ลำนำบุปผาพิษ 1163-1166
บทที่ 1163 แคลงใจ 2
กินโอสถระดับสามเม็ดนั้นเข้าไปก่อน โคจรพลังอยู่ครึ่งชั่วโมง หลังจากรู้สึกว่าได้ผล ก็กินโอสถระดับห้าเม็ดนั้นเข้าไปอีก ผลคือหลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดก็มีปฏิกิริยาตอบสนองที่ตรงต่อความเป็นจริงที่สุด มีกระโจมค่อยๆ ตั้งโด่ขึ้นมา…
เขาปรีดานัก ในที่สุดก็นึกขึ้นได้ว่าไม่ได้พบกู้ซีจิ่วมาหนึ่งวันแล้ว เขาไปดูที่ห้องสังเกตการณ์ก่อน ดวงตาพลันหรี่ลงในทันใด!
หลงฟั่นอยู่ในห้องของกู้ซีจิ่ว!
หลงฟั่นกำลังกล่อมให้กู้ซีจิ่วกินยาบางอย่างอยู่ ยานั้นมีสีฟ้าอ่อน ทว่ามิใช่ลูกกลอนสุรภีที่ต้องหนึ่งเม็ดทุกสามวัน ย่าสีฟ้าอ่อนนี้โม่เจ้าไม่เคยเห็นมาก่อน
อีกอย่างปกติแล้วลูกกลอนสุรภีจะละลายลงในน้ำเปล่าแล้วหลอกให้กู้ซีจิ่วดื่มลงไป ส่วนยาเหล่านั้นที่ลบความทรงจำของนางไป ใช้ครั้งเดียวก็พอแล้ว ให้นางกินอีกเป็นที่สองไม่ได้เด็ดขาด
เช่นนั้นเม็ดยาสีฟ้าอ่อนในยามนี้คืออะไร? หลงฟั่นมีจุดประสงค์อะไรอีก?
เงามืดพาดผ่านนัยน์ตาของโม่เจ้าแวบหนึ่ง ดูอยู่เงียบๆ
เนื่องจากกู้ซีจิ่วได้กลิ่นเหม็นเน่าศพจากหลงฟั่น ดังนั้นเธอจึงเว้นระยะห่างจากเขายิ่งนัก ระแวดระวังหลงฟั่นเป็นพิเศษ และต่อต้านเม็ดยาสีฟ้าอ่อนนั้นยิ่ง “ข้าไม่อยากกิน! ยาเม็ดนี้เหม็นมาก! เหมือนซากศพเน่าเปื่อย! แล้วข้าก็ไม่ได้ป่วยทำไมต้องกินยาด้วย?”
หลงฟั่นจึงตะล่อมเธอ “มิใช่ว่าเจ้าจำอะไรไม่ได้เลยหรอกหรือ? ถ้ากินยาเม็ดนี้บางทีเจ้าอาจจะนึกบางอย่างออกก็ได้นะ”
กู้ซีจิ่วตะลึงงัน เอียงคอมองเขา “ท่านบอกว่าเป็นร่างที่โคลนนิ่งขึ้นมามิใช่หรือ ไม่มีความทรงอะไรทั้งนั้นนี่?”
หลงฟั่นชะงักไปเล็กน้อย “อันที่จริงเจ้ามีความทรงจำอยู่นิดหน่อย…เจ้ากินยานี้เข้าไปเถอะ รอจนยาออกฤทธิ์เจ้าก็รู้เอง”
กู้ซีจิ่วปรารถนาจะฟื้นฟูความทรงจำยิ่งนัก แต่เธอก็ไม่ใช่คนที่จะติดกับได้ง่ายๆ “ยานี้ดีถึงเพียงนั้นเชียว? แล้วเหตุใดพี่โม่ถึงไม่มอบให้ข้ากินเล่า?”
