พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1161-1166
บทที่ 1161 ได้ข้อคิดอีกอย่าง
โดย
Ink Stone_Fantasy
นั่นคือการอธิบายอย่างตาลีตาลานจริงๆ กลัวว่าผู้หญิงคนนี้จะบังคับให้ตนคว้านตาทิพย์ทิ้ง มีพลังอภินิหารเยอะขนาดนี้ดีจะตาย เมื่อหญิงงามอยู่ตรงหน้าก็ไม่มีทางหลบพ้นสายตาไปได้
“เจ้าจะร้อนรนอะไรนักหนา? ข้าไม่ได้บังคับให้เจ้าคว้านออกเสียหน่อย” อวิ๋นจือชิวพูดแขวะ
เหมียวอี้ลองถามหยั่งเชิงว่า “ฮูหยินใจกว้างขนาดนี้จริงเหรอ ไม่ให้ข้าคว้านทิ้งจริงๆ เหรอ? ถ้าเจ้ารู้สึกว่าไม่เหมาะสมจริง ข้าจะคว้านออกก็ได้”
เหมียวฮูหยินทำสีหน้าค่อนขอด “ถ้าเจ้าไม่ใช้ตาทิพย์แล้วยังสามารถมองทะลุเสื้อผ้าคนอื่นได้ แบบนั้นต่อให้ไม่มีตาทิพย์ ข้าก็ต้องควักลูกตาสองข้างของเจ้าทิ้งอยู่ดี ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะหน้าด้านถึงขนาดใช้ตาทิพย์จ้องมองตอนอยู่ต่อหน้าผู้หญิงของคนอื่น”
“…” เหมียวอี้พูดไม่ออกแล้ว หัวเราะไม่ออกด้วย เป็นไปไม่ได้จริงๆ ที่เขาจะทำเรื่องที่โจ่งแจ้งแบบนั้นต่อหน้าผู้หญิงของคนอื่น
แต่ไม่นานก็เปลี่ยนความคิด ถ้าข้าอยากจะเห็นจริงๆ ก็ไปหลบไกลๆ หน่อยก็ได้ แบบนั้นไม่โดนจับได้หรอก
ทว่านี่เป็นเพียงความคิดหนึ่งที่ทำให้เขาแอบยิ้มดีใจเท่านั้นอง ความจริงเขาไม่ได้ไร้ยางอายถึงขั้นนั้น ใช่ว่าตัวเองจะไม่เคยเห็นผู้หญิงเสียหน่อย ทั้งฮูหยิน ทั้งอนุภรรยาและหญิงชู้ของตน แต่ละคนหน้าตาสวยโดดเด่นทั้งนั้น ตอนนี้ยังมีบางคนที่ตนยังไม่ได้แตะต้องด้วยซ้ำ เพลิดเพลินไม่รู้จักจบจักสิ้น ไม่ได้ลามกจกเปรตถึงขั้นไปแอบดูผู้หญิงคนอื่นหรอก
เรื่องนี้หัวเราะเสร็จแล้วก็ปล่อยผ่าน เห็นเป็นเรื่องล้อเล่นเท่านั้น เหมียวอี้วกกลับเข้าประเด็นหลักอีกครั้ง “ข้าจะลองเพิ่มพลังอิทธิฤทธิ์ดูสักหน่อย ดูว่าจะสามารถรบกวนจิตใจเจ้าได้รึเปล่า”
อวิ๋นจือชิวยืนให้ความร่วมมือทันที
ทว่าผลลัพธ์กลับทำให้เหมียวอี้ค่อนข้างผิดหวัง ใช้พลังอิทธิฤทธิ์จนเกือบหมดแต่ก็ยังทำให้อวิ๋นจือชิวมีปฏิกิริยาอะไรไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าถ้ามีแค่ตาทิพย์อย่างเดียวจะไม่สามารถใช้พลังอภินิหารเหมือนเสิ้นหมีได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าเสิ้นหมีทำได้อย่างไร เรื่องนี้ทำให้เขานึกเสียดายทีหลัง ถ้ามีพลังอภินิหารเหมือนเสิ้นหมี ในภายหลังตอนเจอศัตรูก็จะมีประโยชน์มาก น่าเสียดาย!
เป็นที่แห่งเดิมนั้นเอง เขาใช้เวลาอีกเกือบครึ่งวันเพื่อฟื้นฟูพลังอิทธิฤทธิ์ โดยมีอวิ๋นจือชิวอยู่ข้างกาย คอยระแวดระวังรอบข้างให้เขา
จนกระทั่งพลังอิทธิฤทธิ์ฟื้นตัวกลับมาแล้ว เหมียวอี้ก็เรียกเฮยทั่นออกมาอีก เพื่อพิสูจน์การคาดเดาว่าตัวเองสามารถมองทะลุเสื้อผ้าได้
สองสามีภรรยากำลังยืนเคียงกันและเงยหน้ามองบนท้องฟ้า ส่วนเฮยทั่นก็เหาะวนฉวัดเฉวียนอยู่บนท้องฟ้า ไม่นานก็พ่นเมฆหมอกผืนใหญ่ออกมา แล้วซ่อนตัวอยู่ในนั้นโดยไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร
เสาแสงยิงออกมาจากหว่างคิ้วของเหมียวอี้อีกครั้ง ตาทิพย์เปิดออก เฮยทั่นที่หลบเงียบๆ อยู่ในเมฆหมอกไม่มีที่ให้ซ่อนตัว เหมียวอี้มองเห็นตำแหน่งที่มันซ่อนตัวอยู่อย่างชัดเจน
หลังจากเห็นเขาเลิกใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์ อวิ๋นจือชิวก็ถามว่า “มองเห็นมั้ย?”
“มองเห็นได้ สงสัยสิ่งที่ข้าเดาจะไม่ผิด” เหมียวอี้พยักหน้า
“ถ้าสิ่งที่เจ้าเดานั้นถูกต้อง ถ้ามีความโปร่งแสงในระดับหนึ่งก็จะสามารถมองทะลุได้ ก็แสดงว่าตาทิพย์สามารถตรวจดูตามการหักเหของแสง หรือพูดได้อีกอย่างว่า หลักการที่เจ้าบอกว่าถ้ามีภูเขาหรือก้อนหินบังจะมองไม่เห็นก็ไม่จริง ถ้าเป็นการมองเห็นจากการหักเเหมือนกัน แล้วทำไมจะอ้อมไปมองสิ่งที่ซ่อนอยู่ข้างหลังภูเขากับก้อนหินไม่ได้? เจ้าเข้าใจสิ่งที่ข้าจะสื่อมั้ย?” อวิ๋นจือชิวถามอย่างสงสัยนิดหน่อย
เหมียวอี้ทำท่าครุ่นคิด แล้วถามกลับถามว่า “จะลองดูอีกหน่อยมั้ยล่ะ?”
อวิ๋นจือชิวพยักหน้า แล้วลอยออกไป ร่างนางซ่อนอยู่ด้านหลังหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล แล้วบอกว่า “หนิวเอ้อร์ ลองดูสิ!”
หว่างคิ้วเหมียวอี้เปล่งแสง ตาทิพย์เปิดออกอีกครั้ง จ้องมองไปที่หินขนาดใหญ่ก้อนนั้น ขณะที่มองก็เพิ่มพลังอิทธิฤทธิ์ขึ้นอีก ความคิดของเขาต้องการจะมองเห็นด้านหลังก้อนหิน แล้วสิ่งมหัศจรรย์ก็ปรากฏขึ้นอย่างที่คาดไว้ เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าการมองเห็นของตาทิพย์ลอยไปรอบๆ หินก้อนใหญ่ และชั่วพริบตาเดียวก็มองเห็นอวิ๋นจือชิวที่อยู่ข้างหลังอย่างชัดเจน
“น้องชิว เจ้าพูดไว้ไม่ผิด ข้ามองเห็นแล้วจริงๆ” เหมียวอี้ตะโกนบอกอย่างตื่นเต้น แล้วก็พูดเสริมอีกว่า “เจ้ากำลังลูบจมูก ลูบหัว ลูบหู”
“ลองดูอีกสักครั้ง!” พออวิ๋นจือชิวพูดจบ ก็เหาะออกมาจากด้านหลังก้อนหิน เหาะไปเหยียบลงด้านหลังภูเขาที่อยู่ไกลๆ
ดวงตาอิทธิฤทธิ์ของเหมียวอี้สะกดรอยตามไป จ้องไปภูเขาลูกนั้น ภายใต้การควบคุมของพลังจิต สายตาของตาทิพย์เคลื่อนย้ายไปอย่างรวดเร็วอีกครั้ง ไม่นานก็เห็นสภาพของด้านหลังภูเขาอย่างชัดเจน เห็นอวิ๋นจือชิวนั่งอยู่บนหินก้อนหนึ่งและโผล่หน้าออกมาเงี่ยหูฟัง แต่ครั้งนี้เหมียวอี้รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าพลังอิทธิฤทธิ์หมดเปลืองไปอย่างรวดเร็วรุนแรงยิ่งขึ้น
เหมียวอี้ร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนเสียงดังทันที “เห็นแล้ว เจ้านั่งอยู่บนก้อนหิน” พูดจบก็หยุดใช้ดวงตาทิพย์
เงาคนที่อยู่ด้านลังภูเขาถลันวูบกลับมา อวิ๋นจือชิวเหยียบลงตรงด้านหน้าของเขา แล้วกล่าวอย่างตื่นเต้นประหลาดใจ “ลองอีกครั้งสิ เจ้าไปด้านหลังดาวเคราะห์แล้วลองดูว่าจะเห็นข้าที่ยืนอยู่ตรงนี้หรือเปล่า”
เมฆหมอกที่อยู่บนท้องฟ้าลอยสลายไปทีละนิด เหมียวอี้เรียกเฮยทั่นมาอยู่เป็นเพื่อนอวิ๋นจือชิว แล้วโยนยาแก่นเซียนเข้าปาก หลังจากฟื้นฟูพลังอิทธิฤทธิ์แล้วก็รีบเหาะขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากลอยไปอยู่ด้านหลังดาวเคราะห์และหยุดยืนอยู่บนท้องฟ้า เหมียวอี้ก็เปิดตาทิพย์อีกครั้ง ควบคุมพลังจิตควบคุมหมายจะมองด้านหลังดาวเคราะห์
เขารู้สึกได้ว่าสายตาของตาทิพย์กระจายไปรอบๆ ดาวเคราะห์ แต่ผลปรากฏว่าพลังอิทธิฤทธิ์ไหลออกอย่างบ้าคลั่งไม่หยุด ชั่วพริบตาเดียวความรู้สึกวิงเวียนศีรษะอย่างรุนแรงก็มาเยือน
เขามีประสบการณ์มาแล้วครั้งหนึ่ง จึงรีบหยุดใช้ตาทิพย์ โยนยาแก่นเซียนเข้าปากก่อน จากนั้นก็หยิบระฆังดาราออกมา ติดต่ออวิ๋นจือชิวอย่างค่อนข้างอ่อนเพลีย : ไม่ไหวแล้ว! มองไม่เห็น
อวิ๋นจือชิวถาม : เป็นเพราะพื้นที่ดาวเคราะห์ใหญ่เกินไปหรือเปล่า?
เหมียวอี้ : นี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุ สาเหตุที่สำคัญที่สุดคือวรยุทธ์ของข้ายังไม่สูงพอ ทนรับการใช้พลังอิทธิฤทธิ์ไม่ไหว ข้ารู้สึกได้ ว่าถ้ามีพลังอิทธิฤทธิ์สนับสนุนเพียงพอ ก็คงจะเลี้ยวผ่านพื้นที่ขนาดใหญ่แล้วมองเห็นเจ้าได้ ไม่พูดแล้ว ข้าจะฟื้นฟูพลังอิทธิฤทธิ์ก่อนแล้วค่อยไปหา ตอนใช้พลังเมื่อครู่นี้ทำเอาพลังอิทธิฤทธิ์ของข้าเกือบหมดเกลี้ยง เกือบสลบแล้ว!
อวิ๋นจือชิว : เจ้าฟื้นฟูอยู่ตรงนั้นแหละ ไม่ต้องมาแล้ว ข้ากับเฮยทั่นจะไปหาเอง
ผ่านไปไม่นาน อวิ๋นจือชิวก็ขี่เฮยทั่นมาถึงดาวเคราะห์ฝั่งนี้
ถึงแม้ดาวเคราะห์ที่รกร้างดวงนี้จะไม่ถือว่าใหญ่โตมาก แต่ถ้าใครสักคนจะซ่อนตัว ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาพบได้อย่างราบรื่น แต่ยังดีที่มีเฮยทั่นอยู่ เฮยทั่นสามารถสัมผัสได้ว่าเหมียวอี้อยู่ตรงไหน แทบจะแบกอวิ๋นจือชิวมุ่งตรงสู่ตรงกลางระหว่างภูเขาหินสองลูกที่เหมียวอี้ซ่อนตัว
หลังจากเหยียบลงพื้น ทั้งคู่ก็คอยคุ้มกันเหมียวอี้
นี่ก็คือข้อดีของเฮยทั่น ไม่เหมือนสัตว์เทพพวกนั้นที่โดนร่ายอิทธิฤทธิ์ลบความทรงจำแล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ให้จดจำเจ้าของคนใหม่ แน่นอน เดิมทีอาชามังกรก็มีความสามารถนี้อยู่แล้ว ตอนแรกที่อยู่การปราบจลาจลทะเลดาวนักษัตร ต่อให้มันจะแยกจากเหมียวอี้ไกลขนาดไหน แต่เฮยทั่นก็ยังหาเขาพบ ต่อให้ไม่พูดเรื่องพวกนี้ แต่สัตว์เทพที่รักษาสติปัญญาไว้ครบถ้วน มีความสามารถในการปรับตัวได้เองอย่างเฮยทั่น สัตว์เทพที่ถูกซื้อไปขายมาพวกนั้นเทียบไม่ติดอยู่แล้ว
นี่ก็คงนับว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้คนกับสัตว์ซึ่งพูดคนละภาษาเดินมาด้วยกันตลอดทางโดยไม่ทอดทิ้งกัน ถ้าไม่มีเหมียวอี้ทุ่มเททรัพยากรจำนวนมากสนับสนุน ก็ไม่มีการวิวัฒนาการของเฮยทั่นในวันนี้ ส่วนความจงรักภักดีที่เฮยทั่นมีต่อเหมียวอี้ก็เป็นสิ่งที่แน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัยเช่นกัน มันเองก็ไม่ได้โง่ ใครที่ดีกับมันจริงๆ หรือดีกับมันหลอกๆ ผ่านมาหลายปีขนาดนี้มันแยกออกแล้ว เดินมาด้วยกันตลอดทางตั้งแต่ยังอ่อนด้อยต่ำต้อย พวกเขาเข้าใจกันและกัน
เมื่อมองดูเหมียวอี้ที่กำลังนั่งขัดสมาธิ แล้วลูบเฮยทั่นที่กำลังสั่นหัวส่ายหางช้าๆ คอยระแวดระวังรอบข้าง ในใจอวิ๋นจือชิวก็ทอดถอนใจไม่หยุด
ในสายตานาง ถึงแม้เหมียวอี้ไม่จะไม่สุภาพบุรุษคนดีอะไร แต่ลึกๆ แล้วมีอีกด้านที่ให้ความสำคัญกับมิตรภาพมากเกินไป ด้วยเหตุนี้กับบางเรื่องเขาจึงดูเหลาะแหละไม่เด็ดขาด ทว่าความเป็นจริงในแดนฝึกตนนี้ คนที่สามารถทำการใหญ่ สามารถยืนอยู่ในจุดสูงและก้มมองสรรพสิ่งได้ มีใครบ้างที่ไม่เหยียบศพศัตรูหรือมิตรสหายเพื่อก้าวเดินขึ้นไปบ้าง เวลาที่ต้องเผชิญกับความสัมพันธ์ที่สำคัญและต้องตัดสินใจเลือก ถ้าใต้เท้าไม่เหยียบศพมิตรสหายบ้าง ก็ไม่มีทางเดินขึ้นได้สูงถึงระดับนั้น
กับประมุขถิ่นสี่ทิศของทะเลดาวนักษัตร เห็นได้ชัดเจนว่ามาสาบานร่วมเป็นพี่น้องเพราะผลประโยชน์ แต่หลังจากอยู่ด้วยกันนานจนเริ่มผูกพันกันแล้ว คนอย่างหนิวเอ้อร์ก็ไม่มีทางทำเรื่องทรยศได้ลง นี่คือจุดที่แย่ในสายตาของอวิ๋นจือชิว ยกตัวอย่างเช่นการทดสอบหนึ่งร้อยปีครั้งนั้น นางกล้าแน่ใจได้เลยว่าถ้าหนิวเอ้อร์กลับมาไม่ได้ พวกฝูชิงจะต้องลงมือกับพวกนางแน่นอน แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นให้พวกฝูชิงไปร่วมการทดสอบแล้วกลับมาไม่ได้ หนิวเอ้อร์ก็ไม่มีทางทำอย่างนั้น
ถ้าพูดแบบไม่น่าฟังหน่อย ถ้าไม่ใช่เพราะหนิวเอ้อร์โชคดีและมีเรื่องมหัศจรรย์ช่วยสนับสนุน ภายใต้แนวโน้มของสถานการณ์ ต่อให้จะรับมือกับเรื่องฉุกเฉินได้เก่งว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าทำเรื่องที่ไม่รู้จักแยกแยะข้อดีข้อเสียพวกนั้นตอนอยู่ที่พิภพเล็ก ก็คงจะโดนหกปราชญ์ฆ่าตายไปแปดร้อยรอบตั้งนานแล้ว ถึงขั้นไม่ต้องให้หกปราชญ์ลงมือเองด้วยซ้ำ มีหรือที่จะรอดชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้ ทว่าเรื่องบางเรื่องก็เป็นแบบนี้ ถ้าเหมียวอี้ใช้เหตุผลและสติปัญญามากเกินไป ถ้าใช้สติปัญญาเหมือนหยางชิ่ง นางก็ไม่มีทางเดินร่วมทางกับเหมียวอี้ได้เลย ทุกครั้งที่นึกย้อนกลับไป นางก็รู้สึกว่าเป็นโชคชะตาจริงๆ
แต่กลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง เมื่อคนเราขึ้นมาอยู่ในจุดที่แบ่งแยกลำดับสูงต่ำ แบ่งแยกลำดับผลประโยชน์ อวิ๋นจือชิวก็ไม่คิดว่าจะมีคำว่าพี่น้องร่วมสาบานคงอยู่อีกต่อไป นั่นคือคำพูดของคนที่หาทางผูกมัดจิตใจด้วยเล่ห์เพทุบายเท่านั้น ถึงตอนนั้นแม้แต่พี่น้องแท้ๆ ก็ยังสะสางบัญชีกันได้เลย ในโลกมนุษย์ของพิภพใหญ่ มีตั้งกี่ราชวงศ์ที่เข่นฆ่ากันเองเพื่ออำนาจกษัตริย์? หลักการก็เหมือนกัน! ลองเปลี่ยนวิธีพูดใหม่ ถ้าพวกฝูชิงสำคัญตัวเองมากเกินไป จนเกิดเป็นนิสัยที่คิดไปเองว่าพี่น้องร่วมสาบานอย่างพวกเขาอยู่ในระดับเดียวกับเหมียวอี้ ถ้าเป็นแบบนั้น ต่อไปพวกฝูงชิงก็จะค่อยๆ ตัดสินใจเรื่องราวมากมายที่ตลาดสวรรค์เองโดยพลการ จะเริ่มนึกว่าตัวเองสามารถตัดสินใจแทนเหมียวอี้ได้ และแน่นอนว่าจะอ้างเหตุผลว่าทำไปเพราะหวังดีกับทุกคน แต่เมื่อเวลานานไปก็จะแบ่งแยกลำดับความสำคัญไม่เป็น จะเกิดความขัดแย้งที่ใหญ่กว่าเดิม จะไม่เป็นผลดีกับใครทั้งนั้น นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมราชาในโลกมนุษย์เหล่านั้นจึงมักจะบุกเบิกอาณาจักรได้แต่แบ่งปันอาณาจักรไม่ได้ สมบัติลาภยศข้าสามารถให้พวกเจ้าได้ แต่ใต้หล้ากลับแบ่งกันไม่ได้ หลังจากครองใต้หล้าได้แล้ว ก็ต้องให้สหายและพี่น้องที่ร่วมฝ่าฟันมาด้วยกันยอมศิโรราบ ถ้าไม่ยอมก็ต้องฆ่า!
