ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา 1159-1167
บทที่ 1159 ควรหมั้นหมายได้แล้ว
หลังเจาะรูเสร็จแล้ว อาร์ม็องตัดพื้นแก้วออก ผลของช่องลมและตะแกรงค่อนข้างทรงพลัง ไม่ต้องพัด อากาศที่ไหลผ่านก็พอใช้แล้ว
ถัดมาเขาเอาแก้วขนาดกลางขึ้นมา เจาะรูขนาดสิบหกเซนติเมตรหนึ่งรูด้านใต้ที่เปลือกนอก ทดลองเอาชั้นข้างในใส่ลงไป จากนั้นก็ติดตั้งแล้วเอาออก พยักหน้าให้ฉินสือโอวหลังรู้สึกว่าไม่มีปัญหา ฉินสือโอวเองก็พยักหน้าให้เขากลับ ส่วนที่ว่าพยักหน้าอะไรนั่น เขาก็ไม่รู้แล้ว
แน่นอนว่าแก้วขนาดยี่สิบเซนติเมตรเอามาใช้ทำเปลือกนอก ด้ามจับของแก้วใบนี้ อาร์ม็องตั้งใจเก็บเอาไว้ เขาจับด้ามจับแล้วยกแก้วขึ้นมา แล้วบอกว่า “คุณดูสิ แบบนี้วันหลังตอนที่จะเคลื่อนย้ายเตาก็ยิ่งปลอดภัย ไม่ใช่เหรอ?”
ฉินสือโอวถามอย่างสงสัยว่า “ผมอยากรู้ว่าอุณหภูมิเตาสูงขนาดนั้น จะไม่ร้อนจนทำลายพลาสติกป้องกันด้านนอกด้ามจับเหรอ? และถ้าหากไม่มีพลาสติกป้องกัน งั้นการส่งถ่ายความร้อนเวลาที่ใช้เตา อุณหภูมิของด้ามจับก็จะสูงขึ้นตาม อุณหภูมิสูงขนาดนั้นใครจะกล้าแตะต้องมัน?”
อาร์ม็องอึ้งนิดๆ หลังจากนั้นเขาก็เอ่ยอย่างใจเย็นว่า “ไม่ ชั้นปกป้องของด้ามจับไม่ได้เสียหายง่ายขนาดนั้น”
ฉินสือโอวสงสัยในเรื่องนี้เลยกล่าวว่า “แต่คุณบอกไม่ใช่เหรอว่า อุณหภูมิของเปลวไฟที่เกิดจากการเผาไหม้ก๊าซไม้จะสูงกว่าก๊าซธรรมชาติ ก๊าซเหลวต่างๆ? งั้นอุณหภูมิคงสูงน่าดู ต้องร้อนจนทำให้ด้ามจับเสียหายแน่”
อาร์ม็องมองดูเขา แล้วบอกว่า “คุณรู้ไหม ลูกศิษย์ของผมต่างก็สอบผ่านการสอบปลายภาคหมดเลย”
ฉินสือโอวไม่เข้าใจว่าเขาบอกเรื่องนี้ทำไม จึงถามอย่างแปลกใจว่า “ทำไมล่ะ? การสอบปลายภาคของพวกคุณคือการทำเตาฟืน DIY อย่างไรเหรอ?”
อาร์ม็องส่ายหัวกล่าวว่า “ไม่ นั่นเป็นเพราะว่าพวกเขาจะไม่เถียงผม ผมว่าอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น!”
ฉินสือโอวหัวเราะชอบใจ ถ้าหากทำได้ เขาอยากจะปล่อยหู่จือและเป้าจือมากัดเจ้าหมอนี่เสียจริง
นี่ก็ไม่มีจะอะไรต้องเถียงกัน เตาอันนี้ ก็แค่อาร์ม็องสอนฉินสือโอวทำ ความจริงแล้วเนื้อสเตนเลสไม่ค่อยทนทาน อุณหภูมิที่เกิดจากการเผาไหม้ก๊าซไม้ เผาสักสิบกว่าครั้งเตานี้ก็เสียแล้ว หลังจากเขาทำเป็นแล้วจะใช้โลหะผสมไทเทเนียมมาทำใหม่
แก้วขนาดสิบแปดเซนติเมตรยังจะต้องทำการเจาะรูรอบๆ และบริเวณด้านใต้ เพราะว่ามันจะเป็นช่องเตาเผาของเตาไฟ หลักๆ ที่จะใช้สุมไฟ การระบายอากาศจำเป็นจะต้องเพียงพอ
หลังจากทำโครงออกมาแล้ว อาร์ม็องก็ทำการปรับแต่งรายละเอียด และเพราะรายละเอียดพวกนี้ ทำให้ผลงานที่ได้ในตอนสุดท้ายแล้วจะไม่เหมือนกัน
ทั้งสองคนทำมาสองชั่วโมงกว่า เตาฟืนหนึ่งอันที่วิบวับก็ทำเสร็จ เตาเล็กเป็นสีเงินวาว มีเส้นโค้งตามแก้วน้ำใหญ่ อาร์ม็องจับด้ามจับยกแก้วขึ้นมา แล้วพูดอย่างภูมิใจว่า “เป็นอย่างไร นี่เป็นผลงานศิลปะใช่หรือเปล่า?”
ฉินสือโอวชื่นชมว่า “พวกคุณคนฝรั่งเศสนี่เก่งจริงๆ ทำเตาสักอันยังสามารถทำให้เป็นผลงานศิลปะได้อีก”
แน่นอนว่าคำพูดนี้เป็นคำสรรเสริญเสียส่วนใหญ่ ที่จริงแล้วก็แค่รูปทรงแก้วน้ำเท่านั้น จะมีความงดงามอะไรกัน?
อาร์ม็องที่ถูกเขาชื่นชมก็เหลิง เขาเอาแก้วน้ำวางไว้ตรงหน้าฉินสือโอวแล้วกล่าวว่า “คุณดูสิ ของสิ่งนี้หลอกลวงแค่ไหน? วันหลังถ้าเพื่อนคุณมาเที่ยว คุณสามารถจุดฟื้นไม้ก่อน จากนั้นก็เอาไปวางตรงหน้าพวกเขา ชวนพวกเขาดื่มชาร้อน รอให้พวกเขาเปิดฝาออก คุณว่ามันจะเป็นอย่างไร?”
ฉินสือโอวมองดูหนุ่มหล่อฝรั่งเศสอย่างอึ้งๆ อีกคนหัวเราะชอบใจว่า “น่าตกใจใช่หรือเปล่า?”
ไม่ มันโง่มาก นี่นายกลัวว่าตัวเองจะมีเพื่อนเยอะเกินไปเหรอ คุณชายฉินบ่นในใจเงียบๆ
เตาฟืนทำเสร็จเรียบร้อย ต่อมาก็คือลองจุดไฟ อาร์ม็องใส่ฟืนไม้เข้าไปข้างใน จากนั้นเทแอลกอฮอล์นิดหน่อยเพื่อจุดไฟ หลังจากจุดไฟแล้วเริ่มแรกเปลวไฟฟืนไม้ไม่แรง แต่พอไม้ยิ่งไหม้ไฟก็ยิ่งแรง
แม้ว่าไม่มีอุปกรณ์เพิ่มแรงดันอื่นแท้ๆ สิ่งนี้กลับสามารถทำให้เปลวไฟพ่นออกมาข้างนอกได้ สามารถเห็นได้ชัดว่าก๊าซไม้ลอยขึ้นได้เร็วแค่ไหน และปล่อยพลังงานร้อนได้รุนแรงแค่ไหน
น้ำเย็นของกล่องอาหารทหาร ใช้เพียงแค่สี่นาทีก็ต้มจนเดือดแล้ว อาร์ม็องเอากล่องอาหารลงมา จากนั้นให้ฉินสือโอวมองฟืนไม้ข้างใน “เพิ่งจะไหม้ไปไม่ถึงครึ่ง สุดยอดไปเลยใช่ไหม? ฟืนไม้ที่เหลือ ยังสามารถต้มซุปให้คุณดื่มได้อีกนะ”
หลังจากนั้นอาร์ม็องยังทดลองให้ฉินสือโอวดูอีกอย่าง เขาใส่น้ำเข้าไปใหม่ จากนั้นก็ใส่ฟืนไม้ที่ชื้นเข้าไปในเตา ซึ่งเป็นกิ่งไม้ที่เพิ่งหักลงมาจากต้นไม้ ปรากฏว่าไฟจะอ่อนลงเล็กน้อย แต่ยังคงลุกโชนอยู่เหมือนเดิม
นี่ก็คือหนึ่งในข้อได้เปรียบใหญ่สุดของเตาฟืน เงื่อนไขต่อวัตถุดิบไม่สูง ขอเพียงเริ่มไหม้ขึ้นมาก็พอแล้ว
สุดท้าย รอจนเปลวไฟมอดลง อาร์ม็องก็เทขี้เถ้าที่กลายเป็นขี้เถ้าไม้ไปหมดแล้ว เขาบอกว่า “การเผาไหม้เพียงพอมากใช่หรือเปล่า? ดูสิ เจ้าสิ่งนี้รักษาสิ่งแวดล้อมขนาดนี้ ใช้เตาแบบนี้ดีกว่าเตาแก๊สฟางเยอะมากเลย ไม่ใช่เหรอ?”
ฉินสือโอวหยักหน้าบอกใช่ จากนั้นก็มองดูเตาว่า “ตอนนี้ยิ่งเหมือนผลงานศิลปะแล้ว พี่เขย คุณสุดยอดมากเลย”
อาร์ม็องยิ้มเขินๆ เตาฟืนดำง่าย ต้มน้ำแค่สองกา เปลือกนอกสีเงินวาวของเตาก็เปลี่ยนเป็นสีดำสนิทขึ้นมา เหมือนกับภาพว่านามธรรมชื่อดังอย่างไรอย่างนั้น
แต่ไม่ว่าอย่างไร ฉินสือโอวก็ได้เข้าร่วมในการทำเตาฟืน แน่นอนว่างานของเขาก็แค่ส่งประแจ ไขควง มีดตัดต่างๆ แต่ส่วนที่มีค่าคือ เขาเรียนการทำเตาฟืนสำเร็จแล้ว ดังนั้นเขาสามารถทำเองได้แล้ว
หลังได้เตาฟืน ฉินสือโอวก็เอาไปแสดงให้ทุกคนดูอย่างได้ใจ พ่อแม่ของฉินสือโอวเห็นภาพนี้ อยู่ๆ ก็หวังว่าลูกนั้นจะได้ดิบได้ดี ลากเขามาคุย “ลูกเป็นพ่อคนแล้ว ทำไมถึงยังทำตัวเป็นเด็กล่ะ? ทำเตาขนาดเล็กแบบนี้ทำไมกัน? เป็นสิ่งที่คนเป็นพ่อควรเล่นเหรอ?”
วินนี่รีบช่วยสามีพูด “พ่อแม่คะ เสี่ยวโอวไม่ได้ทำเตาแบบนี้เป็นของเล่น มันมีคุณสมบัติที่ดีมาก วันหลังตอนขึ้นเขาพวกเราก็ไม่ต้องพกเชื้อเพลิงไปแล้ว มีเตาอันนี้แล้วบนเขานอกจากจะมีก้อนหินและน้ำแล้ว อย่างอื่นยังสามารถเป็นเชื้อเพลิงได้อีกนะคะ”
พ่อของฉินสือโอวถอนหายใจ แล้วบอกว่า “คุณดูสิ คำพูดเดียวกัน วินนี่พูดออกมาก็ไม่เหมือนกัน”
แม่ของฉินสือโอวบอกว่า “วินนี่โตกว่าเสี่ยวโอวมาก ถือว่าเสี่ยวโอวมีบุญที่หาภรรยาที่ดีแบบนี้เจอ”
ฉินสือโอวหัวเราะไม่ออกร้องไห้ก็ไม่ได้ ผมก็แค่ทำเตา DIY ก็บอกว่าผมเป็นเด็ก? ความคิดของพ่อแม่คนจีนดั้งเดิมแบบนี้ เตาแบบนี้เป็นของที่ผู้ใหญ่เขาเล่นในเมืองนอกต่างหาก
แต่ว่าเขาเป็นลูกกตัญญู ไม่มีทางเถียงกับพ่อแม่ เพราะว่าเขาเข้าใจ เถียงกันขึ้นมาเขาก็ไม่มีทางชนะ เพราะว่าความคิดของพ่อและแม่ของฉินสือโอวไม่ได้อยู่ในมิติเดียวกัน
พ่อและแม่ของฉินสือโอวยิ่งบ่นมากขึ้น วินนี่อาศัยการแสดงออกเล็กๆ ในนั้น ทำให้คนแก่ทั้งสองยิ่งพอใจเธอ แล้วเริ่มหันไปชมวินนี่
ชื่นชมสักพักรอจนวินนี่จากไป พ่อของฉินสือโอวลากเขาไปคุยว่า “มาพักผ่อนทางนี้ก็สักพักแล้ว น่าจะคุยเรื่องสำคัญได้แล้ว งานหมั้นและงานแต่งของลูกกับวินนี่ควรจะกำหนดได้แล้ว คนแคนาดามีกฎอะไรหรือเปล่า?”
ฉินสือโอวเอ่ย “วันพรุ่งนี้พ่อกับพ่อแม่ของวินนี่จะเจรจากัน พวกคุณพ่อตกลงกันเองเถอะ ผมกับวินนี่วันไหนก็ได้”
แม่ของฉินสือโอวกลอกตาใส่เขา แล้วพูดว่า “พูดเหลวไหล งานหมั้นกับงานแต่งเป็นวันสำคัญ จะกำหนดไปเรื่อยได้อย่างไร?”
บทที่ 1160 แขกคือใครบ้าง
ใช่แล้ว ไม่ว่าประเทศไหน การแต่งงานก็เป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตทั้งชีวิต แน่นอนว่างานแต่งงานจึงต้องจัดในวันฤกษ์ดี
ครั้งนี้ฉินสือโอวหมั้นกับวินนี่ก่อน ยังไม่จัดงานแต่ง ดังนั้นวันที่กำหนดจึงเป็นวันหมั้นก่อน
คุณพ่อและคุณแม่ของฉินสือโอวยังไม่ค่อยเข้าใจอะไรสักเท่าไร เพราะที่บ้านเกิดของพวกเขายังไม่เคยมีใครแต่งงานกับลูกสะใภ้ชาวต่างชาติ อีกทั้งหลังจากที่มาแคนาดาสองถึงสามครั้ง ผู้สูงอายุทั้งสองก็ได้เรียนรู้ว่าประเพณีของชาวต่างชาติก็แตกต่างกันเช่นกัน
พอนั่งด้วยกัน พ่อฉินก็เริ่มพูดเรื่องงานหมั้น และถามแม่ของวินนี่ว่าต้องการสินสอดของหมั้นเท่าไร
มิแรนดาตะลึงและพูดด้วยความงุนงงว่า “สินสอดอะไรคะ? คือคุณหมายความว่างานหมั้นต้องใช้เงินเท่าไรเหรอคะ? เรื่องนี้อยู่ในแผนงานของพวกเราแล้ว พวกคุณวางใจเถอะ”
นี่ก็คือความแตกต่างทางวัฒนธรรม ฉินรีบอธิบายให้คุณพ่อคุณแม่ฟังว่า งานหมั้นไม่จำเป็นต้องมีสินสอดให้ฝ่ายหญิง เขาแค่เตรียมแหวนคู่หนึ่งก็พอ นอกจากนี้แล้ว ตลอดพิธีงานหมั้น พวกเขาทั้งสองคนไม่ต้องออกเงินใดๆ แค่ยินดีไปกับงานหมั้นก็พอ
พ่อฉินรู้สึกเหลือเชื่อจึงพูดขึ้นว่า “พวกเราไม่ต้องใช้จ่ายอะไร ก็สามารถแต่งวินนี่ผู้หญิงที่ดีขนาดนี้เข้าบ้านได้แล้วเหรอ?”
แม่ฉินสงสัยจึงถามขึ้นมาว่า “น่าจะแค่งานหมั้นที่ไม่มีค่าใช้จ่ายใช่ไหม? งานแต่งพวกเราเป็นเจ้าภาพใช่ไหม? แต่แบบนี้ก็ไม่ค่อยดีอยู่ดี มีที่ไหนให้ฝ่ายหญิงออกเงินจัดงานหมั้น?”
