ท่านเทพมาแล้ว 116-128

 บทที่ 116 คนนี้หน้าคุ้น

โดย

Ink Stone_Romance

หลังอยู่ในทะเลทรายแห้งแล้งกันดารทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือสิบปีเต็ม เจ้าเค่อความสามารถโดดเด่น ปีกกล้าขาแข็ง เปลี่ยนชื่อแซ่กลับไปเป็นทหารในเมือง หนทางราบรื่นจนเป็นนายพล วันนี้เอง เขารวบรวมบริวารเก่าของตระกูลเจ้าที่อยู่ทางใต้มุ่งเข้าก่อกบฏ บีบเข้าใกล้เมืองหลวง


ก่อนที่ทหารตระกูลเจ้าจะบุกทะลวงด้านหน้าวัง กษัตริย์ซึ่งอยู่ในตำหนักหลักสังหารตนเองไป เจ้าเค่อสั่งคนให้ตรวจสอบวังให้ละเอียด กลับพบองค์หญิงที่ซ่อนอยู่ในบ่อน้ำเก่าและถูกลูกน้องช่วยขึ้นมา


องค์หญิงผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้ามอมแมม เมื่อล้างน้ำจนสะอาด เจ้าเค่อที่ร่างเต็มไปด้วยเลือดนั่งอยู่บนชั้นหินเห็นแล้วก็ใจลอยไป


เขาใจลอย พวกมู่จิ่วยิ่งใจลอย!


องค์หญิงที่สวมเสื้อสีเรียบง่ายนั้นคือเฟยอีในตอนแรก…


“ยังไม่ตายสินะ” นางพูดพึมพำ มองดูวังที่เต็มไปด้วยศพและคราบเลือด คนทั้งสองกลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง ในใจนางเจ็บแปลบเล็กน้อย นางพลันเชื่อว่าเฟยอีคงจะรักชิงผิง มิฉะนั้นคงไม่กระโดดแท่นประหารเซียนตามลงมา และคงไม่มาพัวพันกับเขาอีกครั้ง


ภาพดำเนินต่อไป องค์หญิงสังหารตนเองหลายหน เจ้าเค่อก็ช่วยไว้หลายหน ในที่สุดสามปีให้หลังพวกเขาก็ลบความโกรธแค้นไปได้


ตอนที่กำลังเตรียมจัดงานแต่งครั้งใหญ่ ผิงหนานอ๋องที่สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขากลับออกมาต่อต้านไม่ให้กษัตริย์ของพวกเขาสมรสกับองค์หญิงแห่งแคว้นที่ล่มสลายแล้ว เจ้าเค่อไม่สนใจ เฟยอีกลับขอเป็นชายาเอง และตอนนี้เองที่ผิงหนานอ๋องนำน้องสาวของเขาเข้าวัง น้องสาวของผิงหนานอ๋องรูปร่างหน้าตาเหมือนเฟยอียิ่งกว่าองค์หญิงจากแคว้นที่ล่มสลายแล้วเสียอีก…


“นี่มันเรื่องอะไรกัน?” มู่จิ่วดูจนสับสนแล้ว! ในเมื่อเป็นแบบนี้ แท้จริงใครคือเฟยอีตัวจริงกันแน่?


ลู่ยากับราชาจิ้งจอกล้วนเงียบไป


หากไม่มีน้องสาวของผิงหนานอ๋อง ใครก็ไม่อาจสงสัยว่าองค์หญิงคือเฟยอี แต่พอนางปรากฏตัวออกมา เฟยอีกลับยิ่งนานยิ่งไม่เหมือนเฟยอี…


เรื่องราวความรักต่อมา ผิงหนานอ๋องกับเจ้าเค่อหารือกัน ยินยอมให้เขาเก็บองค์หญิงไว้ แต่ฮองเฮาต้องเป็นน้องสาวของเขา ภาพฉายไปที่งานสมรสอันยิ่งใหญ่ของเจ้าเค่อและฮองเฮา หลังจากฮองเฮาผ่านช่วงเวลาครึ่งปีของการแต่งงานใหม่ก็เริ่มใช้ชีวิตตัวคนเดียว กลับมาดูทางด้านองค์หญิง เจ้าเค่อแทบจะไปเยี่ยมเยือนทุกคืน


รักลำเอียงของเจ้าเค่อย่อมเป็นเหตุกระตุ้นให้ผิงหนานอ๋องโกรธ ช่วงเวลาเป็นตายที่องค์หญิงให้กำเนิดโอรสสวรรค์ โอรสสวรรค์คลอดออกมาแล้ว แต่องค์หญิงกลับสิ้นพระชนม์ เจ้าเค่อตรวจเจอพิษร้ายในน้ำแกงกล่อมประสาทที่นำมาให้หลังองค์หญิงคลอด อันที่จริงฮองเฮาได้ให้กำเนิดโอรสองค์โตอายุกว่าสิบเดือนแล้ว เจ้าเค่อกลับยังแต่งตั้งโอรสองค์ที่สองเป็นรัชทายาท ผิงหนานอ๋องบุกเข้ามาถึงวังเพื่อถามเจ้าเค่อ เจ้าเค่อกลับโยนถุงผ้าใส่พิษออกมา


ผิงหนานอ๋องไม่กลัว กลับกล่าวโทษเจ้าเค่อ ภาพเคลื่อนไปเร็วมาก ทำให้ไม่มีหนทางฟังออกว่าพวกเขาพูดอะไรกันบ้าง


จากนั้นผิงหนานอ๋องบุกเข้าวังหลัง พาฮองเฮาจากไป ไหนเลยจะรู้ว่าฮองเฮาได้ซ่อนกริชไว้ในแขนเสื้อนานแล้ว และสังหารตนเองที่หน้าตำหนักต่อหน้าสองคนนั้น โอรสองค์โตที่เพิ่งเดินได้เตาะแตะซบอยู่ข้างกายนาง กอดคอของนางไว้ไม่ยอมจาก…


สีแดงเลือดทำให้ภาพพร่าเลือน ภาพก็นิ่งเงียบไปเสียจนหายใจไม่ออก


มู่จิ่วกระบอกตาร้อนผ่าว


“ฮองเฮาต้องเป็นเฟยอีแน่ๆ!” นางพูด


“เพราะอะไร?” ลู่ยามองนางอยู่ตลอด


“เป็นความรู้สึกของผู้หญิง เฟยอีกระโดดแท่นประหารเซียนตามชิงผิงซิงจวิน ถึงแม้ไม่รู้ว่าทำไมถึงกลับไปเวียนว่ายตายเกิด แต่ความติดค้างในใจนางที่มีต่อชิงผิงไม่เลือนหายไป นางต้องคืนหนี้รักนี้จึงกลายเป็นน้องสาวของผิงหนานอ๋อง นางรักเจ้าเค่ออย่างลึกซึ้ง ผิงหนานอ๋องต้องการพานางไป นางจะยินยอมได้อย่างไร? เมื่อถูกบีบคั้นอยู่ระหว่างสามีกับพี่ชาย ดังนั้นนางจึงเลือกสังหารตนเอง”


ทั้งสองชาติภพนางไม่เคยมีความรักมาก่อน แต่ไม่รู้ทำไม นางสามารถรู้สึกได้ถึงความรู้สึกของเฟยอี ทั้งความเจ็บปวดนั้น ความรู้สึกผิดนั้น และความกล้าที่ยินยอมทำลายตนเองเพื่อให้อีกฝ่ายสมประสงค์ แต่ทำไมชาติก่อนนางถึงได้จากชิงผิงไปเล่า?


เสียงในภาพเดี๋ยวสูงเดี๋ยวต่ำ เปลี่ยนไปตามความเร็วของภาพ สิ่งที่พวกเขาสามารถได้ยินล้วนเป็นเพียงคำสั้นๆ ในความทรงจำของอู่เต๋อซิงจวินเท่านั้น นางมั่นใจว่าเฟยอีรักเขา และความทรงจำของอู่เต๋อที่ช้าและหนักแน่นที่สุดก็คือช่วงนี้ บางทีอาจจะแสดงว่าเขาก็มีใจต่อฮองเฮาเช่นเดียวกัน


อย่างไรพวกเขาก็เป็นคนรักในชาติก่อน อย่างไรฮองเฮาก็เหมือนเฟยอีกว่าองค์หญิง


“ที่แท้แล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างเฟยอีกับสามีในชาติก่อน? สามีของนางเป็นใคร?”


นางขมวดคิ้วมองพวกเขา


ราชาจิ้งจอกลูบเคราครุ่นคิดอยู่นาน พูดว่า “ผิงหนานอ๋องคนนี้ข้ารู้สึกเหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน”


“จริงหรือ?” มู่จิ่วสดใสขึ้นมาทันที “เช่นนั้นท่านรีบคิดดู!”


ลู่ยาเลื่อนภาพไปอีก ทว่าไม่มีต่อไปแล้ว จึงย้อนกลับไปตอนที่ฮองเฮาสังหารตนเอง ใบหน้าของผิงหนานอ๋องพลันปรากฏอยู่ตรงหน้า


ราชาจิ้งจอกจ้องเขาอย่างละเอียด มองดูครู่หนึ่ง สายตาของเขาวูบไหวเล็กน้อย พลันหยิบหินโมราสีแดงขนาดเท่าเม็ดถั่วลันเตามาวางอยู่ระหว่างคิ้วของผิงหนานอ๋อง ดูครั้งนี้ ผิงหนานอ๋องที่แต่ก่อนดูแข็งแกร่งก็เพิ่มความเคร่งขรึมเข้าไปอีก ยิ่งเหมือนเทพเซียนที่น่าเกรงขาม!


“หลีหัง?!”


ราชาจิ้งจอกหลุดปากพูดออกมาสองคำ ไม่เปล่งเสียงออกมาอยู่นานเหมือนกับตนเองก็ตกใจไปเช่นกัน


“หลีหัง? หลีหังไหน?” มู่จิ่วไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ตามที่นางรู้ ผู้บัญชาการหน่วยทหารที่เป็นศิษย์ของไท่ซ่างเหล่าจวินมีสมญานามว่าหลีหังเจินเหริน ก่อนหน้านี้ไม่นานหลิวจวิ้นยังตั้งใจหยิบยกเรื่องเขามาพูด!


ลู่ยาเป็นอาจารย์อาของไท่ซ่างเหล่าจวิน แต่ก็ไม่ได้รู้จักศิษย์ของเขาทุกคน ยิ่งไปกว่านั้นศิษย์ของพวกเขามีมาก หากจะจำได้ก็คงจำได้ไม่หมด เวลานี้ได้ยินมู่จิ่วพูดถึง เขาก็ขมวดคิ้ว “พูดให้ชัดเจน”


“คือหลีหังเจินเหรินศิษย์ของไท่ซ่างเหล่าจวิน!”


ราชาจิ้งจอกพูด “เป็นเขา! ตอนแรกข้ายังไม่มั่นใจ แต่ไฝแดงระหว่างคิ้วเขา ต้องเป็นเขาอย่างไม่ต้องสงสัย! ร่างเดิมของหลีหังคือกระเรียนเซียน หลังจากเปลี่ยนร่างเป็นคนแล้วก้อนบนศีรษะกลายเป็นไฝสีแดงเม็ดหนึ่งอยู่ระหว่างคิ้ว ยิ่งไปกว่านั้นข้าเพิ่งพบเขาที่งานเลี้ยงลูกท้อ ตอนนั้นรูปร่างหน้าตาของเขาเหมือนคนผู้นี้ไม่มีผิด!”


มู่จิ่วอ้าปากกว้าง ความคิดที่ชัดเจนแต่เดิมพลันรวนเรไปเพราะเบาะแสนี้


หลีหังเจินเหรินคือผิงหนานอ๋อง แบบนั้นในความทรงจำของชิงผิงเขามีบทบาทอะไรกัน?


“หลีหังเป็นศิษย์ลัทธิฉ่าน สอดคล้องกับคดีนี้ เป็นไปได้ว่าเพราะการตายขององค์หญิงเจ้าเค่อจึงโกรธแค้นหลีหัง ดังนั้นจึงวางแผนนี้ไว้ ลากทั้งลัทธิฉ่านลงน้ำไปโดยไม่ลังเล แต่ตามที่อาจิ่วพูด เฟยอีคือฮองเฮาไม่ใช่องค์หญิงของแคว้นที่ล่มสลาย เช่นนั้นความโกรธแค้นของเจ้าเค่อก็ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ”


ลู่ยาเดินทีละก้าวตามฉากกั้นลมอย่างช้าๆ พลางพูด “หรือหลีหังจะเป็นสามีในชาติก่อนของเฟยอี หากมองในแง่ที่ว่าอู่เต๋อมีความยึดมั่นใจความรักแล้ว ก็จะสามารถอธิบายความเคียดแค้นของเขาได้ แต่หากหลีหังเป็นสามีของเฟยอีจริง ทำไมในชาตินี้ต้องส่งเฟยอีให้เจ้าเค่อ? เป็นเพราะสวรรค์ลิขิต หรือเป็นความตั้งใจของเขา?”


“พวกเขาเป็นพี่น้องกันนะ” มู่จิ่วรู้สึกหลงทาง


“ถึงแม้จะเป็นพี่น้องกันก็ไม่จำเป็นต้องส่งเข้าวังไปแย่งชิงความโปรดปราน ยิ่งไปกว่านั้นดูจากความโกรธของผิงหนานอ๋องแล้ว เขาสนับสนุนน้องสาวของตนให้เป็นฮองเฮาไม่เหมือนกับเพื่อแย่งชิงอำนาจ มิฉะนั้นสุดท้ายเขาคงไม่ต้องพาฮองเฮาจากไป”


บทที่ 117 ขบวนอันโอ่อ่า

โดย

Ink Stone_Romance

ลู่ยาพูดอย่างไม่เร็วไม่ช้า “แต่อย่างน้อยเรื่องที่แน่ใจได้คือ บุญคุณความแค้นของอู่เต๋อกับลัทธิฉ่านเริ่มต้นจากตรงนี้ อู่เต๋อที่กลับมาเป็นเซียนอีกครั้งรู้ว่าหลีหังคือผิงหนานอ๋อง และรู้ว่าเฟยอีคือหนึ่งในฮองเฮาหรือองค์หญิง ทั้งยังมีความทรงจำในชาติก่อนกับเฟยอียามเป็นชิงผิงซิงจวิน สรุปคือเพราะว่าเรื่องพัวพันนี้ เขาจึงไม่ลังเลที่จะสร้างความบาดหมางขึ้นระหว่างแต่ละภพกับลัทธิฉ่าน”


“ดังนั้นเมื่อคาดเดาต่อไป ความเป็นไปได้ที่หลีหังจะเป็นสามีของเฟยอีก็เชื่อถือได้มาก และข้าเดาว่าอู่เต๋อหาหนทางอื่นมาเติมเต็มความทรงจำสีขาวว่างเปล่านั้นได้แล้ว”


“นี่จะเป็นไปได้อย่างไร?” มู่จิ่วพูด “หากหลีหังคือสามีของเฟยอี ข้าเชื่อว่าเขาต้องมีความสามารถลบล้างความทรงจำของอู่เต๋อ แต่ในเมื่ออู่เต๋อตามหาความทรงจำพบ เช่นนั้นก็ไม่น่าเปลี่ยนเป็นสีขาวว่างเปล่าสิ?”


“ความทรงจำที่มาจากตัวตนเองกับความจริงที่ตามหาจนเจอนั้นเป็นคนละเรื่องกัน” ลู่ยาพูด “เช่นพวกเราได้ยินเรื่องบางเรื่องมา แต่เพราะไม่ได้ประสบด้วยตัวเอง จึงไม่มีหนทางที่จะสร้างภาพชัดเจนในสมองของพวกเรา”


มู่จิ่วเข้าใจโดยพลัน


นางก้มหน้าลงครุ่นคิด พูดว่า “ดังนั้นต่อไปพวกเราต้องตามหาความจริงว่าหลีหังเจินเหรินแท้จริงแล้วใช่ผิงหนานอ๋องหรือไม่ และเป็นสามีของเฟยอีหรือเปล่า ถึงแม้ความทรงจำของชิงผิงจะถูกลบไปแล้ว หลีหังเจินเหรินกลับยังไม่ถูกลบ พวกเราต้องรู้ที่มาที่ไปได้แน่นอน! แต่ข้ายังต้องไปเอาผมของเขามาใช่หรือไม่?”


ลู่ยาแย้มริมฝีปากพลางนั่งลงไปบนตั่งอีกครั้ง ก่อนเอ่ย “ไม่ต้องพูดถึงว่าเจ้าเอาเส้นผมของเขามาไม่ได้เลย ถึงจะเอามาได้ก็ไม่มีประโยชน์ บำเพ็ญยิ่งสูง ความทรงจำยิ่งเก็บไว้มิดชิด หากต้องการความทรงจำของหลีหังก็ต้องใช้เลือดของเขา”


เลือด?


มู่จิ่วไร้คำพูดแล้ว แม้แต่เส้นผมยังไม่แน่ว่านางจะเอามาได้ แล้วยังจะสามารถเอาเลือดของเขามาได้หรือ?


“ช่างเถอะ พรุ่งนี้เจ้าตามข้าไปวังหลีเฮิ่นแล้วกัน” ลู่ยาดื่มชาไปครึ่งถ้วยจึงพูดต่อ


มู่จิ่วถอนหายใจ เรื่องนี้นอกจากเขาแล้วก็ไม่มีใครสามารถทำได้สำเร็จ


พูดถึงตรงนี้ ทุกคนก็แยกย้ายกันไป


แต่เดิมนั้นราชาจิ้งจอกตั้งใจมาพบลู่ยาแล้วกลับเลย มาตอนนี้พบเจอว่าคดีสืบสวนได้เบาะแสสำคัญ เป็นธรรมดาที่ต้องรั้งอยู่เพื่อฟังผลการสืบสวน


ดังนั้นจึงรั้งอยู่พักที่เรือนลู่ยาสักหน่อย


ในใจมู่จิ่วยังคงกังวลเล็กน้อย นางคนเดียวกลับรับคนไว้ในบ้านมากมายขนาดนี้ กลัวจริงๆ ว่าจางเหยี่ยนซิงจวินจะมีคำสั่งให้ออกไปได้ทุกเวลา และกังวลว่าอิ่นเสวี่ยรั่วอาจเกิดสงสัยขึ้นมา จึงยิ่งหวังว่าคดีนี้จะคลี่คลายโดยเร็ว วันถัดมาตอนเช้า ฟ้ายังไม่สว่างนางก็ตื่นขึ้นมาแล้ว จากนั้นจึงไปเคาะประตูเรือนลู่ยา


ลู่ยาพานางออกไปทางประตูสวรรค์แดนใต้ เหาะไปไกลพอควร ก็เรียกเมฆออกมายืนนิ่ง จากนั้นปลดปล่อยพลังบำเพ็ญทั้งร่างออกมา เห็นไอมงคลห้าสีบนศีรษะเขาปกคลุมท้องฟ้ากว้างใหญ่ เมฆขาวใต้เท้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสัตว์เทพยาวราวจั้ง วัวตัวนี้มีสี่เขา ขนยาวปกคลุมร่าง ตอนเห็นมู่จิ่วดวงตาทั้งสองก็ปล่อยแสงสีเขียวออกมา ไม่ต้องโกรธความดุร้ายก็ปรากฏให้เห็น


ตัวลู่ยาเองกลับไม่มีอะไรเปลี่ยนไปมาก เสื้อคลุมยังเป็นเสื้อคลุมตัวนั้น ผมยังหวีเป็นทรงแบบนั้น รองเท้าอะไรก็ตามล้วนไม่เปลี่ยน แต่บนมวยผมมีหยกครอบสลักลายฟ้าดินเพิ่มมา เขาที่อยู่เบื้องหน้ากลับเปล่งประกายออกไปหมื่นจั้ง เทียบกับหยกแล้วยังบริสุทธิ์กว่า เทียบกับเมฆแล้วยังพลิ้วไหวกว่า เทียบกับลมแล้วยิ่งอิสระกว่า เทียบกับฟ้าดินแล้วทำให้คนอยากครอบครองยิ่งกว่า


หงส์หลายตัวบินมาล้อมรอบเขาพลางร้องเพลง วิหคเขียวสองตัวคาบชายเสื้อเขา เมฆมากมายรวมตัวอยู่ใต้เท้า ยังมีเซียนสาวอีกสิบกว่าคนขี่เมฆมาข้างหน้า มือถือสิ่งของพวกพู่กันแดงและตราประทับหยุดอยู่ด้านหลังเขาสองข้าง


มู่จิ่วพลันรู้สึกว่าตนเองกลายเป็นมดตัวเล็ก ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจนยืนอยู่ห่างเขาออกไป


ลู่ยากลับดึงนางขึ้นมา เหยียบบนสัตว์เทพ แล้วมุ่งไปยังสวรรค์ชั้นสามสิบสาม


“นี่คืออ๋าวอิน ก่อนหน้านี้ไม่นานข้าเพิ่งปล่อยออกมาเป็นสัตว์พาหนะ”


ไปได้ครึ่งทางเห็นมู่จิ่วก้มหน้ามองเท้าตลอด เขาจึงพูดขึ้น


…อ๋าวอิน? เจ้านี่คืออ๋าวอิน? อ๋าวอินที่ชอบกินคนเหมือนฉยงฉี[1]ที่สุด?!


สองเท้าของมู่จิ่วอ่อนแรง เกือบหมอบอยู่กับปลายเสื้อคลุมเขาแล้ว!


คนคนนี้กลับนำสัตว์ดุร้ายมาทำเป็นพาหนะ? เขาไม่กลัวทำคนตกใจตายหรือ!


