ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา 1168-1173
บทที่ 1168 ปะการังแดง
ฉินสือโอวเคยเห็นรูปเรือลำนั้น เป็นเรือลำเก่าลำหนึ่ง เก่าจนเป็นเรือบรรทุกสินค้าคุณปู่ฮาวิซทได้
ตอนนั้นฉินสือโอวตกใจมาก บิลลี่มันแม่งก็เป็นคนเก่ง ทำไมถึงไปเจอเรือแบบนี้ได้? บรรยายภาพสักหน่อยละกัน เรือลำนั้นคือเรือฮาวิซทที่สภาพเป็นแบบผ่านการไฟไหม้มาสิบครั้ง เปลี่ยนมือมาแปดครั้ง ชนหินมาห้าครั้ง และโดนโจรปล้นมานับครั้งไม่ถ้วนแบบนั้นเลย
มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือยังอยู่ห่างจากมหาสมุทรอินเดียที่เป็นที่ตั้งของน่านน้ำโซมาเลีย และยังมีระยะทางที่ไกลพอสมควร เขาเกรงว่าเรือลำนี้แล่นไปยังไม่ถึงครึ่งทางก็อาจจะจมลงซะก่อน…
บิลลี่พูดอย่างเขินอายว่า “ฉันจ้างใครไม่ได้เลยตอนที่จะนำเรือนี้ออกจากท่า ไม่มีใครกล้านั่งเรือลำนี้ออกทะเล ช่วยไม่ได้ ฉันเลยต้องจ้างเรือลำเล็กอีกลำวิ่งแล่นคู่ไป พวกกะลาสีเรือถึงยอมขึ้นเรือไป”
ฉินสือโอวพูด “ถ้าเปลี่ยนเป็นฉัน ฉันก็ไม่กล้านั่งเรือแบบนั้นออกไปไกล ถ้าไปเจอคลื่นลมคงไม่ได้กลับมาแน่ ไม่รู้เลยว่าตอนนั้นนายไปซื้อเรืออย่างนี้มาได้อย่างไร”
บิลลี่พูดอย่างเจ็บปวดว่า “ฉันก็ไม่ได้ช่วยพวกเราประหยัดเงินหรอกเหรอ? อีกอย่างจะแสดงก็ต้องแสดงให้สุด เรือแบบนี้แล่นไปครึ่งทางแล้วจมก็ยังสมเหตุสมผล แต่ถ้าหากเป็นเรือปริ้นเซสเมล่อนของนายวิ่งออกไปแล้วอยู่ดีๆ ก็จม นายจะอธิบายได้เหรอ?”
ฉินสือโอวคิดๆ ดูแล้วก็จริง แล้วจึงตบไปที่บ่าของเขา “ลำบากนายแล้ว เพื่อน ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ”
พอได้ยินคำพูดนี้ บิลลี่เกือบน้ำตาไหล “ไม่ใช่แค่เป็นเรื่องยาก ฉิน นายไม่รู้หรอกว่าฉันทรมานขนาดไหน สรรหาลูกเรือว่ายากแล้ว แต่ที่ยากยิ่งกว่าคือได้ใบอนุญาตขนส่ง!”
“กรมศุลกากรนั่น ไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่ยอมให้เรือฉันออกทะเล บอกว่าผ่านไปไม่กี่วันก็รายงานเป็นเรือขยะแล้ว ฉันจะรายงานคนอย่างมันน่ะสิว่าเป็นขยะ นายไม่รู้หรอกว่าฉันต้องพยายามขนาดไหน ถึงจะพาเรือลำนี้ออกทะเลได้”
ฉินสือโอวนึกย้อนไปถึงภาพเรือพังๆ ลำนั้น แล้วรู้สึกว่ากรมศุลกากรของอเมริกามีความรับผิดชอบดีมาก เพราะการปล่อยเรือสภาพนั้นออกทะเล ก็เหมือนกับทำร้ายชีวิตคนเพื่อผลประโยชน์
หลังจากนั้น บิลลี่ยังแนะนำให้เขาฟังต่ออีกว่าตอนนี้เรือผุพังลำนั่นเพิ่งเข้าสู่น่านน้ำมหาสมุทรอินเดีย ช่วยไม่ได้ที่เรือวิ่งได้ช้า เพราะพวกลูกเรือก็ไม่กล้าให้วิ่งเร็วกว่านี้ คาดว่าจะถึงน่านน้ำโซมาเลียได้ต้องใช้เวลาอีกครึ่งเดือน
ถึงตอนนั้นพิธีงานหมั้นของฉินสือโอวและวินนี่ก็เสร็จสิ้นพอดี เขาก็จะได้มีเวลาไปเป็นคนนำทำเรื่องขุดเหมืองทองคำ
ทั้งสองคนมาที่เกาะแฟร์เวลบ่อยๆ พักที่พักอาศัยอย่างง่ายๆ คนหนึ่งก็พักอยู่ที่ฟาร์มปลา ส่วนอีกคนก็พักที่โรงแรมในเมืองแค่นี้ก็ได้แล้ว
ตอนเย็นทำการต้อนรับทั้งสองคน ฉินสือโอวตั้งใจทำเมนูอาหารหลายอย่างจากปลาไข่โดยเฉพาะ เหมาเหว่ยหลงฉีกยิ้ม “ช่างมันดีกว่า ตอนนี้ที่ตลาดอาหารทะเลที่แฮมิลตันก็มีปลาชนิดนี้เต็มไปหมด ฉันกินจนจะอ้วกแล้ว”
ฉินสือโอวยิ้ม “นี่เอามาเทียบกับของฟาร์มปลาของฉันได้เหรอ? ปลาไข่ต้องกินสดๆ เท่านั้น แกลองชิมปลาที่ฉันทอดดู รับรองว่ารสชาติไม่เหมือนกันแน่นอน”
เหมาเหว่ยหลงคีบปลาไข่ที่ทอดกรอบจนเป็นสีเหลืองทองด้วยความลังเล แล้วก็จุ่มในเครื่องปรุงรส พอเคี้ยวอยู่ในปากก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาว่า “อืม แกพูดถูก ปลานี้สดมาก ต่างกันจริงๆ !”
ถ้าปลาไข่ถ้าไม่สด มันจะค่อนข้างคาว ตอนที่ทอดไปกินไปนั้นกลิ่นคาวนี้จะชัดเจนมากเป็นพิเศษ
ฉินสือโอวมีประสบการณ์แล้วหลังจากที่ทำอาหารด้วยปลาไข่หลายครั้ง ตอนที่จัดการกับปลาตัวเล็กก่อนอื่นต้องใช้เหล้าขาวและน้ำส้มสายชูเข้มๆ เพื่อจะทำให้กลิ่นคาวที่มีอยู่อ่อนลงไป แล้วใช้เหล้าขาวปรุงลงไปอีกนิด รสชาติก็จะยิ่งอร่อย
เนื้อปลาไข่นุ่มมาก ปลาตัวเล็กขนาดเท่านิ้วมือ จะมีเนื้อปลาที่แข็งกระด้างได้อย่างไร? ถ้าทอดกิน ไข่ปลาจะอร่อยมาก ทอดจนหอม แล้วอย่าดูถูกว่าเป็นปลาตัวเล็กแบบนี้ แต่ไข่ปลากลับใหญ่พอดีๆ ความรู้สึกที่เคี้ยวไข่ปลากรุบๆ ลงไปมันวิเศษมาก
กินข้าวเย็นไป ดื่มเบียร์ไป แต่สีหน้าของฉินสือโอวกลับยังมีความกังวลฉายให้เห็นอยู่ บิลลี่กับเหมาเหว่ยหลงมองออก จึงถามเขาว่าเป็นอะไร ฉินสือโอวถอนใจแล้วพูดขึ้น “เรื่องแหวนน่ะ ตอนนี้ฉันก็ยังคิดไม่ออกเลยว่าจะใช้วัสดุอะไรมาทำแหวนหมั้น”
เหมาเหว่ยหลงตอบแบบไม่คิดอะไรมาก “แหวนเพชรเม็ดโตไง นายให้แหวนเพชร 50 กะรัตกับวินนี่ รับรองว่าเธอจะต้องมีความสุขแน่ๆ”
ฉินสือโอวยิ้มเยาะเย้ยแล้วพูดว่า “ฉันจะให้เมียฉัน ไม่ใช่เมียน้อย สิ่งที่ฉันอยากได้คือมันต้องมีความหมาย ไม่ใช่แบบธรรมดาทั่วไป แหวนเพชรธรรมดามากไป แน่ล่ะ ถ้าจะเอาแค่มีราคา มันก็ง่ายมาก ฉันจะมานั่งยุ่งยากใจแบบนี้ทำไม?”
เหมาเหว่ยหลงถูกเขาว่าจนกะพริบตาปริบๆ ตลอด “ฉันก็ไม่ได้บอกว่าให้เมียน้อยสักหน่อย ให้แหวนเพชรเมียไม่ได้เหรอ?”
แน่นอนว่าได้ ถ้าไม่มีตัวเลือกที่ดีกว่านี้ ฉินสือโอวก็จะให้แหวนเพชร จริงๆ แล้วในใจเขามีอยู่ความคิดหนึ่ง แต่เวลากระชั้นชิดไปเขาทำไม่ทัน อีกอย่างถ้าให้อันนี้เป็นแหวนหมั้น แหวนแต่งงานก็คงไม่ต้องให้อะไรแล้ว
บิลลี่คิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถอนหายใจว่า “มีแค่ไม่กี่แบบที่ให้ได้ แหวนเพชรถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดตอนนี้ ถ้าตอนนั้นสร้อยลูกปัดปะการังแดงของนายไม่ได้ประมูลขายออกไป จริงๆ จะใช้อันนั้นก็ได้”
ฉินสือโอวถามด้วยความสงสัย “นี่มันเกี่ยวอะไรกับสร้อยลูกปัดปะการังแดงด้วย?”
บิลลี่ตอบว่า “เอาลูกปัดมาขัดสักหน่อย เปลี่ยนให้กลายเป็นแหวน ถ้าเทียบแล้วก็มีความหมายมากกว่าเพชรใช่ไหมล่ะ?”
ฉินสือโอวยิ้มอย่างขมขื่น “ลูกปัดเล็กขนาดนั้น จะไปขัดอย่างไรให้ใส่ลงไปได้? วินนี่จะใส่นิ้วกลางนะไม่ใช่นิ้วก้อย”
บิลลี่ตอบ “แน่นอน ฉันรู้ว่าเธอใส่นิ้วไหน ลูกปัดอันแรกที่อยู่ตรงกลางสร้อยลูกปัดมีขนาดที่ใหญ่พออยู่ ขัดเกลาสักหน่อย…”
คำพูดก่อนหน้านั้น ฉินสือโอวก็พูดไปตามจิตใต้สำนึก จนถึงตอนนี้ที่บิลลี่พูดเขาถึงรู้สึกตัวขึ้นมา จึงพูดแทรกประโยคที่เขากำลังพูด “มูลค่าปะการังแดงมีค่าพอไหม?”
