพิภพใหญ่ ข้าก็จะฉีกเสื้อผ้าตัวเอง แล้วบอกพี่สาวว่าท่านล่วงเกินข้า!”
เหมียวอี้จอบเหมือนอยากขำ “ถ้าพี่สาวเจ้าไม่ได้รู้จักเจ้าดี อุบายนี้ของเจ้าก็ใช้ได้ผลจริงๆ แต่พี่สาวเจ้ารู้จักเจ้าดีเกินไปแล้ว ด้วยนิสัยอย่างเจ้าน่ะ ก็ยังไม่รู้เลยว่าพี่สาวเจ้าจะลงโทษใคร มีอะไรทำก็ไปทำซะไป!” พอโบกแขนเสื้อ พลังอิทธิฤทธิ์กลุ่มหนึ่งก็ซัดสาดออกมา โบกอวิ๋นรั่วซวงออกไปโดยตรง แล้วเอามือไขว้หลังเดินไปข้างหน้าต่อ
เรื่องนี้อย่าว่าแต่อวิ๋นจือชิวจะไม่ตอบตกลง ต่อให้นางตอบตกลง แต่เขาก็ไม่มีทางยอมให้อวิ๋นรั่วซวงไปที่พิภพใหญ่อยู่ดี เด็กสาวคนนี้เป็นจอมก่อเรื่อง เขาได้รับบทเรียนมาตั้งนานแล้ว ถ้าพาไปพิภพใหญ่ด้วยจะไม่แย่หรอกเหรอ?
“อ๊า…” อวิ๋นรั่วซวงกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง ระบายความโกรธกับพวกต้นไม้ใบหญ้า
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้หญิงคนนี้พาลหาเรื่องกวนใจ เหมียวอี้จงใจกวักมือเรียกเหยียนซิวกับหยางเจาชิงให้มาอยู่ด้วยกัน เดินเล่นอย่างสบายใจอยู่ในตำหนักอู๋เลี่ยง
ระหว่างทางบังเอิญเจอจิ้งอิ๋งกับจิ้งลู่ ทั้งสองยังคงกวาดพื้นอยู่ที่นี่เหมือนเดิม เหมียวอี้หยุดฝีเท้าคุยกับทั้งสองครู่หนึ่ง แล้วให้ยาแก่นเซียนทั้งสองคนละหนึ่งแสนเม็ด
จากนั้นก็ตั้งใจไม่เจอโจวลี่ฉินกับเฉียนจื่อเฟิงที่เฝ้าประตูตำหนักให้เขามาตลอด เขาพูดคุยกับทั้งสองอย่างสนุกสนานอยู่นอกประตูตำหนัก ทำให้ทั้งสองตกใจที่ได้รับความเมตตา ก่อนที่จะเดินออกไป เขาก็มอบยาแก่นเซียนให้ทั้งสองอีกคนละหนึ่งแสนเม็ด
ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะกลับมาสักครั้ง พวกคนเก่าคนแก่เหล่านี้ ถ้าสามารถผูกมัดจิตใจได้ก็ต้องผูกมัดจิตใจสักหน่อย เขาไม่รู้ว่าเมื่อตัวเองไปเข้าร่วมการทดสอบแล้วจะสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ ถ้าเกิดเรื่องแล้วกลับมาไม่ได้ เขาก็หวังว่าการกระทำเล็กน้อยนี้จะสามารถทำให้มีคนเชื่อฟังพวกอวิ๋นจือชิวเยอะขึ้นก็ยังดี การแสดงความใส่ใจกับตัวละครเล็กๆ จะทำให้พวกเขาซาบซึ้งได้ง่าย
ตอนที่ก้าวออกจากประตูตำหนัก เหมียวอี้ก็หันกลับมาถามด้วยรอยยิ้มว่า “เจาชิง เมียเจ้าคนนั้นยังสบายดีมั้ย?”
