ลำนำบุปผาพิษ 1171-1174

 บทที่ 1171 พิธีสมรส


“แม่นางกู้ แม่นางกู้”


“แม่นางกู้ ท่านตื่นเถอะเจ้าค่ะ…”


“แม่นางกู้ วันนี้เป็นวันมงคลของท่านกับท่านเจ้า ต้องเตรียมตัวล่วงหน้า ท่านตื่นเถิด สมควรลุกจากเตียงได้แล้ว”


ภายในห้องนอนของกู้ซีจิ่ว มีสาวใช้สี่นางเข้ามา สาวใช่เหลานี้นำชุดวิวาห์มงกุฎหงส์มาด้วย คิดจะปลุกกู้ซีจิ่วให้ลุกมาแต่งหน้าแต่งตัว กลับนึกไม่ถึงว่าวันนี้แม่นางกู้ผู้นี้จะหลับเป็นตาย ไม่ว่าอย่างไรก็ปลุกไม่ตื่น


สาวใช้สี่นางนี้มองหน้ากันเหลอหลา ที่แท้แม่นางกู้ผู้นี้เป็นอะไรไป? สลบหรือ?


พวกนางอับจนหนทาง ทำได้เพียงส่งคนหนึ่งไปเชิญท่านหลงฟั่นมา


หลงฟั่นมาถึงอย่างรวดเร็ว ด้านหลังเขามีโม่เจ้าติดตามมาด้วย…


เหล่าสาวใช้นิ่งค้างไปครู่หนึ่ง ว่ากันตามเหตุผลแล้ว วันพิธีเช่นวันนี้ก่อนที่เจ้าสาวจะแต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จไม่อนุญาตให้เจ้าบ่าวพบหน้า…


เพียงแต่ในเมื่อท่านเจ้าผู้นี้มาแล้ว ทุกคนจึงไม่กล้าพูดเป็นอื่น…


ทั้งสองเดินมาถึงหน้าเตียง เห็นกู้ซีจิ่วหลับอยู่ตรงนั้น ใบหน้าเฉิดฉันเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีด ลมหายใจสงบมั่นคง ท่าทางเหมือนหลับลึกเท่านั้น


หลงฟั่นกำลังจะยื่นมือไปเขย่าตัวเธอดู ถูกโม่เจ้ามองแวบหนึ่งจึงถอยหลังไปอีกครั้ง เปิดทางให้


โม่เจ้าเรียกู้ซีจิ่วอยู่สองครา นางไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด เขาขมวดคิ้ว กุมมือนางไว้ทันที หมายจะแผ่พลังวิญญาณเข้าไป ปลุกนางให้ตื่น


กลัคาดไม่ถึงว่ายังไม่ทันได้แผ่ถ่ายทอดพลังวิญญาณเข้าไป กู้ซีจิ่วก็ขยับตัวเล็กน้อย แพขนตาไหวระริก ในที่สุดก็ลืมตาขึ้นมา


เหล่าสาวใช้ถอนหายใจอย่างโล่งอก สายตาของโม่เจ้าประสานกับดวงตาของกู้ซีจิ่ว


นัยน์ตาของนางมืดมิดดั่งบึงลึก ตอนที่เพิ่งตื่นขึ้นมาคล้ายจะสับสนเลื่อนลอยอยู่ครู่หนึ่ง ทั่งสองสบตากันอยู่ชั่วครู่ ดวงตาของกู้ซีจิ่วฉายแววประหลาดใจแวบหนึ่ง “พี่โม่ ท่านมาได้ยังไง?”