แต่นางไหนเลยจะกล้าพูด หงส์ที่นำทางอยู่ด้านหน้าหยุดลงตรงซุ้มประตูสูงไม่เห็นยอด ต่อมาก็มีกลุ่มเทพเซียนเดินเท้าตามกันออกมาจากเมฆหมอกหนาในซุ้มประตู ถึงแม้จะเห็นหน้าผู้ที่นำมาหลายคนไม่ชัด แต่ภาพมงคลแปดทิศกับภาพนกเสวียนสีทองขนาดใหญ่บนตัวกลับแสดงชัดว่าต้องเป็นคนที่ตำแหน่งสูงใหญ่ในฟ้าดิน


ลู่ยายกมือสะบัดผ่านร่างมู่จิ่ว ร่างที่แต่เดิมเป็นสาวกลับกลายเป็นเซียนเด็กอายุราวสิบสองสิบสาม ผมเกล้าเป็นมวยสองมวย กระโปรงกลายเป็นเสื้อและกางเกง ที่คอมีสร้อยห้อยอยู่ ในมือยังมีพู่อีกด้วย


“น่ารักยิ่ง”


เขายิ้มอย่างอ่อนโยน จากนั้นจึงลงไปที่พื้นหน้าทางเข้าออกอย่างสง่างาม


น่ารักกับผีสิ!


มู่จิ่วค้อนเขาในใจ นางลืมไปนานแล้วว่าวางตัวเป็นเด็กน้อยต้องทำยังไง อยู่ไม่นานและไม่เกิดข้อพิรุธอะไรจึงจะดี


“ยินดีต้อนรับองค์เทพเต้าจู่!”


เพิ่งลงถึงพื้น เสียงราวตีภูเขาพลิกทะเลก็ดังมา


มู่จิ่วช้อนสายตามองขึ้นไป เห็นเพียงแถวด้านหน้าสุดเป็นนักพรตเสื้อดำ ด้านหลังเป็นสีขาว หลังไปอีกเป็นสีเขียว…ด้านข้างของคนที่อยู่ตรงกลางด้านหน้าสุด มีนักพรตสี่คนผมดำหลังค้อมใบหน้าอบอุ่นยืนอยู่ ส่วนตัวเขาเองศีรษะปกคลุมไปด้วยผมสีเงิน เสื้อคลุมยาวระพื้น ลายมงคลแปดทิศบนหน้าอกส่องสว่าง รองเท้าเมฆาไม่ติดละอองธุลีเลย


บนศีรษะเขายังมีไอมงคลรวมอยู่ ดูไม่ต่างกับลู่ยาเท่าไรนัก รอบตัวมีกระเรียนเซียนล้อมรอบ ใบหน้าซึ่งขาวนวลดั่งพระจันทร์เต็มไปด้วยความสุขุมอ่อนโยน เมื่ออยู่ท่ามกลางขาวกับดำ เขาเหมือนกับพระจันทร์สว่างบนภาพลายน้ำหมึก


ลู่ยาไปถึงหน้าคนผู้นี้ พูดว่า “ป๋อหยางช่วงนี้สบายดีหรือ?”


ป๋อหยางคือชื่อเดิมของไท่ซ่างเหล่าจวิน ไม่ต้องพูดเลยว่านี่คือไท่ซ่างเหล่าจวิน


ไท่ซ่างเหล่าจวินยอบกายลง ค้อมตัวอยู่ทางด้านขวาของลู่ยาก่อนเดินเข้าไปในซุ้มประตู มุ่งไปยังวังโตวลวี่ “ขอบคุณอาจารย์อาน้อยที่จำได้ ก่อนหน้านี้ศิษย์ปิดด่าน ไม่รู้เรื่องราวอะไร และไม่รู้อาจารย์อาจะมาถึงที่นี่ จึงไม่ได้เตรียมการต้อนรับ ยังหวังว่าท่านจะให้อภัย…”


มู่จิ่วยังนึกไปว่าเขาคือคนชรา คิดไม่ถึงว่ารูปลักษณ์ของเขากลับเยาว์วัยแบบนี้ เมื่อมองไป ทุกส่วนล้วนสง่างามสะอาดหมดจด กลิ่นอายเซียนรายล้อม เทียบกับความสูงส่งมีเกียรติของสวรรค์แล้วเป็นความสง่างามอีกแบบ เหมาะสมกับคำว่าสงบเงียบ


ครั้นเข้าไปในวังแล้ว เหล่าจวินเชิญให้ลู่ยานั่งข้างบน จากนั้นเรียกศิษย์เข้ามาทำความเคารพทีละคน


ลู่ยาพูด “ไม่ต้องแล้ว ข้าเพียงแค่ว่างจนเบื่อเลยมาดูเจ้าหน่อย” พูดจบก็รับเหล้าที่เหล่าจวินส่งมาด้วยมือตนเอง แล้วเอ่ยต่อ “ข้าได้ยินว่าเจ้ามีศิษย์ที่ดูแลหน่วยทหารของสวรรค์ หลายวันก่อนข้าศึกษาของวิเศษ กำลังคิดถามเรื่องเกี่ยวกับการวางกระบวนทัพทหาร เจ้าเรียกเขามาหน่อย”


เหล่าจวินไหนเลยจะสงสัย? รีบพยักหน้าส่งคนไปที่สวรรค์ จากนั้นก็ถามไถ่เรื่องวังสามสิบเก้าชั้น


ทางมู่จิ่วเพิ่งสำรวจการตกแต่งรอบด้านของวังนี้อย่างละเอียด ที่ประตูก็มีศิษย์พูดขึ้น “อาจารย์อาเก้ามาแล้ว”


นางรีบมองไปทางประตูวัง เห็นเพียงคนผู้หนึ่งเดินมาอย่างมั่นคง สวมเสื้อเกราะสีเหลืองทอง สวมรองเท้าเกล็ดมังกร ข้างเอวแขวนกระบี่หั่นปีศาจ สวมครอบมวยผมสีทองม่วง คิ้วเข้มทั้งสองเฉียงเข้าจอนผม รูปดวงตาเรียวยาวราววาดมา สันจมูกใบหน้าล้วนแข็งแกร่งยิ่ง ริมฝีปากรับกับกราม ทว่าแต้มไฝแดงระหว่างคิ้วนั้นกลับดูน่าเกรงขามอย่างมาก


บทที่ 118 ช่างเล่นงิ้วเป็น

โดย

Ink Stone_Romance

คนผู้นี้ชัดเจนว่าคือผิงหนานอ๋องที่เพิ่มจุดแดงเข้าไป!


มู่จิ่วมองลู่ยาอย่างรวดเร็ว ลู่ยากลับทำราวกับไม่เคยเห็นเขามาก่อน จนหลีหังคุกเข่าลงบอกเข้าพบท่านปู่ซือจู่ลำดับที่สาม ลู่ยาค่อยยกปากขึ้นเล็กน้อย โบกมือขึ้นไป


หลีหังนั่งลงตรงฝั่งขวา ลู่ยาพูดขึ้น “งานยุ่งหรือไม่?”


หลีหังค้อมตัวเล็กน้อย “ตอบท่านอาจารย์อา เรื่องงานเรื่อยๆ”


เสียงของเขาหนักแน่นเจือความทุ้ม จังหวะในการพูดไม่เร็ว ฟังแล้วสุขุมเยือกเย็นยิ่ง


พวกเขาพูดคุยเรื่องสัพเพเหระ มู่จิ่วฟังไปฟังมาล้วนเป็นคำพูดไร้สาระทั้งสิ้น ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ลู่ยาจึงจะลงมือ รอจนในใจรู้สึกเบื่ออยู่บ้าง จึงมองประเมินไปทางหลีหัง นี่คือหลีหังผู้กล้าหาญแข็งแกร่งจากปากหลิวจวิ้น แต่ตรงหน้านางกลับรู้สึกแค่ว่าเขาพูดคุยอย่างสบายๆ แสดงถึงท่วงท่าของแม่ทัพใหญ่อย่างชัดเจน แต่เมื่อดูอย่างละเอียด หางตาที่ยกขึ้นเล็กน้อยก็เผยให้เห็นความทระนงตนของเขา


“รูปงามหรือไม่?”


ตอนนี้เอง เสียงลู่ยาพลันดังขึ้นข้างหูนางอย่างเยียบเย็น


ใบหน้านางแดงเถือก รีบยืดตัวตรง


หน้านางแดงไม่ใช่เพราะเขารู้เรื่องในใจ แต่เพราะเสียงของเขาใกล้ขนาดนั้น รู้สึกราวกับว่าหน้านางกับเขาอยู่ห่างกันเพียงเส้นผมกั้น ทำให้รู้สึกกระดากอาย


“สงบใจไว้ อีกสักพักในงานเลี้ยงค่อยลงมือ”


เขาพูดประโยคนี้จบก็เงียบลง


ยังมีงานเลี้ยงอีก!


มู่จิ่วไร้คำพูด แต่เขาฐานะสูงส่ง เหล่าจวินไม่จัดงานเลี้ยงก็ช่างไม่เหมาะสมจริงๆ


ดีที่นั่งอยู่ครู่หนึ่งก็ย้ายไปงานเลี้ยงที่ตำหนักอี่ชาง รอจนนั่งพร้อมกันแล้ว ลู่ยาจึงเรียกหลีหังมานั่งที่ด้านขวา “แบบนี้คุยสะดวกหน่อย”


เหล่าจวินรู้มาตลอดว่าอาจารย์อาน้อยผู้นี้ไม่ใส่ใจเรื่องเล็กน้อย ในเมื่อต้องตาศิษย์ของเขาเช่นนี้ ยังจะมีเหตุผลให้ปฏิเสธอีกหรือ?


ลู่ยายิ้มน้อยๆ พลางดึงมือหลีหังให้เขานั่งลงด้วยสีหน้าอารี จากนั้นตอนชักมือกลับ ข้อมือกลับเกี่ยวโดนพู่ในมือมู่จิ่ว มู่จิ่วคาดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ ร่างโผไปข้างหน้า หัวพู่ถากโดนขมับของหลีหังเข้า…หลีหังอยู่ต่อหน้าลู่ยาและเหล่าจวิน แน่นอนว่าไม่กล้าใช้เวทอะไรป้องกัน การปัดโดนคราวนี้ หน้าผากของเขาจึงมีเลือดซึมออกมา


“เจ้าเด็กคนนี้!”


ลู่ยาทำหน้านิ่งต่อว่ามู่จิ่ว หยิบผ้าเช็ดหน้ามากดแผลของหลีหังพลางต่อว่านางต่อ “ทำไมไม่ระมัดระวังอยู่เรื่อย โดนหลีหังเข้าแล้ว! ยังไม่รีบขออภัยอีก?”


มู่จิ่วถึงเพิ่งรู้ว่าที่แท้นี่คืองิ้วฉากหนึ่งที่เขาแสดง!


นางยอมรับว่างิ้วนี้กะทันหันเกินไป ทั้งยังเป็นธรรมชาติเกินไป แต่ย่ามันเถอะ ดีร้ายอย่างไรก็ช่วยบอกกันก่อน! ผลักนางขึ้นเวทีกะทันหันขนาดนี้ ไม่กลัวนางทำเรื่องเสียหรือไร!


นางอดทนก้าวขึ้นไปค้อมตัวข้างหน้า “ข้าน้อยขออภัยเจินเหริน…”


“ไม่ต้องขอโทษ!”


เหล่าจวินรีบลุกขึ้นมา “เป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น อาจารย์อาสามไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ หากนับตามลำดับรุ่นแล้ว หลีหังก็คงรับผิดชอบไม่ไหว”


หลีหังเป็นหลานศิษย์ของลู่ยา เด็กหญิงตัวน้อยตรงหน้าดูแล้วคงเป็นศิษย์เหมือนกับเขา เกรงว่าไม่ใช่ศิษย์เป็นทางการก็มีสถานะเป็นศิษย์และอาจารย์ ไหนเลยจะมีศิษย์ขออภัยหลานศิษย์กันเล่า?


“ในเมื่อเหล่าจวินขอไว้ เจ้าก็ลุกขึ้นเถิด” ลู่ยาไหลไปตามน้ำ จากนั้นเก็บผ้าเช็ดหน้าที่เปื้อนเลือดของหลีหังเข้าไปในแขนเสื้ออย่างเป็นธรรมชาติ ก่อนพูด “ยังนิ่งทำอะไร? ไม่กินข้าวต่อรึ?” พูดจบเขาก็หันไปยิ้มกับเหล่าจวิน “เด็กของข้าคนนี้กำลังโต แม้แต่ครึ่งมื้อก็ขาดไม่ได้”


เหล่าจวินได้ยินดังนี้ จึงรีบลุกขึ้นทำหน้าเคร่ง “ใครก็ได้ ไปเตรียมสำรับให้เซียนท่านนี้”


เขาอยู่มานานขนาดนี้ จนกลายเป็นคนเข้าใจโลกไปแล้ว คำพูดนี้ของลู่ยาหมายถึงอะไรจะไม่เข้าใจได้หรือ?


ในภาพจำของเขา ลู่ยาไม่เคยใส่ใจใครมาก่อน แต่กลับสนใจอาหารสามมื้อในวันหนึ่งของนาง หญิงคนนี้ต้องมีที่มาไม่ธรรมดาแน่ เขาไหนเลยจะล่วงเกินไหว? ย่อมต้องกำชับเป็นพิเศษ


หลีหังกลับมองผ้าเช็ดหน้าเปื้อนเลือดที่ลู่ยาเก็บเข้าไปในแขนเสื้ออยู่ครู่หนึ่งก่อนละสายตากลับมา ยกจอกเหล้าขึ้นชิดริมฝีปาก จิบลงไปเล็กน้อย จิบเสร็จจึงมองมู่จิ่วคราหนึ่ง แต้มแดงเหมือนกับหยดเลือดระหว่างคิ้วราวกับสว่างขึ้นมา


มู่จิ่วไปกล้าสบสายตากับเขา ทำทีเป็นคุยกับเซียนเด็กที่นำทางมาก่อนหน้า ออกจากประตูตำหนักไปไม่ช้าไม่เร็ว


เหล่าเซียนจัดการรวดเร็ว ช่วงเวลาแค่เดินมา โต๊ะอาหารก็ถูกจัดไว้เรียบร้อย เห็นแล้วก็ทำให้นึกอยากอาหาร ดังนั้นจึงหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบกิน


นางคิดถึงเรื่องที่ทำลายเขาของสำนักตะวันอำพรางขึ้นได้ อวี้ตี้ยังลงโทษนางด้วยอสุนีบาตสามสาย คิดไม่ถึงว่าเพิ่งผ่านไปไม่กี่เดือน นางกลับมากินข้าวอยู่ข้างลู่ยาในวิมานหลีเฮิ่น เรื่องบนโลกช่างยากจะคาดเดาจริงๆ แต่เมื่อคิดถึงหลิวหยางที่พลอยต้องรับอสุนีบาตสามสายแทนนาง นางก็อยากจะถามหาเหตุผลกับเหล่าจวิน!


ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่านางโดนลัทธิฉ่านขึ้นบัญชีดำ วันนี้ยังทำคดีล้างอายแทนพวกเขาอีก!


บางทีอาจเพราะลู่ยานั้นยิ่งใหญ่เกินไป เหตุการณ์ต่อไปจึงไม่มีคลื่นลมอะไร


เพียงแค่สายตาของหลีหังที่มองนางครั้งนั้น จากนั้นก็ไม่มีอะไรอีก แท้จริงแล้วนางก็ไม่ปฏิเสธหากเขาเดินเข้ามาถาม เช่นนี้ไม่แน่ว่านางอาจได้เบาะแสมาบ้าง แต่กลับไม่มีเลย


จากยามที่นางกินข้าวจนถึงดื่มชา และกลับไปยังตำหนักด้านหน้าข้างกายลู่ยา ก็ไม่มีเรื่องนอกเหนือความคาดหมายใดเกิดขึ้น


หลีหังนั่งอยู่ข้างขวาของลู่ยา นั่งฟังเขากับเหล่าจวินคุยกันตั้งแต่ต้นจนจบ ท่าทางเคารพแต่ผ่อนคลาย อย่างไรก็ตาม ดวงตาทั้งคู่กลับนิ่งลึกจนคนคาดเดาไม่ออก


หลังผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม พวกเขาก็พูดคุยจบแล้ว ลู่ยาจึงลุกขึ้นบอกลา


ไท่ซ่างเหล่าจวินพาเหล่าศิษย์ไปส่งพวกเขาหลายร้อยลี้จึงหยุดลง


ลู่ยาจัดขบวนเดินไปเรื่อยๆ ตลอดทาง จนกระทั่งถึงทะเลแดนใต้จึงค่อยหยุดลง ผนึกพลังกลับเข้าไป แต่ละคนกลับคืนสู่ร่างเดิม หงส์วิหคเขียว เซียนหญิง และอ๋าวอินล้วนค้อมกายจากไป กลิ่นอายมงคลรอบด้านล้วนไม่เห็นแล้ว


มู่จิ่วค่อยรู้สึกว่าลู่ยากลับมาใกล้ชิดอีกครั้ง


พูดตามจริง ถึงแม้รับเรื่องที่เขาเป็นมหาเทพได้แล้ว แต่ก็จำกัดขอบเขตอยู่ในชีวิตประจำวัน หากต้องจัดขบวนแบบนี้ มีคนติดตามมากมายแบบนี้จริง นางก็ไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเขาอย่างไร


ลู่ยาราวกับมองทะลุจิตใจนาง ไพล่มือพูดอย่างสบายๆ “ปกติเมื่อไปเยี่ยมเยียนข้าไม่จัดขบวนแบบนี้ เพียงแค่ข้าไม่ได้ไปวิมานหลีเฮิ่นนานแล้ว เกรงว่าไปกะทันหันจะทำให้คนสงสัย ดังนั้นจึงตั้งใจเล่นให้ใหญ่เหมือนมากินข้าวแบบไม่เสียเงิน”


มู่จิ่วหลั่งเหงื่อ


ไม่รู้ว่าเหล่าจวินจะว่าอย่างไร หากรู้ว่าอาจารย์อาน้อยของเขาคนนี้ นอกจากตั้งใจไปตีศิษย์เขาแล้ว ยังตั้งใจไปกินข้าวแบบไม่เสียเงินอีก?


ลู่ยาพูดอีก “หากจะจัดขบวนจริงๆ แล้ว แค่นี้ยังไม่พอ”


มู่จิ่วมีสีหน้าอ่อนล้า


ครั้นกลับไปถึงลานจื่อหลิง เสี่ยวซิงพาอาฝูออกไปจ่ายตลาด ในปากคาบหยกโมราชิ้นหนึ่ง หลังจากเห็นมู่จิ่วก็พุ่งเข้ามาหานางอย่างดีใจ


“ได้หยกมาจากไหน?” นางถาม


“ราชาจิ้งจอกให้เขา” เสี่ยวซิงถอนหายใจ “แต่เช้าก็เอาเจ้านี่มาแหย่เด็กน้อย ทำเอาเขาไม่กินแม้แต่อาหารเช้า!”


ราชาจิ้งจอกกลับไม่ใช่คนขี้เหนียว


มู่จิ่วเม้มปากยิ้ม เข้าประตูไป


ซ่างกวนสุ่นกำลังทำความสะอาด ปกติเขาที่ปากร้ายอย่างหนัก เวลาทำงานบ้านกลับจัดการได้เป็นระเบียบ


ทางฝั่งนางเข้าไปในเรือนลู่ยา ราชาจิ้งจอกซึ่งพักอยู่ใต้ต้นจื่อเถิงเห็นสถานการณ์ก็รีบตามเข้ามา


บทที่ 119 คนผู้นี้ใจไม่หนักแน่น

โดย

Ink Stone_Romance

ลู่ยาสร้างเขตพลังขึ้นรอบห้อง จากนั้นเดินช้าๆ ไปยังข้างโต๊ะ หยิบเอาแผ่นกลมขนาดเท่ากระดุมหยกออกมาจากแขนเสื้อ ส่งพลังเข้าไป แผ่นหยกนี้จึงขยายออกเท่าถาดทองแดง เขาหยดเลือดที่ได้จากหลีหังลงไปตรงกลางแผ่นหยก เห็นรูตรงกลางแผ่นหยกเหมือนน้ำ เมื่อหยดเลือดร่วงลงไป ตรงกลางก็กระเพื่อมขึ้นมา


สีแดงค่อยๆ แพร่กระจายออกไป คนและสิ่งของก็ค่อยๆ ปรากฏ


ภาพตรงหน้าเหมือนกับหมอกควันลอยผ่านตา บางเหมือนไร้ร่องรอย หลังจากหลีหังเป็นเซียนได้ไม่นาน เขาชางหลีที่เขาอยู่ปรากฏวิหคแดงสีสดขึ้นตัวหนึ่ง


วิหคตัวนี้เกิดมางดงามนัก เสียงร้องก็ไพเราะน่าฟัง ทุกวันนางจะมาที่พำนักของหลีหังเพื่อมองเขาอ่านหนังสือ ดูเขาฝึกกระบี่ ดูเขาก่อกวนต่อหน้าเหล่าศิษย์พี่


หลีหังดีต่อวิหคตัวนี้ยิ่งนัก เขาสอนฝึกพลัง สร้างร่าง เปลี่ยนร่าง ช่วยให้ขึ้นเป็นเซียน


หลังกลายเป็นเซียนวิหคนี้ยิ่งนานยิ่งงดงาม หลีหังตั้งชื่อให้นางว่าเฟยอี


“เป็นนางจริงๆ!”