“นางจดจำความดีของนายท่านมาตลอด บอกว่าถ้าไม่มีนายท่านก็ไม่มีนางในวันนี้” หยางเจาชิงตอบพร้อมรอยยิ้มเอียงอาย
เหมียวอี้หัวเราะลั่นแล้วบอกว่า “ข้าไม่เจอหลินผิงผิงมานานแล้วเหมือนกัน ไปเยี่ยมหาสักหน่อยเถอะ”
“ขอรับ!” หยางเจาชิงนำทางอยู่ข้างหน้าทันที
พรหมลิขิตเป็นสิ่งที่พูดยากจริงๆ เหมียวอี้เองก็ไม่รู้ว่าหยางเจาชิงไปชอบสาวใหญ่พราวเสน่ห์อย่างหลินผิงผิงได้ยังไง อาศัยตำแหน่งฐานะของหยางเจาชิงในตอนนี้ อยากจะหาผู้หญิงแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น ส่วนหลินผิงผิงก็กึ่งยอมกึ่งปฏิเสธเช่นกัน ตอนนั้นเหมียวอี้ไม่มีเวลาว่าง เป็นอวิ๋นจือชิวที่กลับมาเป็นเจ้าภาพงานแต่งงานด้วยตัวเอง
เหมียวอี้หันกลับมาถามอีกว่า “เหยียนซิว เจ้าถูกใจคนไหนบ้างรึเปล่า? ชอบแล้วก็เอ่ยปาก ข้าจะตัดสินใจให้เจ้าเอง”
“บ่าวชราขอผ่านดีกว่าขอรับ” เหยียนซิวยิ้มเยาะตัวเอง
เหมียวอี้ส่ายหน้า “เจ้าน่ะ! เจาชิง ถ้ามีโอกาสช่วยเป็นพ่อสื่อให้เขาหน่อยนะ”
“ขอรับ!” หยางเจาชิงหัวเราะแห้งๆ
เหมียวอี้หัวเราะแล้วถามอีกว่า “เออใช่! เฉินเฟยเป็นยังไงบ้าง?”
“เขาได้รับการสนับสนุนจากนายท่าน วรยุทธ์เพิ่งจะบรรลุถึงบงกชแดงขั้นหนึ่ง ก็ถูกผู้การหยางเลื่อนขั้นให้เป็นประมุขตำหนักเจิ้นเจี่ยของปราสาทดำเนินเซียนสายขาลแล้ว หลายเดือนก่อนเขามาที่นี่รอบหนึ่ง อยากจะเยี่ยมคำนับนายท่าน” เหยียนซิวตอบ
เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วบอกอีกว่า “ครั้งหน้าถ้าเจอเขาอีก จะลืมเบิกยาแก่นเซียนหนึ่งแสนเม็ดให้เขาด้วยนะ”
“จะจำไว้ขอรับ!” เหยียนซิวตอบ
“พวกเจ้าสองคน…” เหมียวอี้ลังเลครู่หนึ่ง แล้วสุดท้ายก็เปลี่ยนเป็นบอกว่า “รอให้ผ่านไปอีกหลายๆ ปีแล้วกัน ถึงตอนนั้นข้าจะให้เคล็ดวิชาฝึกตนที่ดีกว่ากับพวกเจ้าคนละวิชา ตอนนี้เพิ่มวรยุทธ์ให้สูงก่อน”
เดิมทีเขาอยากจะให้ตอนนี้เลย เพราะไม่จำเป็นต้องเฝ้าติดตามดูความเคลื่อนไหวหยางชิ่งแล้ว คนอื่นๆ ที่พิภพเล็กก็แสดงฝีมือไม่ได้เช่นกัน เขาเตรียมจะพาทั้งสองไปที่พิภพใหญ่ ทางตำหนักคุ้มเมืองควรจะมีลูกน้องคนสนิทไว้สักสองคน ไม่เหมาะสมที่จะให้ทั้งหมดเป็นคนของทะเลดาวนักษัตร ทว่าตอนนี้สถานการณ์ของตัวเองยังไม่แน่นอน ยังต้องรอให้ผ่านการทดสอบก่อนแล้วค่อยว่ากัน ไม่แน่ว่าอาจต้องเหลือน้ำใจนี้ไว้ให้อวิ๋นจือชิวเป็นคนแสดงก็ได้
…………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น