โม่เจ้าลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ประเสริฐ นางยังคงเป็นกู้ซีจิ่วของเขา…


“ซีจิ่ว เหตุใดถึงหลับไปนานถึงเพียงนี้? สาวใช้ปลุกเจ้าไม่ตื่นเลย…” เขาสอบถามอย่างอ่อนโยน


กู้ซีจิ่วกะพริบตาปริบๆ “ปลุกไม่ตื่น? ข้าหลับมาตลอดจนถึงยามนี้…”


โม่เจ้ามองสีหน้าของนางอีกครา นางดูแข็งแรงดี นอกจากมีเหงื่อเล็กน้อยที่ปลายจมูกแล้ว ก็ไม่มีอะไรผิดปกติเลย


เขายังไม่วางใจ ครานี้เรียกให้หลงฟั่นเข้ามา ให้เขาตรวจอาการนางดูอีกครั้ง


หลังจากหลงฟั่นจับชีพจรเธอก็ส่ายหน้า “นางสบายดี ไม่มีอะไรผิดปกติ เด็กน้อยขี้เซา ปลุกไม่ตื่นในชั่วขณะก็มีอยู่บ้าง” เขากวาดตามองสาวใช้สี่คนนั้นแวบหนึ่ง “อีกอย่างท่านเจ้าได้สั่งไว้ ว่าไม่อนุญาตให้ผุ้ใดแตะต้องกู้ซีจิ่ว ดังนั้นพวกนางทั้งสี่คงจะเรียกปลุกดู เมื่อเรียกแล้วไม่ตื่นก็ตระหนกตื่นตูมจนไปเรียกคนมา…”


โม่เจ้ายกมือลูบศีรษะกู้ซีจิ่ว มองตานาง “ซีจิ่ว วันนี้เป็นวันมงคลของพวกเรา เจ้าดีใจไหม?”


กู้ซีจิ่วหน้าแดงก่ำ แพขนตาหลุบลง ไม่ได้ตอบโต้ประโยคนี้ของโม่เจ้า ท่าทางดั่งสาวน้อยที่ขวยอาย


ยากนักที่จะได้เห็นท่าทางเช่นนี้ของนาง จิตใจโม่เจ้าจึงสั่นไหวเล็กน้อย เขยิบไปใกล้ๆ ริมหูนาง “แต่งตัวให้ดีๆ เถอะ เจ้าจะต้องเป็นเจ้าสาวที่งดงามที่สุด”


ใบหูของกู้ซีจิ่วก็แดงเถือกเช่นกัน กระซิบว่า ‘อืม’ คำหนึ่ง ถึงแม้เสียงนี้จะแผ่วหวิวจนแทบไม่ได้ยิน โม่เจ้าก็ยังได้ยินอย่างชัดเจน มวลบุปผาบานสะพรั่งในใจเขา ในที่สุดก็วางใจแล้ว ถึงได้ออกไป


ตอนที่เขาออกไปก็เรียกหลงฟั่นออกไปด้วยกัน บอกว่าจะให้เขาไปจัดการโถงพิธี


สาวใช้ทั้งสี่นางปรนนิบัติกู้ซีจิ่วให้ลุกขึ้น แต่งองค์ทรงเครื่องให้เธอ


กู้ซีจิ่วนั่งอยู่บนเก้าอี้ เบื้องหน้าคือกระจกโต๊ะเครื่องแป้งบานหนึ่ง สาวใช้สี่นางนั้นห้อมล้อมยุ่งง่วนอยู่รอบตัวเธอ…


ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ในที่สุดเจ้าสาวที่งดงามเฉิดฉายก็เผยโฉมออกมาแล้ว


————————————————————————————-


บทที่ 1172 แทะโลม


กู้ซีจิ่วเพ่งพิศตัวเองในกระจก ในกระจกคือสาวน้อยที่งดงามยิ่งนัก เป็นความงามที่ไม่แฝงกลิ่นอายโลกีย์เลยสักนิด


สาวใช้สี่นางที่อยู่ด้านข้างเอ่ยแสดงความยินดีชมเชยป้อยอว่าเธองดงาม เรียวปากจิ้มลิ้มของกู้ซีจิ่วหยักขึ้นน้อยๆ ดีใจยิ่งนักเช่นกัน


