พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1171-1178
บทที่ 1171 หนีรอดจากความตาย
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อสามคนนี้ปรากฏตัว ก็ทำให้จอมมารที่เป็นจ้าวแห่งพิภพเล็กอย่างอวิ๋นอ้าวเทียนขนหัวลุกเหมือนกัน เป็นเพราะยามอยู่ต่อหน้านักพรตประเภทนี้ เขาไม่มีแม้แต่คุณสมบัติที่จะสู้สุดชีวิตด้วยซ้ำ
ที่โชคดีก็คือ แรงดึงมหาศาลกลุ่มหนึ่งมาเยือนในเวลาเดียวกัน
อวิ๋นอ้าวเทียนไม่จำเป็นต้องเดาก็สามารถรู้ได้ว่าเป็นแรงดึงจากประตูดวงดาวที่อยู่ตรงหน้า เขาหันขวับกลับไปมอง แล้วพยายามใช้วรยุทธ์ทั้งหมดเร่ลงความเร็วพุ่งไปข้างหน้า ปีกทั้งคู่พลันรวบเก็บอยู่ข้างหลัง ขณะเดียวกันกระสวยเงินก็ระเบิดลำแสงออกมาครอบตัวเขาไว้ พาเขาหนีเข้าไปในประตูดวงดาวที่หมุนวนเป็นหลุมดำอย่างรวดเร็ว
“คิดจะหนีเหรอ?” หนึ่งในแม่ทัพใหญ่เกราะแดงสามคนถามเหยียดหยามอย่างน่าตระหนก ยื่นกรงเล็บไปทางประตูดวงดาวตั้งแต่ไกลๆ
อวิ๋นอ้าวเทียนที่หนีเข้าประตูดวงดาวไปตกใจทันที ลำแสงที่หมุนวนครอบอยู่รอบกายสั่นไหวอย่างรุนแรง ไม่น่าเชื่อว่าจะพาเขาลอยถอยหลังกลับไป นับว่าเป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสถึงความน่ากลัวของนักพรตระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพ ในประตูดวงดาวที่มีแรงดึงมหาศาลขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าอีกฝ่ายจะยังสามารถใช้พลังกับเขาได้ผลอีก
ทว่าเขาก็ไหวตัวเร็วเช่นกัน ขณะที่กระสวยทองอันหนึ่งในมือระเบิดออก ไม่น่าเชื่อว่าอีกฝ่ายจะร่ายอิทธิฤทธิ์โจมตีกระสวยเงินที่ปกป้องร่างกายจนแตกแล้ว เหมือนเป็นจั๊กจั่นที่หลุดออกจากเปลือก แล้วลำแสงที่สว่างตอนหลังก็ครอบตัวเขาไว้อย่างรวดเร็ว พาเขาเข้าสู่ความดำมืดไร้ที่สิ้นสุด นับว่ารอบพ้นภัยครั้งนี้ไปแล้ว หากชักช้ากว่านี้นิดเดียว เกรงว่าจะถูกประตูดวงดาวดึงจนร่างแลหกเป็นชิ้นๆ การรับมือเหตุไม่คาดคิดภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ก็เพียงพอที่จะแสดงความสุขุมเยือกเย็นไร้ความลนลานของเขาได้แล้ว
“เฮ้อ! ไหวตัวได้ไม่ช้าเลย” คนที่ร่ายอิทธิฤทธิ์ขยุ้มนิ้วมือดูดกลับมาได้เพียงลำแสงที่ระเบิดออก เหมือนขยุ้มกลับมาได้เพียงเปลือกเท่านั้น ขยุ้มคนกลับมาไม่ได้ เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจ เขาจึงโบกมือหนึ่งทีอย่างไม่ใส่ใจ ทำลายลำแสงกลุ่มนั้นเข้าในประตูดวงดาว
แม่ทัพใหญ่เกราะแดงสามคนไม่มีทางปล่อยอวิ๋นอ้าวเทียนไปเพียงเพราะเขาเข้าในประตูดวงดาวได้ เพียงชั่วอึดใจเดียวก็ถึงแล้ว พวกเขาเกราะอิทธิฤทธิ์ล่องหนรอบกาย แม้แต่กระสวยทองกับกระสวยเงินก็ไม่มีประโยชน์ ดันทุรังอาศัยวรยุทธ์ที่แข็งแกร่งตานทานแรงดึงมหาศาลของประตูดวงดาวพุ่งเข้าไป แข็งกร้าวดุดันมาก
เมื่อภาพตรงหน้าสว่าง อวิ๋นอ้าวเทียนที่พุ่งออกจากประตูดวงดาวก็ตกใจทันที ท่ามกลางลำแสงสีส้มขมุกขมัว เขาชนกับหินก้อนใหญ่ราวกับภูเขาเล็กๆ ที่กระแทกเข้ามาด้วยความเร็วจี๋ราวกับฝนดาวตก กระแทกเข้ามาอย่างรวดเร็วมาก
เดิมทีอวิ๋นอ้าวเทียนคิดจะถลันตัวหลบโดยพุ่งผ่านพื้นที่ว่างไปข้างหน้า แต่จู่ๆ ก็ตาเป็นประกาย เขาดันก้อนหินที่กระแทกเข้ามาจนตัวเองกระเด็นถอยหลัง แล้วใช้ดาบฟันจนเกิดเป็นช่องว่างในหิน ก่อนจะถลันร่างเข้าไปหลบในนั้น ปะปนไหลตามกระแสคลื่นอยู่ในก้อนหินที่วิ่งอยู่ในอวกาศราวกับพายุฝน
แทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่ร่างของอวิ๋นอ้าวเทียนหดเข้าไปในก้อนหิน เงาคนสามคนพลันถูกพ่นออกมากลางอากาศ เมื่อเผชิญกับกระแสก้อนหินที่วิ่งอยู่ในอวกาศอย่างฉับพลันราวกับฝนตก สามคนที่ตกใจเล็กน้อยก็รีบโบกแขนเสื้อกวาด พลังอิทธิฤทธิ์ที่แข็งแกร่งทำให้ฝนหินอวกาศที่พุ่งเข้ามาโจมตีเกิดเป็นคลื่นหินมโหฬารพันลึกอย่างฉับพลัน แล้วพวกเขาก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วราวกับขี่ลมฝ่าคลื่น…
หลังจากนั้นพักหนึ่ง เมื่อไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวข้างหลังแล้ว อวิ๋นอ้าวเทียนที่หลบอยู่ในก้อนหินก็ยื่นตัวขึ้นมาหมอบอยู่บนก้อนหินแล้วแอบมองไปข้างหลังพักหนึ่ง เมื่อไม่เห็นความผิดปกติอะไร ก็รู้ว่าวิธีการรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินของตนได้ผล แต่ก็รู้ว่าอีกฝ่ายอาจจะไหวตัวเร็วเหมือนกัน
เขาไม่ได้หยุดอยู่กับที่นาน แต่ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด รีบออกจากหินก้อนใหญ่ที่ใช้ซ่อนตัว กลิ้งไปมาอยู่ท่ามกลางหินระเกะระกะที่วิ่งเร็วราวกับฝนตก จนกระทั่งออกจากกลุ่มฝนหินอวกาศได้แล้ว เขาก็เปลี่ยนทิศทาง หนีไปยังจุดลึกของอวกาศอันกว้างใหไพศาลที่มีแสงสีรุ้งเปลี่ยนแปลงไปร้อยแปดพันเก้า
เป็นอย่างที่เขาคาดไว้ แม่ทัพใหญ่เกราะแดงสามคนที่โจมตีฝนหินอวกาศอย่างบ้าคลั่งอยู่พักหนึ่งพุ่งไปข้างหน้าตลอดทาง อาศัยพลังอิทธิฤทธิ์ที่แข็งแกร่งพัดกระพือฝนหินอวกาศที่กระแทกเข้ามานับไม่ถ้วนออกไป หลังจากพุ่งออกจาก ‘เขตฝนตก’ พวกเขาก็ไม่เห็นเงาคนอยู่ในอวกาศอันกว้างใหญ่แล้ว เมื่อดูจากความเร็วของวรยุทธ์ สิ่งนี้เป็นไปไม่ได้
“ท่าไม่ดีแล้ว!” แม่ทัพใหญ่ที่เป็นหัวหน้าหันขวับกลับมา มองไปยังฝนหินอวกาศข้างหลังที่ผ่านมาตลอดทางไกลๆ แล้วโบกมือชี้
อีกสองคนเข้าใจความหมายที่เขาสื่อทันที ชั่วพริบตาเดียวทั้งสามก็พุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ ไล่ตามฝนหินอวกาศอีกครั้ง ร่วมมือกันร่ายอิทธิฤทธิ์บดจนฝนหินกลายเป็นฝุ่นผงตลอดทาง
ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ฝนหินอวกาศที่ยาวเหยียดก็ถูกทั้งสามคนบดจนกลายเป็นฝุ่นผง ราวกับเมฆขาวลอบกระจายอยู่ในอวกาศ
สามคนที่พุ่งตัวมาเหยียบบนดาวดวงหนึ่งรีบใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์กวาดมองรอบข้างด้วยสีหน้าตึงเครียด จะเห็นเงาคนเสียที่ไหนกัน อวกาศกว้างใหญ่ขนาดนี้ แต่ถ้าไม่รู้ทิศทางคร่าวๆ ที่ผู้ร้ายหลบหนี ต่อให้พวกเขาจะเร็วกว่านี้แต่ก็ไม่มีทางตามทัน
ผ่านไปเร็วมาก มีฝนหินอวกาศอีกระลอกพุ่งจากจุดใกล้ๆ ผ่านไป
“ไม่น่าเชื่อว่าจะปล่อยเขาหนีไปได้!” แม่ทัพใหญ่ที่นำหน้ามาสีหน้ามืดครึ้มราวกับน้ำฝนจะหยดออกมา
อีกสองคนก็สีหน้าแย่เช่นกัน นักพรตพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพสามคนร่วมมือกัน แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะปล่อยให้เขาหนีไปได้แล้ว ถ้าข่าวนี้แพร่ออกไปคงกลายเป็นที่หัวเราะเยาะ
หนึ่งในนั้นหัวเราะอย่างเดือดดาล “ไอ้ตัวดี! ไม่น่าเชื่อว่าจะรอดตัวไปได้ตอนอยู่ใต้หนังตาพวกเรา มีฝีมืออยู่บ้างจริงๆ พอหลุดออกจากประตูดวงดาว ก็ใช้ฝนหินซ่อนตัว ฉวยโอกาสหนีไปซะแล้ว แค่ความใจเย็นในการรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินต่อเนื่องกันแบบนี้ ก็รู้แล้วว่านักพรตบงกชทองทั่วไปเทียบไม่ติด ไม่แปลกใจที่กล้ามาปล้นฆ่าขุนนางตำหนักสวรรค์!”
อีกคนหนึ่งถามว่า “พวกเจ้าไม่รู้สึกเหรอว่าปีกที่หลังเจ้าเวรนั่นมันดูคุ้นๆ?”
พอเขาพูดเตือน อีกสองคนก็เอียงหน้ามองมา ทั้งสามจ้องมองกัน ก่อนจะกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า “เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทาน!”
“จอมมารเฒ่านั่นตายไปนานแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานจะไร้การถ่ายทอดเสมอไป!”
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาถกเรื่องนี้กัน เขาหนีไปได้ไม่ไหล ถ้าจับตัวได้ก็ย่อมรู้อะไรชัดเจนเอง สั่งให้กองกำลังที่อยู่แถวนี้มารวมตัวกันกระจายกำลังค้นหาบริเวณนี้ ข้าจะคอยดูว่าเขาจะหนีไปไหนได้!” แม่ทัพใหญ่ที่เป็นหัวหน้ากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ก็ใช่ ข้าก็อยากจะเห็นว่าเจ้าเวรนั่นหน้าตาเป็นอย่างไร!” คนทางซ้ายพยักหน้าพูด แล้วหยิบแผนที่ดาวออกมาตรวจดูตำแหน่ง จะได้แจ้งให้กำลังพลของตำหนักสวรรค์มาล้อมปราบได้ทันเวลา ใครจะคิดว่าหลังจากดูแผนที่ดาวไปได้ครู่เดียว เขาก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไรแล้ว เอาแต่นิ่งอึ้งอยู่อย่างนั้น
เพื่อนรวมงานอีกสองคนมองออกถึงความผิดปกติของเขาทันที แม่ทัพใหญ่ที่เป็นหัวหน้าถามว่า “มัวชักช้าอะไร? ยังไม่รีบทำเวลาอีก?”
คนคนนั้นเงยหน้าช้าๆ ด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ แล้วจู่ๆ ก็อุทานว่า “แดนอเวจี!”
“อะไรนะ?” อีกสองคนขมวดคิ้วถาม
เขาย้ำอีกครั้งว่า “พวกเราอยู่ที่แดนอเวจี พวกเรามาถึงนรกแล้ว!”
“พูดเหลวไหลอะไรกัน ตำหนักสวรรค์ส่งคนเข้ามาปิดล้อมทางเข้าออกนรกตั้งนานแล้ว!”
“หรือว่าแผนที่ดาวของพวกเรามีปัญหา? บนแผนที่ดาวของข้าบอกว่าตัวพวกเราอยู่ที่แดนอเวจี นอกจากปากทางเข้าออกสองจุด อีกหลายจุดที่อยู่นอกภาพพิกัดดาวหลัก ข้าก็หาสัญลักษณ์อะไรไม่เจออีกแล้ว”
เมื่อได้ยินเขาบอกแบบนี้ อีกสองคนก็รีบนำแผนที่ดาวของตัวเองออกมาตรวจดู หลังจากดูแล้วทั้งสองก็ทำสีหน้าตกตะลึงพรึงเพริด ก่อนจะมองหน้ากันอย่างเงียบงัน
จากนั้นทั้งสามก็มองไปรอบๆ สีรุ้งที่เปลี่ยนแปลงไปร้อยแปดพันเก้าในท้องฟ้าตรงหน้า หมอกดาวสีสันรูปร่างต่างๆ เปลี่ยนแปลงอยู่ในอวกาศอย่างไม่อาจคาดเดา บางครั้งก็เหมือนพายุฝนที่ผันผวนไม่แน่นอน บางครั้งก็เหมือนสัตว์ป่าดุร้าย… แม่ทัพใหญ่ที่เป็นหัวหน้ากล่าวอย่างตะลึงว่า “เหมือน!”
อีกสองคนเงียบไป หลายปีก่อนทั้งสามเคยมาที่แดนอเวจี พอมาดูตอนนี้ถึงได้พบว่าค่อนข้างคล้าย
หนึ่งในนั้นถามว่า “หรือว่าตำแหน่งที่พวกเราเข้ามาก่อนหน้านี้เป็นประตูดวงดาวที่ยังไม่ถูกค้นพบ?”
ไม่มีใครตอบคำถามนี้ แม่ทัพใหญ่ที่เป็นหัวหน้านำระฆังดาราออกมาติดต่อกับภายนอกแล้ว…
หลังจากนั้นหลายวัน อวิ๋นอ้าวเทียนก็หยุดอยู่ตรงหน้าหมอกดาวอันกว้างใหญ่ผืนหนึ่ง เขายื่นมือมาปิดหน้าอกของตัวเอง หน้าผากมีเหงื่อซึมทีละนิด มองดูหมอกดาวรูปลูกท้อตรงหน้าอย่างค่อนข้างตกตะลึง ถ้าจะพูดให้ถูกมันเหมือนหัวใจสีแดงขนาดใหญ่ดวงหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงของสีสันในหมอกดาวก็เหมือนกับหัวใจดวงหนึ่งที่กำลังเต้นหดขยาย
ที่น่าแปลกยิ่งกว่านั้นก็คือ ราวกับมีเสียงดังมาจากสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ เป็นเสียงหัวใจเต้น ‘ตึกๆ’ หลังจากได้ยินเสียงนี้แล้ว หัวใจของตัวเองก็เริ่มเต้นตามจังหวะนี้ด้วยเหมือนกัน ความรู้สึกหวาดผวาทำให้เขาเหงื่อกาฬไหลอย่างรวดเร็ว
ยิ่งถลำไปข้างหน้า ปฏิกิริยาหัวใจเต้นก็ยิ่งดัง ความรู้สึกนี้ทำให้เขาทรมานมาก เขาไม่กล้าไปข้างหน้าต่อ รีบหันตัวหนีออกจากตรงนั้น
จนกระทั่งหลุดพ้นจากเสียงหัวใจเต้นที่ทำให้คนทรมานแล้ว อวิ๋นอ้าวเทียนก็พุ่งตัวไปยังดาวเคราะห์ที่มืดครึ้มดวงหนึ่ง หลังจากเหยียบลงพื้นถึงได้พบว่าลมหายใจกลับมาเป็นปกติ เขาถึงได้เก็บปีกสองข้าง แล้วก้มหน้ามองดูใต้เท้าของตัวเอง เห็นเพียงหนอนตัวยาวสีเทาขาวที่ยุ่บยั่บโผล่ออกมาจากดิน พวกมันไต่ขึ้นมาบนเท้าเขา เห็นได้ชัดว่าบางตัวอยากเจาะเข้าไปในรองเท้าของเขา เห็นแล้วน่าขยะแขยง
วูบ! ปราณมารกลุ่มหนึ่งพรั่งพรูออกมาจากใต้เท้า ชั่วพริบตาเดียวก็ระเบิดหนอนจำนวนนับไม่ถ้วนจนกลายเป็นของเหลว เมื่อมีปราณมารปกป้องกัน เขาถึงได้กวาดมองไปรอบๆ แวบหนึ่ง
หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีอะไรผิดปกติ เขาก็โบกมือเรียกพวกมู่ฝานจวินออกมา
พอทั้งสีโผล่หน้าออกมา ก็มองไปรอบๆ ทันที จากนั้นก็รีบไล่หนอนที่อยู่ใต้เท้า
สุดท้ายก็เป็นจีฮวนที่รับมือได้อย่างยอดเยี่ยม พอปราณปีศาจบนตัวเขากรอกลงไปใต้ดิน ก็เห็นหนอนตัวยาวนับไม่ถ้วนที่โผล่ขึ้นมาจากดินในรัศมีหลายร้อยเมตรดิ้นพล่านหนีกระเจิงทันที เสร็จแล้วเขาถึงได้หันมาถามว่า “จอมมาร ต้องใช้เวลานานขนาดนี้เลยเหรอกว่าจะรอดตัว?”
“นานขนาดนี้? ข้าหนีรอดจากความตายมาได้ เกือบต้องเอาชีวิตไปทิ้งแล้ว…” อวิ๋นอ้าวเทียนแสยะยิ้ม เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังคร่าวๆ
นักพรตระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพามคนเหรอ? พวกเขาได้ฟังแล้วหวาดผวา ถึงปากจะไม่ได้พูดอะไร แต่ในใจกลับรู้สึกโชคดี ถ้าครั้งนี้ไม่มีอวิ๋นอ้าวเทียน เกรงว่าคงจะอนาถแน่
แต่ละคนหยิบแผนที่ดาวออกมาตรวจดู เมื่อแน่ใจแล้วว่ามาถึงแดนอเวจี ซือถูเซี่ยวก็ถามว่า “มาถึงนรกแล้ว ต่อไปจะทำยังไงล่ะ?”
จีฮวนถามกลับว่า “คำทำนายส่วนแรกของเทพพยากรณ์ถูกพิสูจน์แล้ว แสดงว่าเขาพูดไว้ไม่ผิด เจ้าว่าตอนนี้ควรจะทำอย่างไรล่ะ? แน่นอนว่า ‘รออย่างเงียบงันอยู่ในกรง’ รอเงียบๆ อยู่ในนี้อย่างซื่อสัตย์จริงจังแล้วกัน! ขนาดผู้มีอำนาจของตำหนักสวรรค์ก็ไม่กล้าเข้ามาเพ่นพ่านในนี้ ถ้าพวกเราไปเพ่นพ่านจะไม่เป็นการรนหาที่ตายหรอกเหเรอ!”
พวกเขามองหน้ากันอย่างพูดไม่ออก แล้วจู่ๆ ก็เงยหน้าพร้อมกัน ในท้องฟ้าที่มืดครึ้มเริ่มมีฟ้าร้องฟ้าผ่า ฝนเริ่มตกแล้ว…
เวลาทำนาประจำปีมาถึงอีกแล้ว เงาคนสองคนเหาะลงมาจากท้องฟ้า มาเหยียบลงข้างป่าผืนเล็กข้างคันนา สองคนที่เหยียบลงพื้นทอดสายตามองไปยังชายชุดเขียวครามรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งที่กำลังใช้แรงงาน
ในบรรดาสองคนที่กำลังมองอยู่ คนหนึ่งที่สีหน้าเย็นเยียบ ใบหน้าผอมยาวขาวหมดจด คลุมชุดดำที่บ่า สวมหมวกทรงสูงสีดำก็คือเกาก้วน ทูตขวาตรวจการของตำหนักสวรรค์
ส่วนอีกคนรูปร่างค่อนข้างเตี้ย คิ้วเข้มตาโต หนวดสั้นหน้าเหมือนม้า สวมชุดผ้าแพรสีฟ้าทั้งตัว หน้าตาดูใสซื่อจริงใจมาก มือกำลังรูดหนวดสั้นอย่างช้าๆ ดวงตาทั้งคู่ที่มีแววเป็นประกายกำลังกวาดมองพวกผู้หญิงที่กำลังทำงานอยู่ในทุ่งนาเป็นระยะ หลังจากมองไปสักพักก็ส่ายหน้าเบาๆ คนคนนี้ก็คือซือหม่าเวิ่นเทียน ทูตซ้ายตรวจการของตำหนักสวรรค์!
ทั้งสองไม่พูดอะไรสักคำ และไม่รีบร้อนด้วย ได้แต่รอเงียบๆ อยู่อย่างนั้น
หลังจากรอไปเกือบหนึ่งชั่วยาม ถึงได้เห็นประมุขชิงแบกจอบเดินเข้ามา ครั้งนี้ทั้งสองถึงได้ยืนแยกเป็นสองฝั่ง เมื่อประมุขชิงเดินผ่ากลางระหว่างทั้งสองไปแล้ว ทั้งสองถึงได้หันตัวเดินตามหลังเขาอยู่ทางซ้ายและขวา
เมื่อวางจอบและนั่งลงแล้ว ประมุขชิงก็รับน้ำชาที่ซือหม่าเวิ่นเทียนยื่นให้มาดื่มจนหมดถ้วยในอึกเดียว เสร็จแล้วถึงได้มองเกาก้วนที่อยู่ข้างๆ พร้อมถามด้วยรอยยิ้มบางๆ “เจ้าก็มาเหมือนกันเหรอ เรื่องทดสอบทางนั้นเป็นอย่างไรบางแล้ว?”