ในเมื่อเหมียวอี้ทำไม่ลง อวิ๋นจือชิวก็ทำได้เพียงช่วยเขาทำ เคาะระฆังเตือนภัยให้พวกผู้ชิงก่อน ให้พวกฝูชิงละทิ้งอำนาจที่จะนั่งอยู่ระดับเดียวกับเหมียวอี้!
ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ อวิ๋นจือชิวคิดว่าเหมียวอี้ขาดศักยภาพในการเป็นสิงห์ร้ายที่มีความเห่อเหิมทะเยอทะยาน เขาสามารถทำให้ตระกูลครองใต้หล้าได้ แต่กลับปกครองใต้หล้าได้ยาก!
นางไม่ได้คิดว่าเหมียวอี้จะต้องปกครองใต้หล้าอะไรแบบนั้น แต่คิดว่าในเมื่อเขาเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของทุกคนแล้ว ก็ต้องปกครองและควบคุมทุกคน เรื่องไมตรีจิตต้องแยกแยะเวลา ถ้าวุ่นวายจนตอนสุดท้ายแตกความสามัคคี แปรพัตร์กลายเป็นศัตรูกัน แบบนั้นก็จะตัดกำลังของทุกคน ไม่เป็นผลดีกับใครทั้งนั้น!
แต่ก็เป็นเพราะอย่างนี้ อวิ๋นจือชิวที่กำลังลูบตัวเฮยทั่นถึงได้ทอดถอนใจ ตอนที่ยังอ่อนแอต่ำต้อย ไม่ว่าใครก็ต้องพยายามรวบรวมทรัพยากรฝึกตนเพื่อตัวเองทั้งนั้น ในสถานการณ์ที่ตัวเองมีทรัพยากรฝึกตนไม่พอ ใครมันสร้างเกราะรบให้อาชามังกรของตัวเองบ้าง? ถ้าอาชามังกรตายแล้วอย่างมากก็แค่เปลี่ยนตัวใหม่ มันไม่ใช่สิ่งที่ราคาแพงมากในแดนฝคกตน จะมีใครที่ทำแบบเหมียวอี้บ้าง? ในทางตรงกันข้าม หากไม่ได้ทำแบบนี้ เฮยทั่นก็คงสู้รบจนตายตอนที่ออกรบพร้อมกับเหมียวอี้ไปนานแล้ว ตอนแรกที่เหมียวอี้ทำเหราะรบให้เฮยทั่น เหมียวอี้ก็ไม่รู้ด้วยวว่าเฮยทั่นสามารถวิวัฒนาการได้
ดังนั้นจึงโชคดีที่เหมียวอี้ปกป้องเฮยทั่นมาตลอด ถึงได้เห็นเฮยทั่นเหมือนอย่างทุกวันนี้ ถึงได้แลกมาด้วยเฮยทั่นที่จงรักภักดีต่อเจ้าของ เรียกว่าทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้นจริงๆ!
เช่นเดียวกัน ก็เพราะเหตุนี้นี่เอง อวิ๋นจือชิวถึงได้รู้สึกว่าอยู่กับผู้ชายแบบเหมียวอี้แล้วสงบใจ อวิ๋นจือชิวสามารถเชื่อใจเหมียวอี้ได้โดยไม่ต้องมีเหตุผลอะไรเลยแม้แต่น้อย ถ้านางประสบอันตรายขึ้นมา เหมียวอี้จะต้องยอมทุ่มเทเสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องและช่วยชีวิตนางแน่นอน เพราะแบบนี้นางถึงได้ยอมปิดตาข้างเดียวกับบางเรื่องที่เหมียวอี้ทำ มีเรื่องมากมายที่นางมีความคาดหวังสูงกับเหมียวอี้มาตลอด แต่ในทางปฏิบัติไม่ได้หวังสูง
ท้องฟ้าเงียบสงบ เวลาเพียงชั่วประเดี๋ยวเดียวนี้ อวิ๋นจือชิวคิดเรื่องอะไรไปแล้วมากมาย
เมื่อได้ยินเสียงเหมียวอี้ลุกขึ้นยืนหลังจากฟื้นฟูพลังอิทธิฤทธิ์แล้ว อวิ๋นจือชิวก็หายเหม่อลอย นางจ้องตรงหว่างคิ้วเขาพร้อมยิ้มอย่างสนิทสนม “หนิวเอ้อร์ ครั้งนี้เริ่มจากได้เคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าภาคดิน แล้วก็บังเอิญได้ตาทิพย์ข้างนี้มา สำหรับเจ้าแล้วมันคือของดีที่ทำให้ศักยภาพของเจ้าแข็งแกร่ง เจ้านี่โชคดีจนน่าอิจฉา ขนาดปีศาจหอยนั่นโจมตีเจ้า แต่ก็ยังทำให้เจ้าได้ของดีมาชิ้นหนึ่งเลย มอบพลังอภินิหารให้เจ้า คนเรานี่พอเปรียบเทียบกันแล้วก็น่าโมโหจริงๆ”
“ใครใช้ให้ข้าได้แต่งงานกับฮูหยินดีๆ ล่ะ จะเห็นได้ว่าน้องชิวมีโหงวเฮ้งว่าจะมีสามีรวย!” เหมียวอี้ได้ยินแล้วยิ้มอย่างร่าเริง ยื่นมือไปช้อนคางนางเล็กน้อย “โชคดีที่ไม่ได้ตกอยู่ในมือเฟิงเสวียน!”
“เชอะ! เจ้าจงใจทำให้ข้าสะอิดสะเอียนให้มั้ย?” อวิ๋นจือชิวที่โดนสะกิดปมด้อยส่อเค้าว่าจะปรี๊ดแตกทันที
เหมียวอี้ไอแห้งๆ หนึ่งที แล้วรีบเปลี่ยนประเด็นสนทนา กล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ไปดาวดำเนินเซียนครั้งนี้ นอกจากจะได้สมบัติแล้ว แต่ข้าว่าตาทิพย์อาจจะไม่ใช่ดอกผลที่ใหญ่ที่สุด ข้ารู้สึกว่าข้าได้ข้อคิดที่ยิ่งใหญ่และสำคัญอีกอย่างหนึ่ง”
“อะไร?” อวิ๋นจือชิวถามอย่างแปลกใจทันที
“ช่วงนี้ข้าได้อยู่เงียบๆ กับหงเฉินสองสามวัน ตอนนั้นข้าครุ่นคิดไตร่ตรองไปด้วย ทำให้พบต้นสายปลายเหตุแล้วนิดหน่อย” เหมียวอี้ที่กำลังครุ่นคิดกล่าวอย่างลังเล
“เชอะ!” อวิ๋นจือชิวพูดเหยียดหยามว่า “ถ้าจะเปลี่ยนประเด็นพูดก็เลือกเหตุผลให้มันดีๆ หน่อยสิ ตอนอยู่กับหงเฉินเจ้าครุ่นคิดอะไรอยู่? คิดว่าจะพลอดรักกับคนใหม่ยังไงใช่มั้ย? คำโบราณกล่าวไว้ไม่ผิดหรอก แต่ไหนแต่ไรมาก็ได้ยินเพียงเสียงหัวเราะของคนใหม่ ใครเล่าจะได้ยินเสียงร้องไห้ของคนเก่า!”
เหมียวอี้ปวดประสาทขึ้นมาทันที “ถ้าเจ้าดึงดันจะพูดอย่างนี้ ข้าก็หมดหนทางแล้ว ข้าพูดความจริงนะ ข้อคิดอีกอย่างเกี่ยวข้องกับตาทิพย์ของข้า เจ้าไม่ได้สังเกตเหรอว่าตาทิพย์ใช้วิธีการไหนมาอยู่ตรงหว่างคิ้วของข้า?” เขายื่นมือชี้ตรงหว่างคิ้วตัวเอง
อวิ๋นจือชิวชะงักไปชั่วครู่ แล้วถามว่า “เจ้าหมายถึงช่องว่างตรงนั้นน่ะเหรอ?”
“ใช่แล้ว!” เหมียวอี้พยักหน้าช้าๆ “ตอนนั้นปีศาจหอยโจมตีข้า อยากจะเอาชนะข้าให้ได้ แต่ข้ารวบรวมสมาธิต่อต้านเขา ความเปลี่ยนแปลงที่เขาสร้างไว้บนตัวข้า ข้ารู้สึกถึงมันได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ตอนนั้นพลังอิทธิฤทธิ์ของเขามีไม่ครบแล้ว หลังจากโจมตีไปหนึ่งครั้ง พลังอิทธิฤทธิ์ก็ค่อนข้างมีจำกัด ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเลย แต่เขากลับสามารถอาศัยพลังอิทธิฤทธิ์ที่อ่อนแอสร้างช่องว่างในร่างกายข้าได้ เป็นพวกที่มีศักยภาพไม่ธรรมดา ทำเรื่องยากได้อย่างสบายๆ ขั้นตอนและวิธีการที่เขาสร้างช่องว่างตรงหว่างคิ้วข้า ข้ารู้สึกได้อย่างชัดเจน จำได้เหมือนเพิ่งเกิดขึ้น เจอบทเรียนกับตัวชัดเจนขนาดนี้ ทำให้ข้าตระหนักอะไรได้แล้ว”
…………………………
บทที่ 1162 ถ่ายทอดวิชา
โดย
Ink Stone_Fantasy
อวิ๋นจือชิวพอจะฟังเข้าใจคร่าวๆ แล้ว แต่กลับไม่กล้าแน่ใจ จึงถามหยั่งเชิงว่า “เจ้าหมายความว่า เจ้าตระหนักได้ถึงความลับในการบุกเบิกสร้างพื้นที่ว่างบนกายเนื้อของเจ้าเหรอ?”
เหมียวอี้พยักหน้า “เหมือนจะมีจุดที่ตระหนักได้บ้าง พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมนักพรตปีศาจถึงสามารถหดหรือขยายร่างกายให้กลายเป็นมนุษย์ได้”
อวิ๋นจือชิวกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “นักพรตปีศาจกลายร่างเป็นคน กายเนื้อต้องผ่านการเปลี่ยนสภาพ เดิมทีตอนเปลี่ยนสภาพกายเนื้อก็เป็นขั้นตอนของการหลอมใหม่อยู่แล้ว ขั้นตอนนี้สามารถทำให้นักพรตปีศาจตระหนักได้ถึงความหมายที่ลึกซึ้งบางอย่างในการบุกเบิกพื้นที่ว่าง แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ นักพรตปีศาจโดยทั่วไปก็ใช่ว่าอยากจะเปลี่ยนเป็นอะไรก็เปลี่ยนได้ แน่นอนว่าปีศาจจิ้งจอกพันหน้าของปี้เยว่ฮูหยินเป็นข้อยกเว้น ขนาดนักพรตปีศาจยังเป็นแบบนี้เลย ส่วนมนุษย์ก็ไม่มีความสามารถในการเปลี่ยนร่างโดยกำเนิดอยู่แล้ว ดังนั้นต่อให้มีคนตระนักได้ถึงความหมายที่ลึกซึ้งของพื้นที่ว่าง ก็ทำได้เพียงทดลองมันบนวัสดุหลอมของวิเศษเหมือนกับนักหลอมของวิเศษ เจ้าเคยเห็นนักหลอมของวิเศษคนไหนสร้างพื้นที่ว่างบนร่างกายตัวเองมั้ยล่ะ? ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นมาก็เท่ากับฆ่าตัวตาย ถ้าวรยุทธ์ไม่ถึงระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพ ก็ไม่สามารถใช้พลังอิทธิฤทธิ์อันแข็งแกร่งกดข่มพลังทำลายล้างของช่องว่างได้ ไม่ใช่เรื่องดีที่จะทดลองบนกายเนื้อของตัวเอง เจ้าอยู่ที่พิภพใหญ่คงจะเคยได้ยินมาก่อน คนที่สามารถสร้างช่องว่างบนร่างกายตัวเองได้ โดยทั่วไปล้วนมีวรยุทธ์ระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพทั้งนั้น”
“แล้วการที่ปีศาจหอยสร้างช่องว่างตรงหว่างคิ้วของข้าจะอธิบายว่ายังไง? ตอนที่เขาทำแบบนี้ พลังอิทธิฤทธิ์ก็มีจำกัดเหมือนกัน”
“เห็นได้ชัดว่าเขาทำจนชำนาญแล้ว และช่องว่างที่เขาสร้างตรงหว่างคิ้วเจ้าก็เล็กเกินไป ไม่เพียงพอที่จะทำให้เจ้าบาดเจ็บด้วย! หนิวเอ้อร์ ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าเสี่ยงอันตราย เจ้าไม่มีประสบการณ์จึงไม่มีทางควบคุมขนาดในการสร้างช่องว่าง มิหนำซ้ำต่อให้เจ้าเรียนรู้จนเข้าใจสิ่งนี้แล้วยังไงต่อล่ะ? มีกำไลเก็บสมบัติคอยช่วยอยู่แล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้สิ่งนี้มาทรมานบนกายเนื้อของตัวเอง”
“ไม่ต้องห่วง ตอนที่ยังมีภาพความทรงจำเกี่ยวกับวิธีการบุกเบิกช่องว่าง ข้าแค่อยากจะถือโอกาสเก็บตัวศึกษาอย่างละเอียดสักหน่อย ถ้าไม่มีความมั่นใจข้าก็ไม่ทดลองง่ายๆ หรอก”
หลังจากพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกันแล้ว ทั้งสองก็เก็บเฮยทั่น แล้วกลับไปที่ตลาดสวรรค์
เมื่อกลับมาถึงชัยภูมิถ้ำสวรรค์ในร้านโฉมเมฆา สองสามีภรรยาก็เรียกเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ให้มาหา
ในศาลา เมื่อเห็นสองสามีภรรยานั่งยิ้มบางๆ จ้องพวกนางสองคน พวกนางก็สบตากันแวบหนึ่ง ไม่เข้าใจว่าทำไมทำแบบนี้
เป็นเหมียวอี้ที่เอ่ยขึ้นก่อนว่า “เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ ข้ายังจำภาพเหตุการณ์ที่พวกเจ้าติดตามรับใช้ข้าตอนข้ามาถ้ำคล้อยบูรพาครั้งแรกได้ ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วหลายปี ตอนแรกพวกเจ้าปรนนิบัติข้าอย่างสุดกำลังความสามารถ ตอนหลังก็ติดตามอยู่ข้างกายฮูหยินของข้า อดทนทำงานด้วยความยากลำบาก จงรักภักดีมาตลอด พวกเจ้าสองคนเองก็รู้ ว่าข้ากับฮูหยินไม่ได้เห็นพวกเจ้าเป็นคนนอก ถึงแม้ในนามพวกเจ้าจะเป็นสาวใช้ แต่ข้าเห็นพวกเจ้าเป็นผู้หญิงของข้าเสมอมา ฮูหยินก็เห็นพวกเจ้าเป็นน้องสาวเช่นกัน แน่นอน ฮูหยินเจ้าอารมณ์กว่าข้านิดหน่อย”
“เชอะ!” อวิ๋นจือชิวค้อนใส่เขา
การที่ทั้งสองพูดจาดูเป็นจริงเป็นจังแบบนี้ กลับทำให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์เริ่มกังวลขึ้นมาแล้ว เชียนเอ๋อร์ถามว่า “นายท่าน ฮูหยิน พวกเราทำอะไรไม่เหมาะสมหรือเปล่าเจ้าคะ?”