เธอรับคำยินดีของสาวใช้ทั้งสี่ไว้ ฟังพวกนางชื่นชมความงามของเธอ เธอยังลุกขึ้นมาหมุนตัวรอบหนึ่งด้วย กระโปรงแผ่พลิ้ว ปานดอกห้อมช้างที่แย้มบานต้อนรับสายลม ชุดกระโปรงบนร่างเธอสลับซับซ้อนเกินไปและยาวเกินไป ในการหมุนครั้งนี้ของเธอเท้าไปเหยียบชายกระโปรงเข้า จึงสะดุดล้ม พุ่งไปด้านหน้า ถลาใส่ร่างสาวใช้นางหนึ่ง…


สาวใช้คนนั้นไม่ทันตั้งตัว ถูกเธอถลาใส่ทั้งตัว กลายเป็นเบาะรองเนื้อของเธอ ทั้งสองกลิ้งจนกลายเป็นก้อนเดียวกัน


สาวใช้อีกสามนางทั้งกลัวทั้งขำ รีบพยุงเธอลุกขึ้นมา ทว่าเครื่องประดับศีรษะบนหัวของกู้ซีจิ่ว เกี่ยวเข้ากับเส้นผมของสาวใช้คนนั้นแล้ว ลุกไม่ขึ้นชั่วขณะ


ไม่ง่ายเลยกว่าจะแกะออกได้ เครื่องหัวของกู้ซีจิ่วก็ยุ่งเหยิ่งไปหมดแล้ว ต้องจัดการใหม่อีกครั้ง


ขณะที่ยุ่งง่วนอยู่ ด้านนอกก็มีเสียงดนตรีประโคมขึ้นมาแว่วๆ โม่เจ้าก้าวเข้ามาพร้อมกับเสียงดนตรี…


ในวังใต้พิภพแห่งนี้มีโถงที่ใหญ่ที่สุดอยู่ห้องหนึ่ง สัดส่วนเทียบได้กับพระตำหนักจินหลวนเตี้ยนของวังต้องห้าม บัดนี้โถงใหญ่แห่งนี้ถูกประดับด้วยสีแดง ตกแต่งด้วยข้าวของสีทองอร่าม เต็มไปด้วยความรื่นรมย์ยินดี


ถึงอย่างไรโม่เจ้าก็เป็นองค์ชายของโลกมนุษย์มาเนิ่นนานปี กลิ่นอายของโลกมนุษย์แฝงอยู่ในกระดูกแล้ว ดังนั้นการจัดแต่งโถงพิธีของเขาจึงเป็นไปตามกฎเกณฑ์การอภิเษกของจักรพรรดิและฮองเฮาของโลกมนุษย์


ที่แตกต่างกันคือ ยามที่จักรพรรดิของแดนมนุย์อภิเษกสมรสพสกนิกรจะห้อมล้อมอยู่สองข้างทาง เหล่าข้าราชบริพารแซ่ซ้องอวยพร เหล่าเชื้อพระวงศ์มาร่วมยินดี


แต่พิธีสมรสของโม่เจ้าผู้ที่ยืนเรียงรายอยู่สองข้างทางก็คือลูกน้องกว่าสามร้อยคนของเขา มีอาคันตุกะจากภายนอกเพียงคนเดียวคือ…ตี้ฝูอี!


ตี้ฝูอีถูกจัดให้มาอยู่ที่โถงพิธีตั้งแต่เช้าแล้ว ทางด้านซ้ายของโถงพิธีจัดวางเก้าอี้พิเศษตัวหนึ่งไว้ บนร่างตี้ฝูอีล่ามโซ่สลายวิญญาณไว้หกเส้น โซ่สลายวิญญาณนั้นเชื่อมเข้ากับเก้าอี้พิเศษตัวนั้น ส่วนเก้าอี้ตัวนั้นก็เชื่อมเป็นเนื้อเดียวกับพื้น…