“ทุกอย่างปกติดีขอรับ ได้ยินว่าเบื้องล่างเกิดเรื่องนิดหน่อย จึงตั้งใจรีบกลับมารอฟังคำสั่ง” เกาก้วนกุมหมัดตอบ
“เรื่องนี้ข้าให้เวิ่นเทียนไปตรวจสอบแล้ว” ประมุขชิงยื่นถ้วยน้ำชาคืนให้ซือหม่าเวิ่นเทียน แล้วถามว่า “ทางหวงฮ่าวระดมกำลังคนมากมาย สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?”
…………………………
บทที่ 1172 ทูตตรวจการซ้ายขวา
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากซือหม่าเวิ่นเทียนรินน้ำชาอีกถ้วยวางข้างกายประมุขชิง ถึงได้ลูบเคราพร้อมตอบว่า “หวงฮ่าวก็ไม่ได้ปิดบังอะไรขอรับ เรื่องราวเป็นอย่างที่เขารายงานขึ้นมา ผู้ร้ายบุกเข้าไปในนรกแล้วจริงๆ และก็มีประตูดวงดาวที่ยังไม่ถูกค้นพบโผล่ออกมาแล้วจริงๆ ข้าเข้าไปดูด้วยตัวเองมาแล้ว เป็นประตูดวงดาวทางเข้านรกจริงๆ ขอรับ”
“ระดมกำลังของสายมะเมียออกมาหมด ครั้งนี้หวงฮ่าวไหวตัวได้เร็วพอสมควร ไม่นานก็กำหนดตัวผู้ต้องสงสัยได้แล้ว! พวกเจ้าดูเอาสิ นี่คือขุนนางของข้าเอง นี่คือขุนนางที่มักจะโน้มน้าวข้าว่าอย่าทำให้ผู้คนแตกตื่นจนใต้หล้าวุ่นวาย แต่ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ชของพวกเขาเอง พวกเขาไม่มีทางสนใจว่าการระดมคนจำนวนมากจะทำให้ใต้หล้าวุ่นวายหรือไม่!” ประมุขชิงแสยะยิ้มพูดแดกดัน แล้วเหล่ตามถามว่า “แน่ใจนะว่าผู้ร้ายใช้เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทาน?”
ซือหม่าเวิ่นเทียนพยักหน้าตอบ “น่าจะไม่ผิดพลาดขอรับ คนที่เห็นปีกมารบนหลังของผู้ร้ายมีเป็นพันเป็นหมื่น ถ้าหวงฮ่าวคิดจะหลอกลวงก็คงหลอกลวงไม่ไหว สายลับของสายลับก็เห็นกับตาตัวเองเช่นกัน หลังจากข้าน้อยไปถามรายละเอียดด้วยตัวเอง ก็แน่ใจว่าเป็นเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานอย่างไม่ต้องสงสัย”
ประมุขชิงใช้สองมือจับหัวเข่า ตบเข่าเบาๆ พลางหรี่ตาอยู่พักหนึ่ง แล้วถามอีกว่า “พิสูจน์ได้อย่างไรว่าคนที่บุกเข้าไปในนรกคือผู้ร้าย? หรือว่าอีกฝ่ายเห็นการสอบสวนแล้วกินปูนร้อนท้องจึงหนีไป?”
ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบว่า “เรื่องนี้ไม่มีใครเห็นกับตาตัวเอง ดังนั้นไม่มีทางแน่ใจได้ แต่ข้าน้อยสืบเส้นทางที่ใช้ไล่ตามผู้ต้องสงสัยมาแล้ว ตามระยะห่างในทิศทางแนวตรงของที่เกิดเหตุ คำนวณตามวรยุทธ์และเวลาก็สอดคล้องกัน มีอยู่อีกจุดหนึ่งที่สำคัญมาก ผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์โดนฆ่าตายพร้อมกันรวดเดียวสามคน ถ้าไม่ใช่เพราะมีนรกเป็นทางหนีทีไล่ คนที่กล้าทำเรื่องแบบนี้ก็มีไม่เยอะ ตามสิ่งที่พยานได้เห็น ขนาดของดาบในมือผู้ต้องสงสัยก็สอดคล้องกับรอยดาบบนร่างกายปีศาจแมงมุม ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงว่าผู้ต้องสงสัยจะเป็นผู้ร้าย ด้วยปัจจัยต่างๆ ที่สอดคล้องกัน โดยพืนฐานก็จะสามารถแน่ใจได้แล้วขอรับ”
นิ้วทั้งห้าของประมุขชิงขยุ้มตีที่หัวเข่าเบาๆ “หลังจากผู้ร้ายทำสำเร็จแล้วก็มุ่งตรงสู่ประตูดวงดาวบานนั้น ก็หมายความว่าผู้ร้ายคุ้นเคยกับนรกมาก มีความเป็นไปได้สูงว่าจะมาจากนรก แบบนั้นจะบอกได้หรือไม่ว่า ไม่ได้มีแค่เส้นทางเข้านรกทางอื่นเท่านั้น ยังมีเส้นทางออกนรกทางอื่นด้วย?”
ซือหม่าเวิ่นเทียนพยักหน้าบอกว่า “มีความเป็นไปได้สูงมากขอรับ ข้าน้อยไปสืบจากกำลังพลที่ปิดล้อมเส้นทางเข้าออกของประตูดวงดาวมาแล้ว แน่ใจว่าเฝ้าป้องกันอย่างเข้มงวดแน่นหนามาก เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้ว่ามีคนเข้าออกจากนรก สายลับที่ฝ่ายตรวจการแทรกเข้าไปที่นั่นก็ยืนยันเช่นกันว่าไม่มีคนเข้าออก ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงมากว่าผู้ร้ายจะออกมาจากนรก ไม่อย่างนั้นคงไม่มีใครหนีเข้าไปรนหาที่ตายในนรกง่ายๆ จะเห็นได้ว่าผู้ร้ายมองว่านรกเป็นทางหนีทีไล่ตั้งแต่แรกแล้ว หากวินิจฉัยแบบนี้ ก็เป็นไปได้สูงว่านรกจะมีทางเจ้าออกอื่นอีก”
“หึหึ! แม้จะพ่ายแพ้หรือเพลี่ยงพล้ำ แต่พลังอำนาจยังคงอยู่ ผีเฒ่าหกคนนั้นตายไปหลายปีขนาดนี้ กากเดนที่เหลือไว้ยังก่อความวุ่นวาย ก่อนหน้านี้ข้ายังแปลกใจอยู่เลย ว่าทำไมล้อมปราบตั้งหลายปีแต่ยังกำจัดโจรกบฏพวกนั้นไม่สิ้นซาก ข้าถึงขั้นสงสัยว่ามีคนในแอบรายงานข่าวให้เจ้ากากเดนพวกนั้นรึเปล่า สงสัยข้าคงจะยังขังให้กากาเดนพวกนั้นตายไม่ได้ พวกเขามีรูหนูไว้เข้าออกตั้งนานแล้ว!” ประมุขชิงทำสีหน้าไร้อารมณ์เงียบๆ ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามว่า “ต้องคิดหาทางแก้ปัญหาเรื่องนี้ ทูตตรวจการมีแผนอะไรหรือไม่? ที่ให้พวกเจ้ายัดคนเข้าไปในนรก มีความคืบหน้าบ้างหรือเปล่า?”
ซือหม่าเวิ่นเทียนส่ายหน้าพลางถอนหายใจ “คนที่อยู่ในนั้นมีการเตรียมพร้อมทางด้านสภาพจิตใจดีมาก ใช้นรกเป็นที่ปักหลักสุดท้ายเพื่อปกป้องชีวิต ไม่ต้อนรับคนแปลกหน้าง่ายๆ ไม่มีทางโจมตีเข้าไปได้เลย คนที่ถูกส่งเข้าไปส่วนใหญ่ล้วนไปแบบไม่กลับ สาเหตุสำคัญคือสภาพแวดล้อมในนั้นเลวร้ายและซับซ้อนเกินไป กอปรกับการเปลี่ยนแปลงที่ยาดจะคาดเดา ตำหนักสวรรค์ไม่สามารถทำความเข้าใจสถานการณ์ข้างในได้เลย กลับเป็นโจรกบฏพวกนั้นที่มีการวางแผนและจัดการอยู่ในนั้นก่อนที่จะเกิดตำหนักสวรรค์ขึ้น ตอนหลังก็โดนกดบังคับให้อยู่ในนั้นจนปรับตัวได้ พวกเขามีความได้เปรียบที่จะต่อต้าน คนที่ถูกส่งไปส่วนใหญ่ล้วนไปรนหาที่ตาย เป็นเรื่องยากที่จะมีความคืบหน้าขอรับ!”
“เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าพูด ข้ารู้อยู่แล้ว สิ่งที่ข้าต้องการคือวิธีการแก้ไขปัญหา” ประมุขชิงกล่าว
ซือหม่าเวิ่นเทียเงียบไปครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “ข้าน้อยคิดว่าถ้าจะอุดมิสู้ขุดลอก ไม่สู้ประกาศให้ยอมจำนนไปเลย ให้ทางออกแก่พวกเขา!”
“ใช่ว่าจะไม่เคยประกาศให้ยอมจำนน ผลเป็นอย่างไรเจ้าก็เคยเห็นแล้ว” ประมุขชิงกล่าว
ซือหม่าเวิ่นเทียนกล่าวว่า “นั่นก็เป็นเพราะว่าพวกเขารู้ ว่าหลังจากที่ยอมจำนนแล้ว หากสืบจนรู้สถานการณ์ของตำหนักสวรรค์ชัดเจน พวกเขาก็จะไม่มีทางหนีทีไล่เหลืออยู่ ดังนั้นการที่ตำหนักสวรรค์ประกาศให้ยอมจำนน ก็จะต้องแสดงความจริงใจออกมาด้วย ถึงจะทำให้พวกเขายอมจำนนอย่างสงบใจได้ ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครอยากหลบอยู่ในสถานที่เส็งเคร็งแบบนั้นอยู่แล้ว!”
“ความจริงใจ?” ทูตขวาตรวจการเกาก้วนที่ฟังอยู่ข้างๆ มาตลอดพลันกล่าวอย่างเย็นเยียบว่า “จะดึงความจริงใจอะไรออกมาได้? นอกเสียจากจะนำตำแหน่งที่ขาดของตำหนักสวรรค์มาปลอบโยน ทูตซ้ายเคยพิจารณาถึงความรู้สึกของบรรดาขุนนางเก่าแก่ของตำหนักสวรรค์หรือไม่? หรือว่าทูตซ้ายคิดว่าพวกเขายินดีจะคว้านเนื้อบนร่างกายตัวเองให้โจรกบฏพวกนั้นสมใจ?”
“ในฐานะที่เป็นขุนนางของฝ่าบาท ก็ควรจะยอมทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม ฝ่าบาทสามารถเรียกรวมบรรดาขุนนางใหญ่ๆ มาเจรจาได้ สามารถบอกตรงๆ ได้ จุดจบยังเหมือนเดิม รอให้เข้าใจสถานการณ์ในนรกก่อน แล้วค่อยคิดบัญชีกับโจรกบฏพวกนั้นทีหลัง ถือเป็นการปลอบขวัญบำรุงขวัญ!” ซือหม่าเวิ่นเทียนกล่าว
เกาก้วนจึงกล่าวเสียงเรียบว่า “ข้ากล้ารับประกันได้เลยว่าแผนนี้ของทูตซ้ายไม่ผ่าน!”
“ทำไม?” ซือหม่าเวิ่นเทียนถลึงตาถาม
เกาก้วนอธิบายว่า “ทูตซ้ายคิดว่าขุนนางใหญ่ๆ พวกนั้นจะเชื่อหรือ? ต่อให้เชื่อ ต่อให้พวกเขาจะตอบตกลงเพราะโดนฝ่าบาทกดดัน แต่สุดท้ายเรื่องนี้ก็ยังทำให้สำเร็จไม่ได้อยู่ดี ถึงตอนนั้นคนที่เสียหน้าก็ยังเป็นฝ่าบาท สิ่งที่เสียหายก็คือชื่อเสียงบารมีของฝ่าบาท! เหตุผลไม่ซับซ้อนเลย เพราะบรรดาขุนนางใหญ่ๆ มีอำนาจมหาศาลอยู่ในมือ พวกเขายังจำเป็นต้องสร้างความยุ่งยากขึ้นมาอีกเหรอ? พวกเขาจะกังวลว่าถ้าแบ่งแยกอำนาจไปตอนนี้ แล้วถ้าในภายหลังไม่สามารถเรียกอำนาจกลับคืนมาได้จะทำอย่างไร? ดังนั้นพวกเขาจึงมีวิธีแอบบอกให้โจรกบฏพวกนั้นรู้อยู่แล้ว ว่าการที่ตำหนักสวรรค์ประกาศให้ยอมจำนนคือเรื่องโกหก ทูตซ้ายคิดว่าโจรกบฏพวกนั้นจะยังกล้ายอมจำนนอีกเหรอ? ในขั้นตอนการประกาศให้ยอมจำนนครั้งก่อนก็ใช้ว่าจะไม่มีปัจจัยนี้ สำหรับขุนนางใหญ่พวกนั้น ตอนนี้การขังโจรกบฏพวกนั้นไว้ในนรกต่อไปคือวิธีการที่เหมาะสมที่สุด ต่อให้ปัจจัยพวกนั้นจะถูกลบล้างไป ต่อให้จะประกาศให้ยอมจำนนได้อย่างราบรื่น แต่ทูตซ้ายเคยคิดถึงสถานการณ์นี้บ้างหรือเปล่า ขุนนางใหญ่ที่มีอยู่แต่เดิมจะกดข่มขุนนางที่เป็นโจรกบฏกลับใจพวกนั้นแน่นอน เรื่องแบบนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วก็จะทำให้ขุนนางโจรกบฏพวกนั้นเกิดความแค้นในใจเช่นกัน ถ้ามีคนจงใจจะใช้ประโยชน์ในเวลานี้ล่ะก็…โจรกบฏพวกนั้นล้วนเป็นเรื่องรอง ขนาดในปีที่หกมหาราชันยังอยู่ โจรกบฏก็ยังแสดงฝีมือไม่ได้เลย ตอนนี้เป็นเพียงฝูงมังกรไร้หัว ยังกลัวว่าพวกเขาจะพลิกฟ้าอีกเหรอ? ทูตซ้ายอย่าลืมนะ ปัญหาสำคัญที่แท้จริงในใจฝ่าบาทยังไม่ถูกกำจัด ถ้าเกิดเหตุการณ์สมคบคิดกันภายในขึ้นมา ข้าก็ไม่อยากจะจินตนาการถึงผลที่จะตามมาเลย!”
ตอนแรกประมุขชิงยังฟังเงียบๆ แต่พอฟังมาถึงตอนหลังก็พลันเบิกตากว้าง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ตอ่ไปไม่ต้องพูดเรื่องประกาศให้ยอมจำนนอีก!”
ซือหม่าเวิ่นเทียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยังกุมหมัดคารวะตอบว่า “ขอรับ!” พูดจบก็ถือโอกาสเงยหน้ามองเกาก้วนที่สีหน้าเย็นชา
ประมุขชิงเองก็เงยหน้าช้าๆ มองเกาก้วนเช่นกัน “เกาก้วน มีของเข้าของออกในรูหนูก็น่ารำคาญเหมือนกัน เจ้ามีวิธีการรับมือมั้ย?”
เกาก้วนตอบเพียงคำเดียวว่า “ปราบ!”
ซือหม่าเวิ่นเทียนพูดต่อทันทีว่า “ทูตขวา เจ้าก็พูดได้อย่างสบายปาก ใช่ว่าว่าจะไม่เคยปราบเสียหน่อย ยังไม่ต้องพูดถึงว่ากำลังพลระดับล่างกังวลถึงสภาพแวดล้อมเลวร้ายอันตรายของนรกจึงไม่ออกแรงทำงานเต็มที่ ขนาดฝ่าบาทนำกำลังไปเองหลายครั้งก็ยังไม่ได้ผล พอโจรกบฏพวกนั้นรู้ข่าวก็ซ่อนตัวทันที ไม่มาสู้กันตรงๆ เอาแต่หลบจู่โจมสร้างความวุ่นวายไปทั่ว กองทัพขนาดใหญ่ทนการรบกวนจากพวกเขาไม่ไหว นี่คือสภาพที่ไม่ถอยไม่ได้ ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้!”
“ฝ่าบาท! ข้าคิดว่าเรื่องปรับปรุงตลาดสวรรค์แต่ละแห่ง ควรจะเตรียมกำหนดการได้แล้วอขรับ” เกาก้วนกุมหมัดคารวะ
ทำไมวนมาเรื่องนี้ได้? ประมุขชิงยิ้มบ้าๆ รู้ว่าการที่เขาพูดแบบนี้จะต้องมีเหตุผลแน่นอน
ประมุขชิงเหลือบมองแวบหนึ่ง เห็นราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กำลังหิ้วตะกร้าเดินเข้ามาบนคันนาไกลๆ เขาโบกมือเล็กน้อย เกาก้วนกับซือหม่าเวิ่นเทียนก็หันมองตามแวบหนึ่งเช่นกัน
ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่งงไปชั่วขณะ เดิมทีเห็นประมุขชิงกำลังพูดคุยนานมาก เลยอยากจะเข้ามาดูสักหน่อย พอตอนนี้เห็นประมุขชิงไม่อยากให้นางเข้ามาฟังอะไรมาก ก็ทำได้เพียงย่อตัวคำนับเล็กน้อยแล้วกันตัวเดินจากไป แต่คิ้วกลับขมวดมุ่น กำลังครุ่นคิดว่าประมุขชิงกำลังคุยเรื่องสำคัญอะไรจึงไม่ให้ตนฟัง สิ่งนี้ทำให้ในใจนางค่อนข้างหงุดหงิด
ส่วนประมุขชิงก็หันกลับมาคุยกับเกาก้วนด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ต้องอุบไว้แล้ว ลองบอกมาเถอะ”
เกาก้วนกล่าวว่า “เมื่อเวลาผ่านไปนานๆ ทุกคนต่างก็รู้ว่าการนั่งรักษาการณ์ที่ตลาดสวรรค์เป็นงานที่ร่ำรวยมั่งคั่ง แต่ตำแหน่งเหล่านี้ก็ถูกผู้มีอำนาจฝ่ายต่างๆ ของตำหนักสวรรค์ยึดกุมมาเป็นเวลานานเช่นกัน คนที่นั่งในตำแหน่งเหล่านั้นไม่จำเป็นต้องมีความสามารถอะไรมาก และไม่จำเป็นต้องแบกรับความเสี่ยงอะไรด้วย แต่ก็สามารถได้รับทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์แล้ว เป็นพวกไร้ความสามารถทั้งนั้น แล้วแบบนี้จะไม่เกิดเรื่องได้อย่างไร? หลายปีมานี้ข้าน้อยรับหน้าที่จัดเรื่องการทดสอบ มีเรื่องมากมายที่เห็นอยู่ในสายตา ก็เหมือนผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์สามคนนั้นที่ประสบอันตราย ตามหลักการแล้ว เดิมทีพวกเขาจะต้องเข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้ แต่เพียงเพราะเบื้องหลังของพวกเขามีเส้นสายและคนหนุนหลัง คาดว่าคนที่มีเจตนาไม่ดีกับฝ่าบาทได้ถอดสามคนนั้นออกจากตำแหน่งล่วงหน้าแล้วด้วย รอจนกระทั่งรายชื่อถูกยืนยันแล้ว ก็ให้สามคนนั้นกลับสู่ตำแหน่งได้อีก! นี่เป็นเพียงตัวอย่างเดียวเท่านั้น ที่จริงเรื่องราวประมาณนี้มีอีกมากมายนับไม่ถ้วน ไม่รู้ว่ามีกำลังพลเบื้องล่างตั้งเท่าไรที่แอบคับแค้นใจ หากเป็นแบบนี้ไปนานๆ แล้วใจคนจะไปอยู่ที่ไหนหมด? การปรับปรุงคือเรื่องที่หลีกไม่พ้น!”
ประมุขชิงหลับตาพูดว่า “ใช่ว่าข้าจะไม่อยากปรับปรุง แต่ข้าแยกร่างไม่ได้ เรื่องราวในใต้หล้าก็ยังต้องใก้กลุ่มขุนนางไปช่วยจัดการ เมื่อข้าปรับปรุงไปได้ชุดหนึ่ง เมื่อผ่านไปสักระยะพวกเขาก็จะเปลี่ยนมาอีกชุดหนึ่ง ทุกคนล้วนมีใจเห็นแก่ตัว” พูดจบก็ชี้ไปยังคันนาระหว่างทุ่งนา “ก็เหมือนผักกุยช่ายในท้องนา ตัดทิ้งไปกอหนึ่ง ก็งอกออกมาอีกกอหนึ่ง ข้าคงไม่สามารถถอนรากถอนโคนจนกลายเป็นพื้นที่รกร้างหรอกใช่มั้ย?”
“เช่นนั้นก็ต้องปลูกผักอย่างอื่นขอรับ!” เกาก้วนกล่าวด้วยนำเสียงเรียบนิ่ง “ข้าน้อยจะจัดการทดสอบอีกครั้ง สมาชิกที่เข้าร่วมการทดสอบ ข้าน้อยจะกำหนดให้เป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์โดยตรง แต่ครั้งนี้จะไม่ใช่การทดสอบที่บีบบังคับแล้ว แต่ผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์จะต้องอยู่ในรายชื่อการทดสอบ ถ้าใครถอนตัวก็แสดงว่าคนนั้นไร้ความสามารถ แล้วก็จะต้องออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ ถูกลดขั้นให้เป็นพวกเทพแห่งผืนดิน ผีหลักเมือง พวกไร้ความสามารถที่ละโมบผลประโยชน์มาหลายปีขนาดนี้ ถ้าจะไม่ถูกเลื่อนขั้นให้ทำงานสำคัญอะไรเลยภายในหนึ่งหมื่นปี ก็ไม่ถือว่าทำเกินไป! ส่วนขุนนางระดับต่างๆ ของตำหนักสวรรค์ ตราบใดที่เป็นผู้ที่วรยุทธ์สูงตามมาตรฐาน ก็จะสามารถลงชื่อเข้าร่วมการทดสอบผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ครั้งนี้ได้ ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือการแข่งขันช่วงชิงตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ ใครมีความสามารถก็จะได้ไป ตำแหน่งที่มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์แบบนี้ หากเจ้าไม่มีความสามารถที่จะรับตำแหน่ง ก็จะไปโทษคนอื่นไม่ได้เหมือนกัน ทดสอบผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ก่อน แล้วค่อยทดสอบแม่ทัพภาคที่รักษาการณ์ตลาดสวรรค์ สรุปก็คือตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์หลังจากนี้ไป หากไม่ผ่านการทดสอบแข่งขันของตำหนักสวรรค์ ไม่ว่าใครก็ไม่ได้รับอนุญาตให้นั่งตำแหน่งนั้น!”