“คิดมากไปแล้ว!” เหมียวอี้โบกมือ แล้วพยักหน้าบอกอวิ๋นจือชิว “เอาของให้พวกนางเถอะ”
อวิ๋นจือชิวพลิกมือหยิบแผ่นหยกออกมาสี่แผ่น มีสองแผ่นวางซ้อนกัน วางซ้อนกันสองแผ่นอยู่ทางซ้ายและขวาบนโต๊ะ แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มสนิทสนม “นายท่านกำลังตามหาหกเคล็ดวิชาพิเศษฉบับสมบูรณ์มาตลอด คนอื่นไม่รู้เรื่องนี้ แต่มันก็เคยผ่านมือพวกเจ้ามาแล้ว ในใจย่อมรู้ชัด ตอนนี้นายท่านรวบรวมเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทาน มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง เคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าที่เป็นภาคคนกับภาคดินได้ครบแล้ว เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานเป็นวิชามาร ถ้าให้พวกเจ้าฝึกพวกเจ้าก็ต้องเปลี่ยนแปลงวรยุทธ์ทั้งตัว ไม่เหมาะสมกับพวกเจ้าสองคน ถึงแม้นายท่านจะยังตามหาส่วนหลังของอีกสามเคล็ดวิชา แต่มหาเคล็ดวิชาหมื่นปีศาจก็เหมาะสมกับนักพรตปีศาจ เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางก็เหมาะกับนักพรตผี หฤทัยสูตรสุขาวดีเพราะกับนักพรตพุทธ วิชาพวกนั้นไม่เหมาะสมกับพวกเจ้า ดังนั้นหลังจากที่นายท่านไตร่ตรองดูแล้ว ก็ตัดสินใจนำมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงกับเคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าที่เป็นภาคดินกับภาคคนมาให้ถ่ายทอดให้พวกเจ้าสองคนฝึก”
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ได้ยินแล้วปลาบปลื้มดีใจ ต่อให้ทั้งสองนอนหลับฝันก็นึกไม่ถึง ว่าวันหนึ่งตัวเองจะได้ฝึกเคล็ดวิชาเดียวกับหกปราชญ์ ทั้งยังได้ฝึกเคล็ดวิชาส่วนที่สมบูรณ์กว่าหกปราชญ์ด้วย ทั้งสองจึงคำนับขอบคุณพร้อมกันทันที “ขอบคุณนายท่าน ขอบคุณฮูหยินเจ้าค่ะ”
อวิ๋นจือชิวโบกมือ “กล่าวขอบคุณก็พอแล้ว คนบ้านเดียวกันพูดจาภาษาเดียวกัน พวกเจ้าสองคนคือคนสนิทข้างกายของข้ากับนายท่าน เมื่อพวกเจ้ามีศักยภาพที่แข็งแกร่งก็จะเป็นผลดีกับครอบครัวนี้ พวกเจ้าไม่ต้องห่วง ถ้านายท่านมีโอกาสหาภาคฟ้าของมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงกับเคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าพบจริงๆ ก็จะนำมาให้พวกเจ้าในทันที พวกเจ้าฝึกฝนภาคคนกับภาคดินไปก่อนแล้วกัน”
“เจ้าค่ะ!” สองสาวเอ่ยรับอย่างยินดีปรีดา
เหมียวอี้กล่าวด้วยรอยยิ้มอีกว่า “เดิมทีคิดจะให้พวกเจ้าฝึกวิชาเดียวกัน แต่ข้าคิดว่าทุกคนไม่จำเป็นต้องรวมตัวไปฝึกวิชาเดียวกันหรอก ในหกเคล็ดวิชาพิเศษ นอกจากเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานที่ดีกว่านิดหน่อย แต่ที่เหลืออีกห้าเคล็ดวิชาก็มีข้อดีต่างกันไป ไม่อย่างนั้นจะรักษาสมดุลที่พิภพเล็กมาหลายปีได้อย่างไร ข้าก็เลยเลือกสองเคล็ดวิชานี้มาให้พวกเจ้าเลือก ตอนนี้สองเคล็ดวิชาวางอยู่ตรงหน้าพวกเจ้าแล้ว เพื่อความยุติธรรม พวกเรามาจับฉลากกันเถอะ!”
เขาโบกมือดูดกิ่งไม้แห้งจากพุ่มดอกไม้ข้างหลังมาหักเป็นสองส่วน ทำท่าทางเหมือนเล่นอย่างสนุกสนาน
เพี้ยะ! ใครจะคิดว่าอวิ๋นจือชิวจะตบปัดกิ่งไม้จากมือเจ้าทิ้ง แล้วหันกลับมาบอกหญิงรับใช้ทั้งสองว่า “อย่าไปเล่นไร้สาระกับเขา มาหยิบเอาเอง ใครหยิบอะไรไปก็นับว่าได้วิชานั้น พวกเดียวกันไม่มีอะไรน่าแย่งกัน”
สองสาวมองเหมียวอี้ที่กลอกตามองบนแวบหนึ่ง แล้วเม้มปากขำพร้อมเอ่ยรับ “เจ้าค่ะ!”
“เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้าก่อนสิ!”
“พี่สาว ท่านเลือกก่อนเถอะ”
ทั้งสองเริ่มเกี่ยงกันแล้ว อวิ๋นจือชิวจึงตบโต๊ะแล้วบอกว่า “พวกเจ้าจะเกี่ยงอะไรกัน? คนน้องเลือกก่อน พี่สาวสมควรจะยอมให้น้องสาว เสวี่ยเอ๋อร์เลือกก่อน”
เมื่อนางกล่าวมาแบบนี้ สองสาวก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว เพียงแต่เสวี่ยเอ๋อร์ไม่ได้เลือก แต่ยื่นมือหยิบอันที่อยู่ใกล้ อีกวิชาหนึ่งจึงกลายเป็นของเชียนเอ๋อร์ไป หลังจากทั้งสองอ่านแล้วก็ต่างคนต่างรายงานของตัวเอง เชียนเอ๋อร์ได้เคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าสองภาค เสวี่ยเอ๋อร์หยิบได้มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงสองภาค
“ห้ามเปิดเผยวิชานี้ต่อภายนอก พวกเจ้าท่องจำให้ขึ้นใจก่อน แล้วตอนหลังอย่าลืมทำลายแผ่นหยกทิ้ง” อวิ๋นจือชิวสั่งอีกครั้ง
“เจ้าค่ะ!” สองสาวเข้าใจถึงความเกี่ยวข้องที่ร้ายแรงของมัน เอ่ยรับแล้ว
อวิ๋นจือชิวถอนหายใจแล้วบอกว่า “พวกช่างไม้น่าจะมากันครบแล้วนะ เสวี่ยเอ๋อร์ ไปบอกให้พวกเขาสี่คนเข้ามาเถอะ”
“เจ้าค่ะ!” เสวี่ยเอ๋อร์เร่งฝีเท้าเดินออกไป ส่วนเชียนเอ๋อร์ก็ยืนขึ้นแล้วไปยืนอยู่ข้างหลังสองสามีภรรยา
ผ่านไปครู่เดียว บัณฑิต ช่างไม้ ช่างหินและพ่อครัวก็เข้ามาพร้อมกัน พอเข้ามาในศาลาก็ยืนเรียงแถวหน้ากระดาน แล้วคำนับพร้อมกัน “นายท่าน ฮูหยิน!”
อวิ๋นจือชิวยกมือขึ้น บอกใบ้ว่าไม่ต้องมากพิธี “พวกเจ้าสี่คนติดตามรับใช้ข้ามาหลายปี ผลงานอะไรก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว ความลำบากลำบนก็เห็นๆ กันอยู่ พวกเราดูเหมือนมีความสัมพันธ์แบบนายบ่าว แต่ความจริงแล้วเหมือนสหาย ล้วนเป็นคนกันเองทั้งนั้น ข้าจะไม่พูดจามากพิธีรีตองแล้ว เรื่องเป็นอย่างนี้นะ เฟิงเป่ยเฉินตายด้วยน้ำมือนายท่าน อีกห้าปราชญ์ก็มาที่พิภพใหญ่เช่นกัน ราคาที่พวกเขาต้องจ่ายก็คือมอบเคล็ดวิชาฝึกตนมาให้พวกเรา ตอนนี้รู้แล้วใช่มั้ยว่าข้าเรียกพวกเจ้ามาเพราะอะไร?”
เป็นครั้งแรกที่ทั้งสี่คนได้รู้ว่าฝ่ายตัวเองได้เคล็ดวิชาฝึกตนมาจากหกปราชญ์แล้ว พวกเขาแอบตกตะลึงในใจ หัวใจเต้นรัวด้วยเช่นกัน พอจะเดาเจตนาของอวิ๋นจือชิวได้แล้ว
อวิ๋นจือชิวพูดต่อไปว่า “กลุ่มของพวกเราต้องมีพลังที่แข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น จะได้อยู่ที่พิภพใหญ่อย่างปลอดภัยยิ่งขึ้น หลังจากข้าปรึกษากับนายท่านแล้ว นายท่านก็อนุญาตให้นำเคล็ดวิชาของหกปราชญ์มาให้พวกเจ้าฝึก ช่างหินกับพ่อครัวเป็นนักพรตมาร นี่คือเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานที่ท่านปู่ของข้าให้มา พวกเจ้าสองคนนำไปฝึกฝนให้บรรลุด้วยกันเถอะ” ขณะที่พูดก็ยื่นแผ่นหยกให้ทั้งสองคน
จากนั้นก็หยิบแผ่นหยกอีกสองแผ่นมาวางบนโต๊ะ “บัณฑิตกับช่างไม้ เคล็ดวิชาอื่นๆ ก็ไม่เหมาะสมกับพวกเจ้าเหมือนกัน นี่คือมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงของเฟิงเป่ยเฉินกับเคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าของมู่ฝานจวิน หยิบไปคนละวิชา ใครหยิบได้อันไหนก็ฝึกอันนั้น อย่างอื่นไม่ต้องบ่นแล้ว”
บัณฑิตกับช่างไม้สบตากันแล้วยิ้ม หันตัวเข้าหากัน เป่ายิงฉุบกันอยู่อย่างนั้น ปรากฏว่าบัณฑิตชนะ จึงได้หยิบก่อน ทำให้ได้เคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้ามา ส่วนช่างไม้ก็หยิบได้มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง
“ขอบคุณนายท่าน ขอบคุณฮูหยิน!” ทั้งสี่กล่าวขอบคุณ ภายนอกยังคงยิ้มหน้าทะเล้นเหมือนตอนที่อยู่โรงเตี๊ยมเมฆาวายุ แต่ภายในใจซาบซึ้งไม่หยุด ในปีที่อยู่โรงเตี๊ยมเมฆาวายุพวกเขารู้สึกเหมือนมองไม่เห็นอนาคตและความหวัง แต่หลังจากออกจากโรงเตี๊ยมเมฆาวายุมา ก็เรียกได้ว่ามุ่งตรงสู่อนาคตแล้วจริงๆ
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์กลับรู้อยู่แก่ใจ ฮูหยินไม่ได้เปิดเผยเรื่องเคล็ดวิชาภาคดินให้พวกเขารู้ สิ่งที่พวกเขาได้ไปเป็นเพียงเคล็ดวิชาภาคคนเท่านั้น แต่คิดก็รู้แล้วว่าแตกต่างกับพวกนางสองพี่น้องขนาดไหน
อวิ๋นจือชิวตบโต๊ะอีกครั้ง “พอแล้ว! อย่ามาทำหน้าทะเล้น มีเรื่องสำคัญอีกอย่างจะบอกพวกเจ้า พิภพเล็กอยู่ในอำนาจการตัดสินใจของตระกูลพวกเราแล้ว พวกเจ้าติดตามข้ามาหลายปี หลายปีก่อนไม่มีปัจจัยพร้อม ทำให้พวกเจ้าลำบาก แต่ตอนนี้ข้าต่อสู้ช่วงชิงที่ซ่อนตัวสำหรับลงหลักปักฐานมาให้พวกเจ้าแล้ว ควรจะเหลือทางหนีทีไล่สุดท้ายไว้ให้พวกเจ้าเหมือนกัน ถ้าพิภพใหญ่ไม่ปลอดภัย พิภพเล็กก็ยังมีที่ให้ลูกเมียอยู่ ถ้าอยากจะแต่งงานมีครอบครัวก็ไม่มีอะไรต้องห่วงหน้าพะวงหลัง เดี๋ยวพวกเจ้ากลับไปไตร่ตรองให้ดี ข้าจะร่างกฎระเบียบออกมา กลับไปพวกเจ้าค่อยไปบอกพนักงานเก่าพวกนั้น ต่อไปให้ทุกคนผลัดกันกลับไปพักผ่อนที่พิภพเล็ก ให้อยู่ที่พิภพใหญ่คนละสิบปี แล้วก็กลับไปพักที่พิภพเล็กได้หนึ่งปี อยากจะแต่งงานหาเมียก็กลับไปแต่งได้ อยากจะหาอนุภรรยาก็กลับไปหาได้ อยากจะแต่งสักกี่เมียก็ตามใจ แต่พยายามเลือกสวยๆ หน่อยนะ ตราบใดที่พวกเจ้าเลี้ยงไหว ข้าก็จะส่งคนไปช่วยเตรียมการเรื่องแต่งงานให้ รีบจัดการเรื่องนี้เร็วๆ หน่อย อย่าเอาแต่ไปหอโคมเขียว นี่ก็นับว่าเป็นสิ่งที่ข้าตอบแทนที่ทุกคนอยู่ด้วยกันมาหลายปี ไม่ทำให้พวกเจ้าเสียเปรียบหรอกใช่มั้ย?”
เหมียวอี้เดาะลิ้นทันที “อยากจะแต่งกี่เมียก็แต่งได้ พยายามเลือกคนสวยๆ ไอ๊หยา! ถ้าเถ้าแก่เนี้ยของพวกเจ้าใจกว้างกับข้าแบบนี้…”
“เจ้ามีเมียน้อยไปเหรอ?” อวิ๋นจือชิวจ้องเขาด้วยสายตาเย็นเยียบ ตัดบทเขาอย่างไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย
“ล้อเล้นๆ !” เหมียวอี้ยิ้มแห้งทันที หุบปากแล้ว
“ฮ่าๆ…” ทั้งสี่หัวเราะลั่นพร้อมกัน ชอบเห็นท่าทางเวลาเหมียวอี้ยอมแพ้ต่อหน้าเถ้าแก่เนี้ย พวกเขาพบว่าเถ้าแก่เนี้ยห้าวหาญมาตลอด! มีภรรยาดุขนาดนี้ เพียงพอจะทำให้หนิวเอ้อร์ทนทุกข์ในภายหลัง!
สำหรับทั้งสี่คน การทำแบบนี้ทำให้พวกเขารู้สึกสงบใจ ถึงอย่างไรทั้งสี่ก็มีจิตใจเอนเอียงไปทางอวิ๋นจือชิว เดิมทีเป็นลูกน้องคนสนิทของอวิ๋นจือชิวอยู่แล้ว ตอนนี้อำนาจตำแหน่งของเหมียวอี้ยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ อนุภรรยาก็ยิ่งมีมากขึ้น ทั้งสี่กลัวจริงๆ ว่าอวิ๋นจือชิวจะเสียตำแหน่ง ถ้าตัดปัจจัยด้านความผูกพันออกไป แบบนั้นก็ส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของพวกเขาด้วยเช่นกัน เพราะผลประโยชน์ของพวกเขาผูกติดไว้กับอวิ๋นจือชิว การปกปกป้องผลประโยชน์ของอวิ๋นจือชิวก็เท่ากับปกป้องผลประโยชน์ของพวกเขาเอง เมื่อเห็นอวิ๋นจือชิวยังสยบให้เหมียวอี้ว่านอนสอนง่ายได้ ทั้งสี่ก็วางใจลงไม่น้อย
หัวเราะก็ส่วนหัวเราะ จากนั้นบัณฑิตก็กล่าวอย่างร่าเริงว่า “เช่นนั้นพวกเราสี่คนก็ขอขอบคุณเถ้าแก่เนี้ยแทนพวกพนักงานขอรับ”
“ไปเถอะๆ ไปทำงานของตัวเองไป เห็นใบหน้าทะเล้นของพวกเจ้าแล้วข้ารำคาญ” อวิ๋นจือชิวโบกมือ
หลังจากไล่ทั้งสี่คนไปแล้ว อวิ๋นจือชิวก็กลับมาบอกเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์อกีว่า “พวกเจ้าสองคนก็ได้ยินสิ่งที่ข้าเพิ่งพูดไปแล้ว พวกเจ้ารีบเพิ่มวรยุทธ์ให้สูงขึ้นไวๆ เถอะ รอให้วรยุทธ์ของพวกเจ้าถึงระดับบงกชทองแล้ว ต่อไปก็จะยกเส้นทางไปกลับระหว่างพิภพเล็กกับพิภพใหญ่ให้พวกเจ้า การผลัดเวรพักผ่อนของพวกเขา พวกเจ้าสองคนต้องทำหน้าที่ไปรับไปส่ง ถ้าให้คนอื่นทำข้าไม่วางใจ”
“เจ้าค่ะ!” สองสาวเอ่ยรับ
…………………………
บทที่ 1163 ปล้นทรัพย์เลี้ยงชีพ
โดย
Ink Stone_Fantasy
นำเคล็ดวิชาถ่ายทอดให้หกคนนี้แล้ว ยังมีอีกคนที่ขาดไปไม่ได้ เยว่เหยาต้องมีส่วนในเคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าภาคดิน นี่คือสิ่งที่เหมียวอี้เน้นหนัก อวิ๋นจือชิวค่อนข้างจนใจ เพราะถ้าให้เยว่เหยาไปแล้ว ก็ยากที่จะรับประกันว่าจะไม่รั่วไหลไปถึงมู่ฝานจวิน
เดิมทีอวิ๋นจือชิวอยากจะเก็บไว้ที่ตัวเองก่อน ตอนหลังจะได้เสนอเงื่อนไขกับมู่ฝานจวินได้สะดวก แต่เหมียวอี้อยากจะให้เยว่เหยามีความสามารถในการป้องกันตัวยิ่งมากยิ่งดี ในด้านนี้ไม่มีทางคุยเงื่อนไขกับเหมียวอี้ได้เลย อวิ๋นจือชิวรู้จักช่างน้ำหนักอย่างชัดเจน เรื่องบางเรื่องสามารถบ่นเหมียวอี้ได้ แต่เรื่องบางเรื่องไปบ่นไม่ได้
อวิ๋นจือชิวติดต่อเยว่เหยา ใช้วิธีการส่งข้อความเพื่อบอกให้รู้
ส่วนเหมียวอี้ก็เก็บตัวฝึกตนชั่วคราว ตระหนักถึงความหมายที่ลึกซึ้งของการสร้างช่องว่างบนกายเนื้อ เขาถือโอกาสทำแบบนี้ตอนที่วิธีการของเสิ้นหมียังตราตรึงฝังลึกในความทรงจำตัวเอง กลัวว่าเวลาผ่านไปนานแล้วตัวเองจะลืม
สถานที่เก็บตัวคือชัยภูมิถ้ำสวรรค์ในร้านค้าของจีเหม่ยลี่ จีเหม่ยลี่เป็นนักพรตปีศาจ มีบางจุดที่เหมียวอี้สามารถสอบถามจากนางได้ หรือพูดได้อีกอย่างว่าใช้เป็นข้อมูลอ้างอิง…
หลังจากนั้นไม่กี่เดือน ที่ดาวหนานจื่อ ข้างน้ำตกตรงตีนเขาแห่งหนึ่ง ลักษณะทางกายภาพของแผ่นดินเลวร้ายมาก
อวิ๋นอ้าวเทียนเหาะลงมาจากฟ้า ข้างหลังมือลูกชายคนที่หกอวิ๋นเซี่ยว ลูกชายคนที่แปดอวิ๋นเป้า ลูกสาวคนที่สิบสามอวิ๋นเจวียน ลูกชายคนที่สิบสี่อวิ๋นเฟิง พาลูกสี่คนที่มีวรยุทธ์ระดับบงกชทองมาด้วยกัน ส่วนลูกชายคนที่สิบหกอวิ๋นกาง ลูกชายคนที่สิบเก้าอวิ๋นก่วง ลูกสาวคนที่สามสิบสามอวิ๋นเซียง สามคนที่วรยุทธ์ยังไม่ถึงระดับบงกชทองยังไม่ได้ติดตามมา
“มารเฒ่ามาแล้ว!” หลังจากปราชญ์ปีศาจจีฮวนยืนกุมหมัดคารวะต้อนรับอยู่ใต้น้ำตกด้วยตัวเอง ก็โบกมือชี้น้ำตกพร้อมบอกว่า “ข้างหลังน้ำตกมีถ้ำอยู่แห่งหนึ่ง ผีเฒ่า พระเถระ ยายแก่นแก้วมากันครบแล้ว ขาดแค่เจ้า เชิญ!”