หลงฟั่นตัดสินใจเอ่ยว่า “ก็เป็นพี่โม่ของเจ้านั่นแหละที่ให้ข้าเอามาให้เจ้ากิน เจ้ากินมันเข้าไปเถอะ กินมันลงไปแล้วเจ้าก็จะรู้ถึงผลลัพธ์อันยอดเยี่ยมของมัน ข้าเองก็นับว่าเป็นบิดาเจ้า ไม่ทำร้ายเจ้าแน่นอนใช่หรือไม่?”
กู้ซีจิ่วดูเหมือนจะหวั่นไหวบ้างแล้ว ทว่าคิ้วยังคงขมวดอยู่ “แต่ว่า…แต่ว่าทำไมพี่โม่ถึงไม่เอามาให้ข้าด้วยตัวเองล่ะ?”
“เขากำลังยุ่ง…ไม่ว่าจะเป็นเขาเอามาให้หรือข้าเอามาให้ ผลลัพธ์ก็ไม่ต่างกัน” หลงฟั่นก้าวเข้าไป เขาค่อนข้างไม่ความอดทน เตรียมจะใช้วิธีบังคับแล้ว…
ยังไม่ทันได้ลงมือ น้ำเสียงเย็นชาสายหนึ่งก็ดังขึ้นตรงปากประตู “ข้ายุ่งอันใดอยู่หรือ?”
โม่เจ้าปรากฏตัวขึ้นที่ทันที เขาตวัดแขนเสื้อคราหนึ่ง ม้วนเอาเม็ดยาในมือของหลงฟั่นไป
สีหน้าหลงฟั่นแปรเปลี่ยนเล็กน้อย กู้ซีจิ่วร้องไชโยคราหนึ่ง วิ่งอยู่ด้านหลังโม่เจ้าแล้วถือโอกาสฟ้อง “พี่โม่ เขาจะบังคับให้ข้ากินยาเหม็นๆ นี่! แถมยังบอกว่าท่านให้เขาเอามาให้! อาหารที่เขาส่งมาก่อนหน้านี้ก็มีกลิ่นแบบนี้เหมือนกัน เขาต้องผสมยานี่ลงในอาหารก่อนแล้วแน่ๆ ทำให้ข้าเหม็นจนแทบอาเจียนแล้ว”
โม่เจ้ามองยูกกลอนเม็ดนั้น เป็นสีฟ้าวาววาวราวกับประกายแสงล่องลอยอยู่ เป็นโอสถระดับห้าจริงๆ กลิ่นก็ฉุนเสียดจมูกจริงๆ ด้วย
เขาตบมือน้อยของกู้ซีจิ่วเบาๆ “ผู้อาวุโสหลงแกล้งเจ้าเล่นเท่านั้น เขาคงกลัวว่าเจ้าจะไปกินยาของผู้อื่นมั่วซั่ว ดังนั้นถึงได้ทดสอบเจ้าดู”
“ข้าจะไม่กินยาของคนอื่นมั่วซั่ว!” กู้ซีจิ่วเชิดดวงหน้าน้อยๆ ขึ้นอย่างทระนง
“อืม ซีจิ่วฉลาดที่สุด เอาล่ะ เจ้าเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ไปพักผ่อนก่อนเถอะ พรุ่งนี้จะได้เป็นเจ้าสาวที่งดงาม”
“อื้อ” กู้ซีจิ่วยังคงเชื่อฟังเขายิ่งนักตอบรับคราหนึ่งแล้วเข้าห้องนอนไป
โม่เจ้าชั่งน้ำหนักเม็ดยาในมือดู แล้วเหลือบมองหลงฟั่นอย่างเฉยชาแวบหนึ่ง “เจ้าตามข้ามา!”