บิลลี่พยักหน้า “แน่นอน ถ้าเป็นปะการังแดง AKA หนึ่งกรัมมีมูลค่าถึง 5000 ดอลลาร์แคนาดาหรือมากกว่านั้น! ถึงแม้ว่าจะเทียบกับเพชรไม่ได้ แต่นายต้องรู้ว่า แหวนเพชรใช้เพชรตรงส่วนจี้เท่านั้น แต่ตรงก้านแหวนเป็นทองคำขาว แต่ถ้าเป็นแหวนปะการังแดงล่ะ? ต้องใช้ปะการังแดงในทุกส่วน!”
ในบริเวณน้ำลึกที่ฟาร์มปลาของฉินสือโอวมีปะการังแดงอยู่ เขาพยายามดูแลแนวปะการังนั้นมาตลอด ไม่เพียงแต่ให้เหล่าทหารงูเหลือมทะเลไปปกป้องบริเวณนั้นทั้งหมด แต่ยังคอยส่งพลังโพไซดอนให้พวกมันอยู่ตลอดเวลาด้วย เขาไม่รู้ว่าปะการังพวกนั้นเป็นแบบชนิดไหน แต่ดูแล้วมีสีแดงสด สวยมากๆ
พอจิตสำนึกแห่งโพไซดอนถูกปล่อยออกไป ก็สามารถหาแนวปะการังแดงได้อย่างง่ายดาย ฉินสือโอวยกหินขึ้นแล้วเลือกปะการังแดงที่มีสีสวยสดที่สุดในพุ่มปะการัง ข้างบนมีงูตัวหนึ่งรออยู่ มันทุบหินก้อนนั้นให้แตก เขาควบคุมงูเหลือมทะเลตัวหนึ่งให้คาบไว้ในปากแล้วว่ายขึ้นฝั่งไป
ด้านหนึ่งทำการขนส่ง อีกด้านหนึ่งก็ถามขึ้นว่า “ปะการังแดงมีกี่ชนิด? นายช่วยอธิบายให้ฟังหน่อย เพื่อนฉันคนหนึ่งมีปะการังแดงอยู่หนึ่งชิ้น พรุ่งนี้ฉันไปเอาจากเขามา แล้วนายช่วยดูให้หน่อยโอเคไหม?”
บิลลี่ดื่มเบียร์ไปแล้วก็ตกปากรับคำ “ไม่มีปัญหาอยู่แล้วเพื่อน ฉันจะอธิบายความรู้เบื้องต้นให้ฟังก่อน ปะการังแดงมีหลายชนิด ที่พบบ่อยสุดแล้วก็มีมูลค่ามากสุดก็คือปะการัง AKA ปะการัง MOMO และปะการังซาร์ดีนซึ่งหนึ่งในสามนี้ปะการัง AKA มีมูลค่าสูงสุด และปะการังซาร์ดีนมีราคาต่ำสุด และความแตกต่างของราคาต่อกรัมคือสองสามเท่า! ดังนั้นถ้าจะให้ดีสุด นายถามเพื่อนก่อนว่าเป็นปะการังแบบไหน จริงๆ แล้วมีแค่ AKA ที่เหมาะกับทำเครื่องประดับระดับสูง”
จุดนี้ฉินสือโอวไม่กล้าพูดอะไรต่อ เพราะเขาก็ไม่รู้ว่าปะการังพวกนั้นเป็นแบบไหน ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนแนวทางในการถาม “ถ้าเป็นปะการังแดงธรรมดา แต่ว่ามีขนาดใหญ่พอ จะคุ้มไหม?”
“ใหญ่แค่ไหน?” บิลลี่ถามขึ้น
“อืม รวมๆ กันแล้ว น่าจะมีสัก 1 ตันได้”
บทที่ 1169 อัญมณีที่ซ่อนอยู่
ฉินสือโอวตัดสินใจพูดให้ดูไม่เกินจริงจนเกินไป แนวปะการังใต้ทะเลลึกแนวนั้นได้รับการกระตุ้นจากพลังโพไซดอน มีขนาดเกินกว่า 1,000 ตารางเมตรอยู่แล้ว ส่วนความสูงน่าจะถึง 2 เมตรกว่า เจ้าสิ่งนี้มีความหนาแน่นสูงมาก ถ้าอย่างนั้นพุ่มปะการังนี้อย่างน้อยก็ต้องหนักถึง 180 ตัน
พอได้ยินคำที่เขาพูด บิลลี่บีบกระป๋องเบียร์จนแบน ร้องเสียงหลงออกมา “หนึ่งตัน? พระเจ้า นายล้อเล่นอะไรนี่ ใครจะไปมีปะการังแดงทะเลลึกหนึ่งตันกัน? เขาเจอพุ่มปะการังแนวใหม่ที่ใต้ทะเลเหรอ?”
ฉินสือโอวยักไหล่ ตอบอย่างคลุมเครือว่า “มั้ง จริงๆ แล้วฉันก็เดามั่วไปอย่างนั้น แต่เพื่อนฉันก็น่าจะมีปะการังใต้ทะเลที่ขนาดพอได้สักหนึ่งถึงสองชิ้น อย่างน้อยก็เอามาทำแหวนได้”
บิลลี่มองเขาด้วยความสงสัย “เพื่อนที่นายพูดถึงคงไม่ใช่ตัวนายเองหรอกนะ?”
ฉินสือโอวหัวเราะ “นายจะคิดแบบนี้ก็ได้ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย เขาเป็นผู้อพยพมาจากไต้หวันมาที่เมืองเซนต์จอห์น ความสัมพันธ์พวกเราก็ใช้ได้”
เขาไม่ได้เลือกสถานที่สุ่มสี่สุ่มห้า แหล่งกำเนิดของปะการังแดงมีความแน่ชัดอยู่ ซึ่งจนถึงปัจจุบันนี้ส่วนมากมาจากช่องแคบไต้หวัน ช่องแคบญี่ปุ่น ช่องแคบทะเลบอลติก และในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งในบรรดาสถานที่เหล่านั้น ที่ที่พบปะการัง AKA คุณภาพดีที่สุดก็คือช่องแคบไต้หวัน
เป็นไปตามคาด พอได้ยินเขาพูดแบบนี้ บิลลี่ก็แสดงออกอย่างชัดเจน “ถ้าอย่างนั้นนายควรคุยกับเพื่อนนายคนนั้นให้เข้าใจอย่างละเอียด เพราะบ้านเกิดของเขาเป็นแหล่งปะการังแดงคุณภาพดี ถ้าหากสามารถเจอต้นปะการังที่สมบูรณ์ได้ตอนนี้ ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็รวยแล้ว”
การเจริญเติบโตของปะการังแดงช้ามาก เพราะโดยปกติมันอาศัยอยู่ใต้ทะเลลึก และเนื่องจากสารอาหารในการบำรุง และสภาพแวดล้อมก็ย่ำแย่ ตั้งแต่ศตวรรษที่ 21 เป็นต้นมา ปะการังแดงที่ผู้คนพบเจอก็เริ่มน้อยลงไปทุกที ยิ่งเป็นต้นปะการังยิ่งหายาก ไม่มีที่สูงเกินครึ่งเมตรเลยสักต้น
ฉินสือโอวยังไม่เข้าใจในตลาดของปะการังแดงตอนนี้ แต่รู้ว่าพุ่มปะการังที่ใต้ทะเลของตัวเองมีมูลค่ามากมายอย่างแน่นอน ไม่รู้ว่าพวกมันอาศัยอยู่ในใต้ทะเลมานานแค่ไหนแล้ว ต้นปะการังที่สูงเกินครึ่งเมตรมากมายคณานับ!
หลังจากนี้ก็ไม่ได้มีหัวข้อให้พูดถึง บิลลี่จึงยังคงอธิบายให้ฉินสือโอวฟังเกี่ยวกับความรู้เรื่องตลาดทั่วไปของปะการังแดง
ปะการังแดง AKA ที่มีมูลค่ามากที่สุด สีที่พบบ่อยๆ คือสีแดง ในบรรดาสีแดงแต่ละสีความเข้มก็ไม่เหมือนกัน ที่พบเห็นบ่อยๆ ก็จะมีสีแดงส้ม สีแดงสด สีแดงกลาง สีแดงเข้ม สีแดงดำ ซึ่งตอนนี้ตลาดหลักๆ ในปัจจุบันจะแบ่งออกเป็นเฉด 5 สี สียิ่งเข้มก็ยิ่งแพง
“แน่นอนว่า ปะการัง AKA ก็มีสีชมพู ชมพูพีช หรือว่าชมพูอมส้ม แต่ไม่ได้พบเห็นบ่อยๆ ราคาเทียบไม่ได้กับสีแดง ยกเว้นว่าจะเจออันที่ถูกใจมาก” บิลลี่ดื่มไปหนึ่งอึกแล้วพูด
จิตสำนึกแห่งโพไซดอนของฉินสือโอวยังแหวกว่ายอยู่ตรงพุ่มปะการังใต้ทะเล ในดงปะการังนี้ก็มีปะการังสีชมพูและสีชมพูพีชอ่อนๆ ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณขอบรอบนอก ราวกับว่าพอมันโตแล้วก็จะเปลี่ยนเป็นสีแดง
เขาถามคำถามนี้ขึ้นมา “สาเหตุอะไรบ้างที่ส่งผลต่อสีของปะการัง AKA เหรอ? สีพวกนี้มันอย่างไรกันนะ?”
บิลลี่ส่ายหน้าไปมา “ตัวปะการังแดงมีปริศนาอยู่มากมาย บางคนก็คิดว่าสีเป็นไปตามอายุที่สั่งสม แต่ว่าพวกมันเติบโตได้ช้ามาก ช้ามากจริงๆ พันกว่าปีผ่านไปก็โตขึ้นมาได้ไม่เท่าไร ดังนั้นจึงไม่ง่ายที่จะศึกษาเรื่องนี้”
“ไม่มีการคาดเดาที่เกี่ยวข้องเลยเหรอ?” ฉินสือโอวถามด้วยความสงสัย
บิลลี่ตอบ “มี ส่วนมากแบ่งเป็น 2 กระแส อย่างแรกคือสั่งสมตามอายุปี ปะการังจะเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้นเรื่อยๆ ตามการเจริญเติบโตของมัน อย่างที่สองก็เกี่ยวข้องกับเวลาเช่นกัน แต่เชื่อว่าสีปะการังเกิดหลังจากสกัดของสารเหล็กในทะเลแล้วเปลี่ยนเป็นแบบนี้ ซึ่งการคาดเดานี้เกิดจากการทำให้น้ำทะเลบริสุทธิ์โดยหนอนปะการัง”
“นอกจาก AKA แล้ว ปะการัง MOMO ก็มีมูลค่าสูงเช่นกัน วัสดุธรรมดาราคาสูงได้ถึง 1,000 ดอลลาร์แคนาดาต่อกรัมโดยประมาณ”
เหมาเหว่ยหลงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ของพวกนี้มันของเล่นของคนรวยชัดๆ หนึ่งกรัมหลายพันดอลลาร์แคนาดา ถ้าซื้อสร้อยข้อมือปะการังแดงจำพวกนั้นหนึ่งเส้น ราคาจะเท่าไรกัน?”