ในห้องโถงผู้คนยุ่งวุ่นวายไม่น้อย ยามที่ผ่านมาแทบทุกคนล้วนมองเขาแวบหนึ่ง บ้างก็ก้าวเข้ามาเยาะเย้ยเหยียดหยามเขาอยู่สองสามประโยค


หมอหลี่ที่หลอมโอสถให้โม่เจ้าคนนั้นระยะนี้ได้รับความชื่นชมจากท่านเจ้าอย่างยิ่ง และดูเหมือนเขาจะเคยมีความหลังกับตี้ฝูอีมาก่อน ดังนั้นเขาจึงเข้าไปเยาะเย้ยถากถางตี้ฝูอี คล้ายว่าจะยังไม่สาแก่ใจ ยืนมือไปเขย่าตรวนสลายวิญญาณบนร่างของตี้ฝูอีด้วย ทำให้ความเจ็บปวดจนเหงื่อท่วมร่างได้สำเร็จ ทำให้ฝูงชนหัวเราะฮ่าๆ ดังลั่นออกมา


ตี้ฝูอีมองด้วยใบหน้าที่ซีดเซียว เขาก็ก้มหน้ามองตี้ฝูอีเช่นกัน “ตี้ฝูอี เจ้าก็มีวันนี้เช่นกันรึ! เป็นอย่างไรเล่า? ไม่พอใจหรือ? ถ้าไม่พอใจเจ้าลุกขึ้นมาตีข้าดีไหมล่ะ?”


ตี้ฝูอีย่อมไม่มีทางลุกขึ้นขึ้นมาตีเขาได้ เขาทำได้เพียงหลับตาเมินเฉยเสีย


คนส่วนใหญ่ที่อยู่ในที่นี้เป็นอัจฉริยะจากทั่วสารทิศของทวีปนี้ ล้วนเป็นเพราะสาเหตุนั้นบ้างสาเหตุนี้บ้างถูกคนของฝ่ายธรรมะไล่ล่าสังหารถึงได้มารวมตัวอยู่ในสังกัดของหลงฟั่น เดิมทีคนเหล่านี้ล้วนชั่วช้าสามานย์ยิ่งนักกันอยู่แล้ว ปกติยามที่อยู่ด้านนอกอย่าว่าแต่ตี้ฝูอีเลย ขอเพียงพบคนที่อยู่ใต้สังกัดของตี้ฝูอีเหล่านั้นก็ตกใจจนเผ่นหนียิ่งกว่ากระต่ายเสียอีก!


ปกติแล้วพวกเขาเห็นตี้ฝูอีเป็นตัวตนที่สูงส่งจนต้องแหงนคอมอง เสมือนมองเทพเซียนที่อยู่บนเมฆา ไม่มีแม้แต่โอกาสจะเข้าใกล้


ยามนี้ ‘เทพเซียน’ ผู้นี้กลับถูกสอยร่วงลงสู่แดนมนุษย์ บัดนี้ถูกล่ามไว้ที่นี่ ขยับเขยื้อนไม่ได้แล้ว การตกอับเช่นนี้ทำให้คนเหล่านี้ปรีดายิ่งนัก พวกปากเสียบางส่วนก็ยืนด่าทอเยาะเย้ยอยู่ตรงนั้น


“ตี้ฝูอี ที่แท้ยามที่ถูกล่ามไว้ที่นี่เจ้าก็เหมือนสุนัขไม่มีผิด!”