ทั้งสองแทบจะแวบหายไปพร้อมกัน พุ่งเข้าไปในน้ำตกแล้ว
อวิ๋นเซี่ยวพยักหน้าเล็กน้อยบอกใบ้เหล่าพี่น้อง อวิ๋นเฟิงเหาะขึ้นไปทอดสายตามองจากบนยอดภูเขาด้านข้าง ส่วนอวิ๋นเจวียนก็เฝ้าอยู่นอกน้ำตก คอยระแวดระวังรอบด้าน อวิ๋นเซี่ยวกับอวิ๋นเป้าถลันตัวพุ่งเข้าไปในน้ำตก
ด้านหลังน้ำตกมีถ้ำม่านน้ำตกแห่งหนึ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ พื้นที่ว่างข้างในกว้างมาก โยนไข่มุกราตรีไปหลายลูกเพื่อส่องแสงสว่าง
ก้อนหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งถูกสร้างเป็นโต๊ะเก้าอี้ชั่วคราว มู่ฝานจวินกำลังนั่งอยู่ นางพาลูกศิษย์ระดับบงกชทองมาเพียงสองคน อันหรูอวี้ยืนอยู่ข้างหลังนาง ส่วนจงเจิ้นยืนรับลมอยู่ด้านนอก
ซือถูเซี่ยว ฉางเหลยกับจีฮวนก็เป็นแบบนี้เช่นกัน พวกเขาพามาแค่ลูกศิษย์ระดับบงกชทอง
หลังจากนั่งลงแล้ว อวิ๋นอ้าวเทียนก็มองดูสภาพแวดล้อมในห้องถ้ำ แล้วถามว่า “ปีศาจเฒ่า นี่คือที่พักชั่วคราวของเจ้าเหรอ?”
จีฮวนเอามือฟั่นเคราพร้อมตอบด้วรอยยิ้ม “ไม่มีที่พักอะไรหรอก พเนจรไปทั่วมาตลอด พอผ่านที่นี่ก็บังเอิญเห็นพอดี”
“คนก็มากันครบแล้ว อย่าเปลืองคำพูดเยอะ บอกมาตรงๆ เถอะ พบลู่ทางร่ำรวยอะไรมา ถึงได้ขอให้พวกเราพาลูกศิษย์ระดับบงกชทองมาด้วยกัน” มู่ฝานจวินกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
เห็นได้ชัดว่าคนอื่นก็อยากจะถามแบบนี้เช่นกัน สายตาของทุกคนไปรวมอยู่บนตัวจีฮวนแล้ว
ส่วนจีฮวนก็ส่งสายตาตอบ ‘สหายเก่า’ ทั้งสี่ทีละคน กล่าวด้วยเสียงต่ำเบาว่า “ทุกคนคงจะรู้แล้วสินะตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่อย่างเหมียวอี้ร่ำรวยขนาดไหน รวยกว่าที่พวกเราจินตนาการไว้เยอะ เขาแค่ตักตวงรอบเดียว พวกเราลำบากหากินกันหลายปีก็ยังไม่มีสิทธิ์ถือรองเท้าให้เขาด้วยซ้ำ”
“ที่เรียกพวกเรามา คงไม่ใช่เพราะจะวางแผนทำอะไรเขาหรอกใช่มั้ย? ไม่ถูกสิ ถ้าจะทำอะไรเขาก็ควรจะไปใกล้ๆ ดาวเทียนหยวน จะเรียกพวกเราให้มาไกลขนาดนี้ทำไม?” ซือถูเซี่ยวถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบวังเวง
จีฮวนโบกมือ “คิดมากไปแล้ว เจ้าบ้านั่นเจ้าเล่ห์จะตาย เขาเองก็บอกไว้แล้วว่ามีแผนสำรองไว้จัดการพวกเรา ถ้าแตะต้องเขาเมื่อไร เคล็ดวิชาฝึกตนของพวกเราก็จะถูกเปิดโปง พวกเราจะกลายเป็นโจรกบฎของตำหนักสวรรค์ทันที ทำไมพวกเราต้องหาเรื่องใส่ตัวด้วยล่ะ”
ฉางเหลยจึงถามอย่างสงสัย “อย่าบอกนะว่าเจ้าหาลู่ทางได้แล้ว เลยจะดึงพวกเราไปเป็นผู้บัญชาการใหญ่ด้วยกัน? ถ้าเป็นแบบนี้จริง ยังไม่ต้องพูดถึงว่าตำหนักสวรรค์ไม่รับพระ ต่อให้ข้าเต็มใจสึกพระ เคล็ดวิชาฝึกตนของพวกเราจะเผยพิรุธอยู่ในระบบของตำหนักสวรรค์ได้ง่าย”
“ข้าจะคิดไม่ถึงเรื่องนั้นเชียวเหรอ?” จีฮวนกลอกตามองเขา
“ปีศาจเฒ่า เลิกอ้อมค้อมได้แล้ว รีบบอกมาไวๆ” มู่ฝานจวินกล่าวตรงๆ
หลังจากจีฮวนหัวเราะเบาๆ ใบหน้าก็พลันฉายแววดุร้าย เคาะนิ้วบนโต๊ะ พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ก็อย่างที่ข้าบอกไง ตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์รวยกว่าที่พวกเราจินตนาการไว้ ถ้าทุกคนไม่กลัวล่ะก็ พวกเรามาร่วมมือกันปล้นสักครั้ง ถ้าปล้นได้สักคนหนึ่ง ก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเราพักได้อีกนาน อย่างน้อยก็มีทรัพยากรฝึกตนให้ลูกศิษย์ทุกคนใช้ไปอีกหนึ่งพันปี”
“เจ้าคงไม่ได้คิดจะปล้นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์นั่นหรอกใช่มั้ย? ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้จักตลาดสวรรค์ มีนักพรตระดับบงกชรุ้งรักษาการณ์อยู่นะ” ซือถูเซี่ยวยิ้มเย้ย
อวิ๋นอ้าวเทียนกล่าวขึ้นว่า “ฟังเขาพูดให้จบก่อน ในเมื่อเขามีความคิดแบบนี้แล้ว ก็แสดงว่ามีการวางแผนไว้แล้ว ปีศาจเฒ่า เจ้าอย่าใช้คำพูดมาหลอกล่อพวกเราเลย มีอะไรก็ว่ามาตรงๆ มีลู่ทางอะไรก็พูดออกมาตรงๆ เลย”
“ลู่ทางก็อยู่ที่นี่แล้วไง! บนตัวหลี่ตงเหมี่ยว ผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ดาวหนานจื่อ!” จีฮวนเคาะโต๊ะอย่างแรง แล้วบอกว่า “ลงมือกับนักพรตอิสระพวกนั้นไม่สนุกเลย แต่ละคนจนจะตาย สิบกว่าปีมานี้ข้าวิ่งเต้นไปทั่วทุกที่ หลายปีแล้วที่ไม่ได้มุมานะบากบั่นขนาดนี้ ปล้นไปประมาณร้อยครั้ง แต่จะทำยังไงได้ล่ะ อยากได้ลู่ทางก็ไม่มีลู่ทาง อยากได้คนหนุนหลังก็ไม่มีคนหนุนหลัง ต้องการอำนาจก็ไม่มีอำนาจ แถมข่าวสารก็ไม่รวดเร็ว ทำได้เพียงสมคบกันปล้นอย่างเดียว ทั้งชีวิตของข้า นี่เป็นครั้งแรกที่ตั้งใจทำอาชีพโจรขนาดนี้ ถ้าข่าวแพร่ไปถึงพิภพเล็กก็คงทำให้คนหัวเราะเยาะจนฟันร่วง ถ้าทำให้ร่ำรวยได้ ต่อให้ลำบากแต่ก็คุ้มค่า แต่นอกจากตัวเองจะทำคนเดียวไม่ไหวแล้ว ค่าเดินทางก็ไม่รู้ว่าต้องจ่ายไปเท่าไร กระสวยทอง กระสวยเงินก็ต้องใช้เงินซื้อเหมือนกัน ทั้งยังมีค่าใช้จ่ายและทรัพยากรฝึกตนของทั้งครอบครัวอีก สะสมเงินได้ไม่เท่าไรเลย ยอดฝีมือที่รวยขึ้นมาหน่อยพวกเราก็ไม่กล้าแตะต้อง เงินที่ยืมมาจากเหมียวอี้ จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้คืน ข้าไม่มีหน้าจะไปติดต่อกับลูกสาวข้าแล้ว ลูกชายข้าที่พิภพเล็กยังนึกว่าข้าอยู่ที่นี่แล้วมีหน้ามีตาด้วยซ้ำ พอติดต่อกันก็ถามว่าเมื่อได้จะได้มาทำงานที่นี่ ข้าว่าทุกคนก็คงจะไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไรหรอกใช่มั้ย?”
พอกล่าวมาแบบนี้ สี่ปราชญ์แต่ละคนก็เงียบไป พวกเขาล้วนกลุ้มใจ พิภพใหญ่ช่างอยู่ยาก!
ในใจแต่ละคนรู้สึกเซ็งแล้ว เป็นคนเหมือนกันแท้ๆ ตอนที่เหมียวอี้มาพิภพใหญ่ วรยุทธ์ยังสู้พวกเขาไม่ได้เลย ตอนนี้วรยุทธ์ก็ยังสู้พวกเขาไม่ได้เช่นกัน แต่เจ้าบ้านั่นมันลงหลักปักฐานได้มั่นคงมาก ทำมาหากินได้อย่างเจริญรุ่งเรือง เปิดร้านทำการค้าก็หาเงินเข้าร้านได้เป็นกอบเป็นกำจนทำให้คนอิจฉาตาร้อน พอโดนกดดันจนหมดทางถอย ขนาดหนีไปทำงานให้ตำหนักสวรรค์ก็ยังได้เลื่อนขั้นและกุมอำนาจไว้มากมาย ใช้ชีวิตได้อย่างอิสระสบายใจมาก เรียกได้ว่าชื่อเสียงโด่งดังทั้งพิภพใหญ่ ถ้าพูดถึงผู้บัญชาการใหญ่หนิวโหย่วเต๋อ ก็มีน้อยคนนักที่จะไม่เคยได้ยินชื่อนี้
แต่พวกเขาล่ะ ตอนนี้ยังไม่เห็นเลยว่าความสำเร็จอยู่ที่ไหน ความแตกต่างของคนเราช่างน่าโมโหจริงๆ ได้ยินว่าเจ้าบ้านั่นมันไปมีเรื่องกับคนไว้ไม่น้อยเหมือนกัน อยู่ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงยิ่งกว่าพวกเขาเสียอีก แต่เจ้าบ้านั่นยังทำมาหากินต่อไปได้ พวกเราแตกต่างกับเจ้าบ้านั่นขนาดนั้นเชียวเหรอ?
มีบางสิ่งที่พวกเขาไม่รู้ ลู่ทางร่ำรวยครั้งแรกตอนเหมียวอี้มาพิภพใหญ่ก็คือการปล้นเหมือนกัน เพียงแต่เจ้าเวรนั่นมันใจกล้าคับฟ้า ไปปล้นสวนผลไม้บนเกาะศักดิ์สิทธิ์โดยตรง
“ปีศาจเฒ่า ทำไมเจ้าทำตัวยิ่งกว่าผู้หญิงเสียอีก บุคลิกที่น่านับถือของปราชญ์ปีศาจไปไหนหมดแล้ว?” มู่ฝานจวินถาม
จีฮวนพูดเหยียดว่า “บุคลิกที่น่านับถือของปราชญ์ปีศาจเหรอ? ตอนนี้พวกเรายังมีบุคลิกที่น่านับถืออยู่อีกเหรอ? พวกเจ้าก็เป็นหนึ่งในหกปราชญ์ผู้สง่าภูมิฐานเหมือนกัน พวกเจ้าลองพูดมาซิว่าในสิบกว่าปีมานี้ มีใครปล้นฆ่าต่ำกว่าห้าสิบครั้งบ้าง ถ้าใครต่ำกว่านี้ข้าจะยอมรับว่ามีบุคลิกที่น่านับถือ! ข้าว่านะ พอได้ยินว่ามีลู่ทางร่ำรวยก็รีบมาเจอหน้ากันเร็วขนาดนี้ พวกเจ้าต้องรีบร้อนถึงขนาดไหนกัน!”
ซือถูเซี่ยวบอกว่า “พวกเราไม่ได้มาฟังเจ้าพร่ำบ่นจู้จี้จุกจิก อย่าพูดสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ พูดประเด็นสำคัญ เจ้าบอกมาซิว่าหลี่ตงเหมี่ยวมีสถานการณ์เป็นอย่างไร?” ประเด็นคือคำพูดของจีฮวนทำให้เขาไม่อยากฟัง
จีฮวนจัดระเบียบความคิด แล้วพูดต่อไปว่า “หลังจากได้ฟังลูกสาวข้าเล่าว่าเหมียวอี้ตักตวงสมบัติมาได้ก้อนหนึ่ง ข้าก็เริ่มสนใจจับตาดูผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์พวกนั้นแล้ว ลักเล็กขโมยน้อยไม่มีความหมายอะไร ถ้าจะปล้นก็ต้องปล้นครั้งใหญ่ ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสําเร็จอยู่ที่นั่น ยังไม่ต้องพูดถึงเลย ข้าหาโอกาสพบแล้วจริงๆ ตอนที่ข้าไปปล้นครั้งก่อน พวกเจ้าเดาสิว่าข้าไปเจอใครมา?”
“เจ้าเห็นพวกเราโง่เหมือนหมูรึไง! ยังต้องเดาอีกเหรอ? เป็นเจ้าหลี่ตงเหมี่ยวอะไรนั่นที่เจ้าพูดถึงไม่ใช่เหรอ?” ซือถูเซี่ยวถามอย่างดูถูก
“ผิด!” จีฮวนตบต้นขาปัดตกการคาดเดาของเขา จากนั้นก็หัวเราะเสียงดัง “ไม่ใช่หลี่ตงเหมี่ยว เป็นคนที่พวกเรารู้จัก เดาอีกสิ”
ซือถูเซี่ยวเงียบงันพูดไม่ออก ยอมรับจริงๆ แล้วว่าตัวเองโง่เหมือนหมู
หลังจากสี่ปราชญ์มองหน้ากันเลิกลั่ก ฉางเหลยก็บอกว่า “อามิตาพุทธ เช่นนั้นก็ไม่มีใครที่ไหนแล้ว อยู่ที่นี่พวกเราจะมีคนรู้จักอะไรกัน นอกจากพวกเหมียวอี้ก็ไม่มีใครแล้ว”
“ผิด!” จีฮวนโบกมือปฏิเสธอีกครั้ง ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังล้อเล่นกับพวกเขาอยู่ พูดหยอกว่า “ไม่ใช่คนทางฝั่งเหมียวอี้ เป็นคนรู้จักเก่าแก่ของพวกเราห้าคนเลย ตอนที่พวกเรารู้จักเขา บรรพบุรุษของเหมียวอี้ไปอยู่ที่ไหนก็ยังไม่รู้ลเยด้วยซ้ำ ที่พวกเรามีวันนี้ได้นั้นเกี่ยวข้องกับคนคนนี้เยอะมาก ทุกคนลองเดาอีกทีสิ”
ทั้งสี่คนมองหน้ากันไปมองหน้ากันมา ต่างก็รู้สึกประหลาดใจสงสัยบ้างแล้ว เป็นคนรู้จักเก่าแก่ของพวกเขา แถมไม่ใช่คนทางฝั่งเหมียวอี้ด้วย ที่พวกเขามีวันนี้ได้นั้นเกี่ยวข้องกับคนคนนี้เยอะมาก ทั้งยังมาที่พิภพใหญ่ได้…
คำตอบแทบจะปรากฏเป็นภาพเสมือนจริง! ในหัวของทุกคนปรากฏภาพของคนคนหนึ่งแทบจะพร้อมกัน พวกเขาแทบจะกล่าวออกมาพร้อมกันว่า “เทพพยากรณ์?”