หลงฟั่นลังเลครู่หนึ่ง ยังคงตามไปอยู่ดี
หลงฟั่นอธิบายสรรพคุณของโอสถสีฟ้าเม็ดนี้ให้โม่เจ้าฟังอย่างชัดเจน
————————————————————————————-
บทที่ 1164 แคลงใจ 3
นี่เป็นยาที่หลงฟั่นวิจัยออกมา สามารถสลายพิษของลูกกลอนสุรภีได้เล็กน้อย อย่างน้อยก็ทำให้กู้ซีจิ่วไม่ได้กลิ่นเหม็นของซากศพจากตัวหลงฟั่นอีก
หลงฟั่นอธิบายมากมายนัก “ท่านเจ้า หลังจากนางกินโอสถเม็ดนี้เข้าไป จะทำให้สติปัญญาของนางเพิ่มขึ้นเล็กน้อย อีกอย่างถึงอย่างไรข้าน้อยก็เป็นผู้ที่สร้างนางขึ้น นางได้กลิ่นข้าน้อยเป็นกลิ่นศพอยู่ตลอดก็ไม่ดีเท่าไหร่ ท่านเจ้าวางใจเถอะขอรับ หลังจากนางกินโอสถเม็ดนี้เข้าไป กลิ่นของชายอื่นที่ควรเป็นอย่างไรก็ยังคนเป็นอย่างนั้น ไม่เกิดผลกระทบต่อสถานการณ์โดยรวมท่านเจ้าแน่นอน นางยังคงชมชอบเพียงท่านเจ้าเท่านั้น”
โม่เจ้าโยนยาเม็ดนั้นเล่น จู่ๆ ก็เอ่ยประโยคที่น่าตกใจออกมา “หลงฟั่น เจ้าก็ชอบนางเหมือนกันใช่ไหม?”
สีหน้าหลงฟั่นพลันแปรเปลี่ยน ทว่ายังคงตอบอย่างสุขุม “นางเป็นผลงานที่ข้าน้อยภาคภูมิใจที่สุด ข้าน้อยย่อมชอบนาง…”
“ชอบแบบชายหญิงหรือ?” หลงฟั่นจี้ถามอีกประโยค
หลงฟั่นตัวแข็งทื่อ “นี่…ไม่ใช่ขอรับ เป็น…ความชอบแบบพ่อลูก…” ยามที่กล่าวประโยคนี้น้ำเสียงของเขาไม่มั่นคงนัก
โม่เจ้าเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง น้ำเสียงเยียบเย็นนิดๆ “เป็นเช่นนี้ดีที่สุดแล้ว หลงฟั่น ถึงแม้นางจะเป็นสิ่งที่จ้าสร้างขึ้นมา แต่ภายหน้านางจะเป็นภรรยาของข้า และถือว่าเป็นนายหญิงของเจ้า ต่อให้นางได้กลิ่นเจ้าเหม็นเหมือนศพก็ไม่นับว่าเป็นกระไร หลังจากนั้นเจ้าติดต่อกับนางให้น้อยหน่อย ต่อไปยามเจ้ามีธุระต้องไปหานางก็ให้ข้าไปกับเจ้าด้วย มีข้าอยู่บัญชาการข้างๆ นางจะได้เชื่อฟังเจ้า ส่วนยาเม็ดนี้ อันที่จริงข้ารู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องให้นางกินหรอก” เขาพลันขยี้นิ้วคราหนึ่ง ยาลูกกลอนสีฟ้าวาววามเม็ดนั้นแหลกเป็นผงแล้วหายไปทันที
ในใจหลงฟั่นหนาวยะเยือกยิ่งกว่าเดิม โม่เจ้าไม่ซ่อนเร้นความแคลงใจที่มีต่อเขาไว้แล้ว!
เขาทราบว่ายามนี้ตนไม่อาจพูดอะไรได้ จึงหลุบตาตอบรับ
โม่เจ้าก็เกรงว่าเขาหวั่นวิตกจนเกินไป ตบไหล่เขาเบาๆ “หลงฟั่น เจ้าเป็นลูกน้องที่ซื่อสัตย์และน่าไว้ใจที่สุดของข้ามาโดยตลอด ข้าหวังว่าเราสองคนจะไม่ระแวงแคลงใจซึ่งกันและกันนะ เจ้าทำหน้าที่ให้ดี ข้าก็จะไม่ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไม่เป็นธรรม”
“ขอรับ” โม่เจ้าตอบรับอีกครั้ง ทว่าเยาะหยันอยู่ในใจ คนที่ระแวงแคลงใจอยู่ตลอดเป็นเขามากกว่ากระมัง?