ฉินสือโอวอยู่ดีๆ ก็นึกถึงสร้อยลูกปัดยาวทำจากปะการังแดงที่ประมูลไป จึงพูดขึ้นว่า “ฉันจำได้ สร้อยลูกปัดของพวกเราประมูลไปในราคา 2.25 ล้านดอลลาร์แคนาดาใช่ไหม? แต่สร้อยนั่นมันมีความโบราณที่เป็นเอกลักษณ์อยู่ด้วย แต่ฉันรู้สึกว่าน้ำหนักของสร้อยนั้นน่าจะ 1 กิโลได้มั้ง?”
บิลลี่โบกมือ แล้วพูดว่า “เปล่า ไม่ใช่นะ น้ำหนักแค่ 652 กรัม แต่นายรู้ไหมว่า ลูกปัดเส้นนั้นไม่ได้มีคุณภาพดีมาก เดิมทีวัสดุทำจากปะการังซาร์ดินที่เป็นเกรดต่ำสุด แล้วยังเคยแช่อยู่ในน้ำทะเลมาหลายปี ถ้าเป็นแค่ปะการังแดง ราคาก็ไม่ได้ดีอะไร”
ถัดมาบิลลี่จึงแนะนำปะการังแดง MOMO ต่ออีก ปะการังชนิดนี้ที่พบเห็นบ่อยคือเนื้อวัสดุที่มีสีอ่อน อย่างเช่น สีขาว สีชมพูอ่อน สีชมพู สีชมพูอมส้ม สีชมพูพีชพวกนี้ แต่ถ้าเป็นสีแดงส้ม สีแดงพีช สีแดงสด สีแดงกลางพวกนี้จะหายาก
หัวใจฉินสือโอวเต้นตึกๆ เขารู้สึกว่าปะการังที่ใต้ทะเลของเขา น่าจะเป็นปะการัง AKA เพราะว่าในบรรดาทั้งหมดสีที่อ่อนที่สุดก็อยู่บริเวณขอบคือสีแดงชมพู โดยรวมจะมีสีแดงเป็นหลัก นานๆ ทีถึงจะเจอสีแดงเข้มและสีแดงดำอ่อน
พอทานข้าวเสร็จ ฉินสือโอวก็ส่งทั้งสองคนกลับห้องของตัวเอง หลังจากนั้นเขาก็ไปเดินเล่นริมทะเลตามความเคยชิน ซึ่งตอนนี้งูเหลือมทะเลก็อยู่ใกล้ชายฝั่งแล้ว มันค่อยๆ โผล่หัวขึ้นจากน้ำอย่างเงียบๆ แล้ววางปะการังสีแดงชิ้นหนึ่งที่มีขนาดประมาณฝ่ามือที่ท่าเรือ
งูเหลือมยักษ์ตัวนี้ยาวประมาณ 14-15 เมตร หัวมันมีขนาดราวกับถังน้ำ พวกงูมันจะแสดงสีหน้าทางอารมณ์ไม่ได้ จะมีก็แต่อารมณ์เย็นชาทะมึนตึงๆ ดังนั้นตอนที่เจ้างูนี่โผล่หัวขึ้นมา มันช่างน่ากลัวจริงๆ
ฉินสือโอวอยู่กับงูไททันโอโบอามานาน ตอนนี้เขากลับรู้สึกกลัวพวกงูตัวเล็กๆ ทั่วไป แต่กลับไม่รู้สึกอะไรเลยกับงูไททันโอโบอา
เขาเข้าไปลูบหัวเจ้างูไททันโอโบอาตัวนี้ แล้วให้มันกลับไปยังทะเลลึก ส่วนตัวเขาเก็บปะการังแดงชิ้นนี้ขึ้นมาแล้วกลับไปนอน
หลังจากออกกำลังกายตอนเช้า ฉินสือโอวเร่งรีบกินข้าว แล้วรีบบอกเบิร์ดให้สตาร์ทเฮลิคอปเตอร์เพื่อพาเขาไปเมืองเซนต์จอห์น แน่นอนว่าแกล้งทำเป็นไปหาเพื่อนเพื่อเอาปะการังแดง แต่จริงๆ แล้วเขาก็เดินเล่นในเมืองเพื่อตรวจดูโรงแรมที่จองไว้
เดิมทีเขาอยากเหมาโรงแรมหนึ่งเลย แต่ตอนหลังพบว่ามันอาจจะไม่ค่อยเหมาะสม จำนวนของห้องที่ระดับเดียวกันก็มีไม่มากพอ เขาก็เลยตัดสินใจด่วนๆ เลย จองห้องชุดเพรสซิเดนเชียล สวีทของโรงแรมระดับ 4 ดาวและ 5 ดาวทั้งหมดในเมืองเซนต์จอห์น ตั้งแต่วันที่ 1-4 เดือนมิถุนายน!
เดือนมิถุนายนถือว่าเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยวแล้ว ดังนั้นห้องในโรงแรมจึงมีราคาสูงมาก อย่างเช่นโรงแรมฮิลตันในเครือกลุ่มฮิลตัน เวิลด์ไวด์ ค่าโรงแรมหนึ่งคืนคือ 4,000- 5,000 ดอลลาร์แคนาดา แต่ฉินสือโอวไม่ได้ขาดเงิน จอง!
เดิมทีทางโรงแรมไม่ยอมรับจองห้องชุดเพรสซิเดนเชียล สวีทโดยคนคนเดียวทั้งหมด ฉินสือโอวยังคงโชว์บัตรอเมริกันเอ็กซ์เพรสถึงจะได้ผล ซึ่งนี่ก็คืออภิสิทธิ์เหนือระดับ บริษัทอเมริกันเอ็กซ์เพรส กรุ๊ป มีทรัพยากรที่สมบูรณ์ในด้านการบริการมากที่สุด ในเมื่อสามารถรับอภิสิทธิ์แบบนี้ได้ ถ้าอย่างนั้นทำไมฉินสือโอวจะต้องไม่ใช้ด้วยล่ะ?
นอกจากนั้นแล้ว บัตรอเมริกันเอ็กซ์เพรสนี้ยังสามารถใช้ลดราคาได้ สุดท้ายแล้วฉินสือโอวจ่ายไปยังไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ ส่วนลดของแต่ละโรงแรมก็ไม่เหมือนกัน ตั้งแต่ 40% – 60% แต่จะไม่สูงไปกว่านี้แล้ว
พอกลับไปที่ฟาร์มปลา ฉินสือโอวก็เอาปะการังแดงให้กับบิลลี่
แสงแดดยามเช้าส่องแสงเจิดจ้า ช่วงที่ฉินสือโอวหยิบปะการังแดงออกมา แสงอาทิตย์ส่องตรงไปบนปะการัง เปล่งประกายเป็นแสงอ่อนๆ แต่เจิดจ้า เมื่อเอาปะการังแดงชูขึ้นมา ก็จะเปล่งแสงสีแดงอ่อนๆ เป็นประกาย…
บทที่ 1170 บินไปนิวยอร์ก
พอรับปะการังแดงนี้มา สายตาบิลลี่ก็จดจ่อไปที่มัน ภายใต้แสงอาทิตย์เขาพลิกปะการังกลับไปกลับมาอยู่นาน ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
ฉินสือโอวรอเขาตัดสินว่ามันคือปะการังแดงอะไร แต่พอเห็นบิลลี่นานแล้วไม่พูดอะไรออกมาสักคำ เขาจึงถามด้วยความตกใจว่า “นายคงไม่ได้แยกชนิดของปะการังนี้ไม่ออกใช่ไหม?”
พอได้ยินเสียงเขา สติบิลลี่ถึงค่อยกลับมาแล้วเขาก็กลอกตาใส่ “ล้อเล่นอะไรอีกเพื่อน ฉันจะแยกไม่ออกได้อย่างไร? ต่อให้เป็นคนตาบอดยังดูออกเลย นี่เป็นปะการังแดง AKA ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่สีดำแดง แต่ก็เป็นเกรดสูงสุดแล้ว!”
เหมาเหว่ยหลงรับมันมาดูต่อด้วยความสนใจแล้วพูดว่า “มิน่าล่ะ คนส่วนมากถึงชอบจ่ายแพงเพื่อซื้อพวกนี้ ดูๆ แล้วก็งามจริงๆ”
บิลลี่วางมันบนมือเขาอย่างระมัดระวังแล้วเตือนขึ้น “เหมา นายระวังหน่อย นี่เป็นของเกรดพรีเมี่ยม หนึ่งกรัมขายได้เป็นหมื่นดอลลาร์แคนาดา แค่ชิ้นนี้ก็ห้าล้านแล้ว!”
เดิมทีมือของเหมาเหว่ยหลงนิ่งมาก พอเขาพูดมาแบบนี้ เขาตกใจจนเกือบจะโยนปะการังก้อนเท่าฝ่ามือนี้ทิ้งไป “ห้าล้าน? ชิ้นเล็กๆ แค่นี้ห้าล้าน?! ตอนนี้เงินดอลลาร์แคนาดามันไม่คุ้มขนาดนี้เลยเหรอ?”
บิลลี่ยื่นมือออกมาทำท่าเกินจริง “ที่ฉันบอกยังไม่เต็มที่นะ เพื่อน นายลองดูปะการังชิ้นนี้ให้ดีๆ มันงามมาก ราวกับเป็นหัวใจของมหาสมุทร! หัวใจของมหาสมุทรจะมีมูลค่าไม่เท่ากับราคาแบบนี้ได้เหรอ? ฉันกล้าพนันเลย ปะการังแดงชิ้นนี้ เป็นชิ้นที่งามที่สุดในรอบสิบปี!”
ฉินสือโอวได้ยินเขาพูดคำว่า ‘หัวใจของมหาสมุทร’ ก็รู้สึกว่าคำเรียกนี้เหมาะสมมาก เพราะหัวใจก็มีสีแดง ชื่อหัวใจของมหาสมุทรนี้ยังเหมาะที่จะใช้คู่กับปะการังแดงมากกว่าไพลินเสียอีก
พอหันกลับมา บิลลี่ถามด้วยความตื่นเต้นว่า “ฉิน เพื่อนนายอยู่ตรงไหนของเมืองเซนต์จอห์น? บ้านเขายังมีปะการังแดงอีกไหม? ไอ้หนุ่มนี่จะต้องเป็นมหาเศรษฐีแน่ๆ เขาดันมีปะการังแดงสวยขนาดนี้ได้ เขาขายให้นายเท่าไร?”