“ฮ่าๆ เหมือนสุนัขตกน้ำตัวหนึ่งจริงๆ ด้วย! ดูใบหน้าน้อยๆ ที่ซีดเซียวของเขาสิ”


“รูปโฉมเขาหล่อเหลานัก! งดงามกว่าพวกสาวใหญ่อนุภรรยาตัวน้อยเสียอีก”


————————————————————————————-


บทที่ 1173 ประกอบกิจดุเดือด


“รูปโฉมเขาหล่อเหลานัก! งดงามกว่าพวกสาวใหญ่อนุภรรยาตัวน้อยเสียอีก ในหมู่พี่น้องมีผู้ใดชมชอบบุรุษหรือไม่? อันที่จริงสามารถอุ้มเขากลับไปอุ่นเตียงได้นะ”


“เช่นนั้นมิกล้าหรอก อย่ามองแต่รูปโฉมอันงดงามของเขาสิ ยามที่อยู่ในกำมือคงไม่เลวเลยจริงๆ แต่ถ้าจะพาไปอุ่นเตียงก็ต้องเอาโซ่นี้ไปด้วย โซ่ตรวนนี้ดึงเพียงน้อยเขาก็เจ็บปวดแล้ว เมื่อถึงเวลาประกอบกิจดุเดือดขึ้นมา ไม่เจ็บปวดจนสลบไปหรอกหรือ?”


“ฮ่าๆ นี่ก็ถูก…”


ถ้อยคำหยาบโลนโสมมดังล้งเล้ง จอแจอยู่ข้างหูของตี้ฝูอีไม่หยุด


คนเหล่านี้อาศัยจังหวะที่พิธีสมรสยังไม่เริ่ม เจ้านายยังไม่มา คิดจะหาเรื่องบันเทิงจากร่างของตี้ฝูอี


ตี้ฝูอีคร้านจะลืมตาขึ้น ถือเอาวาจาของพวกเขาเป็นเสียงยุงหึ่งๆ ไปเสีย


มีเสียงพิณติงๆ ตังๆ ขึ้นมา บรรเลงบทเพลงวิวาห์เพลงหนึ่ง


ในตำหนักใต้ดินแห่งนี้ เต็มไปด้วยชายฉกรรจ์ป่าเถื่อน โดยทั่วไปแล้วคนส่วนใหญ่ไม่ใคร่เข้าใจดนตรีสักเท่าไหร่ ผู้ที่เล่นดนตรีจึงหายากยิ่งกว่าขนหงส์เขามังกร แทบจะหาไม่พบเลย


ยามนี้นักดนตรีที่ดีดพิณอยู่ตรงนั้นเป็นหมอหลี่บังคับลักพาตัวกลับมาตอนออกไปเก็บสมุนไพรด้านนอก เป็นโฉมงามอายุอานามประมาณยี่สิบปีนางหนึ่ง ได้ยินว่าเป็นนักดนตรีของหอโคมเขียวแห่งหนึ่ง มีนามแฝงในวงการว่าซี่ซี่ ยามที่เพิ่งลักพาตัวมาหวาดกลัวจนตัวสั่นงันงก ดีดพิณก็ดีดอย่างกระเจิดกระเจิง สับสนมั่วซั่ว ทำให้คนฟังแล้วหมดคำพูดิยิ่งนัก ต่อมาถูกหมอหลี่ข่มขู่หลายครั้งเข้า นางถึงค่อยๆ เข้ารูปเข้ารอย ต่อให้ดีดพิณก็ไม่เพี้ยนจนหลงทำนองอีก


แน่นอนว่าเพื่อป้องกันสายลับที่จะแทรกซึมเข้ามา ยามที่นักพิณคนนี้เพิ่งเข้ามาก็ได้รับการตรวจสอบและหยั่งเชิงอย่างเข้มงวดกวดขันเช่นกัน


นักพิณผู้นี้มีพลังวิญญาณเพียงขั้นสามเท่านั้น วรยุทธ์ทั้งหมดที่มีสามารถบรรยายได้ว่าเป็นเพียงหมัดเท้าปักบุปผาที่ดูงดงามทว่าใช้การไม่ได้ เพื่อหยั่งเชิงนาง บีบให้นางสำแดงวรยุทธ์ที่แท้จริงออกมา โม่เจ้าจึงลอบส่งผู้คุ้มกันคนหนึ่งไปขืนใจนาง ผลคือทำให้นักพิณคนนี้แทบลุกจากเตียงไม่ได้…