ฉินสือโอวตอบว่า “นี่เป็นเพราะประเพณี ไม่ใช่แค่งานหมั้นนะครับ งานแต่งทางฝ่ายคุณพ่อคุณแม่ของวินนี่จะเป็นผู้รับผิดชอบเช่นกัน”
ปู่ของวินนี่เป็นคนจีน ถึงแม้ว่าจะจากประเทศจีนไปนานแล้ว แต่ก็เคยเข้าร่วมงานแต่งมาไม่น้อย จึงคุ้นเคยกับประเพณีของคนจีนดี
พอได้ยินพ่อแม่ของฉินสือโอวพึมพำ เขาจึงยิ้มออกมาพร้อมโบกไม้โบกมือ “พวกเรามาคุยกันเรื่องวันงานหมั้นก็พอแล้ว ส่วนงานที่เหลือจะเป็นทางฝั่งเราจัดการเอง มิแรนดากับมาริโอ้เฝ้ารอวันนี้มากนะ”
กล่าวกันว่าการแต่งงานของคนจีนเป็นเรื่องฟุ่มเฟือย แต่เรื่องนี้สำหรับคนต่างชาตินั้นฟุ่มเฟือยยิ่งกว่า โดยเฉพาะชาวแคนาดา เนื่องด้วยวัฒนธรรมประเพณีที่ต่างกัน หลายครอบครัวจึงเป็นการแต่งงานแบบหลายเชื้อชาติ มีแม้กระทั่งต้องจัดงานแต่งถึงสองครั้ง
งานแต่งฉินสือโอวครั้งนี้ก็พอๆ กัน เขายังต้องจัดงานที่บ้านเกิดอีกครั้ง และแน่นอนว่าถึงตอนนั้นเขาจะเป็นคนจ่ายเงินเอง
การแต่งงานของชาวต่างชาติ ค่าใช้จ่ายในงานแต่งงานจะรับผิดชอบโดยฝ่ายหญิง การแต่งงานเพียงครั้งเดียวก็สามารถทำให้ครอบครัวชนชั้นทั่วไปใช้เวลานานกว่าจะกลับคืนสู่สภาพคล่องโดยปกติ ฉินสือโอวอยู่ที่แคนาดามาสองปีกว่าแล้ว จึงมีความเข้าใจในกฎระเบียบลับๆ ที่แสดงออกมาจากสังคมในรูปแบบต่างๆ หากลูกสาวของครอบครัวทั่วไปจะแต่งงาน เช่นนั้นพ่อแม่ของฝ่ายหญิงจะต้องยุ่งกับการทำงานล่วงเวลาล่วงหน้าเป็นเวลาครึ่งปี
ในเมื่อชายชราเอ่ยปากแล้ว พ่อแม่ของฉินสือโอวก็ไม่พูดอะไรมากอีก พวกเขามั่นใจในเรื่องการเงินของฉินสือโอว และรู้ว่าความกระตือรือร้นของลูกชายที่มีต่อวินนี่จะไม่ทำให้ครอบครัวของเธอลำบากอย่างแน่นอน
ถัดมาก็เป็นเรื่องวันหมั้น ซึ่งคนแคนาดาไม่ได้ถืออะไรในเรื่องนี้มาก แต่งานแต่งงานกลับพิถีพิถันมากกว่า จะต้องจัดงานก่อนเดือนตุลาคม เพราะว่าอากาศหลังเดือนตุลาคมจะหนาวมาก…
มาริโอ้และมิแรนดาได้ปรึกษากันเรียบร้อยก่อนแล้วในเรื่องวันจัดงาน กำหนดไว้ว่าจะจัดในเดือนมิถุนายนที่กำลังจะมาถึงนี้
เดือนมิถุนายนเป็นเดือนที่สาวๆ แคนาดาเลือกที่จะออกเรือนมากที่สุด ซึ่งเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับนิยายโรมันอยู่
เดือนมิถุนายนภาษาอังกฤษก็คือ June ซึ่งชื่อนี้มาจากชื่อของจูโนเทพี (JUNO) ผู้ดูแลความรักและการแต่งงานในเทพนิยายโรมัน พวกสาวๆ จึงคิดว่าออกเรือนในเดือนนี้จะได้รับคำอวยพรจากจูโนเทพี
แต่จริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้มีผลอะไร เพราะก่อนหน้านั้นยังเคยมีคนรวบรวมสถิติ คนที่แต่งงานเดือนมิถุนายนมีอัตราในการหย่าร้างสูงที่สุด…
พ่อแม่ฉินสือโอวพยักหน้าเห็นด้วย ถ้าอย่างนั้นกำหนดไว้ที่เดือนมิถุนายน วันที่เท่าไรล่ะ? พ่อแม่วินนี่เห็นผู้สูงวัยฝั่งตรงข้ามยิ้มเกร็งไม่กล้าแสดงความคิดเห็น จึงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ ด้วยเหตุนี้จึงเชิญให้พวกเขาแสดงความคิดเห็นสักหน่อย
ฉินสือโอวรู้สาเหตุที่พ่อและแม่เกร็งๆ ครอบครัวของวินนี่สุดยอดมากๆ ถึงแม้ว่าตอนนี้มิแรนดาจะเป็นแม่บ้านดูแลมาริโอ้และผู้สูงวัยสองคน แต่ก่อนที่จะลาออกเธอก็เป็นถึงบรรณาธิการบริหารนิตยสารที่ได้รับความนิยม ‘พริตตี้ ฟิตติ้ง’ ที่ใหญ่ที่สุดในที่ราบแพร์รีแคนาดา
ส่วนมาริโอ้ก็มีบริษัทเล็กๆ แห่งหนึ่ง จำนวนพนักงานยังมากกว่าคนในฟาร์มปลาของฉินสือโอวซะอีก แน่นอนว่ามูลค่าการผลิตแย่กว่ามาก ส่วนปู่และย่าของวินนี่เมื่อก่อนตอนอยู่ที่ประเทศจีนสุดยอดยิ่งกว่า พวกเขาเป็นข้าราชการ ย่าของเธอยังเคยเป็นศาสตราจารย์รับเชิญของมหาวิทยาลัยชิงหัวด้วย
เมื่อเทียบกันแล้ว พ่อและแม่ของฉินสือโอวเป็นแค่ชาวนาธรรมดา และต้องเผชิญกับความกดดันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้ากินข้าวทั่วไปก็พอไปได้อยู่ แต่ถ้าให้ทุกคนนั่งด้วยกันพูดเรื่องสำคัญ พวกเขาจะรู้สึกเกร็งขึ้นมาเองโดยธรรมชาติ
แต่สิ่งที่ฉินสือโอวคิดว่าดีอยู่จุดหนึ่งก็คือ ท่านทั้งสองถึงแม้จะเกร็งแต่ก็ไม่ดูถูกตัวเอง และแน่นอนว่าเขาเป็นคนให้ความมั่นใจกับพ่อแม่เขาเอง ที่บ้านเกิดของเขา ฉินสือโอวถือได้ว่าเป็นเจ้าชายขี่ม้าขาวตามแบบมาตรฐาน แล้วยังเป็นเจ้าชายขี่ม้าขาวต่างชาติด้วย ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไรที่คิดถึงความเก่งของเขาตรงนี้
ฉินสือโอวถามพ่อและแม่ว่าเดือนมิถุนายนมีวันดีวันไหนบ้าง พ่อฉินสือโอวหัวเราะแล้วพูดว่า “ พวกเราเคารพในความคิดเห็นของครอบครัววินนี่เลยครับ เพราะที่นี่คือแคนาดา คาดว่าเทพยดาคงไม่ได้ดูแลมาถึงส่วนนี้ เพราะที่นี่พวกเขาก็มีอะไรนะ พระเยซูกับมารดาของเขาคอยดูแลไม่ใช่เหรอ? ดังนั้นก็ตามทางนี้เลยครับ”
เรื่องแบบนี้ไม่มีอะไรที่ต้องมาบังคับ ในเมื่อพ่อและแม่สะดวกแบบนี้ ฉินสือโอวก็ได้แต่ทำตามให้พ่อแม่ของวินนี่กำหนดวันเลย
มาริโอ้พยักหน้าแล้วพูดขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้นก็วันที่ 2 เดือนมิถุนายนดีไหม? วันก่อนหน้าหนึ่งวันเป็นวันเด็กสากล พวกเราฉลองเทศกาลให้กับแฮทธาเวย์ หลังจากนั้นก็ฉลองต่อให้เด็กๆ สองคน?”
พ่อแม่ของฉินสือโอวพยักหน้าและตอบตกลง ความคิดแบบนี้ไม่เลวเลย
ฉินสือโอวเองรู้สึกว่าค่อนข้างกระชั้นชิดอยู่ ถึงแม้ว่างานหมั้นไม่ต้องจัดยิ่งใหญ่เหมือนกับงานแต่งงาน แต่ก็ต้องทำการ์ดเชิญให้เพื่อนๆ มาร่วมงาน ซึ่งปกติงานพวกนี้อย่างน้อยก็ต้องทำล่วงหน้าหนึ่งเดือน แต่ตอนนี้เวลาเหลือเพียงครึ่งเดือนนับตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 2 เดือนมิถุนายน
ในเมื่อเวลามีไม่มาก พอกำหนดวันเรียบร้อย ฉินสือโอวและวินนี่ก็ต้องรีบทำการ์ดเชิญแล้ว
ในตอนแรกฉินสือโอวรู้สึกว่าส่วนมากน่าจะเป็นทางฝั่งวินนี่ เพราะแขกหลักๆ ของเขาอยู่ประเทศจีนเป็นส่วนใหญ่ แค่มางานแต่งงานก็โอเคแล้ว ส่วนงานหมั้นคงมาไม่ได้ เพราะอย่างไรก็แล้วแต่พวกพี่ๆ และเพื่อนที่เรียนมาด้วยกันกับเขาก็คงไม่ได้ร่วมสนุกไปกับวันหยุดวันเด็กสากลหรอก
ปรากฏว่าพอได้นักออกแบบทำการ์ดเชิญมา วินนี่ก็มีสีหน้าขมขื่น “ฉันกับเพื่อนสมัยเรียนของฉันแตกแยกกันไปหมดแล้ว คงจะเชิญมาได้แค่ไม่กี่คน แต่ตอนที่ทำงานเป็นแอร์โฮสเตสตอนนั้นมีเพื่อนกลุ่มหนึ่งที่สนิทอยู่ แต่ก็มีจำนวนไม่เยอะ”
งานแต่งงานของคนจีน โดยเฉพาะบ้านเกิดที่ชนบทของฉินสือโอว งานหมั้นจริงๆ นั้นเรียบง่ายมาก แค่ผู้ใหญ่ของทั้งสองฝั่งมารวมตัวกัน กำหนดวันหมั้น ฝ่ายชายให้สินสอด กินข้าวด้วยกันแค่นั้นก็เรียบร้อยแล้ว แต่ที่แคนาดาทำแบบนั้นไม่ได้ ทั้งเพื่อนและญาติของทั้งสองฝ่ายต้องมาร่วมงานด้วย
ฉินสือโอวกอดวินนี่และพูดด้วยความรักว่า “ไม่เป็นไรนะ คุณส่งการ์ดเชิญไปให้พวกเขา ถ้าพวกเขาไม่มาก็เป็นเรื่องของพวกเขา ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณสักหน่อย?”
เออร์บักช่วยกรอกข้อมูลให้ทั้งสองคน เห็นวินนี่ดูท่าทางลำบากใจ เขาจึงยิ้มแล้วถามขึ้นว่า “เกิดความเข้าใจผิดกับเพื่อนสมัยเรียนกันเหรอ? “
เขาพูดอ้อมๆ แต่จริงๆ ก็คาดเดาว่าตอนที่วินนี่เรียนมหาวิทยาลัยไม่ได้มีเพื่อนมากมายนัก แต่ครั้งนี้เขาพูดถูกแล้ว เป็นเรื่องเข้าใจผิดจริงๆ เรื่องของฟอกส์และอาร์ม็อง เกี่ยวอะไรกับวินนี่ เธอก็เป็นผู้รับเคราะห์ไปต่างหากล่ะ?
หลังจากที่เคยพูดเรื่องที่ตัวเองประสบมาให้ฉินสือโอวฟัง ปมในใจของวินนี่ก็เริ่มคลายมากขึ้น พวกเขาไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าอับอายอะไร จึงเล่าอีกครั้งให้เออร์บักฟัง
พอชายชราฟังจบแล้วก็หัวเราะอย่างเปิดเผย พูดขึ้นมาว่า “ง่ายมาก ฉันรับประกันได้เลยว่าพวกเขาต้องมา มานี่ ฉันจะสอนพวกเธอว่าต้องทำอย่างไร”
บทที่ 1161 สามารถขนาดนี้
เออร์บักไม่ได้บอกว่าวิธีแก้ปัญหาคืออะไร แต่ให้ฉินสือโอวรวมจำนวนแขกที่เขาจะเชิญก่อน
ฉินสือโอวกางนิ้วแล้วเริ่มนับ “เรค บิ๊กฟุต บิลลี่ เบลค แบรนดอน เจมส์ ยังมีพวกโหวจื่อเซวียนบนเกาะอีก? มีพวกเขาประมาณนี้แหละมั้ง?”
เออร์บักยิ้ม “แน่นอนว่าไม่ใช่ รายชื่อของนายแค่นี้ยังไม่พอ ก่อนอื่นเลย มีนายกเทศมนตรีแฮมเล็ตที่ต้องเชิญมา ลำดับถัดมาพ่อแม่ของไวส์นายก็ต้องเชิญมา ถัดมาคนจีนที่บ้านเกิดนายพวกเอี๋ยนตงเหล่ย นายก็ต้องเชิญมา ท้ายสุดยังมีพวกสเตราส์และลูกชายของเขา รวมถึงเพื่อนเศรษฐีที่นายรู้จักในงานประชุมประจำปีของบริษัทอเมริกัน เอ็กซ์เพรส สรุปก็คือเพื่อนที่นายสร้างคอนเนคชั่นได้ต้องเชิญมาให้หมด”
ฉินสือโอวอดที่จะหัวเราะไม่ได้ “พวกเขาคงไม่มาหรอกมั้ง? ทุกคนงานยุ่งขนาดนี้ อีกอย่างงานนี้ก็เป็นแค่งานหมั้นไม่ใช่งานแต่งงาน ไม่ต้องทำเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้นหรอกมั้ง? “
เออร์บักโบกไม้โบกมือแล้วพูดว่า “ฉิน ความคิดของนายยังไม่ถูกต้อง นี่ไม่ใช่พิธีหมั้นทั่วๆ ไป แต่เป็นโอกาสที่นายสามารถโชว์ความสามารถของตัวเองด้วย นายจะต้องทำให้ความสัมพันธ์กับคนเหล่านี้ให้แน่นแฟ้นมากขึ้น นอกจากงานแต่งงานแล้ว ยังมีงานไหนที่สำคัญกว่างานหมั้นอีกล่ะ? ถ้าพวกเขาไม่มาร่วมงานหมั้นของนาย หลังจากนี้ถ้านายจัดงานอะไร พวกเขาจะมาได้อย่างไร?”
ฉินสือโอวพยักหน้า “ผมเข้าใจแล้วครับ ผมจะลองดู”
เออร์บักพูดต่อ “ไม่ใช่ลอง แต่นายต้องลงมือทำ แล้วมันก็ง่ายมากด้วย นายโทรติดต่อพวกเขาไปก่อน แล้วบอกว่าคนที่รับปากจะมางานมีแอนดรูว์ คาร์เนกีและภรรยาจากชิคาโก้ นายกเทศมนตรีเมืองเซนต์จอห์น ประธานธนาคารแห่งมอนทรีออล แล้วยังมีราชาอาหารทะเลที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา!”
ฉินสือโอวพยักหน้าอีกครั้ง หยิบโทรศัพท์แล้วเดินออกไป ถึงแม้ว่าเออร์บักจะแค่แนะนำเขา แต่เขาก็มองออกว่าจากนิสัยของเขาที่เป็นคนเก็บตัว ทนายชรากำลังไม่พอใจ ในมือเขามีไพ่ดีๆ อยู่มากมาย แต่ไม่เคยได้ใช้เลย
บางทีในความคิดของเขา เขาก็ไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องในความสัมพันธ์กับคนมากเกินไป เพียงแค่อยากใช้ชีวิตสบายๆ กับวินนี่ อยู่ในโลกที่มีความสุขออกห่างจากความวุ่นวายก็พอ
แต่จุดนี้ถ้าเป็นมุมมองของคนอื่น ก็จะมองว่าเขาขาดความทะเยอทะยาน
ในเมื่อเป็นแบบนี้ เขาก็จะพยายามหน่อย ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเล่นใหญ่
คิดอยู่สักพัก ฉินสือโอวก็โทรหาอาฟิฟซึ่งเป็นหลานชายของกษัตริย์ประเทศอาบูดาบีก่อน หลังจากรำลึกความหลังแล้ว เขาก็พูดขึ้นมาว่า “อาฟิฟ ช่วงนี้คุณมีเวลาว่างไหมครับ? ผมจะหมั้นแล้ว ไม่รู้ว่าจะโชคดีเชิญคุณมางานผมได้ไหม”
อาฟิฟเงียบไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นรีบตอบอย่างร่าเริงว่า “แน่นอนสิผมมีเวลา ผมกำลังคิดจะไปอเมริกาเหนือเที่ยวสักหน่อยอยู่พอดี ยินดีมากที่ได้รับคำเชิญจากคุณ ใช่สิ คุณควรจะโทรหาซาลามาห์นะ เจ้าหญิงตัวน้อยของผมยังคงหมกมุ่นอยู่กับการเดินทางไปเกรตแบร์ริเออร์รีฟอยู่ตลอดเลยล่ะ”
หลังจากที่กลับมาจากเกรตแบร์ริเออร์รีฟ ฉินสือโอวกับเจ้าหญิงซาลามาห์ก็ยังติดต่อกันเป็นครั้งคราว เจ้าหญิงองค์น้อยมีทวิตเตอร์ แต่ใช้นามแฝงที่ซ่อนไว้อยู่ ทั้งสองกดติดตามกันและกันแล้ว จึงมักจะโต้ตอบกันอยู่บ่อยๆ ซึ่งเรื่องนี้เป็นความลับเล็กๆ ของทั้งสองคน
ฉินสือโอวโทรหาเจ้าหญิงซาลามาห์ต่อ แต่เป็นเพราะความแตกต่างของเวลา เจ้าหญิงน้อยจึงยังงัวเงียสะลึมสะลือกำลังจะตื่น พอได้ยินว่าเขาจะหมั้น องค์หญิงน้อยจึงถามด้วยความตกใจว่า “คุณมีคู่หมั้นแล้วเหรอ?”