มู่จิ่วประหลาดใจไปหลายครั้ง


นางหวนนึกถึงชายผู้สง่างามซึ่งปรากฏตัวที่วิมานหลีเฮิ่น หากเขากับเฟยอียืนอยู่ด้วยกัน ต้องเหมาะสมกันมากอย่างแน่นอน


ตรงกลางแผ่นหยก ดวงตาตอนที่เฟยอีมองหลีหังกระจ่างดุจดาวที่สว่างที่สุดบนฟ้า และหลีหังก็เหมือนกับน้ำในฤดูใบไม้ผลิที่อบอุ่นและสงบนิ่ง


ไม่รู้ว่าผ่านไปกี่ปี พวกเขากลายเป็นสามีภรรยากัน เฟยอีล้างมือทำอาหารเพื่อหลีหัง ทอเสื้อคลุมเพื่อเขา เหมือนกับยามอยู่ที่เขามรกตกับชิงผิง


แต่ยิ่งนานไปสายตาของหลีหังยิ่งหยุดอยู่ที่นางน้อยลง และไม่มีน้ำอดน้ำทนฟังเรื่องข้างกายเล็กๆ น้อยๆ ที่นางพูด เขายังต้องการเลื่อนขั้น ยังอยากเพิ่มพลังให้สูงกว่านี้


หลังจากที่หลีหังนำศิษย์กลับมาจากการรบชนะก็ก่อเรื่องใหญ่ขึ้น เขาพาหญิงคนอื่นกลับมา นางไม่สวยเหมือนเฟยอี ไม่อ่อนโยนเหมือนเฟยอี แต่นางมีพลังการรบที่แข็งแกร่ง ตอนที่หลีหังปะทะกับศัตรู นางสามารถตีวงล้อมให้เขาได้สำเร็จ ทำให้สุดท้ายเขาฝ่าทะลวงเข้าไปได้


สุดท้ายผู้หญิงคนนี้กลายมาเป็นภรรยารองของหลีงหัง และไปไหนมาไหนกับเขาตลอด ราวกับในสายตามีเพียงกันและกันเท่านั้น


“หญิงคนนี้ชื่ออะไร?” มู่จิ่วถาม


“ไม่รู้” ราชาจิ้งจอกส่ายศีรษะ “ตอนหลีหังอยู่ที่เขาชางหลี คนนอกรู้เรื่องราวของเขาน้อยมาก ไม่เคยได้ยินเรื่องของคนผู้นี้”


มู่จิ่วดูต่อไป


ต่อมาเฟยอีที่นั่งเดียวดายอยู่ข้างหน้าต่างมองดูทิวทัศน์ไกลๆ


สุดท้ายทนไม่ไหว พุ่งเข้าไปที่ห้องของหญิงผู้นั้น ทะเลาะกับนางยกใหญ่


เนื้อหาที่ทะเลาะกันไม่อาจได้ยินได้ แต่ตอนนั้นหลีหังอยู่ด้วย เขาตบเฟยอีไปหนึ่งครั้ง และพาภรรยารองออกไปอย่างรวดเร็ว


เฟยอีเหม่อลอยอยู่ที่เดิมเนิ่นนาน พอตกกลางคืนก็ลงจากเขาไป


รอจนเช้าวันถัดมา หลีหังประคองภรรยารองเข้าห้องก่อนไปหาเฟยอี ไหนเลยจะยังมีร่องรอยของนางอีก?


“ที่แท้หลีหังก็เป็นคนแบบนี้!” มู่จิ่วเอ่ยอย่างจนปัญญา


ความจริงปรากฏออกมาแล้ว


หลีหังเป็นสามีของเฟยอีจริง เขากลับหลายใจไปรักหญิงอีกคน เฟยอีเสียใจจนหนีไป แต่หลังจากเจอตัวนางแล้ว เขาที่ไม่รักนางอีกต่อไปกลับพานางมาจากข้างกายชิงผิงซึ่งรักนางอย่างลึกซึ้ง จากนั้นจึงลบความทรงจำส่วนที่เกี่ยวกับตนเองของชิงผิงออกไป สุดท้ายก็เกิดเรื่องต่างๆ ตามมา


“ยังดูเรื่องราวต่อไปได้หรือไม่?” มู่จิ่วถาม “ที่จริงหลีหังไปทำอะไรที่เขามรกต เฟยอีถึงได้ตามเขากลับไป? เขาใช้กำลังบังคับเฟยอี หรือนางตัดใจจากเขาไม่ได้เลยยินยอมตามไป?”


แต่ภาพในแผ่นหยกเปลี่ยนไปบางเบา มองอะไรไม่ออกแล้ว


หรือสำหรับหลีหังแล้ว ความทรงจำที่ฝังใจที่สุดจะเป็นตอนที่เฟยอีทำร้ายเขาด้วยการไปมีคนรักใหม่?


นี่ช่างทำให้คนผิดหวังนัก ความรู้สึกดีที่มู่จิ่วมีต่อเขาเหมือนกำแพงที่ถูกลมพัดทลายไป


“เรื่องภายหลังไม่ต้องดูแล้ว” ลู่ยาพูด “วันนี้ตอนข้าเข้าใกล้หลีหัง บนร่างเขาไม่มีกลิ่นอายของผู้หญิง และระหว่างที่พูดคุยกัน ข้าก็รู้สึกได้ว่าตั้งแต่มารับตำแหน่งบนสวรรค์ข้างกายหลีหังก็ไม่มีภรรยา ถึงแม้จะไม่รู้ว่าภายหลังเกิดอะไรขึ้น แต่คนรักใหม่ของเขาตอนนี้ก็ไม่รู้ไปไหน”


ราชาจิ้งจอกพยักหน้า “หลายพันปีมานี้ไม่ได้ยินเรื่องงานแต่งของหลีหังเลย”


มู่จิ่วขมวดคิ้ว “ข้ายังอยากจะดูว่าแท้จริงแล้วเฟยอีกลับไปได้อย่างไร”


แม้รายละเอียดเรื่องนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับคดีโดยตรง แต่ในความเป็นจริงเพียงแค่สามารถยืนยันได้ว่าผิงหนานอ๋องคือหลีหัง หลีหังคือสามีของเฟยอี และก่อนหน้านี้คนที่ไปร้องเรียนว่าชิงผิงแย่งชิงภรรยาต่อหน้ากษัตริย์คือเขาก็พอแล้ว


บุญคุณความแค้นของหลีหังกับชิงผิงในสองชาติ ทำให้ชิงผิงอยากเอาคืนหลีหัง ทว่าเขาที่เป็นลูกน้องหลีหังและมีพลังไม่เทียบเท่าอีกฝ่ายคงไม่มีวันไปถึงเป้าหมาย ดังนั้นเขาจึงสร้างแผนการขึ้นโดยผลักลัทธิฉ่านให้เป็นศัตรูกับสามภพ!


แต่นางยังคงอยากรู้ เฟยอีในชีวิตของชิงผิงมีบทบาทอย่างไรบ้าง


ลู่ยามองนาง ก่อนเร่งเขตพลังให้ขยับ


ตอนหลีหังเจอเฟยอี เฟยอีกำลังลองเสื้อคลุมใหม่ให้ชิงผิง ฝีมือของนางดียิ่ง ชิงผิงที่แต่เดิมก็หล่อเหลามองไปแล้วยิ่งสง่างาม


ตอนที่เห็นหลีหังพลันปรากฏตัวออกมา ปฏิกิริยาแรกของเฟยอีคือขวางอยู่ข้างหน้าชิงผิง แต่ประโยคแรกที่หลีหังพูดคือ “หากข้าส่งซูชิวไป เจ้าจะกลับไปกับข้าหรือไม่?”


เฟยอีพูดอะไรก็ไม่มีเสียงให้ได้ยิน ภาพถูกชิงผิงที่อยู่ด้านหลังเข้ามายึดพื้นที่แทน


ชิงผิงผู้หล่อเหลาดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น เขากำเสื้อในมือแน่น ก้มหน้ามองเฟยอีที่ร้องไห้และตัวสั่นตลอดอยู่ตรงหน้าเขา พลันเอื้อมมือไปโอบนางไว้ พูดว่า “นางจะไม่กลับไป…”


หลีหังไม่พูดอะไรก็จากไป


แต่วัดถัดมาตอนเฟยอีนั่งเหม่ออยู่คนเดียวในห้อง เขาก็ปรากฏตัวต่อหน้านางอีกครั้ง


เขาส่งกระบี่ให้นาง นางเงยหน้าขึ้น ใบหน้าซีดขาวอยู่นาน ก่อนจะโซเซลุกขึ้นยืน หยิบกระบี่เล่มนั้นเดินตามหลังเขาลงเขาไป


ชิงผิงไล่ตามมาด้านหลัง นางก็ไม่ได้หันกลับไป


“กระบี่นี้หมายถึงอะไร?” มู่จิ่วเงยหน้าขึ้น


“นี่ต้องถามพวกเขาแล้ว” ลู่ยาแบมือ


มู่จิ่วก็รู้ว่ารู้มากไปใช่ว่าจะดี ไม่ว่าหลีหังจะใช้วิธีไหนพาเฟยอีไป อย่างน้อยก็แสดงชัดว่าสำหรับชิงผิงแล้วเฟยอีไม่อาจหาสิ่งใดมาทดแทนได้ มิฉะนั้นแล้วหลังจากเขาไปเกิดเป็นเจ้าเค่อ คงไม่ประคองร่างที่เต็มไปด้วยเลือดขององค์หญิงแคว้นล่มสลายอย่างเหม่อลอย แน่นอนว่าเจ้าเค่อไม่มีความทรงจำของชิงผิง การเหม่อลอยของเขาเป็นเพียงแค่ปฏิกิริยาของวิญญาณส่วนลึก


นางเงยหน้าพูด “ถ้าเช่นนั้นดูก่อนว่าอู่เต๋อเก็บของวิเศษไว้ที่ไหน ไม่ว่าจะพูดอย่างไร หากได้หลักฐานมาพวกเราก็สามารถออกประกาศจับกุมได้แล้ว”


“ดูไปก็ไม่มีประโยชน์” ลู่ยาเอ่ย “เรื่องที่สำคัญขนาดนี้แน่นอนว่าเขาไม่ลงมือทำเองหรอก หากเขาไม่ได้ทำเอง เขาย่อมไม่มีความทรงจำเหลืออยู่” เขาพูดอีก “ไม่เชื่อเจ้าดูเอง” พูดจบเขาก็ปัดแขนเสื้อกวาดโต๊ะ


ที่แท้ความทรงจำจากผมอู่เต๋อส่วนใหญ่เกี่ยวกับชีวิตประจำวันของเขาในห้องทำงาน ไม่ก็รับแขกอยู่ในที่พำนัก ล้วนเป็นเรื่องที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว


“เช่นนั้นพวกเราจะหาของวิเศษเหล่านี้ได้อย่างไร?” มู่จิ่วขมวดคิ้ว


 

 

 


ตอนที่ 120

 

คิดปกปิดกลับเปิดเผย

โดย

Ink Stone_Romance

ตอนนี้เรื่องราวกระจ่างขึ้นมาแล้ว ทำไมถึงมาติดอยู่ตรงนี้อีกเล่า?


หาของวิเศษไม่เจอ นางนำเรื่องนี้มาเขียนเป็นหนังสือก็คงไม่มีใครสนใจ ทำคดีต้องกล่าวถึงหลักฐาน ไม่ใช่การคาดเดา


“ข้าว่าเรื่องนี้ยังต้องคิดหาหนทาง เริ่มจากสัตว์เขาเดียวตัวนั้นของเขา” ลู่ยาพูด


“หลีเปิง?” มู่จิ่วอึ้ง


ใช่แล้ว เรื่องทั้งหมดสามารถสืบหามาได้จนถึงตรงนี้ ไม่ใช่เพราะเริ่มจากสงสัยหลีเปิงหรอกหรือ แน่นอนว่ายามนี้อู่เต๋อน่าสงสัยอย่างมาก แบบนั้นสถานที่ที่หลีเปิงไปต้องเป็นปัญหาแน่ และหญ้าบนรองเท้าของเขาก็ต้องเป็นปัญหาด้วย!


นางผลุงตัวยืนขึ้นมา พูดว่า “เช่นนั้นรออีกสักพัก ข้าจะให้ซ่างกวนสุ่นไปเฝ้าเขา!”


ลู่ยาคิดอยู่ครู่หนึ่งค่อยเอ่ย “จับตามองไปก่อนเถอะ”


มู่จิ่วรีบออกจากห้องไป


ราชาจิ้งจอกคิดว่ารออีกก็คงยังไม่ได้ผลออกมา รั้งอยู่ที่นี่ดูไม่ดีนัก ลานบ้านเล็ก เขาอยู่แล้วลำบาก ดังนั้นมิสู้ไปช่วยลู่ยาขโมยกระดิ่งก่อน เรื่องส่งจิ้งจอกน้อยมาเป็นศิษย์สำคัญกว่า ป้องกันเผื่อกลับมาแล้วลู่ยาจะเปลี่ยนใจ


ดังนั้นแม้เสี่ยวซิงจะทำอาหารกลางวันอย่างดีเขาก็ไม่กิน และออกจากสวรรค์ไป


ทางฟากมู่จิ่วกับซ่างกวนสุ่นนำเรื่องมาพูดกันอย่างคร่าวๆ กินข้าวเสร็จซ่างกวนสุ่นก็แต่งตัวเล็กน้อยก่อนออกจากเรือนไป


หลีเปิงไม่ได้ปรากฏตัวทุกวัน ซ่างกวนสุ่นติดตามร่อยรองของเขาต่อเนื่องกันหลายวัน


มู่จิ่วกลับว่างอย่างมาก หลายวันนี้จึงมีเวลาชี้แนะเสี่ยวซิงฝึกพลังภายใน


ลู่ยายิ่งว่าง มีเรื่องหรือไม่ก็มักจะตามหลังมู่จิ่ว ดังนั้นจึงถือโอกาสชี้แนะเสี่ยวซิงไปบ้าง


แน่นอนว่าเรื่องเช่นนี้มู่จิ่วไล่ตามก็ไม่อาจได้มา มีมหาเทพอย่างเขาอยู่ด้วยตนเองก็วางใจได้หมด


วันนี้ขณะดูเสี่ยวซิงฝึกกระบี่ ซ่างกวนสุ่นพลันวิ่งกลับมา หอบหายใจพูดว่า “สัตว์เขาเดียวนั่นโดนขังแล้ว!”


หลีเปิงโดนขัง?


มู่จิ่วรีบยืนขึ้นมาทันที อยู่ดีๆ ทำไมถึงถูกขังได้?


“หลายวันมานี้ข้าจับตาดูเขาโดยเฉพาะอยู่ไม่ใช่หรือ” ซ่างกวนสุ่นพุ่งเข้ามาในเรือน รินชาดื่มก่อนพูด “แต่ตั้งแต่ข้าออกไปวันนั้นถึงวันนี้รวมสิบวันแล้ว ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเขา ข้าสงสัยว่าเขาไม่อยู่บนสวรรค์ วันนี้อู่เต๋อเจินจวินไปเข้างานที่หน่วย ข้าจึงแอบตามเซียนเด็กในที่พำนักเขาเข้าไป”


“มองดูไปรอบๆ แล้วเขาไม่อยู่ตามคาด! และคืนนั้นที่เจ้ากับหลิวจวิ้นไปเยี่ยมอู่เต๋อ เขาก็ถูกส่งออกนอกสวรรค์ไปแล้ว!”


มู่จิ่วเบิกตาอ้าปากกว้าง


บังเอิญขนาดนี้ นางเพิ่งสงสัยหลีเปิง เขาก็ถูกส่งออกนอกสวรรค์ไป? และยังเป็นคืนนั้นที่นางกับหลิวจวิ้นไปเยี่ยมเยียนพอดีด้วย?


“เขาใช้เหตุผลออะไรส่งหลีเปิงออกไป?”


“บอกว่าลงไปโลกมนุษย์ด้วยตนเองโดยพลการ ฝ่าฝืนกฎสวรรค์ ต้องได้รับโทษ”


มู่จิ่วอึ้งไป พูดทันทีว่า “นี่ชัดเจนว่าเป็นการคิดปกปิดกลับเปิดเผย! หลีเปิงจะลงไปโลกมนุษย์ด้วยตนเองโดยพลการได้อย่างไร? หากเขาลงไปโลกกมนุษย์เอง ต้องไม่เดินอาดๆ อยู่กลางถนนแบบนั้นแน่! เขาต้องไปทำเรื่องแทนอู่เต๋อแน่นอน! อู่เต๋อทำเช่นนี้ หรือจะสงสัยข้ากับหลิวจวิ้นเข้าแล้ว?”


อันที่จริงคนทั้งสวรรค์รู้ว่านางกำลังทำคดีนี้อยู่ และวันนั้นบนถนนนางกับหลีเปิงเกือบจะทะเลาะกัน ในเมื่ออู่เต๋อสามารถวางแผนงัดข้อกับลัทธิฉ่านได้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ เป็นธรรมดาที่ต้องไม่โง่ เขาต้องเชื่อมโยงเรื่องก่อนหลังเข้าด้วยกันได้แล้ว จึงชิงลงมือก่อนเพื่อลบล้างคำครหาให้ตนเอง!


“อู่เต๋อยิ่งทำแบบนี้ ยิ่งแสดงว่าการกระทำของเขาไม่ปกติมิใช่หรือ?” ลู่ยากลับยังไม่นับว่ากังวลอะไรมาก “วันนี้ทุกย่างก้าวล้วนเพื่อยืนยันว่าเขาเป็นฆาตกรหลังม่านหรือเป็นผู้บริสุทธิ์กันแน่ และข้าแน่ใจได้ว่าฝ่ายนั้นต้องคิดไม่ถึงว่าพวกเราขุดเรื่องของเขากับหลีหังออกมาแล้ว เขาทำแบบนี้เป็นเพราะต้องการจะป้องกันเหตุที่อาจเกิดขึ้นแน่…เจ้าไปตรวจสอบดูอีกว่าเขาถูกขังอยู่ที่ไหน?”


ซ่างกวนสุ่นรับคำสั่ง เร่งฝีเท้าออกนอกประตูไป


เสี่ยวซิงกับอาฝูเดินเข้ามา “หรือฆาตกรจะเป็นอู่เต๋อเจินจวิน?”


มู่จิ่วรีบทำสัญญาณมือให้นางเงียบ มองดูข้างนอก จากนั้นกดเสียงพูด “เรื่องนี้ต้องเก็บเป็นความลับ ห้ามแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด”


“ข้ารู้” เสี่ยวซิงพูด “ข้าเพียงอยากบอกว่า หลายวันก่อนข้าออกไปซื้อผลไม้ที่ประตูสวรรค์แดนใต้ พอดีได้ยินคนพูดว่าต้องการไปทะเลสาบไร้กังวล และคนสองคนนั้นล้วนเป็นคนของอู่เต๋อซิงจวิน ข้าไปเดินเล่นทุกวันก็เห็นอยู่บ่อยๆ”


“ทะเลสาบไร้กังวล?”


มู่จิ่วใจเต้นเล็กน้อย ส้มครึ่งลูกในมือหยุดอยู่กลางอากาศ ทะเลสาบไร้กังวลอยู่ในที่กันดารทางตะวันตกเฉียงเหนือของเก้าทวีป ได้ยินมาว่าแต่ก่อนเป็นที่บำเพ็ญของพระองค์หนึ่ง ตอนหลังสำเร็จกลายเป็นพระพุทธ ทะเลสาบนี้ก็ไม่มีใครพูดถึงอีก คนของอู่เต๋อเจินจวินไปที่นั่นทำอะไร?


หรือหลีเปิงถูกขังอยู่ที่นั่น?


นางมองลู่ยา เขาเอ่ยว่า “รอซ่างกวนสุ่นกลับมาค่อยว่ากันอีกที”


ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว เสี่ยวซิงเอาผักมาผัดจนหอม ซ่างกวนสุ่นเหมือนกลับมาตามกลิ่น คว้าขาหมูเคี้ยวกลางค่ำคืนก่อนจะเข้ามา “สอบถามมาแล้ว ถูกขังอยู่ที่ทะเลสาบไร้กังวล ก้นทะเลสาบไร้กังวลมีหินทับทะเล สัตว์เขาเดียวถูกขังอยู่ที่ก้นนั่น”


วันที่อากาศร้อนขนาดนี้ทำให้เขาเหนื่อยแทบแย่ ขาหมูใหญ่เท่ากำปั้นเขาก็กินได้ถึงสิบขา!


“เป็นทะเลสาบไร้กังวลจริง!” มู่จิ่วพูดอย่างดีใจ


ลู่ยาผลักข้าวของนางไปตรงหน้านาง “กินข้าวเร็ว กินเสร็จค่อยไป”


หลังจากค่ำคืนคืบคลานมา สองคนกับซ่างกวนสุ่นออกจากเรือนไป


แต่เดิมซ่างกวนสุ่นไม่คิดจะไป เพราะท่าทางของลู่ยาแสดงออกชัดว่าไม่ต้อนรับใครทั้งสิ้น แต่มู่จิ่วยืนกราน เขาจึงทำได้เพียงทำตัวเหมือนเป็นโคมไฟเสีย


ทะเลสาบไร้กังวลอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเก้าทวีปในที่ที่ค่อนข้างกันดาร ไม่รู้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของภพไหน หลังจากพระองค์นั้นกลับไปชมพูทวีปแล้ว ที่นี่ก็ยิ่งรกร้างขึ้นเรื่อยๆ แต่ก่อนมู่จิ่วเคยไปที่แห่งนี้กับหลิวหยางมาก่อน เพราะหลิวหยางบอกว่าน้ำที่ทะเลสาบไร้กังวลสามารถชำระล้างไขกระดูกและจัดกระดูกได้ นางในตอนนั้นถูกสัตว์ร้ายโจมตี จึงต้องบำรุงรักษาร่างกาย


มาวันนี้เวลาผ่านไปพันกว่าปี ทิวทัศน์รอบด้านเปรียบกับตอนนั้นแล้วยิ่งเลวร้าย เหลือบตาขึ้นมองทั้งหมดล้วนเป็นเถาเถิงหลัวสูงเท่าคนหลายคน และเติบโตได้แปลกพิสดารอย่างมาก แม้แต่สัตว์ป่าตัวน้อยที่พลันลื่นไถลผ่านไปยังดูแล้วดุร้ายอยู่บ้าง


ผิวน้ำทะเลสาบกว้างมาก มองไปไม่เห็นขอบ ไกลสุดสายตามีบางอย่างคล้ายจุดสีเข้ม นั่นคือยอดเขาที่ชายฝั่งตรงกันข้าม


“หลังจากข้าร่ายเวทแหวกน้ำแล้ว เจ้าตามหลังข้ามา” ลู่ยาก้มหน้าลงพูดกับมู่จิ่ว จากนั้นประสานนิ้วร่ายเวทไปยังน้ำ น้ำทะเลสาบเขียวมรกตที่กระเพื่อมไหวพลันแหวกออกเป็นสองทาง ปรากฏทางเดินกว้างสามฉื่อมุ่งลึกเข้าไป


เดินลงไปอย่างนี้ไม่ถึงครู่หนึ่งก็ถึงก้นทะเลสาบ ปลากุ้งแต่ละชนิดแหวกว่ายอยู่ข้างกายพวกเขา แต่น้ำกลับไม่สามารถสัมผัสโดนพวกเขาเลยแม้แต่น้อย เดินไปหนึ่งก้านธูปลู่ยาก็หยุดลง พูดว่า “นี่คือหินทับทะเล”


พูดว่าเป็น ‘หิน’ ทับทะเล ความจริงแล้วเป็นหินขนาดใหญ่ ตรงกลางยังมีคุกหินแห่งหนึ่ง รอบด้านมีโซ่คล้องไว้


มู่จิ่วชักกระบี่ฟันโซ่ แผ่นหินที่คล้องไว้ร่วงลงมา ที่แท้คุกหินสร้างขึ้นโดยมัดแผ่นหินเข้าไว้ด้วยกัน


เมื่อแผ่นหินฝั่งนี้ร่วงลงมา อีกสามด้านที่เหลือศูนย์ถ่วงไม่ดี ดังนั้นจึงล้มลงตามเช่นกัน! แต่ตรงกลางกลับไม่มีคนอยู่ เงาของสัตว์เขาเดียวกลับไม่มี! 