ฉากโหมโรงตอนเล็กๆ จึงผ่านไปเช่นนี้แล
เดิมทีโม่เจ้าคิดจะไปสนทนากับกู้ซีจิ่วต่อ แต่เมื่อเห็น ‘กระโจม’ ของตนที่อ่อนยวบลงนานแล้วก็หมดอารมณ์อีกครั้ง
หนนี้ถึงแม้จะใช้การได้แล้ว แต่ก็ผงาดได้ไม่ถึงหนึ่งนาทีด้วยซ้ำ…
ถ้าลงสนามเข้าจริงๆ เขาจะเสร็จกิจเร็วยิ่งกว่าล่มปากอ่าวเสียอีก! ดังนั้นคงใช้การไม่ได้ ยังต้องกินโอสถนั้นอีก
ตามที่หมอหลี่คนนั้นกล่าวไว้ หลังจากกินเข้าไปแล้ว ต่อให้มีปฏิกิริยาก็ไม่อาจหาสตรีมาคลายกำหนัดได้ ไม่เช่นนั้นสิ่งที่ทำมาก่อนหน้านี้จะสูญเปล่า ต้องกินโอสถระดับห้าสามเม็ดขึ้นไป ทำให้ผงาดได้เกินเศษหนึ่งส่วนสี่ชั่วยามแล้วค่อยลงสนามจริง เช่นนั้นถึงจะหายขาดอย่างสมบูรณ์…
เขาจึงไปที่ห้องหลอมโอสถของหมอหลี่ จับตามองการหลอมโอสถ
หลงฟั่นยิ้มมุมปากอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง เขาเป็นหมอเทวดา ต่อให้ไม่ทราบว่าโม่เจ้ายืมห้องหลอมโอสถของเขาไปหลอมกลั่นสิ่งใด แต่เมื่อเห็นสีหน้าของท่านเจ้าผู้นี้ก็มองออกเกือบหมดแล้ว
ลูกกลอนสามหยาง! ท่านเจ้ากำลังกินลูกกลอนสามหยาง!
ยานี้เป็นเป็นโอสถบำรุงหยางที่ยอดเยี่ยมที่สุดจริงๆ และหายากยิ่งนัก หากว่าเป็นบุรุษธรรมดากินมันเข้าไป จะทำให้คึกคักฮึกเหิม ร่วมอภิรมย์กับสตรีสามนางภายในคืนเดียวก็ไม่มีปัญหาเลย แต่อาการป่วยชนิดนี้ของโม่เจ้า กินยานี้เข้าไปกลับจะเลวร้ายยิ่งกว่าขึ้น มันจะทำลายสมรรถภาพทางด้านนี้อย่างสมบูรณ์ ทำให้ร่างโคลนนิ่งร่างนี้ของเขาไม่อาจฟื้นฟูสู่สภาพเดิมได้อีกต่อไป…
เดิมทีตอนที่ตี้ฝูอีเอ่ยชื่อสมุนไพรสามชนิดนี้ออกมา หลงฟั่นไม่ได้เก็บมาใส่ใจเลย และไม่คิดจะอธิบายให้โม่เจ้าเข้าใจด้วย เนื่องจากเขารู้สึกว่าโม่เจ้าคงไม่เชื่อถือคำพูดใดๆ ของศัตรู กลับคาดไม่ถึงว่า…
เดิมทีหลงฟั่นกำลังทุ่มเทวิจัยตัวยาที่รักษาอาการป่วยนี้ของเขาอยู่
————————————————————————————-
บทที่ 1165 ข้ากับเจ้าสนิทชิดเชื้อกันมากหรือ?