นายใหญ่ฉินสือโอวทนไม่ได้กับน้ำเสียงของเธอ ชายหนุ่มที่โดดเด่นขนาดนี้ มีคู่หมั้นไม่ใช่เรื่องปกติหรอกเหรอ?
ซาลามาห์สนใจในตัววินนี่มาก จึงถามข้อมูลกับเขาอย่างต่อเนื่อง ฉินสือโอวถามแบบคลุมเครือ แล้วก็คิดอะไรขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง “ในเมื่อคุณสนใจในตัวคู่หมั้นผมขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นมาร่วมงานหมั้นของผมดีไหม?”
เจ้าหญิงโลลิต้าตอบอย่างร่าเริงว่า “ดีสิ พี่อาฟิฟก็ไปใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นฉันจะพาพี่ฮามานแดนไปด้วย พวกเราไปด้วยกันหมดเลย”
ฉินสือโอวรู้สึกปลื้มกับประโยคนี้ เจ้าชายที่หล่ออันดับหนึ่งแห่งตะวันออกกลางก็จะมาด้วยเหรอ? เขาถามด้วยความสงสัย “ไม่ต้องหรอกมั้งครับ? ผมกับเจ้าชายฮามาแดนก็ไม่ได้สนิทกันมาก ผมคิดว่าเขาน่าจะมีธุระต้องทำมากมาย”
“ยุ่งอะไรล่ะ พี่ชายฉันไม่ยุ่งเลย พอดีว่าช่วงนี้เขาเบื่อๆ พวกเราก็ถือว่าไปเป็นแขกที่ฟาร์มปลาของคุณ ได้ยินจากพี่อาฟิฟมาว่าฟาร์มปลาของคุณสุดยอด แบบสุดยอดมากๆ จริงไหม?” ซาลามาห์ถามขึ้นมา
คำถามนี้ไม่ต้องคิดอะไรมากเลย ฉินสือโอวตอบอย่างมั่นใจว่า “ถ้าเทียบกันแล้วเกรตแบร์ริเออร์รีฟก็แค่ขยะเท่านั้น!”
พอวางสายฝั่งนี้ ฉินสือโอวนายใหญ่ก็เริ่มติดต่อคนที่ไม่ได้ติดต่อมาช่วงหนึ่งอย่างสเตราส์และพ่อของเขา บอกว่าเขาจะหมั้นแล้ว จึงเรียนเชิญพวกเขาให้มาร่วมงาน
เคอร์ตอบอย่างกระตือรือร้นว่า “คุณจะหมั้นกับวินนี่แล้วเหรอ? ยินดีด้วย หนุ่มผู้โชคดี ผู้ชายคนไหนก็ตามที่ได้แต่งงานกับวินนี่ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก ไม่ใช่เหรอ? เอ่อ วันที่ 2 เดือนมิถุนายนใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นผมต้องไปอย่างแน่นอน แต่ว่าช่วงนี้พ่อของผมสุขภาพไม่ค่อยดี”
ฉินสือโอวรีบถามด้วยความห่วงใย “คุณสกอตต์เป็นอะไรไปเหรอครับ? มีอะไรที่ผมช่วยได้ไหม?”
เคอร์บอกว่าไม่มีอะไร เป็นโรคเดิมๆ แค่ต้องการการพักผ่อน
ฉินสือโอวเข้าใจขึ้นมาทันที ว่าเขาปฏิเสธอ้อมๆ อยู่ แต่งานของเขาก็ไม่ได้ถึงขึ้นที่จะต้องให้ผู้ใหญ่ของครอบครัวสเตราส์ออกหน้า แค่เคอร์สามารถมาได้ก็ถือว่าให้เกียรติเขามากแล้ว เขาเป็นถึง CEO ของห้างสรรพสินค้าเมสันคนปัจจุบัน
เคอร์ยังถามอีกว่า “มีใครมาบ้าง? ผมจะดูว่ามีคนรู้จักไหม เพราะถ้ามีคนรู้จัก ผมจะต้องเตรียมตัวสักหน่อย”
ฉินสือโอวลองนับดู พ่อและแม่ของไวส์จะต้องมาแน่ๆ เพราะว่าครั้งแรกที่เจอก่อนตอนนั้นเขาเคยให้สัญญาไว้
ตอนนี้ที่พอมีน้ำหนักหน่อยก็จะเป็นเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งตะวันออกกลาง ดังนั้นเขาจึงบอกชื่อจอร์จและภรรยา เจ้าหญิงซาลามาห์ เจ้าชายอาฟิฟไว้ก่อน เจ้าชายฮามานแดนช่างเถอะ เพราะเขาอย่างไรก็รู้สึกว่าเจ้าชายน้อยที่เย่อหยิ่งคงไม่น่าลดตัวมาเข้าร่วมงานหมั้นของเขา
พอฟังชื่อที่เขาเอ่ยออกมา เคอร์ก็ถามขึ้นมาว่า “คุณไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม? มีจอร์จ บรูซและวิเวียน คาร์เนกี บรูซ? แล้วยังมีอาฟิฟกับซาลามาห์อีก ซึ่งก็คือเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งตะวันออกกลางเนี่ยนะ?”
ฉินสือโอวเข้าใจที่เคอร์ยากที่จะเชื่อ เพราะอย่างไรเขาก็เป็นแค่คนธรรมดาทั่วไป ดูแล้วไม่น่ามีความสัมพันธ์อะไรกับคนเหล่านี้ ดังนั้นเขาจึงเล่าเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับไวส์ให้ฟัง แล้วเล่าถึงความร่วมมือที่เขาร่วมกับอาฟิฟให้ฟังเช่นกัน เคอร์จึงกระแอมเบาๆ แล้วพูดว่า “ผมจำได้ว่าฟาร์มปลาของคุณเป็นที่ห่างไกลจากผู้คน พ่อของผมต้องการพักผ่อน ผมคิดว่าเขาน่าจะไปเป็นแขกของฟาร์มปลาของคุณสักหน่อย จะเหมาะไหมครับ?”
ฉินสิอโอวไม่รู้จะตอบอย่างไรดีเลย พ่อค้าเห็นแก่ผลประโยชน์มากกว่าพี่น้อง!
แม้กระทั่งพ่อเสตราส์ก็ทำให้มางานเขาได้แล้ว คนรู้จักที่เหลือก็ไม่น่าจะมีปัญหา ส่วนแฮมเล็ตแจ้งเขาสักหน่อยก็ได้แล้ว
ส่วนเพื่อนใหม่ๆ ที่ไม่ค่อยสนิท อย่างเช่น อังเคร คาลันโป ซีอีโอของบริษัท ฟิลลิป มอร์ริสที่รู้จักในงานประชุมประจำปีของบริษัทอเมริกัน เอ็กซ์เพรส และโมล ฟริตซ์ ผู้มีอิทธิพลของบริษัทยูเนียน แปซิฟิก เรลโรด และยังมีซิต ชวาร์ซของบริษัท Onex ที่ลงทุนด้านไพรเวท อิควิตี้ เขาก็ไล่โทรไปเชิญทีละคน
ฉินสือโอวบอกรายชื่อจำนวนแขกที่จะมาในงานเขาให้กับพวกเขาฟัง พอได้ยินชื่อของจอร์จ บรูซและวิเวียน คาร์เนกี บรูซ พวกเขาต่างรับปากตกลงว่าจะมา
พอเป็นแบบนี้มาดูรายชื่อแขกที่จะเชิญ ฉินสือโอวนายใหญ่ก็รู้สึกว่าตัวเองเจ๋งสุดๆ เพราะคนเหล่านี้ต่างก็เป็นบอสใหญ่ในแต่ละอุตสาหกรรมของอเมริกาเหนือหรือแม้กระทั่งทั่วทั้งโลก เขาเชิญมาได้ทุกคนอย่างไม่น่าเชื่อ
พอดูรายชื่ออีกครั้ง ฉินสือโอวนายใหญ่ก็คิดขึ้นมาได้ทันใดว่ายังมีซูเปอร์บอสอีกคนที่เขายังไม่ได้เรียนเชิญ เขาก็น่าจะลองโทรได้
บทที่ 1162 วันวิคตอเรียของทั้งครอบครัว
“ตื้ด ตื้ด ตื้ด…”
เสียงรอสายในโทรศัพท์ดังขึ้น หลังจากนั้นก็มีเสียงดังเข้ามาในสาย “สวัสดี คุณฉิน ผมคือเฮนรี ชาลส์ อัลเบิร์ต เดวิด วินด์เซอร์ ดีใจที่คุณโทรมาครับ”
ใช่แล้ว คนสุดท้ายที่ฉินสือโอวโทรหาคือบอสจริงๆ เจ้าชายเฮนรีแห่งประเทศอังกฤษ!
การโทรครั้งนี้ฉินสือโอวแค่คิดว่าจะลองดู การเจอกันระหว่างเขาและเจ้าชายเฮนรีแค่สองครั้งเท่านั้น ครั้งแรกงานประชุมช่วยชีวิตจากภัยพิบัติพายุที่อ่าวเซนต์ลอว์เรนซ์ ส่วนอีกครั้งตอนเขาขายเครื่องประดับมุกสีดำ ถ้าพูดตามจริงแล้วทั้งสองคนไม่ได้มีมิตรภาพต่อกัน พอทักทายถามสารทุกข์สุกดิบแล้ว ฉินสือโอวไม่อยากเสียเวลาอีกฝ่าย จึงถามตรงๆ เลยว่า “ผมจะหมั้นในวันที่ 2 เดือนหน้า ไม่ทราบว่าเจ้าชายพอจะมีเวลามาร่วมงานพิธีไหมครับ?”
ครั้งนี้ไม่ต้องพูดถึงจอร์จและภรรยา ครอบครัวตระกูลสเตราส์ หรือเจ้าหญิงน้อยแห่งตะวันออกกลางเลย พวกเขารวมตัวกันยังไม่เท่ากับเจ้าชายเฮนรีหนึ่งพระองค์ เขาจึงไม่จำเป็นต้องให้เกียรติกับใครเลย
เจ้าชายที่มีรูปหน้าดั่งม้าบอกให้เขารอ บอกว่าขอดูตารางงานก่อน ผ่านไปครึ่งนาที เจ้าชายเฮนรีก็ใช้น้ำเสียงที่ดูน่าเสียดายตอบเขาว่า “ขอโทษด้วยครับ คุณฉิน ผมต้องไปร่วมกิจกรรมงานวันเด็กกับท่านยายในวันที่ 1 เดือนหน้า จึงไม่สามารถไปได้ เวลาไม่เอื้อเลย แต่ถ้าคุณคิดว่าโอเค ผมอยากจะเชิญให้เพื่อนสนิทของผมไปเป็นตัวแทนผม นำคำอวยพรของผมไปให้กับคุณ จะได้ไหมครับ?”
การปฏิเสธของเจ้าชายเฮนรีเป็นสิ่งที่ฉินสือโอวคิดไว้อยู่แล้ว แต่เขาไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าเขาจะให้เพื่อนของเขามาร่วมงานแทน ทำเรื่องอะไรต้องกล้าที่จะลองจริงๆ
พอฉินสือโอวกลับมา วินนี่ที่กำลังกัดแท่งปากกากำลังคิดว่าจะเชิญเพื่อนคนไหนก็มองตาปริบๆ ไปที่เขา แล้วถามเสียงอ่อนว่า “คุณเชิญใครได้บ้างแล้ว?”
“จะทำให้คุณตกใจอย่างแน่นอน” ฉินสือโอวตอบไปยิ้มไป เขาวางรายชื่อลง บนนั้นมีเขียนชื่อและตำแหน่ง มี 20 กว่ารายชื่อเรียงกันแน่นขนัด ทั้งหมดเป็นคนที่อยู่นอกแผนหมด แต่ก็มาทั้งหมด
พอวินนี่มองแล้วเธอก็ผงะจริงๆ ปกติคนที่ไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไรก็จะนิ่งมาตลอดอย่างเธอ พอเห็นรายชื่อก็ถามด้วยความตกใจว่า “คุณเชิญอาฟิฟกับเจ้าหญิงซาลามาห์ได้แล้วเหรอคะ? ว้าว มีซีอีโอ ประธานกรรมการตั้งหลายคน แล้วยังมีตัวแทนของเจ้าชายเฮนรี?!”
เออร์บักก็มองดูเช่นกัน พอมองแล้วก็ส่ายศีรษะแล้วถามขึ้นว่า “นายรู้ไหมว่าประเด็นสำคัญของการส่งการ์ดเชิญคืออะไร?”
ถึงตอนนี้ก็ถึงคราวของฉินสือโอวนายใหญ่ที่จะต้องกระชับความสัมพันธ์แล้ว ประเด็นสำคัญในการส่งการ์ดเชิญคืออะไร?
“กระชับความสัมพันธ์ให้ทั่วถึง หรือพูดง่ายๆ คือ นายจะต้องปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ต้องส่งการ์ดเชิญไปให้คนรู้จักทุกคน เพราะถ้าเกิดพวกเขาพอรู้เรื่องนี้ขึ้นมา ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้คิดเยอะได้ แต่ถ้านายส่งการ์ดเชิญออกไป แล้วพวกเขาไม่ได้มาก็เป็นเรื่องของพวกเขาแล้ว” เออร์บักพูด
จริงๆ แล้ว ฉินสือโอวเข้าใจหลักการนี้ดี ยิ่งที่แคนาดาต้องให้ความสำคัญกับมารยาทแบบนี้เลย โดยเฉพาะพวกพ่อค้าพวกนั้น ที่มักจะให้ความสำคัญกับรายละเอียดที่ไม่เกี่ยวข้องพวกนี้
แต่ฉินสือโอวก็รู้สึกหดหู่ เขาชี้ไปที่รายชื่อ “ผมก็เชิญครบทุกคนแล้วนะ”
เออร์บักถามขึ้น “ผู้กำกับคาเมรอนล่ะ?”
ฉินสือโอวตะลึง ลืมไปจริงๆ ด้วย แต่ถ้าจะว่าไปแล้วผู้กำกับใหญ่จะยังจำเขาได้ไหม?
ฉินสือโอวจึงกดโทรศัพท์โทรออกอีกครั้ง เสียงหัวเราะนุ่มๆ ของคาเมรอนก็ดังขึ้นมา “คุณกับวินนี่จะหมั้นกันแล้วใช่ไหม? ยินดีกับพวกคุณด้วย ฉิน คุณไม่รู้หรอกว่าตอนนี้ผมอิจฉาคุณขนาดไหน เพราะผมน่ะรู้ดีว่าวินนี่เป็นผู้หญิงที่ดีขนาดไหน”
ฉินสือโอวยิ้มแห้ง “ที่แท้คุณก็รู้เรื่องนี้แล้วเหรอ?”