“ใช่!”จีฮวนปรบมือ แล้วพยักหน้ายิ้ม “ไม่ผิดหรอก! เป็นเทพพยากรณ์!”
ถึงแม้จะเดาถูกแล้ว แต่ทั้งสี่คนรวมทั้งบุตรธิดาและลูกศิษย์ก็ยังประหลาดใจนิดหน่อย อวิ๋นอ้าวเทียนจึงถามว่า “เจ้าไปเจอเขาที่พิภพใหญ่ได้ยังไง?”
จีฮวนถอนหายใจแล้วบอกว่า “ตอนแรกที่ข้าบังเอิญเจอเขา ก็ยังนึกว่าตัวเองมองผิดไป หลังจากไปยืนยันต่อหน้าข้าถึงได้กล้าเชื่อ”
“เขาพูดอะไรกับเจ้าบ้าง?” มู่ฝานจวินถาม
จีฮวนบอกว่า “เขาถอนหายใจแล้วก็บอกว่า อยากจะหลบพวกเจ้า นึกไม่ถึงว่าจะได้เจอกันอีก ช่างเป็นโชคชะตาที่คาดเดายากจริงๆ ข้าย่อมถามว่าเขามาอยู่ที่พิภพใหญ่ได้อย่างไร? แต่เขาดันถามข้ากลับว่า อาตมาเป็นคนพาเหมียวอี้มาที่พิภพใหญ่เอง เจ้าว่าทำไมอาตมาจึงมาอยู่ที่พิภพใหญ่ได้ล่ะ? ถ้าเขาเดาไม่ผิด เฟิงเป่ยเฉินโดนโค่นล้มแล้ว ส่วนพวกเจ้าห้าคนก็มาที่พิภพใหญ่กันหมดแล้ว”
สี่ปราชญ์เงียบงัน สงสัยเทพพยากรณ์จะรู้เส้นทางไปกลับพิภพใหญ่ตั้งนานแล้ว เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าทำไมเทพพยากรณ์จึงพาเหมียวอี้มาที่พิภพใหญ่ก่อน
เห็นได้ชัดว่าจีฮวนก็คิดเหมือนกับพวกเขา จึงพูดต่อว่า “พอได้ยินเขาพูดแบบนั้น ก็มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้าไม่พูดไม่ได้จริงๆ ข้าถามเขาว่า พวกเราหกปราชญ์รู้จักเขามาหลายปี ในเมื่อท่านรู้เส้นทางมาพิภพใหญ่แล้ว ทำไมถึงไม่บอกพวกเราตั้งแต่แรก? เทพพยากรณ์ตอบว่า ก็เพราะต่อให้อาตมาไม่บอกพวกโยม พวกโยมก็จะได้มาที่พิภพใหญ่อยู่แล้ว ตอนนี้ไม่ถือว่ามาแล้วหรอกเหรอ? ข้าก็เลยถามเขาอีก ถ้าพูดถึงความสามารถพวกเราไม่ได้แย่กว่าเหมียวอี้เลย ทำไมถึงไม่บอกพวกเราก่อน กลับไปบอกเหมียวอี้ก่อน พวกเจ้าเดาสิว่าเขาพูดว่ายังไง?”
“ว่ายังไง?” สี่ปราชญ์ถามเป็นเสียงเดียวกันอีกครั้ง
จีฮวนเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวช้าๆ ว่า “เทพพยากรณ์บอกว่า เพราะเหมียวอี้เป็นคนที่ดวงดีมาก ถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะมีอนาคตยาวไกลไร้ขีดจำกัด เขาหลีกไม่ได้ หลบไม่พ้น ทำได้เพียงนำเหมียวอี้มาที่นี่!”
เมื่อกล่าวมาแบบนี้ ในใจสี่ปราชญ์ก็เรียกได้ว่าราวกับมีคลื่นโหมซัดสาด ประโยค’ดวงดีมาก อนาคตยาวไกลไร้ขีดจำกัด’ ดังซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในใจ
ถ้าเป็นคนอื่นพูดพวกเขาอาจจะไม่เชื่อ แต่พวกเขาเคยสัมผัสกับความหยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าของเทพพยากรณ์มาตั้งนานแล้ว เรียกได้ว่าหยั่งรู้ดินฟ้ามหาสมุทรจริงๆ พวกเขาต่างก็เคยพิสูจน์ยืนยันมาแล้ว แถมเทพพยากรณ์ก็เป็นคนไม่ค่อยพูด พอเอ่ยปากพูดครั้งหนึ่งก็ไม่มีทางโกหกแน่นอน
เมื่อนึกเชื่อมโยงกับสถานการณ์ของตัวเอง แล้วดูสถานการณ์ของเหมียวอี้อีก ก็พบว่าเป็นอย่างที่เทพพยากรณ์บอกจริงๆ พอจะมองเห็นเค้าลางของคำว่า ‘ดวงดีมาก’ แล้ว เจ้าบ้านั่นมันทำมาหากินอย่างเจริญรุ่งเรืองอยู่ที่พิภพใหญ่แล้ว
อวิ๋นเซี่ยวกับอวิ๋นเป้าสบตากันแวบหนึ่ง ในใจเกิดความคิดเดียวกัน สงสัยน้องชิวจะเลือกแต่งงานถูกคนแล้วจริงๆ
…………………………
บทที่ 1164 แดนอเวจี
โดย
Ink Stone_Fantasy
ชั่วขณะนั้น ทุกคนที่กำลังตกอยู่ในความเงียบงันกำลังคิดอะไรอยู่ก็ไม่รู้
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ มู่ฝานจวินก็ถามว่า “เทพพยากรณ์ทำตัวลึกลับเหมือนมังกรที่เห็นหัวไม่เห็นหาง ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้พบสักครั้ง เจ้าไม่ได้ขอคำชี้แนะอะไรจากเขาสักหน่อยเหรอ?”
จีฮวนถอนหายใจ “ขอสิ ต้องขอคำชี้แนะอยู่แล้ว พวกเราตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้แล้ว จะไม่ขอให้เขาชี้แนะได้อย่างไร ตอนแรกเขาก็ไม่อยากจะพูดอะไรมาก ข้าเองก็นับว่าพูดเกลี้ยกล่อมเกาะแกะไม่ยอมหยุด ในที่สุดก็ได้ฟังคำพูดจากปากเขาไม่กี่คำ!”
เมื่อได้ยินดังนั้น สี่ปราชญ์ก็ถามเป็นเสียงเดียวกันอีก “เขาว่ายังไง?”
“เขาถามข้าว่าอยากได้เงินทองหรืออยากได้อนาคต ข้าย่อมบอกว่าอยากได้ทั้งสองอย่าง หลังจากเทพพยากรณ์ทำนายดวงชะตาแล้ว เขาก็บอกว่าหลายปีมานี้พวกเราเลือกเป้าหมายในการร่ำรวยผิดไป เขาจึงชี้แนะไปที่ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ของดาวหนานจื่อคนนี้ บอกว่าผู้บัญชาการใหญ่คนนี้คือจุดหัวเลี้ยวหัวต่อในโชคชะตาของพวกเราที่พิภพใหญ่ แล้วก็เขียนอะไรบางอย่างมาให้ฉบับหนึ่ง ตอนหลังบอกอีกว่าอย่าเปิดเผยความลับนี้ให้เหมียวอี้รู้ จากนั้นข้าก็รั้งเขาไว้ไม่ได้อีก ข้าถามเขาว่าเขาจะไปที่ไหน เขาบอกแค่ว่าไปตามโชคชะตา แล้วก็ไปแล้ว” จีฮวนกล่าว
สี่ปราชญ์ทำท่าครุ่นคิด ฉางเหลยถอนหายใจแล้วบอกว่า “นึกไม่ถึงว่าชาวพุทธอย่างพวกเราจะมีบุคคลที่หยั่งรู้เหตุการณ์ขนาดนี้ หลังจากมาที่พิภพใหญ่ข้าก็เคยไปสืบข่าวเหมือนกัน เคยได้ยินว่าที่พิภพใหญ่มีพลังอภินิหารในการหยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าจริงๆ ว่ากันว่าการหยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าล้วนเป็นคำพูดหลอกลวง แต่เทพพยากรณ์ท่านนี้ช่างทำให้คนรู้สึกเหลือเชื่อจริงๆ”
“ปีศาจเฒ่า เทพพยากรณ์เขียนอะไรมาให้เจ้า เอาออกมาดูหน่อย” มู่ฝานจวินกล่าว
คนที่เหลือพยักหน้า มีเจตนาแบบนี้เหมือนกัน จีฮวนเองก็ไม่ได้ปิดบัง หยิบแผ่นหยกโยนออกมาให้
มู่ฝานจวินรับมาไว้ในมือแล้วรีบร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจอ่าน หลังจากอ่านแล้วก็เริ่มคิ้วขมวด พลางพึมพำอย่างงุนงงว่า “ใช้วิธีเสี่ยงอันตรายจะเกิดหายนะ หากไร้ทางไป นี่คือที่พึ่ง งูไร้หัวก็เลื้อยไม่ได้ รออย่างเงียบงันอยู่ในกรง ยามหกคนพบกันอีกครั้ง สถานการณ์จะพลิกผัน…แผนที่ดาวข้างล่างนี้หมายความว่าอะไร?”
เมื่อเห็นนางถือแผ่นหยกพึมพำไม่ยอมวาง คนอื่นๆ ก็เริ่มรอไม่ไหวแล้ว ซือถูเซี่ยวกางนิ้วทั้งห้า ดูดแผ่นหยกมาไว้ในมือตัวเองโดยตรง ไม่สนใจสายตาเดือดดาลของมู่ฝานจวิน หลังจากร่ายอิทธิฤทธิ์อ่านแล้ว ก็พึมพำเช่นกันว่า “ใช้วิธีเสี่ยงอันตรายจะเกิดหายนะ หากไร้ทางไป นี่คือที่พึ่ง งูไร้หัวก็เลื้อยไม่ได้ รออย่างเงียบงันในกรงขัง ยามหกคนพบกันอีกครั้ง สถานการณ์จะพลิกผัน…”
ตรงนี้ยังกำลังครุ่นคิด ฉางเหลยก็แย่งไปอ่านในมืออีกแล้ว ทำสีหน้าเหมือนคิดเป็นร้อยรอบแต่ไม่เข้าใจเช่นเดียวกัน
สุดท้ายแผ่นหยกก็ตกอยู่ในมืออวิ๋นอ้าวเทียน หลังจาดครุ่นคิดพิจารณาอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะสบถด่าว่า “คำทำนายอีกแล้ว แม่งแปลว่าอะไรกันแน่วะ? พระธุดงค์นั่นพูดจาคลุมเครือแบบนี้ ทำให้คนเดาไม่ออก อ่านแล้วเดือด!” เขาเงยหน้ามองจีฮวน “แปลว่าอะไรกันแน่?”
จีฮวนยิ้มเจื่อน “ตอนแรกข้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าแปลว่าอะไร ตอนนั้นข้าก็ไม่ได้คิดอะไรมากขนาดนั้นด้วย ที่สำคัญคือคิดมากไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร เดาไม่ออก เลยมาสืบดูสถานการณ์ที่นี่ตามที่เขาชี้แนะก่อน สืบได้ว่าผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ของดาวหนานจื่อนี้ชื่อว่าหลี่ตงเหมี่ยว ส่วนเรื่องราวต่อมาก็ชัดเจนกระจ่างแจ้ง หลังจากหาเบาะแสบางอย่างอย่างละเอียด ก็พอจะเข้าใจความหมายของคำทำนายนี้แล้ว”
ฉางเหลยถอนหายใจแล้วบอกว่า “เจ้าก็รีบบอกมาสิ ถ้าเก็บกลั้นไว้อีก อาตมาจะโมโหแล้วนะ”
จีฮวนกล่าวว่า “จากการตรวจสอบ ดาวหนานจื่อของน่านฟ้าระกาติงอยู่ในขอบเขตอำนาจของจอมพลสายมะเมียหวงฮ่าว หนึ่งในสิบสองจอมพลของตำหนักสวรรค์ ผู้บัญชาการใหญ่หลี่ตงเหมี่ยวคนนี้คือหลานชายแท้ๆ ของหลี่จวินที่เป็นพ่อบ้านของหวงฮ่าว ส่วนจั่วอิงกง ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ของดาวหลันหัวน่านฟ้ามะแมติง กับเฉิงซิ่ว ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ของดาวหลิงอวิ๋นน่านฟ้าติงวอก ทั้งสองล้วนเป็นคนจากจวนจอมพลของสายมะเมีย ทุกสิบปีสามคนนี้จะไปรวมตัวกันที่ตลาดสวรรค์ดาวหนานจื่อหนึ่งครั้ง สาเหตุก็เป็นเพราะว่าเซิ่งอวี้หวน ฮูหยินของหวงฮ่าวชอบกินปลาสายรุ้งดินที่มีแหล่งผลิตอยู่ที่น่านฟ้าระกาติง ส่วนปลาสายรุ้งดินนั่นก็อยู่ในอาณาเขตของนักพรตปีศาจที่ชื่อว่าเฮยกว่าฟู่ ปกติปลาสายรุ้งดินจะจับได้ยากมาก เพราะไม่รู้ว่ามันไปหลบอยู่ที่ไหน ทุกสิบปีมันถึงจะออกมาสักครั้ง คนทั่วไปจับมันไม่ได้เลย ถ้าฝืนจับปลาชนิดนี้มา มันก็จะระเบิดตัวเอง แล้วก็มีเพียงเฮยกว่าฟู่เท่านั้นที่รู้ว่าต้องใช้วิธีการไหนถึงจะตกปลามาแบบสมบูรณ์ได้ พอเป็นแบบนี้ หลี่ตงเหมี่ยว จั่วอิงกงและกัวเฉิงซิ่วจึงอยากแสดงความกตัญญูต่อฮูหยินของจอมพล ทุกสิบปีที่เฮยกว่าฟู่จะตกปลาหนึ่งครั้ง ทั้งสามก็จะรวมตัวกันไปขอด้วยตัวเอง และนำมาส่งที่จวนจอมพลด้วยตัวเองเพื่อแสดงความเคารพต่อฮูหยินของจอมพล จากที่สืบมา เหลืออีกไม่กี่เดือนก็จะเป็นเวลาจับปลาสายรุ้งดินแล้ว เท่ากับว่าเป็นเวลาที่ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์สามคนนั้นจะไปหาเฮยกว่าฟู่”
พอพูดจบ เขาก็ยื่นนิ้วสามนิ้วให้ทั้งสี่ “เหมียวอี้คนเดียวเป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ยังรวยจนน้ำมันแทบหยด แล้วผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์สามคนล่ะ ทุกคนเคยคิดมั้ยว่าหมายความว่าอะไร?”
ความคิดของทุกคนถูกเรื่องนี้ดึงดูดทันที ได้ยินแล้วตาเป็นประกายไม่หาย แต่ละคนทำสีหน้าเหมือนครุ่นคิดไปไกลโพ้น
“ปีศาจเฒ่า เจ้าหมายความว่าจะปล้นผู้บัญชาการใหญ่สามคนนี้เหรอ?” ฉางเหลยถาม
จีฮวนกล่าวพร้อมรอยยิ้มชั่วร้าย “ถ้าพวกเขาสามคนอยู่ที่ตลาดสวรรค์ พวกเราก็ไม่สะดวกจะลงมือ ตลาดสวรรค์มีนักพรตบงกชรุ้งรักษาการณ์อยู่ ระหว่างทางที่สามคนนั้นไปหาเฮยกว่าฟู่ นั่นก็คือเวลาลงมือ!”
“วรยุทธ์ของทั้งามเป็นอย่างไร ได้สืบมาชัดเจนหรือเปล่า?” มู่ฝานจวินถาม
จีฮวนพยักหน้า “ถ้าไม่รู้แม้แต่เรื่องแบบนี้ ข้าจะเรียกรวมทุกคนมาได้อย่างไรล่ะ ในบรรดาสามคน หลี่ตงเหมี่ยววรยุทธ์สูงสุด วรยุทธ์ถึงระดับบงกชทองขั้นเก้าแล้ว จั่วอิงกงวรยุทธ์รองลงมา มีวรยุทธ์บงกชทองขั้นแปด กัวเฉิงซิ่วบงกชทองขั้นเจ็ด ทั้งสามวรยุทธ์บงกชทองขั้นเจ็ดแปดเก้าเรียงกันพอดี”
คนที่เหลือได้ยินแล้วค่อนข้างลังเล ถึงอย่างไรวรยุทธ์ของแต่ละคนก็สูงกว่าพวกเขา ซือถูเซี่ยวถามว่า “วรยุทธ์สูงกว่าหน่อยก็ไม่เป็นอุปสรรค หลายปีมานี้ข้าพบว่านักพรตที่พิภพใหญ่ฝีมืองั้นๆ แต่สามคนนี้มีภูมิหลัง กลัวว่าบนตัวจะมีของวิเศษอะไรที่ร้ายกาจ กลัวว่าจะแตะต้องไม่ได้ง่ายๆ ขนาดนั้น”
“ถ้าแตะต้องง่าย ข้าก็คงฮุบไว้คนเดียวแล้ว จำเป็นต้องมาหาพวกเจ้าด้วยเหรอ?” จีฮวนถาม
ที่ว่ามาก็มีเหตุผล มู่ฝานจวินบอกว่า “แตะต้องสามคนนี้น่ะไม่เท่าไรหรอก ที่สำคัญคือผลที่ตามมา ไปแตะต้องผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์พร้อมกันสามคน เกรงว่าเรื่องคงจะไปถึงราชันสวรรค์โดยตรง แค่คิดก็รู้แล้ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร ไม่ทันรอให้พวกเราหนีหรอก ช่องทางของน่านฟ้าแถวนี้ต้องถูกปิดทันทีแน่นอน จากนั้นก็จะเจอยอดฝีมือกลุ่มใหญ่ของตำหนักสวรรค์ตรวจค้น นี่ยังไม่รวมกับเรื่องอื่นนะ ถ้าสู้กับตำหนักสวรรค์ก็ยังดีหน่อย ทหารยศต่ำพวกนั้นเกียจคร้านจนเคยชิน ไม่ค่อยมีใครตั้งใจทำงานสักเท่าไร แต่ถ้าเราลงมือกับสามคนนี้ในรวดเดียว สามคนนี้เป็นคนของจวนจอมพลสายมะเมียนะ หวงฮ่าวจะทนความรู้สึกได้อย่างไร โดนตบหน้าขนาดนี้ หวงฮ่าวจะต้องทุ่มกำลังอำนาจทั้งหมดออกมาแน่นอน พวกเราจะหลบหนีได้หรือเปล่า แค่ลองคิดดูก็รู้แล้ว”
“ดังนั้น นี่ก็คือสิ่งที่พิสูจน์คำทำนายของเทพพยากรณ์ไง ใช้วิธีเสี่ยงอันตรายจะเกิดหายนะ!” จีฮวนกล่าว
อวิ๋นอ้าวเทียนอ่านต่อว่า “หากไร้ทางไป นี่คือที่พึ่ง งูไร้หัวก็เลื้อยไม่ได้ รออย่างเงียบงันในกรงขัง…อย่าบอกนะว่าพระธุดงค์นั่นจะให้พวกเราเข้าไปนอนรออยู่ในคุกเอง? นี่ไม่ใช่วางกับดักพวกเราใช่มั้ย? ฆ่าผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ไปสามคน ถ้าเข้าไปอยู่ในคุกแล้ว ยังหวังอีกเหรอว่าหวงฮ่าวจะปล่อยพวกเราไป?”