เขามองออกแล้วว่าสาเหตุที่ร่างโคลนนิ่งของโม่เจ้ามีปัญหาเช่นนี้ เป็นเพราะเซลล์ประสาทส่วนนี้ถูกทำลาย ยาพวกนั้นที่เขาให้โม่เจ้าใช้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นยาที่ซ่อมแซมฟื้นฟูเซลล์ประสาท เพียงแต่เห็นผลค่อนข้างช้าเท่านั้น ดังนั้นจึงยังไม่มีผล
ตอนนี้โม่เจ้าเห็นลูกกลอนสามหยางเป็นฟางช่วยชีวิต ซ้ำยังปิดบังเขาให้ผู้อื่นหลอมแทน ไม่เชื่อใจเขาอีกแล้ว เช่นนั้นเขายังต้องทุ่มเทกายใจวิเคราะห์ภายลมอันใดเพื่อเขาอีก! เห็นเขาว่างมากหรือไง?
อย่างไรก็ตามต่อให้ท่านเจ้าผู้นี้กลายเป็นขันทีไปอย่างสมบูรณ์ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อด้านอื่นๆ ยังคงนำพวกเขากรีธาทัพไปทั่วหล้าได้เช่นเดิม
ในเมื่อเขารนหาที่ตายเอง แล้วทำไมตนต้องสนใจด้วย?
หลงฟั่นหยุดวิจัยเรื่องนี้อย่างสิ้นเชิง เริ่มย้ายไปวิจัยตัวยาอื่น…
….
กู้ซีจิ่วเข้าสู่ห้วงฝันอีกครั้ง
ความฝันครั้งนี้ในที่สุดก็ไม่มีหมอกหนาที่ปกคลุมจนมองเห็นไม่ชัดเจนอีกต่อไปแล้ว ในที่สุดเธอก็มองเห็นทิวทัศน์ที่กระจายอยู่ประปรายได้เล็กน้อยแล้ว
มีขุนเขามีสายธาร มีบ้านเรือน มีป่าทึบ…
เพียงแต่ทิวทัศน์เหล่านี้ล้วนเป็นดั่งภาพมายาที่แขวนอยู่ปลายขอบฟ้า สลัวเลือนรางมองเห็นไม่ชัดเจน
ที่สำคัญกว่านั้นคือ ทิวทัศน์เหล่านี้มีมากมายเกินไป หน้าหลังซ้ายขวาล้วนมีหมด หมุนวนอยู่เบื้องหน้าประหนึ่งกล้องสลับลาย เธอยืนอยู่ตรงนั้นไม่รู้ว่าตนควรไปทางไหนชั่วขณะ
ไม่รู้ว่าตี้ฝูอีที่อยู่เป็นเพื่อนเธอเสมอคนนั้นจะมาไหมนะ?
เธอเข้าสู่ความฝันนานถึงเพียงนี้แล้ว ก็ยังไม่เห็นเงาเขาเลย
ในความฝันครั้งก่อนเขากระโดดลงไปในทะเลสาบแล้วโม่โผล่ออกมาอีกเลย ไม่รู้ว่าเกิดอุบัติเหตุขึ้นหรือเปล่า…
เธอยืนอยู่ตรงนั้นมองไปรอบๆ ในทิวทัศน์เหล่านั้นล้วนมีร่างคนตะคุ่มๆ กำลังเคลื่อนไหวอยู่ เพียงแต่มองไม่เห็นคนที่อยู่ด้านในคือใคร
เธอควรเดินไปทางไหนดีนะ?
หากว่าสิ่งเหล่านี้ซุกซ่อนความทรงจำของเธอไว้ เช่นนั้นความทรงจำไหนกันล่ะที่เธอมุ่งมาดปรารถนาที่สุด?
เงาร่างของตี้ฝูอีผุดขึ้นมาในใจอีกครั้งหากว่าตนถูกผู้อื่นลบความทรงจำไปแล้วจริงๆ เช่นนั้นก่อนจะสูญเสียความทรงจำไปเธอต้องมีความรู้สึกต่อคนผู้นี้แน่นอน ความทรงจำระหว่างเธอกับเขาคืออะไรกัน?