“เคอร์บอกผม” คาเมรอนพูดขึ้น “เขาชวนผมให้นั่งเครื่อบินเหมาลำแล้วบินไปหาคุณที่นั่นด้วยกัน เมื่อกี้ผมทำตัวไม่ถูกเลย จนกระทั่งคุณโทรมานั่นแหละ ผมถึงค่อยโล่งอกว่าผมไม่ได้ถูกลืม”
เหงื่อเย็นๆ ของฉินสือโอวไหลย้อย แม่งเอ๊ย ถ้าเมื่อกี้ไม่ใช่เออร์บักบอกเขา คงจะเกิดเรื่องใหญ่แล้วจริงๆ เขาเชิญผู้กำกับใหญ่อีกครั้ง คาเมรอนพูดว่า “แน่นอนว่าผมมีเวลาไปร่วมงาน จริงๆ แล้วถ้าคุณไม่ได้มีงานหมั้น ผมคิดว่าอีกไม่นานก็ต้องไปหาคุณอยู่ดี งานของหนังเรื่อง ‘ทะเลโกรธ’ เตรียมไปเกือบจะเสร็จแล้ว ก็จะได้คุยเรื่องสิทธิ์ในการใช้นิมิตส์ด้วย”
ผู้กำกับใหญ่เคยคุยกับเขาเมื่อปีที่แล้ว ว่าอยากจะถ่ายหนังสักเรื่องโดยเป็นเรื่องที่พวกเขาอยู่ท่ามกลางพายุ แต่เขาก็ไม่เคยเชื่อ จนฉินสือโอวนึกว่าเรื่องนี้ล้มเลิกไปแล้ว
อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาถึงนิสัยของผู้กำกับคาเมรอนที่ชอบถ่ายลากยาว นี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะไม่ว่าจะเป็นหนังก่อนหน้านั้นเรื่อง ‘เอเลี่ยน’ ‘ไททานิค’ หรือหนังช่วงนี้อย่างเรื่อง ‘อวตาร’ งานที่เตรียมก่อนถ่ายทำใช้เวลาเตรียมนานมาก
พอวางสายจากผู้กำกับใหญ่ ฉินสือโอวเอารายชื่อกับโทรศัพท์ไปตรวจดูจับคู่อีกรอบ เออร์บักยักไหล่ให้เขา เขาก็ยกมือขึ้นคารวะชายชราเพื่อบอกเป็นนัยว่า เขาเชื่อจากใจแล้วจริงๆ
จริงๆ แล้วพิธีงานหมั้นไม่ได้เป็นทางการขนาดนั้น ไม่จำเป็นต้องเชิญคนมามากมาย ครอบครัวทั่วไปก็จะเชิญแค่เพื่อนหรือญาติให้มาร่วมงานก็พอแล้ว แต่เหมือนอย่างที่เออร์บักพูด ตอนนี้ฉินสือโอวไม่ใช่คนธรรมดาแล้ว เขาต้องรู้ฐานะของตัวเอง เขาเป็นคนรุ่นใหม่ที่ร่ำรวยอันดับต้นๆ!
ดังนั้นแล้ว เขาจึงต้องใช้ฐานะของเขาให้เป็นประโยชน์ เขากับวินนี่ ตรวจรายชื่อที่เชิญคนมาพิธีงานหมั้นไป 5-6 รอบ สุดท้ายกัดฟัน แม้แต่รัฐมนตรีแมทธิว จิน พวกเขาก็เชิญมา ซึ่งคำตอบของรัฐมนตรีเหมือนกับเจ้าชายเฮนรี ตัวเองไม่มีเวลาจึงจะส่งผู้ช่วยไปอวยพรแทน
ถึงแม้ว่ารัฐมนตรีวัยชราจะเป็นนักการเมือง แต่สำหรับฉินสือโอวเขาคือคนจริง เพราะว่าเขาพูดอย่างชัดเจนในโทรศัพท์ว่า วันที่ 2 เดือนมิถุนายนเขามีงานที่สำคัญกว่าการเข้าร่วมงานหมั้นของเขา แต่ว่าตอนที่ฉินสือโอวจะแต่งงานกับวินนี่ เขาจะไปร่วมงานเอง
รัฐมนตรีวัยชราติดค้างฉินสือโอวอยู่ อย่างงานกิจกรรมหลักเยี่ยมชมฟาร์มปลาเมื่อปีที่แล้ว ฉินสือโอวก็ช่วยเขาไว้ในงาน อย่างปัญหาวิกฤตแมงกะพรุนที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ก็เป็นเขาที่แจ้งข้อมูลกับรัฐมนตรีก่อน สิ่งเหล่านี้เป็นบุญคุณทั้งนั้น
พอมั่นใจว่าไม่มีรายชื่อไหนหลุดจากใบรายชื่อแล้ว ฉินสือโอวก็โล่งอก แต่เขายังคงเตรียมงานหมั้นไม่ได้ เพราะว่าหลังจากนี้จะเป็นวันวิคตอเรียประจำปี ซึ่งถือว่าเป็นเทศกาลที่ค่อนข้างสำคัญสำหรับคนแคนาดา
วันวิคตอเรียถือได้ว่าเป็นวันต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่แท้จริงของการมาถึงฤดูใบไม้ผลิสำหรับแคนาดาทั้งประเทศ
ครอบครัวของวินนี่ให้ความสำคัญกับเทศกาลนี้มาก จะต้องปลูกดอกไม้ ต้นหญ้า พืชผักในวันนี้ ฉินสือโอวเล่าให้พ่อและแม่ฟัง คนสูงวัยทั้งสองจึงหัวเราะขึ้นมา “คนแคนาดาช่างน่าสนใจจริงๆ ปลูกพืชผักยังมีเป็นเทศกาลด้วยเหรอ?”
นี่เป็นความถนัดของพวกเขาเลย พื้นที่ว่างเปล่าในฟาร์มปลาของฉินสือโอวยังมีอีกมาก จึงสามารถเอามาปลูกพืชผักธัญพืชได้ เมื่อก่อนปลูกแค่ผักกับผลไม้ แต่ตอนนี้คนเยอะขึ้น ของที่จะเอามาปลูกได้จึงเพิ่มมากขึ้น
ของที่ปลูกในฟาร์มปลาของฉินสือโอวมีไม่น้อย อย่างเช่นพืชผักหลายชนิดครบครัน ฟาร์มปลาตอนฤดูหนาวจึงไม่เคยขาดผักสดเลย
อีกอย่างเป็นเพราะพลังโพไซดอน ผักที่ปลูกออกมาจึงมีรสชาติดีและสดใหม่ แน่นอนว่าผักราคาสูงในตลาดพวกนั้นเทียบไม่ได้เลย ซึ่งพวกชาวประมงคิดว่าเป็นปัญหาด้านน้ำและดิน พวกเขาไม่เพียงแค่กินในฟาร์มปลา ยังเอาผักกลับบ้านด้วย…
ตอนเช้าของวันวิคตอเรีย ฉินสือโอวเรียกรวมพลพวกชาวประมง แล้วพูดว่า “วันนี้ ฉันจะให้ทุกคนหยุดงานหนึ่งวัน ทุกคนไม่ต้องออกทะเลและปฏิบัติหน้าที่แล้ว”
ทุกคนมีสีหน้าตกใจในทันใด หลังจากนั้นฉินสือโอวก็พูดต่อว่า “ทุกคนไปทำงานให้ฉันหน่อย เพราะปีนี้พวกเราจะไม่ปลูกแค่ผัก ผลไม้ แต่จะปลูกธัญพืชด้วย!”
“บอส คุณจะทำไร่นาเหรอครับ?” ชาร์คตกใจ
“ก็ไม่แน่!” ฉินสือโอวหัวเราะ
บทที่ 1163 ฟาร์มปลาสไตล์ไร่นา
เมื่อถึงวันวิคตอเรีย ก็เป็นช่วงที่ต้องเอาฟิล์มเรือนกระจกออกพอดี
พ่อของฉินสือโอวทนว่างไม่ไหว จึงเข้าไปช่วยดึงเอาฟิล์มพลาสติกหนาออกมา ฟิล์มพลาสติกนี้ใช้มาสองปีแล้ว ฉินสือโอวตรวจดูแล้วไม่มีรอยรั่วอะไรเลย จึงทอดถอนใจแล้วพูดว่า “เป็นของดีจริงๆ ของเล่นนี้ใช้มาสองปีแล้วไม่มีปัญหาอะไรเลย ไม่น่าถึงได้ขายแพง”
พอฟังประโยคนี้ พ่อฉินก็ถามขึ้นมาด้วยความสนใจว่า “พลาสติกนี้ใช้มาสองปีแล้วเหรอ?” เขาดึงขอบฟิล์มลองเทสความเหนียวของมัน แล้วแสดงสีหน้าตกใจออกมา “นี่ใช้วัสดุอะไรทำออกมา? ใช้มาสองปีแล้วยังไม่เก่าเลย”
ฉินสือโอวอธิบายว่า “ฟิล์มนี้เรียกว่าฟิล์มอายุยืนอเนกประสงค์ เป็นฟิล์มที่พวกชาวนาที่แคนาดาใช้ ดีที่สุดในบรรดาฟิล์มอื่นๆ ตอนนี้เลยก็ว่าได้ ระยะเวลาการใช้งานก็ใช้ได้นาน ตอนนั้นพนักงานที่ขายฟิล์มนี้ให้ผมยังพูดเลยว่าใช้ได้ 4-5 ปีก็ไม่มีปัญหา”
พ่อของฉินสือโอวกล่าว “ฟิล์มดีขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นฉันเอากลับไปส่วนหนึ่งไปใช้กับที่นาที่บ้านดีไหม?”
ฉินสือโอวพูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า “พ่อกลับไปยังจะปลูกผักอะไรอีก? ปลูกผักลำบากขนาดนั้น พอถึงฤดูหนาวพ่อกับแม่ช่วยพักให้มันสบายๆ หน่อยได้ไหมครับ”
พ่อของฉินสือโอวหัวเราะ “พวกฉันก็แค่ปลูกผักนิดหน่อยไว้กินเอง แกอยู่นี่ก็ไม่ได้ปลูกเหมือนกันเหรอ?”
ฉินสือโอวกลับไม่อยากให้พ่อและแม่ปลูกผักต่ออีก พวกเขาบอกว่าปลูกเล็กน้อย แต่พอปลูกไปปลูกมาก็เยอะขึ้นมา เขาไม่อยู่ก็จะควบคุมอะไรไม่ได้เลย
ทำให้ความคิดของพ่อแม่ฝันสลายนั้นง่ายมาก ฉินสือโอวชี้ไปที่เรือนกระจกสองหลังแล้วพูดว่า “ฟิล์มนี้แพงมาก แค่ใช้คลุมเรือนกระจกสองหลังนี้ ผมจ่ายเงินไปทั้งหมดแสนห้า”
พ่อฉินบอกว่า “แสนห้าไม่แพงนี่ แกคิดว่าแบบที่ใช้ที่บ้านถูกเหรอไง?”
“ดอลลาร์แคนาดา” ฉินสือโอวพูดนิ่งๆ
พ่อและแม่ฉินสือโอวคิดอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างดอลลาร์แคนาดากับเงินหยวนเรียบร้อยไว้นานแล้ว พวกเขาคิดในใจอย่างรวดเร็ว เรือนกระจกสองหลังนี้เท่ากับใช้เงินเจ็ดแสนห้าหมื่นหยวน ทันใดนั้นพวกเขาก็ตะลึง “เจ็ดแสนกว่าหยวน กินผักที่กินมาตลอดทั้งชีวิตก็พอแล้วมั้ง?”
วินนี่กล่าวว่า “ไม่เหมือนกันค่ะ ผักที่พวกเราปลูกเองไม่เพียงแต่สะอาดวางใจได้ แต่ยังอร่อยมากด้วย”
เมื่อฟิล์มพลาสติกถูกดึงให้เปิดออก ไอความร้อนก็แผ่กระจาย ผักที่อยู่ด้านในก็นุ่มไม่ว่าจะเป็นผลหรือใบ เช่น พริก มะเขือเทศ ใบของมันเขียวสดจนเหมือนจะมีน้ำหยดออกมา
วินนี่ดึงไชเท้าสดขึ้นมาหัวหนึ่ง แล้วล้างตรงก๊อกน้ำ หลังจากนั้นก็แบ่งออกเป็นสองท่อนให้พ่อและแม่ฉินสือโอว พอฉงต้าเห็นไชเท้าก็รีบวิ่งมา มองไปที่วินนี่ด้วยสีหน้าขอร้อง
ช่วยไม่ได้ วินนี่บีบไปที่หน้าอ้วนๆ ของมัน แล้วจึงดึงออกมาอีกหัว ล้างดินออกให้สะอาดแล้วยื่นให้มัน
แต่ฉงต้าไม่ได้กินเอง คาบไชเท้าไปหาต้าป๋าย มันโยนลงไปที่พื้น แล้วก็ทุบหนึ่งทีด้วยเท้าจนละเอียด แล้วเลื่อนไปไว้ตรงหน้าต้าป๋ายเพื่อให้มันกิน
ต้าป๋ายใช้หัวคลอเคลียไปที่อุ้งเท้าอ้วนๆ ของฉงต้า หลังจากนั้นก็ค่อยๆ กินอย่างช้าๆ
จริงๆ แล้วถึงแม้ว่าหมีสีน้ำตาลจะเป็นสัตว์ที่กินอะไรก็ได้ แต่ก็ยังเน้นกินเนื้อเป็นหลัก โดยเฉพาะปลาตัวอวบอ้วนจะชอบมาก แต่ที่ฉินสือโอวเลี้ยงฉงต้าตอนนั้น เขากังวลว่าถ้ากินเนื้อเยอะไปจะทำให้มันมีนิสัยกระหายเลือด จึงปลูกฝังให้มันกินผลไม้และผักด้วย
ปรากฏว่าเลี้ยงจนถึงตอนนี้ ฉงต้ากลายเป็นหมีสีน้ำตาลที่แปลกแยกออกมา เน้นกินผักและผลไม้ ส่วนเนื้อเป็นอาหารรองไป แต่มันก็ใช่ย่อย กินพวกผักผลไม้จนอ้วนพียิ่งกว่าพวกที่กินเนื้อเสียอีก…
ไชเท้าสีเขียวสดกรอบมาก มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของผลไม้ โดยปกติความเผ็ดของไชเท้าจะมีไม่มาก ถึงแม้ว่าพ่อและแม่ของฉินสือโอวจะไม่ได้กินเป็นครั้งแรก แต่ก็ยังเคี้ยวอย่างเพลิดเพลิน
ผักในไร่ปลูกอย่างเป็นระเบียบ มะเขือ ถั่วฝักยาว กะหล่ำปลี ผัดกาดขาว กะหล่ำปลีป่า แครอท ไชเท้า ไชเท้าสีเขียว มะเขือเทศ พริกหวาน พริก ผักกาดหอม ผักชี ถั่วชิกพี เป็นต้น หลายชนิดหลากหลายครบครัน
พอเห็นผักพวกนี้ปรากฏออกมาสู่สายตา พวกครอบครัวกระรอกดินน้อยก็วิ่งออกมากันหมด
กระรอกดินน้อยเป็นคำเรียกพันธุ์ของกระรอกชนิดนี้ เพราะจริงๆ แล้วตอนนี้พวกมันทั้งครอบครัวไม่ใช่กระรอกตัวเล็กแล้ว พวกมันต่างก็เติบใหญ่ แต่ละตัวมีขนาดประมาณ 20 กว่าเซนติเมตรได้ อาจจะเป็นเพราะกินอาหารในฟาร์มปลาที่มีพลังโพไซดอนประกอบอยู่ แต่ละตัวจึงอวบอ้วน ขนมันเป็นเงา
ไม่รู้ว่ามุดออกมาจากรูไหน ครอบครัวกระรอกดินต่างเรียงแถวเงยหน้ามองฉินสือโอว ไม่ได้กลัวคนเยอะด้วย วิ่งไปอยู่หน้าไชเท้าเขียว อุ้งเท้าของมันขยับไปมาอย่างรวดเร็ว ขุดรอบๆ จนเป็นหลุมหลุมหนึ่งในพริบตาแล้วดึงเอาไชเท้าสีเขียวขึ้นมา
อาร์ม็องอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ขโมยนี่ใจกล้ามากเกินไปแล้วมั้ง?”