ด้วยเหตุนี้โม่เจ้าจึงวางใจอย่างแท้จริง หากว่าเป็นคนของตี้ฝูอีคิดจะปลอมตัวปะปนเข้ามา ต้องไม่ปล่อยให้ผู้ใดขืนใจเป็นแน่…


ท่ามกลางเสียงพิณ ในที่สุดก็มีคนตะโกนขึ้นมา “ได้ฤกษ์มงคลแล้ว ขอเชิญบ่าวสาวเข้ามาทำพิธี…”


นักดนตรีนามว่าซี่ซี่ผู้นั้นรีบดีดพิณให้เสียงสูงขึ้นอีกหนึ่งช่วงทำนองทันที สูงจนแทบบาดหูแล้ว


เพียงแต่เป็นเช่นนี้ก็ดี เกิดเสียงดังเซ็งแซ่ขึ้นอีก เห็นได้ชัดว่าทำให้ครึกครื้นยิ่งขึ้น


ในมือโม่เจ้าจับผ้าไหมแดงผืนหนึ่งไว้ ปลายอีกข้างของผ้าไหมแดงก็คือเจ้าสาวที่สวมชุดแดงมงกุฎหงส์


โม่เจ้าลงทุนกับพิธีสมรสครั้งนี้ยิ่งนัก อาภรณ์ที่สวมอยู่บนร่างกู้ซีจิ่วราคาแพงลิบลิ่ว ล้ำค่ายิ่งกว่าฉลองพระองค์มงกุฎหงส์ของฮองเฮาเสียอีก ระย้ามุกที่ห้อยลงมาจากมงกุฎหงส์แต่ละเม็ดล้วนเป็นมุกทะเลใต้ที่กลมเกลี้ยงอวบอิ่ม แกว่งไกวตามจังหวะที่กู้ซีจิ่วเยื้องย่าง ส่องสะท้อนเสียงโคม เปล่งประกายแพรวพราว ปานภาพฝันมายา


บนหน้าเธอประทินโฉมอย่างพิถีพิถัน ผิวพรรณดูขาวผ่องปานหิมะ คิ้วตาดั่งวาดแต้ม


โม่เจ้าก็สวมชุดเจ้าบ่าวสีแดงฉูดฉาด ต้องกล่าวเลยว่าร่างนี้ของเขาสมบูรณ์แบบยิ่งนัก เกิดมาเพื่อเป็นไม้แขวนเสื้อ ชุดที่สีแดงฉูดฉาดถึงเพียงนี้เมื่อสวมอยู่บนร่างเขากลับดูไม่ติดขัดเลย ทุกอากัปกริยาแฝงเสน่ห์เย้ายวนตามธรรมชาติ หว่างคิ้วแฝงเสน่ห์อันชั่วร้ายไว้


ยามที่เขาจูงกู้ซีจิ่วก้าวเขามาในห้องโถง สายตาของทุกคนในห้องโถงล้วนจดจ่ออยู่บนร่างบ่าวสาวคู่นี้ ทว่าสายตาของเขากลับร่อนลงบนร่างตี้ฝูอี


ตี้ฝูอีก็ลืมตามองพวกเขาเช่นกัน ริมฝีปากบางเม้มนิดๆ มองไม่เห็นอารมณ์อันใด


โม่เจ้ายิ้มน้อยๆ แวบหนึ่ง “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย วันนี้นับว่าข้าเชิญเจ้ามาเป็นแขกผู้มีเกียรติ วันมงคลของข้ากับซีจิ่ว เจ้าไม่อวยพรสักหน่อยหรือ?”


สายตาของตี้ฝูอีวนรอบร่างของคนทั้งสองแวบหนึ่ง เอ่ยออกมาเพียงสามคำว่า “ไม่สมกัน”


โม่เจ้าเชิดหน้ายิ้มแวบหนึ่ง “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย นี่เจ้าลิ้มชิมองุ่นมิได้จึงพาลกล่าวว่าองุ่นเปรี้ยว[1]กระมัง?”