เธอมองทิวทัศน์ที่ละลานตาเหมือนกล้องสลับลายอีกครั้ง ทันใดนั้นสายตาพลันหยุดนิ่งที่ทิศทางหนึ่ง ร่างคนที่ตะคุ่มๆ อยู่ในนั้น คล้ายว่าจะเป็นเงาร่างของตี้ฝูอีที่อยู่ข้างใน…
เธอไม่พูดพร่ำทำเพลงอันใด รีบสับเท้าวิ่งไปทางทิศนั้นทันที
ใกล้แล้ว ใกล้กว่าเดิมแล้ว
ในที่สุดเธอก็มองเห็นทิวทัศน์ด้านในชัดเจนขึ้นนิดหน่อยแล้ว ฉากด้านในสับสนวุ่นวายนัก ประเดี๋ยวก็เป็นโรงประมูลที่มีคุณชายน้อยคนหนึ่งประมูลหญ้าต้นหนึ่งได้แล้วมอบเด็กหนุ่มผอมคล้ำ ประเดี๋ยวก็เป็นเด็กหนุ่มคนนั้นกำลังคุมตัวโฉมงามที่สวมอาภรณ์แดงตัวใหญ่อยู่ในสระน้ำร้อน ประเดี๋ยวก็เป็นทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายในชุดม่วงพราวระยับผู้นั้นไล่ล่าเธออย่างไม่ลดละ ลากตัวเธอไปทำการทดสอบอะไรสักอย่าง พอกะพริบตาอีกครั้งก็เห็นทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นั้นโยนเธอเข้าไปในป่าทมิฬแห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยสัตว์ร้ายอย่างไม่ไยดี
ภาพเหล่านี้เหมือนถูกคนก่อกวนจนยุ่งเหยิงแล้วนำมาประกอบเข้าด้วยกันอีกรั้ง กู้ซีจิ่วมองจนปวดเศียรเวียนเกล้าแล้ว ตะลึงตะลานไปชั่วขณะ
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายคนนดูเหมือนจะไม่ดีต่อเธอยิ่งนัก! เล่นงานเธออยู่หลายครั้ง ซ้ำยังถอนหมั้นเธอด้วย แถมยังลำเอียงให้สตรีอื่นมาจัดการเธอด้วย…
หัวไหล่ถูกคนตบเบาๆ คราหนึ่ง “เหตุใดไม่วิ่งแล้วล่ะ?”
น้ำเสียงกระจ่างชัดดึงดูด คุ้นหูยิ่งนัก
กู้ซีจิ่วหันหลังไป เห็นตี้ฝูอียืนสง่าอยู่ข้างหลังตน กำลังมองเธอด้วยรอยยิ้ม
ในที่สุดเขาก็ปรากฏตัวแล้ว!
ในใจกู้ซีจิ่วมีความรู้สึกไม่อาจบรรยายได้ ถอยหลังไปก้าวหนึ่งตามสัญชาตญาณ เอียงคอถามประโยคหนึ่ง “เจ้าไม่ได้จมน้ำตายหรอกหรือ?”
ตี้ฝูอีนิ่งงัน เขาเอ่ยเนิบๆ ว่า “เจ้าหวังให้ข้าจมน้ำตาย?”
กู้ซีจิ่วก็รู้สึกว่าคำถามนี้เลินเล่อไปแล้ว ดังนั้นเธอจึงกระแอมคราหนึ่ง “ไม่ใช่แน่นอน…เพียงแต่ครั้งก่อนเจ้ากระโดดลงไปในทะเลสาบแล้วไม่โผล่ขึ้นมาอีกเลย ข้า…”
————————————————————————————-
บทที 1166 ข้ากับเจ้าสนิทชิดเชื้อกันมากหรือ 2
มุมปากตี้ฝูอีหยักยิ้มบางๆ “เป็นห่วงข้างั้นสิ?”