ประมุขชิงเลิกคิ้วเล็กน้อย การตายของผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์สามคนนั้นเป็นข้ออ้างที่ดี
ซือหม่าเวิ่นเทียนกลับกล่าวอย่างตกใจว่า “เกาก้วน เจ้าคงไม่ได้คิดจะให้ผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์พวกนั้นไปปราบโจรกบฏในนรกหรอกใช่มั้ย? เรื่องที่แม้แต่ทัพใหญ่ของตำหนักสวรรค์ยังทำไม่ได้ ถ้าเจ้าทำแบบนี้ จะต้องไม่มีใครยอมไปแน่นอน!”
…………………………
บทที่ 1173 จุดซ่อนสมบัติที่ต่อไป
โดย
Ink Stone_Fantasy
เกาก้วนจ้องเขาพร้อมกล่าวอย่างใจเย็น “ไม่ได้จะให้พวกเขาไปปราบโจรกบฏให้ราบคาบ แต่จะให้พวกเขาไปวาดแผนที่ที่นรก ให้พวกเขาไปสืบดูสถานการณ์ของนรกให้ชัดเจน ความสูงต่ำของคะแนนทดสอบจะขึ้นอยู่กับว่าสืบดูสถานการณ์มาได้ลึกล้ำแค่ไหน ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไรอยากไปนั่งตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ ถ้าคนที่รับตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ในปัจจุบันไม่อยากไป ในใต้หล้าก็มีคนอยากไปฝ่าฟันเพื่ออนาคตอยู่แล้ว ตำหนักสวรรค์มีผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์แปดพันกว่าตำแหน่ง การดึงดูดคนสักสองสามแสนให้เข้าร่วมก็ไม่ใช่ปัญหา กับคนหลายแสนคนที่ไปนรกเพราะตัดสินใจจะฝ่าฟันเพื่ออนาคต เมื่อเทียบกันแล้ว คนที่ถูกตำหนักสวรรค์บังคับส่งไปเทียบไม่ติดหรอก ตอนทดสอบสืบอะไรได้บ้างนิดหน่อย เมื่อเวลาผ่านไปนานๆ ก็คงจะมีสักวันที่ตำหนักสวรรค์จะรู้สถานการณ์ในนรกอย่างชัดเจน รอให้โอกาสสุกงอม ค่อยส่งทัพใหญ่ไปปราบให้ราบคาบในรวดเดียว ดีกว่ามัวแต่อุดทางเข้าออกโดยไม่ทำอะไร!”
“เกรงว่าจะไม่มีใครอยากไปน่ะสิ!” ซือหม่าเวิ่นเทียนส่ายหน้า “ฝ่าบาท! เป็นอย่างที่ท่านเพิ่งจะบอกไป นี่ก็เหมือนการฟันผักกุยช่าย ที่บอกว่าผู้ผ่านการทดสอบเท่านั้นถึงจะได้ไปนั่งตำแหน่งที่ตลาดสวรรค์ นั่นเป็นเพียงสิ่งที่คิดเองอยู่ฝ่ายเดียวเท่านั้น ถึงอย่างไรตลาดสวรรค์แต่ละแห่งก็ยังอยู่ภายใต้การปกครองของขุนนางใหญ่ หลังจากจบเรื่องนี้พวกเขามีทางใส่ร้ายให้คนที่พวกเขาไม่อยากได้มีความผิดอยู่แล้ว อย่าบอกนะว่าหลังจากมีความผิดแล้ว จะทำให้ผู้บัญชาการใหญ่พวกนั้นออกจากตำแหน่งไม่ได้เชียวหรือ? จะไปอ้างเหตุผลนี้ที่ไหนไหว ใช้เวลาไม่นาน ขุนนางใหญ่พวกนั้นก็จะสามารถเจาะตาข่ายให้เป็นรูจนทั่ว คนไร้อำนาจหนุนหลังที่คิดจะนั่งตำแหน่งนั้นอย่างมั่นคง ไม่ว่าใครก็ต้องชั่งน้ำหนักดูทั้งนั้น”
“แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธีการรับมือ ระดับความยากก็ไม่มากขนาดนั้น เพียงแต่เวลาปฏิบัติขึ้นมาเกรงว่าฝ่าบาทจะต้องรับแรงกดดันเล็กน้อย” เกาก้วนกล่าว
“ว่ามา!” ประมุขชิงกล่าว
เกาก้วนอธิบายว่า “แยกตลาดสวรรค์ในสังกัดของตำหนักสวรรค์ออกจากการปกครองเดิม สร้างช่องทางการดูแลแยกออกมาอีกหนึ่งช่องทาง ไม่จำเป็นต้องให้ตลาดสวรรค์ ผู้บัญชาการใหญ่ แม่ทัพภาคทำงานอยู่ในตำแหน่งร่วมกันแบบไม่ชัดเจน ในเมื่อต้องการจะปรับรุง ก็ต้องจัดระเบียบขอบเขตอำนาจก่อน เลื่อนขั้นให้แม่ทัพภาค! ตลาดสวรรค์ทุกๆ สิบแห่งจะอยู่ในการควบคุมของแม่ทัพภาคคนเดียว แม่ทัพภาคทุกๆ สิบคนจะอยู่ในการควบคุมของหัวหน้าภาคคนเดียว ในระบบเก่าเบื้องบนของหัวหน้าภาคจะเป็นท่านโหว ทว่าการแต่งตั้งเจ็ดสิบสองโหวให้เป็นท่านเซียนบนราชสำนักคือกฎเกณฑ์ตายตัวแล้ว ถ้าเพิ่มตำแหน่งท่านโหวบนราชสำนักอีก แบบนั้นก็จะโต้เถียงให้กระจ่างได้ยาก ลองตั้งหัวหน้าภาคใหญ่ขึ้นมาใหม่สักตำแหน่ง หัวหน้าภาคสิบคนจะอยู่ในการควบคุมของหัวหน้าภาคใหญ่หนึ่งคน ตลาดสวรรค์แปดพันกว่าแห่งก็จะมีหัวหน้าภาคใหญ่เพียงแปดเก้าคนเท่านั้น แล้วก็เลือกคนที่มีคุณธรรมและบารมีสูงส่งสักคนมาบัญชาการหัวหน้าภาคใหญ่พวกนั้นก็พอแล้ว!”
ประมุขชิงได้ยินแล้วหลับตาครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้
หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย ซือหม่าเวิ่นเทียนก็ส่ายหน้าบอกว่า “ไม่เหมาะสม! ในปีนั้นที่ตั้งตำแหน่งแม่ทัพภาคขึ้นมาก็เพื่อให้มียอดฝีมือคอยคุมตลาดสวรรค์ ถ้าตลาดสวรรค์ขาดยอดฝีมือนั่งรักษาการณ์ สถานที่ที่เงินทองอุดมสมบูรณ์แบบนั้น ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้มีคนคิดไม่ซื่อ ถ้ามีคนมาปล้นตลาดสวรรค์อย่างไม่ขาดสาย นั่นก็จะไม่ใช่เรื่องดีอะไร!”
เกาก้วนเถียงกลับว่า “นี่เป็นคำวิจารณ์ที่ไร้สาระ! ในปีแรกที่ขุนนางใหญ่ทั้งราชสำนักแนะนำให้จัดแบบนี้ ประการแรกเป็นเพราะตำหนักสวรรค์เพิ่งก่อตั้งขึ้น เหตุผลที่ทูตซ้ายยกมา ก็น่าคำนึงถึงอยู่บ้างจริงๆ แต่แท้จริงแล้วก็เพื่อให้มีตำแหน่งดีๆ เยอะขึ้นสำหรับดูแลลูกน้องคนสนิท ตำหนักสวรรค์ก่อตั้งมาหลายปี ขนาดร้านค้าของตลาดสวรรค์แต่ละแห่งถูกสร้างขึ้นมาแล้ว ถามหน่อยว่านักพรตบงกชทองโดยทั่วไปจะมีใครกล้าไปปล้นตลาดสวรรค์? ต่อให้เป็นนักพรตระดับบงกชรุ้ง นั่นก็ต้องเป็นกลุ่มนักพรตบงกชรุ้งที่ร่วมมือกันถึงจะกล้าไปปล้น ถ้ามีกลุ่มนักพรตบงกชรุ้งร่วมมือกันไปปล้นจริงๆ ทูตซ้ายคิดว่าด้วยกำลังของแม่ทัพภาคตลาดสวรรค์จะสามารถต้านไหวเหรอ?”
“ถ้าไม่มีแม้แต่นักพรตบงกชรุ้งที่นั่งรักษาการณ์ ถึงตอนนั้นจะไม่มีโจรระดับบงกชรุ้งมากวาดล้างที่ตลาดสวรรค์ได้ตามใจชอบหรอกหรือ?” ซือหม่าเวิ่นเทียนถาม
เกาก้วนเถียงแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน “หรือทูตซ้ายคิดว่าคนที่เฝ้าร้านค้าในตลาดสวรรค์จะไม่มีนักพรตบงกชรุ้งเลยแม้แต่คนเดียว? จากที่ข้ารู้มา ผู้ประกอบการของร้านค้าบางร้านเป็นนักพรตบงกชรุ้งอยู่แล้ว ผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์คนเดียวจะควบคุมพวกเขาไม่ได้เชียวหรือ? ก็เป็นอย่างที่ข้าบอก ตลาดสวรรค์แห่งเดียวไม่จำเป็นต้องมีแม่ทัพภาคกับผู้บัญชาการใหญ่เบียดกันอยู่ในรังเดียว ถ้าอยู่ด้วยกันก็จะมีคนเยอะเกินงาน จะผลักความรับผิดชอบใส่กัน!”
ซือหม่าเวิ่นเทียนบอกว่า “เกาก้วน เจ้าอย่าลืมนะ ตลาดสวรรค์แต่ละแห่งล้วนเป็นอาณาเขตของขุนนางใหญ่เต็มราชสำนัก ถ้าเจ้าแยกตลาดสวรรค์ออกมาจากมือพวกเขา ถึงตอนนั้นถ้าเกิดเรื่องขึ้นที่ตลาดสวรรค์ พวกเขาก็จะไม่แสดงความรับผิดชอบ ถ้าพวกเขาวางมือไม่ดูแลความปลอดภัยของตลาดสวรรค์ ตลาดสวรรค์ก็จะเกิดเรื่องขึ้นได้ง่ายมาก มีขุนนางใหญ่คนไหนไม่แอบใช้อำนาจของตัวเองอย่างลับๆ บ้าง?” คำพูดนี้เปิดโปงชัดเจนแล้วว่าเมื่อถึงตอนนั้นจะมีคนแอบเล่นไม่ซื่อ
เกาก้วนจึงตอบว่า “อาณาเขตของที่ขุนนางใหญ่ดูแล ถ้าแม้แต่ความปลอดภัยพื้นฐานก็ยังรักษาไม่ได้ พวกเขาจะหนีความรับผิดชอบพ้นเหรอ? ถ้ามีคนแอบเล่นไม่ซื่อจริงๆ เช่นนั้นก็ลองชั่งน้ำหนักดูสักหน่อย ถ้าตลาดสวรรค์ทุกแห่งถูกจัดการแล้ว ทูตซ้ายอย่าลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวนปีนั้นนะ ผู้บัญชาการใหญ่คนเดียวสามารถสั่งปิดร้านค้าได้เป็นโขยง ถ้าร้านค้าของขุนนางใหญ่คนไหนถูกสั่งปิดที่ตลาดสวรรค์ทุกแห่ง กิจการใหญ่โตของพวกเขาก็รับไม่ไหวหรอก พวกขุนนางใหญ่สามารถเล่นไม่ซื่อได้ แต่ฝั่งตลาดสวรรค์จะไม่รู้จักตอบโต้โดยการตัดช่องทางรายได้ของพวกเขาเชียวหรือ?”
ซือหม่าเวิ่นเทียนส่ายหน้า “เกาก้วน นี่เป็นการปล้นอำนาจมาจากมือขุนนางใหญ่ทุกคน เจ้ารู้มั้ยว่าจะทำให้เกิดการสะท้อนกลับมากขนาดไหน?”
“ดังนั้นข้าถึงได้บอกว่าฝ่าบาทอาจจะต้องทนแรงกดดันนิดหน่อย ถ้าพูดจากอีกมุมหนึ่ง ถ้าฝ่าบาทกุมตลาดสวรรค์ทั้งหมดไว้ในมือได้ ก็เท่ากับกุมช่องทางความร่ำรวยที่ใหญ่ที่สุดของขุนนางใหญ่ทุกคนไว้ได้เหมือนกัน แบบนี้ถ้าจะตำหนิตักเตือนใครก็จะง่ายแล้ว” เกาก้วนกล่าว
ประมุขชิงตาเป็นประกายเล็กน้อย
เกาก้วนเหล่ตามองปฏิกิริยาของเขาแวบหนึ่ง แล้วพูดต่อว่า “กลับมาพูดเรื่องการทดสอบ ไม่มีใครอยากจะเอาชีวิตไปเสี่ยงเปล่าๆ มีเพียงการตัดอำนาจของขุนนางใหญ่พวกนั้นที่ไปก้าวก่ายงตลาดสวรรค์ทิ้ง คนมีฝีมือที่ไร้อำนาจอิทธิพลไร้ภูมิหลังถึงจะเลิกห่วงหน้าพะวงหลัง ถึงจะมีคนอยากฝ่าฟันเพื่ออนาคต สำหรับคนส่วนใหญ่ ตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์มีแรงดึงดูดเยอะมาก!”
ซือหม่าเวิ่นเทียนจึงซักถามว่า “ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าบอกจริงๆ แล้วใครจะมาดูแลตลาดสวรรค์แปดพันแห่งล่ะ? แล้วใครจะกล้ารับหน้าที่เป็นศัตรูกับขุนนางใหญ่เต็มราชสำนัก? เจ้าคงจะให้ฝ่าบาทกระโดดขึ้นมาตั้งตัวเป็นศัตรูกับขุนนางใหญ่ทุกคนของตัวเองไม่ได้หรอกกระมัง?”
ประมุขชิงได้ยินแล้วขมวดคิ้วเบาๆ เช่นกัน
“เรื่องของวังหลังไม่ใช่สิ่งที่ข้าน้อยจะไปถามได้” เกาก้วนตอบอย่างไม่ใส่ใจ
“วังหลัง…” ซือหม่าเวิ่นเทียนจะถามต่อ แต่พูดไปได้ครึ่งเดียวก็นิ่งเงียบพูดไม่ออกแล้ว เหมือนจะนึกอะไรได้ หันหน้าช้าๆ ไปมองในทุ่งนา
ประมุขชิงก็เหลือบตามองไปที่ทุ่งนาเช่นกัน สายตาไปหยุดอยู่บนตัวราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่กำลังก้มตัวทำงานในทุ่งนา คิ้วที่ขมวดคลายออก อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างเข้าใจ ในที่สุดก็ลุกขึ้นยืนแล้ว ชี้เกาก้วนพร้อมบอกกว่า “เกาก้วน ถ้าให้คนอื่นรู้ว่าเจ้าเป็นคนออกความคิดนี้ เจ้าคงจะทำให้ขุนนางใหญ่ขุ่นเคืองทั้งราชสำนักแล้ว”
“ข้าน้อยไม่จำเป็นต้องไว้หน้าพวกเขา เพียงทำเรื่องที่ตัวเองควรจะทำขอรับ!” เกาก้วนตอบเสียงเรียบ
“พูดได้ดี!” ประมุขชิงยกมือขึ้นตบบ่าเขา แล้วเอามือไขว้หลังเดินผ่านกลางทั้งสองไป ไปยืนอยู่ข้างคันนาเงียบๆ รับสายลมโชยแผ่วๆ
เกาก้วนกับซือหม่าเวิ่นเทียนเดินตามอยู่ข้างหลัง ซือหม่าเวิ่นเทียนมองเกาก้วนพลางส่ายหน้าเบาๆ ทำสีหน้าทอดถอนใจเบาๆ ไม่รู้ว่ากำลังทอดถอนใจอะไร
“ไม่น่าเชื่อว่าแดนอเวจีจะมีทางเข้าออกอีกทาง!” ประมุขชิงกล่าวเสียงต่ำ แล้วเงยหน้ามองฟ้า หรี่ตาพึมพำว่า “หรือว่าใต้หล้ากำลังจะเกิดเรื่องแล้ว?”
หลังจากนั้นครึ่งเดือน ราชสำนักของตำหนักสวรรค์ก็เกิดความปั่นป่วนโกลาหล…
“มีเรื่องอะไรกัน?”
เหมียวอี้รีบร้อนเข้ามาในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ เมื่อเห็นอวิ๋นจือชิวเข้ามาต้อนรับก็เอ่ยถามทันที
ช่วงนี้เขาหลบฝึกตนอยู่กับจีเหม่ยลี่ตลอด กำลังทำความเข้าใจเรื่องการสร้างพื้นที่ว่างในกายเนื้อ พอจะเก็บเกี่ยวอะไรได้บ้างแล้ว แน่นอนว่าการศึกษาเรื่องสร้างพื้นที่ว่างในกายเนื้อเป็นหนึ่งในผลพลอยได้ การได้เกี้ยวพาราสีสาวงามขายาวก็ได้รสชาติไปอีกแบบ เขาต้องการจะจีบสาวงามขายาวให้ติดโดยไม่ต้องจ่ายค่าตอบแทน ถ้าต้องต่อรองราคากับอนุภรรยาของตัวเองถึงจะทำเรื่องอย่างนั้นได้ แบบนั้นเขารู้สึกไม่ประสบความสำเร็จ ช่วงนี้เขารู้สึกว่าตัวเองได้เปรียบแล้ว จีเหม่ยลี่ยืดหยุ่นผ่อนปรนขึ้นเยอะ อย่างน้อยก็ไม่ขัดขืนเวลาเขาลวนลาม มือของเขาได้ตักตวงผลประโยชน์ไปแล้วไม่น้อย
ถึงแม้จีเหม่ยลี่จะยังรักษาแนวป้องกัน แต่เหมียวอี้ก็รู้สึกว่าวันที่ตัวเองจะได้ฝ่าแนวป้องกันอยู่ไม่ไกลแล้ว เขาแอบใช้ชีวิตแต่ละวันอย่างสดชื่น ไม่อย่างนั้นการฝึกตนอย่างช้าๆ ก็จะทำให้เหงาเกินไป
อวิ๋นจือชิวรับน้ำชาที่เชียนเอ๋อร์ยกมา แล้ววางลงตรงหน้าเหมียวอี้ จากนั้นนั่งลงข้างๆ “หนิวเอ้อร์ ข้าเพิ่งได้ยินข่าวมา ว่าผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์สายมะเมียสามคนโดนปล้นฆ่าตอนออกไปข้างนอก ทำให้จอมพลสายมะเมียเคลื่อนไหวใหญ่โต ได้ยินว่ากำหนดตัวผู้ร้ายที่หลบหนีได้แล้ว พวกเขาไล่ฆ่าไปตลอดทางจนถึงแดนอเวจี แต่ก็ยังทำให้ผู้ร้ายหนีรอดไปได้”
เหมียวอี้พยักหน้าบอกว่า “ภายในของระบบขุนนางข่าวไวกว่าเจ้า ข้าได้ยินข่าวนี้มาตั้งแต่หลายวันก่อนแล้ว ได้ยินว่าใช้นักพรตพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพสามคนไล่ฆ่าแต่ก็ยังปล่อยให้ผู้ร้ายหนีรอดไปได้ จุจุ! คนที่กล้าทำเรื่องแบบนี้มีความสามารถจริงๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้ร้ายเป็นใคร กล้าหาญใช้ได้ เรื่องนี้เกิดที่สายมะเมีย ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเราหรอก เจ้าเรียกข้ามาเพราะเรื่องนี้น่ะเหรอ?”
อวิ๋นจือชิวเตือนอย่างจริงจังว่า “เรื่องนี้มีให้เห็นเป็นตัวอย่างแล้ว เจ้าจะประมาทเลินเล่อไม่ได้เด็ดขาด ต่อไปถ้าออกจากตลาดสวรรค์ก็พยายามปลอมตัวด้วย อย่าคิดว่าเรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นกับเจ้า ถ้าเกิดเรื่องนี้กับตัวเองจริงๆ จะมาเสียใจทีหลังก็สายไปแล้ว!”
“รู้แล้วน่า!” เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะ เขารู้สึกกินปูนร้อนท้องนิดหน่อย ที่เขารู้ข่าวนี้ล่วงหน้าไม่ใช่เพราะหน่วยงานภายในของฝ่ายขุนนาง แต่เป็นเพราะหวงฝู่จวินโหรวส่งข่าวมาบอกเขา เตือนเขาว่าต่อไปถ้าจะออกข้างนอกต้องระวังตัว เขาจึงวางเรื่องที่ทำให้รู้สึกผิดเอาไว้ก่อน แล้วเปลี่ยนประเด็นพูดว่า “ฮูหยิน เปรียบเทียบที่อยู่ของเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางภาคดินหรือยัง? ถือโอกาสตอนที่ข้ายังไม่รายงานตัวกับปี้เยว่ฮูหยิน จะออกไปอีกสักรอบ รีบจัดการเรื่องนี้เร็วๆ หน่อย”
“เปรียบเทียบที่อยู่ได้ตั้งนานแล้ว แต่ข้ารู้สึกว่าไม่ต้องหาเคล็ดวิชานี้ก็ได้ ข้าก็เลยไม่ได้บอกเจ้า” อวิ๋นจือชิวกล่าว
เหมียวอี้กล่าวอย่างแปลกใจว่า “จะไม่หาได้ยังไง ที่ซ่อนสมบัตินี้คือเบาะแสที่เชื่อมโยงกันเป็นทอดๆ ถ้าไม่ตามหาที่นี่ก็เท่ากับตัดขาดเคล็ดวิชาที่จะตามมาทีหลัง…เจ้าคงไม่ได้คิดจะไปตามหาเองหรอกใช่มั้ย? ข้าขอเตือนเจ้าไว้เลยนะ อย่าทำซี้ซั้วเด็ดขาด เรื่องนี้เจ้าไปทำเองไม่ได้ ถ้าไม่เชื่อฟังก็อย่าโทษว่าข้าแตกหักแล้วกัน!”
อวิ๋นจือชิวถอนหายใจแล้วบอกว่า “ต่อให้เจ้าจะให้ข้าไป แต่ข้าก็ไม่กล้าไปอยู่ดี และข้าก็ไม่คิดจะให้เจ้าไปด้วย เจ้ารู้มั้ยว่าเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางภาคดินซ่อนอยู่ที่ไหน?”