หลังจากดึงหัวไชเท้าเขียวออกมา พวกกระรอกดินกลับไม่ได้กิน แต่ยื่นส่งให้วินนี่
วินนี่ยิ้มแล้วนั่งยองๆ ลงไปรับเอาไชเท้าเขียวหัวนี้ พวกกระรอกดินต่างส่งเสียงร้องจิ๊ดๆ มีความสุขกันใหญ่ ต่อมาพวกมันก็ไปขุดมาอีกหัว พอดึงออกมาก็ใช้กรงเล็บของมันปัดๆ เศษดินออกให้สะอาด ยิ้มเห็นฟันแล้วกัดกินไชเท้าเข้าไป
“ว้าว!” มาริโอ้ มิแรนดาและคนอื่นๆ ต่างส่งเสียงอุทานด้วยความตกใจ พ่อฉินถึงกลับพูดว่า “โอ้โห เสี่ยวโอว พังพอนพวกนี้ก็มีความรู้สึกเหมือนมนุษย์ ยังรู้จักที่จะให้พวกแกก่อนหนึ่งหัว”
ฉินสือโอวยิ้มแล้วก็อธิบายว่า “พ่อ นี่ไม่ใช่พังพอน แต่เป็นกระรอกดิน”
ทั้งสองต่างกันอย่างเห็นได้ชัด กระรอกดินของอเมริกาเหนือจัดว่าอยู่ตระกูล Sciuridae เป็นญาติห่างๆ กับเสี่ยวหมิงกระรอกแดงทางอเมริกาเหนือ ส่วนพังพอนอยู่ในตระกูลเพียงพอน Mustelidae เป็นญาติห่างๆ กับตัวมิงค์
พอดึงฟิล์มพลาสติกออก ก็ต้องปลูกผักแปลงที่ว่างไว้ให้เต็ม พ่อของฉินสือโอวบอกว่าเวลานี้เหมาะกับการปลูกผักขึ้นฉ่ายพอดี โกดังของฉินสือโอวก็มีเมล็ดพันธุ์ขี้นฉ่าย ซึ่งแบ่งเป็นสองชนิด ชนิดแรกเป็นขึ้นฉ่ายตะวันตก อีกชนิดเป็นขึ้นฉ่ายเมืองจีน
เมื่อคนจีนเดินทางไปทั่วโลก ผักและผลไม้ของเมืองจีนก็มีอยู่ทั่วโลกเช่นกัน
เมื่อเทียบกันแล้ว ขึ้นฉ่ายจีนจะอร่อยกว่าแล้วก็ปลูกง่ายกว่า ของแบบนี้จะโรยเมล็ดปลูกเลย หรือจะย้ายต้นกล้ามาปลูกก็ได้
ตอนที่สภาพอากาศไม่ดี ปลูกโดยย้ายต้นกล้าจะดีกว่า แต่ตอนนี้อากาศค่อนข้างดี จึงโรยเมล็ดพันธุ์โดยตรงได้เลย
พ่อของฉินสือโอวถนัดงานนี้ที่สุด เขาปลูกผักมา 20 กว่าปีแล้ว แช่เมล็ดในน้ำอุ่นประมาณครึ่งวัน หลังจากนั้นโกยออกมาห่อด้วยผ้าก๊อซ เอาแช่ช่องแข็งในตู้เย็น แล้วพูดว่า “รอสักสองสามวัน รอให้เมล็ดมีต้นกล้าขาวๆ งอกออกมาค่อยย้ายไปปลูกในดิน”
วินนี่พูดอย่างเสียดาย “ยังต้องรออีกตั้งหลายวันเหรอเนี่ย?”
พ่อของฉินสือโอวหัวเราะแล้วพูดว่า “จริงๆ ประมาณสองวันก็พอแล้ว สภาพแวดล้อมในตู้เย็นจะดีกว่า เมื่อก่อนถ้าอยู่ที่บ้าน พวกเราจะไว้ในบ่อน้ำที่ลานหน้าบ้าน เพราะในนั้นจะอบอุ่นเมื่อฤดูหนาวและจะเย็นในช่วงฤดูร้อน”
ฉินสือโอวส่งสัญญาณให้ชาร์คและคนอื่นๆ ดึงโครงไม้ไผ่ออก เมื่อสองปีก่อนตอนที่สร้างไม้ไผ่ทรงกลมนี้เพื่อค้ำยันเรือนกระจกไว้ บิลบอกว่าโครงนี้สามารถใช้ยันได้ 10 กว่าปีซึ่งคำพูดนี้ไม่ได้เกินจริงเลยสักนิด ไม้ไผ่ที่ใช้มาสองปี ความยืดหยุ่นยังคงดีมาก ไม่มีแท่งไหนที่ต้องเปลี่ยนเลย
ซีมอนสเตอร์เข้าไปในเมืองเพื่อไปยืมเครื่องไถนาหนึ่งเครื่อง เขาขับไปที่ฟาร์มปลาแกธเธอริง ตามคำสั่งของฉินสือโอว เขาเลือกที่นาว่างเปล่าที่อยู่ด้านซ้ายของทางเข้า เครื่องไถนาทำงานเสียงดังหึ่ม หึ่ม ไถคราดที่นาไปเรียบร้อยหนึ่งผืน
ครอบครัวของมาริโอ้กำลังปลูกผักในแปลงที่ว่างอยู่อย่างมีความสุข ฉินสือโอวเตรียมซื้อเมล็ดและต้นกล้าพวกนั้นไว้ล่วงหน้าแล้ว ดังนั้นจึงปลูกเมื่อไรก็ได้ แต่พ่อฉินและแม่ฉินกลับรู้สึกว่าสิ่งนี้ไม่มีความท้าทาย จึงให้ฉินสือโอวไปเปิดที่นาผืนหนึ่ง หลังจากนั้นก็ปลูกข้าวโพดและข้าวสาลีฤดูใบไม้ผลิ!
ฉินสือโอวตะลึงกับความคิดของพ่อและแม่ของเขา ที่นี่เป็นฟาร์มปลานะ มาปลูกข้าวโพดหรือข้าวสาลีอะไรกัน?
พ่อฉินพูดว่า “แกดู ที่นาว่างๆ เหลือตั้งเยอะ ทิ้งไว้เสียเปล่าถูกไหม? ปลูกธัญพืชสักหน่อยมีอะไรไม่ดีล่ะ? ข้าวโพดกับข้าวสาลีน่ะ พอปลูกไปแล้วไม่ต้องไปสนใจอะไร แกปลูกไว้สักสองสามหมู่[1] ก็เพียงพอให้แกได้กินแล้ว”
วินนี่ปลอบฉินสือโอวว่า “ตอนนี้ไร่นาแบบผสมผสานกำลังนิยมกันอยู่ไม่ใช่เหรอคะ? พวกเราทำแบบนี้ก็นับได้ว่าเป็นฟาร์มปลาสไตล์ไร่นา ก็ไม่เลวนะคะถูกไหม?”
……………………………………….
[1] หมู่ คือ หน่วยวัดจีน 1 หมู่เท่ากับ 667 ตารางเมตร
บทที่ 1164 กระรอกดินแสนฉลาด
เขาเห็นว่าพ่อแม่จริงจัง ฉินสือโอวจึงพับขากางเกงขึ้นด้วยสีหน้าที่เจ็บปวด
ตอนนั้นพ่อและแม่ส่งเขาไปเรียนมหาวิทยาลัย ก็เพราะไม่อยากเห็นเขากลับมาบ้านทำนาทำไร่ ท้ายสุดเขาไม่เพียงแต่เรียนมหาวิทยาลัยแต่ยังไปถึงต่างประเทศด้วย อีกทั้งยังมีฐานะเป็นถึงมหาเศรษฐีพันล้านดอลลาร์แคนาดา แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ยังต้องมีความเกี่ยวข้องกับการทำไร่นา
วินนี่นั่งยองๆ ลงไปช่วยจัดการกับขากางเกงของฉินสือโอว แล้วพูดว่า “คุณดูสีหน้าคุณสิคะ แค่ปลูกพืชเอง ไม่ได้เหนื่อยสักหน่อย ทำไมต้องทรมานขนาดนี้? มีความสุขหน่อยสิคะ ทำให้พ่อแม่คุณดีใจสักหน่อยไม่ใช่เรื่องที่ดีหรอกเหรอ?”
ฉินสือโอวพูดด้วยใบหน้าที่ขมขื่น “ที่รักจ๊ะ คุณอาจจะไม่รู้ ตอนที่ปลูกพืชไม่เหนื่อยหรอก แต่งานหลังจากนี้เนี่ยหนักกว่ามาก!”
เขาไม่ใช่คนที่ทนลำบากอะไรได้มาก ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ได้มาตั้งถิ่นฐานอย่างสงบที่หลบหลีกจากความวุ่นวายที่เกาะแฟร์เวลหรอก เขาจำฝังใจมากเกี่ยวกับงานทำไร่ทำนาเมื่อตอนที่เขายังเป็นเด็กและสมัยวัยรุ่น กำจัดวัชพืชในนาข้าวสาลี ฉีดยาฆ่าแมลงให้ข้าวโพด…
ยืนอยู่หน้าผืนนาที่ถมดินแล้ว เขายังจำได้รางๆ ถึงความน่ากลัวของการถูกครอบงำโดยงานในไร่นาเมื่อหลายปีก่อน
สิ่งที่น่ากลัวก็คือ พวกกลุ่มซีมอนสเตอร์มาช่วยงานชาวประมง ขับรถไถและเครื่องยนต์กำจัดวัชพืช เหยียบคันเร่งเต็มที่ ถมที่นาออกมาได้ผืนใหญ่มาก เดิมทีฉินสือโอวอยากปลูกแค่ 1-2 หมู่ แต่ตอนนี้พอทำออกมาปาเข้าไป 20 หมู่!
“เชี่ย ฉันสงสัยว่าทำไมพวกนายถึงถมที่ได้ที่นาผืนใหญ่ขนาดนี้?” ฉินสือโอวนายใหญ่ตะโกนด้วยความโกรธ
ซีมอนสเตอร์หัวเราะออกมา “ปลูกน้อยไปก็ไม่มีผักสำหรับพวกเราสิครับ บอส ปีที่แล้วพวกเรากินผักฟรี ปีนี้ก็กินธัญพืชฟรีเหมือนกันใช่ไหมครับ?”
ชาวประมงคนอื่นๆ ก็ยิ้มอย่างมีความสุขเช่นกัน บูลมีสีหน้ายิ้มแย้มแล้วพูดว่า “ขอบคุณพระเจ้า ครั้งแรกเลยที่ผมเจอเจ้าของฟาร์มปลาที่ให้ทั้งกินฟรีอยู่ฟรี บอสเป็นคนดี ผมรักบอสที่สุดเลยครับ”
พอเป็นแบบนี้ฉินสือโอวก็ทำได้แค่ยิ้มตาม จริงๆ แล้วเขายิ้มอย่างมีความสุขมาก วินนี่จึงนึกว่าเขาคิดได้แล้ว แต่ตอนนี้สิ่งที่เขาคิดคือจะแบ่งงานให้พวกชาวประมงอย่างไร ส่วนสำหรับเขา? อย่าคิดแม้แต่จะให้เขาลงมือเลย!
การปลูกพืชไม่ใช่เรื่องยาก ทุกอย่างล้วนใช้เครื่องจักร ฉินสือโอวพับขากางเกงแล้วเดินไปที่นากับพ่อและแม่ เขาเก็บก้อนหิน ก้อนดินก้อนใหญ่ที่แตกละเอียดขึ้นมา ส่วนที่เหลือให้เป็นหน้าที่ของเครื่องจักร ส่วนเรื่องใส่ยาฆ่าแมลงก็มีเครื่องบินช่วยพ่นได้
พ่อฉินเดินในไร่หนึ่งรอบ ก่อนจะส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ใกล้ทะเลเกินไปหน่อย ที่นานี้ไม่ได้มีดินเยอะ มีแค่ชั้นเดียว แกลองดูลึกลงไปหน่อยก็เป็นทรายหมดแล้ว ดูท่าการเก็บเกี่ยวอาจจะไม่ค่อยดีมากนัก”
ฉินสือโอวพูดขึ้น “อย่างไรก็กินกันเอง จะกินได้มากเท่าไรกันเชียว? “
ต่อให้กินกันจำนวนมากก็ไม่กลัว เพราะมีพลังโพไซดอนอยู่ พืชผลอะไรก็ตามต่างก็มีผลผลิตที่ดีทั้งนั้น
เริ่มโปรยเมล็ดซึ่งงานนี้ไม่ต้องให้เขาลงมือเองเลย วินนี่ลากเขาไปหาครอบครัวมิแรนดา พวกเขากำลังปลูกฟักทอง
วันวิคตอเรียปีนี้ งานสำคัญของฟาร์มปลาก็คือปลูกฟักทอง
หลังจากที่ฉินสือโอวมาที่ฟาร์มปลา ก็ไม่เคยฉลองวันฮาโลวีนจริงๆ จังๆ นี่เป็นเทศกาลที่สำคัญมากเลยทีเดียว แต่เป็นเพราะสองปีก่อนคนในฟาร์มปลายังมีน้อย เขาไม่มีครอบครัว ส่วนปีที่แล้วเพราะวินนี่ตั้งท้อง เขาจึงกลัวว่าจัดกิจกรรมแล้วจะทำให้วินนี่ตกใจได้
วันฮาโลวีนที่นิวฟันด์แลนด์ต้องเล่าเรื่องผี แล้วยังต้องสร้างบรรยากาศน่าสยดสยองด้วย ซึ่งตอนนั้นวินนี่ตั้งท้องกำลังอยู่ในช่วงสำคัญ ฉินสือโอวจึงไม่กล้าและไม่อยากให้วินนี่เกิดอุบัติเหตุใดๆ
ด้วยเหตุนี้ วันฮาโลวีนปีนี้ต้องฉลองให้ดีๆ หน่อย แล้วของที่เป็นสัญลักษณ์ของวันฮาโลวีนก็คือฟักทอง ดังนั้นตอนนี้แต่ละบ้านแต่ละครอบครัวในเมืองต่างก็กำลังยุ่งอยู่กับการปลูกฟักทอง
เมล็ดฟักทองเป็นแบบสำเร็จรูป บ้านของชาวประมงทุกคนจะมีเจ้าสิ่งนี้อยู่ ที่ฉินสือโอวไม่ได้เลือกปลูกฟักทองทั่วไป แต่เป็นฟักทองขนาดใหญ่ เป็นพันธุ์ที่เติบโตได้มีขนาดใหญ่มากสมชื่อ
ฟักทองพันธุ์นี้ปลูกในสหรัฐอเมริกาเมื่อปลายศตวรรษที่แล้ว สารอาหารอุดมสมบูรณ์ มีส่วนประกอบทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตีน แคโรทีน วิตามินบี วิตามินซี แคลเซียม และฟอสฟอรัสเป็นต้น ไม่เพียงแต่มีคุณค่าทางโภชนาการที่ค่อนข้างสูง แต่ยังมีประโยชน์ในการรักษาที่ไม่อาจมองข้ามไปอีกด้วย
แน่นอนว่าสำหรับฟาร์มปลา ราคาของมันจะอยู่ที่ขนาดใหญ่และสวยงาม หลังจากนั้นก็จะเอามาใช้ทำเป็นโคมไฟฟักทอง
การปลูกฟักทองใหญ่ไม่ได้มีความต้องการอะไรเป็นพิเศษในเรื่องดิน ไม่ว่าจะปลูกบนดินทราย ดินร่วนปนทรายหรือดินร่วนก็เจริญเติบโตได้ทั้งนั้น ดินที่มีเป็นจำนวนมากในฟาร์มปลาคือดินร่วนปนทราย ซึ่งเหมาะกับการปลูกฟักทองมาก
ยังมีพื้นที่ว่างในฟาร์มปลาอีกมาก อีกอย่างถ้าจะปลูกฟักทองใหญ่ก็ต้องใช้วิธีปลูกให้มันเลื้อย
วิธีวางโครงให้เลื้อยช่วยประหยัดพื้นที่ไปได้มาก แต่ก็จะไม่ได้ลูกฟักทองที่มีขนาดยักษ์ เพราะไม่เช่นนั้นจะทำให้เถาวัลย์ขาดผึงหรือโครงไม้หักได้
ซึ่งงานแบบนี้ไม่ต้องถึงมือพวกชาวประมง ทั้งครอบครัวมาริโอ้ และมิแรนดาเคยปลูกฟักทองมาก่อน พวกเขาจึงทำเองได้ ส่วนฉินสือโอวและวินนี่ก็ไปเป็นลูกมือ เน้นการมีส่วนร่วม
การปลูกฟักทองสามารถใช้วิธีเพาะเมล็ดแล้วค่อยย้ายได้ หรือจะปลูกโดยตรงจากเมล็ดเลยก็ได้ ซึ่งก็คือการที่เอาเมล็ดไปไว้ในดินให้มันเจริญเติบโตขึ้นมาเอง เพราะตอนนี้ถ้าจะมาเพาะเมล็ดก่อนจะไม่ทันการแล้ว พวกเขาจึงเลือกวิธีปลูกเมล็ดโดยตรงเลย
จุดที่ค่อนข้างเหนื่อยของการปลูกเมล็ดโดยตรงคือ ต้องใช้แรงงานคนในการขุดหลุม ซึ่งโดยปกติจะใส่เมล็ด 2-3 เมล็ดลงในแต่ละหลุม มาริโอ้มองไปที่พวกกระรอกดินน้อยที่จ้องมองเหมือนรอตะครุบอยู่ด้านข้าง พูดด้วยความกังวลใจขึ้นมาว่า “หรือไม่ก็พวกเราใส่เมล็ดลงไปเยอะหน่อยดีไหม ไม่อย่างนั้นจะโดนพวกขโมยตัวน้อยกินหมดไป จะทำอย่างไรได้?”