กู้ซีจิ่วมองเขา อันที่จริงค่อนข้างสับสนอยู่บ้าง “ข้ารู้ว่านี่คือความฝันของข้า ปรหลาดนัก เจ้ามีตัวตนอยู่ในความฝันของข้าจริงๆ ใช่ไหม? ตี้ฝูอีที่ถูกขังไว้ในห้องขังแห่งนั้นเป็นร่างจริงของเจ้าใช่ไหม? พวกเจ้าไม่เหมือนกันเท่าไหร่…”
“หือ ไม่เหมือนกันตรงไหน?”
“เจ้าในยามนี้พูดคุยกัข้าอย่างอ่อนโยนนัก ซ้ำยังคอยเล่นเป็นเพื่อนข้าด้วย คนที่อยู่ในห้องขังผู้นั้นไม่ค่อยรู้ดีรู้ชั่ว เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าข้าดีต่อเขา…”
ตี้ฝูอีเงียบไปครู่หนึ่ง “บางทีเขาอาจหวังดีต่อเจ้ากระมัง? แบบนั้นเป็นวิธีปกป้องเจ้าอย่างหนึ่งของเขา”
กู้ซีจิ่งงุนงงอยู่บ้าง “หวังดีต่อข้า?”
ตี้ฝูอีพยักหน้า “ใช่แล้ว หวังดีต่อเจ้า!”
กู้ซีจิ่วเอียงคอมองเขา “เช่นนั้นสรุปแล้วเจ้ากับเขาใช่คนเดียวกันหรือไม่? พวกเจ้าคนไหนเป็นตัวจริง คนไหนเป็นตัวปลอม?”
ตี้ฝูอีถอนหายใจเบาๆ “จวงจื่อฝันว่าเป็นผีเสื้อ[1] ไยต้องถามว่าคนไหนจริง คนไหนปลอม? อาจเป็นตัวจริงทั้งคู่ก็ได้”
สายตาเขากวาดมองรอบๆ แวบหนึ่ง ถูกภาพเหล่านั้นที่โยกไกวเหล่านั้นทำให้ตาลาย…
เรื่องราวที่สาวน้อยผู้นี้ประสบพบพานมากมายเกินไป ความทรงจำจึงซับซ้อนยิบย่อยเป็นธรรมดา อีกทั้งยามนี้ความทรงจำกระจัดกระจาย แยกย้ายไปคนละทิศละทาง เขาก็มองจนเวียนหัวแล้วเช่นกัน
เพียงแต่ภาพเหล่านี้ปรากฏขึ้นมามากมายขนาดนี้แล้ว เห็นทีว่าการฟื้นฟูความทรงจำของนางจะอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว
เขาไม่ต้องสิ้นเปลืองพลังวิญญาณเข้ามาชี้นำนางในความฝันของนางบ่อยๆ แล้ว…
ตอนที่มีหมอกหนามืดฟ้ามัวดินไม่อาจแยกแยะทิศทางได้ ยามนี้มีทิวทัศน์มากมายถึงเพียงนี้เธอก็ไม่รู้อีกว่าควรไปทางไหนดี รู้สึกเพียงว่าไม่ว่าทางไหนล้วนเหมือนกระแสน้ำเชี่ยวกรากทั้งนั้น รู้สึกว่าถ้าเธอเดินมากไปสักก้าวหนึ่งจะถูกกระแสน้ำเชี่ยวนั้นกลืนกิน
ตี้ฝูอีจับมือเธอไว้ “อยากไปทางไหนล่ะ?”
กู้ซีจิ่วหลับตาลง สูดหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่งแล้วส่ายหน้า
“เจ้าอยากไปทางไหนที่สุด?” ความรู้สึกของคนทั้งสองเสมือนยืนอยู่ในความว่างเปล่า ทิวทัศน์หมุนวนอยู่ทุกทิศทุกทาง
กู้ซีจิ่วกวาดตามองรอบข้างอีกครั้ง จู่ๆ เธอก็เอ่ยถามตี้ฝูอีที่ยู่ข้างกาย “จะถามเจ้าสักไม่กี่ข้อ เจ้าต้องตอบมาตามจริงนะ”
สุ้มเสียงเธอประหนึ่งผู้พิพากษา ดวงหน้าน้อยๆ ก็จริงจังยิ่งนัก
ตี้ฝูอีพยักหน้า “เจ้าถามสิ”
“เจ้าเคยตามล่าข้าใช่ไหม?”