ซือถูเซี่ยวก็ส่ายหน้าเช่นกัน “ไม่เหมาะสม! หวงฮ่าวต้องไม่ปล่อยพวกเราไปแน่ ถ้าสามารถทำให้พวกเราตายอย่างอนาถได้ ก็ต้องทำให้พวกเราตายอนาถแน่นอน จะต้องใช้พวกเราเพื่อเชือดไก่ให้ลิงดู ถึงแม้เทพพยากรณ์จะหยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า แต่ใครจะไปรู้ว่าเมื่อไรเขาจะพลาด? ต่อให้จะไม่ผิดพลาด แต่ถ้าได้ตกอยู่ในมือหวงฮ่าว ต่อให้ไม่ตายก็ต้องโดนถลกหนังหลายชั้น ความทรมานนี้คงจะอนาถกว่าความตาย ต่อให้เทพพยากรณ์จะทำนายแม่น แต่ข้าก็ไม่ไปทำตามที่เขาพูดหรอก”
“ข้างหลังยังมีอีกประโยคหนึ่ง ยามหกคนพบกันอีกครั้ง สถานการณ์จะพลิกผัน…” มู่ฝานจวินมองพวกเขา แล้วบอกว่า “หกคน หมายถึงพวกเราหกปราชญ์รึเปล่า หรือว่าเทพพยากรณ์กำลังบอกว่าเหมียวอี้จะมาช่วยพวกเรา?”
ฉางเหลยประนมมือ “อามิตาพุทธ! ด้วยฐานะของพวกเราน่ะเหรอ ฝึกเคล็ดวิชาของโจรกบฎกันหมด เหมียวอี้มาช่วยชีวิตพวกเราก็เท่ากับวางกับดักตัวเอง ถ้าเขารู้ว่าพวกเราอยู่ในคุกใหญ่ของตำหนักสวรรค์ เกรงว่าแม้แต่ตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่เขาก็จะเป็นต่อไม่ได้แล้ส รีบหนีกลับไปพิภพเล็ก การทำนายนี้ของเทพพยากรณ์ ทำไมอาตมารู้สึกว่าเชื่อถือไม่ได้นิดหน่อย?”
“เฮอๆ!” จีฮวนหลุดหัวเราะออกมา เมื่อเห็นพวกเขาจ้องตัวเอง เขาก็โบกมือบอกว่า “ไม่ใช่อย่างที่พวกเราคิด ตอนแรกข้าก็มีความคิดคล้ายๆ พวกเจ้านี่แหละ แล้วก็กังวลหนักมากเช่นกัน แต่ก็รู้สึกว่าเทพพยากรณ์คงจะไม่พูดเรื่อยเปื่อยโดยไม่มีเป้าหมาย ดังนั้นข้าจึงตรวจดูความเป็นไปได้ของแผนนี้ด้วยตัวเอง พอได้ตรวจแล้วข้าก็เข้าใจทันที ถึงได้เข้าใจว่า ‘กรงขัง’ ในคำทำนายก็หมายถึงคุกใหญ่ของตำหนักสวรรค์ ไม่ทราบว่าทุกคนเคยได้ยินแดนอเวจีมาก่อนรึเปล่า?”
พวกเขาพยักหน้า อวิ๋นอ้าวเทียนบอกว่า “ถ้าหมายถึงสิ่งที่เรียกว่า ‘นรก’ นั่น ข้าก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน ได้ยินว่าที่นั่นลึกลับคาดเดายาก อันตรายมาก ทรัพยากรฝึกตนขาดแคลน คนที่หลบอยู่ในนรกมีแต่พวกที่ชั่วร้ายถึงขีดสุด ส่วนใหญ่เป็นโจรกบฎ และการลงโทษของของตำหนักสวรรค์ก็คือ จะโยนนักโทษเข้าไปในนรก แล้วให้ชดใช้ความผิดโดยการกำจัดโจรกบฏ ขอเพียงฆ่าโจรกบฎได้มากพอ ก็จะสามารถชดใช้ความผิดและหลุดออกจากนรกไปได้ ได้ยินว่าคนที่ถูกโยนเข้าไปมีเยอะ แต่คนที่รอดออกมาได้มีน้อยจนนับนิ้วได้”
จีฮวนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ไม่ผิดหรอก สิ่งที่เรียกว่ากรงขังในคำทำนายของเทพพยากรณ์คงจะหมายถึงสถานที่นั้น กรงขังก็คือนรก นรกก็เรียกได้ว่าเป็นกรงขังของตำหนักสวรรค์”
“ทำไมถึงแน่ใจว่าสิ่งที่เรียกว่ากรงขังนั่นจะหมายถึงนรก?” ซือถูเซี่ยวถาม
จีฮวนตอบว่า “ความคิดของพวกเจ้าก็เหมือนกับข้านั่นแหละ ตอนแรกข้าไม่รู้จักบริเวณนี้ เลยไม่ได้คิดเชื่อมโยงมาทางด้านนี้เหมือนกัน ตอนหลังในระหว่างที่ข้ากำลังตรวจสอบ ก็พบว่าจุดที่เฮยกว่าฟู่อาศัยอยู่ห่างจากแดนอเวจีอันโด่งดังไม่ไกล ตอนนี้ข้าถึงได้กระจ่าง ถึงได้เข้าใจว่าสิ่งที่เรียกว่า ‘กรงขัง’ หมายถึงนรก! ให้พวกเรารอเงียบๆ อยู่ในกรงขังนั้นไม่ได้หมายถึงคุกใหญ่ของตำหนักสวรรค์ แต่หมายถึงนรก พอพวกเราเข้าไปในนรกแล้ว ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่เงื้อมมือของตำหนักสวรรค์จะเอื้อมไปถึงพวกเรา”
มู่ฝานจวินแสยะยิ้ม “หรือว่าสิ่งที่ข้าเคยฟังมาจะผิดพลาด? ตามที่ข้าได้ยินมา ตำหนักสวรรค์ก็อยากจะกำจัดโจรกบฎในนรกเหมือนกัน แต่จนใจที่สภาพแวดล้อมในนรกผิดปกติเกินไป อำนาจของตำหนักสวรรค์ไม่มีทางไล่สังหารเข้ามาจนหมดได้ และก็เพราะเหตุนี้ โจรกบฎที่สู้กับตำหนักสวรรค์ถึงได้หนีสุดชีวิตไปซ่อนตัวหลีกภัยในสถานที่นั้น และเพื่อที่จะปราบโจรกบฎพวกนั้นไม่ให้แว้งกัด ตำหนักสวรรค์จึงส่งยอดฝีมือจำนวนมากไปเฝ้าทางเข้าออกนรก ถ้าไม่ได้รับอนุญาต คนข้างในก็ออกมาไม่ได้ คนข้างนอกก็เข้าไปไม่ได้เช่นกัน ต้องการให้โจรกบฎพวกนั้นตายไปเองอยู่ข้างใน ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีทรัพยากรฝึกตนคอยเติม ยังไม่ต้องพูดถึงว่าฆ่ากันเอง สักวันหนึ่งพวกเขาจะต้องโดนขังตายแน่นอน ทางเข้าออกถูกควบคุมไว้แน่นหนาขนาดนั้น พวกเราจะเข้าไปรอเงียบๆ ในกรงขังได้อย่างไร? พวกเราไม่มีทางหลบเข้าไปได้เลย!”
…………………………
บทที่ 1165 เริ่มปฏิบัติการ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ฮ่าๆ…” จีฮวนเงยหน้าขึ้นฟ้าพลางหัวเราะลั่น ตบโต๊ะชมเปราะว่า “ทำไมถึงบอกว่าเทพพยากรณ์หยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าล่ะ? เขามอบทางหนีทีไล่ไว้ให้พวกเราตั้งนานแล้ว อย่าบอกนะว่าทุกคนไม่เห็นแผนที่ดาวใต้คำทำนายที่เขาทิ้งไว้ให้?”
“หมายความว่ายังไง?” พวกเขาถามกลับพร้อมกัน
จีฮวนบอกว่า “อาณาเขตของเฮยกว่าฟู่ห่างจากปากทางนรกไม่ไกล และข้าก็ค้นพบตอนที่สำรวจไปตามแผนที่ดาวที่เทพพยากรณ์ทิ้งไว้ให้ เมื่อเดินทางเป็นเวลายี่สิบวัน ตรงจุดที่ห่างจากอาณาเขตของเฮยกว่าฟู่มีประตูดวงดาวอยู่แห่งหนึ่ง! ข้าค้นพบตอนที่ใช้แผนที่ดาวระบุตำแหน่ง ประตูดวงดาวบานนี้ไม่ได้ถูกทำสัญลักษณ์ไว้ในแผนที่ดาว หรือพูดได้อีกอย่างว่า ประตูดวงดาวบานนี้ยังไม่ได้ถูกค้นพบ เมื่อเชื่อมโยงกับเค้าลางต่างๆ ในคำทนายของเทพพยากรณ์ ประตูดวงดาวบานนี้เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการเข้าสู่นรกแน่นอน หลังจากพวกเราปล้นสำเร็จแล้ว ก็สามารถหลบหลีกการตรวจสอบและเข้าสู่นรกด้วยเส้นทางนี้ได้!”
“เจ้าเคยเข้าประตูดวงดาวนั่นแล้วเหรอ? แน่ใจเหรอว่าด้านหลังประตูดวงดาวคือนรก?” ฉางเหลยถาม
จีฮวนกลอกตามองบนแล้วบอกว่า “ข้าเดาออกแล้วว่าข้างหลังนั่นเป็นนรก อยู่ดีๆ จะถ่อเข้าไปทำอะไรล่ะ? ถ้าข้าเข้าไปแล้วจะออกมายังไง?”
“แล้วที่เจ้าพูดไปมากมายขนาดนั้นไม่ใช่คำพูดไร้สาระหรอกเหรอ? ถ้าเจ้าเข้าไปแล้วออกไม่ได้ พวกเราตามเจ้าเข้าไปแล้วจะออกมาอีกได้ยังไง?” ซือถูเซี่ยวถาม
“เจ้ารู้จักแต่ทางเข้า ไม่รู้จักทางออก ทางออกเดียวที่รู้จักก็โดนทหารของตำหนักสวรรค์เฝ้าไว้ พวกเราจะไปสถานที่เสี่ยงอันตรายแบบนั้นไหวเหรอ?” มู่ฝานจวินถามเช่นกัน
“ถ้าหากคำทำนายที่อยู่ช่วงแรกถูกต้องทุกอย่าง คำทำนายที่อยู่ช่วงหลังจะต้องเป็นทางออกแน่นอน” จีฮวนตอบ
คนที่เหลือไม่มีความเห็นแย้งอะไรกับคำพูดนี้ แต่ก็ยังมีข้อสงสัย ซือถูเซี่ยวถามว่า “หกคนพบกันอีก สถานการณ์จะพลิกผัน! ตามหลักการแล้ว ก็เป็นไปได้สูงว่าสิ่งที่เรียกว่า ‘หกคน‘ หมายถึงพวกเราหกปราชญ์ เฟิงเป่ยเฉินตายแล้ว คนที่ขาดไปก็คงจะเป็นเหมียวอี้แล้ว แต่เจ้าบ้านั่นจะถ่อมาเจอกับพวกเราที่นรกได้ยังไง? ต่อให้เราบอกเส้นทางเข้ากับเขา เขาก็ไม่มาอยู่ดี เขาจะมีทางทำให้ตำหนักสวรรค์เปิดประตูให้เขาเข้าออกนรกได้ตามใจชอบเชียวเหรอ?”
“ตามตัวอักษรเหมือนจะมีความหมายแบบนี้ แต่เทพพยากรณ์บอกไว้ว่าอย่าให้เหมียวอี้รู้ ส่วนในคำทำนายก็มีข้อความว่า ‘รออย่างเงียบงันในกรงขัง‘ เห็นได้ชัดว่าให้เฝ้ารออย่างอดทน ไม่ได้ให้พวกเราร้องขอให้ช่วยชีวิตหรือว่าทำอะไร ประโยคที่อยู่ข้างหลังนี้ ข้าเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกัน” จีฮวนส่ายหน้า แสดงออกว่าคิดไม่ตก หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งแล้วได้สติกลับมา เขาก็ใช้สองมือตบโต๊ะยืนขึ้น แล้วบอกว่า “ก็เหมือนกับคำทำนายส่วนแรก ตอนแรกข้าก็อ่านไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่พอไปถึงสถานที่จริงก็เข้าใจเลย อย่างจนจนถึงทุกวันนี้เทพพยากรณ์ก็ยังไม่เคยหลอกพวกเรา ตอนนี้ที่เรียกให้ทุกคนมาหา ก็เพราะอยากจะถามทุกคนว่า จะไปปล้นด้วยกันสักครั้งมั้ย?”
“ปล้นสักครั้ง? ฟังจากนำเสียงแล้ว จีฮวน เจ้าปรับตัวกับการเป็นโจรได้แล้วจริงๆ!” มู่ฝานจวินพูดเหน็บแนม
จีฮวนไม่ใส่ใจหรอก คนที่เป็นโจรไม่ได้มีแค่เขาคนเดียวเสียหน่อย ตอนนี้ทุกคนล้วนกำลังสมคบกันเป็นโจร
“จะเดิมพันสักครั้งมั้ย?” จีฮวนเปลี่ยนคำพูด สายตากวาดมองบนใบหน้าทุกคน กำลังถามถึงความคิดเห็นของทุกคน
คนที่เหลือครุ่นคิดอย่างเงียบๆ หลังจากชั่งน้ำหนักถึงผลได้ผลเสียแล้ว อวิ๋นอ้าวเทียนก็กล่าวว่า “ผู้บัญชาการใหญ่สามคนนั้นหน้าตาเป็นยังไง เจ้ารู้รึเปล่า? อย่าให้ลงมืออยู่ตั้งนานแล้วปล้นผิดคน”
ฉางเหลยพยักหน้าเช่นกัน “สาธุ! จอมมารพูดถูก ต้องระบุคนให้ชัดเจน อย่าไปปล้นผิดคนแล้วคิดว่าตัวเองทำเรื่องผิดมหันต์ ตกใจหนีเข้าไปในนรก จะออกก็ออกไม่ได้ ถึงตอนนั้นไม่มีที่ให้ร้องไห้แล้วนะ!”
จีฮวนกล่าวว่า “พระเถระ ถึงข้าจะไม่ได้หัวล้านเรืองแสงเหมือนเจ้า แต่ข้าก็ไม่ได้โง่ถึงขั้นจัดการเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่ได้ พวกเจ้าวางใจได้เลย ข้าให้ลูกชายข้าไปสืบมาแล้ว พวกเขาส่งข่าวกลับมาแล้ว สืบหน้าตาของผู้บัญชาการใหญ่สามคนนั่นมาเรียบร้อย ตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างทางกลับมา”
“เจ้าแน่ใจนะ ว่าเทพพยากรณ์บอกว่าเรื่องนี้จะเป็นจุดพลิกผันโชคชะตาของพวกเราที่พิภพใหญ่? แน่ใจนะว่าเจ้าไม่ได้ยากจนข้นแค้นจนเป็นบ้ามาหลอกพวกเรา?” มู่ฝานจวินถาม
จีฮวนพูดเหมือนรู้สึกขำ “ขนาดนั้นเลยเหรอ จำเป็นต้องคอยระแวงกันเหมือนตอนอยู่พิภพเล็กรึไง? แล้วอีกอย่าง ข้าก็ต้องหลอกให้ได้ผลด้วย พวกเราปฏิบัติการร่วมกัน ถ้าเกิดเรื่องขึ้นข้าก็ต้องแบกรับร่วมกับพวกเจ้า ข้าคนเดียวก็หนีไม่พ้นเหมือนกัน”
“ตกลงตามนี้แล้วกัน!” อวิ๋นอ้าวเทียนตรงไปตรงมา ตบโต๊ะยืนขึ้นแล้วบอกว่า “ข้าเดิมพันแล้ว!”
“อามิตาพุทธ! อาตมาก็จะไปเยือนนรกเป็นเพื่อนพวกเจ้าสักรอบแล้วกัน” ฉางเหลยยืนขึ้นประนมมือ
“ถ้าเจ้ากล้าหลอกพวกเรา ข้าจะเป็นคนแรกที่ไม่ปล่อยเจ้าไป!” ซือถูเซี่ยวยืนขึ้นเช่นกัน
ภายใต้สายตาที่จับจ้องของทั้งสี่คน มู่ฝานจวินนั่งเงียบอยู่อย่างนั้นพักหนึ่ง แล้วกล่าวช้าๆ ว่า “ทำก็ได้!”