เมื่อฟักทองขาดต้นกล้า ก็จะจัดการได้ยากพอควร ถึงจะเสริมต้นกล้าได้ในระยะต่อมา แต่เนื่องจากระยะเวลาการเจริญเติบโตของต้นกล้าไม่สม่ำเสมอจึงไม่เอื้อต่อการจัดการหรือปฏิบัติงาน
วินนี่พูดอย่างไม่พอใจว่า “นี่ไม่ใช่ขโมยนะคะ พวกมันก็เป็นเด็กๆ ของที่ฟาร์มปลานี้เช่นกัน พวกมันไม่ขโมยของกินแน่นอน”
เธอพูดไปก็นั่งยองๆ แล้วยื่นมือออกไป พวกกระรอกดินน้อยต่างวิ่งเข้ามาหาอย่างมีความสุข เดินวนรอบเธอไปมา แลบลิ้นสีชมพูนุ่มๆ เลียไปที่หลังมือและฝ่ามือของเธอ นี่เป็นวิธีการแสดงออกความรู้สึกอย่างหนึ่งของพวกเด็กๆ ที่ฟาร์มปลานี้
มาริโอ้หัวเราะเยาะ “แต่ลูกดูสิ พวกมันนั่งจ้องมองพวกเราโปรยเมล็ดอยู่ตรงนี้ตลอดเวลา ลูกต้องรู้ด้วยนะว่าเมล็ดฟักทองน่ะเป็นอาหารโปรดปรานมากที่สุดของพวกกระรอกดินเลย”
วินนี่กล่าวว่า “พวกมันรอที่จะช่วยอยู่นะ”
มาริโอ้และมิแรนดาหัวเราะขึ้นมา วินนี่ใช้พลั่วเล็กๆ ขุดหลุมขนาดประมาณกำปั้นหนึ่งลึก 5-6 เซนติเมตรบนพื้นดิน พวกกระรอกดินน้อยตั้งใจดูในขณะที่ล้อมรอบอยู่ข้างๆ พอเธอขุดหลุมได้ 10 กว่าหลุมติดต่อกัน พวกมันก็รู้แล้วว่าต้องทำอย่างไร
หลังจากนั้นถัดมา วินนี่กะประมาณโดยใช้พลั่วทิ้งร่องรอยของหลุมเอาไว้ เนื่องจากการปลูกแบบให้เลื้อยขึ้นมา ระยะระหว่างหลุมไม่ควรติดกันมาก เหมาะที่สุดคือประมาณ 4 เมตร วินนี่จึงขุดหลุมโดยมีระยะห่าง 8 ก้าว
ครอบครัวของกระรอกดินเริ่มทำงาน พวกมันตัวหนึ่งรับผิดชอบหลุมหนึ่ง กรงเล็บเล็กๆ ของมันขุดอย่างรวดเร็ว เพียงสิบกว่าวินาทีก็สามารถขุดหลุมได้เหมือนกับหลุมที่วินนี่สาธิตให้ดูก่อนหน้านี้ ปากหลุมยังเป็นวงกลมเรียบ ราวกับวาดเข็มทิศ
รอยยิ้มของมาริโอ้และคนอื่นๆ เกร็งแข็งขึ้นมา เต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ อาร์ม็องจ้องเขม็ง ปากพึมพำว่า ‘ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย’ ‘พระเจ้า นี่มันอัศจรรย์มาก’ คำพูดพวกนี้อยู่ตลอดเวลา
หลังจากขุดต่อเนื่องไปร้อยกว่าหลุม พวกกระรอกดินจึงรู้สึกเหนื่อยและหยุดทำ หลุมแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว เพราะก่อนหน้านั้นมาริโอ้และคนอื่นๆ ได้ขุดไปแล้ว 50 กว่าหลุม วินนี่เอาเมล็ดฟักทองที่เหลือให้พวกเจ้ากระรอกดิน มอบให้พวกมันเป็นรางวัล
พอกินเมล็ดฟักทองที่วินนี่ให้มันหมดแล้ว พวกกระรอกดินเห็นว่าไม่ต้องขุดหลุมแล้ว จึงสะบัดหางไปมา กระโดดหย็องๆ แล้วออกจากตรงนั้นไป ไม่มองเมล็ดฟักทองที่ฝังอยู่ในดินแล้วเลยด้วยซ้ำ
วินนี่ยื่นมือให้พ่อและแม่ของเธอพร้อมพูดประชดเล็กๆ ว่า “ไหนล่ะ ขโมยตัวน้อย? นี่เรียกว่าขโมยตัวน้อยเหรอ?”
มาริโอ้ฝืนยิ้ม “ไม่ใช่ พ่อผิดไปแล้ว นี่เรียกว่าอัจฉริยะตัวน้อย ลูกรัก”
บทที่ 1165 กระแสปลาไข่
หลังจากวันวิคตอเรียผ่านไป ฉินสือโอวกับวินนี่ต้องมาเตรียมเรื่องงานหมั้นต่อแล้ว
งานเกี่ยวกับพวกงานเลี้ยงจะเป็นพ่อและแม่ของวินนี่ดูแล ส่วนงานอื่นๆ จะเป็นฉินสือโอวดูแล เขาต้องจองโรงแรมให้แขก และแขกที่มางานครั้งนี้หลายคนมีฐานะที่ไม่ธรรมดา ดังนั้นเขาจึงวานเรคให้ช่วยติดต่อโรงแรมห้าดาวของเมืองเซนต์จอห์น ดูท่าแล้วสองวันนั้นคงต้องเหมาทั้งชั้น
ตอนเย็นถ้าไม่มีอะไรทำ ฉินสือโอวก็จะพาวินนี่ไปดูคลื่นทะเล ทั้งคู่เดินจูงมือนิ้วประสานกันไปบนชายหาดอย่างเงียบๆ ฟังเสียงคลื่นเพราะๆ กระทบชายฝั่ง มองดูแสงดาวสุกสกาวสีน้ำเงินบนท้องฟ้า ตอนนี้มักจะเป็นตอนที่ภายในใจของเขาสงบมากที่สุด
ในไม่ช้า กองกำลังหลักของฝูงปลาไข่ก็มาถึงแล้ว ฟาร์มปลาจึงคึกคักขึ้นมา
เช้าวันหนึ่ง อยู่ดีๆ ก็มีปลาตัวเล็กขนาดเท่าฝ่ามือจำนวนนับไม่ถ้วนลอยมาตามคลื่นจนกระโดดมาอยู่บนชายหาดทราย พอคลื่นซัดมาอีกระลอก ก็จะพัดพาปลาจำนวนหนึ่งมาพร้อมๆ กับพาปลาจำนวนหนึ่งล่องลอยไป วนเวียนไปมาอยู่อย่างนี้…
เมื่อคืนฉินสือโอวมองเห็นฉากนี้ผ่านจิตสำนึกแห่งโพไซดอน แต่ยังห่างไกลกับตอนที่เห็นจริงๆ ที่น่าตกใจกว่ามาก ก็เหมือนกับตอนที่เขาบอกพวกชาวประมงตอนที่เห็นฉากนี้ครั้งแรกแบบนั้น ในความตกใจยังแฝงด้วยความน่ากลัว มหาสมุทรให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตมากมายขนาดนี้เลยเหรอ!
พวกชาวประมงต่างรอเวลานี้มาโดยตลอด หลังจากที่วันนี้มาถึง ทุกคนต่างก็มารวมตัวบนหาดทรายและท่าเรือ เพื่อมาดูฉากนี้
นกจมูกหลอดหางสั้นในป่าที่ฟาร์มปลากรูกันออกมา เจ้าพวกตัวอวบอ้วนพวกนี้บินอยู่ใกล้หาดทรายอย่างมีความสุข เพลิดเพลินกับอาหารมากมายก่ายกองมื้อนี้
ในขณะเดียวกันก็ยังมีปลาอื่นๆ ที่เพลิดเพลินไปกับมื้อนี้เช่นกัน กลุ่มคนที่ยืนตรงนี้เห็นทั้งฝูงปลาไข่ และยังมีฝูงปลาชนิดอื่นด้วย ในช่วงเวลานี้สามารถมองออกเลยว่าฟาร์มปลามีความอุดมสมบูรณ์ขนาดไหน
ฝูงปลาไข่จำนวนมากว่ายนำคนอื่นมาก่อนจากทะเลลึก ดูเหมือนว่าน่านน้ำทะเลตื้นของฟาร์มปลาจะเดือดปุดๆ คลื่นน้ำหมุนวน ปลาไข่ถูกซัดจนว่ายกระเด็นออกจากผิวน้ำตลอด
บุชพุ่งลงมาจากอากาศ ปลาตัวหนึ่งเพิ่งกระโดดขึ้นมา กรงเล็บของมันก็จับไปที่ปลาตัวนั้นอย่างแม่นยำ หลังจากนั้นสองปีกที่แข็งแรงก็กระพือบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าไป
ร่างของนิมิตส์ปรากฏขึ้น บุชปล่อยปลาที่เพิ่งจับได้เมื่อกี้ไป ปลาตัวนี้จึงขยับไปมาอยู่กลางอากาศด้วยความหวาดกลัว และก่อนที่จะตกลงสู่ผิวน้ำก็มีเงาๆ หนึ่งพุ่งผ่านไปอย่างว่องไว นกฟรีเกตใช้ความแม่นยำที่น่าทึ่งจับปลาตัวนั้นแล้วกลืนกินเข้าไป
บุชบินขึ้นบินลงครั้งแล้วครั้งเล่า จับปลาได้แล้วก็โยนทิ้ง ส่วนนิมิตส์บินไปมาอยู่ด้านล่างอย่างรวดเร็ว เพลิดเพลินไปกับของขวัญที่เพื่อนส่งมาให้
พ่อฉินและแม่ฉินเห็นฉากแบบนี้เป็นครั้งแรก คนสูงวัยทั้งสองทอดถอนใจแล้วพูดว่า “พระเจ้า นี่มันปลาจำนวนเท่าไรกันนี่! ปลาพวกนี้มาจากไหนกัน? ทำไมถึงกระโดดมาอยู่ตรงหาดทรายเต็มไปหมด คงไม่ได้ฆ่าตัวเองตายหรอกนะ?”
พี่สาวของฉินสือโอวและพี่เขยก็เห็นแบบนี้เป็นครั้งแรกเช่นกัน ครอบครัวมิแรนดาก็เหมือนกัน พวกเขาต่างตกตะลึง วินนี่อธิบายให้พวกเขาฟังถึงสถานการณ์ของปลาไข่ “ช่วงฤดูกาลแบบนี้ในทุกๆ ปี ปลาไข่จะว่ายน้ำมาจากส่วนน้ำลึกของมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือไปยังสถานที่ที่กระแสน้ำอาร์กติกเย็นและกระแสน้ำอุ่นที่อ่าวเม็กซิโกมาบรรจบกันเพื่อหาอาหาร”
“อาหารในฟาร์มปลาของเราอุดมสมบูรณ์มากที่สุด คุณภาพของน้ำก็ดีที่สุด จึงดึงดูดปลาไข่จำนวนมากให้มาที่นี่ พวกมันจะกินอิ่มหนำสำราญที่ฟาร์มปลาแล้วหลังจากนั้นก็เจริญเติบโตขยายพันธุ์ต่อไป”
จำนวนของปลาไข่ที่มาในปีนี้ยังมากกว่าปีที่แล้ว เพราะว่าปีที่แล้วฉินสือโอวเก็บปลาพวกนี้จำนวนมากให้อยู่ในฟาร์มปลา พอปลาพวกนี้ดูดซึมพลังโพไซดอนแล้วก็วางไข่ไว้มากมายทำให้ปลาไข่จำนวนมหาศาลอยู่ในบริเวณนอกชายฝั่ง
อย่างไรก็ตามหากยังไม่ถึงเวลาที่กำหนดไว้ พวกมันก็จะไม่มาว่ายมาตรงหาดทรายเพื่อผสมพันธุ์และวางไข่ ดังนั้นปกติก็จะไม่ได้เห็นภาพแบบนี้
การมาของปลาไข่เหมือนเป็นสถานการณ์วินวินทั้งสองฝ่าย เพราะพวกมันก็จะกินแพลงก์ตอนและพวกสาหร่ายทะเลจำนวนมากในพื้นที่ฟาร์มปลาและยังคงใช้พลังงานต่อไปเพื่อให้กระบวนการสืบพันธุ์สมบูรณ์ และปลาที่อาศัยอยู่ในฟาร์มปลาอยู่แล้ว อย่างเช่นปลาจำพวก ปลาค็อด ปลาทูน่า เป็นต้นก็จะจับพวกมันกิน เพราะพวกนี้เป็นอาหารชั้นดีกว่าปลาแฮร์ริ่งและปลาซาบะ
ในขณะที่ฝูงปลาอัดแน่นอยู่ตรงผิวน้ำ การที่ยืนอยู่ตรงท่าเรือแล้วมองไปรอบๆ ก็ราวกับว่ายืนอยู่ท่ามกลางฝูงปลา
พวกนักล่าค่อยๆ ปรากฏตัวอย่างช้าๆ แล้วพวกมันยังรวมตัวกันเป็นกลุ่มด้วย
ปลาค็อดตัวใหญ่ยาวมากกว่า 1 เมตรแต่ละตัวลอยอยู่บนผิวน้ำ พวกมันไม่ได้กระจายตัวอยู่เหมือนปลาไข่ แต่กลับเรียงตัวแน่นเป็นลักษณะเหมือนเส้นยาว ราวกับงูไททันโอโบอาที่ยาวหลายกิโลเมตรและกว้างหลายร้อยเมตรปรากฏตัวขึ้น ฝูงปลารวมตัวกัน ต่างพยายามเบียดเสียดขึ้นมาเพื่อกินปลาไข่ที่อยู่โดยรอบ
พอเป็นแบบนี้พวกปลาค็อดก็ชะลอความเร็วอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ฝูงปลาบิดตัวไปมาตลอดเวลา ราวกับงูไททันโอโบอาตัวนั้นกำลังบิดตัวไปมาอย่างไรอย่างนั้น
ฉินสือโอวชี้ปลาจำนวนหนึ่งให้พ่อเขาดู ปลาเหล่านี้อวบอ้วนเป็นพิเศษ สีที่ส่วนบนของลำตัวจากสีน้ำตาลค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเทา ตรงส่วนท้องสีจะจางกว่าออกสีเทาขาว “นั่นก็คือปลาค็อดแอตแลนติกที่มีชื่อเสียง เมื่อก่อนเป็นปลาค็อดที่เจ๋งที่สุดของฟาร์มปลาของเรา มีจำนวนเยอะมหาศาล แต่ตอนนี้น้อยลงมากแล้ว”
พ่อฉินกล่าว “ปลาตัวนี้โตได้แค่ไหนเหรอ?”
”ยาวเมตรกว่า”
”มันใหญ่จริงๆ เลย” พ่อฉินอุทาน
เมื่อเขาพูดจบ ทันใดนั้นปลาตัวยักษ์ยาวสี่เมตรกว่าที่ดูน่ากลัวก็กระโดดขึ้นมาจากน้ำในจุดที่ไม่ไกลออกไป มันมีปากแหลมที่ยาวมากเป็นพิเศษ หลังจากที่โผล่พ้นน้ำมา ครีบหลังของมันกางออกแหวกว่ายอยู่บนผิวน้ำไป 5-6 เมตรก็ดำดิ่งลงไปในน้ำทะเลเช่นเดิม
“ปลากระโทงสีน้ำเงิน!” ฉินสือโอวตอบข้อสงสัยของพ่อไปก่อนล่วงหน้า แล้วก็เป็นดั่งคาด พ่อฉินอุทานต่อจากเขา “พระเจ้าช่วย นี่มันปลาอะไรเนี่ย? ทำไมถึงได้ใหญ่ขนาดนี้?”
ปลากระโทงสีน้ำเงินมีการกระจายพันธุ์ในน่านน้ำเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน พบเห็นได้น้อยได้ฟาร์มปลานิวฟันด์แลนด์ แต่ฟาร์มปลาต้าฉินอุดมไปด้วยอาหารมากมาย อีกทั้งในอาหารยังมีส่วนประกอบของพลังโพไซดอนซึ่งสามารถเปลี่ยนนิสัยของสายพันธุ์ได้ ดังนั้นแล้วปลาที่พบเห็นได้ยากบางชนิดจึงทยอยมาที่ฟาร์มปลาและอาศัยอยู่ที่นี่
ชนิดของปลาในมหาสมุทร โดยเฉพาะปลาตัวใหญ่ ส่วนมากจะชอบว่ายไปตามน่านน้ำรอบโลก พวกมันไล่ไปตามกระแสน้ำในมหาสมุทรและอาหารว่ายวนไปตามมหาสมุทร พอเจอที่ไหนที่เหมาะจะตั้งรกราก พวกมันก็จะอาศัยอยู่ที่นั่นเป็นการชั่วคราว
หลังจากที่มีปลากระโทงสีน้ำเงินโผล่พ้นผิวน้ำมาหนึ่งตัว ก็มีปลาชนิดนี้กระโดดขึ้นมาอีกหลายตัว ฉินสือโอวปล่อยจิตสำนึกแห่งโพไซดอนลงไปเพื่อดูว่ากำลังมีฝูงปลากระโทงสีน้ำเงินมาหรือเปล่า แต่ปรากฏว่าตอนนี้ใต้ทะเลวุ่นวายมาก จึงตรวจดูไม่ได้
พวกชาวประมงปรบมือดีใจ พวกเขานึกว่าจะมีฝูงปลากระโทงสีน้ำเงินมา ชาร์คถลึงตามองไปที่หนุ่มพวกนี้ “พวกนายยินดีเพื่อ พวกนี้เป็นศัตรูร้ายของฟาร์มปลาเรา!”