ฉินสือโอวยักไหล่ แล้วพูดขึ้น “เอ่อ พวกเรายังไม่ได้คุยถึงเรื่องราคา ฉันไม่รู้เลยว่าสิ่งนี้จะมีมูลค่ามากขนาดนี้ ก็ไปขอเขามาตรงๆ แล้วเขาได้ยินว่าฉันอยากได้ปะการังแดงสักชิ้นทำแหวนให้ภรรยา เลยเอาปะการังชิ้นนี้มาให้ฉัน”
บิลลี่กลืนน้ำลายลงคอแล้วถามอย่างคาดหวังว่า “เขายังขาดเพื่อนไหม? ฉันอยากรู้จักเขามาก”
ฉินสือโอวตอบได้เพียงว่า “ไม่นะ แต่เขาเป็นชายชราที่แปลกมาก ตอนนี้อายุจะร้อยปีแล้ว ตอนหนุ่มๆ เคยต่อสู้กับพวกอเมริกาอย่างนายที่เกาหลีเหนือ ฉันคิดว่า เขาอาจจะไม่ชอบนายก็ได้นะ”
นี่ก็คือข้อเสียของการโกหก พอพูดโกหกไปหนึ่งเรื่อง ก็ต้องมีเรื่องโกหกอีกสารพัดเพื่อมาปิดบังความจริง
แต่ฉินสือโอวจำเป็นต้องโกหก เขาจะอธิบายที่มาของปะการังแดงนี้อย่างไรดี? คงจะอ้างไม่ได้ตลอดเวลาหรอกว่าดำน้ำแล้วบังเอิญไปพบเข้า? นั่นมันไร้สาระสิ้นดี สภาพแวดล้อมการเติบโตของปะการังแดงแย่เกินไป ความลึกขนาดนั้นต้องนั่งเรือดำน้ำเท่านั้น ไม่เช่นนั้นก็ดำลงไปไม่ถึง!
บิลลี่อาจจะสงสัยความเป็นมาของปะการังแดงชิ้นนี้ แต่เขาก็ไม่ได้คิดถึงฟาร์มปลา เพราะไม่มีบันทึกว่าเคยค้นพบปะการังแดง AKA ในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินสือโอว เขาก็ได้แต่ทอดถอนใจด้วยความหงุดหงิด “ทรูแมนและ ริดจ์เวแม่งเอ๊ย ทำไมต้องไปทำสงครามที่เกาหลีเหนือด้วย? ฆ่าคนดีๆ ไปมากมาย แล้วตอนนี้ยังกำลังฆ่าฉันด้วย! “
เหมาเหว่ยหลงจับช่องโหว่ในคำพูดของฉินสือโอวได้ จึงถามเสียงเบา “นายไม่ได้บอกว่าเป็นคนไต้หวันเหรอแล้วทำไมถึงไปสู้กับพวกอเมริกาที่เกาหลีเหนือได้?”
ฉินสือโอวคิดดีแล้วก็ตอบกลับว่า “เขาเคยเป็นทหารที่ประเทศฉัน แล้วมีช่วงพิเศษอยู่ช่วงหนึ่ง เขาเจอกับความไม่ยุติธรรมเกี่ยวกับสวัสดิการ จึงอาศัยจังหวะลอบข้ามเขตแดนไปที่ไต้หวัน รายละเอียดลึกๆ ฉันก็ไม่ได้เข้าใจอะไรมากหรอก ฉันก็แค่เคยช่วยชายชราคนนี้ไว้ครั้งหนึ่ง แล้วก็ไปส่งผักกับอาหารทะเลให้เขาบ่อยๆ เลยสนิทกันมากขึ้น”
เหมาเหว่ยหลงกระทืบเท้าตัวเองด้วยความขมขื่น “ตอนนี้ฉันอิจฉานายมากจริงๆ นายบอกว่าหลังจากที่นายจบก็ประสบความสำเร็จแล้วใช่ไหม? โชคดีขนาดนี้ฉันจะทำอะไรได้? แม่งเอ๊ย 5 ล้านเลยนะเว้ย ก็แค่ชิ้นเล็กๆ แค่นี้ มีมูลค่าตั้ง 5 ล้าน?!”
ครั้งนี้เขาเดาถูกแล้ว ฉินสือโอวโชคดีจริงๆ แต่ไม่ใช่หลังจากจบการศึกษา แต่เป็นเมื่อสองปีก่อน
ความหนาแน่นของปะการังแดงมีอยู่สูง แต่ละชิ้นเท่ากับฝ่ามือของผู้ใหญ่ได้ ชิ้นหนึ่งก็หนักกว่าครึ่งกิโลได้ การประเมินราคาคร่าวๆ ของบิลลี่ไม่รู้ว่าแม่นยำไหม ถ้าแม่นล่ะก็ ก็ต้องอยู่ประมาณ 4-5 ล้าน ดอลลาร์แคนาดาได้
ของดีแบบนี้ ต้องหาร้านที่ดีที่สุดมารับผิดชอบในการทำแหวนขึ้นมา ซึ่งฉินสือโอวยังคงเลือกร้านทิฟฟานี่ เพราะทั้งสองเคยร่วมงานกันมาหลายครั้ง นอกจากนี้เขายังเชิญมาดามลีฟ หัวหน้าดีไซเนอร์ของร้านทิฟฟานี่ มาเข้าร่วมพิธีงานหมั้นอีกด้วย แน่นอนว่าการทำแหวนนี้คงต้องให้พวกเขาแล้ว
เรื่องไม่ควรปล่อยช้าไปกว่านี้แล้ว เพราะนี่ก็เดือนพฤษภาคมปลายเดือนแล้ว เมื่อฉินสือโอวได้ปะการังแดงแล้ว ก็รีบจองตั๋วเครื่องบินกับบิลลี่ บินตรงจากเมืองเซนต์จอห์นไปเมืองนิวยอร์กเลย
นิวยอร์กเป็นที่ของบิลลี่ พอพวกเขาถึงก็มีรถหรูมารอรับแล้ว ไม่ให้เสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว ไปร้านทิฟฟานี่ที่นิวยอร์กต่อทันที
ลีฟรอพวกเขาอยู่แล้ว หลังจากที่ฉินสือโอวเจอเธอก็สวมกอดกัน แล้วค่อยมอบการ์ดเชิญให้กับเธอ
ดีไซเนอร์สาวสวยที่แสนสง่ายิ้มแล้วพูดว่า “ฉันปลื้มใจมากจริงๆ เจ้าบ่าวมาส่งการ์ดเชิญให้ถึงที่ ฉันคิดว่าแม้แต่คุณจอร์จ บรูซที่เคารพก็ยังไม่ได้รับเกียรติพิเศษแบบนี้เลย ใช่ไหมคะ?”
ถ้าเป็นคนทั่วไปจัดงานหมั้น การ์ดเชิญจะใช้วิธีส่งจดหมายแบบเร็วไปก็ได้แล้ว แต่ฉินสือโอวเชิญคนใหญ่คนโตทั้งนั้นในครั้งนี้ ถ้าใช้ส่งจดหมายก็จะดูไม่เป็นทางการ แต่ตัวเขาเองก็ไม่ได้มีเวลาและแรงที่จะวิ่งไปส่งด้วยตัวเองทีละคน เขาจึงให้เบิร์ดคนที่มีภาพพจน์ดูดีที่สุดไปแทนเขา
ตอนนี้คาดว่าเบิร์ดน่าจะอยู่ที่ชิคาโก้ ครั้งนี้เขาต้องไปหลายที่เลยทีเดียว
ฉินสือโอวบอกว่าผู้หญิงควรจะได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ลีฟจึงหัวเราะอย่างมีความสุข เชิญให้พวกเขาไปดื่มน้ำชาที่ห้องรับรองแขก “ฉันเพิ่งจะได้รับชาที่มีคุณภาพดีมาหนึ่งกล่อง พวกคุณลองชิมดูสักหน่อย แล้วบอกฉันว่ารสชาติเป็นอย่างไรบ้าง”
ตอนที่ผู้ช่วยของลีฟช่วยชงชา ฉินสือโอวก็บอกความตั้งใจที่มาอีกประการ เขาหยิบกล่องผ้าออกมา เมื่อเปิดออกก็เผยให้เห็นโฉมหน้าของปะการังแดง “ผมยังมีอีกเรื่องที่อยากจะว่ายวานคุณ มาดาม เชิญคุณลองดูสิ่งนี้”
พอเห็นปะการังแดงนี้ มือที่ยกถ้วยน้ำชาอยู่ของลีฟพลันสั่นเล็กน้อย ซึ่งถือว่าเป็นการเสียมารยาทแล้วสำหรับคนฐานะอย่างเธอ แสดงให้เห็นว่าปะการังแดงชิ้นนี้ทำให้เธอตกตะลึงเลยทีเดียว
“AKA สีแดงเลือดนกพิราบเกรดพรีเมี่ยม?! ฉันไม่ได้เห็นปะการังแดงที่มีเฉดสีแบบนี้มานานมากแล้ว” ลีฟวางถ้วยชาลง แล้วหยิบกล่องผ้าขึ้นมา พูดพร้อมทอดถอนใจ “สีงามมาก ไม่น่าถึงมีคนบอกว่า มันเป็นงานชั้นเลิศที่นางเงือกตั้งใจทำออกมา”
ในเวลานั้นเองมีพนักงานคนหนึ่งเคาะประตูแล้วเดินเข้ามา พูดเสียงเบากับเทย์เลอร์ว่า “มาดามครับ มิสฮิลตันจูเนียร์มาแล้วครับ อยากจะพบท่านครับ”
เทย์เลอร์พยักหน้าอย่างสงวนท่าที แล้วพูดว่า “ฉันรู้แล้ว บอกเธอให้รอสักครู่ ตอนนี้ฉันกำลังเจอเพื่อนคนสำคัญอยู่”
พนักงานพยักหน้ารับทราบแล้วจากไป เทย์เลอร์มองไปที่ปะการังแดงชิ้นด้วยความตื่นเต้นแล้วถามว่า “คุณอยากจะใช้มันมาทำอะไรคะ? จะทำเป็นเครื่องประดับอีกสักชุดเหรอคะ?”