เห็นได้ชัดเจนมาก ทั้งห้าคนตัดสินใจแน่วแน่แล้ว เตรียมตัวร่วมมือกันปล้น
ต่อจากนั้น ทั้งห้าก็นั่งลงคุยถึงรายละเอียดขั้นตอนของเรื่องนี้ ถึงแม้ในใจทั้งห้าจะดูถูกเป้าหมาย แต่ก็ยังต้องให้ความสำคัญด้านรายละเอียด ทั้งห้าสามารถอยู่ในจุดสูงสุดของพิภพเล็กได้ เรื่องราวประเภทม้าสะดุดล้ม เรือล่มในคลองแคบก็เคยเจอมาแล้วไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง เข้าใจดีที่สุดว่าห้ามทำอะไรประมาท ไม่อย่างนั้ถ้าเกิดความผิดพลาดนิดเดียว ก็เป็นไปได้สูงว่าจะต้องชดใช้ด้วยชีวิตตัวเอง…
หลังจากนั้นหนึ่งเดือน ห้าปราชญ์ก็พุ่งออกมาจากหลังม่านน้ำตก เหาะขึ้นฟ้าพร้อมกันด้วยความเร็วสูง
ลูกศิษย์และลูกชายลูกสาวของทั้งห้าเหาะขึ้นฟ้าไปทีหลัง ทว่าไม่ได้ตามห้าปราชญ์ไป แต่ต้องเป็นสายลับให้กับห้าปราชญ์ พวกเขาไปที่ตลาดสวรรค์ของดาวหนานจื่อ รวมทั้งไปดักซุ่มอยู่ระหว่างทางไปอาณาเขตของเฮยกว่าฟู่ เมื่อเป้าหมายปรากฏตัว พวกเขาก็จะบอกทิศทางการเคลื่อนไหวที่แม่นยำของเป้าหมายให้ห้าปราชญ์ที่ดักซุ่มรอล่วงหน้ารู้ ถ้ามีอะไรคลาดเคลื่อนจะได้ปรับเปลี่ยนได้ทัน
ส่วนเรื่องลงมือ วรยุทธ์ของเป้าหมายสูงเกินไป ลูกศิษย์และลูกชายลูกสาวไม่สะดวกจะเข้าไปแทรก ไม่อย่างนั้นก็ไม่เพียงแค่จะช่วยอะไรไม่ได้ แต่กลับจะกลายเป็นภาระด้วยซ้ำ ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของพวกเขา
ตอนนี้ยังเหลืออีกสองเดือนกว่าก็จะถึงเวลาตกปลาสายรุ้งดิน ทว่าทางนี้เริ่มเตรียมตัวเรื่องดักซุ่มแล้ว
“ศิษย์พี่ ทำไมจู่ๆ อาจารย์ถึงต้องการให้พวกเราไปรอที่น่านฟ้าชวดอี่?”
ในจุดลึกที่มียอดเขาเขียวบังเหมือนฉากกั้น ระหว่างภูเขามีลำธารใสเย็นสายหนึ่งไหลผ่าน เยว่เหยาที่ยืนอยู่ริมลำธารถามถังจวินที่กำลังขมวดคิ้วอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน อาจารย์ไม่พูดข้าก็เลยไม่สะดวกจะถามเยอะ ในเมื่ออาจารย์เตรียมการอย่างนี้แล้ว ก็ทำตามแล้วกัน!” ถังจวินขมวดคิ้วถอนหายใจ
ไปน่านฟ้าชวดอี่ก็เท่ากับไปหาเหมียวอี้ สถานที่สองแห่งห่างกันค่อนข้างไกล เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมมู่ฝานจวินที่อยู่ด้วยกันตลอดจึงให้พวกเขาสองคนแยกทางไป
แต่มู่ฝานจวินก็แอบกำชับเขาไว้อีกอย่าง สามเดือนหลังจากนี้ ถ้าหากไม่เห็นนางติดต่อมา ก็ให้พาเยว่เหยาไปหาเหมียวอี้ทันที ไปขอพึ่งพาเหมียวอี้ ก่อนที่จะเจอเหมียวอี้ห้ามบอกเรื่องนี้กับเยว่เหยาเด็ดขาด
คำพูดพวกนี้ ไม่ว่าฟังอย่างไรก็ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังสั่งเสีย ถังจวินรู้สึกได้รางๆ ว่ากำลังจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ก็ไม่รู้ว่ามู่ฝานจวินกำลังทำอะไรกันแน่
หลังจากครุ่นคิดซ้ำไปซ้ำมา ถังจวินก็ยังคิดไม่ตก จึงทำได้เพียงจัดการตามนี้ เรียกเหยี่ยวมารวานรยักษ์จากกระเป๋าสัตว์ออกมาตัวหนึ่ง สัตว์เทพตัวนี้ก็เพิ่งปล้นมาได้เช่นกัน มีราคาสูงไม่เบา แต่สัตว์เทพที่มีพลังเท้าแบบนี้ มู่ฝานจวินก็ไม่มีทางเอาไปขายเช่นกัน ก่อนไปมู่ฝานจวินได้ป้องกันเหตุไม่คาดคิดเอาไว้ ทิ้งสัตว์เทพตัวหนึ่งไว้ให้เป็นพลังเท้าของทั้งสองคนที่วรยุทธ์ยังไม่ถึงระดับบงกชทอง
“ศิษย์น้องหก ไปกันเถอะ!” ถังจวินพูดจบแล้วเหาะขึ้นไปเหยียบบนหลังเหยี่ยวที่บินอยู่บนฟ้า จากนั้นเยว่เหยาก็ขึ้นไปเหยียบข้างๆ ทั้งสองขี่เหยี่ยวมารวานรยักษ์พุ่งขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว
คนที่เตรียมการแบบนี้ไม่ได้มีแค่มู่ฝานจวิน เรียกได้ว่าการเตรียมการนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ห้าปราชญ์ปรึกษากันแล้ว ต่างก็ให้รุ่นลูกออกจากน่านฟ้านี้ไปหลบอยู่ใกล้ๆ เหมียวอี้ หลักการก็เรียบง่ายมาก เพราะจอมพลหวงฮ่าวของสายมะเมียไม่ใช่ไก่อ่อน ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา น่านฟ้าผืนนี้จะต้องถูกปิดสนิทแน่นอน ย่อมให้ลูกศิษย์หนีไปให้พ้นจากน่านฟ้านี้ หนีให้พ้นขอบเขตอำนาจของหวงฮ่าวก็ปลอดภัยแล้ว ให้ไปหลบอยู่ในที่ที่ใกล้กับเหมียวอี้ที่สุด จะได้ให้เหมียวอี้ดูแลได้สะดวก
ทั้งห้านับว่าคิดไตร่ตรองเพื่อลูกศิษย์ของตัวเอง…
หลังจากนั้นหนึ่งเดือน ณ ตลาดสวรรค์ของดาวหนานจื่อ ในประตูเมืองเขตเหนือมีคนเดินออกมาเก้าคน ทหารสวรรค์ที่เฝ้าประตูเมืองคำนับทันที พอทั้งเก้าออกจากเมืองก็เหาะฝ่าชั้นบรรยากาศออกไป
ในป่าภูเขาที่อยู่ไกลๆ ฝ่าเยี่ยนใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์เฝ้าสังเกตการณ์อยู่ตลอด หลังจากมองส่งเก้าคนนั้นพุ่งขึ้นฟ้าไปแล้ว ก็รีบร่ายอิทธิฤทธิ์เขย่าระฆังดารา : อาจารย์ หลี่ตงเหมี่ยว จั่วอิงกง กัวเฉิงซิ่วออกจากประตูเมืองเขตเหนือไปแล้ว พาผู้ติดตามไปคนละสองคน รวมทั้งหมดเก้าคน ไปยังทิศทางที่คาดไว้ล่วงหน้าแล้ว!
ทางฉางเหลยตอบมาว่า : ไม่มีเรื่องอะไรเกี่ยวกับเจ้าแล้ว พาศิษย์น้องของเจ้าไปรอตรงจุดที่กำหนดไว้เดี๋ยวนี้
หลังจากนั้น ทั้งสี่คนที่กระจายกันจับตาดูอยู่นอกประตูเมืองสี่ทิศก็รีบเหาะขึ้นฟ้า ออกไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว
ในดาราจักร บนดาวเคราะห์ที่เงียบรกร้างแบบหนึ่ง อันหรูอวี้กำลังซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มก้อนหิน เมื่อได้รับข่าวก็อาศัยก้อนหินบังตัวและใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองสำรวจไปยังทิศทางหนึ่ง จู่ๆ แววตาก็วูบไหว รีบหดร่างกายเข้าไปด้านหลังก้อนหิน
หลังจากมองส่งร่างคนเก้าคนหายไปในท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว นางก็รีบหยิบระฆังดาราออกมาร่ายอิทธิฤทธิ์เขย่า : อาจารย์ เก้าคนนั้นไปตามทิศทางที่คาดไว้ ไม่มีอะไรคลาดเคลื่อน!
บางทีอาจจะเป็นเพราะหลายปีมานี้เคยชินกับการสมคบกันปล้นทรัพย์ อันหรูอวี้ที่เคยมีลักษณะสูงส่งสง่างาม การกระทำในตอนนี้เหมือนหัวขโมยอยู่หลายส่วน
หลังจากมู่ฝานจวินตอบหลับมา อันหรูอวี้ก็มองไม่เห็นเก้าคนนั้นแล้ว หลังจากหายกังวลว่าดวงตาอิทธิฤทธิ์ของเก้าคนนั้นจะสังเกตเห็นตน เงาร่างถึงได้ถลันวูบออกมาอย่างรวดเร็ว พุ่งไปยังจุดลึกบนท้องฟ้า ไปยังจุดรวมตัวที่กำหนดไว้
สามคนอยู่ข้างหน้า หกคนอยู่ข้างหลัง พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ชี้ไปยังท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ตลอดทาง เหมือนจะไม่รีบเดินทาง สามคนที่นำหน้าลักษณะองอาจผึ่งผาย ดูเหมือนอายุยังน้อย แต่กลับมีอำนาจในอาณาเขต ทั้งสามก็คือหลี่ตงเหมี่ยว จั่วอิงกงและกัวเฉิงซิ่ว
อายุน้อยแต่มีความสามารถ กระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวา ทั้งยังมีภูมิหลังให้พึ่งพา ขนาดการทดสอบของผู้บัญชาการใหญ่ตำหนักสวรรค์ พวกเขาก็ยังมีเส้นสายคอยดูแลให้ผ่านไปได้ พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลย ว่าในอาณาเขตสายมะเมียจะมีคนที่ไม่ใช่ขุนนางกล้าแตะต้องพวกเขา แต่หารู้ไม่ว่ามีคนเฝ้าดูพวกเขามาเป็นทอดๆ ตลอดทาง ทั้งสามมั่นใจในตัวเองมากเกินไปหน่อย…
ริมทะเลสาบสีดำ ทิวทัศน์หนาวเย็นวังเวง เต็มไปด้วยดอกเหมยที่เบ่งบานในเดือนสิบสอง หิมะขาวโพลน สะพานหินอยู่เหนือผิวน้ำ ผิวทะเลสายสงบนิ่ง ในศาลายาวตรงหัวสะพาน ฮูหยินชุดดำคนหนึ่งกระโปรงยาวลากพื้น รูปร่างอวบอัดเย้ายวนใจ เกล้าผมอย่างนุ่มนวลละมุนละไม ผิวขาวดุจหิมะ ตรงหว่างคิ้วบนใบหน้างามประดับด้วยดอกเหมยหลายกลีบ
เฮยกว่าฟู่ยืนพิงระเบียงและยื่นศีรษะก้มมองในน้ำสีดำมืด นางพยักน้าเบาๆ ในที่สุดในน้ำทะเลสาบที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นก็มีแสงสีรุ้งกะพริบเป็นระยะ นางหันกลับมาเรียก “ลูกซือ!”
ชายหนุ่มวัยกลางคนที่สวมชุดดำถลันตัวเข้ามา วรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นหนึ่งตรงหว่างคิ้วเลือนหายไป กุมหมัดคารวะถามว่า “ท่านแม่ มีอะไรจะกำชับขอรับ?”
ชายหนุ่มคนนี้ก็คือลูกชายของเฮยกว่าฟู่ ชื่อว่าจูเชียนซือ
เฮยกว่าฟู่หันมากล่าวพร้อมรอยยิ้มที่พราวไปด้วยเสน่ห์ “ผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสามท่านบอกไว้ก่อนจะออกเดินทาง ตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างทาง คาดว่าคงใกล้จะถึงแล้ว ไปต้อนรับแทนข้าสักหน่อย”
“ขอรับ!” จูเชียนซือเอ่ยรับคำสั่งแล้วเหาะขึ้นฟ้าไป
การต้อนรับผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสามคือธรรมเนียมที่ทำจนเคยชินแล้ว น่าเสียดายที่พวกจีฮวนไม่รู้สถานการณ์นี้
…………………………………
บทที่ 1166 บงกชรุ้งแล้วยังไง
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ทิศทางไม่คลาดเคลื่อน กำลังมาทางนี้ คาดว่าอีกไม่นานก็จะถึงแล้ว”
บนดาวขรถขระดวงหนึ่งที่ลอยอยู่กลางอากาศ อวิ๋นอ้าวเทียนเก็บระฆังดาราแล้วหันมาบอกสหายร่วมปล้นทั้งสี่คน
และนี่ก็เป็นข้อความสุดท้ายเช่นกัน เมื่ออวิ๋นเซี่ยวส่งข้อความมา หลังจากนั้นก็ไม่มีใครส่งข่าวมาแล้ว คนที่ดักซุ่มอยู่ตลอดทางรายงานข่าวเสร็จแล้วจากไปล่วงหน้า ไปยังจุดรวมตัวที่กำหนดไว้
จีฮวนพยักหน้า แล้วเอียงหน้าบอกซือถูเซี่ยวว่า “ผีเฒ่า ต้องพึ่งเจ้าแล้ว ต้องให้แพ้เท่านั้น ห้ามให้ชนะ ล่อคนมาทางนี้ ทุกคนอย่าสู้แบบอาลัยอาวรณ์ ให้รีบสู้รีบจบ พยายามอย่าให้อีกฝ่ายมีโอกาสเผยไพ่ลับ ล้อมสังหารในรวดเดียว อย่าให้พวกเขามีโอกาสส่งข้อความขอความช่วยเหลือ แบบนี้จะทำให้พวกเรามีเวลาเพียงพอในการหนีเอาตัวรอดอย่างปลอดภัย”
ซือถูเซี่ยวไม่ตอบอะไร เขาที่เดิมที่สวมหน้ากากอยู่แล้วดึงหมวกไอ้โม่งมาปิดบังใบหน้าอีก สวมเสื้อผ้าเรียบง่ายสีดำทั้งตัว แต่งตัวตามแบบฉบับโจร
คนอื่นๆ ก็แต่งตัวแบบนี้เหมือนกัน แม้แต่อวิ๋นอ้าวเทียนก็เลิกแต่งตัวแบบเปิดเผยแล้ว ล้วนใส่เสื้อผ้าสีดำแบบเรียบง่าย สวมหมวกไอ้โม่งสีดำ ดวงตาสองข้างที่โผล่ออกมาสบตากันแวบหนึ่ง จากนั้นทั้งสี่ก็แยกย้ายกันไปรอบๆ แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์แยกแผ่นดินมุดเข้าไปโดยตรง
ซือถูเซี่ยวที่อยู่ลำพังเหลียวซ้ายแลขวาอยู่พักหนึ่ง แล้วเดินไปด้านหลังหินก้อนหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ โผล่ร่างกายออกมาครึ่งเดียว จ้องสำรวจทิศทางที่คาดการณ์ไว้
หลังจากผ่านไปประมาณสองชั่วยาม ในที่สุดเงาร่างของเก้าคนเป้าหมายก็ปรากฏอยู่ในท้องฟ้าไกลๆ ซือถูเซี่ยวยกเท้าร่ายอิทธิฤทธิ์กระทืบพื้นดิน ส่งสัญญาณให้อีกสี่คนเตรียมตัว
รอจนกระทั่งตอนที่เป้าหมายใกล้จะถึง ซือถูเซี่ยวก็ถลันตัวพุ่งออกมา มาสกัดอยู่กลางท้องฟ้าในแนวขวาง ยืนกอดอกลอยอยู่บนท้องฟ้า ขวางทางคนกลุ่มนี้อย่างชัดเจน
เมื่อเก้าคนที่มาเห็นว่ามีคนคลุมหน้ามาขวางทางกะทันหัน พวกหลี่ตงเหมี่ยวที่นำหน้าก็สบตากันแวบหนึ่ง ทั้งสามเงยหน้าพร้อมกัน กดข่มความเร็วของคนที่เหาะอยู่ด้านหลัง ผ่อนความเร็วเพื่อเหาะไปข้างหน้าพร้อมกัน
ตอนที่ทั้งสองฝ่ายเจอกันในระยะที่ไม่ไกลกันนัก ก้าคนนั้นก็หยุดอยู่กับที่พร้อมกัน คุมเชิงอยู่กับซือถูเซี่ยว หลี่ตงเหมี่ยวร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนถามว่า “ใครกันมาทำตัวลิงหลอกเจ้าอยู่ตรงนี้?”
“ถนนนี้ข้าบุกเบิก ต้นไม้นี้ข้าปลูกเอง ถ้าอยากจะผ่านเส้นทางนี้ ก็ทิ้งเงินค่าผ่านทางเอาไว้!” ซือถูเซี่ยวที่กำลังยืนกอดอกน้ำเสียงเปลี่ยนเป็นแหบพร่า
ที่แท้ก็เป็นโจรนี้เอง ทุกคนมองหน้ากันเลิกลั่ก หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกนิดหน่อย ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนกล้าปล้นผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสามของตำหนักสวรรค์ คงเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแล้วจริงๆ
“ที่นี่ไม่มีถนนไม่มีต้นไม้ เจ้าเวรนี่สมองมีปัญหาแล้วมั้ง ขนาดพูดจาให้รู้เรื่องยังทำไม่ได้เลย!” กัวเฉิงซิ่วมองเพื่อร่วมงานแล้วหัวเราะใส่
หลี่ตงเหมี่ยนแสยะยิ้ม “ใจกล้าไม่เบา ปล้นกลางทางจนมาเจอพวกเราแล้ว รู้รึเปล่าว่าพวกเราเป็นใคร?”