 

 


ตอนที่ 121

 

จับหมูในอวย

โดย

Ink Stone_Romance

“เป็นไปได้อย่างไร?” ซ่างกวนสุ่นเดินเข้ามา “ข้าได้ยินชัดเจนว่าถูกขังอยู่ที่นี่!”


มู่จิ่วกำลังจะด่าเขา สายตาลู่ยาพลันสว่างวาบขึ้นมา พลันเอ่ยว่า “มีคนมา! รีบซ่อนตัวเร็ว!” พูดพลางลากพวกเขาทั้งสองไปยังหญ้าน้ำด้านข้าง และทำคุกหินให้กลับสู่สภาพเดิมในพริบตาเดียว


ก้นทะเลสาบสงบเงียบไปชั่วครู่ ก่อนค่อยๆ มีเสียงน้ำไหลดังเข้ามา


จากนั้นมีคนสามคนเดินมายังคุกหิน คนด้านหน้ากลับเป็นหลีเปิง! และคนสองคนด้านหลังเขาสวมเสื้อที่ปักสัญลักษณ์นกเสวียน เป็นคนของลัทธิฉ่าน!


“สองคนนี้ต้องเป็นตัวปลอมแน่ เรื่องนี้มีเงื่อนงำ!” ซ่างกวนสุ่นอดพูดไม่ได้


มู่จิ่วเหลือบมองเขา จากนั้นดูต่อไป


ได้ยินเพียงหลีเปิงพูด “ของที่ควรนำมา เอามาหมดแล้วใช่หรือไม่?”


คนอีกสองคนชูถุงผ้าขนาดไม่เล็กนักขึ้นมา แล้วเอ่ย “อยู่นี่ทั้งหมด ไม่ขาดแม้แต่ชิ้นเดียว!”


หลีเปิงนำมาดู พูดอีกว่า “รอคนอื่นกลับมาก็สามารถเคลื่อนไหวได้แล้ว”


มู่จิ่วพูดไม่ออกอย่างยิ่ง ดูแล้วหลังจากเรื่องในชิงชิว อู่เต๋อยังไม่หยุดมือ เพียงแต่ไม่รู้ว่าคราวนี้ไปก่อคดีที่ไหน? เห็นของในมือพวกเขา หรือจะเป็นของวิเศษที่ขโมยมาจากที่อื่น? ของวิเศษที่อู่เต๋อขโมยมาเป็นเพียงแผนลวง สร้างความบาดหมางให้ลัทธิฉ่านกับแต่ละภพถึงเป็นของจริง คราวนี้พวกเขานับว่าหนีไม่ได้แล้ว!


ไม่นานก็มีคนเดินมาจากที่ไกลๆ สวมเสื้อสีเดียวกัน คุยกับหลีเปิงในเรื่องเดียวกันกับก่อนหน้านี้


ชัดเจนว่าหลีเปิงไม่ได้ถูกอู่เต๋อขังไว้จริง แต่ตั้งใจอาศัยเรื่องที่นางสงสัยว่าหลีเปิงไปโลกมนุษย์ เพื่อให้เขาทำเรื่องต่างๆ ให้เรียบร้อยแทนตน


มิน่ารอบด้านจึงไม่มีเวรยามเฝ้าคุมเลย


“ไปเถอะ”


หลังจากพวกหลีเปิงคุยกันเสียงเบาหลายประโยค ก็เริ่มออกไปข้างนอก


รอจนพวกเขาเดินไปไกลแล้ว พวกมู่จิ่วก็กลายร่างเป็นปลาและกุ้งตามหลังพวกเขาไป


จนกระทั่งมุ่งตรงออกจากผิวน้ำ เหยียบเมฆขึ้นไปบนฟ้า พวกมู่จิ่วจึงค่อยซ่อนร่างตามไป


แสงจันทร์กลมโตสาดส่องผืนแผ่นดินใหญ่ กลุ่มคนสองกลุ่มหน้าหลังมุ่งหน้าไปยังทิศใต้


สุดท้ายมาถึงชนเผ่าทางใต้ พวกหลีเปิงกระโดดลงจากเมฆ เข้าไปในผืนป่า หยุดลงด้านหน้าภูเขาที่ไม่ค่อยสะดุดตาลูกหนึ่ง จากนั้นเปิดกลุ่มเถาวัลย์ที่ปิดประตูหินไว้ ผลักประตูเข้าไปข้างใน ก่อนจะปิดลงอย่างรวดเร็ว


มู่จิ่วยื่นหน้าออกไปดูถ้ำหินที่สลักตัวอักษรไว้ว่า ยอดเขาราชาเพลิง


ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน เขานี้ก็ไม่สะดุดตา คิดแล้วคงเพราะเหตุนี้อู่เต๋อจึงเลือกมัน


“ที่นี่ต้องเป็นที่เก็บของวิเศษแน่นอน พวกเราเข้าไปดูกัน” นางพูด


ลู่ยาพยักหน้า พาพวกเขาทะลุถ้ำหินเข้าไปโดยตรง


เพิ่งเข้าไปในถ้ำ ก็เห็นพลังเหมือนคลื่นน้ำกระทบเข้ามาทีละคลื่นทีละคลื่น เสียงก้องกังวานเฉพาะตัวของสิ่งของวิเศษดังเดี๋ยวสูงเดี๋ยวต่ำมาไม่ขาดสาย ยิ่งเดินไปข้างหน้าคลื่นนี้ยิ่งแข็งแกร่ง แม้ไม่ถึงกับทำให้คนซ่อนร่างไม่ได้ แต่ก็รุนแรงอย่างมาก


“ดูสิ!”


ซ่างกวนสุ่นหยุดเท้าอยู่ด้านหน้า ชี้ไปยังท้องถ้ำที่เปิดออกพลางร้องเสียงดังขึ้นมา


ในท้องถ้ำเต็มไปด้วยของวิเศษกองอยู่ แต่ละชิ้นส่องสว่างเจิดจ้าจนทำให้คนลืมตาไม่ขึ้น เมื่อเพ่งสายตามองไป ของเหล่านั้นครอบครองพื้นที่ของถ้ำไปกว่าครึ่ง!


“นั่นมันฉาบทองของตระกูลซ่างกวน!”


ซ่างกวนสุ่นก้าวไปหยิบฉาบทองซึ่งส่องแสงสีทองขึ้นมา “ย่ามันเถอะ อยู่ที่นี่จริงด้วย!…นี่ไม่ใช่จอกเหล้าวิญญาณงูของปีศาจงูหรือ? ยังมีเกราะห้าดาราของตระกูลจงซยงอีก! ทั้งหมดล้วนอยู่ที่นี่ ข้าอยากดูนักว่าครานี้อู่เต๋อจะหนีไปไหน?…แล้วสัตว์เขาเดียวนั่นล่ะ?”


มู่จิ่วตระหนกจนแม้แต่พูดยังพูดไม่ออก ได้ยินก็รีบมองไปรอบด้าน ลู่ยาพูด “เข้ามาแล้ว!”


ขณะกำลังพูด เสียงฝีเท้าจากด้านนอกก็ดังเข้ามา เป็นหลีเปิงที่นำศิษย์ ‘ลัทธิฉ่าน’ สี่ห้าคนนั้นเข้ามา


ที่แท้ลู่ยาพาพวกนางทะลุเข้ามาเร็วยิ่งกว่าพวกเขาเสียอีก!


“ใครน่ะ?!”


หลีเปิงเห็นพวกเขาก่อน จึงรีบหยิบมีดขึ้นมา


บนใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ บางทีอาจเป็นเพราะนึกไม่ถึงว่าจะมีคนอยู่ที่นี่!


ซ่างกวนสุ่นโผเข้าไปด้านหน้า ชิงถุงผ้าในมือพวกเขามาเปิดดู จากนั้นใบหน้าก็พลันบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ!


“ที่แท้ก็เป็นของวิเศษอีก!…พวกเจ้าสังหารปีศาจงูเขียวใช่หรือไม่?!”


เขาพูดพลางออกกระบวนท่ากระโดดตรงเข้าไปหาพวกนั้น


แม้แต่ร่างคนหลีเปิงยังแปลงได้ไม่สมบูรณ์ ไหนเลยจะเป็นคู่ประมือของซ่างกวนสุ่น? ไม่เกินสามกระบวนท่าก็ถูกเขาตีจนหมอบไปกับพื้น กลับกันพวกปลอมตัวเป็นศิษย์ลัทธิฉ่านยังพอมีความสามารถ แต่ก็ไม่มีประโยชน์ มองดูก็รู้ว่าพวกเขาล้วนถูกมือของซ่างกวนสุ่นฟันได้ทุกเวลา


“อย่าสังหารพวกเขา!”


มู่จิ่วร้องห้าม ไม่ง่ายนักกว่าจะหาแหล่งกบดานของพวกเขาเจอ หากสังหารไปแล้วทุกอย่างจะจบสิ้นหมด


ซ่างกวนสุ่นจับพวกเขาหมอบอยู่กับพื้น หยิบของวิเศษแล้วเดินถอยออกมา


ของวิเศษนี้ไม่ได้มีค่าอะไรพิเศษ บางทีอาจเป็นเพราะ หนึ่งคือของวิเศษที่สูงค่าพวกเขาไม่อาจเอามาได้โดยง่าย สองคือง่ายต่อการเกิดเรื่อง แต่ของวิเศษพันสองพันชิ้นเต็มเขานี้ก็มากพอจะทำให้คนตกใจได้แล้ว ของวิเศษทั้งหมดล้วนต้องเป็นคนที่บำเพ็ญวิถีเต๋าสูงส่งจึงสามารถควบคุมได้ หากนำพวกมันมาหลอมทำของวิเศษหนึ่งชิ้น พลังทั้งหมดรวมอยู่ด้วยกัน นั่นก็เป็นปริมาณที่น่ากลัวอย่างมาก!


“ข้าผนึกภูเขาไว้แล้ว หลังจากกลับไป อาจิ่วรีบไปรายงานหลิวจวิ้น!”


ลู่ยามัดหลีเปิงและอีกหลายคนไว้ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน หมุนตัวเดินนำพวกเขาออกไปนอกถ้ำ จากนั้นหยิบยันต์จากแขนเสื้อแผ่นหนึ่งออกมาแปะประตูถ้ำไว้ แล้วจึงขี่เมฆบินกลับสวรรค์ไป!


การเคลื่อนไหวรวดเร็วเช่นนี้ เกรงว่าพวกหลีเปิงแม้แต่คิดยังคิดไม่ทัน!


มาครั้งนี้เพื่อจับหลีเปิง คิดจะให้เขาเปิดเผยความจริงออกจากปาก กลับคิดไม่ถึงว่ายังมีเรื่องน่ายินดีอีก! พวกเขาสามารถหาที่เก็บซ่อนของที่ถูกขโมยมาได้! ตอนนี้ขโมยถูกจับได้แล้ว สามารถคลี่คลายคดีได้ ใจมู่จิ่วยิ่งกระตือรือร้นกว่าเมื่อเทียบกับพวกเขา เมื่อเข้าประตูสวรรค์แดนใต้ ลู่ยาไม่เข้าร่วมด้วยและกลับไปก่อน จากนั้นนางกับซ่างกวนสุ่นจึงมุ่งตรงไปยังที่พำนักกวงซวีซิงจวินของหลิวจิ้น


หลิวจวิ้นนอนหลับอยู่บนเตียงแล้ว ได้ยินนางทุบประตูก็อดไม่ได้ ด่านางว่าเด็กสาวไร้มารยาททีหนึ่ง ก่อนลุกขึ้นสวมเสื้อผ้าเดินไปถึงโถงหน้า เห็นนางหอบหายใจอย่างหนักพุ่งเข้ามา “ใต้เท้า! ข้าเจอผู้วางแผนคดีฆาตกรรมที่ชิงชิวแล้ว! ก็คืออู่เต๋อเจินจวิน! ของวิเศษที่หายไปข้าก็หาเจอแล้ว พาหนะของเขาถูกลู่ยาขังไว้ข้างในด้วยกัน รีบตามข้าไปดูเถิด!”


หลิวจวิ้นได้ยินว่านางคลี่คลายคดีนี้ได้แล้ว ก็ตกใจจนกระทั่งลืมต่อว่า รีบกลับไปหยิบกระบี่ จากนั้นนำทหารสองกลุ่มขี่มังกรสี่ขามุ่งไปยังประตูสวรรค์แดนใต้!


ไม่นานก็มาถึงด้านหน้าถ้ำนั้น หลิวจวิ้นยกมือขึ้นดึงยันต์ที่ลู่ยาแปะไว้ออก ประตูถ้ำส่งเสียงแล้วเปิดกว้าง คนสองคนด้านหน้าสุดพุ่งออกมา!


หลิวจวิ้นตกใจ พลันพูดอย่างโกรธขึ้ง “ให้ข้าจัดการทั้งหมดเอง!”


คนที่ออกมาสองคนโดนเขาฟาดฝ่ามือล้มไป โยนให้ทหารสวรรค์ที่ตามมาด้านหลัง ก่อนเดินเข้าไปในถ้ำ


ฟากหลีเปิงที่รออย่างกังวลอยู่นานตรงทางเดิน ครั้นเห็นหลิวจวิ้นมู่จิ่วและซ่างกวนสุ่น ก็จับผนังถอยร่นเข้าไป หลิวจวิ้นกัดฟันแน่นพุ่งเข้าหา หลีเปิงกลิ้งตัวหลายตลบกลับเข้าไปกลางถ้ำอีกครั้ง! 

 

 


ตอนที่ 122

 

มือที่หยิบดอกไม้

โดย

Ink Stone_Romance

“ใต้เท้า ท่านดู! ของเหล่านี้คือสิ่งของวิเศษที่ถูกขโมยมาจากเผ่าต่างๆ! หลายชิ้นในนี้ซ่างกวนสุ่นยังยืนยันแล้ว เป็นของทั้งหมดที่หายไปจากเนินอารามไม่ผิดแน่!” มู่จิ่วชี้ไปยังของวิเศษเต็มถ้ำพลางพูด


หลิวจวิ้นมองดูรอบๆ จากนั้นหยิบของหลายชนิดขึ้นมาดู ก่อนฟาดแส้ลงไปบนร่างของหลีเปิง พูดว่า “นำกลับไปทัพทหารสวรรค์ ทำการสอบสวนทันที! หากใครแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป ต้องรับโทษสมรู้ร่วมคิดด้วย!”


เหล่าทหารเดินพรึบมานำตัวไป กลุ่มคนเดินออกจากถ้ำ หลิวจวิ้นไปยังประตูถ้ำเพื่อผนึกตราของกองทัพสวรรค์ไว้ จากนั้นคลุมเสื้อไปบนศีรษะของหลีเปิง ก่อนพาพวกเขากลุ่มใหญ่กลับไปสวรรค์


พลลาดตระเวนที่เปลี่ยนกะได้รับข่าวว่าต้องสอบสวนผู้กระทำผิด จึงเตรียมห้องสอบสวนไว้แล้ว รอจนกระทั่งผู้กระทำผิดมา กลุ่มคนเห็นร่างทั้งร่างพวกเขาปกคลุมไปด้วยเสื้อคลุม ในใจนึกสงสัยแต่ไม่กล้าอยู่ที่นั่น หลิวจวิ้นเพียงกวาดสายตาไป พวกเขาก็ชิดผนังถอยกลับไปไกลแล้ว


ระหว่างทางกลับมู่จิ่วจัดระเบียบเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างสืบคดีไว้เรียบร้อย หลิวจวิ้นรอเพียงหนึ่งก้านธูป นางก็เขียนเรื่องราวทั้งหมดออกมาอย่างชัดเจน


หลิวจวิ้นอาศัยบันทึกคดีความสอบถามหลีเปิงไปทีละเรื่อง หลีเปิงถูกจับคาหนังคาเขา ไหนเลยจะกล้าขัดขืน? เล่าเรื่องที่อู่เต๋อสั่งให้เขาไปทำออกมาอย่างละเอียด ที่แท้ไม่เพียงแค่เขาเนินอารามและชิงชิว พวกเขายังเข้าไปก่อเรื่องที่เขาสุสานประจิมและแม่น้ำมืดทิศอุดรด้วย ถึงแม้ระดับการก่อคดีจะไม่เหมือนกัน แต่ความเกลียดชังที่มีต่อลัทธิฉ่านกลับถูกกระตุ้นขึ้นมาแล้ว


ทุกครั้งพวกเขาก่อคดีต้องหาวิธีทิ้งร่องรอยของลัทธิฉ่านไว้ และเรื่องจริงก็เป็นไปตามที่พวกเขาคาดหวัง แต่เดิมชื่อเสียงของลัทธิฉ่านที่ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว มาวันนี้ค่อยๆ กลายเป็นเป้าหมายของทุกคน โดยเฉพาะหลังจากที่เหล่าจิ้งจอกเก้าหางแห่งชิงชิวไล่ล่าสังหารศิษย์ลัทธิฉ่าน เหล่าเผ่าเซียนที่ได้รับความเสียหายยิ่งโหมกระพือไฟโกรธอันรุนแรง


ทางเขาให้ความร่วมมือ ขั้นตอนก็ราบรื่นรวดเร็วขึ้นมาก


ตอนฟ้าสว่างหลิวจวิ้นนำมู่จิ่วไปยังห้องทำงาน ครั้นเข้าไปก็ถามขึ้น “เจ้าสงสัยอู่เต๋อเจินจวินได้อย่างไร?”


มู่จิ่วเขียนเรื่องราวในบันทึกคดีแก่เขาว่าให้ซ่างกวนสุ่นไปจับตามองหลีเปิงอย่างไร จากนั้นตามร่องรอยเขาไปเจอของวิเศษได้อย่างไร กลับไม่ได้เขียนไว้ว่าเหตุใดถึงแน่ใจว่าอู่เต๋อเจินจวินเป็นผู้วางแผน เพราะแบบนี้ดูแล้วออกจะโชคดีอยู่บ้าง


มู่จิ่วไม่สามารถบอกเรื่องลู่ยาดูเรื่องชาติก่อนของอู่เต๋อได้ จึงพูด “วันนั้นข้าเตรียมไปประตูสวรรค์เพื่อสืบหาร่องรอย เห็นหลีเปิงบนถนนทำท่าทางผิดสังเกต หลังจากนั้นก็ไปเยี่ยมอู่เต๋อเจินจวินกับท่าน ตอนนั้นไม่เห็นหลีเปิง ภายหลังจึงให้ซ่างกวนสุ่นคอยจับตามอง ไหนเลยจะรู้ว่าภายหลังกลับได้เรื่องมา”


นางยังคงไม่เก่งเรื่องโกหก พูดโป้ปดจึงตะกุกตะกักอยู่บ้าง


หลิวจวิ้นจ้องนางอย่างสงบอยู่ครู่หนึ่ง หันไปพูดกับซ่างกวนสุ่นว่า “อีกเดี๋ยวเจ้าอาศัยตอนอู่เต๋อไปหน่วยงาน กลายร่างเป็นเพื่อนของพวกหลีเปิง รีบไปที่พำนักของอู่เต๋อแล้วปล่อยข่าวให้พวกเซียนเด็กของเขา บอกว่าหลีเปิงเกิดเรื่องที่เขาเมฆาเพลิง เชิญเขาไปดูสักรอบ จากนั้นมู่จิ่วก็พาพวกเขากลับไปยังเขาเมฆาเพลิง พวกเรารอปลาใหญ่ติดเบ็ด!”


ซ่างกวนสุ่นรับคำสั่ง มู่จิ่วกลับถาม “ทำไมต้องพาพวกหลีเปิงกลับไปด้วย?”


หลิวจวิ้นยืนขึ้นมา “พลังบำเพ็ญของอู่เต๋อสูงส่งลึกล้ำ ได้ยินข่าวย่อมต้องทำนายก่อนว่าหลีเปิงอยู่ที่ไหน หากคาดการณ์ได้ว่าไม่ได้อยู่ที่เขาเมฆาเพลิง เจ้าคิดว่าเขาจะติดกับหรือไม่?”