ฉินสือโอวยิ้ม “ไม่ครับ แค่ทำเป็นแหวนสองวง ผมจะให้แฟนผมเป็นแหวนหมั้น นี่ครับ ผมเอาขนาดนิ้วจำลองของเธอมาด้วย”
เทย์เลอร์ถามต่อ “นอกจากแหวนล่ะคะ? คุณก็รู้นี่คุณฉิน ปะการังแดงชิ้นใหญ่ขนาดนี้ เอามาทำส่วนหัวของแหวนเป็นร้อยวงยังได้เลย”
ฉินสือโอวรีบส่ายหน้า “ไม่ครับ คุณเข้าใจผิดแล้ว มาดาม ที่ผมต้องการไม่ใช่แต่ส่วนหัวของแหวน แต่เป็นตัวแหวนทั้งหมด ใช้ปะการังแดงชิ้นนี้ผลิตออกมาเป็นแหวนเพียวๆ 2 วงครับ”
บทที่ 1171 ถูกรังแกแล้ว
ปะการังแดง มรกต ไพลิน เป็นต้น พวกนี้ถ้าจะเอามาทำแหวนก็เหมาะที่จะทำส่วนหัวของแหวน แต่ไม่เหมาะกับการทำเป็นก้านแหวน
หยกไม่มีความอ่อนตัว เนื้อแข็งและเปราะ หากเอามาทำเป็นก้านแหวน พอนิ้วเจ้าของเปลี่ยนไปมีขนาดใหญ่ขึ้นหรือเล็กลงในภายหลังก็สวมไม่ได้แล้ว เพราะว่าเนื้อแข็งและเปราะ ทำให้แตกหักได้ง่ายหากไม่ได้รับการดูแลรักษาให้ดี
ไม่ว่าจะประเทศไหน พวกสิ่งของอย่างแหวนมักจะมีความเชื่อว่าเมื่อติดตัวใช้ไปนานๆ แล้วหากไม่ระวังทำแตก ก็มักจะให้ความรู้สึกถึงลางไม่ดี
แต่ถ้าเอามาทำเป็นส่วนหัวของแหวน ปัญหานี้จะหมดไป เพราะส่วนหัวของแหวนมักจะมีทองหรือทองคำขาวมาห่อหุ้มไว้ แล้วยังมีความยืดหยุ่นดีมาก ขอเพียงแค่ไม่ได้ตั้งใจทำให้แตก การกระแทกเบาๆ จะไม่สามารถทำให้ส่วนหัวของแหวนแตกได้
นอกจากนี้ อีกสาเหตุที่หยกไม่เหมาะกับการทำก้านแหวนแต่เหมาะกับทำส่วนหัวของแหวน เพราะทำก้านแหวนจะต้องใช้วัสดุสิ้นเปลืองมาก ต้องขัดกลึงเอาวัสดุออกไปในปริมาณเยอะ แต่ถ้าเป็นส่วนหัวของแหวนจะทำแค่ตัดแบ่ง แทบจะไม่สิ้นเปลืองวัสดุเลย
ลิฟอธิบายให้ฉินสือโอวฟังแล้ว แต่เขาก็ยังยืนยันว่าจะทำเป็นก้านแหวน อีกทั้งบอกความต้องการบางอย่างให้กับลิฟฟัง อยากให้ลิฟทำตามความต้องการของเขา
พอฟังคำพูดของเขาแล้ว ลิฟตกตะลึง “ถ้าแบบนี้ แหวนอาจจะเสียหายในช่วงขั้นตอนการแกะสลักได้นะคะ”
ฉินสือโอวโบกมือ “ไม่เป็นไร ผมจะเก็บปะการังแดงชิ้นนี้เอาไว้ ถ้าเสียหายอันหนึ่งก็ทำขึ้นมาใหม่อีก คุณสบายใจได้”
ลิฟจ้องตรงไปที่เขา ส่ายศีรษะแล้วพึมพำว่า “ฉันไม่เข้าใจโลกของคนรวยจริงๆ”
ครั้งนี้ที่ฉินสือโอวมานิวยอร์กเหตุผลหลักก็มาเพื่อการนี้ แต่ในเมื่อมาแล้วก็จะส่งการ์ดเชิญไปให้กับคนที่อาศัยอยู่ที่นิวยอร์กด้วยเลย อย่างเช่นพ่อลูกตระกูลสเตราส์ โมล ฟริตซ์ เจ้าของบริษัทเรลโรด เป็นต้น แล้วยังมีบัตเลอร์อีก พร้อมทั้งไปตรวจดูร้านอาหารทะเลต้าฉินร้านใหม่ที่นิวยอร์กนี้สักหน่อย
ไม่ได้อยู่นาน ฉินสือโอวส่งการ์ดเชิญให้ พูดคุยสั้นๆ แล้วก็กลับไปที่เมืองเซนต์จอห์นในวันเดียวกันเลย
ไม่กี่วันถัดมาก็ยุ่งเรื่องงานหมั้นตลอด จริงๆ แล้วก็ไม่ได้มีอะไรต้องยุ่งมากมาย เพราะเป็นงานหมั้นไม่ใช่งานแต่งงาน ไม่ได้มีรายละเอียดอะไรในพิธีมากนัก พอถึงตอนนั้นก็แค่จัดงานเลี้ยง ฉินสือโอวแลกแหวนกับวินนี่ กินเค้ก ประกาศวันแต่งงาน เพียงเท่านี้ก็สิ้นสุดแล้ว
อย่างไรก็ตามด้วยความที่มีแขกผู้มีเกียรติมาในงานมากมายขนาดนี้ ฉินสือโอวจึงหวังว่าจะรักษาภาพพจน์ของฟาร์มปลาให้ดูดีไว้ เพราะเขาก็โม้ให้องค์หญิงน้อยซาลามาห์ฟังไปว่าทะเลของเขานั้นดีเลิศกว่าทะเลที่เกรตแบร์ริเออร์รีฟเสียอีก เพราะฉะนั้นก็ต้องทำตามที่พูดไว้ให้ได้
ช่วงนี้เขาพาพวกชาวประมงไปเก็บกวาดฟาร์มปลา คนในเมืองพอรู้ว่าเขาจะหมั้น ต่างก็อาสามาช่วยกันทำความสะอาดเองไม่น้อย ตัดเล็มหญ้าในฟาร์มปลา ประดับสถานที่เลี้ยงสัตว์ จัดฟาร์มองุ่นให้เรียงรายเป็นระเบียบ ทำให้ภาพของฟาร์มปลาเป็นรูปแบบใหม่ทั้งหมด
หู่จือ เป้าจือ ฉงต้าและหลัวปอ เจ้าพวกนี้ต่างก็รู้ว่าฟาร์มปลากำลังจะมีงานใหญ่เกิดขึ้น ช่วงหลายวันมานี้พวกมันจึงเชื่องเป็นพิเศษ หู่จือกับเป้าจือไม่ไปแม้กระทั่งวิ่งเล่นกลิ้งในสนามหญ้า ทั้งๆ ที่แลบราดอร์เป็นพันธุ์ที่ซนมากที่สุดแล้ว
แต่ก็มีที่หลุดอยู่เหมือนกัน อย่างเช่นบุชกับนิมิตส์
โลกของนกอินทรีก็คือท้องฟ้า ดังนั้นตั้งแต่บุชบินได้ นอกจากตอนเย็นที่บินกลับมานอนแล้ว เวลากลางวันมันจะบินวนไปมาอยู่บนท้องฟ้าที่ฟาร์มปลา หรือไม่ก็ไปต่อสู้ที่เทือกเขาเคอร์บัล
อากาศจะหนาวเหน็บในช่วงฤดูหนาวทำให้อาหารมีน้อย คาดว่าอินทรีทองและเหยี่ยวหางแดงพวกมันคงขาดอาหาร จึงซ่อนตัวเพื่อประหยัดพลังงาน แล้วปล่อยให้เจ้าสองตัวครอบครองท้องฟ้าของเกาะแฟร์เวลได้สำเร็จ
ตอนนี้เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิ อินทรีทองและเหยี่ยวหางแดงปรากฏตัวออกมาอีกครั้ง ไม่รู้ว่าบุชกับนิมิตส์ถูกซุ่มโจมตีหรือเกิดอะไรขึ้น พวกมันบินกลับมาในตอนเที่ยงวันหนึ่งในปลายเดือนพฤษภาคม ขนของมันยุ่งเหยิง ผิวเท้าของนิมิตส์ถลอก ดูลักษณะแล้วน่าอนาถมาก
เมื่อถูกรังแกมาจากข้างนอกแล้ว บุชจึงบินกลับมาหาฉินสือโอวพ่อของมันให้ช่วยปลอบใจ แต่ฉินสือโอวนายใหญ่กำลังยุ่งอยู่กับการเก็บกวาดฟาร์มปลาอยู่ จะมีเวลาที่ไหนไปสนใจมัน?
ทันใดนั้นใจบางๆ ที่เหมือนแก้วของบุชก็แตกเป็นเสี่ยงๆ มันรู้สึกว่ามันโดนทำร้าย จึงสะบัดตูดส่ายหางเข้าไปสร้างความวุ่นวายให้กับฉินสือโอว
ฉินสือโอวที่เพิ่งเล็มหญ้าเสร็จ พอเขาหันศีรษะกลับไป บุชก็กระโจนเข้าพุ่มดอกไม้กระพือปีกไปมา ใช้กลอุบายวิธีต่างๆ ทำให้พุ่มดอกไม้สวยงามดูยุ่งเหยิง กระจัดกระจายขึ้นมาทันที
ฉินสือโอวนายใหญ่โกรธมาก เขาคว้าบุชเอาไว้ แต่มันก็ชูคอตั้งตรงมองไปที่เขา กะพริบตาใส่ปริบๆ ลักษณะเหมือนโดนรังแกมา
แต่น่าเสียดายที่อินทรีหัวขาวไม่สามารถแสดงออกทางอารมณ์ได้หลากหลายเหมือนแลบราดอร์ พวกมันก็เหมือนกับนกอินทรีทอง เกิดมาก็มีเพียงสีหน้าเย็นชา ไม่ว่าจะมองสีหน้าเวลาไหน ก็จะเห็นเพียงแค่ความสง่าผ่าเผย
ดังนั้นฉินสือโอวจึงตีไปที่ก้นของมัน ตะคอกใส่ว่า “แกจ้องอะไรฮะ? สีหน้าแบบนี้หมายความว่าอย่างไร? แกจะอวดดีต่อหน้าฉันเหรอ? โอ๊ยแม่ง บอกว่าแกเป็นแบบนี้ แกก็จะทำตัวแบบนี้ใช่ไหม หน้าตาแบบนี้คืออะไร?”
บุชโดนตีจนวิ่งวุ่นไปหมด โอ้อวดอะไร มันแสดงสีหน้าได้อารมณ์เดียว โอเคไหม?