————————————————————————————-


บทที่ 1174 มรสุมในพิธีสมรส


สายตาของตี้ฝูอีร่อนลงบนร่างกู้ซีจิ่ว นัยน์ตาฉายแววร้าวรานและสิ้นหวังแวบหนึ่ง เมื่อคืนเขาพยายามอยู่ทั้งคืน หาทางเข้าไปในความฝันของนางอีกครั้ง เดิมทีเขามั่นใจว่าเมื่อคืนนี้จะฟื้นฟูความทรงจำทั้งหมดของนางได้ กลับคาดถึงไม่ว่า…


สายตาของกู้ซีจิ่วโฉบผ่านร่างเขาแวบหนึ่ง ริมฝีน้อยพลันเม้มนิดๆ ไม่แสดงท่าทีอะไร


โม่เจ้าจูงนางก้าวเข้าไปใกล้ตี้ฝูอีอีกสองก้าว “ซีจิ่ว เจ้ามีอะไรจะพูดกับเขาไหม?”


กู้ซีจิ่วคล้ายจะไม่พอใจอยู่บ้าง “ข้ามีอะไรต้องพูดกับเขาด้วยหรือ? สรุปแล้วเขาเป็นเชลยหรือว่าเป็นแขกผู้เกียรติของท่านกันแน่?”


“เขาเป็นเชลย เพียงแต่วันนี้นับว่าเขาเป็นแขกผู้มีเกียรติ” โม่เจ้ายิ้มนิดๆ


กู้ซีจิ่วเม้มปาก มองดูโม่เจ้า “พี่โม่ ข้าได้ยินว่ายามที่ชาวบ้านสามัญแต่งงานล้วนมีแขกเหรื่อมาร่วมยินดี คึกคักครื้นเครง สุขสันต์ปรีดา ท่านเป็นท่านเจ้า ฐานะสูงส่งกว่าชาวบ้านสามัญนัก แต่แขกเหรื่อกลับน้อยไปหน่อย เหตุใดไม่ให้คนมาร่วมพิธีสมรสของพวกเรามากกว่านี้เล่า?”


คำถามประโยคนี้ทั้งไร้เดียงสาและเฉียบคม โม่เจ้านิ่งไปครู่หนึ่ง เอ่ยเรียบๆ ว่า “พิธีสมรสของข้าไหนเลยจะให้มดปลวกพวกนั้นมาร่วมงานได้? มีเพียงผู้ที่เข้าขั้นเท่านั้นถึงจะมาได้…”


ทุกๆ วันภายในตำหนักใต้ดินแห่งนี้ หวากหวั่นว่าจะมีไส้ศึกจากด้านนอกแทรกซึมเข้ามาอยู่ตลอด สตรีบรรเลงดนตรีนางหนึ่งเข้ามายังต้องถูกไต่สวนอยู่หลายวัน ตรวจสอบบรรพบุรุษของผู้อื่นไปแปดชั่วโคตร ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้คนนอกจะเข้ามาได้อย่างไร?


หลงฟั่นที่อยู่ด้านข้างไม่พูดอะไร ทว่าในใจกลับเหน็บแนมอย่างเย็นชา


กู้ซีจิ่วคล้ายว่าจะเสียใจอยู่บ้าง สายตาของเธอร่อนลงบนร่างตี้ฝูอี “เขาเป็นคนเดียวที่เข้าขั้นหรือ?”


รอยยิ้มของโม่เจ้าแข็งทื่อเล็กน้อย “ใช่แล้ว ซีจิ่ว ผู้นี้คือท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้สูงส่ง เป็นบุคคลที่ท่องไปทั่วทวีปนี้ มีเขามาเป็นพยานในการสมรสของพวกเรา คนเดียวก็เหนือกว่าคนนับร้อยแล้ว”


กู้ซีจิ่วเม้มริมฝีปากจิ้มลิ้ม เอียงคอเพ่งพิศตี้ฝูอีเล็กน้อย “ที่แท้เขาก็แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ พี่โม่ ท่านก็กลัวเขามากเหมือนกันใช่ไหม?”