มู่จิ่วเข้าใจโดยพลัน รีบไปทำงานทันที


ฟากอู่เต๋อเจินจวินเพิ่งเข้าห้องทำงาน พลันมีเซียนเด็กเข้าประตูไปบอก “รายงานเจินจวิน เมื่อครู่ศิษย์พี่ต่งมาบอกข่าวว่าหลีเปิงเกิดเรื่องที่เขาเมฆาเพลิง ยังเชิญเจินจวินให้รีบไปดูเสียหน่อย”


อู่เต๋อเจินจวินเงยหน้าขึ้นมาจากสมุด ขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นกดนิ้วทำนาย สีหน้าพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย แล้วจึงยืนขึ้นมา


“เขามาแจ้งข่าวเมื่อไหร่?”


“ราวหนึ่งเค่อก่อนหน้านี้” เซียนเด็กกล่าว


อู่เต๋อเดินอ้อมมาจากหลังโต๊ะ ก่อนออกจากทัพสวรรค์ไป


พาหนะกับเจ้าของล้วนมีความคุ้นเคยกันมาก เขาทำนายได้ว่าหลีเปิงเกิดเรื่องแน่ๆ! แต่เขาไม่เข้าใจว่าสถานที่ลึกลับขนาดนั้นทำไมถึงถูกคนพบได้ และเขายังไม่รู้ว่าคนที่พบเจอที่นั่นเป็นใครกันแน่


ขี่เมฆไปไม่เกินสองเค่อก็ถึงเขตแดนของชนเผ่าทางใต้ ตอนเข้าใกล้เขาเมฆาเพลิงเขาจึงซ่อนร่างเดินไปถึงหน้าถ้ำ


หลิวจวิ้นกับมู่จิ่วเฝ้าอยู่อย่างใจจดใจจ่อและไร้สุ้มเสียงที่สองฝั่งของถ้ำ ดวงตามองขลุ่ยล่าเซียนในมือ จากที่ไม่ขยับกลับเป็นสั่นเล็กน้อย มันควบคุมตัวเองไม่ได้อีก จึงลอยขึ้นไปกลางอากาศ ส่องแสงออกไปพริบตาเดียวก็ปกคลุมพื้นที่กว้างใหญ่หน้าถ้ำ! นี่คือขลุ่ยล่าเซียนที่หลิวหยางให้นางมา นางไม่ได้เป่ามัน แต่เป็นมันที่ตื่นขึ้นมาเพราะยับยั้งตัวเองไม่ได้!


จุดที่แสงสว่างส่องไปค่อยๆ ปรากฏร่างคน จากไร้รูปร่างกลายเป็นเดี๋ยวปรากฏเดี๋ยวเลือนหาย จากเดี๋ยวปรากฏเดี๋ยวหายกลายเป็นโปร่งแสงครึ่งหนึ่ง


“เป็นอู่เต๋อ!”


มู่จิ่วภายใต้ชุดซ่อนเซียนพูดกับหลิวจวิ้นเสียงเบา นางชักกระบี่ออกมาแล้ว และส่งสัญญาณมือให้เหล่าทหารสวรรค์ที่ซ่อนตัวอยู่ตรงข้าม รอจนเขาเดินไปเจอหลีเปิงข้างหน้าปากประตูถ้ำ ทุกคนก็จะพุ่งเข้าไปจับเขา!


แต่อู่เต๋อเข้าไปในเขตของขลุ่ยล่าเซียนแล้วกลับพลันไม่ขยับตัว


เขาเพียงมองประตูถ้ำที่อยู่ด้านหน้าไม่ไกล แล้วจึงมองไปรอบด้าน คิ้วพลันขยับเล็กน้อย สายตาจับจ้องขณะหมุนร่างถอยไปหลายสิบจั้ง จากนั้นก็ไม่หยุดอีก พริบตาเดียวถอยร่นออกไปหลายพันลี้!


“เกิดอะไรขึ้น?” มู่จิ่วปลดชุดซ่อนเซียนลง มองเรื่องทั้งหมดอย่างงุนงง


หลิวจวิ้นก็สีหน้าเคร่งเครียด “ดูแล้วเขาคงพบสิ่งผิดปกติ!” เขาคิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะระแวดระวังขนาดนี้!


“เช่นนั้นตอนนี้ทำอย่างไรดี?” มู่จิ่วมองเขา


“ไม่ต้องกลัว หลีเปิงยังอยู่ในมือพวกเรา คดีนี้มีคำตัดสินแล้ว!”


หลิวจวิ้นเก็บกระบี่เข้าฝัก พูดว่า “เพียงแต่ก่อนอื่นพวกเราต้องนำเขามาสอบสวนตามขั้นตอนแล้วจึงค่อยตัดสินคดีต่อหน้ากษัตริย์ได้ อีกสักพักข้าไปจะลงนามประกาศจับที่หน่วยทหาร จากนั้นเจ้ากับเฉินอิงไปพาอู่เต๋อมาสอบปากคำ…จำไว้ อู่เต๋อในโลกเซียนนั้นสูงส่ง เจ้าพาเขามาก็พอ กระทำเรื่องก็จำไว้ว่าต้องเหลือทางถอยให้ตนเองด้วย”


พูดจบเขาก็มองนางอย่างล้ำลึก


ทำไมมู่จิ่วจะฟังความห่วงใยในคำพูดไม่ออก? รีบกล่าว “ขอบคุณใต้เท้าที่เตือน มู่จิ่วจะไม่ทำให้ใต้เท้าเสียแรงที่อบรมบ่มเพาะ!”


ตอนแรกเขายืนกรานไม่ต้องการนาง มาวันนี้กลับยินยอมชี้แนะอย่างดี บอกนางถึงข้อระวังในการปฏิบัติหน้าที่ การพัฒนานี้ช่างทำให้คนทอดถอนใจจริงๆ


แต่วันนี้แหวกหญ้าให้งูตื่นแล้ว แบบนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ต้องจับคนมาให้ได้ก่อน


เมื่อทางนี้วางแผนเรียบร้อยจึงรีบพาทหารกลับทันที


โดยยังคงพาตัวหลีเปิงและคนอื่นกลับไปเช่นกัน


มู่จิ่วอาศัยตอนหลิวจวิ้นไปหน่วยทหารเพื่ออนุมัติ กลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อที่ลานจื่อหลิง


ลู่ยารีบเดินเข้ามาถามเรื่องราว พูดเสียงนิ่งว่า “ข้าแจ้งข่าวแก่จิ้งจอกเฒ่าแล้ว ทางเขาเนินอารามก็อ้างชื่อซ่างกวนสุ่นช่วยเขาแจ้งเรื่องไปเสียหน่อยแล้ว ไม่น่าจะเกินครึ่งชั่วยาม พวกเขาคงมาถึงสวรรค์”


มู่จิ่วรู้สึกอบอุ่นในใจ นางไม่เคยคิดมากขนาดนี้ เขากลับจำแทนนางได้ทั้งหมด จึงยิ้มให้เขา ทั้งยังช่วยหยิบดอกไม้ที่ติดอยู่บนผมออก จากนั้นให้ซ่างกวนสุ่นไปหาอู่เต๋อก่อน แล้วจึงรีบเร่งถือกระบี่ออกประตูไป


ลู่ยามองแผ่นหลังของมู่จิ่ว มือจับเส้นผมที่นางนำดอกไม้ออกให้ ริมฝีปากพลันยกยิ้มขึ้นมา


ดอกไม้นั้นแม้หยิบให้โดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ยังนับว่ามีพัฒนาการ….

 

 

 


ตอนที่ 123

 

ต้องการเข่นฆ่ากันหรือ?

โดย

Ink Stone_Romance

ตอนมู่จิ่วกลับไปที่หน่วยลาดตระเวน หลิวจวิ้นก็กลับมาแล้ว เฉินอิงก็อยู่ด้วย พวกเขาพูดคุยกันสักหน่อยแล้ว สองคนจึงจัดทหารสิบกว่าคนเตรียมไปยังที่พำนักอู่เต๋อ


ไหนเลยจะรู้ว่าเพิ่งจะก้าวเท้าออกประตูไป ซ่างกวนสุ่นกลับเข้ามาอย่างรีบร้อน “อู่เต๋อไปหาหลีหังแล้ว!”


เฉินอิงไม่รู้ความจริงก็ไม่รู้สึกอะไร ที่จริงอู่เต๋อเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของหลีหัง ถึงแม้จะไปหาเขาก็ไม่มีอะไรน่าประหลาดใจ แต่มู่จิ่วกลับอดตกใจไม่ได้ คาดไม่ถึงเลยว่าอู่เต๋อคนนี้จะมุ่งตรงไปหาหลีหัง? เขาต้องการจะปะทะด้วย!


“รีบไปที่พำนักของหลีหัง!”


นางพูดยังไม่ทันจบก็ออกจากประตูไปแล้ว


ที่พำนักของหลีหังเจินเหรินอยู่ที่บริเวณจงหมิงทางทิศตะวันออกของวังหลิงซี ตอนนี้กำลังอยู่ท่ามกลางแดดยามเช้า


เซียนเด็กที่ประตูกอดพู่พูดกับอู่เต๋อเจินจวินว่า “เจินเหรินออกไปข้างนอกแต่เช้า หากเจินจวินมีเรื่องสำคัญ โปรดมาวันหลังจะดีกว่า”


“งั้นหรือ?” อู่เต๋อเจินจวินไม่ขยับ ก่อนกล่าว “เช่นนั้นข้ารอเขาอยู่ที่นี่ จะได้ไม่เสียเวลาไปๆ มาๆ “


เซียนเด็กอึ้งไป “เจินจวิน…”


อู่เต๋อไม่สนใจ ยืนสงบอยู่ตรงประตูที่พำนัก ท่ามกลางเมฆหมอกมีร่างสวมอาภรณ์เขียวบินมาตามลม ทำให้ท่าทางยิ่งงามสง่ามากขึ้นอีก


เซียนเด็กจนปัญญา ผ่านไปสักครู่จึงรีบเข้าไปข้างใน


ไม่นานนัก เซียนเด็กที่เข้าไปก็ออกมาอีก จากนั้นค้อมตัวพูดตรงหน้า “เชิญเจินจวินเข้าไปได้”


อู่เต๋อเหลือบมองเขา ไม่ได้ถามอะไร เดินเข้าประตูตามเขาไป


หลีหังเป็นขุนนางขั้นหนึ่งใกล้ชิดกษัตริย์ ที่พำนักของเขาย่อมต้องงามน่าดู แต่สายตาของอู่เต๋อก้มลงมองพื้นเล็กน้อยอยู่ตลอด เซียนเด็กนำเขาไปหยุดยังระเบียงทางเดินของที่พำนักเซียนด้านใน ในอากาศมีกลิ่นหอมของดอกไหวลอยมา ระเบียงโล่งกว้างซึ่งยื่นออกไปทางขวาสูงกว่าระเบียงทางเดินสามฉื่อ ขั้นบันไดหยกขาวทอดยาวขึ้นไป ม่านสีแดงเข้มอยู่ท่ามกลางเมฆหมอกราวกับชาดแพร่กระจายอยู่ในน้ำ และเหมือนกับเลือดที่หยดลงไป


นอกจากกลิ่นดอกไหวแล้ว ในอากาศยังมีกลิ่นเหล้าอีกด้วย


เซียนเด็กถอยตัวออกมาค้อมกายประสานมือด้านข้าง อู่เต๋อเดินจึงขึ้นบันไดหินหยกไป


ท่ามกลางม่านสีแดงเข้ม มีโต๊ะหนึ่งตัวเบาะรองนั่งสองตัว บนโต๊ะมีเหล้า และหลังโต๊ะมีคนอยู่คนหนึ่ง หลีหังเพียงสวมเสื้อสีดำสบายๆ นั่งอยู่ในระเบียงที่เปิดกว้าง ผมสีดำเกล้าสูง คิ้วตาจมูกปากเผยความเยือกเย็นสง่างามออกมา อย่างไรก็ตาม จุดสีแดงชาดระหว่างคิ้วกลับเหมือนกับคนงามแต้มสีบนเล็บ กดความทระนงตนที่กดดันคนของเขาไว้


“ดื่มเหล้ายามเช้าขนาดนี้ งานอดิเรกของเจินเหรินช่างน่าสนใจจริง”


อู่เต๋อหยุดที่ประตู คำพูดยังคงเนิบนาบ แต่ในความเนิบนาบนี้ยังแอบซ่อนความโหดร้ายไว้


หลีหังดื่มเหล้าไปสองจอกค่อยเงยหน้าขึ้นมองเขา “ก่อนที่ข้ากับเจ้าจะร่วมกันสถาปนาต้าเว่ย ทุกวันตอนเช้าล้วนดื่มเหล้าหนึ่งกา งานอดิเรกนี้ไม่ใช่ว่าสร้างขึ้นมาด้วยกันกับเจ้าหรือ?” พูดพลางดันจอกเหล้าไปยังฝั่งตรงข้าม “แต่บางทีเจินจวินคงลืมไปบ้างแล้ว อย่างไรชั่วพริบตาเรื่องราวก็เปลี่ยนไปมาก หลายพันปีผ่านมาแล้ว”


อู่เต๋อขมวดคิ้ว “พูดแบบนี้แสดงว่าเจ้ารู้เหตุผลที่ข้ามา”


“ไม่ยากหากจะคาดเดา ไม่ใช่ว่าเจ้ามาสู้อย่างหมาจนตรอกหรือไร”


หลีหังดื่มเหล้าจนหมดจอก สูดกลิ่นเหล้าแล้วลุกขึ้นมา


“ถ้าเช่นนั้นเจ้ารู้ได้อย่างไร” รอยยิ้มของอู่เต๋อหายไป สายตาค่อยๆ เยียบเย็นขึ้น


“ข้ามีพลังบำเพ็ญสูงกว่าเจ้าถึงสองหมื่นปี”


หลีหังกุมมือเดินเข้ามาอยู่ตรงหน้าเขา ยิ้มน้อยๆ พลางพูด “ไม่ปิดบังเจ้าแล้วกัน ข้าคาดเดาไว้แล้วว่าเจ้าต้องมาหาข้า และครั้งนี้เราก็หนีไม่พ้นแล้ว หลายวันก่อนอาจารย์อาน้อยพลันมาเยี่ยมที่วิมานหลีเฮิ่น จากนั้นยังนำเลือดข้าไป นอกจากปฐมวิญญาณแล้ว ได้ยินมาว่าคนอย่างอาจารย์อาน้อยไม่เคยใส่ใจใคร แต่เขากลับหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดเลือดที่ขมับให้ข้า และยังนำมันไปอีก”


“พลังหยั่งรู้ของอาจารย์อาข้าถึงขั้นสุดยอดแล้ว เขาเอาผ้าเช็ดหน้าไป ความรู้สึกแรกของข้าคือเดาว่าเขานำไปเพื่อดูความทรงจำของข้า และในความทรงจำทั้งหมดมีเพียงตอนของเจ้ากับเฟยอีเท่านั้นที่ชัดเจนลึกซึ้งที่สุด เขาคิดจะดูความทรงจำข้าไปทำไม? ทุกวันนี้ไม่เห็นเฟยอีแล้ว แน่นอนว่าจึงเหลือเพียงเกี่ยวข้องกับเจ้าเท่านั้น”


“ข้าแบกความสงสัยนี้ไว้ ไปตรวจสอบเรื่องเจ้า ดังนั้นจึงได้ผลมา ข้าตรวจสอบเจอว่าเมื่อไม่นานมานี้เจ้ากับสัตว์เขาเดียวของเจ้าเคยพบกับคนของหน่วยลาดตระเวนมาก่อน เจ้าถูกคนของหน่อยลาดตระเวนจับตามอง และในขณะเดียวกันอาจารย์อาน้อยก็จับตามองข้า ข้าควบคุมหน่วยทหารมานานหลายปีขนาดนี้ แน่นอนว่าไม่คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องบังเอิญ”


“และคดีที่สามารถทำให้อาจารย์อาของข้าตื่นตัวได้ หากไม่เกี่ยวข้องกับลัทธิฉ่านของพวกเรา ยังจะมีเรื่องอื่นอีกหรือ?”


“ดังนั้นหากข้าเดาไม่ผิด คดีชิงชิวนั้นมีความเป็นไปได้มากว่าเจ้าเป็นคนทำ และเจ้าต้องไม่รู้ว่าเบื้องหลังยังมีอาจารย์อาคอยจับตาดูอยู่ ดังนั้นจึงไม่ได้จัดการเก็บกวาดให้เรียบร้อยหมดจดมากนัก พอดีข้ายังสืบได้ว่าหลิวจวิ้นพาคนของหน่วยลาดตระเวนออกนอกหน่วยไปกลางดึก ถึงแม้ข้าไม่อาจแน่ใจได้ว่าพวกเขาไปทำอะไร แต่รู้สึกว่ายังไงก่อนตายเจ้าก็ต้องมาหาข้าแน่”


ใบหน้าของอู่เต๋อเย็นเยียบอย่างยิ่ง


หลีหังยิ้มๆ พูดอีกว่า “เจ้าทำให้แต่ละเผ่าพันธุ์บาดหมางกันและยังสังหารเผ่าเทพ ตามกฎแล้วมีแต่ประหารชีวิตอย่างเดียว ทำแบบนี้เพื่อผู้หญิงคนเดียวคุ้มแล้วหรือ?”


“ข้ากลับยินดีจะทำ” อู่เต๋อมองเขา “หากข้าใจโลเลไม่หนักแน่นเหมือนเจ้า คงไม่พาเฟยอีกลับยอดเขามรกต นางไม่กลับมากับข้า ข้าก็คงจะไม่กดความรู้สึกนับหมื่นปีไว้ที่นาง เหมือนเจ้าที่เป็นคนแบบนี้ ตลอดชีวิตในใจมีเพียงแต่อำนาจเท่านั้น ตลอดกาลมีแต่ประเมินว่าคุ้มหรือไม่คุ้ม!”


“เป็นเหมือนข้ามีอะไรไม่ดี?” หลีหังยังคงยิ้ม “พวกเราไม่ใช่มนุษย์ หนึ่งชีวิตหนึ่งชาติภพหนึ่งคู่ช่างเพ้อฝัน ว่ากันตามพลังบำเพ็ญของพวกเราแล้ว ถึงแม้ตอนแรกข้าจะไม่รับซูชิว หลายปีถัดมาเฟยอีก็อาจทิ้งข้าไปก่อน หรือข้ายังต้องเก็บความทรงจำนี้ไว้กับชีวิตที่เหลือ? อย่าโง่เลย”


“ในเมื่อเจ้าไม่สามารถหนึ่งชีวิตหนึ่งชาติหนึ่งคู่ครอง ทำไมเจ้าถึงไม่ให้นางรั้งอยู่ที่ยอดเขามรกต!” อู่เต๋อตัดบทคำพูดเขา ถามออกไป “ในเมื่อเจ้าพูดอย่างสบายใจขนาดนี้ เช่นนั้นทำไมต้องยืนกรานพานางไป? หนึ่งชีวิตหนึ่งชาติเจ้ามีหนึ่งคู่ไม่ได้ แต่ข้าทำได้! หากไม่มีการสอดมือของเจ้า ข้ากับนางต้องทำให้เจ้าเห็นได้แน่!”


หลีหังเงียบไป เนิ่นนานกว่าจะพูด “เพราะนางคือภรรยาของข้า”


“นางไม่ใช่แล้ว!”


ใบหน้าของอู่เต๋อขึ้งเครียดราวกับเหล็ก สายตาก็กลายเป็นหนาวบาดกระดูกในพริบตาเดียว


เขาชักกระบี่ข้างเอวออกมา เกือบจะไม่เอ่ยปากอะไร ตรงเข้าไปสังหารหลีหังทันที


หลีหังกระโดดขึ้นไปสูงสามจั้ง หลังคาปลิดปลิวออก เขาฟาดฝ่ามือลงไปยังอู่เต๋อ เรือนอันสวยงามโอ่อ่ากลายเป็นสนามรบ


ตอนมู่จิ่วกับเฉินอิงมาถึงที่พำนักของหลีหัง ก็เห็นคนสองคนอยู่ท่ามกลางแสงอสุนีบาตหินไฟแล้ว! เห็นเพียงเหล่าเซียนเด็กศิษย์ล้วนพุ่งออกมาเพื่อหนีเอาชีวิตรอด สะเก็ดหินเหมือนกับกระสุนบินไปทุกทิศทุกทาง สิ่งที่เกิดขึ้นเรียกคนมาไม่น้อย สะเก็ดหินที่บินมาเกือบทำให้หน้าผากของมู่จิ่วเป็นรูสองรู!


นางรีบคว้าเซียนเด็กผู้หนึ่งมาถามเรื่องราว เซียนเด็กเล่า “อู่เต๋อเจินจวินไม่รู้มาหาด้วยเหตุผลอะไร อาจารย์กับเขากลับปะทะกันขึ้นมา!”

 

 

 


ตอนที่ 124

 

 วังหลิงเซียวอันศักดิ์สิทธิ์

โดย

Ink Stone_Romance

มู่จิ่วมองดูสองคนที่พลิกกระโดดไปมาท่ามกลางม่านหมอก ไฟถูกจุดติดขึ้นในใจพวกเขาแล้ว!


เจ้าคนพวกนี้กลัวว่าชีวิตจะน่าเบื่อกระมัง ชีวิตของเทพเซียนดีๆ มีไม่ใช้ ต้องก่อเรื่องยุ่งๆ แบบนี้ขึ้นมา คนหนึ่งเอาแน่เอานอนไม่ได้ ทั้งยังโลภมากไม่รู้จักพอ อีกคนก็อยู่ในวังวนละครรักน้ำเน่า เพราะรักจึงแค้นและโง่เขลา ไม่มีหนทางถอนตัวออกไป สวรรค์ไม่มีสถานีโทรทัศน์ จะให้พวกเขาสองคนเก็บเรตติ้งไปเป็นร้อยเป็นพันปีหรือ!


“ซ่างกวนสุ่น เจ้าแยกพวกเขาออกจากกันได้หรือไม่?”


มู่จิ่วค้อมเอวชี้ไปบนฟ้าพลางพูด


ซ่างกวนสุ่นมองดูเล็กน้อย ก่อนบินพุ่งขึ้นไปบนฟ้า ยังไม่ทันยืนได้มั่นคงก็ถูกลมปราณของหลีหังผลักลงมา


คนเขาเป็นลูกศิษย์ของไท่ซ่างเหล่าจวินเลยเชียวนะ!