“สนใจทำไมว่าพวกเจ้าเป็นใคร ทิ้งของบนตัวเจ้าเอาไว้ แล้วปู่คนนี้จะปล่อยให้พวกเจ้าผ่านไป!” ซือถูเซี่ยวกล่าว
“บังอาจ! ผู้บัญชาการใหญ่ของตำหนักสวรรค์ทั้งสามคนอยู่นี่แล้ว ยังกล้ากำเริบเสิบสานอีก!” ผู้ติดตามที่อยู่ข้างหลังหลี่ตงเหมี่ยวตะคอก
“ขู่ข้าเหรอ?” ซือถูเซี่ยวพูดเหยียดหยามว่า “บิดาของพวกเจ้าอยู่นี่แล้ว ถ้าเด็กๆ ยังไม่เชื่อฟัง ไม่ยอมส่งของมาให้ ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจนะ!”
เมื่อกล่าวมาแบบนี้ ทั้งเก้าคนก็ทำสีหน้าดุร้ายทันที กล้าอ้างตนเป็นพ่อของพวกเขา
พอหลี่ตงเหมี่ยวโบกมือ ก็มีหมอกสีทองพ่นขึ้นมาบนร่างกายทันที เมื่อเกราะรบของทหารเลวหกแถบปรากฏวิบวับอยู่บนร่างกาย เจ้าตัวก็แสยะยิ้มถามว่า “ตอนนี้เชื่อรึยัง? มายอมให้จับแต่โดยดี แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า!”
ซือถูเซี่ยวทำท่าทางตกตะลึงเหมือนเห็นผี เรียกได้ว่าหันหน้าแล้วหนีทันที
จั่วอิงกงเอามือกดแขนหลี่ตงเหมี่ยวที่ทำท่าจะตามไป “คนคนนี้เห็นวรยุทธ์บงกชทองขั้นเก้าตรงหว่างคิ้วของเจ้าแล้วยังกล้ากำเริบเสิบสาน จะต้องมีที่พึ่งแน่นอน พี่หลี่ระวังว่าจะมีอุบาย!”
“ลองดูเดี๋ยวก็รู้!” หลี่ตงเหมี่ยวสะบัดแขนเขาออก แล้วชูดาบยาวถลันตัวไล่ตามไป
คนอื่นๆ สวมเราะรบและตามไปในทันที จั่วอิงกงกับกัวเฉิงซิ่วสบตากันแวบหนึ่ง แล้วนำคนตามไปเช่นกัน
“โจรชั่วอย่าหนีนะ!” หลี่ตงเหมี่ยวพลันตะคอก
วรยุทธ์ของซือถูเซี่ยวกับหลี่ตงเหมี่ยวต่างกันเกินไปจริงๆ ถึงแม้จะหนีนำหน้ามาก้าวหนึ่ง แต่ก็ยังถูกไล่ตามทันไวมากอยู่ดี
เมื่อเห็นสถานการณ์ล่อแหลม ซือถูเซี่ยวที่กำลังหลบหนีก็พลันปรบมือสองครั้ง ทำให้มีปราณหยินลอยวนเวียนในชั่วพริบตาเดียว ทั้งร่างหมุนวนอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน เห็นเงาคนพุ่งออกมาคนแล้วคนเล่า สุดท้ายตัวเขาก็ดีดหายไปเช่นกัน
หลี่ตงเหมี่ยวที่ตามมาติดๆ อึ้งไปชั่วขณะ ตรงหน้ามีโจรสิบคนที่สภาพเหมือนกันจนแยกไม่ออกไว้ใครตัวจริงใครตัวปลอม ชั่วขณะนั้นไม่รู้ว่าจะไล่ตามคนไหนดี สองคนที่ตามอยู่ข้างหลังก็งุนงงเช่นกัน
ยังไม่ต้องสนใจอะไรมากขนาดนั้น หลี่ตงเหมี่ยวที่ตามทันฟันดาบเข้าไปอย่างรวดเร็ว ปั้ง! โจรคนหนึ่งระเบิดกลายเป็นหมอกหยินสลายหายไปภายใต้ดาบของเขา
“ไล่ตามหนึ่งคนต่อหนึ่งคน!” หลี่ตงเหมี่ยวตะโกนสั่ง เขาเองก็ไล่สังหารคนคนหนึ่งไป ลูกน้องสองคนก็แยกกันไล่ตามแบบหนึ่งต่อหนึ่งเช่นกัน
“มิน่าล่ะถึงกล้าปล้นที่นี่ มีความสามารถอยู่บ้างจริงๆ พี่จั่ว มาร่วมมือกันเถอะ อย่าให้เขาหนีไป ไม่อย่างนั้นหลี่ตงเหมี่ยวจะเสียหน้า!” กัวเฉิงซิ่วที่ตามมาดูการต่อสู้อยู่ข้างหลังเอียงหน้าบอก
จั่วอิงกงพยักหน้า สองคนนั้นโบกมือทันที พาลูกน้องที่สวมเกราะรบไล่ตามไปเช่นกัน ล้อมปราบร่างที่แยกเป็นหลายร่าง
เคล็ดวิชาของซือถูเซี่ยวแปลกประหลาดจริงๆ ความเร็วสู้อีกฝ่ายไม่ได้ เห็นอยู่ตำตาหลายครั้งว่าโดนตามทันแล้ว แต่กลับอาศัยวิชาแยกร่างจนรอดพ้นวงล้อมไปครั้งแล้วครั้งเล่า จะเห็นได้ว่าการที่พวกจีฮวให้เขามาล่อศัตรูก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล
ภายใต้การล้อมปราบของคนเก้าคน ร่างแยกของซือถูเซี่ยวถูกทำลายครั้งแล้วครั้งเล่า ที่จริงเขาก็มีวิธีร่ายอิทธิฤทธิ์แยกร่างให้ได้หลายร่างกว่านี้ แต่ดันแยกออกมาเก้าร่างเพื่อให้คนเก้าคนนี้ไปทำลาย สุดท้ายก็ทำท่าเหมือนหนีไม่พ้น อับจนหนทางจนหนีไปอยู่บนดาวดวงนั้น พอเหยียบลงพื้นก็ชูมือสองข้างพร้อมตะโกนทันที “ยอมแพ้! อย่าโจมตี ข้ายอมให้จับตัวแต่โดยดี!”
ขณะที่เหยียบลงพื้น พื้นดินก็ถูกเขาทำให้สะเทือนจนเป็นรอยแยกเหมือนใยแมงมุม
ผู้ติดตามหกคนถลันตัวเข้ามาล้อมเขาไว้ทันที มีคนโยนเชือกมัดเซียนเส้นหนึ่งออกมาแล้ว มัดซือถูเซี่ยวเอาไว้ตรงนั้น
พอดาบและทวนหลายด้ามกดจ่ออยู่บนร่างกายของซือถูเซี่ยว ผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสามถึงได้เหยียบลงพื้นอย่างสงบใจ
หลี่ตงเหมี่ยวแสยะยิ้ม ขณะกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง รอบข้างก็พลันมีเสียงระเบิด “บึ้ม” จั่วอิงกงตกตะลึงพรึงเพริด อุทานอย่างร้อนใจว่า “ท่าไม่ดีแล้ว โดนกับดัก!”
หกคนที่กำลังใช้อาวุธจ่อบนตัวซือถูเซี่ยว พอได้ยินแบบนั้นก็ต้องการจะกำจัดซือถูเซี่ยวทิ้งก่อน ทั้งดายทั้งทวนแทบจะแทงเข้าไปในร่างของซือถูเซี่ยวพร้อมกัน
ปั้ง! หมอกหยินระเบิดออก หกคนนั้นสังหารร่างที่แยกออกมา เชือกมัดเซียนก็ก็มัดความว่างเปล่าเช่นกัน ตกลงบนพื้นแล้ว ไม่รู้แล้วว่าซือถูเซี่ยวหายไปไหน ไม่น่าเชื่อว่าจะหายไปในอากาศ
ทั้งหกคนงงงันประหลาดใจ
หลี่ตงเหมี่ยว จั่วอิงกง กัวเฉิงซิ่วตกใจกับความเคลื่อนไหวรอบข้าง ขณะกำลังรีบกวาดมองไปรอบๆ ก็เห็นคนโพกหน้าสี่คนพุ่งเข้ามา ทันใดนั้นก็ตกตะลึงอีกครั้ง พวกเขาพลันก้มหน้ามอง พบว่ามีคนฉวยโอกาสตอนที่ทั้งสามเสียสมาธิมองไปรอบๆ แอบใช้โซ่ที่ทำจากผลึกแดงบริสุทธิ์สามเส้นมัดบนเท้าของพวกเขาแล้ว
ตอนนี้ทั้งสามถึงได้พบว่าตัวเองติดกับดักร้ายอย่างต่อเนื่องกัน!
ทั้งสามก็ไม่เล่นๆ เหมือนกัน รีบร่วมมือกันฝ่าวงล้อมพุ่งขึ้นฟ้า
บึ้ม! ผิวเดินระเบิดออก ทั้งสามอาศัยวรยุทธ์ที่แข็งแกร่ง ดึงซือถูเซี่ยวที่หลบอยู่ใต้ดินขึ้นมาต่อหน้าต่อตา
ซือถูเซี่ยวคนเดียวจะดึงทั้งสามคนไหวได้อย่างไรกัน แต่สิ่งนี้ไม่สำคัญหรอก กลัวก็แต่ทั้งสามที่วรยุทธ์สูงเกินไปจะหนีไปได้ บทบาทหน้าที่ของเขาก็คือทำให้พวกเขารวมตัวอยู่ด้วยกัน ถ่วงเวลาพวกเขาเอาไว้ ไม่อย่างนั้นถ้าพวกเขาหนีขึ้นมา ก็เป็นเรื่องยากมากที่จะป้องกันไม่ให้หนีรอดไปเหมือนปลาหลุดแห ส่วนเรื่องกำจัดสามคนนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องกังวล
ประสบการณ์เข่นฆ่าสู้รบของห้าปราชญ์ก็เรียกได้ว่าโชกโชน ในหมู่ ‘สหายโจร’ ต่างก็รู้จักกันค่อยข้างดี
ตอนที่ซือถูเซี่ยวถูกดึงขึ้นมาเหนือพื้นดิน จีฮวนที่พุ่งเข้ามาก็ระเบิดหมอกปีศาจบนร่างกาย แล้วก่อตัวกลายเป็นหัตถ์ปีศาจหลายสิบข้างอย่างรวดเร็ว มันยาวขึ้นราวกับกรงเล็บมารปีศาจ โจมตีไปยังผู้ติดตามหกคนนั้นอย่างบ้าคลั่ง ซือถูเซี่ยวที่ถูกดึงขึ้นมาจากพื้นจะได้ไม่ถูกหกคนนี้โจมตี
ส่วนฉางเหลยก็พุ่งเข้ามาจากข้างหน้าด้วยมือเปล่า พุ่งกายเนื้อเข้าใส่ทวนยาวของคนคนหนึ่งราวกับไม่สนความเป็นความตาย
คนคนนั้นตกตะลึงมาก ยังไม่เคยเห็นวิธีการต่อสู้ที่ไม่กลัวตายแบบนี้มาก่อน เสียบทวนเข้าไปในหน้าอกของฉางเหลยอย่างแรงแล้ว
ปรากฏว่าบนตัวฉางเหลยมีแขนโผล่ออกมาอีกข้างหนึ่ง ควงไม้ขักขระด้ามหนึ่งขึ้นมา ปั้ง! ทุบบนศีรษะของอีกฝ่ายอย่างแรง
คนที่โดนทุบจนกระอักเลือดยังนึกว่าตัวเองตาลาย เขาพบว่านี่มันเรื่องประหลาดอะไรกัน ทวนยาวของตัวเองแทงโดนหน้าอกของฉางเหลยแล้วชัดๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกดึงอยู่ในมืออีกข้างของฉางเหลย พอไม้ขักขระในมือฉางเหลยหมุน ปลายไม้ที่เป็นกรวดแหลมก็กวาดตัดคอหอยของคนที่กระอักเลือดทันที
ฉางเหลยที่ถือไม้ขักขระหมุนตัวสังหารไปที่อีกคน ราวกับเป็นเทพสังหารจริงๆ ถ้าไม่เห็นตัวจริง ใครจะไปคิดว่านี่คือพระที่ออกบวช
เหมือนจะช้าแต่เวลาผ่านไปเร็วมาก ซือถูเซี่ยวที่ถูกดึงขึ้นมาจากพื้นดินไม่ใช่วรยุทธ์ปะทะกับพวกหลี่ตงเหมี่ยวตรงๆ เลย ถ้าสู้ก็ไม่ชนะด้วย เขาสะบัดมือโยนโซ่ในมืออกมา
มู่ฝานจวินที่พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วยื่นมือรับ พอหมุนแขนโซ่ก็พันอยู่บนแขนตัวเอง โดนสามคนนั้นดึงขึ้นฟ้าด้วยความเร็วสูง
พวกหลี่ตงเหมี่ยวรีบเรียกอาวุธผลึกแดงออกมา แล้วฟันไปที่โซ่ใต้เท้าอย่างบ้าคลั่ง
มู่ฝานจวินที่อยู่ข้างล่างทำสายตาตาดุดันทันที พอสะบัดแขนหนึ่งครั้ง อัสนีบาตหลายสายก็ฟาดขึ้นไป เห็นกระแสไฟฟ้าบนแขนมู่ฝานจวินแยกเป็นสามสายเลื้อยขึ้นตามโซ่ทันที
“เอื้อ…” สามคนที่เปลี่ยนมาใช้อาวุธผลึกแดงฟันโซ่ใต้เท้าร้องครางออกมา ร่างกายสั่นเทิ้มอยู่กลางอากาศ
ทั้งร่างมู่ฝานจวินมีอัสนีบาตกะพริบแสงไม่หยุด ดึงโซ่ไว้แน่นไม่ยอมปล่อย เมื่อเห็นอวิ๋นอ้าวเทียนถือดาบใหญ่โลหิตสังหารเข้ามา นางถึงได้เก็บอัสนีบาตบนตัว
เห็นอวิ๋นอ้าวเทียนโบกดาบฟันต่อเนื่องกันหลายครั้งอยู่กลางอากาศ
ฉึกๆๆ ศีรษะสามใบของหลี่ตงเหมี่ยว จั่วอิงกง กัวเฉิงซิ่วกระเด็นขึ้นมา ในดวงตาฉายแววหวาดผวา เหมือนต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึงว่าจะมาตายที่นี่
ทั้งสามยังไม่ทันได้ประมือกับอีกฝ่ายก็ตายเสียแล้ว ในแววตาหวาดผวาของศีรษะสามใบฉายแววคับแค้นรางๆ ตายอย่างไม่เป็นธรรม!
“บังอาจ!” ในดาราจักรพลันมีเสียงตะโกนดังมา
ทั้งห้าคนแบ่งสมาธิหันไปมอง ทำให้ตกตะลึงพรึงเพริด เห็นเพียงชายหนุ่มคนหนึ่งที่ตรงหว่างคิ้วเผยวรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นหนึ่งพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งชกหมัดคลั่งออกมากลางอากาศหนึ่งที
ผู้ที่มาไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นจูเชียนซือที่มาต้อนรับนั่นเอง!
พลังอิทธิฤทธิ์โหมซัดสาดออก ปฏิกิริยาแรกของทั้งห้าคือหนีกระเจิดกระเจิงอย่างรวดเร็ว
บึ้ม! ราวกับฟ้าถล่มแผ่นดินแยก ตรงกึ่งกลางดวงดาวที่ขรุขระเกิดเป็นหลุมลึกรอยหมัด
บึ้ม! มีเสียงดังขึ้นอีกครั้ง อานุภาพของหมัดนั้นเจาะทะลุดวงดาวขรุขระดวงนี้ไปแล้ว ด้านหลังดวงดาวระเบิดฝุ่นดินออกมาจำนวนมาก ดาวดวงหนึ่งที่มีขนาดเส้นรอบวงหลายสิบลี้ถูกจูเชียนซือชกจนทะลุแล้ว ตรงกลางปรากฎช่องว่างขนาดใหญ่ จะเห็นได้ว่าพลังเข้มแข็งกล้าแกร่งขนาดไหน
ในนาทีถัดมา จูเชียนซือไล่สังหารตามมาแล้ว มู่ฝานจวินเป็นคนแรกที่เขาพุ่งเข้าใส่
ภายใต้ความวิตกกังวล มู่ฝานจวินโบกมือกวาดโซ่ที่ล่ามศพไร้หัวสามศพออกมา
จูเชียนซือที่พุ่งเข้ามาช้อนจับโซ่เอาไว้ พอสะบัดหลังมือ โซ่ก็กระเพื่อมออกมาราวกับระลอกคลื่น
พลังของอีกฝ่ายแข็งแกร่งเกินไปจริงๆ มู่ฝานจวินจะปล่อยมือหนีไปก็ไม่ทันแล้ว ถูกโซ่ที่กระเพื่อมกลับมาฟาดโดนแผ่นหลัง ปั้ง!
อั้ก! มู่ฝานจวินกระอักเลือดสดออกมาอย่างบ้าคลั่ง ชุดสีดำรวมกับหน้ากากระเบิดออกปลิวว่อนกระจัดกระจายราวกับผีเสื้อ เกราะรบผลึกทองบริสุทธิ์ที่อยู่ในนั้นทนการโจมไม่ไหวแม้เพียงครั้งเดียว มันพังทลายกลายเป็นฝุ่นสีทอง ทั้งตัวสะเทือนจนกระเด็นออกไป
ในบรรดาคนสี่คนที่หนีกระจัดกระจาย อวิ๋นอ้าวเทียนหันกลับมามองแวบหนึ่ง ในดวงตาแดงก่ำเป็นสีเลือดจางๆ ปราณมารบนร่างกายลอยวนเวียน ตอกเสียงดุดันว่า “ถ้าแยกกันไม่ว่าใครก็หนีไม่พ้น ถ้าเขาไม่ตายพวกเราก็ตาย บงกชรุ้งแล้วยังไงวะ ร่วมมือกันฆ่าเขา!”
…………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น