เหมียวอี้ย่อมถามว่า “อยู่ที่ไหน?”
อวิ๋นจือชิวพยักหน้าบอกใบ้เชียนเอ๋อร์ เชียนเอ๋อร์เข้าใจทันที ตอบแทนว่า “นายท่าน ที่ซ่อนสมบัติก็คือสถานที่ที่คนร้ายของสายมะเมียหนีไปซ่อนตัว อยู่ที่แดนอเวจีเจ้าค่ะ!”
“…” เหมียวอี้อ้าปากค้างไปพักใหญ่ สุดท้ายกล่าวอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกว่า “ทำไมไปซ่อนอยู่ที่นั่นได้? สงสัยจะไม่มีทางเลือกแล้ว ทางเข้าออกใหม่ก็โดนตำหนักสวรรค์ปิดล้อมแล้ว ต่อให้พวกเราอยากจะไปแต่ก็ไปไม่ได้อยู่ดี”
…………………………
บทที่ 1174 ปรับปรุงตลาดสวรรค์
โดย
Ink Stone_Fantasy
ที่สำคัญคือต่อให้เข้าไปได้แต่ก็ไม่กล้าไปอยู่ดี การไปทรมานที่แดนอเวจีไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย คนมากมายที่ถูกปล่อยเข้าไปในนั้นตายแบบไม่เหลือซากด้วยซ้ำ
“จะซ่อนที่ไหนก็ไม่ซ่อน ไปซ่อนในที่ผีๆ แบบนั้น ประมุขไป๋ท่านนั้นเล่นบ้าอะไรกันแน่?” อวิ๋นจือชิวเองก็อดไม่ได้ที่จะบ่นอย่างคับแค้นใจ
เหมียวอี้ขมวดคิ้ว ส่ายหน้าอย่างพูดไม่ออก
ตรงนี้กำลังวุ่นวายใจ เพราะถึงอย่างไรการไปดาวดำเนินเซียนก็ทำให้ร่ำรวยกลับมามหาศาล พวกเขาจึงค่อนข้างเฝ้าคอยกับจุดซ่อนสมบัติที่ต่อไป ใครจะคิดว่าจะมาเจอตอปัญหาแบบนี้ แต่กลับโดนปี้เยว่ฮูหยินระฆังดาราส่งข้อความมา ให้เหมียวอี้รีบกลับตลาดสวรรค์ บอกว่ามีธุระจะคุยกับเขา
เดิมทีเหมียวอี้คิดจะ ‘หายตัว’ ไปสักระยะหนึ่ง ตอนนี้ไม่สามารถไปยังจุดซ่อนสมบัติที่ต่อไปได้แล้ว แต่ก็ยังมีความคิดที่จะพักผ่อนต่อไป จึงตอบว่า : ข้าน้อยเพิ่งกลับถึงตลาดสวรรค์พอดี
เหมียวอี้เก็บระฆังดารา แล้วลุกขึ้นบอกอวิ๋นจือชิวว่า “ปี้เยว่ฮูหยินเรียกหาข้า ข้าจะไปสักรอบ”
พอได้ยินว่าเป็นปี้เยว่ฮูหยิน อวิ๋นจือชิวที่ลุกตามก็ทำสีหน้าตื่นตัวทันที กล่าวเตือนอย่างเย็นชาว่า “รักษาระยะห่างกับผู้หญิงคนนั้นไว้หน่อย!”
เหมียวอี้เหลือบมองเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่ทำสีหน้า ‘เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง’ แล้วหัวเราะแห้งๆ “คิดไปถึงไหนแล้ว!”จากนั้นก็โบกมือแล้วเดินออกไป
เมื่อมาถึงตำหนักคุ้มเมือง ผู้บัญชาการใหญ่เหมียวที่ ‘ประจบประแจง’ พอเจอปี้เยว่ฮูหยินก็มอบของขวัญให้ทันที เรียกได้ว่าเป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ
เห็นได้ชัดว่าปี้เยว่ฮูหยินมีอารมณ์ต่างออกไป นางขมวดคิ้วมุ่น รับแหวนเก็บสมบัติมาแล้วไม่มองดูของข้างในด้วยซ้ำ รับไว้แล้วเก็บเลย จากนั้นเดินลากกระโปรงออกไปข้างนอก “ไปเดินเล่นเป็นเพื่อนข้าหน่อย!”
เหมียวอี้ย่อมไม่มีทางปฏิเสธได้ จากที่เดินตามหลังก็ก้าวขึ้นมาอยู่ข้างกายนาง เมื่อเดินมาถึงสวนดอกไม้ ก็เห็นปี้เยว่ฮูหยินหยุดอยู่ตรงหน้าดอกไม้สีสันสดสวยในกระถางใหญ่ต้นหนึ่ง ปลายนิ้วที่สัมผัสกลีบดอกไม้ไม่ขยับไปไหนเสียที เหมียวอี้จึงอดไม่ได่ที่จะเข้ามาใกล้ๆ แล้วถามหยั่งเชิงว่า “ฮูหยินมีเรื่องอะไรในใจขอรับ?”
ปี้เยว่ฮูหยินปล่อยดอกไม้ดอกนั้นแล้ว จากนั้นถอนหายใจเบาๆ แล้วเดินไปข้างหน้าต่อ “หนิวโหย่วเต๋อ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”
“ข้าน้อยจะล้างหูรอฟัง” เหมียวอี้กล่าว
“เรื่องที่ผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์สายมะเมียสามคนประสบภัย ตอนเจ้าอยู่ข้างนอกได้ยินข่าวนี้บ้างรึเปล่า?”
“ได้ยินแล้วขอรับ เป็นเพราะได้ยินเรื่องนี้ ข้าน้อยถึงได้รีบร้อนกลับมา ขอบังอาจถามฮูหยิน หรือว่าเรื่องนี้ยังมีภาคต่ออีก?”
“เป็นแค่ภาคต่อเสียที่ไหนล่ะ เรื่องนี้ลุกลามใหญ่โตแล้ว กลุ่มขุนนางที่ประชุมในราชสำนักของตำหนักสวรรค์พากันหวาดกลัว ราชันสวรรค์เดือดดาลสุดขีด ด่าหวงฮ่าวจอมพลสายมะเมียจนเสียหลักเลย ถ้าไม่ใช่เพราะกลุ่มขุนนางรวมตัวกันวิงวอนขอร้องให้ จอมพลหวงฮ่าวคงจะรักษาตำแหน่งไว้ไม่ได้แล้ว”
เหมียวอี้กล่าวดูถูกในใจว่า ไม่ใช่หวงฮ่าวคนเดียวเสียหน่อยที่ทำแบบนี้ คนอื่นๆ ย่อมช่วยพูดวิงวอนให้หวงฮ่าวอยู่แล้ว เขาถามอย่างสงสัยนิดหน่อยว่า “เรื่องของสายมะเมียเกี่ยวข้องอะไรกับสายฉลูของพวกเราขอรับ?”
“แน่นอนว่าต้องเกี่ยว!” ปี้เยว่ฮูหยินที่เดินเข้ามาในศาลานั่งลง ขณะเดียวกันก็ยื่นมือบอกใบ้ให้เหมียวอี้นั่งลงด้วยกัน เสร็จแล้วถึงได้บอกว่า “เรื่องเกิดขึ้นจากทางหวงฮ่าว แต่คนอื่นๆ ก็โดนราชันสวรรค์ตำหนิอย่างรุนแรงเช่นกัน สุดท้ายราชันสวรรค์ก็ประกาศตรงนั้นเลยว่าต้องการปรับปรุงตลาดสวรรค์”
เหมียวอี้ไม่ได้นั่งลง อีกฝ่ายเป็นเจ้านายที่มีน้ำใจ แต่เขาไม่ถึงขั้นนั่งเทียบเสมอกับเจ้านายต่อหน้าธารกำนัล ได้แต่ยืนเก็บมือพร้อมถามว่า “ปรับปรุงอย่างไรขอรับ?”
ปี้เยว่ฮูหยินถอนหายใจแล้วบอกว่า “ราชันสวรรค์ได้แยกตลาดสวรรค์ทุกแห่งในสังกัดตำหนักสวรรค์ออกจากการปกครองของขุนนางใหญ่ในราชสำนักแล้ว ส่งต่อให้ราชินีสวรรค์ดูแลแทน สั่งให้ราชินีสวรรค์ร่างแผนปรับปรุงออกมาให้เร็วที่สุด”
“เอ่อ…” เหมียวอี้ค่อนข้างตกใจ นี่เป็นเรื่องใหญ่จริงๆ เป็นการปฏิรูปครั้งใหญ่! จึงรีบถามว่า “ยึดอำนาจมาจากมือทุกคน กลุ่มขุนนางจะไม่ต่อต้านเชียวหรือขอรับ?”
ปี้เยว่ฮูหยินส่ายหน้า “พอเกิดเรื่องขึ้นที่สายมะเมีย คนที่โดนด่ายับเยินที่สุดก็คือหวงฮ่าว แต่ทุกคนก็ไม่ได้ก้นสะอาด พวกเขาจะต่อต้านสิ่งนี้ได้อย่างไร? กลุ่มขุนนางนิ่งเงียบไป…ตั้งแต่นี้ไป พวกเราก็ไม่ได้อยู่ในการดูแลของหัวหน้าภาคเฉาว่านเสียงแล้ว ท่านโหวสามีของข้าก็ดูแลข้าไม่ได้แล้วเช่นกัน พวกเราอยู่ในการดูแลของราชินีสวรรค์โดยตรง”
“แล้วราชินีสวรรค์เตรียมจะปรับปรุงอย่างไรขอรับ?” เหมียวอี้
“นี่ก็เป็นสาเหตุที่ข้าเรียกเจ้ามา เรื่องแผนการปรับปรุงโดยละเอียด ราชินีสวรรค์ยังไม่ได้นำออกมา สิ่งแรกที่ราชินีสวรรค์จะทำก็คือรับช่วงต่อดูแลตลาดสวรรค์แต่ละแห่ง กำลังถ่ายเทงานกับกลุ่มขุนนาง ทางข้าได้รับแจ้งมาแล้ว เร็วๆ นี้จะต้องไปวังสวรรค์เพื่อพบกับราชินีสวรรค์ แม่ทัพภาคทุกคนของตลาดสวรรค์ก็จะต้องไปเหมือนกัน เดี๋ยวเจ้ากลับไปแล้วก็รีบเรียกลูกน้องมาถามสักหน่อย ดูว่าเบื้องล่างมีเรื่องอะไรที่ต้องเตรียมตัวรายงานหรือเปล่า ถ้ามีก็แจ้งข้าทันที ข้าจะได้มีข้อมูลไว้ในใจ เมื่อถึงเวลานั้นจะได้ตอบคำถามได้ ส่วนสถานการณ์โดยละเอียด รอข้าไปพบราชินีสวรรค์กลับมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
“ขอรับ!” เหมียวอี้เอ่ยรับ
เมื่อออกจากตำหนักคุ้มเมืองมาแล้ว เขาก็กลับมาที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกพร้อมความกลุ้มใจ ไม่ให้กลุ้มใจคงไม่ได้ เพราะเขามีความขัดแย้งกับเซี่ยโห้วหลงเฉิง แล้วราชินีสวรรค์ก็เป็นคนของตระกูลเซี่ยโห้ว ทั้งยังเป็นอาหญิงแท้ๆ ของเซี่ยโห้วหลงเฉิงด้วย ถึงแม้เขาจะไม่คิดว่าราชินีสวรรค์ผู้สง่าผ่าเผยจะใช้อำนาจส่วนรวมล้างแค้นส่วนตัวกับตัวละครเล็กๆ อย่างเขา แต่ในใจก็ยังกังวลอยู่ดี คนตำแหน่งสูงจัดการง่าย คนตำแหน่งต่ำรับมือยาก!
หลังจากกลับมาแล้ว เรื่องแรกที่ทำก็คือเรียกรวมผู้บัญชาการสี่เขตเมือง เรื่องนี้ต้องถามมู่หรงซิงหัว ถึงแม้นางจะเป็นฮูหยินของเฉาว่านเสียง แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะยังไม่รู้สถานการณ์ จึงรีบติดต่อเฉาว่านเสียงแล้วเอ่ยถามตรงนั้นเลย ผลก็คือเฉาว่านเสียงก็ไม่รู้สถานการณ์เหมือนกัน จะเห็นได้ว่าปี้เยว่ฮูหยินมีสามีรับตำแหน่งเทพเซียนอยู่ในราชสำนักของตำหนักสวรรค์ จึงได้รู้ข่าวสารรวดเร็ว ไม่ว่ามีเรื่องอะไรก็สามารถรู้ในทันที
เรื่องใหญ่ขนาดนี้ไม่มีใครกล้ามองข้าม เมื่อกลับถึงเขตของตัวเอง ผู้บัญชาการสี่เขตเมืองต่างก็เรียกรวมลูกน้องเพื่อถามสถานการณ์ของตลาดสวรรค์ทันที สุดท้ายก็รายงานสถานการณ์ทั้งหมดมาถึงมือเหมียวอี้แล้ว
หลังจากส่งรายงานให้ปี้เยว่ฮูหยินแล้ว เหมียวอี้ก็บอกเรื่องนี้ให้อวิ๋นจือชิวรู้อีก บอกเพียงว่ามีงานราชการจึงยังกลับไปไม่ได้ แต่ตอนกลางคืนกลับแอบไปหาหวงฝู่จวินโหรว
เป็นครั้งแรกที่ท่านขุนนางเหมียวมาหาถึงที่ก่อน หวงฝู่จวินโหรวระริกระรี้มาก พอเห็นหน้าก็โน้มคอกอดอย่างอ่อนโยนทันที
เหมียวอี้กลับผลักนางออก แล้วบอกเรื่องปรับปรุงตลาดสวรรค์ให้รู้ ให้นางไปสืบข่าวให้สักหน่อย ถ้ามีอะไรที่ไม่คาดคิดจะได้เตรียมตัวล่วงหน้าได้สะดวก
หวงฝู่จวินโหรวก็ไม่รู้เรื่องนี้เหมือนกัน แต่กลับรู้สึกทั้งโมโหทั้งอยากขำ “ข้าก็คิดอยู่ว่าทำไมใจดีมามอบความอบอุ่นให้ข้าถึงที่แบบนี้ ที่แท้ก็มีเรื่อง! ข้าไม่สะดวกจะไปถามเรื่องนี้ แต่จะคอยสังเกตให้แล้วกัน”
พอตกกลางคืน เหมียวอี้ก็อยู่ค้างที่นี่ ไม่ง่ายเลยกว่าจะมาได้สักครั้ง จะไม่ให้ค้างสักคืนก็คงยาก สองคนที่อยู่บนเตียงเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีความสัมพันธ์กัน
หลังเที่ยงคืนเหมียวอี้ก็ลุกขึ้นจากการพัวพันของหวงฝู่จวินโหรว เขาต้องการจะกลับไป กลัวว่าฟ้าสว่างแล้วจะสะดุดตาคน
หวงฝู่จวินโหรวค่อนข้างคับแค้นใจ ตอนที่อาบน้ำใส่เสื้อผ้าให้เขานางก็บ่นว่า “เจ้าปีนกำแพงเข้าออกแบบนี้ สักวันหนึ่งคงมีคนจับได้ ข้าว่าขุดทางใต้ดินเถอะ ข้าไปหาเจ้าที่นั่น หรือเจ้าจะมาหาข้าที่นี่ก็สะดวกทั้งนั้น”
ยังจะขุดอีกเหรอ? ถึงตอนนั้นพื้นดินของตลาดสวรรค์คงจะพังหมดแล้วล่ะ! เหมียวอี้ไอแห้งๆ แล้วบอกว่า “แบบนี้ไม่ดีมั้ง? ตลาดสวรรค์ห้ามอย่างเข้มงวดว่าไม่ให้ขูดทางใต้ดิน ไม่สู้ทำแบบนี้ดีมั้ย ต่อไปเวลาเจอกันพวกเราก็ปลอมตัวไปโรงเตี๊ยม หรือจะให้ข้าสร้างบ้านพักไว้นอกเมืองสักหลัง”
หวงฝู่จวินโหรวส่ายหน้า “ข้าเป็นสาวเป็นนาง ถ้าออกไปค้างข้างนอกบ่อยๆ คงยากที่จะไม่ให้คนอื่นๆ ของสมาคมวีรชนสงสัย ขุดทางใต้ดินแล้วกัน”
เหมียวอี้พูดจาคลุมเครือ ไม่ยอมตอบ…
หลังจากนั้นหลายเดือน ปี้เยว่ฮูหยินที่กลับมาจากวังสวรรค์ก็แวะพักที่จวนท่านโหวเทียนหยวนก่อนสองสามวัน จากนั้นถึงได้กลับมาที่ตลาดสวรรค์ เรื่องแรกที่ทำเมื่อกลับมาก็คือเรียกพบเหมียวอี้
พอพบหน้ากัน เหมียวอี้ก็ถามอย่างร้อนใจว่า “ฮูหยิน ไม่ทราบว่าราชินีสวรรค์เตรียมจะปรับปรุงตลาดสวรรค์อย่างไรขอรับ?”
ปี้เยว่ฮูหยินที่นั่งอยู่เบื้องบนกำลังอุ้มปีศาจจิ้งจอกสีชมพู นางกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “การปรับปรุงตลาดสวรรค์ครั้งนี้ถือเป็นเรื่องดีสำหรับข้า ราชินีสวรรค์ต้องการจะยกเลิกแม่ทัพภาคของตลาดสวรรค์แต่ละแห่ง ตั้งแต่นี้ไปตลาดสวรรค์ทุกสิบแห่งจะมีแม่ทัพภาคเพียงคนเดียว ถึงอย่างไรสามีข้าก็เป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองโหวของตำหนักสวรรค์ แม่ทัพภาคตลาดสวรรค์แปดร้อยกว่าตำแหน่ง ถ้าจะช่วงชิงมาให้ข้าสักตำแหน่งก็ไม่ยาก ทางราชินีสวรรค์อนุญาตแล้ว เพียงแต่ในภายหลังข้าอาจจะต้องเปลี่ยนสถานที่ปักหลักแล้ว พอมีการแต่งตั้งตำแหน่งลงมา ตำหนักคุ้มเมืองนี้ก็จะถูกส่งต่อให้เจ้าคุมทันที เจ้าจะได้ไม่ต้องกลัวตกเป็นที่ต้องสงสัยแล้วไปเบียดอยู่ที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกตลอด”
เหมียวอี้กุมหมัดคารวะด้วยรอยยิ้มทันที “ยินดีด้วยฮูหยิน ยินดีด้วยฮูหยิน ต่อไปนี้ขอฝากเนื้อฝากตัวกับฮูหยินจะด้วย” เขาได้ยินข่าวนี้แล้วดีใจจริงๆ ข้างกายมีผู้บังคับบัญชาจับตามองอยู่ตลอดไม่ดีเลย การได้เข้าไปอยู่ที่ตำหนักคุ้มเมืองคือประเด็นรอง ประเด็นหลักคือเขาจะมีอำนาจตัดสินใจที่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวนแล้วจริงๆ
อาศัยความสัมพันธ์ระหว่างเขากับปี้เยว่ฮูหยิน เขาคาดว่านางคงไม่ถึงขั้นถอดเขาออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน
ปี้เยว่ฮูหยินมองเขาด้วยแววตาหลากอารมณ์ แล้วพูดต่อว่า “จำนวนผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ยังคงไว้ไม่เปลียนแปลง ตลาดสวรรค์สิบแห่งจะมีแม่ทัพภาคควบคุมหนึ่งคน แม่ทัพภาคสิบคนจะมีหัวหน้าภาคควบคุมหนึ่งคน ส่วนผู้ที่อยู่เหนือหัวหน้าภาคก็คือหัวหน้าภาคใหญ่หนึ่งคน จากนั้นหัวหน้าภาคใหญ่ก็จะมีราชินีสวรรค์ควบคุมโดยตรง นอกจากตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ ก็ไม่มีใครถามเรื่องอื่นแล้ว ตำแหน่งอื่นล้วนกลายเป็นเป้าหมายในการช่วงชิงของขุนนางใหญ่ในราชสำนัก ช่วงชิงมาสักตำแหน่งเพื่อยัดคนของตัวเองเข้าไปก็ไม่ขาดทุนแน่ พอเป็นแบบนี้ แผนปรับปรุงของราชินีสวรรค์จึงได้รับการสนับสนุนจากขุนนางในราชสำนักอย่างดี คนส่วนน้อยที่คัดค้านไม่มีทางขัดขวางการปรับปรุงในครั้งนี้ได้ มีเพียงตระกูลเซี่ยโห้วที่เสียเปรียบมากกับการปรับปรุงครั้งนี้ เพื่อที่จะสนับสนุนการปรับปรุงของราชินีสวรรค์ และเพื่อไม่ให้ตกเป็นที่ต้องสงสัย จึงไม่ได้เข้าร่วมการช่วงชิงตำแหน่งของระบบตลาดสวรรค์นี้”
เหมียวอี้ได้ยินแล้วโล่งใจ ตระกูลเซี่ยโห้วไม่เข้ามาเกี่ยวข้องก็ดีแล้ว การที่เซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่มีโอกาสแอบอ้างเบื้องบนเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ก็ถือเป็นเรื่องดีสำหรับเขา แต่ภายนอกเขากลับถอนหายใจแล้วบอกว่า “เพื่อที่จะสนับสนุนราชินีสวรรค์ ตระกูลเซี่ยโห้วเสียเปรียบมากจริงๆ”
ปี้เยว่ฮูหยินส่ายหน้าบอกว่า “คนในราชสำนักไม่มีทางสามัคคีกันเพราะตระกูลเซี่ยโห้วยอมถอยหรอก ครั้งนี้ราชินีสวรรค์กุมอำนาจ จะมีคนรวมตัวกันเสนอแนะต่อราชันสวรรค์ทันที แนะนำให้ราชันสวรรค์กับราชินีสวรรค์ให้กำเนิดทายาทเร็วๆ แบบนี้จะได้วางใจได้ กลัวว่าราชินีสวรรค์จะโดนโต้กลับอย่างไม่พอใจเพราะการปรับปรุงครั้งนี้ อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของคนจำนวนไม่น้อยเลย!”
เหมียวอี้แอบรู้สึกปลงในใจ เรื่องนี้ห่างไกลกับเขาเกินไป ไม่ใช่เรื่องที่เขาควรจะกังวล ได้แต่ถามอย่างสงสัยว่า “ทำไมครั้งนี้ถึงไม่มีใครถามถึงตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ขอรับ?”