พอเห็นว่าขอความช่วยเหลือจากฉินสือโอวนายใหญ่ไม่ได้ บุชจึงทำได้เพียงวิ่งไปหาวินนี่แทน วินนี่อย่างไรก็อ่อนโยนและรักพวกมันเสมอ เธอช่วยหวีขนของบุชและนิมิตส์ให้เรียบอย่างใจเย็น แล้วก็ช่วยล้างแผลที่พวกมันโดนกัดจนถลอก แล้วปล่อยให้พวกมันไปเล่นกันเอง
บุชกะพริบตาปริบๆ กางปีกรั้งวินนี่ไว้ ไม่ใช่แบบนี้สิ หม่าม๊าต้องช่วยออกหน้าแทนพวกเราพี่น้องสิ ออกหน้าแทนสิ! พวกเราถูกพวกนกรังแก ดูสิโดนรังแกจนสภาพเป็นนกอะไรก็ไม่รู้แล้ว?!
ซึ่งจุดนี้วินนี่ช่วยอะไรไม่ได้ บุชกับนิมิตส์พอเห็นว่าไร้ประโยชน์ จึงได้แต่ทำคอตกเดินจากไป
เดินไปจนถึงสนามหญ้าหน้าวิลล่า ไก่ตัวผู้อวบอ้วนตัวหนึ่งก็ร้องเสียงดังแล้วบินขึ้นมา กระรอกดินน้อยสองตัววิ่งหนีอยู่ด้านหน้า ส่วนมันก็วิ่งไล่อยู่ด้านหลัง กรงเล็บทั้งสองของมันแข็งแรง ปีกที่ใหญ่ของมันออกแรงกระพืออยู่ตลอด ดูท่าทางแล้วเก่งกาจมาก
ใช่แล้ว ไก่ตัวผู้อวบอ้วนตัวนี้ก็คือแคลร์ อินทรีทองน้อย
อินทรีสีทองเป็นนกล่าเหยื่อขนาดใหญ่ ตัวสูงใหญ่ได้ถึง 1 เมตร สามารถล่าหมาป่าสีเทาในอเมริกาเหนือได้ สามารถครอบครองท้องฟ้าได้ เหมือนกับคำพูดที่ว่า นกอินทรีตัวเดียวทำลายเสือสามตัวได้ นกอินทรีสองตัวจมเรือบรรทุกได้ นกอินทรีห้าตัวจัดการพระเจ้าได้ นกอินทรีแปดตัวครองโลก…
สรุปแล้วก็คือ แววตาบุชเปล่งประกาย คิดถึงจุดประสงค์ตอนนั้นที่ขโมยไข่นกอินทรีทอง แคลร์น่าจะเป็นทหารรับจ้างที่บุชและนิมิตส์หามาถึงจะถูกสิ
บุชและนิมิตส์ขวางทางแคลร์ไว้ มันกำลังไล่กระรอกดินน้อยอย่างมีความสุข มันทำหน้าไม่พอใจจ้องไปที่พวกบุชกับนิมิตส์ หลังจากนั้นก็หันกลับไปวิ่งไล่ต่อ
ปรากฏว่าบุชและนิมิตส์กางปีกกว้างแล้ววิ่งตาม แม่งเอ๊ย วิ่งสู้อินทรีทองไม่ได้ มันวิ่งวนแล้วก็เผ่นหนีไปแล้ว!
พลังเท้าของอินทรีหัวขาวแข็งแกร่งกว่าอินทรีทอง ซึ่งในแง่นี้ตระกูลของบุชได้รับการจัดอันดับว่าเป็นที่หนึ่ง แต่พอหลังจากที่มันบินได้ มันก็ไม่ค่อยได้ใช้อุ้งเท้าของมันในการวิ่ง แต่แคลร์ฝึกวิ่งอย่างดุเดือดอยู่ทุกวัน ดังนั้นพอผ่านไปสักพัก บุชจึงวิ่งตามแคลร์ไม่ทัน
แล้วนิมิตส์ล่ะ? อุ้งเท้าของนกฟรีเกตเป็นเหมือนกับของประดับ บางครั้งถ้ามันบินลงอย่างรวดเร็วก็อาจจะทำให้เท้ามันหักได้…
แคลร์กระพือปีกอย่างมีความสุข บุชวิ่งไล่ไปสักพักก็ไล่ไม่ทันแล้ว บุชโกรธมากขึ้นมาทันที แอบบ่นแล้วก็กางปีกสยายโบยบินไปบนท้องฟ้า บินวนรอบท้องฟ้าไปหนึ่งรอบ แล้วก็ดิ่งพุ่งลงมาราวกับเครื่องบินทิ้งระเบิด อุ้งเท้าทั้งสองของมันจับแคลร์ได้อย่างแม่นยำ!
บทที่ 1172 อินทรีทองโบยบิน
บนขอบหลังคาของวิลล่า อินทรีทองอวบอ้วนตัวหนึ่งกำลังเดินไปมาอย่างวุ่นวาย
อินทรีทองได้ชื่อนี้มาเป็นเพราะว่าปากและปลายขนของมันเป็นสีทอง ตอนโบยบินอยู่ใต้แสงอาทิตย์ ขนของมันจะเป็นมันเงา เข้ากับปลายขนสีทอง มองดูรวมๆ แล้วเหมือนเทพเจ้าแห่งสงครามกลางอากาศในชุดเกราะทองที่ดูน่าเกรงขาม
ในความเป็นจริงแล้วพื้นฐานของขนนกอินทรีทองเป็นสีน้ำตาล โดยรวมก็เป็นสีน้ำตาล สีขนของนกตัวน้อยจะเข้มมากกว่า และไม่สวยเท่านกโตเต็มวัย
แต่แคลร์แตกต่างออกไป แม้ว่าร่างกายของมันจะไม่สง่าเท่าบรรพบุรุษ แต่ขนของมันสวยและดูดีทั้งในแง่ของรูปร่างลักษณะและสีสัน ขนบนลำตัวของมันเหมือนใบของต้นหลิว เพราะว่าวินนี่ช่วยหวีขนให้มันทุกวัน ขนของมันจึงเรียบและเรียงสวยเป็นระเบียบ พอกางปีกออกจะรู้สึกได้ถึงความสวยงามในท่วงทำนองตามปีกของมันที่โยกย้ายสลับกันไปมา
เฉกเช่นเดียวกับอินทรีโตเต็มวัย ส่วนบนของลำตัวเป็นสีน้ำตาลเข้ม ส่วนหลังและไหล่ออกสีม่วงอ่อนๆ พอมีแสงส่องมาก็เปล่งประกายราวกับรัศมีสีม่วง มีความน่าเกรงขาม หางของมันมีสีขาวและมีจุดสีดำขนาดใหญ่ที่ขนหาง ซึ่งจุดนี้แตกต่างจากนกที่โตเต็มวัยแล้ว
นอกจากนี้ขนที่ปีกของมันจะมีสีน้ำตาลดำเข้ม ปีกด้านในมีสีขาว ตอนที่มันกระพือปีกจึงสังเกตเห็นจุดขาวตรงด้านล่างได้
ดูจากรูปลักษณ์ภายนอก แคลร์เป็นอินทรีทองผู้มั่งคั่งรุ่นที่สอง แล้วยังเป็นนกอวบอ้วนที่หล่อรวยในกลุ่มรุ่นที่สองด้วย
โดยเฉพาะเสียงร้องนั้นยิ่งแสดงให้เห็นถึงความทรงพลัง เพียงแค่เห็นมันยืนชะเง้อคอสีดำของมันบนหลังคา สายตาอันน่าเกรงขามทั้งสองดวงมองกวาดไปที่พื้น อ้าปากแหลมคมส่งเสียงร้อง “แคว้กๆๆ!”
ห่านสีขาวตัวหนึ่งรีบมองขึ้นมาบนหลังคาอย่างร้อนรน เสียดายที่มันบินไม่ได้ จึงได้แต่เดินวนอยู่ที่พื้นอย่างกระวนกระวาย ส่งเสียงร้องที่ดังและกังวานกว่าเดิม “แคว้กๆๆๆ…”
พอได้ยินเสียงร้องดังไม่หยุด ฉินสือโอวจึงรีบออกมาแล้วเงยหน้าขึ้นมามอง พออินทรีทองเห็นฉินสือโอวก็ยิ่งส่งเสียงร้องหนักขึ้น
ฉินสือโอวนึกว่ามันบินขึ้นไปเองจึงรีบตะโกนเรียกวินนี่ “มาดูเร็ว มาเร็ว วินนี่ พระเจ้า แคลร์มันเก่งจริงๆ บินขึ้นไปอยู่บนหลังคาเองได้แล้ว!”
วินนี่วิ่งออกมา แล้วทุกคนก็วิ่งตามกันออกมา ต่างเงยหน้าไปมองและยกย่องอินทรีทองตัวน้อย
“อย่าไปมองแค่ว่าอินทรีทองตัวนี้มันอวบอ้วน แต่มันกลับบินเป็นได้ไวมาก เพียงพริบตาเดียวก็บินขึ้นไปอยู่บนหลังคาแล้ว!”
“ไม่มีแม่นกอินทรีคอยสอนก็บินได้ด้วยเหรอ? อินทรีทองน้อยช่างมีความสามารถในหมู่นกนะนี่ ขาดไม่ได้เลยในอนาคต!”
“บินอีก บินอีก!”
“รีบถ่ายรูปเร็ว ดูสิดู นี่คือราชาแห่งฝูงนก!”
แคลร์ที่อยู่บนหลังคา ถูกผู้คนมากมายห้อมล้อมขนาดนี้ แถมชี้โน่นชี้นี่ ไม่รู้ว่าพูดอะไรกัน มันจึงรู้สึกสับสนไปหมด
ในความเป็นจริงแล้ว มันอยากให้ฉินสือโอวช่วยพามันลงไป มันไม่ได้บินขึ้นมาเองแต่ถูกอุ้งเท้าจอมวายร้ายของบุชคว้ามันขึ้นมา แล้วบุชเจ้าปีศาจนั่นก็ร้ายเกินใคร พอคว้ามันขึ้นมาก็อันตรธานหายไปเลย!
แคลร์ร้องเรียกฉินสือโอวด้วยความหวังอยู่หลายรอบ ฉินสือโอวนายใหญ่นึกว่ามันร้องเสียงดังก่อนที่จะโบยบิน จึงปรบมือให้กำลังใจมัน คนอื่นๆ ก็ทำตาม ต่างเริ่มปรบมือทีละคนสองคน จนเสียงปรบมือดังขึ้นมา “แปะ แปะ แปะ…”
อินทรีทองน้อยมองไปที่ผู้คนด้านล่างด้วยความหงุดหงิด อยากจะร้องด่า พวกคุณมันโง่หรืออย่างไร ไม่รีบพาฉันลงไป ปรบมือให้ฉันกันทำไม? หัวใจมนุษย์ทำไมถึงได้ย่ำแย่ขนาดนี้ พวกนายอยากจะให้ฉันกระโดดลงไปเหรอ? ให้กำลังใจฉันในการฆ่าตัวตายเหรอ?!