แม้แต่แขนข้างเดียวของเขาซ่างกวนสุ่นก็เทียบไม่ได้


มู่จิ่วไร้หนทาง “รีบไปแจ้งใต้เท้าหลิว!”


มู่จิ่วหันไปสั่งทหาร จากนั้นก็เหยียบขึ้นไปบนประตูอาคารแม้จะเสี่ยงโดนหินพุ่งเข้าใส่ ตอนนี้เห็นเพียงทั้งที่พำนักเซียนโดนพวกเขาทำลายจนไม่เหลือเค้าเดิมแล้ว พลังกระบี่เหมือนสายรุ้งของอู่เต๋อแข็งแกร่ง ปรากฏแสงที่ทำให้หนาวเหน็บอยู่ครึ่งท้องฟ้า ส่วนหลีหังรับมือด้วยมือเปล่า ถึงแม้กระบวนท่าจะไม่รวนเร แต่กลับไม่เคยหยุดมือ


หากว่ากันตามความสามารถของแต่ละคนแล้ว หลีหังกลับลงมืออย่างไว้ไมตรี แต่เขาทำแบบนี้ทำไม? เพราะเจ็บปวดใจหรือ?


“กัวมู่จิ่ว!”


เพิ่งจะเห็นทางนี้ เสียงของหลิวจวิ้นที่ด้านล่างก็ดังขึ้นมา


ที่แท้หลังจากพวกเขาไปหลิวจวิ้นก็ออกเดินทาง พอดีเห็นการต่อสู้กลางอากาศและดูเหมือนจะอยู่ทางด้านหลีหัง ดังนั้นจึงรีบตามมา


“อู่เต๋อทำไมถึงปะทะกับหลีหังได้?!”


เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว มู่จิ่วทำได้เพียงบอกเรื่องผิดใจของทั้งสามคนกับเขา “อู่เต๋อคงรู้สึกได้ว่าเรื่องราวจะต้องถูกคนค้นพบ ดังนั้นจึงมาเอาคืนหลีหังอย่างสุนัขจนตรอก! สองคนนี้ข้าน้อยไม่มีหนทางจับได้ ต้องทำอย่างไรจึงจะดี?”


หลิวจวิ้นก็ไร้คำพูด ต่อว่านาง “ทำไมเจ้าไม่บอกข้าก่อน! ตอนนี้จะทำอะไรได้? ไปแจ้งอวี้ตี้ที่วังหลิงเซียวกับข้า!” พูดจบก็ถลึงตาใส่นางอย่างโกรธเคือง แล้วจึงขี่อาชาสวรรค์มุ่งตรงไปยังวังหลิงเซียว


มู่จิ่วไหนเลยจะกล้าชักช้า หันไปบอกทิศทางที่ไปกับเฉินอิง ก่อนเร่งฝีเท้าตามหลังหลิวจวิ้นไปวังหลิงเซียว


นางยังไม่เคยเข้าเฝ้าอวี้ตี้กับหวังหมู่เลย มู่จิ่วมาถึงวังหลิงเซียวเห็นประตูแต่ละชั้น ในใจจึงรู้สึกเคารพยำเกรง แต่คิดอีกทีแม้แต่ศิษย์น้องของนายอวี้ตี้นางก็พบมาแล้ว และทุกวันนี้ยังอยู่ในเรือนนาง กินข้าวนาง ใจจึงรู้สึกสงบลง


เมื่อพวกนางมาถึงนอกวังก็รัวกลอง หลังจากหลิวจวิ้นเข้าไปข้างในและนำเรื่องราวที่มาที่ไปของคดีบอกแก่เจ้าพนักงานผู้ดูแล คนผู้นั้นจึงไปรายงานอวี้ตี้และหวังหมู่ สองสามีภรรยาตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี รีบส่งทหารสวรรค์ใกล้ชิดเบื้องหน้าไปจับหลีหังและอู่เต๋อก่อน อีกทางก็ส่งคนไปวิมานหลีเฮิ่นเพื่อเชิญเหล่าจวินมา


วังหลิงเซียวตื่นตัวแล้ว การเคลื่อนไหวนี้จึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา เสียงกลองหน้าวังดังขึ้น ขุนนนางเซียนแต่ละหน่วยงานล้วนมารวมตัวอยู่ในวัง


รอจนอู่เต๋อกับหลีหังถูกจับมา ไท่ซ่างเหล่าจวินก็มาถึงแล้ว ทางราชาจิ้งจอกก็นำราชินีจิ้งจอกและมู่หรงหลิวเย่มาถึงเช่นกัน ตามหลังพวกเขามีสามีภรรยาท่าทางสง่างามอบอุ่นเดินเข้ามา ซ่างกวนสุ่นเห็นแล้วจึงรีบม้วนตัวเข้าไปเรียกพ่อแม่อย่างว่านอนสอนง่าย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นบุตรชายและสะใภ้ที่กษัตริย์ต้าเผิงแห่งเนินอารามส่งมา


หลิวจวิ้นก้าวไปพูดเสียงเบากับอวี้ตี้สองประโยค อวี้ตี้และหวังหมู่หันมามองทางมู่จิ่ว มู่จิ่วเดาว่าหลิวจวิ้นอธิบายตำแหน่งฐานะของนาง ดังนั้นจึงรีบคุกเข่าลงทำความเคารพ


หวังหมู่พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นมีเซียนหญิงรับใช้งดงามผู้หนึ่งเรียกนางอย่างอ่อนโยน


“หลีหัง ไม่รู้ว่าเจ้าไปล่วงเกินอะไรอู่เต๋อเจินจวิน?!” เหล่าจวินมองศิษย์อย่างอารมณ์ไม่ดียิ่งนัก ล้วนเป็นคนมีอายุกันแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะปะทะกันกับสหายร่วมหน่วยงาน ตีกันก็ตีกันเถิด แต่นี่ยังทำให้คนตื่นตระหนกมากมายขนาดนี้ คิดว่าช่วงนี้ลัทธิฉ่านของพวกเขาก่อเรื่องยุ่งยากไม่พออีกหรือ? โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เขาเห็นราชาจิ้งจอกกับคนตระกูลซ่างกวน


“เรื่องพวกนี้ค่อยหารือกัน หลิวจวิ้น ให้คนของเจ้าพูดเรื่องคดีของชิงชิวกับลัทธิฉ่านให้ชัดเจน” อวี้ตี้ได้ยินเรื่องราวส่วนใหญ่จากเจ้าพนักงานแล้ว จึงโบกมือ ชี้มู่จิ่วพลางพูดขึ้น


คนในวังได้ยินว่าคดีเกี่ยวพันระหว่างลัทธิฉ่านกับชิงชิว จึงล้วนอดมองไปที่ราชาจิ้งจอกไม่ได้


ราชาจิ้งจอกกุมมือยืดอก ใบหน้าแสดงถึงความทระนง


เหล่าจวินตั้งใจทุ่มเทฝึกพลัง ก่อนหน้านี้ปิดด่านฝึกตน และเรื่องภายในลัทธิล้วนให้ศิษย์คนโตเป็นผู้นำเหล่าศิษย์ดูแลจัดการ แม้เขาจะได้ยินเรื่องนี้ แต่กลับไม่ได้ใส่ใจอะไร ตอนนี้ได้ยินอวี้ตี้พูดแบบนี้ ในใจก็ตื่นตระหนก จึงแอบนับนิ้วทำนาย สายตาหันไปยังอู่เต๋อ


แม้เขาจะไม่สามารถทำนายเรื่องทั้งหมดได้ แต่คาดเดาได้ว่ามีคนปลอมเป็นคนของลัทธิฉ่านก่อเรื่องราวภายนอก


ตอนนี้อู่เต๋อกับหลีหังยังมาอยู่ที่นี่อีก เขาย่อมต้องมองอะไรออกบ้าง…


ต่อหน้าอวี้ตี้หวังหมู่และยังมีมหาเทพมากมายเต็มวัง มู่จิ่วไม่อาจไม่สำรวมและเอาจริงเอาจัง


นางกับหลิวจวิ้นค้อมตัวก่อนตอบรับคำ จากนั้นมองไปรอบๆ สายตาตกไปบนใบหน้าของอู่เต๋อ พูดว่า “ราวสี่ห้าเดือนก่อน องค์ชายเจ็ดแห่งตระกูลซ่างกวนแห่งเนินอารามมาฟ้องร้องว่ามีของวิเศษหายไปจากเขาเนินอารามราวพันชิ้น จากนั้นปีศาจงูเขียวขึ้นมาฟ้องร้องบนสวรรค์ก็ตายอย่างไม่รู้เรื่องราวที่ถนนหลัวอี”


“ต่อมา ชิงชิวเกิดคดีฆาตกรรมขึ้น แรกสุดเป็นจิ้งจอกเก้าหางในราชวงศ์ซึ่งยังอยู่ในวัยเด็กถูกสังหารไปสอง ของวิเศษที่ปกป้องจิ้งจอกก็ถูกขโมยไป จากนั้นบุตรชายของราชาจิ้งจอกมู่หรงรุ่ยเจี๋ยถูกสังหารที่ริมแม่น้ำนอกชิงชิว ฆาตกรไม่เพียงสังหารเขา แต่ยังนำจิตจิ้งจอกในร่างขององค์ชายสี่ไปด้วย”


“มีคนในชิงชิวเห็นคนลัทธิฉ่านตามองค์ชายสี่ไปด้วยตาตนเอง เรื่องนี้ทำให้เกิดความบาดหมางระหว่างเผ่าจิ้งจอกเก้าหางกับลัทธิฉ่าน พวกเขาเริ่มล่าสังหารคนลัทธิฉ่านไปทั่ว ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างใหญ่หลวง”


“ข้ารับคดีนี้มาสืบสวนจากใต้เท้าหลิวแห่งหน่วยลาดตระเวน ตอนนี้ได้ไขคดีนี้จนกระจ่างแล้ว ฆาตกรหลังม่านแท้จริงมิใช่ศิษย์ลัทธิฉ่าน แต่มีคนวางแผนปลอมตัวเป็นศิษย์ลัทธิฉ่านและตั้งใจทิ้งหลักฐานไว้เพื่อก่อเรื่องให้ และคนหลังม่านผู้นี้ก็คืออู่เต๋อเจินจวิน”


คนมากกว่าครึ่งในวังส่งเสียงอื้ออึงขึ้นมาทันที!


บางคนมีความสัมพันธ์ไม่เลวกับอู่เต๋อ จึงโผล่หน้าออกมาชี้นาง “เจ้าเด็กไม่รู้ความ อย่าพูดจาไร้สาระ! อู่เต๋อเจินจวินศีลธรรมสูงส่ง ไม่มีทางเป็นคนเลวร้ายแบบนั้น!”


มู่จิ่วคาดเดาไว้แล้วว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้ ดังนั้นจึงชูหนังสือราชการหนาๆ ม้วนหนึ่งขึ้นมา “ข้าไม่ได้พูดจาไร้สาระ นี่คือหนังสือสารภาพที่หลีเปิงพาหนะของอู่เต๋อเจินจวินยอมรับเองกับปาก! ท่านใดยังไม่เชื่อ เชิญฟังด้วยหูของตนเองว่าหลีเปิงพูดอย่างไร”


พูดจบนางก็หันไปมองหลิวจวิ้น ครั้นหลิวจวิ้นได้รับอนุญาตจากอวี้ตี้ ที่ประตูวังก็มีคนนำคนหกคนเข้ามา หกคนนี้สวมผ้าปิดหน้า เมื่อถึงกลางวังก็ถูกกดให้คุกเข่าลง แล้วจึงค่อยเอาผ้าออก


“หลีเปิง คำสารภาพนี้มีตรงไหนที่เจ้าจะแก้ตัวอีกหรือไม่?” หลิวจวิ้นถือหนังสือไปตรงหน้าหลีเปิง


หลิเปิงมองไปรอบตัวครึ่งรอบ ตอนเห็นอวี้ตี้ถึงรีบหมอบลงไปกับพื้น จนกระทั่งเห็นเจ้านายของตนก็ถูกจับไว้ด้วย กลับรีบยืดตัวขึ้นมา พูดว่า “ข้าน้อยไม่รับ! คำสารภาพทั้งหมดคนของหน่วยลาดตระเวนกดดันให้ข้าน้อยพูด! เจ้านายของข้าแต่ไหนแต่ไรไม่เคยทำเรื่องผิดกฎสวรรค์! ขอร้องท่านโปรดสืบสวนให้กระจ่าง!”


บทที่ 125 ทำไมถึงแค้น?

โดย

Ink Stone_Romance

“เจ้าสัตว์เดรัจฉาน! หากคำสารภาพนี้เกิดจากการบังคับ เช่นนั้นเจ้าจงเปิดเผยบาดแผลบนร่างของเจ้าให้ดูหน่อย!” หลิวจวิ้นจ้องไปอย่างไม่ไว้หน้า หลีเปิงหดศีรษะ หมอบลงไปกับพื้นอีก


แต่ยังดีที่อู่เต๋อไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอะไรออกมา


เซียนด้านข้างที่เป็นพวกเดียวกันยืนขึ้นมา “ในเมื่อพวกเจ้ายืนยันว่าอู่เต๋อซิงจวินคือผู้กระทำผิด หลักฐานนอกจากเจ้ากบฏหลีเปิงนี่แล้ว ยังมีอะไรอีก?”


ไม่อาจไม่กล่าวว่าอู่เต๋ออยู่บนสวรรค์วางตัวได้ดีทีเดียว คำพูดนี้เพียงเอ่ยมา ทันใดนั้นก็มีคนอีกเจ็ดแปดคนยืนขึ้นสนับสนุน คนเหล่านี้ยังเป็นพวกอาวุโสที่มีคุณธรรมสูงส่งและมีชื่อเสียง


“มีหลักฐานแน่นอน” มู่จิ่วค้อมตัวประสานมือ “อู่เต๋อเจินจวินอ้างว่าลงโทษหลีเปิง ส่งเขาไปที่ทะเลสาบไร้กังวลเพื่อกักขัง พวกเราติดตามร่องรอยไป พบว่าที่แท้เขาไม่ได้ถูกกักขังแต่อย่างใด แต่อาศัยโอกาสนี้ก่อคดีต่อ จนพวกเราตามรอยไปถึงยอดเขาราชาเพลิงที่ชนเผ่าทางใต้ จึงค้นพบของวิเศษจากโลกเซียนจำนวนมากในถ้ำ ในนั้นมีไม่น้อยที่เป็นของเขาเนินอาราม”


“ตอนนี้ใต้เท้าหลิวผนึกทั้งถ้ำไว้แล้ว ด้านในน่าจะยังมีกลิ่นอายของหลีเปิงอยู่ เซียนแต่ละท่านหากยังสงสัย หน่วยลาดตระเวนสามารถนำทางท่านไปตรวจสอบได้”


เหล่าเซียนต่างตกใจ มองไปทางอู่เต๋อที่ไม่พูดมาตลอด จากนั้นจึงหันไปถามมู่จิ่วเหมือนไม่มีหนทางเผชิญหน้ากับคนที่เคยเป็นเพื่อนเก่ากันมาก่อน “เขาทำแบบนี้ทำไม?”


ตามความเห็นพวกเขา นี่คือการทำลายอนาคตตัวเองของอู่เต๋อเจินจวิน!


แต่พวกเขาลืมไปเสียสนิท ตอนอู่เต๋อเป็นชิงผิงยังเคยกระโดดแท่นประหารเซียนด้วยตนเองมาแล้ว!


“ทำไมต้องทำแบบนี้ คงต้องพูดถึงการต่อสู้ของอู่เต๋อเจินจวินกับหลีหังในครั้งนี้แล้ว” มู่จิ่วหันกลับมาเผชิญหน้ากับทั้งสอง “ข้าเคยได้ยินว่า อู่เต๋อเจินจวินชาติก่อนเป็นชิงผิงซิงจวินอยู่อย่างสงบที่ยอดเขามรกต และชิงผิงซิงจวินยังมีภรรยาที่รักใคร่กัน ซึ่งเป็นภรรยาของหลีหังเจินเหรินด้วย ถูกหรือไม่?”


ในวังมีคนสองในสามส่วนสูดลมหายใจเย็นเข้าไปด้วยตกตะลึง


แต่อู่เต๋อที่คุกเข่าอยู่บนพื้น นอกจากใบหน้าหม่นหมองลึกซึ้งหลายส่วนแล้ว อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน


แม้ว่าหลีหังจะไม่ได้ส่งเสียงเหมือนกัน ทว่ากลับมองมู่จิ่วอย่างรวดเร็ว


วันนั้นมู่จิ่วไปวิมานหลีเฮิ่นได้เปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอก ตอนนี้จึงไม่กลัวเขาสงสัยอะไร


แต่หลีหังยังคงจ้องนางอยู่หลายครั้ง ในสายตาคล้ายมีแววสืบเสาะค้นหา


“พวกเจ้าไม่ต้องสงสัยแล้ว” ตอนนี้เอง อู่เต๋อลุกขึ้นมาจากพื้น “คดีที่ชิงชิวเป็นข้าทำเอง ของที่เนินอารามข้าก็ให้คนไปขโมยมา ปีศาจงูเขียวก็เป็นข้าที่สังหาร จิ้งจอกสามตัวแห่งชิงชิวข้าสังหารไปสอง ส่วนจิตจิ้งจอกขององค์ชายสี่อยู่กับข้า”


พูดจบเขาก็ล้วงจิตจิ้งจอกขนาดเท่าถั่วเหลืองออกมาจากแขนเสื้อ “พวกเจ้าล้วนรู้หมด ด้วยความสามารถของข้า หากต่อกรกับหลีหังย่อมสู้เขาไม่ได้ โทษของเขาไม่อาจให้อภัย หลายปีมานี้ลัทธิฉ่านก่อเรื่องก่อราวตามอำเภอใจ ทำให้ผู้คนโกรธเคืองมานานแล้ว หากไม่มีพวกเขากรุยทางไว้ก่อน ข้าคงไม่อาจทำสำเร็จได้”


ราชาจิ้งจอกก้าวไปข้างหน้า ชิงเอาจิตจิ้งจอกมาสำรวจดูอย่างละเอียดกับราชินีจิ้งจอก เมื่อแน่ใจว่าเป็นของแท้ไม่ผิด จึงรีบเก็บไว้ในอกก่อนชี้อู่เต๋อ “เจ้ามีความแค้นอะไรก็ไปลงที่ลัทธิฉ่าน มาหาเรื่องชิงชิวเพื่ออะไร? วันนี้ข้าต้องออกหน้าแทนเหล่าจิ้งจอกชิงชิวที่ตายไป จะเอาเรื่องเจ้าให้จงได้!”


พูดจบก็เรียกฝ่ามือตาข่ายฟ้าเสวียนหมิงออกมา ตั้งใจจะจัดการให้วิญญาณอู่เต๋อแตกสลายไปในฝ่ามือเดียว


อวี้ตี้รีบหยุดไว้ “ราชาจิ้งจอก ช้าก่อน!”


เหล่าเซียนด้านข้างก็รีบช่วยพูด “คลี่คลายเรื่องคดีสำคัญกว่า อีกเดี๋ยวยังมีกฎของสวรรค์ให้จัดการ”


ราชาจิ้งจอกจึงเก็บมือกลับ แล้วถอยกลับไปอย่างกระฟัดกระเฟียด


อู่เต๋อไม่ขยับเลยตั้งแต่ต้นจนจบ ราวกับถึงวิญญาณแตกซ่านไปอีกครั้งก็ไม่สำคัญ


มู่จิ่วรำคาญจะตายอยู่แล้ว พวกเขาเหล่านี้ช่างไม่สนความเป็นความตาย ในใจคิดแต่เพียงทำร้ายคนของคนอื่น พูดตามจริงคดีนี้หากไม่มีลู่ยาอยู่ ก็ไม่แน่ว่าเมื่อไหร่ถึงจะสืบได้ชัดเจน ทำให้นางต้องเฉียดตายอยู่ที่ชิงชิวหลายรอบ ตอนนี้กลับมาแสดงบทบาทผู้ผดุงคุณธรรม!


ล้วนเป็นพวกที่ไม่ได้เรื่องทั้งนั้น!


นางพูด “อันที่จริง ที่มาที่ไปข้าล้วนรู้อย่างชัดแจ้งแล้ว”


“ข้าไม่เพียงแต่รู้เรื่องเจ้ากับเฟยอี ข้ายังรู้เรื่องเจ้ากับฮองเฮาที่ต้าเว่ย แต่ยังมีหลายข้อที่ไม่เข้าใจ ทำไมเจ้าถึงได้โกรธแค้นหลีหังเจินเหรินขนาดนี้? เพราะว่าเขาพาเฟยอีไป เพราะเขาบอกเล่าความจริงของเจ้าต่อหน้ากษัตริย์ หรือเพราะตอนเขาเป็นผิงหนานอ๋องได้ทำร้ายฮองเฮาและสนมของเจ้า?”


อู่เต๋อยิ้มเยาะ “แค่นี้ไม่พอหรืออย่างไร?”


“ไม่พอ” มู่จิ่วพูด “พูดตามจริง ที่จริงแล้วข้าเข้าใจไปว่าเจ้ารักเฟยอีอย่างลึกซึ้ง แต่ทำไมหลังจากเจ้าเป็นเจ้าเค่อถึงได้รักองค์หญิงจากแคว้นที่ล่มสลาย? ทั้งที่ชัดเจนว่าฮองเฮาต่างหากที่เป็นเฟยอี นี่แสดงว่าความรักที่เจ้ามีต่อนางไม่ได้ลึกซึ้งขนาดที่เจ้าคิด เจ้ากระโดดแท่นประหารเซียน ส่วนใหญ่คงเป็นเพราะเจ้าอับอายสินะ?”