ปี้เยว่ฮูหยินลังเลอยู่หลายครั้ง ทำใจไม่ได้นิดหน่อยที่จะบอกเขา แต่ก็ไม่มีทางปิดบังเรื่องนี้ได้อยู่ดี นางถอนหายใจแล้วบอกว่า “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าต้องเตรียมใจไว้ให้พร้อมนะ เพราะการตายของผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์สามคนของสายมะเมีย จุดที่เน้นปรับปรุงจึงอยู่ที่ตลาดสวรรค์ ราชินีสวรรค์ตัดสินใจแล้ว ว่านักพรตทุกคนของตำหนักสวรรค์ที่วรยุทธ์ได้ตามเกณฑ์ สามารถเข้าร่วมช่วงชิงตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ทั้งแปดพันตำแหน่งได้”
“ช่วงชิง?” เหมียวอี้งุนงง “ช่วงชิงอย่างไรขอรับ?”
“ทดสอบ!” ปี้เยว่ฮูหยินกล่าวช้าๆ ว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ทุกคนล้วนอยู่ในรายชื่อการทดสอบครั้งนี้ แต่ก็ไม่ได้บังคับหรอก สามารถตัดสินใจถอนตัวหรือเข้าร่วมได้อย่างอิสระ แต่ราคาที่ต้องจ่ายสำหรับการถอนตัวก็คือ จะกลายเป็นคนไร้ความสามารถที่ถูกลดขั้นเป็นพวกเทพแห่งผืนดิน ผีหลักเมือง แล้วก็จะไม่ถูกเลื่อนขั้นภายในเวลาหนึ่งหมื่นปีด้วย”
…………………………
บทที่ 1175 ข้าดวงซวย
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ทดสอบอีกแล้วเหรอ? เทพแห่งผืนดิน ผีหลักเมือง…หนึ่งหมื่นปี?” เหมียวอี้ราวกับมุมปากโดนตะคริวกิน ถามอีกว่า “ไม่ทราบว่าจะทดสอบอย่างไรขอรับ?”
“เฮ้อ!” ปี้เยว่ฮูหยินถอนหายใจอีกแล้ว ทำใจบอกไม่ลงจริงๆ “แดนอเวจี นรกที่ผู้ร้ายที่ฆ่าผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์สามคนหนีไปนั่นแหละ”
เหมียวอี้อุทานถามทันทีว่า “อะไรนะ? ไปทดสอบที่นรกเหรอ? อย่าบอกนะว่าจะให้พวกเราไปจับตัวนักโทษหลบหนีที่นรก? สถานที่ที่แม้แต่ทัพใหญ่ของตำหนักสวรรค์ยังปราบปรามไม่ไหว ให้ทหารเล็กๆ อย่างพวกเราไป จะต่างอะไรกับการเอาชีวิตไปทิ้งล่ะ? ฮูหยิน ใช่ว่าท่านจะไม่รู้ว่านรกเป็นแบบไหน ราชินีสวรรค์กำลังล้อเล่นใช่มั้ย?”
ปี้เยว่ฮูหยินยิ้มเจื่อน “ก็ไม่ได้โหดร้ายอย่างที่เจ้าจินตนาการหรอก การทดสอบครั้งนี้ไม่ได้ให้พวกเจ้าไปเข่นฆ่ากันในนรก แต่ต้องการให้พวกเจ้าไปสืบดูสถานการณ์ในนรก อย่างเช่นวาดแผนที่อะไรแบบนี้ ถ้าเจ้าเข้าไปในนรกแล้วพบว่าอันตรายเกินไป ก็สามารถหาที่หลบได้ เจ้าจะไม่ทำอะไรเลยก็ได้เหมือนกัน เพียงแต่ว่า…คนอื่นสามารถหลบได้ แต่คงไม่ดีถ้าคนที่อยู่ในตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่จะหลบ ถ้าออกมาแบบไม่มีผลงาน ก็อาจจะถูกถอดจากตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่”
“งั้นข้ายังจะไปทำไมอีก? จะซ้ายจะขวาก็โดนถอดจากตำแหน่งทั้งนั้น ทำไมยังต้องไปเสี่ยงอันตรายอีก” เหมียวอี้กล่าวด้วยสีหน้าขื่นขม
“จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ถูก คนที่ไม่กล้าแม้แต่จะเข้าร่วมการทดสอบ จะโดนลดขั้นให้เป็นพวกเทพแห่งผืนดิน ผีหลักเมือง และภายในหนึ่งหมื่นปีก็จะไม่ถูกใช้งานด้วย แต่ถ้าหลังจากเข้าร่วมการทดสอบแล้วไม่มีผลงาน ก็จะถูกถอดออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่เหมือนกัน แต่อย่างน้อยก็ยังมีโอกาสลืมตาอ้าปากอีกครั้ง จะไม่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกละเลยหนึ่งหมื่นปี หลังจากจบเรื่องข้าจะบอกท่านโหวให้ อย่างมากก็ไม่ต้องอยู่ในระบบของตลาดสวรรค์แล้ว มีข้าอยู่แลอยู่ ที่อื่นก็ยังมีอนาคตรออยู่” ปี้เยว่ฮูหยินพูดปลอบใจ
เหมียวอี้กล่าวอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “แต่ข้าน้อยไม่เหมือนคนอื่นนะ! ครั้งก่อนข้าน้อยตัดหัวคนไปสามพันกว่าคน ข้าน้อยแทบจะล่วงเกินผู้มีอำนาจหมดทั้งราชสำนักแล้ว ถ้าข้าน้อยต้องไป ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะโดนฆ่าตายทั้งเป็น!”
“เฮ้อ!” ปี้เยว่ฮูหยินส่ายหน้าอย่างจนใจ นี่ก็คือสิ่งที่นางกังวลที่สุด
เจ้านายและลูกน้องล้วนตกอยู่ในความเงียบ มีเพียงจิ้งจอกสีชมพูดที่มองเหมียวอี้ด้วยแววตาซ้ำเติม
หลังจากผ่านไปนาน เหมียวอี้ก็เอ่ยถามว่า “ไม่ทราบว่าการทดสอบจะเริ่มขึ้นเมื่อขอรับ?”
ปี้เยว่ฮูหยินตอบว่า “เรื่องนี้ไม่ต้องรีบร้อน ยังมีเวลาอีกหลายสิบปี ต้องรอให้การทดสอบที่มีอยู่ตอนนี้จบลงก่อน รอให้ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ที่เข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้กลับเข้าตำแหน่งหมดแล้ว ถึงจะดำเนินการทดสอบที่นรก แต่อีกไม่นานก็จะประกาศข่าวเรื่องลงชื่อสมัครการทดสอบสนามต่อไป หลายสิบปีนี้เป็นเวลาลงชื่อสมัคร ดังนั้นเจ้ายังมีเวลาพิจารณา”
“ฮูหยิน ท่านช่วยไปถามให้ข้าสักหน่อยได้มั้ย ข้าน้อยผ่านการทดสอบมาแล้วหนึ่งครั้ง ทั้งยังได้รับแต่งตั้งจากราชันสวรรค์ด้วย สามารถหลีกเลี่ยงการทดสอบครั้งนี้ได้หรือเปล่า?” เหมียวอี้ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
“เรื่องนี้…” ปี้เยว่ฮูหยินตอบอย่างไม่แน่ใจ “เกรงว่าคงจะไม่ได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ราชินีสวรรค์ออกคำสั่งลงมาแล้ว กำหนดชัดเจนว่าผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ทุกคนต้องเข้าร่วม เป็นไปไม่ได้ที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเพื่อเจ้าเพียงคนเดียว”
เหมียวอี้นิ่งเงียบ
ปี้เยว่ฮูหยินพูดปลอบใจอีกว่า “ที่จริงเจ้าก็สามารถคิดไปในทางที่ดีได้นะ ราชินีสวรรค์บอกไว้แล้ว ว่าต่อไปนี้ตำแหน่งระดับผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ขึ้นไปจะต้องเลือกจากคนที่เคยผ่านการทดสอบในนรกมาก่อน ดังนั้นขุนนางใหญ่ทั่วราชสำนักถึงได้ถือโอกาสนี้ช่วงชิงอันดับดีๆ ก่อน ถ้าเจ้าผ่านการทดสอบครั้งนี้แล้ว ในภายหลังสิ่งนี้ก็จะเป็นข้อได้เปรียบสำหรับเจ้าในการเลื่อนขั้นในระบบตลาดสวรรค์”
เมื่อเห็นว่ายากจะผ่านพ้นด่านตรงหน้า เหมียวอี้จะไปพิจารณาเรื่องที่อยู่ไกลตัวได้อย่างไร หลังจากเงียบไปนานก็ถามว่า “ฮูหยิน ถ้าหากข้าน้อยหาทางออกทางอื่นได้ หวังว่าฮูหยินจะสามารถปล่อยไปได้”
ปี้เยว่ฮูหยินงงไปชั่วขณะ ก่อนจะถามว่า “ตัวเจ้าอยู่ในรายชื่อการทดสอบแล้ว ใครจะดึงเจ้าออกมาได้ง่ายๆ ตระกูลโค่วเหรอ?”
เหมียวอี้ส่ายหน้า “ข้าน้อยแค่เตรียมจะลองคิดหาวิธีการดูหน่อย ถ้าไม่มีอย่างอื่นจะกำชับ ข้าน้อยขอตัวก่อนขอรับ!”
ปี้เยว่ฮูหยินรู้ว่าเขาอารมณ์ไม่ดี ไม่ว่าใครที่เจอเรื่องแบบนี้ อารมณ์ก็คงไม่ดีทั้งนั้น จึงพูดปลอบใจอีกครั้ง “ถ้าไม่ไหวจริงๆ อย่างมากก็ไปเข้าร่วมการทดสอบ ข้าจะให้ท่านโหวดูสักหน่อยว่าตำแหน่งเทพแห่งผืนดิน ผีหลักเมืองในสังกัดมีที่ไหนที่ค่อนข้างเข้าท่าบ้างหรือเปล่า หนึ่งหมื่นปีไม่ถือว่ามากมายอะไรสำหรับคนในแดนฝึกตน อย่างมากก็เริ่มใหม่อีกครั้งหลังจากหนึ่งหมื่นปีนั้น”
เหมียวอี้ซาบซึ้งในน้ำใจแล้ว ต่อให้จะตอบตกลงแต่ก็ยังไม่ใช่ตอนนี้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นผู้บัญชาการใหญ่ให้หมดวาระที่เหลือก่อน หลายสิบปีนี้ยังกอบโกยได้อีกไม่น้อย เขาจึงกล่าวอำลาตรงนี้
หลังจากกลับมาถึงจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก เหมียวอี้ก็ยืนอยู่บนหลังคาจวนขุนนาง ยืนเอามือไขว้หลังอย่างเงียบเหงา ทอดสายตามองสิ่งปลูกสร้างละลานตาของตลาดสวรรค์ ความรู้สึกซับซ้อนมาก
ถ้าตัวเองหัวเดียวกระเทียมลีบ ก็จะไม่กังวลอะไรขนาดนั้นเลยจริงๆ แต่ตอนนี้ตัวเขาเกี่ยวข้องกับคนเยอะเกินไป
ตอนนี้ตรงหน้าเขามีเพียงสามเส้นทางให้เดิน
เป็นฝ่ายถอนตัวออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ จากนั้นก็ถูกลดขั้นเป็นเทพแห่งผืนดิน ผีหลักเมือง เฝ้าศาลของเทพแห่งผืนดินหนึ่งหมื่นปี แต่เขารู้สึกไม่ยอมหากต้องทิ้งอำนาจมหาศาลที่อยู่ในมือ ถ้าขาดอำนาจไป พวกอวิ๋นจือชิวก็จะสูญเสียหลักประกันไปหนึ่งชั้น ความรับผิดชอบบางอย่างเขาจำเป็นต้องแบกรับไว้
การถอนตัวออกจากตำหนักสวรรค์ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ เหตุผลแบบเดียวกับทางเลือกแรก ถ้าสูญเสียอำนาจไปแล้ว ทั้งยังเคยไปล่วงเกินคนไว้เยอะขนาดนั้น แค่คิดก็รู้ถึงจุดจบแล้ว
ถ้าไปเข้าร่วมการทดสอบ คนมากมายที่เขาเคยไปล่วงเกินไว้ก็คงไม่ปล่อยเข้าไปอยู่ดี
สรุปก็คือไม่ว่าทางไหนก็ลำบากทั้งนั้น
ยังมีเส้นทางที่สี่ เหมียวอี้ที่ยืนอยู่บนหลังคาหยิบระฆังดาราออกมาอันหนึ่ง เป็นระฆังที่เกาก้วนทูตขวาตรวจการของตำหนักสวรรค์ให้เขาไว้ ตอนแรกเกาก้วนอยากจะดึงเขาไปเป็นลูกน้อง ให้เขาไตร่ตรองให้ดีแล้วติดต่อไป ไม่ว่าจะทำสำเร็จหรือไม่ แต่เขาก็ต้องลองดูสักหน่อย
พอเขย่าระฆังดารา ก็ติดต่อเกาก้วนได้อย่างรวดเร็ว : ข้าน้อยหนิวโหย่วเต๋อ ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน คารวะท่านทูตขวา!
เกาก้วนตอบกลับว่า : มีเรื่องอะไร?
เหมียวอี้ : เรื่องที่ท่านทูตขวาพูดครั้งก่อน ข้าน้อยไต่ตรองถี่ถ้วนแล้ว ข้าน้อยยินดีจะติดตามรับใช้ท่านทูตขวา!
เกาก้วน : ตอบตกลงตอนนี้สายไปแล้ว ผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ทุกคนล้วนอยู่ในรายชื่อการทดสอบครั้งถัดไป ราชินีสวรรค์ออกคำสั่งมาเอง รอให้เจ้ากลับมาจากการทดสอบแล้วค่อยว่ากัน!
เหมียวอี้แอบด่าบรรพบุรุษเขาสิบแปดรุ่น ถ้าข้าสามารถกลับมาจากการทดสอบได้อย่างราบรื่น ข้าจะยังมาหาเจ้าทำพระแสงอะไรล่ะ?
แต่ดูจากท่าทีของอีกฝ่าย ต่อให้ตอนหลังจะพูดอย่างไรก็คงไม่สนใจเขาแล้ว เหมียวอี้ที่โดนเมินใจคอแห้งเหี่ยวมาก เก็บระฆังดาราอย่างเงียบ เส้นทางที่สี่ไม่ผ่านแล้ว
เป่าเหลียนที่เดินเข้ามาในลานบ้านเงยหน้ามองนายท่านบนหลังคา ไม่รู้ว่านายท่านกำลังคิดอะไรอยู่ รู้สึกว่านายท่านค่อนข้างรู้สึกโดดเดี่ยว นางกุมหมัดคารวะพร้อมรายงานว่า “นายท่าน ผู้บัญชาการมู่หรงขอพบค่ะ!”
เหมียวอี้ได้สติกลับมา ลอยลงจากชายคาแล้วบอกว่า “เชิญเข้ามา!”
ผ่านไปไม่นาน มู่หรงซิงหัวก็เร่งฝีเท้าเดินกระโปรงส่ายเข้ามา หลังจากทำความเคารพแล้ว นางก็เดินเล่นเนิบนาบอยู่ข้างกายเหมียวอี้ “นายท่าน ข้าได้ยินข่าวมาจากเฉาว่านเสียงนิดหน่อย ได้ยินว่าผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์จะต้องเข้าร่วม…”
เหมียวอี้ยกมือห้าม “ไม่ต้องพูดแล้ว เรื่องนี้ข้ารู้แล้ว”
มู่หรงซิงหัวรีบถามว่า “นายท่านจะตัดสินใจยังไง?”
“ข้ามีแผนของตัวเองแล้ว!” เหมียวอี้พูดเพื่อขายผ้าเอาหน้ารอด ไม่ได้เปิดเผยความคิดที่แท้จริง
ตอนที่กล่าวอำลา มู่หรงซิงหัวที่หันตัวจากไปก็หันกลับมามองหลายครั้ง ทำท่าอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไร สุดท้ายก็กลืนคำพูดลงไป เรื่องแบบนี้ถ้าพูดอะไรไปก็ดูเหมือนปลอม นางเองก็ช่วยอะไรไม่ได้เช่นกัน ได้แต่เดินจากไปพร้อมถอนหายใจเบาๆ
เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาในลานบ้านจนพลบค่ำ จู่ๆ ก็เห็นเหมียวอี้หยุดเดิน เป่าเหลียนที่มองอยู่ไกลๆ ก็ไม่รู้ว่าเขาตัดสินใจอะไรได้ เห็นเพียงเขาหยิบระฆังดาราออกมา ไม่รู้ว่ากำลังติดต่อใคร
เหมียวอี้ติดต่อเยารั่วเซียน ซึ่งตอนนี้กลายเป็นเจ้าสำนักงามวิจิตรของพิภพเล็กแล้ว
แต่ไหนแต่ไรมาเยารั่วเซียนก็ไม่เคยพูดดีๆ กับเขาอยู่แล้ว พอเปิดปากก็ถามทันทีว่า : มีเรื่องอะไร?
เหมียวอี้ไม่บ่นอะไรเขามากเช่นกัน : ตาแก่เยา ก่อนหน้านี้ท่านใช้เวลาหนึ่งร้อยปีในการหลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตร ถ้ารวบรวมกำลังคนทั้งหมดของสำนักงามวิจิตร ท่านคาดว่าต้องใช้เวลาเท่าไรถึงจะหลอมสร้างเสร็จ?
เยารั่วเซียน : ก็พูดยาก ดูอารมณ์ก่อน!
เหมียวอี้ : อย่าพูดไร้สาระ ข้าไม่ได้ล้อเล่นกับท่าน ใช้ผลึกแดงหลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตร แล้วทำเกราะรบผลึกแดงให้เฮยทั่นสักชุดด้วย ท่านเองก็รู้ว่าเฮยทั่นวิวัฒนาการแล้ว ของสองอย่างนี้รวมกัน ท่านต้องใช้เวลานานเท่าไรถึงจะหลอมสร้างเสร็จ?
ทางเยารั่วเซียนเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามกลับว่า : รีบมากเลยเหรอ?เกิดเรื่องอีกแล้วเหรอ?
เหมียวอี้ : อาจจะมีปัญหานิดหน่อย เตรียมตัวให้พร้อม กันไว้ดีกว่าแก้
เยารั่วเซียน : ถ้าเจ้าหาวัตถุดิบได้เพียงพอ ภายในห้าสิบปีก็น่าจะทำให้เจ้าได้แล้ว
เหมียวอี้ : ดี! เรื่องวัตถุดิบไม่ใช่ปัญหา ท่านคำนวณดูสักหน่อย เดี๋ยวกลับไปข้าจะเอาวัตถุดิบไปให้
เยารั่วเซียน : พาเจ้าโจรอ้วนกลับมาก่อน ต้องวัดขนาดตัวมันก่อนถึงจะตัดสินใจได้
เหมียวอี้ : ไม่มีปัญหา!
เยารั่วเซียน : ข้าเตรียมจะแต่งงานกับศิษย์น้องปลายปีนี้ ถ้าเจ้าสะดวก ถือโอกาสพาเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์กลับมาดื่มสุรามงคลด้วย
ยังจะมีศิษย์น้องคนไหนได้อีก? เหมียวอี้พูดไม่ออก นึกไม่ถึงว่าเยารั่วเซียนจะยังต้องการโม่จวินหลันอยู่ สงสัยจะรักฝังใจไม่เคยลืมเลือน นี่คงจะเป็นสาเหตุที่เขาตอบตกลงอย่างสบายใจว่าจะกลับมาเป็นเจ้าสำนักงามวิจิตร
ลางเนื้อชอบลางยา เหมียวอี้ก็ไม่ได้ว่าอะไร ตอบกลับไปว่า : ยินดีด้วยๆ เมื่อถึงตอนนั้นจะพาเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์กลับไปดื่มสุรามงคลของท่านแน่นอน
เยารั่วเซียน : งั้นก็เอาตามนี้แล้วกัน
หลังจากทั้งสองติดต่อกันเสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็หยิบระฆังดาราอีกอันมาติดต่อปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียน
ประโยคแรกของอวิ๋นอ้าวเทียนก็คือ : มีเรื่องอะไร?
เหมียวอี้ : ท่านปู่ มีเรื่องจะปรึกษากับท่านสักหน่อย รบกวนท่านมาที่ตลาดสวรรค์สักเที่ยวได้มั้ย
อวิ๋นอ้าวเทียน : ไปไม่ได้ มีอะไรก็พูดมาตรงๆ เลย
เหมียวอี้ : คุยในระฆังดาราไม่ชัดเจน มีเรื่องต้องคุยให้ละเอียด มาคุยแบบต่อหน้ากันเถอะ ถ้าท่านไม่สะดวก เดี๋ยวข้าไปหาทางก็ได้
ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นผู้อาวุโส จะเรียกให้ไปนั่นมานี่ก็จะไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไร ที่สำคัญที่สุดคือเขามีเรื่องจะฝากฝัง เวลาจะขอร้องคนอื่นย่อมต้องไม่ถือตัว
ทางอวิ๋นอ้าวเทียนเงียบไป แล้วตอบอีกว่า : เจ้ามาไม่ได้หรอก มีอะไรก็พูดในระฆังดาราเลยแล้วกัน
เหมียวอี้ : ข้าไปไม่ได้เหรอ? ท่านอยู่ที่ไหน?
สถานที่ที่อวิ๋นอ้าวเทียนไปได้ เขาไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะไปไม่ได้
อวิ๋นอ้าวเทียน : อย่าพูดมาก มีวาจาก็รีบเอ่ย มีตดก็รีบเบ่ง
เหมียวอี้จนใจ ตอบกลับไปว่า : ไม่รู้ว่าท่านได้ยินเรื่องนี้มาบ้างหรือเปล่า ช่วงนี้ผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์สามคนในอาณาเขตสายมะเมียโดนลอบทำร้าย ตำหนักสวรรค์ต้องการปรับปรุงตลาดสวรรค์ ข้าดวงซวย กลายเป็นเป้าหมายที่จะถูกปรับปรุง…
เหมียวอี้บ่นอยู่นาน เล่าเรื่องที่ตัวเองต้องไปเข้าร่วมการทดสอบในนรกให้ฟัง จุดประสงค์ก็ไม่ใช่เพราะอะไร เขาหวังว่าอวิ๋นอ้าวเทียนจะมองอวิ๋นจือชิวเป็นหลานสาว ถ้าเขากลับมาไม่ได้ ก็หวังให้อวิ๋นอ้าวเทียนดูแลนางมากๆ บอกว่าฝ่ายนี้จะไม่ปฏิบัติต่ออวิ๋นอ้าวเทียนอย่างขาดความยุติธรรมแน่
…………………………
บทที่ 1176 หยินหยางปั่นป่วน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ที่จริงตอนที่เขาเงียบไป เขากำลังอยู่ในถ้ำภูเขาแห่งหนึ่ง เขาร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนออกไปข้างนอกว่า “เหมียวอี้จะมาที่นี่!”