ท้ายสุดก็มีวินนี่ที่ดูจะเข้าใจเด็กๆ มากกว่าคนอื่น เธอเห็นกรงเล็บของอินทรีทองน้อยยึดจับไม้ที่ยื่นออกมาตรงหลังคาแน่น ไม่ขยับไปไหน จึงถามด้วยความสงสัยว่า “ฉิน แคลร์คงไม่ได้บินขึ้นไปเองมั้งคะ?”
ฉินสือโอวโบกมือ “เป็นไปไม่ได้ ที่รัก ดูสีหน้าของแคลร์สิ มั่นใจเย่อหยิ่งขนาดนั้น! ถ้าลองเอาหู่จือกับเป้าจือโยนขึ้นไปอยู่บนนั้น จะแสดงสีหน้าแบบนี้ได้เหรอ?!”
แต่ไหนแต่ไรมาสีหน้าของอินทรีทองไม่เคยเปลี่ยน ได้แค่เพียงส่งสายตาเว้าวอนมองลงไปที่คนด้านล่าง พวกนายไม่รู้เลยเหรอว่าตระกูลอินทรีทองทั้งตระกูลเป็นพวกไม่แสดงสีหน้า?
ในเวลานี้เองบุชก็บินกลับมา มันเก็บปีกของมันแล้วร่อนลงไปอยู่ข้างๆ อินทรีทองน้อย แหงนหน้าไปมองมัน แล้วก็พยักหน้าให้กับความว่างเปล่าตรงหน้า
อินทรีทองน้อยพยายามทำตัวเองให้ลีบลง แต่เสียดายที่มันอ้วนไปหน่อย จึงหดตัวให้เล็กไม่ได้ มันพยายามเขยิบไปข้างๆ อย่างระมัดระวัง แล้วพยักหน้าให้บุช
ฉินสือโอวกะพริบตาปริบๆ อดที่จะตีไปที่หน้าขาไม่ได้ “แม่ง แคลร์บินไม่เป็น แต่โดนบุชจับขึ้นไปใช่ไหมเนี่ย?”
วินนี่กลอกตามองบนแสดงอารมณ์ที่หลากหลาย คุณเพิ่งดูออกเหรอไง? ก็บอกแล้วว่าแคลร์ไม่ได้เป็นประเภทที่จะบินขึ้นไปเองได้แบบนั้น! บุชเขยิบไปข้างๆ ตามไปอยู่ข้างๆ อินทรีทองน้อย หลังจากนั้นพอขยับปีกทั้งสองข้างก็บินร่อนเบาๆ ลงมาอยู่ด้านล่าง ท่วงท่ามั่นใจและหยิ่งผยอง
ปีกของอินทรีทองน้อยยิ่งพับเก็บแน่นกว่าเดิม มองไปที่บุชที่อยู่ด้านล่างด้วยท่าทางน่าสงสาร แล้วก็ส่งเสียงร้องแคว้กแคว้กอีกสักพัก
พ่อของห่านขาวรู้ว่าใครเป็นคนทำร้าย จึงกางปีกวิ่งไปจะจิกบุช บุชจึงรีบบินขึ้นไปอยู่บนหลังคาทันที
“บุชจะสอนแคลร์ให้บินได้” ฉินสือโอวและคนอื่นๆ เข้าใจความจริงนี้ จึงพูดด้วยความพึงพอใจว่า “เป็นพี่ชายที่ดีจริงๆ ฝึกฝนให้น้องชายมีทักษะ บุชเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วจริงๆ”
วินนี่ถามด้วยความสงสัย “ทำไมฉันถึงรู้สึกว่า บุชไม่ได้คิดเป็นอย่างนั้น?”
ฉินสือโอวตอบ “คุณอคติ อคติต่อบุช…”
บุชบินขึ้นไปบนหลังคาอีกรอบ กางปีกสยายแล้วบินลงมา บินวนไปมาอยู่หลายรอบสาธิตให้ดูเป็นตัวอย่าง หลังจากนั้นก็พยักหน้าให้แคลร์แล้วส่งเสียงร้องเป็นสัญญาณให้บินลงมา
แคลร์หันหัวไปมองอีกด้าน ทำเป็นไม่เข้าใจที่บุชพยายามบอก เม้มปากแน่นและพยายามเขยิบไปด้านข้าง
วินนี่พูดถูก บุชไม่น่าจะรู้อะไรควรไม่ควรขนาดนั้น พอมันเห็นว่าชี้แนะแบบนี้แล้วไม่ได้ผล มันจึงสยายปีกผลักไปที่หลังอินทรีทองจนตัวมันเขย่าโยกไปมา!
ความตั้งใจเดิมของมันคงอยากจะผลักให้อินทรีทองตกลงไป แต่พลังของอุ้งเท้าอินทรีทองมีมาก อย่างไรก็ยังเกาะไม้ไว้แน่น เหมือนกับตุ๊กตาล้มลุกที่โดนผลักจนเกือบจะล้มลงไป แต่ก็เด้งกลับขึ้นมาได้ในทันที
บุชเข้าไปผลักมันอีกครั้ง แต่แคลร์ใช้อำนาจแห่งราชาบนท้องฟ้าอ้าปากเล็กๆ ของมันแล้วจิกไปที่บุช คิ้วของมันยกขึ้น แล้วจ้องไปที่บุชด้วยสายตาแหลมคม ส่งเสียงร้องที่น่าสะพรึงกลัว
บุชไม่ทันระวังตัวจึงถูกมันจิกเข้าไป ทันใดนั้นบุชโกรธมาก แม่ง เมื่อกี้ก็โดนพ่อแม่ของแกรุมทำร้ายมา ปรากฏว่ากลับมายังโดนแกเล่นอีก โอเค พูดดีๆ แล้วไม่ทำใช่ไหม? ใช้ไม้อ่อนไม่ได้ต้องใช้ไม้แข็งสินะ? ไม่พูดพร่ำอะไร แกไปซะ!
บุชพุ่งชนไปที่ตัวอินทรีทองเพื่อให้มันล้ม บุชกางปีกแล้วผลักไปที่มันอีกครั้ง ผลักแคลร์ให้พุ่งออกไปราวกับตีลูกเบสบอลไม่มีผิด!
ชั่วพริบตานั้นเอง ฉินสือโอวสังเกตเห็นว่าดวงตาของแคลร์ปูดออกมาแล้ว…
เมื่อโดนผลักให้ตกจากหลังคา แคลร์ก็เหมือนตาชั่ง มันตกใจจนกางปีกไม่ออก ตกลงมาด้านล่างด้วยความงุนงง
ฉินสือโอวตะลึง รีบอ้าแขนจะไปรับซึ่งกำลังของเขาเร็วมากพอ เพียงชั่วครู่เดียวก็วิ่งไปถึงตรงนั้น
แต่ตอนที่แคลร์ตกอยู่กลางอากาศได้ครึ่งทาง มันก็เหมือนจะรู้สึกตัวขึ้นมา รีบกางปีกออกราวกับตันเฉินจื่อที่คลี่ด่านถัดไปได้ในหนังเรื่อง ‘ศึกเทพยุทธภูผาซู’ ที่สวีเค่อเป็นคนถ่ายทำ ‘ซวบๆๆ’ ปีกมันที่ตั้งตรงและแข็งสยายออกอย่างรวดเร็ว มันพยายามกระพือปีกทั้งสองข้าง พุ่งบินขึ้นไปบนท้องฟ้า!
บทที่ 1173 เรือยอชต์สุดเจ๋ง
“โคตรเท่!” อาร์ม็องพึมพำออกมา
ฉินสือโอวอยู่ด้านหน้า รับรู้ได้ดียิ่งกว่า เขารู้สึกว่าแคลร์ยังอยู่ในภาวะตกใจ มันใช้ความสามารถตัวเองล้วนๆ ในการสยายปีกออกแล้วค่อยบินขึ้นไป
ทุกคนยังคงตกตะลึง การบินครั้งแรกของอินทรีทองราบรื่นจนไม่อยากจะเชื่อ
มิแรนดาพูดขึ้น “ไม่น่าในทางปักษีวิทยาถึงบอกว่า ปีกของอินทรีทองแข็งแรงมากที่สุด อย่างแคลร์ที่ยังเป็นนกน้อยแบบนี้ ปีกก็ยังสั้นมาก แต่พอตกลงมาจากที่สูงก็ยังสามารถบินขึ้นมาได้ ช่างน่าอัศจรรย์ใจจริงๆ!”
พลังของปีกนกอินทรีทองถือว่าไม่เป็นสองรองใครในหมู่นกทั้งหลาย นกอินทรีทองที่โตเต็มวัยสามารถทำให้หมาป่าเทาอเมริกาเหนือมึนงงได้ด้วยปีกเดียวที่ตบลงไป นี่เป็นพลังแบบไหนกันนะ? แต่ถ้าหากพูดถึงพลังโดยรวมแล้วก็ยังคงเป็นอินทรีขาวที่แข็งแกร่ง บุชสามารถจับละมั่งน้อยตัวหนึ่งแล้วโบยบินได้ แต่อินทรีทองทำแบบนี้ไม่ได้
สรุปแล้วก็คือ แคลร์สามารถบินได้อย่างง่ายดายขนาดนี้ ออกจะเกินความคาดหมายของฉินสือโอวและวินนี่ไปมากทีเดียว
ปีที่แล้วที่สอนให้บุชบินเป็นก็ช่วงเวลาประมาณนี้ แต่ครั้งนั้นสอนมันตั้งหลายครั้ง ปกติมันยังฝึกเองโดยเริ่มจากกระโดดจากขั้นบันได แล้วค่อยกระโดดลงจากม้านั่ง ท้ายสุดถึงกระโดดลงจากโต๊ะและระเบียง ถึงค่อยเรียนรู้ที่จะบินได้…
แล้วแคลร์ล่ะ? รูปร่างอ้วนใหญ่ วัยที่หัดบินก็เด็กกว่า แต่พอแค่กางปีกออกก็สามารถบินขึ้นฟ้าได้เลย ซึ่งความแตกต่างนี้ก็มากโขอยู่!