แม้ว่าปลากระโทงสีน้ำเงินจะไม่ได้ถูกระบุว่าเป็นปลาใกล้สูญพันธุ์ แต่ว่าตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา พวกมันก็ถูกจัดอยู่ในหนังสือปกแดงทะเลโดยกรีนพีซ ตามกฎของแคนาดากำหนดไว้ว่าจะต้องปล่อยปลากระโทงสีน้ำเงินไปหากจับอยู่ในระยะ 200 ไมล์ทะเลจากชายฝั่งทะเล ไม่สามารถจับปลากระโทงสีน้ำเงินพวกนี้ได้
ชาร์คเรียกพวกมันว่าศัตรูร้าย เพราะว่าพวกมันมีความสามารถในการล่าที่แข็งแกร่งเกินไป ลูกปลาจะกินพวกแพลงค์ตอน ไข่และลูกปลาชนิดอื่นๆ ที่คล้ายกัน แล้วค่อยๆ เจริญเติบโต พวกมันกินปลาได้หลากหลายชนิดมาก รวมไปถึงปลาซาบะ ปลาทูน่า ปลาหมึกและปลาตัวเล็กๆ ริมชายฝั่งพวกนั้น
พอพวกมันโตขึ้นอีกหน่อย พวกมันก็จะกินปลาโอขาว ปลาโอหลอดและปลาโอแถบ และรอจนมันเติบโตจนมีความยาว 3-4 เมตร ถึงตอนนั้นอาหารของมันจะยิ่งน่ากลัวกว่าเดิม เพราะพวกมันสามารถกินปลากระโทงขาวตัวใหญ่ ปลาทูน่าครีบเหลืองและปลาทูน่าตาโตที่หนักถึง 45 กิโลกรัม แย่งทรัพยากรจากฟาร์มปลาไปหมด
ซีมอนสเตอร์ไม่เห็นด้วย “เพื่อน พวกมันไม่ได้อาศัยอยู่น่านน้ำบริเวณนอกชายฝั่งเสมอไป ไม่ช้าก็เร็วพวกมันก็จะคืนกลับไปสู่ทะเลลึก ถึงตอนนั้นพวกเราก็จับได้แล้ว ไม่ใช่เหรอ?”
คนกลุ่มหนึ่งคุยไป ก็วางแผนไปว่าจะจับปลากระโทงสีน้ำเงินอย่างไร แล้วฝูงปลาจำนวนมากกว่าเดิมก็ปรากฏตัวขึ้น
บทที่ 1166 การให้อาหารและข้อเสนอแนะ
ปลาค็อดชนิดต่างๆ อย่างเช่น ปลาอลาสก้าพอลล็อค ปลาค็อดดำ ปลาหิมะ เป็นต้น ว่ายขึ้นมาบริเวณผิวน้ำเพื่อหาอาหาร ปลาพวกนี้สามารถเติบโตได้ยาวมากกว่า 1 เมตร ตัวเดี่ยวๆ เล็กกว่าปลากระโทงสีน้ำเงินมาก แต่พวกมันไม่ได้ปรากฏตัวแค่ตัวเดียว แต่เป็นกลุ่มก้อนใหญ่!
ปลาค็อดหลายพันตัวรวมตัวกันเป็นฝูงใหญ่แหวกว่ายไปมาอยู่บนผิวน้ำอย่างว่องไว ปลาไข่ถูกทำให้ตกใจจนสลายตัว ฝูงปลาว่ายชนกันไปมาทำให้เกิดเป็นคลื่นนับไม่ถ้วน
ปลาแอนโชวี่แอตแลนติก ปลาแบสดำ ปลาคาซาโกะ ปลาอมไข่ครีบยาว ปลาลิ้นหมา ปลาโอขาว ปลาโอหลอด ปลากระโทงขาว และปลาโอแถบ เป็นต้น สีของฝูงปลาชนิดต่างๆ สะท้อนสลับกันไปมา เปลี่ยนพื้นที่นอกชายฝั่งให้กลายเป็นตลาดอาหารทะเลที่แออัด
ฉินสือโอวปล่อยจิตสำนึกแห่งโพไซดอนออกไปที่ทะเลลึกเพื่อสำรวจ ยังคงมีปลาไข่กำลังจะมาอีกเป็นระลอกๆ แม้แต่ปลาซาบะและปลาแฮร์ริ่งก็สามารถจับพวกมันกินได้ ปลาเหล่านี้นำไปสู่งานเลี้ยงแห่งการล่าเหยื่อทางทะเลอย่างแท้จริง
ไม่มีทางที่ปลาไข่จะหมดเกลี้ยงหรอก เพราะว่าจำนวนของมันมีมากเกินไป ด้วยเหตุนี้ในทางกลับกัน พวกมันจะกินพวกสัตว์ระดับล่างจำนวนมาก อย่างแพลงก์ตอน เมล็ดสาหร่าย เศษใบสาหร่ายพวกนี้ที่อยู่ในฟาร์มปลาจนหมด
ตอนนี้มองดูบนบริเวณผิวน้ำทะเลก็จะเห็นปลาไข่จำนวนมาก แต่ความเป็นจริงแล้วหากมองผ่านจิตสำนึกแห่งโพไซดอนจะรู้เลยว่าใต้ทะเลลงไปยังมีจำนวนปลาไข่ที่มากกว่าอีกเยอะ ฝูงปลาจำนวนไม่น้อยจะอยู่ตรงกลุ่มปะการังใต้น้ำ หรือแทรกตัวอยู่ตามสาหร่ายทะเล
ในที่สุด ปลาทูน่าครีบน้ำเงินก็ปรากฏตัว แต่พวกมันไม่ได้กระโดดขึ้นมาบนผิวน้ำ แต่มาจากทะเลลึก ลักษณะรูปร่างคล้ายตอร์ปิโดวิ่งพุ่งชนเข้าไปอยู่ท่ามกลางฝูงปลา ปลาไข่ ปลาแฮร์ริ่ง ปลาซาบะและปลาค็อดตัวเล็กล้วนเป็นอาหารรสเลิศของมัน
ปลาทูน่าครีบน้ำเงินเมื่อปรากฏตัวออกมาก็มากันเป็นฝูง ปลาตัวใหญ่หลายสิบตัวส่งเสียงร้องไห้หวาดกลัวและพุ่งด้วยความเร็วมหาศาล อ้าปากกว้างเหมือนกับเครื่องเกี่ยวข้าว จะมีปลาตัวเล็กๆ วิ่งชนเข้าไปในปากมันอัตโนมัติ
ในทะเลลึกวาฬบาลีน วาฬสีน้ำเงิน วาฬหลังค่อมจำนวนหนึ่งต่างเตรียมพร้อม แต่น่าเสียดายที่พวกมันไม่กล้าเข้าไปในเขตน้ำทะเลตื้น เพราะง่ายต่อการเกยตื้น ธรรมชาติสอนพวกมันว่าต้องระมัดระวังในการล่าเหยื่อ ยังดีว่าในทะเลน้ำลึกยังมีปลาไข่อยู่บ้างจึงทำให้พวกมันยังได้กินปลาไข่
ฉลามแมวเจ็ดพี่น้องมีความสุขมาก ตั้งแต่ปลาไข่ปรากฏตัวขึ้นเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาก็ทำให้การล่าเหยื่อของพวกมันง่ายขึ้นมาก
ตอนนี้ฉลามแมวเจ็ดพี่น้องล่าเหยื่อได้ง่ายขึ้น พวกมันถ้าไม่ดำน้ำก็ว่ายอยู่บนผิวน้ำ พอเจอปลาฝูงใหญ่ พวกมันก็จะล้อมรอบจากทุกด้าน พอเป็นแบบนี้เมื่อปลาไข่ตกใจก็จะว่ายชุลมุนไปหมด แน่นอนว่าจะต้องมีสักตัวที่ว่ายเข้าไปในปากพวกมันที่อ้ากว้างไว้อย่างแน่นอน
เมื่อกินจนอิ่มหนำ ฉลามแมวเจ็ดพี่น้องก็หยุดหาอาหาร พวกมันแต่ละตัวอวบอ้วนเพราะว่ากินอาหารบำรุงไปเยอะ ใจก็กล้ามากขึ้นเช่นกัน ปลาไข่ที่ไร้สมองและขี้กลัวทำให้พวกมันมีความกล้า ฉลามแมวเจ็ดพี่น้องจึงว่ายสู่ทะเลลึกไปด้วยกัน
หลังจากมองอยู่ตรงริมชายทะเลสักพัก พวกชาวประมงก็ต้องเริ่มทำงานแล้ว เบิร์ดไปขับเครื่องบินแทรกเตอร์ที่ไม่ได้ใช้งานมานานออกมา ส่วนชาวประมงก็เอาแมงกะพรุนอบแห้งที่ทุบแล้วในโกดังลำเลียงขึ้นเครื่องบินทีละกระสอบ ทีละกระสอบ
สิบวันก่อนหน้านั้น ฉินสือโอวสั่งให้ชาร์คช่วยจัดการพาคนเอาแมงกะพรุนอบแห้งไปส่งที่บริษัทอาหารปลาเพื่อที่จะเอาไปบด ตอนนี้ในกระสอบคือผงทั้งนั้น มีกลิ่นทะเลเข้มๆ คละคลุ้ง ซึ่งก็คือผงของแมงกะพรุนอบแห้ง
ส่วนที่เหลือจากคายน้ำของแมงกะพรุนส่วนมากคือโปรตีน หลังจากบดแล้วสามารถเป็นอาหารของพวกแพลงก์ตอน ปลาและกุ้งระดับล่างในห่วงโซ่อาหารได้
การมาถึงของปลาไข่จำนวนมากขนาดนี้ จึงคาดว่าแพลงก์ตอนในฟาร์มปลาจะถูกกินจนเกลี้ยง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องจัดหาอาหารโดยการทำแพลงก์ตอนเทียม
ฉินสือโอวขึ้นไปช่วย ผงแมงกะพรุนแต่ละกระสอบถูกลำเลียงขึ้นไปห้องโดยสารของเครื่องบิน เพียงครั้งเดียวก็สามารถจุได้ถึงสองตัน
เครื่องบินแทรกเตอร์เป็นเครื่องบินที่ใช้สำหรับเกษตรกรรมโดยเฉพาะ ใช้สำหรับพ่นยาฆ่าแมลงและโปรยอาหารจากท้องฟ้าสำหรับฟาร์มปลาโดยตรง ซึ่งมันจะมีห้องโดยสารพิเศษ เมื่อลำเลียงผงแมงกะพรุนขึ้นไป ส่วนท้องของเครื่องบินจะเปิดช่องออกมาหนึ่งช่อง พอถึงเวลาผงแมงกะพรุนก็จะถูกโปรยปรายลงมาอย่างง่ายดาย
ฉินสือโอวและชาร์คขึ้นไปบนเครื่องบิน ส่วนเบิร์ดขยับแท่นควบคุม เครื่องยนต์เทอร์โบพร๊อปของเครื่องบินแทรกเตอร์หมายเลข PT6A45R ส่งเสียงคำรามหึ่งๆ ดังขึ้นมา ใบพัดโลหะห้าใบพัดด้วยความเร็วคงที่ก็เริ่มหมุนเสียงดัง วิ่งตรงไปบนรันเวย์ หลังจากนั้นก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
หลังจากบินขึ้นไปแล้ว หัวของเครื่องบินแทรกเตอร์ก็ดิ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า พอทรงตัวได้ถึงค่อยร่อนลงมาบินขนานกับทะเลเพื่อโปรยผงแมงกะพรุนแห้ง
ไม่ได้ถือว่าสูงมากนัก ฉินสือโอวมองออกไปที่ทะเลจากหน้าต่างในห้องโดยสาร เมื่อมองจากด้านบนยิ่งรู้สึกได้ถึงความตื่นตะลึงที่ฝูงปลานับหมื่นกำลังต่อสู้กัน ภาพที่ปลาตัวใหญ่นับแสนกำลังเบียดเสียดอัดแน่น ทำให้รู้สึกได้เลยว่าเพียงเหยียบบนตัวพวกมันก็สามารถเดินบนน้ำทะเลได้
ชาร์คเปิดช่องประตูตรงส่วนท้องของเครื่องบิน ผงแมงกะพรุนค่อยๆ ปลิวว่อนลงไป ราวกับควันที่พ่นออกมาจากเครื่องบินด้านหลัง…
ถ้ามองจากมุมไกล นึกว่าเครื่องบินไฟไหม้จนควันขึ้นโขมงอย่างไรอย่างนั้น
เครื่องบินเดี๋ยวก็ร่อนลงต่ำ เดี๋ยวก็ทะยานขึ้นสูง เดี๋ยวก็บินไปตามแนวชายฝั่งบินอยู่ในฟาร์มปลาด้วยระดับความสูงต่ำ ผงแมงกะพรุนแห้งสิบกว่าตันถูกโปรยลงมาเพียงครั้งเดียวจนหมด เพื่อเอามาเลี้ยงแพลงก์ตอนที่หิวโหย
แน่นอนว่า ปลาไข่ก็สามารถกินผงโปรตีนพวกนี้ได้
หลังจากที่เด็กๆ เลิกเรียน พอเห็นว่าชายหาดที่ฟาร์มปลามีปลาจำนวนมากติดอยู่ พวกเขาจึงตะโกนไปพลางจับปลาพวกนั้นขึ้นมาแล้วโยนลงไปในทะเลไปด้วย
ครั้งนี้มีหนุ่มน้อยทึ่มๆ สองหนุ่มอย่างไวส์และเสี่ยวฮุยมาร่วมด้วย พวกเขาก็ไม่รู้ว่าทำไมจะต้องจับปลาขึ้นมาแล้วโยนลงไปในทะเลด้วย
ความคิดของเสี่ยวฮุยไม่เหมือนกับกอร์ดอนและคนอื่นๆ เขารู้ว่าปลาพวกนี้เอามาเป็นอาหารได้ เพราะปลามีขนาดใหญ่ ดังนั้นจึงหยิบตะกร้าแล้วจับขึ้นมาจำนวนหนึ่ง ให้แม่ฉินทอดปลาให้เขากิน
พี่สาวของฉินสือโอวรู้ว่าทำแบบนี้เป็นการปลูกฝังความรักของเด็กๆ เธอเอาตะกร้าคืนให้เสี่ยวฮุย แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เราลองดูซิว่าพี่กอร์ดอนและพี่เชอร์ลี่ย์ทำอะไรกันอยู่ ไปร่วมกับพวกเขากันเถอะ”
เสี่ยวฮุยเคยกินปลาไข่ ซึ่งฟาร์มปลามีทุกปี ฉินสือโอวเคยให้เขากินแบบทอด เขายังจำรสชาติที่แสนอร่อยได้ดี จึงพูดขึ้นมาว่า “นี่เอามาทอดอร่อยมากจริงๆ นะครับ”
กอร์ดอนทำหน้าแสยะยิ้มใส่เสี่ยวฮุย “นายรู้จักแต่กิน พวกเราไม่ได้ขาดอาหารอะไรแล้ว ตอนนี้พวกเราควรจะปล่อยปลาเป็นๆ ไปถึงจะถูก!”
เสี่ยวฮุยทันใดนั้นก็รู้สึกอับอายเมื่อถูกเยาะเย้ย แล้วพูดอย่างกลัวๆ ว่า “ปล่อยไปพวกมันก็โดนปลาตัวใหญ่กินอยู่ดี ปลาใหญ่กินปลาเล็ก”
กอร์ดอนยังคงยืนยัน “นั่นมันเรียกว่าวงจรธรรมชาติ ปลาใหญ่กินปลาเล็กเป็นเรื่องปกติทั่วไป ก็เหมือนกับพวกเราที่ต้องกินปลาตัวใหญ่เช่นกัน แต่ตอนนี้พวกเรากินปลาตัวใหญ่แล้ว แม้แต่ปลาตัวเล็กก็ยังจะไปแย่งมา แล้วอย่างนี้ปลาตัวใหญ่จะกินอะไร? ปลาใหญ่พอไม่มีอะไรกินก็จะตาย แล้วพวกเราจะหาปลาใหญ่มากินได้อย่างไร?”