พอเขาพูดแบบนี้ ข้างนอกก็มีเงาคนหลายคนเหาะเข้ามาทันที มู่ฝานจวิน จีฮวน ฉางเหลย ซือถูเซี่ยวมากันครบแล้ว แม้แต่ลูกศิษย์ของตัวเองก็มาแล้วเช่นกัน
พอจีฮวนอ้าปากก็ถามทันทีว่า “จอมมาร เจ้าพูดดอะไรของเจ้า?”
“เหมียวอี้จะมานรก!” อวิ๋นอ้าวเทียนตอบ
คนอื่นๆ มองหน้ากันเลิกลั่ก มีแต่ความเหลือเชื่อติดอยู่เต็มใบหน้า สายตาของมู่ฝานจวินหยุดอยู่บนระฆังดาราบนมือเขา ถามว่า “เจ้าส่งข่าวไปให้เหมียวอี้ บอกให้เขามาเหรอ?”
อวิ๋นอ้าวเทียนกล่าวอย่างกลุ้มใจนิดหน่อยว่า “ข้าไม่ได้ส่งข่าวให้เขามา แต่เขาส่งข่าวมาบอกข้าว่าจะมา เขาโดนพวกเราวางกับดักแล้ว”
“หมายความว่ายังไง?” ฉางเหลยถาม
เหมียวอี้กำลังเร่งรัด อวิ๋นอ้าวเทียนถึงได้ตอบเหมียวอี้ไปก่อน
พอเหมียวอี้ได้ฟังก็เดือดดาลมาก ถามตรงๆ เลยว่า : อวิ๋นอ้าวเทียน! จะดีจะร้ายน้องชิวก็เป็นหลานสาวของเจ้า มีผลประโยชน์อะไรก็นึกถึงแต่ตระกูลอวิ๋นของเจ้า เป็นยังไงล่ะ? ตอนมีผลประโยชน์นางถึงจะเป็นหลานสาวเจ้าเหรอ? แต่พอได้ผลประโยชน์ไปแล้ว ก็แปรพักตร์ไม่รู้จักกันแล้วรึไง? อวิ๋นอ้าวเทียน! พ่อจะเตือนเจ้าให้นะ ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นกับน้องชิว ตระกูลอวิ๋นของเจ้าก็อย่าได้คิดเลยว่าจะอยู่ดีมีสุข!
อวิ๋นอ้าวเทียนปวดประสาท หลานเขยแบบนี้มีที่ไหนกัน? มาถือตัวว่าเป็นพ่อเขาซะแล้ว ช่างไร้กฎเกณฑ์ธรรมเนียมจริงๆ
แต่เขาก็โกรธไม่ลงจริงๆ ตอบไปว่า : อย่ามัวพูดเหลวไหล! ไม่ใช่ว่าไม่อยากดูแล แต่ข้าไม่มีทางช่วยเจ้าดูแลได้ต่างหาก
มีหรือที่เหมียวอี้จะยอมหยุด : จะไม่มีทางได้ยังไง? เวลาน้องชิวให้ของพวกเจ้า ทำไมพวกเจ้าหาทางยื่นมือมารับได้ล่ะ?
นี่เรียกว่าพูดแดกดัน! อวิ๋นอ้าวเทียนอดทนไว้ ตอบกลับไปว่า : เจ้าคิดมากไปแล้ว บอกแล้วไงว่าไม่ใช่ไม่อยากดูแล แต่ไม่มีทางช่วยเจ้าดูแลได้ ไม่มีทางเจอหน้าน้องชิวได้แล้วจะดูแลได้ยังไง?
เหมียวอี้ : ทำไมไม่มีทาทางเจอหน้าได้? ไม่ได้ตายเสียหน่อย?
อวิ๋นอ้าวเทียน : ยังไม่ตาย แต่ออกไปไม่ได้ อยู่ในนรก รอให้เจ้ามาแดนอเวจีแล้ว พวกเราก็อาจจะมีโอกาสเจอหน้ากัน
เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะเขย่าระฆังดาราถามซักไซ้ว่า : เจ้าบอกว่าอยู่ที่ไหนนะ?
อวิ๋นอ้าวเทียน : แดนอเวจี นรก!
เหมียวอี้สูดหายใจอย่างตกตะลึง แล้วถามว่า : ล้อเล่นอะไรกัน? เจ้าอยู่แดนอเวจีจริงเหรอ?
อวิ๋นอ้าวเทียน : ไม่ได้มีแค่ข้านะ พระเถระกับคนอื่นๆ ก็อยู่ พวกเราอยู่กันครบ
เหมียวอี้ : จอมมาร ถ้าไม่อยากดูแลน้องชิวก็อย่าหาข้ออ้างแบบนี้ พวกท่านจะเข้าไปในแดนอเวจีได้ยังไง? พวกท่านเข้าไปยังไง?
อวิ๋นอ้าวเทียน : พวกเราก็ไม่อยากเข้ามาหรอก ก็แค่โดนคนไล่ฆ่า ไม่หนีคงไม่ได้ ที่จริงเจ้าเองก็รู้ว่าพวกเราเข้าไปได้ยังไง
ข้ารู้เหรอ? เหมียวอี้งงทันที แล้วไม่นานก็ค่อยๆ เบิกตากว้าง เหมือนจะนึกเชื่อมโยงอะไรได้กับคำพูดนี้ รีบเขย่าระฆังดาราถามว่า : เรื่องที่ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์สามคนของสายมะเมียโดนลอบจู่โจม อย่าบอกนะว่าเป็นฝีมือพวกท่าน?
อวิ๋นอ้าวเทียน : ใช่!
เหมียวอี้ : เรื่องแบบนี้จะมาล้อเล่นซี้ซั้วไม่ได้นะ ข้าแตกหักได้เลยนะ! จากที่ข้ารู้มา นักพรตระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพสามคนลงมือแล้ว ถ้าเป็นพวกท่านทำจริงๆ อาศัยวรยุทธ์ของพวกท่านจะหนีได้อย่างไร?
อวิ๋นอ้าวเทียน : มีแค่นักพรตพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพสามคนเสียที่ไหนล่ะ ยังมีนักพรตบงกชรุ้งอีกหกคน แล้วก็มีนักพรตบงกชทองอีกเป็นพันเป็นหมื่น ที่หนีได้เป็นเพราะดวงดีแท้ๆ เลย ตอนนี้มาถกกันเรื่องนี้ก็ไม่มีความหมาย รอให้เจ้ามาถึงนรกก่อน พอพวกเราเจอกันแล้วค่อยคุยรายละเอียดกัน!
เหมียวอี้งงเหม่อแล้วจริงๆ ชั่วพริบตาเดียวหน้าก็ดำเป็นก้นหม้อ ถามว่า : พวกท่านหาประตูทางเข้านรกเจอได้ยังไง?
อวิ๋นอ้าวเทียนครุ่นคิดครูหนึ่ง นึกได้ว่าเทพพยากรณ์เคยเตือนว่าห้ามบอกเขา จึงตอบไปว่า : บังเอิญ!
เหมียวอี้ทำสีหน้าราวกับโดนตะคริวกิน เขย่าระฆังดาราถามอย่างเดือดดาลว่า : พวกท่านบ้าไปแล้วเหรอ? เบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วรึไง ขนาดผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ก็ยังกล้าปล้น ครั้งหน้าจะปล้นแม้กระทั่งข้าใช่มั้ย?
อวิ๋นอ้าวเทียน : ไม่พูดแล้ว มาที่นรก หาที่อยู่ให้น้องชิวให้เรียบร้อย!
เป่าเหลียนที่มองอยู่ไกลๆ ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับนายท่าน เห็นเหมียวอี้ถูกยั่วยุให้โมโหราวกับสัตว์ป่า เตะกระถางดอกไม้ปลิวแตกกระจายหลายใบ เป็นครั้งแรกที่เห็นเหมียวอี้โมโหขนาดนี้ ทำให้นางตกใจแล้วนิดหน่อย
เหมียวอี้หันกลับมาแล้วหยุดฝีเท้า หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อจีฮวนอีก อยากจะยืนยันให้แน่ใจสักหน่อย กอดความหวังสุดท้ายเพื่อไปยืนยันความจริง หวังว่าอวิ๋นอ้าวเทียนจะหลอกเขา
ในถ้ำภูเขา จีฮวนถือระฆังดาราขึ้นมา เหลือบมองคนอื่นๆ พลางถอนหายใจ “เหมียวอี้ เจ้าบ้านั่นติดต่อข้ามาอีกแล้ว ถ้าว่าข้าอยู่ไหน ข้าจะตอบยังไง?”
อวิ๋นอ้าวเทียน “ถึงยังไงเขาก็ต้องมาอยู่แล้ว ปิดบังไม่อยู่หรอก พูดความจริงไปเลย”
หลังจากจีฮวนตอบกลับไปแล้ว ระฆังดาราของฉางเหลยก็ดังอีก เป็นข้อความจากเหมียวอี้เช่นเดียวกัน จากนั้นก็ตามด้วยซือถูเซี่ยว แล้วสุดท้ายก็เป็นมู่ฝานจวิน
มู่ฝานจวินตอบว่า : เหมียวอี้ เจ้าไม่ต้องยืนยันแล้ว พวกเราอยู่ด้วยกันหมด พวกเราเป็นคนทำเรื่องนั้นจริงๆ ก่อนหน้านี้นึกไม่ถึงเลยว่าจะทำให้เจ้าลำบากไปด้วย
เหมียวอี้เก็บระฆังดาราแล้วเงยหน้ามองฟ้า สีหน้าเศร้ารันทด แทบจะน้ำตาไหลนองหน้า ตอนนี้เขามีความคิดที่จะฆ่าไอ้พวกเวรนั่นทิ้งแล้วด้วยซ้ำ วุ่นวายกันอยู่ตั้งนานนี้ ที่แท้ก็มีห้าปราชญ์เป็นตัวต้นเรื่อง นี่เอง ถ้ารู้แต่แรกคงฆ่าผู้เฒ่าห้าคนนั้นทิ้งให้สิ้นเรื่องไปแล้ว เคยเห็นคนวางกับดักกันมาก่อน แต่ไม่เคยเห็นใครวางกับดักกันแบบนี้เลย อยู่ดีๆ ก็โดนวางกับดักเสียแล้ว
เหมียวอี้สะบัดแขนเสื้อเดินออกไปแล้ว ไปปรึกษากับอวิ๋นจือชิว…
ในห้องถ้ำ ห้าปราชญ์มองหน้ากันไปมองหน้ากันมา ต่างก็รู้สึกเหมือนเป็นปาฏิหารย์
มู่ฝานจวินพึมพำว่า “ใช้วิธีเสี่ยงอันตรายจะเกิดหายนะ หากไร้ทางไป นี่คือที่พึ่ง งูไร้หัวก็เลื้อยไม่ได้ รออย่างเงียบงันอยู่ในกรง ยามหกคนพบกันอีกครั้ง สถานการณ์จะพลิกผัน…”
“ยามหกคนพบกันอีกครั้ง…” ฉางเหลยส่ายหน้าด้วยความทึ่ง “เหมียวอี้ เจ้าเวรนั่นจะมาที่นรกจริงๆ ด้วย! คำทำนายของเทพพยากรณ์แม่นยำครั้งแล้วครั้งเล่าจริงๆ ด้วย หยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า จริงใจไม่หลอกลวง!”
จีฮวนก็กล่าวอย่างประหลาดใจไม่หยุดเช่นกัน “เข้าใจแล้ว ตอนนี้เข้าใจแล้วจริงๆ! เทพพยากรณ์บอกว่าจุดพลิกผันโชคชะตาที่พิภพใหญ่ของพวกเราอยู่ที่ตัวผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ดาวหนานจื่อ นึกไม่ถึงว่าพอพวกเราลงมือ ก็สามารถดึงเหมียวอี้เข้ามาพิสูจน์คำทำนายของเขาได้แล้ว พยากรณ์ได้ดังเทพจริง! อย่าบอกนะว่าจุดพลิกผันชะตาของพวกเราจะโผล่มาจริงๆ?”
อวิ๋นอ้าวเทียนเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า “เจ้าเวรนั่นคงจะกำลังโมโหแทบบ้าแล้ว จนใจที่ข้าไม่สะดวกจะบอกว่าเขาเกี่ยวข้องกับคำทำนายของเทพพยากรณ์ ในเมื่อคำทำนายของเทพพยากรณ์แม่นยำหมดแล้ว พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องหาทางออกอีก รออยู่ที่นี่ต่อไปอย่างสงบใจเถอะ! ถ้าเหมียวอี้มาแล้ว จะต้องมาหาพวกเราแน่นอน”
พวกเขาพยักหน้าพร้อมกัน สบตากันแวบหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าจะอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาพร้อมกัน
เดิมทีพวกเขายังครุ่นคิดมาตลอดว่าต้องอยู่ที่นี่ไปจนถึงเมื่อไรกันแน่ ในใจไม่มีความมั่นใจ กำลังปรึกษากันเรื่องทางออกแล้ว ตอนนี้ค่อยยังชั่วหน่อย หายกังวลแล้ว รอให้หกคนพบหน้ากันอีกครั้งก็แล้วกัน
ส่วนเหมียวอี้โมโหจนเป็นบ้าแล้วจริงๆ พอเห็นอวิ๋นจือชิวที่ร้านโฉมเมฆา ยังไม่รอให้อวิ๋นจือชิวเอ่ยปากถามอะไร ก็คว้าข้อมืออวิ๋นจือชิวเดินไปแล้ว
อวิ๋นจือชิวกวาดมองพนักงานในร้านที่แอบหัวเราะ แล้วดิ้นรนพร้อมบอกว่า “มาฉุดกระชากข้าต่อหน้าฝูงชนเหมือนเป็นอะไรไปได้ รีบปล่อยมือ!”
“ตอนที่ข้าอุ้มเจ้าต่อหน้าฝูงชนก็ไม่เห็นเจ้าจะอายนี่!” เหมียวอี้โมโหมาก
หลังจากถูกจูงเข้ามาในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ อวิ๋นจือชิวก็แกะมือเขาออก นางมองสำรวจเขาศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง แล้วถามอย่างแปลกใจว่า “ทำไมหน้าดำคร่ำเครียดขนาดนั้น? เป็นอะไรไป ข้าไม่ได้ไปยั่วโมโหเจ้าหรอกใช่มั้ย?”
เหมียวอี้ที่โมโหจนกระหืดกระหอบชี้ไปข้างนอก เดินวนรอบหนึ่ง แล้วก็ชี้ไปข้างนอกอีก ชั่วขณะนั้นไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากอย่างไรดี เขายังไม่อยากให้อวิ๋นจือชิวรู้ว่าตัวเองตัดสินใจจะไปเข้าร่วมการทดสอบ แต่ก็รู้เช่นกันว่าปิดบังไม่อยู่ แต่ก็ไม่อยากให้อวิ๋นจือชิวกังวลใจเร็วเกินไปอีก
“เป็นอะไรไป? ทำตัวอย่างกับแมลงวันไม่มีหัว เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?” อวิ๋นจือชิวกะพริบดวงตางาม เอามือลูบหลังเขาพลางบอกว่า “ท่านสามีโปรดระงับโทสะ อย่าโมโหจนเสียสุขภาพ ในบ้านยังมีผู้หญิงเป็นโขยงหวังให้เจ้าเลี้ยงดูอยู่นะ”
เหมียวอี้จัดระเบียบความคิด สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “บ้าไปแล้ว! บ้าไปแล้ว! เจ้ารู้มั้ยว่าเรื่องที่ผู้บัญชาการใหญ่สามคนของสายมะเมียโดนปล้นฆ่าเป็นฝีมือใคร?”
อวิ๋นจือชิวงงทันที “ข้าจะไปรู้ได้ยังไง ทำไมล่ะ เจ้ารู้เหรอว่าใครทำ?”
เหมียวอี้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันตอบว่า “ปู่เจ้าไง ปู่เจ้าร่วมมือกับพวกมู่ฝานจวิน!”
อวิ๋นจือชิวตกใจทันที “จะเป็นไปได้ยังไง?”
“เป็นไปไม่ได้เหรอ? ข้าเพิ่งจะติดต่อกับพวกเขา พวกเขายอมรับเองกับปาก เจ้ารู้มั้ยว่าตอนนี้พวกเขาหลบอยู่ที่ไหน? พวกเขาก็คือผู้ร้ายที่เข้าไปหลบอยู่ในนรกไง ตอนนี้หลบอยู่ที่แดนอเวจี! แม่งเอ๊ย โมโหจะตายอยู่แล้ว!” เหมียวอี้หอบหายใจอย่างแรง
อวิ๋นจือชิวเหม่อไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่ออวิ๋นอ้าวเทียนทันที หลังจากติดต่อแล้วจะไม่เชื่อก็ไม่ได้
เมื่อเห็นเหมียวอี้โมโหหนักมาก นางก็รีบคล้องแขนเขาอีก พร้อมพูดปลอบใจว่า “หนิวเอ้อร์ อย่าโมโหเลย พวกเขาหาเรื่องใส่ตัวเอง ให้พวกเขาตายอยู่ในนรกนั่นแหละ ไม่จำเป็นต้องโมโหเพราะพวกเขา!”
“ข้า…” เหมียวอี้ชี้ที่จมูกตัวเอง เขาก็ไม่อยากจะสนใจผู้ฒ่าบัดซบพวกนั้นหรอก แต่ประเด็นสำคัญคือผู้ฒ่าบัดซบพวกนั้นลากเขาลงไปซวยด้วย แต่สุดท้ายเขาก็ยังสะบัดแขนเสื้อ ไม่พูดความจริงออกมา ตบหน้าอกตัวเอง แล้วพูดอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ได้! ไม่โมโห ข้าไม่โมโห! เดี๋ยวข้าไประบายอารมณ์กับหงเฉินก็หายแล้ว?”
อวิ๋นจือชิวหน้าบึ้งทันที “เจ้าอยากจะไปก็ไป อย่ามาพูดเรื่องลามกต่ำทรามแบบนี้ต่อหน้าข้า ไร้ยางอาย!”
เหมียวอี้ชักมือออกจากอ้อมกอดนางแล้วจริงๆ อวิ๋นจือชิวโมโหจนทำสีหน้าดุร้าย
เหมียวอี้ก็ไปหาหงเฉินแล้วจริงๆ แต่กลับไปคุยกับหงเฉินที่นั่งอยู่ในศาลา
“เคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าที่ให้เจ้าฝึกเป็นยังไงบ้างแล้ว?”
“กำลังฝึก เจ้าไม่เคยถามเรื่องนี้เลย เกิดเรื่องขึ้นเหรอ?”
เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า “ข้าก็อยากฝึกวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าเหมือนกัน เจ้าเคยมีประสบการณ์ฝึกมาแล้ว ข้าเลยอยากจะขอคำแนะนำจากเจ้าสักหน่อย”
หงเฉินยิ้มเรียบๆ “สงสัยตรงไหนก็ถามมาแถอะ”
ท่านขุนนางเหมียวไม่เสียเวลาสักนิดเลยจริงๆ เริ่มขอคำชี้แนะทันที หลังจากเข้าใจวิธีการเริ่มฝึกวิชาแล้ว เขาก็นั่งขัดสมาธิในศาลา โคจรเคล็ดวิชา
ส่วนหงเฉินก็นั่งลงเป็นเพื่อนอยู่ข้างๆ เอียงหน้ามองเขาอย่างสงบเงียบ
ตอนแรกก็ยังดีอยู่ แต่หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม หงเฉินก็เริ่มขมวดคิ้ว นางพบว่าเหมียวอี้ดูผิดปกติไป สีหน้าค่อนข้างแปลก พบว่าใบหน้าซีกหนึ่งของเหมียวอี้ค่อนข้างแดง ส่วนอีกซีกหนึ่งค่อนข้างฟ้า
เหมียวอี้ก็ย่อมพบความไม่ชอบมาพากลเช่นกัน พบว่าต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์ภายในร่างกายกำลังสั่นสะเทือน จุดดาวสีแดงกับจุดดาวสีฟ้าที่จับคู่กันหมุนวนอยู่ในต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์หยุดหมุนแล้ว ในต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์เกิดลมปราณปั่นป่วน
ตามระดับความลึกในการฝึกเคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้า สุดท้ายจุดดาวสีแดงและจุดดาวสีฟ้าที่จับคู่กันก็ปั่นป่วนอย่างถึงที่สุด บินว่อนราวกับหิ่งห้อย ราวกับเกิดพายุฝนในต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์ ราวกับจะฉีกให้ต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์ขาดป่นปี้ เขาเจ็บจนสั่นไปทั้งตัว
“เหมียวอี้ เจ้าเป็นอะไรไป?” หงเฉินตกใจมาก พบว่าสีหน้าของเหมียวอี้แดงสดไปแล้วครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นสีฟ้าสด ไม่ใช่แค่บนใบหน้า บนคอและบนมือก็เกิดสภาพผิดปกติแบบนี้เช่นกัน จึงตะโกนบอกทันทีว่า “รีบหยุดเดี๋ยวนี้!”