ความจริงแล้วทั้งสองก็มีความแตกต่างอยู่นั่นแหละ แต่ไม่ได้แตกต่างที่อายุหรือกำลังปีก แต่คือโดยรวม
แคลร์มองดูแล้วมีลักษณะอ้วนพุงพลุ้ย แต่มันก็แข็งแรง ทันทีที่ฟักตัวออกมาก็มีพ่อห่านสีขาวพามันหัดเดิน พอวิ่งได้ก็วิ่งไปมาได้ทุกวัน กล้ามเนื้อทั้งตัวถูกฝึกฝนจนแข็งแรงเป็นพิเศษ
ส่วนบุชล่ะ? มันเป็นไอ้อ้วนทั่วๆ ไป ตอนเด็กๆ ก็โตมากับนิมิตส์ นกฟรีเกตไม่ถนัดเดินถนัดแต่บิน แล้วพอบุชบินไม่ได้ก็ไม่มีใครพามันวิ่ง วันๆ มันจึงแค่กินกับนอนจนอ้วน
อีกอย่างตอนที่มันเรียนรู้ที่จะบิน อายุก็มากไปหน่อย ซึ่งเพราะฉินสือโอวคิดว่ามันควรหัดบินจึงเริ่มฝึกฝนมัน พออายุมากก็หมายความว่าน้ำหนักตัวเยอะ อ้วนเกินไป ตอนเริ่มถึงบินไม่ขึ้น
ฉินสือโอวกำลังทอดถอนใจ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงแคลร์กรีดร้องอย่างน่าสังเวชอยู่บนฟ้า เขาแหงนหน้าขึ้นไปมองด้วยความตกใจ เห็นอินทรีทองกระพือปีกไปมาอยู่บนท้องฟ้าเดี๋ยวขึ้นสูงเดี๋ยวลงต่ำ มึนงงกับเสียงร้อง “มันจะร้องทำไม? จะอวดเหรอ?”
นี่ดูไร้สาระไปหน่อย เพราะเสียงร้องของมันดูน่าเวทนาจริงๆ ซึ่งจุดนี้ไม่ใช่แค่ฉินสือโอวที่ฟังออก คนอื่นๆ ก็ฟังออกเช่นกัน
วินนี่มองสักพักอย่างเหม่อลอย แล้วทันใดนั้นก็ตระหนักขึ้นได้ว่า “แคลร์ไม่รู้ใช่ไหมว่าจะลงมาอย่างไร?”
อินทรีทองน้อยบินเอียงไปเอียงมา ตาทั้งสองของมันจ้องไปที่ฉินสือโอว ซึ่งสีหน้าที่แสดงออกนั้นไม่ใช่ดูน่าเกรงขามแต่ดูน่ากลัว ฉินสือโอวถึงเพิ่งรู้ว่า จริงๆ แล้วนกอินทรีทองเปลี่ยนสีหน้าได้ แต่ต้องถึงจุดที่สุดของมัน มันถึงจะแสดงสีหน้าที่เปลี่ยนไป
สรุปคือ นกอินทรีทองตกใจกลัวจนฉี่ราด…
ยังคงเป็นนิมิตส์ที่ยังมีน้ำใจ มันบินรอบไปมาอยู่บนท้องฟ้า ขณะนั้นเองมันบินขึ้นไปอยู่ข้างๆ อินทรีทองน้อยแล้วกระพือปีกอันใหญ่โตของมัน เพียงชั่วครู่เดียวอากาศก็แปรเปลี่ยน
อินทรีทองน้อยเดิมทีพยายามรักษาสมดุลในการบินก็ยากแล้ว ยิ่งตอนนี้ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ จึงบินเอียงลงมาอย่างควบคุมไม่ได้ ท้ายสุดหัวก็ทิ่มลงไปในพุ่มไม้ โผล่มาแต่ก้นขาวๆ ของมันที่สั่นดิกๆ อยู่
พ่อห่านสีขาวตัวใหญ่ร้องเรียกเสียงหลงแล้วบินเข้าไปหา อินทรีทองน้อยพอได้ยินเสียงพ่อของมันน้ำตาก็ไหลออกมา ห่านสีขาวกางปีกออกทั้งสองข้าง แล้วมันก็รีบโผเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของพ่อ
ตอนนี้หัวมันเริ่มใหญ่แล้ว ปีกของห่านสีขาวจึงปิดไม่มิด แต่ทว่าเพียงแค่มันสามารถเอาหัวมุดเข้าไปได้ ก็ราวกับว่ามันอยู่ในที่ที่ปลอดภัยที่สุดบนโลกใบนี้แล้ว
บุชบินลงมาอย่างพึงพอใจ ค่อยๆ เดินมาทางนี้อย่างช้าๆ ด้วยเท้าที่เหมือนเลขแปดของตัวจีน (八) มันส่งเสียงครวญครางในลำคอราวกับว่ากำลังโอ้อวดในผลงานของตัวเอง
ห่านสีขาวตัวใหญ่วิ่งเข้ามาหามันด้วยความโกรธ ชูคอถลึงตามองไปที่มันด้วยแววตาดุร้าย วางท่าราวกับจะต่อสู้
แคลร์หลบอยู่หลังพ่อของมัน โผล่หัวจ้องไปที่บุชอย่างเหี้ยมโหด ตะโกนร้องแล้วก็หลบไปเหมือนเดิม
บุชไม่มีงานอดิเรกอื่นๆ มันชอบแค่การต่อสู้ ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ชอบโจมตีอินทรีทองคู่ผัวเมียและเหยี่ยวหางแดงที่เทือกเขาเคอร์บัลตลอดเวลาหรอก แล้วยังดื้อรั้นหลังจากพ่ายแพ้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกด้วย
เมื่อห่านสีขาวตัวใหญ่แสดงท่าทางดุร้ายเช่นนี้ บุชก็กระโดดขึ้นมาทันที ตั้งท่าเตรียมต่อสู้
คู่ต่อสู้ของอินทรีขาวคือพวกอินทรีทองและอินทรีหางขาว รูปร่างของห่านขาวตัวใหญ่ถึงแม้ว่าจะพอๆ กับมัน แต่แรงการต่อสู้ของมัน…
เฉกเช่นเดียวกับรถถังหนัก T-34 ของสหภาพโซเวียตในอดีตที่กำลังเผชิญหน้ากับรถถังหลัก M1A2 ของจักรวรรดินิยมอเมริกาในปัจจุบัน ซึ่งมีน้ำหนักถึง 65 ตัน แต่ M1A2 ไม่ต้องใช้กระสุนปืนก็สามารถซัด T-34 ให้กระเด็นไปไกลได้อย่างสบาย!
วินนี่ขึ้นไปอุ้มบุชออกมา เพียงเท่านี้สถานการณ์การต่อสู้ก็คลี่คลายแล้ว
ฉินสือโอวอุ้มแคลร์ขึ้นมา อินทรีทองน้อยจ้องไปที่เขาด้วยความโกรธ ทำไมเมื่อกี้ถึงไม่เอามันลงมาจากหลังคา?
มันยังไม่ทันจะระบาย ฉินสือโอวก็ทอดทิ้งมันอย่างไร้เยื่อใยไปเรียบร้อยแล้ว…
อินทรีทองน้อยรีบกระพือปีกบินขึ้นมา ครั้งนี้มันมีประสบการณ์แล้ว กางสองปีกออกแล้วขยับ หลังจากที่มันทิ้งตัวลงจอดบนพื้นก็จ้องมองไปที่ฉินสือโอวด้วยความขมขื่นทีหนึ่ง ทอดถอนใจแล้วก็นึกขึ้นว่า ก็ไม่ใช่ของดีอะไร มันสะบัดก้นของมันก้าวย่างด้วยเท้าที่แข็งแรง แล้วก็รีบบินจากไปไกล
ฉินสือโอวหัวเราะขึ้นมา ในเวลานั้นเองหู่จือและเป้าจือที่เฝ้ามองการต่อสู้อย่างออกรสออกชาติมาตลอดพลันแหงนหน้ามองไปทางท่าเรือพร้อมกัน เห็นเรือยอชต์หน้าตาประหลาดกำลังแล่นไปในน้ำด้วยความเร็วสูง!
ที่บอกว่าเรือยอชต์มีหน้าตาประหลาดนั้น ก็เพราะว่าเรือลำนี้มีปีก! เรือลำนี้แล่นไปด้วยความเร็วสูงมาก ฉินสือโอวมองจากไกลๆ ก็พบว่าเรือลำนี้ไม่ได้แล่นอยู่ในทะเลแต่กำลังเหินอยู่บนน้ำ!
เรือยอชต์มีความยาวประมาณ 14-15 เมตร โดยรวมมีรูปร่างเหมือนกระสวย หัวแหลม มีส่วนโค้งที่เรียบ ทั้งลำทาด้วยสีทองอ่อน มีส่วนหางของเรือที่มีลวดลายสีแดง ดังนั้นตอนที่มันแล่นด้วยความเร็วสูงจึงรู้สึกราวกับว่ามันกำลังพ่นไฟอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากได้เงินจากการประมูลอาวุธที่ติดข้างเรือมาแล้ว ฉินสือโอวก็คิดอยากจะเปลี่ยนพวกเรือหรือเครื่องบินในฟาร์มปลา ดังนั้นจึงติดตามตลาดของฟุ่มเฟือยมาโดยตลอด พอเห็นเรือลำนี้เขาก็อึ้งไปเล็กน้อย แล้วก็นึกถึงประวัติของมันได้ในเวลาถัดมา
นี่คือเรือยอชต์สมรรถนะสูงแบบไฮบริดของบริษัทเรือติดปีก อินเตอร์เนชันแนลที่ผลิตออกมาใหม่ ถ้าเรียกชื่อทางเทคนิคคือเรือไฮโดรฟอยล์ มีปีกประสิทธิภาพสูง ถือว่าเป็นเรือยอชต์รุ่นใหม่
เรือไฮโดรฟอยล์เป็นเรือยอชต์ชนิดหนึ่งที่อยู่ในตลาดมานาน โดยทั่วไปจะมีครีบท้องเรือสองอันที่ด้านล่างของเรือ กราบเรือจะมีร่องอยู่ ซึ่งร่องมักจะเชื่อมต่อกับครีบท้องเรือ สามารถรับอากาศผ่านร่องได้ อีกอย่างเมื่อครีบท้องเรือเต็มไปด้วยก๊าซจะช่วยทำให้ลื่นขึ้น ลดแรงต้านทาน ทำให้เรือยอชต์แล่นได้เสถียรมากขึ้น และมีความเร็วที่มากกว่าเดิม
แต่ว่าเรือไฮโดรฟอยล์ประเภทนี้จะห่างจากผิวน้ำไม่ได้ ปีกสองข้างจะยกขึ้นเพื่อลดแรงต้านทาน ต่อมาบริษัทเรือติดปีก อินเตอร์เนชันแนลได้ปรับปรุงเรือลำนี้ในปีที่แล้วโดยการติดตั้งปีกสองปีกเข้าไป แล้วยังใช้เทคโนโลยีจากยานบินเบาะอากาศ ทำการเปลี่ยนโฉมจนได้ออกมาเป็นเรือรุ่นนี้
จากที่ฉินสือโอวทราบมา เรือรุ่นนี้ยังเพิ่งออกแค่ตัวอย่าง ยังไม่ได้เข้าสู่ตลาด คนที่มาคือใครกัน เจ๋งขนาดนี้ สามารถซื้อเรือรุ่นใหม่รุ่นนี้ที่ยังไม่มีในตลาดมาก่อนได้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น