“ข้าเพียงสงสารเฟยอี นางเข้าใจว่าสามารถอยู่กับหลีหังเจินเหรินได้ทุกชาติภพ แต่หลีหังเจินเหรินมีใจเป็นอื่นไปแล้ว”


“แต่เดิมเข้าใจว่าเจอเจ้าแล้วจะเริ่มต้นใหม่ได้ คิดไม่ถึงว่าเจ้ากลับไม่ได้รักนางอย่างที่นางเข้าใจ นางตามเจ้าไปจนถึงโลกมนุษย์ ผลคือเจ้ากลับรักคนอื่นก่อน ในใจนางมีเจ้า แต่ในใจเจ้ากลับไม่มีนางแล้ว นางแบกใจที่จะคืนหนี้รักตามเจ้าไป สุดท้ายได้แต่เพียงปิดฉากด้วยความตาย”


สายตาของอู่เต๋อกระเพื่อมไหวในที่สุด เขามองนางนิ่งๆ ผ่านไปนานจึงยิ้มออกมาอย่างขมขื่น


“เจ้าผิดแล้ว”


ตอนที่มู่จิ่วเข้าใจว่าตนเองรู้อย่างทะลุปรุโปร่งแล้วนั้น หลีหังที่เงียบมาตลอดก็เปิดปากออกมา เขาเดินมาตรงหน้ามู่จิ่ว พูดว่า “เจ้าสามารถหาความจริงมาถึงตรงนี้ นับว่าเยี่ยมยอดมาก แต่ครั้งนี้เจ้ากลับเข้าใจผิดแล้ว ความรู้สึกที่อู่เต๋อมีต่อเฟยอีเป็นรักแท้”


มู่จิ่วอึ้งไป ชัดเจนว่าเขาเป็นคู่แค้นของอู่เต๋อ ทว่ากลับช่วยอีกฝ่ายพูด?


นางเอ่ย “ในเมื่อเป็นแบบนี้ เช่นนั้นเกิดอะไรขึ้นระหว่างเขากับองค์หญิงแห่งแคว้นที่ล่มสลาย?”


“องค์หญิงแห่งแคว้นที่ล่มสลายกับฮองเฮาล้วนคือเฟยอี”


เสียงของหลีหังดังชัดเจนในวัง ทำให้เหล่าเทพเซียนที่มุงดูอยู่กับมู่จิ่วมึนงง ยังมีอู่เต๋อที่ตกตะลึงไปเช่นกัน…


“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” อู่เต๋อชิงถามก่อน


หลีหังพูด “ปีนั้นเมื่อข้าพาเฟยอีกกลับจากเขามรกต เฟยอีก็ไม่ใช่เฟยอีคนก่อนอีกต่อไป นางจากที่เคยเป็นวิหคน้อยคอยตามข้าทั้งวัน กลายเป็นร่างไร้วิญญาณที่เงียบขรึม ความสนใจทั้งหมดของนางไม่อยู่ที่ข้าแล้ว และไม่เจ็บปวดเรื่องข้ากับซูชิวอีก ความนึกคิดทั้งหมดของนางอยู่ที่ชิงผิงทั้งสิ้น”


“ข้าเฝ้านางไว้หนึ่งปี ไม่นึกเลยว่านางจะอาศัยตอนข้าไม่ระวังตัวหนีไปปีนแท่นประหารเซียน กระโดดลงไปมุมเดียวกับที่ชิงผิงกระโดดลงไป ตอนข้าตามนางทันจับได้เพียงวิญญาณส่วนหนึ่งของนาง วิญญาณส่วนนี้ลอดผ่านร่องมือไป กลายเป็นวิญญาณสองส่วนติดตามชิงผิงไปโลกมนุษย์”


“ไม่คิดเลยว่าข้าจะทำร้ายนางขนาดนี้ แม้แต่วิญญาณนางยังไม่ยินยอมติดตามข้าด้วยซ้ำ ดังนั้นข้าจึงไปหาเทียนมิ่งซิงจวิน ขอให้เขาทำให้ข้ากลับไปเวียนว่ายตายเกิด เพราะคิดจะให้พวกเขาสมปรารถนาสักครั้ง”


……………………………………………



บทที่ 126 เป็นละครโศกนาฏกรรม?

โดย

Ink Stone_Romance

“ข้าเกิดมาเป็นพี่น้องร่วมเป็นร่วมตายของเจ้าเค่อ เป้าหมายของข้าคือส่งเฟยอีที่เป็นน้องสาวไปยังข้างกายชิงผิง แต่รอจนเฟยอีเติบโต สงครามสงบ เขากลับได้เจอเฟยอีอีกคนแล้ว ตอนข้าได้เห็นองค์หญิงเฉินข้าก็รู้ว่านางคือเฟยอีอีกคนทันที นั่นคือวิญญาณที่หลุดรอดจากมือข้าไป”


“ข้ารู้ว่าความต้องการของเฟยอีคือร่วมใช้ชีวิตกับชิงผิง และรู้ว่านางละอายใจต่อเขา ดังนั้นข้าจึงยังส่งน้องสาวเข้าวัง ให้เฟยอีอีกคนหนึ่งได้ใช้ชีวิตกับชิงผิง และให้เฟยอีคนนี้ไปใช้คืนหนี้รัก ข้าต้องการช่วยให้นางสมปรารถนา เพราะถ้านางไม่สมดังใจหวัง ตลอดกาลก็คงไม่มีทางหยุด”


“แต่เรื่องมักไม่ง่ายดายเหมือนที่ข้าคิดไว้ เจ้าเค่อยืนกรานจะมอบความรู้สึกทั้งหมดให้องค์หญิงแห่งแคว้นที่ล่มสลาย และละเลยฮองเฮา ข้ารู้สึกไม่ยุติธรรมต่อเฟยอีคนนี้จึงเตือนเขา แต่เขาทำเหมือนข้าเป็นงูพิษสัตว์ร้ายอย่างชัดเจน ซ้ำยิ่งแสดงออกว่าไม่ยินยอมเข้าใกล้ฮองเฮา”


เสียงไม่เร็วไม่ช้าของหลีหังสะท้อนอยู่ในวัง มู่จิ่วตาเบิกกว้างอ้าปากค้าง อู่เต๋อกลับสีหน้าซีดขาว ตัวสั่นโอนเอน


อวี้ตี้ก็ชัดเจนว่าไม่รู้จะจัดการเรื่องนี้อย่างไร มองหวังหมู่เสียหลายครั้ง แต่หวังหมู่ขมวดคิ้วครุ่นคิด ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร


มู่จิ่วงุนงงไปครู่ ก่อนหันไปถามอู่เต๋อ “เรื่องนี้เจ้ารู้หรือไม่?”


“ไม่รู้!” เขาส่ายศีรษะอย่างหนักแน่น สองตาจ้องมองหลีหังอย่างโกรธแค้น “มิน่าตอนเจาเอ๋อร์ตายข้าถึงได้เจ็บปวดใจ ตอนฮองเฮาตายข้ายิ่งเจ็บปวด! ทำไมเจ้าไม่บอกข้าแต่แรก? หรือเจ้าตั้งใจให้ข้าอยู่อย่างทุกข์ทรมานต่อไป?!”


“บอกหรือไม่บอกเจ้ามีอะไรแตกต่าง?” หลีหังพูด “นี่คือลิขิตสวรรค์ อย่างไรเจ้าก็ทำร้ายนาง ถึงแม้ตอนข้าเป็นผิงหนานอ๋องบอกความจริงเจ้า เจ้าจะเชื่อข้าหรือ? ตั้งแต่ข้าคัดค้านเรื่องยกองค์หญิงขึ้นเป็นฮองเฮา เจ้าก็มองข้าอย่างหวาดระแวงตลอด หากข้านำความจริงบอกเจ้า เจ้าต้องอาศัยโอกาสนี้กำจัดข้าในข้อหามอมเมาผู้คนเป็นแน่”


“ข้าตายไม่สำคัญ แต่เฟยอีที่ยังอยู่จะทำอย่างไร?”


หลีหังมองเขาอย่างไม่ไว้หน้า ตอนนี้แต้มแดงระหว่างคิ้วยิ่งสว่างขึ้น “คนนอกล้วนรู้ว่าเจ้างามสง่าเจ้าสำราญ แต่ความจริงแล้วเป็นคนจิตใจคับแคบ มิฉะนั้นแล้ว ตอนนั้นเจ้าคงไม่ดื้อดึงกระโดดลงแท่นประหารเซียนเพราะเฟยอีหนีจากไป ดังนั้นถึงแม้เจ้าจะเป็นกษัตริย์ก็ยังเปลี่ยนนิสัยนี้ไม่ได้”


“เช่นนั้นพิษในยาขององค์หญิงล่ะคืออะไร?”


มู่จิ่วคุ้นชินกับเรื่องนี้มานานแล้ว ดังนั้นจึงจับข้อสงสัยจากคำพูดของเขาได้อย่างรวดเร็ว


“ถามได้ดี!”


หลีหังตบมือ “พิษในยาขององค์หญิงคงต้องถามเขา” เขาชี้อู่เต๋อ “เขามองว่าเรื่องเฟยอีจากไปเป็นการหักหลัง ทั้งยังนำความแค้นนี้ไปด้วยตอนเกิดเป็นคน ถึงแม้จะรักองค์หญิงแต่ก็ไม่แน่ว่าต้องวางใจทั้งหมด ตอนองค์หญิงให้กำเนิดโอรส พอดีทางตะวันตกเฉียงเหนือมีข่าวว่าองค์หญิงกับบุตรชายของอาหญิงจะยกทัพเข้าตีเมือง จึงวางยาพิษเพื่อความมั่นคงของบัลลังก์”


“ภายใต้สถานการณ์แบบนั้น แน่นอนว่าทุกคนย่อมสงสัยข้ากับฮองเฮา เพราะข้ารู้ว่าเป็นเขาที่วางยาพิษ จึงเพิ่งตระหนักได้ว่าสิ่งที่ตนคิดอาจผิดไป หลังจากข้าหาความจริงได้แล้ว ก็กลัวว่าเฟยอีจะถูกเขาสังหารเพื่อเป็นการกำจัดข้า ดังนั้นจึงดึงดันพานางไป แต่ใครก็คาดไม่ถึง นางกลับยินดีตายแต่ไม่ยินยอมทำร้ายเขา”


มู่จิ่วไม่รู้จริงๆ ว่าจะพูดอะไรดี…


นางไม่เชื่อเลยว่าคนผู้หนึ่งจะดื้อดึงมาจนถึงขั้นนี้เพราะรักคนคนหนึ่ง


แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริงที่ชิงผิงกระทำเรื่องทั้งหมดเพราะเฟยอีจากไป และเพราะแรงกดดันจากการที่หลีหังปรักปรำเขา แต่ใครใช้ให้เขาใจแคบสังหารแม่เด็กไปเล่า? นี่ไม่ใช่หลีหังกดดันมา!


ชีวิตของเฟยอีช่างเหมือนละครโศกนาฏกรรม!


อู่เต๋อมองพื้นโดยไม่ขยับแม้แต่น้อย มุมปากมีเลือดไหลออกมา


“ทำไมข้าถึงทำร้ายนางได้?” เขาเปิดปาก เสียงหยาบฟังไม่ชัดเหมือนออกจากปากที่ขึ้นสนิม “แต่ไหนแต่ไรข้าไม่เคยคิดจะให้นางตาย ในฐานะเจ้าเค่อ ข้าต้องมองบัลลังก์เป็นเรื่องสำคัญกว่าเรื่องอื่น นั่นเพราะข้าเคยประสบความหมดหวังมาแล้ว และได้เห็นกับตาตนเองว่าตระกูลเจ้าถูกคนหักหลัง แต่ข้าอยากให้นางตายได้อย่างไร?”


“ตอนข้าเห็นนางครั้งแรกนางเพิ่งแปดขวบ กางแขนทั้งสองขวางทางไว้เรียกข้าว่าพี่เจ้า แล้วให้ข้าช่วยนางหยิบว่าวที่ติดอยู่บนยอดต้นไม้ ชาติก่อนเหมือนข้าติดค้างนาง ทั้งที่เห็นชัดว่ามีเรื่องอื่นสำคัญกว่าต้องไปทำ กลับรับปากนาง ข้าไม่อยากแต่งกับนางก็เพราะเจ้า ข้าระแวดระวังเจ้ามาตั้งแต่ต้น เหมือนกับที่ข้ามีความรู้สึกเหมือนเคยเจอนางกับเจาเอ๋อร์มาก่อน”


“ข้าไม่ยินยอมให้นางแต่งกับตัวเอง และอยู่ตรงกลางระหว่างความแตกแยกที่อาจจะเกิดขึ้นได้ระหว่างเจ้าและข้า ข้าหวังว่าสุดท้ายนางกับเจ้าจะจบลงได้ดี ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข แต่เจ้ายังส่งนางมาข้างกายข้า ข้าเหมือนกับถูกพิษ ไร้ซึ่งหนทางจะดึงตนเองออกมา แต่สุดท้ายเจ้าก็ยังพานางไป!”


“เจ้ามันเหมือนปีศาจร้าย พัวพันข้าเสียจนทั้งชีวิตยากที่จะสงบได้ เหมือนกับเอามีดค่อยๆ แล่เนื้อข้าออกมา เจ้ารู้หรือไม่?!”


“แต่ข้าไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้น…”


“หากไม่ใช่ เช่นนั้นทำไมหลังจากนางตายเจ้าต้องปล่อยวิญญาณนางไปจากโลกวิญญาณด้วย?!” อู่เต๋อสติแตก ความเจ็บปวดทำให้ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยว ทำให้คนเห็นแล้วทนไม่ได้ “ที่ข้าทำทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะว่าเจ้าปรักปรำข้า ทำลายชื่อเสียงข้า และไม่ใช่เพราะเจ้าทำให้ข้าสูญเสียนางในโลกมนุษย์ แต่เป็นเพราะว่าเจ้าปล่อยวิญญาณของนางไป ทำให้ตลอดชีวิตตลอดชาติภพของข้าไม่อาจได้พบเจอนางอีก!”


“ข้าปล่อยวิญญาณ?” หลีหังขมวดคิ้ว “ข้าไปทำแบบนั้นตอนไหน?”


“เจ้ายังคิดเล่นลิ้นอีกหรือ?” อู่เต๋อกัดฟันมองเขา “ข้าตามหานางทั้งบนฟ้าและพื้นพิภพมาสี่พันปี สุดท้ายหาจนรู้ว่าวิญญาณนางที่ถูกขังรอกลับไปเวียนว่ายตายเกิดถูกปล่อยออกไปแล้ว นอกจากเจ้ายังมีใครทำแบบนี้อีก? ขัดขวางข้ากับนางไม่หยุดไม่หย่อนเช่นนี้? ข้าเพียงแต่คิดจะใช้ชีวิตกับนางเท่านั้น เจ้าไม่สนใจ แต่ก็ไม่ยินยอมให้ข้าสมหวังเช่นกัน เจ้าบอกข้าสิ ข้าไม่ล้างแค้นเจ้าจะล้างแค้นใคร?”


บางทีอาจเป็นเพราะอัดอั้นมากไป น้ำตาจึงไหลลงมาตามใบหน้า


หลีหังก็นิ่งอยู่นานไม่ขยับ สุดท้ายจึงพูดออกมา “แต่ข้าไม่ได้ปล่อยนางไปแน่นอน! แม้แต่วิญญาณนางไปอยู่ที่ไหนข้ายังไม่รู้! ข้าไปหาเฒ่าจันทราเพื่อดูวาสนา ข้ากับนางไม่มีความเกี่ยวข้องกันอีก มีเพียงเจ้ากับนางที่ทุกชาติภพมีชะตาต้องกัน!”


อู่เต๋อยิ้มเยาะ “ในเมื่อเจ้าไปหาเฒ่าจันทรา มิใช่ว่ามีเหตุผลจะทำแบบนี้หรือ? ในเมื่อเจ้าเคยพานางไปจากข้างกายข้าด้วยตนเอง ข้ายิ่งไม่เชื่อว่าเจ้าเปลี่ยนได้ ไม่เชื่อว่าเจ้าไม่ใช่คนทำ!”


หลีหังไร้คำพูด


ทั้งวังล้วนเงียบไป


“เอาละ” ตอนนี้เอง อวี้ตี้ค่อยๆ พูดออกมา “ในเมื่อเรื่องราวกระจ่างแจ้งทั้งหมด อู่เต๋อก็ยอมรับความผิดตนแล้ว ถ้าเช่นนั้นก็ปิดคดี อู่เต๋อเจินจวินความผิดร้ายแรง ไม่เหมาะกับวิถีเซียน ใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น โทษมิอาจอภัย ให้ตัดรากฐานเซียนกลับไปเวียนว่ายตายเกิด ทุกชาติภพหนีไม่พ้นวงจรความทุกข์ระทม ส่วนหลีเปิงและพวกจำคุกสวรรค์ห้าร้อยปี”


…………………………………………………




บทที่ 127 นางมีผู้สนับสนุน!

โดย

Ink Stone_Romance

มู่จิ่วมองหลีหัง


ลงคำตัดสินไปแล้ว ทำไมนางถึงรู้สึกว่าหลีหังชายชั่วคนนี้สมควรได้รับบทลงโทษอะไรบ้างจึงจะถูกต้อง?


แต่นางเป็นเพียงพลทหารเล็กๆ ไม่กล้าให้คำแนะนำอวี้ตี้ จึงกระแอมกระไอพลางส่งสายตาหาราชาจิ้งจอก ราชาจิ้งจอกก็ไม่ถูกกับลัทธิฉ่านนัก นางจำแทนเขาได้อย่างชัดเจนว่าพวกจีหมิ่นจวินมาล่วงเกินที่ชิงชิวอย่างไร เขากับแรกพยับมีสัญญาสามเดือนกันอยู่ ยามนี้ก็มีเหตุผลที่จะปล่อยลัทธิฉ่านไปเปล่าๆ แล้วน่ะสิ?


ราชาจิ้งจอกเป็นใครกัน? ในใจได้คำนวณไว้นานแล้ว


ตอนนี้ผู้กระทำผิดตัวจริงถูกจับ แต่เรื่องที่เขาสังหารศิษย์ลัทธิฉ่านยังเป็นหนี้ค้างอยู่ที่วังโตวลวี่ ต่อไปไท่ซ่างเหล่าจวินสืบสวนขึ้นมา เขาก็ต้องเสียงอ่อนยอมรับอยู่ดีมิใช่หรือ?


ตอนนี้สายตานี้ของมู่จิ่วส่งไป ใจเขาพลันตื่นตัวขึ้นเล็กน้อย


ความหมายของเด็กสาวคนนี้ชัดเจนว่าไม่อยากปล่อยหลีหังไป พูดไปก็ใช่ ถ้าไม่ใช่เพราะหลายปีมานี้ลัทธิฉ่านอวดเบ่งขนาดนั้น และหลีหังไม่ว่าร้ายอู่เต๋อในตอนแรก อู่เต๋อจะเอาความกล้าจากไหนไปยุแหย่พวกตน? แต่ถึงเขาไม่สร้างความบาดหมางก่อน ไท่ซ่างเหล่าจวินก็สามารถอาศัยโอกาสนี้ก่อเรื่องได้ มิสู้ไว้หน้าพวกเขาก่อนสักเล็กน้อย ให้เรื่องนี้ผ่านไปก่อนค่อยว่ากัน!


อีกอย่างเบื้องหลังเด็กสาวคนนี้มิใช่มีขุนเขาอันยิ่งใหญ่หนุนหลังอยู่หรือ? มีเทพที่น่าเคารพคนนั้นอยู่ เขาจะกลัวอะไร!


เมื่อตัดสินใจได้แล้วจึงเดินไปอยู่ตรงหน้าบัลลงก์ของอวี้ตี้ พูดว่า “ฝ่าบาทโปรดช้าก่อน ตัวข้ายังมีเรื่องพูด”


อวี้ตี้ทำได้เพียงนั่งหลังตรง แล้วเอ่ย “ไม่ทราบว่าราชาจิ้งจอกมีเรื่องอะไร?”


ทั้งคู่ล้วนเคยอยู่ที่สวรรค์ชั้นสามสิบเก้า ตอนที่จิ้งจอกตนนี้ติดตามหนี่ว์วาเข้ามาในวังจิตกระจ่าง เขายังเคยเปิดประตูให้มาก่อน จึงต้องไว้หน้าอีกฝ่ายหลายส่วน


ราชาจิ้งจอกพูด “ข้าเห็นว่าเรื่องนี้ถึงแม้ความผิดเป็นของอู่เต๋อ แต่เมื่อสอบสวนข้อเท็จจริงก็เกี่ยวข้องกับที่หลายปีมานี้ลัทธิฉ่านก่อเรื่องจองหองเกินไป ปีนั้นอู่เต๋อไม่รู้ว่าเฟยอีมีสามีแล้วอย่างชัดเจน หลีหังคนนี้ทำไมถึงสามารถป้ายสีเขาสร้างเรื่องเท็จขึ้นมาได้? หากไม่มีการปรักปรำของหลีหัง บางทีอาจจะไม่มีเรื่องราวมากมายขนาดนี้ตามมา”


“ดังนั้นข้าคิดว่าอู่เต๋อมีความผิดควรลงโทษหนัก แต่ภายหลังหากสวรรค์ต้องการหลีกเลี่ยงเรื่องหายนะแบบนี้ ยังต้องจัดการวิมานหลีเฮิ่นให้เคร่งครัดต่อศิษย์ของตนจึงจะถูก อย่างน้อยหลีหังต้องได้รับโทษบ้างถึงจะยุติธรรม”


ไท่ซ่างเหล่าจวินได้ยินก็โกรธจัด


เจ้าจิ้งจอกตนนี้สังหารศิษย์ของเขามากมายขนาดนี้เขายังไม่คิดบัญชีด้วย แต่กลับทำเป็นพูดมีเหตุผลสร้างเรื่องให้เขา!


มีแบบนี้ที่ไหนกัน!