“อั้ก!” เหมียวอี้เงยหน้ากระอักเลือดสดออกมาคำหนึ่งแล้ว ตาเหลือกหงายหลังนอนกับพื้น
………………
บทที่ 1177 ข่าวแพร่ไปแล้ว
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตอนนี้หยุดแล้วจริงๆ เขาเอนลงบนพื้นพร้อมหอบหายใจแรงราวกับวัว รสชาติความเจ็บปวดแบบนั้นมีเพียงเขาที่รู้แจ่มแจ้งดีที่สุด ทรมานยิ่งกว่าตายจริงๆ
หงเฉินกลับหวาดกลัวแล้ว รีบตรวจดูอาการ พบว่าในร่างกายเหมียวอี้มีสภาพปั่นป่วนมาก จึงประคองเหมียวอี้ให้ลุกนั่งทันที แล้วนางก็นั่งขัดสมาธิข้างหลังเขา ใช้ฝ่ามือสองข้างยันแผ่นหลังของเขาเอาไว้ อยากจะร่ายอิทธิฤทธิ์ช่วยเหมียวอี้จัดระเบียบสภาพปั่นป่วนในร่างกาย
ผ่านไปไม่นาน เรื่องที่ทำให้นางตระหนกตกใจก็เกิดขึ้นแล้ว เหมียวอี้ไม่ได้ร่ายอิทธิฤทธิ์ต้านทาน และในตอนนี้ก็ไม่มีทางต้านทานไหวด้วย แต่พอพลังอิทธิฤทธิ์ของนางเข้าสู่ร่างกายเหมียวอี้ ก็ถูกพลังประหลาดสองกลุ่มละลายทิ้งทันที หายไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับดินโคลนที่ไหลลงทะเล ต่อให้พลังอิทธิฤทธิ์ที่นางใช้เพิ่มจะแข็งแกร่งขนาดไหน แต่ก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี
เหมียวอี้อาการบรรเทาลงเล็กน้อย ในที่สุดก็เอ่ยปากพูดได้แล้ว โบกมือเบาๆ พร้อมบอกว่า “ไม่มีประโยชน์หรอก อย่าแตะต้องข้า”
หงเฉินไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามอีก ประคองให้เขานอนลง แล้วรีบนำระฆังดาราออกมาติดต่อกับอวิ๋นจือชิว
พอได้ยินว่าเกิดเรื่องขึ้นกับเหมียวอี้ อวิ๋นจือชิวก็รีบเข้ามาอย่างรวดเร็ว เดิมทีก็อยู่ใกล้อยู่แล้ว อยู่ห้องข้างๆ กัน
พอเห็นสภาพเหมียวอี้เป็นอย่างนั้น อวิ๋นจือชิวก็ทั้งกลัวทั้งโมโห ชี้หงเฉินพร้อมตกคอกว่า “เขาเป็นอะไรอีกแล้ว? ทำไมพอมาหาเจ้าแล้วเกิดเรื่องทุกที?”
ต่อให้หงเฉินมีร้อยปากก็แก้ตัวได้ลำบาก ครั้งก่อนตอนเหมียวอี้ใช้ดวงตาทิพย์ก็ล้มลงที่นี่ครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ก็ล้มลงอีกแล้ว ทำให้นางไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี ได้แต่ตอบอย่างกลัดกลุ้มใจว่า “เขาให้ข้าชี้แนะเขาฝึกเคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ข้าเองก็นึกไม่ถึงว่าเขาจะเป็นแบบนี้”
อวิ๋นจือชิวที่กำลังนั่งคุกเข่าตรวจอาการให้เหมียวอี้พลันเงยหน้า “ตอนเจ้าชี้แนะเขาเจ้าแอบวางอุบายอะไรรึเปล่า? ไม่อย่างนั้นจะเป็นแบบนี้ได้ยังไง?” สายตานางเหมือนต้องการจะกินคน
หงเฉินได้แต่ส่ายหน้า
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนาง” เหมียวอี้ยกมือกดข้อมืออวิ๋นจือชิวเอาไว้ รอยยิ้มดูอ่อนแรง
ตอนยังไม่ขาดทุนก็ยังไม่เข้าใจ แต่หลังจากขาดทุนแล้วก็เข้าใจชัดเจน เขาตระหนักได้จากดาวสีแดงกับดาวสีฟ้าในร่างกาย ดาวสีแดงกับดาวสีฟ้าที่ก่อตัวขึ้นจากการดูดซับไฟหยางกับไฟหยิน ที่จริงแล้วกำลังรักษาสมดุลหยินหยางในร่างกายเขาเอาไว้ ส่วนเคล็ดวิชาที่เขาฝึกก็เหมือนจะมีบทบาทในการปรับหยินหยางให้ได้สัดส่วนเหมาะสม แต่เขากลับอยู่ดีไม่ว่าดีไปฝึกเคล็ดวิชาอีกประเภทหนึ่ง ประเดี๋ยวเดียวก็ทำลายสมดุลหยินหยางในร่างกายแล้ว ทำให้หยินหยางในร่างกายปั่นป่วน นี่คือผลจากการที่หยินหยางปะทะกัน
“ยังบอกว่าไม่เกี่ยวกับนางอีกเหรอ พอเจ้ามาที่นี่หนึ่งครั้ง ก็เกิดเรื่องขึ้นหนึ่งครั้ง ข้าว่านางเกิดมาเป็นอริเจ้าโดยธรรมชาติ ต่อไปอย่าแตะต้องนางบ่อย!” อวิ๋นจือชิวค่อนข้างเดือดดาล พูดจาไม่รักษาน้ำใจไมตรีเลยสักนิด ทำเอาหงเฉินทำสีหน้าอึดอัดมาก
“เหลวไหล…” เหมียวอี้ช่วยพูดแก้ตัวให้หงเฉิน พบว่าอวิ๋นจือชิวลงมือร่ายอิทธิฤทธิ์ช่วยปรับสภาพปั่นป่วนในร่างกายให้เขาแล้ว จึงโบกมือบอกว่า “ไม่ต้องทำแล้ว ไม่มีประโยชน์”
“เอ๋!” ไม่ต้องให้เขาเตือน อวิ๋นจือชิวอุทานอย่างแปลกใจแล้ว นางย่อมพบสถานการณ์เดียวกับหงเฉินก่อนหน้านี้ พบว่าพอพลังอิทธิฤทธิ์ของตัวเองเข้าไปในร่างกายเหมียวอี้แล้วก็ไม่มีประโยชน์ โดนความปั่นป่วนในร่างกายของเหมียวอี้สลายไปอย่างง่ายดาย จึงถามซักไซ้ทันที “นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
“อย่ามาแตะข้า ให้ข้าบรรเทาตัวเองสักหน่อย” เหมียวอี้ส่ายหน้า
อวิ๋นจือชิวทำได้เพียงปล่อยเขา ใช้ผ้าเช็ดหน้าในมือเช็ดเลือดที่มุมปากให้เขา จากนั้นก็ปกป้องอยู่ข้างกายเขา เพียงแต่บางครั้งสายตาที่มองหงเฉินก็ดูไม่เป็นมิตรสุดๆ ทำเอาหงเฉินไม่รู้ว่าควรจะไปอยู่ตรงไหน
รอจนกระทั่งร่างกายและจิตใจที่โดนโจมตีสงบลงเล็กน้อย เหมียวอี้ที่นอนอยู่บนพื้นหลับตาลง โคจรเคล็ดวิชาอัคนีดาราอีกครั้ง
พอเริ่มใช้เคล็ดวิชาอัคนีดารา ความปั่นป่วนในร่างกายก็เหมือนจะเป็นระเบียบเร็วมาก ดาวสีแดงกับดาวสีฟ้าที่ชนกันมั่วอยู่ในต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์กลับเข้าประจำตำแหน่งหยินหยางอย่างรวดเร็ว กลับสู่สภาวะจับคู่หมุนวนเหมือนก่อนหน้านี้ ความรู้สึกผ่อนคลายแผ่ซ่านทั่วร่างกาย กวาดล้างความรู้สึกเจ็บปวดทรมานจากการชนปะทะไปจนหมด สบายจนเหมียวอี้แทบจะครางออกมา
ความเจ็บปวดทรมานมาเร็ว แต่ก็ไปเร็วยิ่งกว่า อวิ๋นจือชิวกับหงเฉินจ้องเขาด้วยสายตาประหลาดใจ พบว่าสีแดงและสีฟ้าบนตัวเขากำลังอ่อนจางลงทีละนิด และไม่นานก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย สีผิวกลับมาเหมือนปกติแล้ว
เหมียวอี้ที่ลืมตาขึ้นมาร่ายอิทธิฤทธิ์เล็กน้อย ยืนขึ้นตัวแข็งตรงแน่ว แล้วยกมือสองข้างกล่าวกับสองสาวด้วยรอยยิ้ม “หายแล้ว ไม่เป็นอะไรแล้ว!”
อวิ๋นจือชิวรีบยื่นมือไปดึงข้อมือเขา แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจอาการ หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่เป็นอะไร นางก็ตบหน้าอกที่อวบอิ่มของตัวเอง แล้วพูดด้วยอารมณ์ว่า “ข้าตกใจแทบตาย! เจ้านี่ยังไงกัน เป็นเพราะฝึกวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าเหรอ? อยู่ดีๆ เจ้าจะไปฝึกเคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าทำไม?”
“อยากจะลองสักหน่อย” เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะ ไม่ได้พูดความจริงออกมา
เป็นเพราะสถานการณ์บีบบังคับจริงๆ เขาอยากจะมีทักษะเพิ่มเพื่อเอาไว้ปกป้องชีวิตหลังจากไปนรก ห้าปราชญ์สามารถอาศัยเคล็ดวิชาพิเศษหนีรอดจากการไล่ฆ่าของนักพรตระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพได้ สิ่งนี้ทำให้เขาตกตะลึงมาก นึกไม่ถึงว่าหกเคล็ดวิชาพิเศษจะมีฝีมือมากขนาดนี้ เหนือกว่าที่เขาจินตนาการไว้ ในมือเขาก็มีหกเคล็ดวิชาพิเศษอยู่เหมือนกัน ทำไมไม่ลองฝึกดูสักหน่อยล่ะ แต่ใครจะไปคิดว่าเคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าและเคล็ดวิชาที่ตนฝึกจะชงกัน ไม่มีทางฝึกควบได้เลย ซวยเลย ไปทรมานเฉยๆ โดยไม่ได้อะไร
เหมียวอี้หันกลับมาพูดกับหงเฉินพร้อมรอยยิ้ม “ฮูหยินพูดไปตามอารมณ์น่ะ คำพูดเมื่อครู่นี้เจ้าอย่าเก็บมาใส่ใจเลย”
ใครจะคิดว่าอวิ๋นจือชิวจะพูดต่อทันทีว่า “ข้าไม่ได้พูดไปตามอารมณ์เลยจริงๆ โชคชะตาเป็นสิ่งที่พูดให้กระจ่างได้ยาก บางทีหงเฉินอาจจะดวงเป็นอริกับเจ้าจริงๆ ก็ได้ ไม่อย่างนั้นเจ้าคงไม่เกิดปัญหาตอนอยู่ต่อหน้านางบ่อยๆ หรอก หนิวเอ้อร์ เจ้าฟังให้ดีนะ ต่อไปถ้าเจ้าจะมาที่นี่เจ้าต้องบอกข้าก่อน”
“พูดเหลวไหลอะไร ก่อนจะมาข้าไม่ได้บอกเจ้ารึไงล่ะ?”
“เจ้า…” อวิ๋นจือชิวที่เถียงไม่ออกดึงแขนเขาเดินออกไป นางถูกทำให้ตกใจไปแล้วสองครั้ง ไม่วางใจให้เหมียวอี้กับหงเฉินอยู่ด้วยกันตามลำพังอีก
ทิ้งให้หงเฉินที่ยืนเงียบๆ อยู่ในศาลายิ้มแห้ง “ต้นไม้หวังอยู่นิ่ง แต่ลมกลับไม่หยุดพัด!”
เหมียวอี้ที่ถูกอวิ๋นจือชิวลากเข้าชัยภูมิถ้ำสวรรค์ถูกอวิ๋นจือชิวด่าอีกยก
แค่ด่าก็ส่วนด่า หลับงจากด่าเสร็จก็ให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยอ๋อร์เฝ้าเหมียวอี้เอาไว้ ไม่ให้เหมียวอี้เพ่นพ่านไปไหน เน้นย้ำว่าไม่ให้เหมียวอี้ไปหาหงเฉิน ส่วนนางก็เข้าครัวทำอาหารบำรุงร่างกายให้เหมียวอี้ด้วยตัวเอง
ท่านขุนนางเหมียวถูกปกป้องไว้ชั่วคราว
เพียงแต่กลางดึกในคืนนั้น เชียนเอ๋อร์กับเสวี่ยอ๋อร์ก็ถูกเสียงประหลาดทำให้ตกใจจนต้องออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นเพียงอวิ๋นจือชิวที่สวมชุดนอนปล่อยผมสลายเผยหน้าอกออกมาครึ่งหนึ่ง เรือนร่างเย้ายวนใจมาก นางกำลังอมน้ำบ้วนปากไม่หยุด แล้วก็ขากถุยน้ำที่อยู่ในปากไม่หยุด ทำแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมา
สาวใช้ทั้งสองก้าวเข้าไป ยังไม่เคยเห็นนางเป็นแบบนี้มาก่อนเลย เสวี่ยอ๋อร์จึงถามอย่างแปลกใจว่า “ฮูหยิน ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ?”
เสียงหัวเราะลั่นอย่างลำพองใจของเหมียวอี้ดังมาจากในห้อง เชียนเอ๋อร์มองดูการแต่งตัวของอวิ๋นจือชิวแล้วเข้าใจในทันที รีบดึงแขนเสื้อเสวี่ยอ๋อร์ บอกใบว่าอย่าถามอะไรมาก
อวิ๋นจือชิวถลึงตาจ้องทั้งสองแวบหนึ่ง แก้มแดงก่ำ เรียกได้ว่าฉุกละหุกหนีกลับเข้าไปในห้อง…
หลายวันต่อมา เหมียวอี้ก็ขลุกอยู่ที่นี่ไม่ได้ออกไปไหน เสพสุขกับอาหารวันละสามมือที่อวิ๋นจือชิวเข้าครัวบริการด้วยตัวเอง ทุกมื้อมีอาหารให้กินไม่ซ้ำแบบ อวิ๋นจือชิวเองก็ทุ่มเทความคิดทำอาหารให้ถูกปากเขา หลังจากกินอิ่มเขาก็นอนบนเก้าอี้ใต้เพิงเถาวัลย์พร้อมถือแผ่นหยกครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยอ๋อร์ผลัดกันมาปรนนิบัติอยู่ข้างๆ ถือพัดหวายพัดให้เขาเบาๆ ปากก็บอกว่ารับใช้ แต่ที่จริงได้รับคำสั่งจากอวิ๋นจือชิวให้มาเฝ้า
อวิ๋นจือชิวเข้าออกชัยภูมิถ้ำสวรรค์แล้วเดินผ่าน ก็ถามว่า “หนิวเอ้อร์ กำลังดูอะไรอยู่?”
เหมียวอี้ตอบไปส่งๆ ว่า “งานราชการ” ที่จริงกำลังศึกษามหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงอยู่
เขาหลบอยู่ในนี้ แต่ตลาดสวรรค์กลับเหมือนโดนระเบิดรัง กำลังวิพากษ์วิจารณ์กันไปทั่วทุกที่ ข่าวที่ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์จะต้องเข้าไปทดสอบในนรกแพร่ออกไปอย่างเป็นทางการแล้ว เผยแพร่ไปทั่วแล้ว
ที่ริมหน้าต่างของภัตตาคาร คนบางกลุ่มกำลังมองทหารสวรรค์ที่เดินลาดตระเวนอยู่ข้างล่าง เริ่มพูดจาเหลวไหลกันแล้ว
“ได้ยินแล้วหรือยัง ตลาดสวรรค์ถูกแยกออกจากการปกครองเดิมแล้วนะ ส่งให้ราชินีสวรรค์ควบคุมทั้งหมด ต่อไปนี้ตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์จะไม่ถูกกุมอยู่ในมือผู้มีอำนาจอีกแล้ว ใครมีความสามารถคนนั้นก็จะได้ไป
“จะไม่เคยได้ยินได้ยังไง ได้ยินว่าเริ่มมาจากที่ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ขิงสายมะแมตายสามคน ทำเอาราชันสวรรค์เดือดดาบจนอยากปรับปรุงตลาดสวรรค์”
“ได้ยินว่าผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์จะต้องเข้าไปทดสอบในนรก เพียงแต่ขอให้เป็นขุนนางของตำหนักสวรรค์ที่มีวรยุทธ์ถึงระดับบงกชทอง ไม่ว่าจะหญิงหรือชาย ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าจะมีฐานะสูงหรือต่ำก็สามารถลงสมัครเข้าชิงตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ได้หมด”
“เกรงว่าหนิวโหย่วเต๋อคนนี้จะเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ได้ไม่นานแล้ว ถ้าไม่ถอนตัวแล้วโดนลดขั้น ก็ต้องเอาชีวิตไปทิ้งที่นรก พวกเจ้าลองคิดดูสิ เขาล่วงเกินผู้มีอำนาจของตำหนักสวรรค์ไปไม่รู้ตั้งเท่าไร ถ้าต้องไปนรกจริงๆ เกรงว่าจะตายสถานเดียว”
“ใครใช้ให้เขาทำตัวเด่นล่ะ ตัดหัวคนจนเสพติดบารมี ตอนนี้เป็นยังไงล่ะ ถึงคราวของเขาแล้ว เขาคงจะนึกไม่ถึงว่าเวรกรรมจะตามทันเร็วขนาดนี้”
“พวกเจ้าก็อย่าพูดไป หนิวโหย่วเต๋อนั่นจีบผู้หญิงมีสามีแล้วที่ร้านโฉมเมฆามาตลอด พวกเจ้าเคยเห็นรึเปล่า? ไม่ต้องพูดถึงรูปร่างของนางเลย นอกจากจะมีเรือนร่างยั่วราคะแบบต้นตำหรับ หน้าตาก็ยังดี เสน่ห์ก็มีด้วย อยู่ที่ตลาดสวรรค์นับว่าถูกหนิวโหย่วเต๋อนั่นทำให้โด่งดังแล้ว ไม่รู้ว่าดึงดูดให้คนตั้งมากมายเท่าไรจับตามอง ถ้าไม่มีหนิวโหย่วเต๋อคอยคุ้มครอง พวกเจ้าคอยดูเถอะ สักวันก็ต้องโดนคนเก็บไปเป็นเนื้อต้องห้ามของตัวเองคนเดียว”
ข่าวที่เผยแพร่ในตลาดสวรรค์ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้ถึงหูของร้านโฉมเมฆา
ช่างไม้รีบร้อนวิ่งเข้ามาในร้านค้า มุ่งตรงสู่ลานบ้านด้านหลัง ตะโกนเรียกอวิ๋นจือชิวที่กำลังสั่งงานลูกน้อง “เถ้าแก่เนี้ย!”
อวิ๋นจือชิวถลึงตาจ้องเขา หลังจากสั่งงานเสร็จแล้วโบกมือให้ลูกน้องถอยออกไป นางถึงได้หันกลับมาถามว่า “มีเรื่องอะไรต้องรีบร้อนขนาดนี้?”
“เถ้าแก่เนี้ย แย่แล้ว การปรับปรุงตลาดสวรรค์ครั้งนี้ต้องให้ผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ไปทดสอบที่นรก…”
หลังจากช่างไม้เล่าข่าวที่ตัวเองไปสืบมาได้อย่างตรงไปตรงมา อวิ๋นจือชิวก็หน้าเขียวแล้ว ไม่รอให้ช่างไม้พูดจบ นางยกกระโปรงวิ่งออกไปแล้ว ขึ้นตึกแล้วเข้าไปในชัยภูมิถ้ำสวรรค์
เมื่อเห็นเชียนเอ๋อร์นั่งอยู่ใต้เพิงเถาวัลย์ แต่ไม่เห็นเหมียวอี้ นางก็ถามทันทีว่า “นายท่านไปไหน?”
เชียนเอ๋อร์ลุกขึ้นตอบ “นายท่านอยู่ในห้องค่ะ!”
อวิ๋นจือชิวรีบเร่งฝีเท้าเดินไป พอผลักประตูเดินเข้าไปในห้องแล้วมองเข้าไป นางก็ตกใจมาก เห็นเหมียวอี้นอนตัวสั่นเทิ้มอยู่บนเตียง บนพื้นมีรอยกระอักเลือดที่ยังไม่แห้ง
เชียนเอ๋อร์ที่เดินตามเข้ามาตกใจแทบแย่แล้ว
อวิ๋นจือชิวที่หน้าซีดเผือดรีบนั่งบนเตียงแล้วประคองศีรษะเหมียวอี้ไว้บนขาตัวเอง นางกวาดสายตาไปเห็นแผ่นหยกที่อยู่ข้างๆ จึงหยิบขึ้นมาดู พอพบว่าเป็นมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงภาคคน นางก็เข้าใจทันทีว่าช่วงนี้เหมียวอี้กำลังศึกษามหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงมาตลอด
“ไม่เป็นไรหรอก พักประเดี๋ยวเดียวก็ดีขึ้นแล้ว” เหมียวอี้เผยรอยยิ้มที่อ่อนแรงน่าสงสาร
อวิ๋นจือชิวเอามือลูบใบหน้าหน้า กัดริมฝีปากแน่น ดวงตาแดงก่ำ หยดน้ำตาที่เหมือนผลึกใสไหลออกมาหยดแล้วหยดเล่า
มาจนป่านนี้แล้ว ถ้านางยังไม่เข้าใจ ก็แสดงว่าเป็นคนโง่แล้ว จู่ๆ เจ้าหมอนี่ก็ฝึกเคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย หลังจากบาดเจ็บไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็เปลี่ยนไปฝึกมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงอย่างอดในรอไม่ไหว เมื่อจับมาประสมกับข่าวที่เพิ่งฟังมา ก็เห็นได้ชัดว่าเจ้าหมอนี่รู้เรื่องไปทดสอบที่นรกตั้งนานแล้ว เขากำลังคิดจะเพิ่มความสามารถให้ตัวเอง นี่เป็นการเตรียมตัวเพื่อไปทดสอบในนรก!
ในที่สุดก็เข้าใจแล้ว เข้าใจว่าทำไมเหมียวอี้ถึงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟหลังจากที่รู้ว่าพวกอวิ๋นอ้าวเทียนปล้นเสร็จแล้วหนีไปที่นรก
“ร้องไห้ทำไม ข้าไม่เป็นอะไร!” เหมียวอี้ออกแรงยกมือขึ้นมา ช่วยเช็ดน้ำตาให้นาง
อวิ๋นจือชิวเช็ดน้ำตาให้ตัวเอง นางไม่พูดอะไรทั้งนั้น จับเขานอนลงบนเตียง แล้วลุกขึ้นสั่งเชียนเอ๋อร์อย่างใจเย็นว่า “เก็บกวาดที่พื้นสักหน่อย”
…………………………
บทที่ 1178 ปี้เยว่ย้ายรัง
โดย
Ink Stone_Fantasy
เชียนเอ๋อร์กลับตำหนิตัวเองว่า “ฮูหยิน เป็นความผิดของบ่าวเจ้าค่ะ”
ก่อนหน้านี้อวิ๋นจือชิวกำชับนางไว้ว่าให้เฝ้าเหมียวอี้ เห็นได้ชัดว่านางทำหน้าที่นี้ได้ไม่ดี
อวิ๋นจือชิวที่ตาแดงก่ำยิ้มอ่อนพร้อมบอกว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้าหรอก เป็นเขาเองที่ไม่เชื่อฟังจนหาเรื่องใส่ตัว ถ้าเขาจะแอบทำเจ้าก็เฝ้าไม่ไหวหรอก เก็บกวาดบนพื้นเถอะ” นางพูดจบแล้วเดินออกมาอยู่ในลานบ้าน จากนั้นหยิบระฆังดาราออกมาติดต่ออวิ๋นอ้าวเทียน เรียกได้ว่าด่าทออวิ๋นอ้าวเทียนไปยกใหญ่
นี่เป็นครั้งแรกที่นางโมโหอวิ๋นอ้าวเทียนขนาดนี้ นางด่าอวิ๋นอ้าวเทียนว่าไม่มีมโนธรรม นางบอกแล้วว่าหลังจากมาพิภพใหญ่อวิ๋นจือชิวจะไม่ปฏิบัติกับตระกูลอวิ๋นอย่าขาดความยุติธรรม แต่ท่านมาวางกับดักผู้ชายของข้าอย่างนี้น่ะเหรอ? ต้องให้เห็นข้าเป็นหม้ายก่อนใช่มั้ยท่านถึงจะพอใจ?