สีหน้าของโม่เจ้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย “เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้?”


กู้ซีจิ่วเอ่ยตอบ “ในวังใต้พิภพแห่งนี้ล้วนเป็นลูกน้องท่านทั้งสิ้น อีกทั้งวรยุทธ์ของท่านก็สูงส่งถึงเพียงนี้ ส่วนเขาหัวเดียวกระเทียมลีบ เกรงว่ายามนี้ถึงปล่อยเขาให้เป็นอิสระเขาก็ก่อปัญหาอะไรไม่ได้แล้ว เป็นเขาร้ายกาจเกินไปใช่หรือไม่? ร้ายกาจจนทำให้ทุกคนในวังใต้พิภพแห่งนี้สยบเขาไม่ได้ ดังนั้นถึงต้องล่ามเขาไว้แบบนี้ตลอดสินะ?”


โม่เจ้าพูดไม่ออก…


เขามองกู้ซีจิ่ว ดวงตาทั้งคู่ของกู้ซีจิ่วใสกระจ่างยิ่งนัก ดวงตาฉายแววสงสัยอย่างแท้จริง


รอยยิ้มน้อยๆ บนใยหน้าของโม่เจ้าใกล้จะรักษาไว้ไม่อยู่แล้ว “ซีจิ่ว นี่เจ้าปวดใจแทนเขาหรือ?”


กู้ซีจิ่วก็เยือกเย็นยิ่งนัก “ข้าแค่รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้างเท่านั้น…พี่โม่ระแวดระวังคนผู้นี้เป็นพิเศษเลย”


โม่เจ้าตอบสั้นๆ “…ระวังอยู่เสมอย่อมเป็นการดี”


เขาชะงักไปแวบหนึ่ง เอ่ยว่า “อันที่จริงข้าไม่ได้กลัวเขา แคไม่อยากให้เขามาก่อกวนงานมงคลของพวกเราก็เท่านั้น ดังนั้นถึงล่ามเขาไว้ตลอด”


“โอ้ เช่นนี้นี่เอง เพียงแต่ข้าก็รู้สึกว่าถึงอย่างไรวันนี้ก็เป็นวันมงคลของพวกเรา วันเช่นนี้กลับปล่อยให้คนผู้หนึ่งที่นั่งเลือดโชกอยู่ตรงนั้นเป็นแขกผู้มีเกียรติ ข้ารู้สึกว่าไม่เป็นมงคลเท่าไหร่ ในใจมีเงามืดอยู่บ้าง”


นี่ก็ใช่ ในใจของทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี้พากันเห็นด้วย ไม่ว่าผู้ใดเมื่อได้เห็นคนโชกเลือดผู้หนึ่งนั่งอยู่ด้านข้างในวันมงคลล้วนไม่สบายใจกันทั้งนั้น


ฝูงชนก็รู้สึกเช่นกันว่าท่านเจ้าขี้ระแวงเกินไปหน่อย ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ถูกล่ามด้วยตรวนสลายวิญญาณมาแปดวันแล้วพลังยุทธ์ในกายน่าจะสลายไปเกือบหมดแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือยามนี้เขาอยู่ในดงปีศาจ ต่อให้ถูกปล่อยตัวอย่างสมบูรณ์เขาก็หนีไม่รอด


————————————————————————————-


[1]  ลิ้มชิมองุ่นมิได้จึงพาลกล่าวว่าองุ่นเปรี้ยว อุปมาถึง คนที่หมายปองในสิ่งที่ตนครอครองไม่ได้ เมื่อครอบครองไม่ได้จึงพาลกล่าหาว่าสิ่งนั้นไม่ดี

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)