ฉินสือโอวลูบหัวของเสี่ยวฮุย ให้เขาออกไปเล่นกับกอร์ดอน ไม่คิดเลยว่ากอร์ดอนที่ปกติดูไม่เข้าใจอะไร ก็จะมีตอนที่คิดเป็นเช่นกัน เหตุผลที่เขาพูดถูกต้องที่สุด มากเกินไปจริงๆ แต่น่าเสียดายที่ความโลภมันน่ากลัวมาก ต่อให้คนเข้าใจในเหตุผลนี้ก็ยังไม่ยอมปล่อยปลาตัวเล็กไป
แน่นอนว่า ตอนกลางวันพวกเขาก็จับปลาไข่จำนวนมาก แล้วยังเป็นปลาตัวเมียก่อนที่จะวางไข่ด้วย
แต่ก็ต้องอยู่ในความพอดี ฉินสือโอวแค่ติดตั้งแหอยู่จุดเดียว แล้วยังเป็นจุดปากทางที่แม่น้ำไหลลงสู่ทะเลตรงเทือกเขาเคอร์บัล ปลาบริเวณนั้นนับได้ว่าเขาเพาะพันธุ์ไว้ ดูดซึมพลังโพไซดอนไปเป็นจำนวนมาก
ดังนั้นพอถึงตอนเย็นพวกชาวประมงและสมาชิกในครอบครัวมาที่วิลล่าในฟาร์มปลาทุกคน มีวิธีการกินปลาไข่อยู่หลากหลายวิธี ฉินสือโอวตั้งกระทะและเริ่มทอดปลาไข่ ส่วนอาร์ม็องทำซอสและเทลงบนตัวปลาตัวเล็กที่นึ่งอยู่ พ่อฉินและแม่ฉินทำปลาดอง
บทที่ 1167 ทำอย่างไรกับแหวนหมั้นดี
กระแสของปลาไข่ยาวนานถึงสัปดาห์กว่า ในช่วงระหว่างนั้นก็ยังคงมีปลาอื่นๆ เข้ามาบริเวณชายฝั่งเพื่อล่าเหยื่ออย่างต่อเนื่อง
ช่วงนี้ปลาอีโต้มอญสบายสุดๆ เนื่องด้วยสีของหน้าผากและส่วนหลังของมัน จึงทำให้พวกมันได้แต่ซ่อนตัวอยู่ในดงสาหร่ายเพื่อรอเหยื่อ การมาอย่างทะลักล้นของปลาไข่ทำให้การรอเหยื่อของมันง่ายดายกว่าเดิมมาก
ส่วนปลาอื่นๆ อย่าง ปลากุเลาสี่หนวด ปลาจะละเม็ดขาว ปลาแฮลิบัตแอตแลนติกเหนือ ปลาแดงนิวฟันด์แลนด์ หรือแม้กระทั่งปลาแมคเคอเรลในน่านน้ำระดับกลาง ช่วงนี้พวกมันต่างก็อิ่มหนำสำราญกันทุกมื้อ
ปีนี้ปลาไข่ไม่ได้ล้นหลามแค่เพียงในฟาร์มปลาต้าฉินเท่านั้น แต่จำนวนปลาไข่บนชายฝั่งตะวันตกของมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือทั้งหมดก็เพิ่มมากขึ้นกว่าปีที่แล้วมาก ด้วยเหตุนี้สถานีโทรทัศน์หลายช่องของรัฐนิวฟันด์แลนด์จึงจัดทำรายงานพิเศษขึ้นมา
กัปตันเรือของฟาร์มปลานิวฟันด์แลนด์ช่วงนี้ไม่ได้ออกทะเล เพราะมัวแต่ยุ่งกับการจับปลาไข่ แต่ไม่ได้จับเพื่อไปขายต่อหรือเอาไปทำเป็นอาหาร แต่เพื่อส่งไปให้โรงงานอาหารสัตว์เจ้าใหญ่แต่ละเจ้า เพื่อผลิตออกมาเป็นอาหารให้กับพวกหมู เป็ด ไก่ วัว แกะ และปลา
ฉินสือโอวรู้สึกว่าการกระทำแบบนี้ไม่ค่อยดี แต่ก็ไม่มีอะไรที่จะตำหนิได้ เพราะอย่างไรก็ตามก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเหมือนเขา มีเงินสองสามร้อยล้านเก็บอยู่ในธนาคาร
แต่ก็มีคนไม่น้อยที่ตระหนักได้ว่าการกระทำที่จับปลาไข่อย่างบ้าคลั่งในตอนที่มันหลั่งไหลมาเป็นจำนวนมหาศาลขนาดนี้ในทุกปียังเป็นปัญหาอยู่ ตั้งแต่รัฐโนวาสโกเชียไปจนถึงรัฐนิวฟันด์แลนด์จึงมีการประท้วงในหลายแห่ง เรียกร้องให้เจ้าของเรือประมงทั้งหลายหยุดการกระทำการล่าเหยื่อปลาไข่ที่เป็นการกระทำที่เกินไปด้วย
ฉินสือโอวเคยถามแซนเดอร์สว่าทำไมฝูงปลาถึงทะลักแบบนี้ในปีนี้ ศาสตราจารย์สูงวัยพูดด้วยความกังวลว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องดีนะครับบอส ปีนี้ฝูงปลาปรากฏตัวช้าไป พวกมันควรจะมาเร็วกว่านี้ หลังจากนั้นก็วางไข่เป็นช่วงๆ เห็นได้ชัดเลยว่า นิสัยบางอย่างของพวกมันเปลี่ยนไปเนื่องด้วยสภาวะเรือนกระจกและการเปลี่ยนแปลงความเป็นกรดของน้ำทะเล”
พอได้รับคำตอบนี้ ฉินสือโอวก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ทางสถานีโทรทัศน์เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านการประมงมาจำนวนหนึ่งเช่นกัน หลังจากที่คนกลุ่มนี้ทำการวิจัยแล้วคำตอบที่เขาให้มาย่ำแย่ยิ่งกว่า
ผู้เชี่ยวชาญคิดว่า การทะลักล้นของแมงกะพรุนเมื่อไม่นานมานี้มีความเกี่ยวข้องกันกับการทะลักล้นของปลาไข่ในครั้งนี้ เพราะล้วนได้รับผลกระทบจากสภาวะเรือนกระจก เมื่อกระแสน้ำอุ่นและกระแสน้ำเย็นมาบรรจบกันที่น่านน้ำนิวฟันด์แลนด์จึงดึงดูดสิ่งมีชีวิตพวกนี้มา
ฝูงปลาไข่อาจจะโชคร้ายหน่อย เพราะการที่พวกมันมีจำนวนทะลักได้ล้นหลามขนาดนี้ จริงๆ แล้วก็มาจากการปรับตัวของกลุ่มฝูงมันเอง เดิมทีพวกมันจะรวมตัวเป็นกลุ่มใหญ่ตามจุดที่กระแสน้ำอุ่นและกระแสน้ำเย็นบรรจบกันแล้วนำพาอาหารที่อุดมสมบูรณ์มาด้วย
แต่ทว่าพวกสัตว์อย่างแพลงก์ตอนที่กระแสน้ำอุ่นและกระแสน้ำเย็นพามานั้นถูกแมงกะพรุนกินไปหมดแล้วเมื่อไม่นานมานี้ อย่างน้อยๆ ก็ถูกกินไปแล้วในจำนวนมาก ดังนั้นพอปลาไข่มารวมกลุ่มกัน คงมีจำนวนไม่น้อยที่ไม่อิ่มท้องเพราะเหตุนี้
สิ่งที่ต้องรู้คือการที่ฝูงปลาไข่ว่ายมาแถวชายฝั่งก็เพื่อขยายพันธุ์ พอท้องยังหิวโหยก็จะไม่มีแรงไปผสมพันธุ์ ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่าพลังงานที่เก็บอยู่ในร่างกายมีไม่เพียงพอ คุณภาพในการวางไข่ก็จะไม่ดีพอ ซึ่งส่งผลกระทบในระยะยาวกับฝูงปลาไม่น้อย
การที่ฉินสือโอวโปรยผงแมงกะพรุนในฟาร์มปลาไม่ได้เป็นไปอย่างตั้งใจ แต่อย่างน้อยปลาไข่ในฟาร์มปลาของเขาก็ไม่ต้องหิวโหย
สองสามวันให้หลัง เขากำชับให้ชาร์คติดต่อกับบิลลี่เพื่อซื้อผงปลา ผงแมงกะพรุนและเมล็ดสาหร่ายเพื่อจะได้มาโปรยในฟาร์มปลา บิลลี่ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงทำแบบนี้ ซึ่งเขาก็ไม่ได้อธิบายอะไร บอกเพียงแต่ว่างานหมั้นในวันที่ 2 เดือนมิถุนายน ถ้ามีเวลาก็ให้เขามาร่วมงาน
บิลลี่มีวันนี้ได้ก็เพราะลูกค้ารายใหญ่อย่างฉินสือโอว ทุกวันนี้ก็เลยกลายเป็นผู้จัดการของบริษัทเกษตรกรรมของเขาไปแล้ว แต่เขาก็ยังคงรับผิดชอบงานของฉินสือโอวโดยตรง
พิธีงานหมั้นกลายเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ ของฉินสือโอว ตอนนี้สิ่งที่เขากังวลมากที่สุดก็คือแหวนหมั้น เพราะยังหาวัสดุของแหวนที่เหมาะสมไม่ได้
เงื่อนไขของประเทศจีนและแคนาดาไม่ค่อยจะเหมือนกันมากนัก ที่ประเทศจีนแหวนหมั้นไม่ใช่ของจำเป็นที่เป็นพยานประจักษ์ในการหมั้นว่าสมบูรณ์แล้ว แต่สิ่งที่สำคัญคือสินสอดที่ให้
แต่ทว่าในประเทศแคนาดา ตอนงานหมั้นก็ต้องมีการแลกแหวนกัน เพราะหลังจากที่ทั้งสองฝ่ายหมั้นกันแล้ว อาจจะไม่ได้แต่งงานในทันทีเลยไปอีกหลายปีหรือแม้กระทั่งสิบกว่าปี…
ดังนั้นในช่วงเวลานี้ สิ่งที่พิสูจน์ความสัมพันธ์ได้ก็คือแหวนหมั้นนี้แหละ
เดิมทีฉินสือโอวคิดว่าจะให้แหวนหมั้นฐานทำจากทองคำขาวแล้วฝังไข่มุกสีดำหนึ่งเม็ดเล็ก แต่เขาก็คิดว่ามันธรรมดาไปหน่อย เมื่อก่อนเขาเคยให้เครื่องประดับมุกดำทั้งชุดกับวินนี่ ซึ่งในชุดเครื่องประดับนั้นมีแหวนไข่มุกดำอยู่
แต่ถ้าหากเป็นแหวนเพชร แหวนทองคำขาวหรือแหวนทองธรรมดา ถ้าแบบนั้นก็ยิ่งดูธรรมดาทั่วไป
เขาอยากให้สิ่งที่ดีที่สุดกับวินนี่ เพราะพอพูดขึ้นมาแล้ว จริงๆ เขาติดค้างอะไรวินนี่ตั้งหลายอย่าง อย่างการเลือกตั้งของนายกเทศมนตรีที่กำลังจะเลือกใหม่ วินนี่ก็ตัดสินใจที่จะลงสมัครแล้ว ซึ่งที่เธอทำแบบนี้ แน่นอนว่าก็เพื่อฉินสือโอว
ช่วงต้นปลายเดือนพฤษภาคม เหมาเหว่ยหลงพาภรรยาและลูกสาวมาที่ฟาร์มปลา พอดีหลิวซูเหยียนชี้ไปที่ท้องเล็กๆ ของตัวเอง วินนี่พอเห็นก็ประหลาดใจ จูงมือของเธอแล้วถามว่านานแค่ไหนแล้ว พวกเธอทิ้งตั๋วตั่วไว้แล้วพากันไปพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ด้านการเลี้ยงลูกกัน
ฉินสือโอวพูดตรงมาก ถามเหมาเหว่ยหลงว่า “เชื้อของแกนี่มันไม่เลวเลยนี่หว่า เป็นเพราะกินยาดองจู๋แรดใช่ไหม? ฉันจะบอกแกให้ จู๋แรดที่ฉันให้แกน่ะ ทำให้แกมีแรงดีแน่นอน เชื้อก็แข็งแรงมาก ใช่หรือเปล่า?”
เหมาเหว่ยหลงกลอกตาบอกให้เขาหลบไปอีกฝั่งเลย “ไร้สาระ เพื่อนของแกน่ะเก่งขนาดไหนก็ใช่ว่าแกจะไม่รู้ ฉันจะต้องใช้จู๋แรดทำม?”
ฉินสือโอวยิ้มอย่างมีเลศนัย “ฉันจะไปรู้ได้ไงว่าแกเก่งขนาดไหน? ฉันไม่เคยลองกับแกสักหน่อย”
เหมาเหว่ยหลงรีบโบกมือแล้วพูดอย่างร้อนรนว่า “อย่าพูดไร้สาระ ตั๋วตั่วอยู่ข้างๆ !”
เจ้าตัวน้อยถูกหลิวซูเหยียนทิ้งให้อยู่กับเหมาเหว่ยหลง ตอนนี้จึงอยู่ข้างๆ เขา ฉินสือโอวมองลงไป จึงเห็นว่าโลลิต้าน้อยกำลังจ้องมองที่เขาด้วยความหวาดกลัว
ฉินสือโอวผวายิ่งกว่า “เธอได้ยินเรื่องที่เราพูดชัดเหรอ?”
ครั้งที่แล้วหลิวซูเหยียนเคยบอกว่า พวกเขาเคยพาตั๋วตั่วไปตรวจดูที่โรงพยาบาลชั้นนำระดับโลกด้านการรับรู้ทั้งห้าที่แฮมิลตัน ติดตั้งประสาทหูเทียม สามารถฟังได้ยินแล้ว แต่ตอนนั้นตั๋วตั่วจะได้ยินต้องใช้เสียงดังมากๆ เพราะถ้าเสียงเบาเธอก็ยังคงได้ยินไม่ชัด
ดังนั้น ถึงแม้ว่าเมื่อกี้ที่ฉินสือโอวพูดไร้สาระไปเรื่อยนั้น แต่เสียงพูดก็ไม่ได้ดังมาก
เหมาเหว่ยหลงยิ้มขมขื่นอย่างช่วยไม่ได้ “ลืมไปว่าแกยังไม่รู้เรื่องนี้ ตั๋วตั่วเข้ารับการผ่าตัดครั้งหนึ่ง ประสาทในคลอเคลียจึงถูกกระตุ้น ใช้คู่กับประสาทหูเทียม แกก็น่าจะรู้”
ฉินสือโอวถลึงตามองไปที่เขา หลังจากนั้นหมอบลงแล้วหวังอยู่ในใจลึกๆ ว่าโชคจะเข้าข้างแล้วถามตั๋วตั่วว่า “หนูฟังไม่เข้าใจคำพูดที่เมื่อกี้คุณลุงคุยกับคุณพ่อใช่ไหมคะ?”
ทันใดนั้นใบหน้าน่ารักอมชมพูของโลลิต้าน้อยก็เปลี่ยนเป็นอมแดง เธอหันหลังกลับพร้อมพาสุนัขอเมริกันบูลลี่ตัวใหญ่สองสามตัววิ่งจากไป
ไวส์ถือมือถือวิ่งออกมาอย่างมีความสุข เขาเหมือนจะอยากพูดอะไรกับฉินสือโอว ปรากฏว่าเห็นโลลิต้าน้อยขี้อายวิ่งผ่านหน้าเขาไป ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง หลังจากนั้นเลยมองไปที่หลังของตั๋วตั่วตลอด ราวกับคนโง่งั่ง
เหมาเหว่ยหลงมาถึงไม่นาน บิลลี่ก็มาถึงเช่นกัน หน้าที่ของเขาในปัจจุบันคือกอบกู้เรือฟรันซิสโก ปิซาร์โร แต่สถานการณ์ในโซมาเลียวุ่นวายเกินไป ใจร้อนเกินไปก็ไม่ได้อะไร เขาจึงใช้วิธีเล่นงานจากที่ลับ คิดที่จะส่งเรือลำหนึ่งไปที่น่านน้ำบริเวณที่เรือจม แล้วก็ทำให้มันจมลงไปเลย
พวกเขาซื้อเรือแล้วตั้งแต่ตอนเดือนเมษายน ใช้เงินไป 820,000 ดอลลาร์สหรัฐไปกับเรือบรรทุกสินค้าโบราณขนาด 500 ตันที่กำลังจะไร้ประโยชน์
ครั้งนี้ที่บิลลี่มาก็เพื่อมาขอคำเกี่ยวกับแนะนำเรื่องนี้ “ครึ่งเดือนที่แล้ว เรือลำนั้นเพิ่งออกจากท่าเรือนิวยอร์ก พูดตรงๆ เลยนะเพื่อน การที่จะให้เรืออย่างนั้นออกแล่นไปไกลถึงต่างประเทศ ฉันต้องเสียแรงไปมาก…”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น