“กำเริบเสิบสาน” อวิ๋นอ้าวเทียนตอบไปแค่นั้น แต่ก็ไม่ได้โกรธอะไรเหมือนกัน ถึงอย่างไรทางนี้ก็กำลังมีความสุขอยู่บนความทุกข์ของคนอื่น ในที่สุดก็ได้พิสูจน์คำทำนายของเทพพยากรณ์แล้ว พวกเขาอยากจะให้เหมียวอี้กับพวกเขามา ‘รวมตัวกันหกคนอีกครั้ง’ แล้วผจญภัยด้วยกัน กำลังรอคอยตาปริบๆ
เพียงแต่หลังจากวางระฆังดาราแล้ว อวิ๋นอ้าวเทียนก็ยังอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองฟ้าแล้วถอนหายใจ “ลูกสาวแต่งงานแล้วกลายเป็นคนนอกจริงๆ ด้วย ผู้ชายของเจ้ายังไม่ทันมานรกเลย แต่ปู่ของเจ้ากำลังอยู่ในนรกนะ!”
เหมียวอี้ที่อาการทุเลาแล้วเดินออกจากออกมานั่งในศาลา อวิ๋นจือชิวก็กลับมาที่ชัยภูมิถ้ำสวรรค์แล้วเช่นกัน ยกน้ำแกงที่ตุ๋นเกือบทั้งวันกลับมาด้วย นางวางตรงหน้าเขาพร้อมบอกว่า “รีบดื่มตอนยังร้อนๆ รสชาติจะดี!”
เหมียวอี้ยิ้มบางๆ นี่ก็คือสาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้เขารักผู้หญิงคนนี้ อย่างน้อยตอนที่อยู่ข้างนอกก็ไม่เคยได้กินอะไรที่ถูกปากเท่ากับอาหารที่นางทำเลย มันทำให้เขาคิดถึง
รอจนเขากินเสร็จแล้ว อวิ๋นจือชิวถึงได้ถามว่า “เจ้าเตรียมตัวจะเข้าร่วมการทดสอบของผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ที่นรกเหรอ?”
เหมียวอี้รับผ้าเช็ดปากมาจากมือนาง พอเช็ดปากเสร็จแล้วก็ตะลึงงัน “เจ้ารู้แล้วเหรอ?”
อวิ๋นจือชิวถอนหายใจ “ข้างนอกลือกันให้ทั่วแล้ว”
เหมียวอี้ส่ายหน้า “พวกปากหอยปากปูเยอะจริงๆ ถ้ายั่วโมโหมากๆ ก็ระวังผู้บัญชาการใหญ่คนนี้จะออกคำสั่งนะ จับสักร้อยคนมาตัดหัวเชือดไก่ให้ลิงดู ดูซิว่าใครจะกล้าแพร่ข่าวมั่วๆ อีกมั้ย”
อย่างน้อยทางหวงฝู่จวินโหรวก็รู้ข่าวไวกว่าเขา เจ้าตัวส่งข้อความมาถามเขาแล้ว แต่เขากลับบอกหวงฝู่จวินโหรวว่าตัวเองจะไม่เข้าร่วมการทดสอบ
“เรื่องแบบนี้จะปิดบังไหวเหรอ?” อวิ๋นจือชิวถาม
เหมียวอี้ตอบว่า “ข้าไม่ได้คิดจะปิดบังเจ้านะ เพียงแต่อยากจะรอให้ฝึกฝนได้หลายๆ วิชาก่อนแล้วค่อยบอกว่า จะได้บอกเจ้าได้ว่าพวกปู่เจ้าอาศัยเคล็ดวิชานี้ปกป้องตัวเองได้ ข้าไปแล้วก็ย่อมไม่มีปัญหา จะได้ทำให้เจ้าหายกังวลใจหน่อย”
อวิ๋นจือชิวบอกว่า “ทิ้งอำนาจ! พวกเรายอมแพ้เถอะ ไม่ต้องไปเข้าร่วมการทดสอบแล้ว ถึงอย่างไรครั้งนี้ก็ไม่ได้บังคับ จะเป็นเทพแห่งผืนดินหรือผีหลักเมืองก็เป็นไปเถอะ ถ้าไม่ไหวจริงๆ พวกเราก็ไม่ต้องเป็นขุนนางแล้ว ถ้าหากินที่พิภพใหญ่ไม่ได้ พวกเราก็กลับพิภพเล็ก ถ้าทรัพยากรฝึกตนหมด พวกเราก็ค่อยรวบรวมคนมาปล้นที่พิภพใหญ่”
“แล้วปู่เจ้ากับพรรคพวกจะทำยังไงล่ะ? จะโยนพวกเขาไว้ในนรกโดยไม่สนใจจริงๆ เหรอ?” เหมียวอี้ถามพร้อมรอยยิ้ม
อวิ๋นจือชิวตอบว่า “พวกเขาแกว่งเท้าหาเสี้ยนเอง แล้วอีกอย่างนะ เจ้าไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร เพื่อให้มีคนพ่วงเข้าไปด้วยอีกคนเหรอ?”
“อย่างน้อยถ้าข้าพยายามเต็มที่แล้ว เจ้าก็จะได้ไม่เสียใจทีหลัง ถ้านิ่งดูดายโดยไม่สนใจจริงๆ หากเกิดเรื่องอะไรกับพวกปู่เจ้าล่ะ ถึงปากเจ้าจะไม่พูด แต่ในใจเจ้าคงจะรู้สึกผิดไปทั้งชีวิตแน่” เหมียวอี้กล่าว
“แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าเพราะเรื่องนี้ ข้าก็จะยิ่งรู้สึกผิด ถ้าต่อไปนี้เหลือข้าอยู่แค่คนเดียว แล้วเจ้าจะให้ข้าทำยังไง?” อวิ๋นจือชิวถาม
เหมียวอี้กล่าวว่า “ไม่เกิดเรื่องอะไรหรอก หลังจากไปแล้วข้าจะติดต่อกับพวกปู่เจ้า พวกเขาสามารถรอดพ้นการไล่ฆ่าของนักพรตพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพสามคนได้ ถ้าพาข้าหนีไปด้วยอีกคนก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แล้วอีกอย่างนะ ข้าไปครั้งนี้ก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องต่อสู้แลกชีวิตเลย และไม่คิดจะสร้างผลงานอะไรมากมายด้วย เป้าหมายใหญ่สุดก็คือหาสมบัติ พยายามหาเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางภาคดินให้เจอ ไม่แน่ว่าอาจจะได้ร่ำรวยอีกสักก้อนก็ได้ จากนั้นก็หาที่ซ่อนเอาไว้ ปะปนอยู่ในการทดสอบต่อจนจบ พอกลับมาต่อให้ไม่มีผลงานจนโดนถอดจากตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ แต่ก็ไม่ถึงขนาดถูกลดให้อยู่ระดับต่ำสุด ทั้งยังถูกจำกัดหน้าที่หนึ่งหมื่นปี หลังจากออกมาแล้ว อย่างมากก็เปลี่ยนสถานที่รับตำแหน่งขุนนาง ปี้เยว่ฮูหยินจะไปหาท่านโหวเทียนหยวนให้เตรียมให้ข้า ต่อให้ทางปี้เยว่ฮูหยินจะจัดการไม่ได้ แต่ข้าก็สามารถไปหาทูตตรวจการขวาเกาก้วนของตำหนักสวรรค์ได้เหมือนกัน ข้าติดต่อกับเขาไว้แล้ว หลังจบการทดสอบถ้าอยากจะย้ายที่อยู่ เขาก็จะย้ายข้าไปอยู่หน่วยตรวจการฝ่ายขวา ยังคงอยู่ในระดับเดียวกับผู้บัญชาการใหญ่ ถ้ามีหนังเสือนี้คอยคุมไว้ ก็ไม่มีใครกล้าแตะต้องร้านค้าของพวกเราที่ตลาดสวรรค์”
อวิ๋นจือชิวถอนหายใจเบาๆ “ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังใช้คำพูดดีๆ ปลอบใจข้า ไม่อย่างนั้นเจ้าคงไม่รีบร้อนฝึกวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้ากับมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงแบบนั้นหรอก”
เหมียวอี้ “ข้าแค่อยากจะมีหลักประกันเพิ่มอีกสักชั้นหนึ่ง ใครจะคิดว่าพอลองแล้วลองอีก ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้ว ว่าเคล็ดวิชาอัคนีดาราที่ข้าฝึกไม่สามารถฝึกร่วมกับเคล็ดวิชาอื่นได้ ไม่อย่างนั้นจะทำลายสมดุลหยินหยางในร่างกาย”
“เจ้าตัดสินใจแน่วแน่แล้วใช่มั้ยว่าจะไปเข้าร่วม?” อวิ๋นจือชิวถาม
เหมียวอี้บอกว่า “ถ้าข้าพบเจอความยากลำบากแล้วถอย ก็คงไม่เดินมาจนถึงจุดนี้หรอก ถ้าข้าทิ้งอาชีพที่พิภพใหญ่แล้วหนีกลับพิภพเล็กง่ายๆ โดยไม่แม้แต่จะลอง ข้าก็ไม่มีทางเผชิญหน้ากับพวกเจ้าได้เลย และไม่มีทางอธิบายกับตัวเองได้ด้วย อวิ๋นจือชิว เจ้าอย่าห้ามข้าเรื่องนี้เลยนะ เรื่องอื่นพวกเราสามารถเจรจากันได้ แต่เรื่องนี้จะไม่มีการเจรจา นี่คือความรับผิดชอบที่ข้าต้องแบกรับ ก็เหมือนอย่างที่เจ้าบอก แต่งงานกับพวกเจ้าไม่ใช่เพื่อให้พวกเจ้ามานอนด้วยเท่านั้น หน้าที่ของข้าคือสร้างสภาพแวดล้อมในการใช้ชีวิตที่ดียิ่งขึ้นให้พวกเจ้า การให้พวกเจ้าหลบอยู่ที่นี่โดยไม่กล้าเปิดเผยความสัมพันธ์กับข้า ทำได้เพียงไปมาหากันอย่างหลบซ่อน แค่นี้ก็ทำให้ข้าไม่สงบใจมากพอแล้ว ให้ข้ารักษาศักดิ์ศรีของลูกผู้ชายไว้สักหน่อยเถอะ ไม่อย่างนั้นจะเอาหน้าจากไหนไปนอนกับพวกเจ้า?”
อวิ๋นจือชิวกัดริมฝีปาก “เจ้าพูดถึงขั้นนี้แล้ว ข้าไม่ห้ามเจ้าแล้วล่ะ ที่จริงข้าคิดมาตลอดว่าผู้ชายควรจะทำตัวให้สมกับเป็นลูกผู้ชาย เพียงแต่ถ้ารู้อยู่แก่ใจแต่ยังดึงดัน ก็ไม่ใช่การกระทำที่ฉลาดนัก แบบนั้นข้าไม่เห็นด้วย และจะยืนหยัดคัดค้านด้วย ดังนั้นข้าจะบอกเจ้าเอาไว้นะ ถ้าเจ้าไปแล้วกลับมาไม่ได้ เจ้าก็อย่าหวังเลยว่ากลุ่มผู้หญิงอย่างเราๆ จะอยู่เป็นหม้ายเพื่อเจ้า อย่างน้อยข้าก็จะไม่อยู่เป็นหม่ายเพื่อเจ้า ข้าจะหอบสมบัติที่เจ้าทิ้งไว้ให้ข้าไปแต่งงานใหม่ ในปีนั้นข้าเลิกกับเฟิงเสวียนมาแต่งงานกับเจ้าได้ ก็สามารถเลิกกับเจ้าไปหาคนอื่นได้เหมือนกัน เจ้าคิดถึงผลที่จะตามมาให้ดีเถอะ!”
เหมียวอี้ยิ้มอ่อน…
เมื่อร้านโฉมเมฆาได้ข่าวแล้ว ไม่นานทางพวกจีเหม่ยลี่ก็ได้ข่าวเช่นเดียวกัน ทยอยกันมายืนยันข่าว
เหมียวอี้บอกกับพวกนางอย่างแน่วแน่เด็ดเดี่ยวมาก ว่าข้าจะไม่ไปเข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้
เขาไม่อยากให้พวกนากังวลใจเร็วเกินไป แต่ใครจะคิดว่าหลังจากข่าวไปถึงหูพวกอวิ๋นอ้าวเทียน ห้าปราชญ์ก็งงนิดหน่อย
“ไม่เข้าร่วมเหรอ? การทดสอบครั้งนี้ ไม่เข้าร่วมได้ด้วยเหรอ?”
ในถ้ำภูเขา อวิ๋นอ้าวเทียนพลันหันมองไปทางทั้งสี่คนที่เดินเข้ามาถามข่าวด้วยกัน
จีฮวนขมวดคิ้วพลางพยักหน้าบอกว่า “พวกเรายืนยันมาแล้ว ว่าเจ้าหมอนั่นจะไม่เข้าร่วมการทดสอบจริงๆ การทดสอบครั้งนี้ไม่ได้บังคับ ใครเต็มใจก็มา ถ้าไม่มาอย่างมากก็ถูกลดขั้นเท่านั้นเอง”
“หลังจากสืบฟังสถานการณ์อย่างชัดเจนแล้ว ความเป็นไปได้ที่เจ้าหมอนั่นจะมาก็มีไม่มาก ไม่มีใครอยากมาเสี่ยงอันตรายแบบนี้ง่ายๆ หรอก เพียงแต่ถ้าเป็นแบบนี้ คำทำนายของเทพพยากรณ์ก็จะไม่ตรงแล้วหรือเปล่า? เป็นพวกเราที่เข้าใจผิดไปเอง หรือว่าอะไร?” ฉางเหลยถามอย่างกลุ้มใจ
พวกเขารวมตัวอยู่ด้วยกันอย่างกลัดกลุ้มทันที พบว่าเสียแรงที่หลงดีใจไป…
หลังจากนั้นอีกหนึ่งเดือน ในที่สุดตำหนักสวรรค์ก็ประกาศเรื่องการทดสอบอย่างเป็นทางการแล้ว
ส่วนคำสั่งแต่งตั้งปี้เยว่ฮูหยินให้เลื่อนขั้นก็ลงมาอย่างเป็นทางการแล้ว ระดับยังไม่เปลี่ยนแปลง แต่อำนาจเพิ่มขึ้นสิบเท่า นางได้คุมตลาดสวรรค์สิบแห่งในรวดเดียว นี่ข้อข้อดีที่เห็นได้ง่ายที่สุดของการมีสามีเป็นท่านเซียนอยู่ในราชสำนัก ตำหนักสวรรค์ตั้งแม่ทัพภาคของตลาดสวรรค์ขึ้นมาใหม่แปดร้อยตำแหน่ง การหนึ่งในเจ็ดสิบสองโหวผู้ยิ่งใหญ่จะช่วงชิงมาให้นางสักตำแหน่งก็ไม่ใช่เรื่องยาก
ในความเป็นจริง เพื่อให้สถานการณ์แรกเริ่มในการปรับปรุงตลาดสวรรค์ครั้งนี้มั่นคงและแน่นอน เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่รุนแรงตั้งแต่เริ่มต้น ราชินีสวรรค์สามารถยอมให้ทุกคนที่ยืนอยู่ในราชสำนักได้ตำแหน่งแม่ทัพภาคของตลาดสวรรค์ไปคนละตำแหน่งเพื่อเป็นหลักประกันขั้นต่ำ ส่วนตำแหน่งหัวหน้าภาคของตลาดสวรรค์แปดสิบกว่าตำแหน่งที่อยู่สูงกว่านั้น ถ้าท่านโหวเทียนหยวนอยากจะช่วงชิงอีกก็เป็นเรื่องยากมาก สี่อ๋องสวรรค์ สิบสองจอมพล สามสิบหกเทพประจำดาวต่างก็ครอบครองไปแล้วคนละห้าตำแหน่ง ตำแหน่งที่อยู่เหนือตำแหน่งหัวหน้าภาคของตลาดสวรรค์ขึ้นไป โดยส่วนใหญ่คนระดับท่านโหวจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแล้ว เพียงแต่ท่านโหวเทียนหยวนโกยตำแหน่งแม่ทัพภาคของตลาดสวรรค์มาได้หกตำแหน่ง จะเตรียมไว้ให้เมียสักหนึ่งตำแหน่งก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล
พอเป็นแบบนี้ การเริ่มต้นปรับปรุงตลาดสวรรค์ของราชินีสวรรค์ก็นับว่าพัฒนาไปอย่างราบรื่น แรงขัดขวางที่พบมีน้อยมาก ไม่อย่างนั้นถ้ามีคนลอบกัดอยู่เรื่อยๆ ก็จะยุ่งยากแล้ว
ตลาดสวรรค์ของดาวเทียนหยวนยังคงเป็นส่วนหนึ่งที่ปี้เยว่ฮูหยินควบคุม เพียงแต่ต้องย้ายที่อยู่ ดาวเทียนหยวนค่อนข้างอยู่บริเวณริมขอบของขอบเขตอำนาจตำหนักสวรรค์ แม่ทัพภาคอย่างนางย่อมต้องย้ายไปอยู่ตรงจุดที่ค่อนข้างอยู่ตรงกลางระหว่างตลาดสวรรค์ทั้งสิบ เลือกที่ตั้งของตำหนักใหม่ไว้เรียบร้อยแล้ว แค่รอให้นางย้ายเข้าไปอยู่
นอกประตูเมืองเขตตะวันออก นอกจากทหารที่เข้าเวรยาม ทหารสวรรค์ของตลาดสวรรค์ก็มารวมตัวกันนอกเมืองทั้งหมด เพื่อส่งให้ปี้เยว่ฮูหยินไปรับตำแหน่งใหม่
ทิวทัศน์ภูเขานอกเมืองวกวนซับซ้อน กำลังพลกลุ่มใหญ่สวมเกราะรบสีสันสดใส พลังอำนาจเกริกก้อง
ก่อนจะออกเดินทาง ปี้เยว่ฮูหยินที่อุ้มจิ้งจอกสีชมพูก็เรียกเหมียวอี้ไปถ่ายทอดเสียงคุยกันตามลำพัง “เจ้าไตร่ตรองเรื่องการทดสอบเป็นยังไงบ้างแล้ว?”
“ข้าน้อยจะเข้าร่วมขอรับ!” เหมียวอี้ตอบ
“เฮ้อ!” ปี้เยว่ฮูหยินถอนหายใจเบาๆ แล้วก็หันกลับไปมองสถานที่ที่ตัวเองอาศัยอยู่มาเป็นเวลาหลายปี ในที่สุดก็ได้ออกจากที่นี่แล้ว นางทอดถอนใจอีกครั้ง
“น้อมส่งท่านแม่ทัพภาค!”
ท่ามกลางเสียงตะโกนของผู้คนนับหมื่น ปี้เยว่ฮูหยินทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า พาลูกน้องคนสนิทของตัวเองไปด้วย รองผู้บัญชาการใหญ่สองคนของเหมียวอี้ก็ถูกพาตัวไปด้วยเช่นกัน ผู้บัญชาการของตำหนักคุ้มเมืองก็ถูกพาไปด้วย เหมียวอี้จัดเตรียมกำลังพลส่วนใหญ่ของตำหนักคุ้มเมืองไปคุ้มกันส่งตลอดทาง ก่อนหน้านี้ปี้เยว่ฮูหยินแอบสั่งเขาไว้แล้ว ว่าทั้งหมดนั่นคือคนที่ติดตามนางมาหลายปี พอไปครั้งนี้ก็จะไม่ส่งกลับมาแล้ว ถึงอย่างไรตำหนักใหม่ก็ยังต้องการคนเฝ้ารักษาการณ์ การใช้งานลูกน้องคนสนิทของตัวเองก็ย่อมไว้ใจได้และสงบใจได้มากกว่า
ดังนั้นกำลังพลของเหมียวอี้จึงขาดแคลน อย่างน้อยก็ขาดตำแหน่งผู้บัญชาการและรองผู้บัญชาการใหญ่ของตำหนักคุ้มเมือง มีคนไม่น้อยที่เริ่มเฝ้าคอยแล้ว
หลังจากมองคล้อยหลังปี้เยว่ฮูหยินหายไปในท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ เหมียวอี้ก็นำคนเข้าเมือง
“ผู้บัญชาการใหญ่!”
“ผู้บัญชาการใหญ่!”
สองข้างทางของถนนในเมืองมีผู้จัดการร้านค้าใหญ่ๆ ที่รู้ข่าวล่วงหน้ามาคอยส่ง ยามเห็นเหมียวอี้ในเวลานี้ ภายนอกพวกเขาก็กุมหมัดคารวะอย่างสุภาพ แต่ความจริงมีคนทำสายตาเยาะเย้ยแล้วไม่น้อย ต่างก็รู้ว่าเหมียวอี้จะได้นั่งอยู่ในตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ได้ไม่นานแล้ว การล้างแค้นมาถึงเร็วขนาดนี้ มีคนกำลังเตรียมตัวรอซ้ำเติมแล้ว
ถ้าเหมียวอี้ไปเข้าร่วมการทดสอบก็จะปล่อยไป แต่ถ้าไม่ไปแล้วโดนลดขั้นเป็นพวกผีหลักเมืองหรือเทพแห่งผืนดิน อาศัยเส้นสายของพวกเขาก็มีทางสั่งสอนให้เหมียวอี้ตายทั้งเป็นอยู่แล้ว
ส่วนเหมียวอี้ก็เห็นความเปลี่ยนแปลงนี้อยู่ในสายตาเช่นกัน ในใจกำลังครุ่นคิดว่า เตรียมจะตัดหัวอีกสักชุดก่อนจะไปเข้าร่วมการทดสอบ!
แต่การจะตัดหัวได้ก็ต้องมีเหตุผล ใช่ว่าเจ้าอยากจะตัดก็ตัดได้ แล้วจะอ้างเหตุผลอะไรดีล่ะ? เห็นได้ชัดว่าสวีถังหรานเหมาะสมที่จะทำเรื่องแบบนี้…
…………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น