ตี้ฝูอีชะงักไปครู่หนึ่ง “ตอนนั้นข้าเคยตามล่าเจ้าจริงๆ เพียงแต่…” เขากล่าวยังไม่ทันจบก็ถูกกู้ซีจิ่วเอ่ยขัดแล้ว “เจ้าแค่ตอบว่าใช่หรือไม่เท่านั้นก็พอ”
“เอาเถอะ” ตี้ฝูอีนวดคลึงหว่างคิ้ว “ใช่”
“เจ้าเคยโยนข้าเข้าไปในป่าทมิฬใช่ไหม?”
“…ใช่”
“เจ้าเคยบังคับให้ข้าหมั้นหมายแล้วก็ถอนหมั้นกับข้าดื้อๆ ใช่ไหม?”
“…ใช่”
“เจ้าเคยช่วยสตรีอื่นรังแกข้าใช่ไหม?”
“เรื่องนี้…ใช่”
ริมฝีปากน้อยๆ ของกู้ซีจิ่วเม้มเข้าหากัน มองเขาอย่างเยียบเย็น “เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับเจ้าไม่น่ารื่นรมย์สักเท่าไหร่…”
ทำไมยัยเด็กคนนี้ถึงนึกออกแต่เรื่องไม่ดีขอเขาทั้งนั้นล่ะ? ตี้ฝูอีแทบหลั่งน้ำตา!
จากนั้นเขาจึงถามนาง “ซีจิ่ว เมื่อก่อนที่ข้าปฏิบัติต่อเจ้าเนนั้นมีเหตุผลอยู่…เหตุผลเหล่านี้ว่าไปแล้วยืดยาว ไม่อาจอธิบายให้กระจ่างได้ในระยะเวลาสั้นๆ หลังจากนั้นไปข้าปฏิบัติต่อเจ้าอย่างดีมาโดยตลอด เจ้านึกความดีของข้าไม่ออกเลยหรือ?”
กู้ซีจิ่วเม้มปาก “เมื่อกี้กำลังตั้งใจดูอยู่ ผลคือเจ้าโผล่มา ความดีของเจ้าข้ายังไม่เจอเลย”
ตี้ฝูอีนวดหว่างคิ้วอีกครั้ง ดูเหมือนวันนี้เขาจะโผล่มาไม่ถูกจังหวะเสียแล้ว เขาควรจะมาช้าอีกสักหน่อย
จู่ๆ กู้ซีจิ่วก็มองเขาอย่างค่อนข้างใจลอย นัยน์ตาดำขลับคู่นั้นใสพิสุทธิ์และแฝงความล้ำลึกไว้ ราวกับมีนัยแฝงเร้น
ตี้ฝูอีกระแอมคราหนึ่ง จู่โจมเธอด้วยรอยยิ้ม “เจ้ามองข้าแบบนี้ทำไม? ข้ารูปงามจนทำให้เจ้าตะลึงหรือ?”
หนังหน้าของคนผู้นี้ช่างหนาเหนือธรรมดาโดยแท้!
————————————————————————————-
[1] จวงจื่อฝันว่าเป็นผีเสื้อ จวงจื่อเป็นปราชญ์ลัทธิเต๋า ประพันธ์ปรัชญาของเต๋าไว้หลายเรื่อง จวงจื่อฝันว่าเป็นผีเสื้อเป็นเรื่องหนึ่งที่รู้จักกันในวงกว้าง บรรยายถึงความคิดที่ว่าคนเราไม่สามารถแบ่งแยกความจริงกับความฝัน และความเป็นความตายกับการแปรเปลี่ยนเป็นสิ่งอื่นอย่างเด็ดขาดได้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น