เขาเอ่ย “ถึงหลีหังจะมีความผิด แต่ก็ไม่หนักหนาเท่าชิงชิว ชิงชิวสังหารศิษย์ลัทธิฉ่านจำนวนมาก ฝ่าบาทโปรดให้ความยุติธรรมด้วย!”


ราชาจิ้งจอกพูดอย่างไม่เร็วไม่ช้า “ถึงแม้ชิงชิวของเราสังหารศิษย์ลัทธิฉ่านไปมาก ทว่าก็เป็นเพราะถูกคนหลอก แบบนี้จะโทษพวกเราได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้นนี่เป็นบุญคุณความแค้นระหว่างพวกเจ้ากันเอง แต่กลับทำให้จิ้งจอกเก้าหางของเราตายสองตัว พวกเราเป็นผู้บริสุทธิ์ตั้งเท่าไหร่? วันนี้ข้าไม่ร้องขอพวกเจ้าว่าต้องการคนคืน เพียงขอให้จัดการเรื่องภายในให้เรียบร้อย เป็นเหล่าจวินแต่กลับวางก้ามใหญ่โตเช่นนี้ ช่างทำให้คนยากจะยอมรับได้จริงๆ”


ไท่ซ่างเหล่าจวินจดจ่อกับการฝึกฝน ไหนเลยจะสู้ฝีปากของราชาจิ้งจอกได้?


ถึงแม้ในใจรู้ว่าระยะนี้ผู้ใต้บังคับบัญชาก่อเรื่องอย่างหนัก แต่ก็อดทำหน้านิ่งไม่ได้ จากนั้นสะบัดแขนเสื้อหมุนตัวจากไป


มู่จิ่วแอบยกนิ้วโป้งให้ราชาจิ้งจอก เขาก็ขยิบตาให้นาง


อวี้ตี้รู้สึกลำบากใจอย่างมาก จะว่าไปแล้วทุกคนล้วนเป็นสหายใกล้ชิดกัน แต่ตอนนี้กลับมาคะคานกันเอง เขาควรช่วยใครดีเล่า?


ยังเป็นหวังหมู่ที่มีไหวพริบ เห็นสถานการณ์แล้วก็หันไปพูดกับหลีหัง “เจ้าลองพูดซิว่าเรื่องนี้ควรทำอย่างไร?”


หลีหังมองอู่เต๋อคราหนึ่ง คุกเข่าลงพูด “ข้าน้อยยินดีรับโทษ”


หวังหมู่พยักหน้า ก่อนกล่าว “ในเมื่อหลีหังยินดีรับโทษ อย่างนั้นข้าให้เจ้ากลับไปวิมานหลีเฮิ่น พิจารณาความผิดตนเองสามร้อยปี เรื่องภาระหน้าที่ฝ่ายทหารช่วงนี้พักไว้ก่อน ไม่ว่าลัทธิฉ่านกำเริบเสิบสานอย่างที่ราชาจิ้งจอกพูดหรือไม่ ให้เหล่าจวินกลับไปตักเตือนเหล่าศิษย์ หากผิดให้แก้ไข หากไม่ให้เข้มงวด แต่ทางชิงชิว ราชาจิ้งจอกก็ควรสำนึกผิดเช่นกัน เพราะไม่แยกแยะถูกผิดจึงไล่สังหารคนมิใช่หรือ?”


นางต้องการให้ทั้งสองรับโทษเหมือนกัน เหล่าจวินก็ไม่เหมาะจะพูดอะไร ด้วยรู้ว่าความจริงอวี้ตี้เป็นผู้เชื่อฟังภรรยา อีกอย่างไม่ว่าเขาไท่ซ่างเหล่าจวินฐานะสูงส่งขนาดไหน อย่างไรอวี้ตี้คนนี้หงจวินเหล่าจู่ก็เป็นผู้ผลักดันให้เป็นกษัตริย์ เขาจะกล้าหาญชาญชัยหักหน้าของอาจารย์ตนได้หรือ ดังนั้นจึงลงเอยแบบนี้ “เหนียงเหนียงปรีชาสามารถ หลีหังควรพิจารณาตนเอง”


ส่วนราชาจิ้งจอกเมื่อเห็นว่าเป้าหมายในการตบหน้าลัทธิฉ่านสำเร็จแล้ว จึงละเว้นเรื่องที่วิมานหลีเฮิ่นมาก่อเรื่องยังชิงชิวเพราะเหตุนี้ หวังหมู่ให้เขาสำนึกผิดอย่างไร เขาก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจแต่แรก


อวี้ตี้เห็นว่าเรื่องราวจบแล้ว จึงผ่อนคลายลงได้ ชี้พวกเขาพลางพูด “หากไม่มีเรื่องอะไรแล้ว หน่วยลาดตระเวนหลิวจวิ้น เจ้าพากลุ่มคนเหล่านี้ไปที่เขาราชาเพลิงเพื่อยืนยันสิ่งของที่หายไป”


ทั้งวังคุกเข่าลงร้องทรงพระเจริญ


อู่เต๋อรู้สึกสิ้นหวัง เขาทำความเคารพไปทางบัลลังก์ แล้วพูด “ข้าผู้กระทำผิดขอฝ่าบาทช่วยอนุเคราะห์ หากภายภาคหน้ามีร่องรอยของเฟยอี ได้โปรดให้นางกับข้าได้พบหน้ากันสักครั้ง”


อวี้ตี้เอ่ยหน้านิ่ง “เจ้าพบแล้วจะมีประโยชน์อะไร…”


พูดยังไม่ทันจบก็โดนเสียงกระแอมไอของหวังหมู่เหนียงเหนียงขัด หวังหมู่พูด “อู่เต๋อแม้จะมีความผิด แต่เรื่องรักลุ่มหลงนี้ก็ทำให้คนตื้นตัน คนที่เหมือนเจ้ามีไม่มากนัก ข้าอนุญาต ถือว่าเป็นต้นแบบให้บุรุษทั้งบนสวรรค์และพื้นพิภพเอาแบบอย่าง แต่ที่เจ้าแก้แค้นคืนกลับไม่ถูกต้อง หวังว่าหลังจากเจ้าเกิดเป็นคนแล้วจะกลับตัวกลับใจทำตัวดี”


หลังพูดจบนางเหลือบมองอวี้ตี้ ไม่รู้ทำไมใบหน้าขาวของอวี้ตี้จึงพลันแดงเรื่อขึ้นมา


คดีจึงปิดลงแบบนี้


หลังจากอวี้ตี้หวังหมู่กลับวัง เหล่าเซียนก็แยกย้ายกันไป


เหล่าเทพเซียนส่วนใหญ่ยังคงจมอยู่ท่ามกลางบุญคุณความแค้นของอู่เต๋อกับหลีหัง สวรรค์ไม่มีนิยายและละคร บางทีเรื่องซุบซิบนี้อาจจะทำให้พวกเขาพูดนานสักหน่อย


อู่เต๋อตัดรากฐานเซียนกลับไปเวียนว่ายตายเกิด ทุกชาติภพไม่มีความหวังจะขึ้นมาเป็นเซียน แต่มู่จิ่วคิดว่า บางทีสำหรับเขาแล้วเป็นเซียนหรือเป็นคนล้วนไม่ต่างกัน สิ่งที่เขาใส่ใจมาแต่ต้นคือเฟยอี ความรักลุ่มหลงของเขามีค่าอย่างแน่นอน แต่นิสัยใจคอคับแคบและหยิ่งยโสของอู่เต๋อกลับทำให้คนยากจะคาดหวังกับอนาคตของพวกเขา


แต่เดิมนี่ควรเป็นเรื่องที่สมบูรณ์พูนสุข รักกันแล้ววุ่นวายเหนื่อยยากขนาดนี้ แบบนั้นมิสู้ไม่รักจะดีกว่า


มู่จิ่วมองอู่เต๋อถูกมัดออกไปจึงค่อยก้าวเท้าออกจากวัง ไม่ทันระวังเงยหน้าขึ้นเห็นหลีหังยืนเงียบๆ อยู่ที่ริมธรณีประตู


สายตาของหลีหังมองอยู่บนแผ่นหลังของอู่เต๋อตลอด ท่าทางดูแคลนไม่เห็นอยู่ในสายตาเมื่อครู่ กลับกลายเป็นอ้างว้าง


นี่ทำให้มู่จิ่วคิดถึงสีหน้าของเขาตอนอู่เต๋อพูดว่าวิญญาณของเฟยอีถูกปล่อยไปแล้ว ตอนนั้นเขาประหลาดใจ ทั้งยังมีความรู้สึกอ้างว้างเหมือนกับตอนนี้ หรือเขาจะไม่รู้จริงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น? แต่อู่เต๋อพูดถูก หากไม่ใช่เขาปล่อยไป จะเป็นใครได้อีก?


ตอนนางกำลังกลัดกลุ้มเพราะสงสัย หลิวจวิ้นเดินเข้ามา “เจ้ายืนอึ้งทำอะไรอยู่?”


“ข้ากำลังคิดว่าเฟยอีไปไหน” นางเอ่ยแล้วทอดถอนใจ


…………………………………………………




บทที่ 128 เกิดเรื่องอีกแล้ว!

โดย

Ink Stone_Romance

หลิวจวิ้นมองอู่เต๋อที่เดินออกไปไกลแล้ว พลางพูด “ในหน่วยก็มีวิธีการของหน่วย เรื่องที่เจ้าไม่ต้องสืบต่อก็ไม่ต้องสืบต่อ คดีนี้เจ้าทำได้ดีมาก ข้าเห็นเหนียงเหนียงมองเจ้าอยู่หลายครั้ง กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ อีกไม่นานข้าจะเสนอเรื่องเลื่อนตำแหน่งกับฝ่ายทหารให้เจ้า กลับไปบอกข่าวดีแก่คนที่บ้านก่อนไป”


“รับทราบเจ้าค่ะ” มู่จิ่วฉีกยิ้มพูด “นี่ไม่ใช่ผลงานของข้าคนเดียว ทุกคนต่างก็มีส่วนรวม”


หลิวจวิ้นพยักหน้า เห็นท่าทางเงียบๆ ของนางก็อดไม่ได้ถาม “เจ้ามีเรื่องอะไรในใจ?”


มู่จิ่วขมวดคิ้ว “ข้าเพียงคิดว่าหากมีคนรู้ร่องรอยของเฟยอีก็คงดี” อย่างไรนักโทษก่อนโดนประหารยังได้กินข้าวก่อน อู่เต๋อทำเรื่องเหล่านี้เพราะเฟยอี หากให้เขาพบนาง เกรงว่าจะสามารถสงบใจเขาได้


“เรื่องมาก” หลิวจวิ้นค้อนนาง “หากมีกำลังเหลือมิสู้คิดว่าจะเขียนปิดคดีนี้อย่างไรยังดีกว่า”


มู่จิ่วเดินลงขั้นบันไดตามเขา “ข้าเพียงรู้สึกว่า ชิงผิงซิงจวินแบกความแค้นกลับไปเวียนว่ายตายเกิด ดังนั้นภายหลังจึงมีความสัมพันธ์ยุ่งเหยิงมากมายจนทำให้เกิดผลแบบวันนี้ขึ้น สวรรค์มีเทพเซียนมากขนาดนี้ หากสามารถตามหาเฟยอีก่อนอู่เต๋อกลับไปเวียนว่ายตายเกิด ให้เขาได้สงบใจก่อนไป บางทีภายหลังเขาคงไม่ดึงดันขนาดนี้แล้ว”


“ยังมีเรื่องสำคัญที่สุดคือวิญญาณของเฟยอีทำไมถึงหายไป? ใต้เท้าไม่สงสัยเลยหรือ?”


หลิวจวิ้นยิ้มเยาะพูด “ไม่ว่าจะเป็นหลีหังปล่อยไปหรือนางไปเอง สรุปคือภายหลังนางก็ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องดีหรอกหรือ? แล้วเจ้ากังวลเรื่องอู่เต๋อทำไม เจ้าไม่เห็นหรือว่าเขามนุษยสัมพันธ์ดีเพียงนั้น? ไปโลกมนุษย์ยังไงก็ต้องมีคนดูแลเขา”


“แต่ละคนก็มีชะตาชีวิตของตนเอง ไม่ใช่ทุกเรื่องที่เราสามารถช่วยได้ และไม่ใช่ว่าเราต้องช่วยทุกเรื่องด้วย อยู่หน่วยลาดตระเวนต้องเข้าใจสองเรื่อง หนึ่ง เรื่องที่ควรยุ่งก็ต้องยุ่ง สอง เรื่องที่ไม่ควรยุ่งต้องไม่ยุ่งอย่างเด็ดขาด มิฉะนั้นแล้วเจ้าจะไม่มีทางโงหัวขึ้นได้ตลอดไป เข้าใจหรือไม่?”


มู่จิ่วนิ่งเงียบไปนานถึงพยักหน้า “เจ้าค่ะ”


บางทีเขาอาจพูดถูก เรื่องที่อู่เต๋อไร้หนทาง นางยิ่งไม่มีหนทางแน่


ถึงแม้ลู่ยาจะสามารถทะลุฟ้าทะลวงผืนดินได้ แต่นางไม่คิดว่าการไปร้องขอให้เขาช่วยทุกเรื่องจะเป็นความคิดที่ดี


ไม่มีใครชอบการเอาเปรียบโดยอาศัยความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันหรอกจริงไหม?


แต่ละคนมีชะตาชีวิตของตนเอง ไปอย่างไร ไปที่ไหน ต้องพึ่งตนเอง เหมือนกับหลินเจี้ยนหรู ไม่ว่าเขาจะพยายามอย่างไร ก็เหมือนหนีไม่พ้นชาติกำเนิดของตนเอง


เมื่อออกมาถึงลานกว้างนอกวัง หลิวจวิ้นกับซ่างกวนสุ่นพาคนไปที่ยอดเขาราชาเพลิงเพื่อไปหยิบของวิเศษ แต่มู่จิ่วมุ่งไปทางหอวิหคแดง


เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เป็นธรรมดาที่ทั้งโลกเซียนจะตื่นตกใจ ตลอดทางรอบตัวล้วนวิพากษ์วิจารณ์ มีคนเข้าๆ ออกๆ ค่ายทหารสวรรค์ไม่หยุดหย่อน ส่วนใหญ่ต่างตกใจว่าผู้กระทำผิดเป็นอู่เต๋อเจินจวินผู้สง่างามไปได้อย่างไร ส่วนเรื่องที่คดีนี้คลี่คลายได้ด้วยวิธีไหนกลับไม่มีใครสน


มู่จิ่วเพิ่งเข้าหอวิหคแดงอาฝูก็เดินยืดอกตรงมา เสี่ยวซิงก็ล้อมเข้ามาอย่างดีอกดีใจ ดูเหมือนทุกคนจะรู้เรื่องแล้ว


ทางลานจื่อหลิงคึกคักดีใจย่อมไม่จำเป็นต้องบรรยาย ส่วนหลินเจี้ยนหรูที่ลาดตระเวนอยู่บริเวณหลัวอีได้ยินคำสรรเสริญข่าวเรื่องคดีใหญ่ชิงชิวถูกคลี่คลายแล้วก็ยกริมฝีปากขึ้นโดยไม่รู้ตัว เขารู้นานแล้วว่ามู่จิ่วต้องทำสำเร็จ ถึงแม้ความคิดนางจะใสซื่อบริสุทธิ์ แต่กลับหนักแน่นและกล้าหาญ คนแบบนี้สวรรค์ต้องส่งเสริม


แต่เมื่อคิดดูอย่างละเอียดเขากลับสงสัย ถึงแม้นางจะมีลู่ยากับซ่างกวนสุ่นร่วมทำคดีด้วย แต่ไม่มีเหตุผลเลยที่ในเวลาไม่ถึงสองเดือนดีก็คลี่คลายคดีได้แล้ว? ตอนนั้นหลิวจวิ้นบอกให้เวลาสามเดือนเขายังรู้สึกว่าสั้นไปเลย


แต่ไม่ว่าอย่างไร นางสามารถคลี่คลายคดีได้ก็เป็นเรื่องดีมาก


ทว่าต่อไป ควรจะถึงเวลาที่แรกพยับกับชิงชิวชำระหนี้กันแล้ว ในเมื่อมู่จิ่วกับลู่ยาสัญญาว่าจะไม่พูดเรื่องหลินเจี้ยนหรูออกไป ดังนั้นตัวนางเองต้องไม่พูดแน่ แต่ถึงแม้นางสามารถรักษาความลับให้เขาได้ เขาจะปลอดภัยจริงหรือ?


เขาไม่ลืมว่ายังมีเหลียงชิวฉาน ถึงแม้ตอนนี้จะปิดปากนางได้ กลับไม่เป็นการยืนยันว่าจะยับยั้งไว้ได้ หากชิงชิวไม่รับความผิด สุดท้ายวุ่นวายมาถึงสวรรค์ แบบนั้นไม่ว่าอย่างไรเขาก็เก็บงำไว้ไม่อยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเรื่องที่เขาเลื่อนขั้นเซียนถึงสองขั้น เพียงรู้ว่าพลังของเขากล้าแข็งขึ้น เลื่อนขั้นขึ้นมาอย่างมาก คนของแรกพยับย่อมต้องสงสัยแน่


แต่เดิมเข้าใจว่าคดีนี้ต้องรออีกเดือนถึงจะคลี่คลาย เขายังมีเวลาคิดหาวิธีได้ ตอนนี้ดูแล้วเขาคงต้องรีบหาทางโดยเร็ว


อย่างน้อยต้องหาทางยับยั้งไม่ให้แรกพยับไปก่อเรื่องที่ชิงชิว


คิดได้ดังนี้จึงหมุนตัวกลับไปยังหอวิหคแดง


วันนี้เสี่ยวซิงทุ่มเทแรงกายทั้งหมดทำอาหารทั้งโต๊ะขึ้นมา!


อิ่นเสวี่ยรั่วยังตั้งใจซื้อเหล้ากุ้ยฮวามาเพื่อแสดงความยินดี ซ่างกวนสุ่นไปเอาของวิเศษที่เขาราชาเพลิง ตอนกลางวันจึงมีเพียงพวกเขาห้าคนกินข้าว


ถ้าไม่รวมเรื่องของเฟยอี มู่จิ่วยังรู้สึกยินดีมาก เพราะนี่คือคดีแรกที่นางทำ และยังทำสำเร็จอย่างสวยงามด้วย อย่างไรก็ต้องปิดประตูโอ้อวดกันสักหน่อย


แน่นอนว่าขั้นตอนเหล่านี้ขาดความช่วยเหลือของทุกคนไปไม่ได้ ดังนั้นนางจึงดื่มเหล้าให้พวกเขาไม่หยุด กระทั่งรินให้อาฝูครึ่งถ้วย


กำลังยกถ้วยสุราขึ้นเตรียมพูดยินดี ประตูลานพลันเปิดออก ซ่างกวนสุ่นพุ่งเข้ามาราวกับดาวตก ก่อนพูด “เกิดเรื่องแล้ว! ของวิเศษในถ้ำทั้งหมดหายไป!”


เหล้าเพิ่งลงคอมู่จิ่วไป เพียงได้ยินสิ่งที่พูดก็สำลักจนน้ำตาไหล


“เจ้าพูดอะไรนะ? อะไรหายไป?”


“ของวิเศษที่พวกเราพบในถ้ำเมื่อวาน! หายไปทั้งหมด! แม้แต่ชิ้นเดียวก็ไม่เหลือ!” ซ่างกวนสุ่นร้อนใจจนกระทืบเท้า “ที่แปลกประหลาดคือผนึกที่ประตูไม่ถูกแตะต้องแม้แต่น้อย แต่ของวิเศษหายไปหมด!”


มู่จิ่วตื่นตระหนกจนสร่างเมา!


“ของวิเศษหายไป?!”


นี่เป็นไปได้อย่างไร? ชัดเจนว่านาง หลิวจวิ้น และซ่างกวนสุ่นสามคนไปจับหลีเปิง จากนั้นก็ติดแผ่นผนึกไว้ ผนึกของค่ายทหารสวรรค์อวี้ตี้ล้วนประทับตราไว้และกำกับด้วยเวทชั้นสูงสุดของเซียน ถ้าไม่ใช่คนในค่ายทหารไปปลดผนึกออก ของจะหายไปโดยไร้ร่องรอยได้อย่างไร?


“ไปดูกัน!” ลู่ยาวางถ้วยสุราลง นำออกประตูไปก่อน มู่จิ่วกับอิ่นเสวี่ยรั่วตามไปด้านหลัง เสี่ยวซิงกับอาฝูก็นั่งไม่ติด ทำได้เพียงตามพวกเขาออกไปด้วย!


กลุ่มคนขี่ลมไปถึงยอดเขาราชาเพลิง เวลานี้หลิวจวิ้นยืนตะโกนโหวกเหวกอยู่ที่เดิม คนของชิงชิวช่างไม่เปลี่ยนนิสัยทะนงตน ตะโกนเสียงดังเป็นที่สุด “นี่ต้องเป็นอู่เต๋อทำ! เขาเป็น­ขุนนางชั้นสูงของทัพทหารสวรรค์ สามารถปลกผนึกย้ายของวิเศษได้!”


ถึงแม้หลิวจวิ้นจะเคารพราชาจิ้งจอก ทว่าได้ยินคำนี้ก็อดพูดไม่ได้ “แต่ที่สำคัญคือผนึกไม่มีการเคลื่อนไหว และผนึกของทัพทหารสวรรค์ต่างคนต่างผนึก ต่างคนต่างใช้ จึงไม่มีเรื่องที่ผู้บังคับบัญชาของหน่วยอารักขาพู่เหลืองปลดผนึกของหน่วยลาดตระเวนของข้าได้!”


มู่หรงหลิวเย่เห็นพวกมู่จิ่วก่อน จึงรีบเข้าไปทักทาย “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น?”


มู่จิ่วมองเห็นประตูถ้ำที่เปิดกว้างอยู่ไม่มีปฏิกิริยาอะไรจริงๆ ก็อึ้งจนพูดไม่ออกเช่นกัน!


…………………………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)