ลำนำบุปผาพิษ 1155-1158
บทที่ 1155 เอาใจออกห่าง 2
วันมะรืนจะเป็นวันวิวาห์ของเขากับกู้ซีจิ่วแล้ว ด้วยร่างกายเช่นนี้ต่อให้วิวาห์แล้วจะทำอันใดได้?
จิตใจของโม่เจ้าว้าวุ่นยิ่งนัก แต่ไม่อาจเล่นงานหลงฟั่นได้จริงๆ
เขาย่อมเชื่อใจหลงฟั่น แต่ถ้อยคำที่ตี้ฝูอีกล่าวมาเหล่านั้นทิ้งเงามืดไว้ในเบื้องลึกของจิตใจเขา…
ยามที่เขากำลังจะก้าวพ้นประตู จู่ๆ ตี้ฝูอีก็เอ่ยชื่อสมุนไพรสามชนิดออกมาอย่างรวดเร็ว “ดอกเล็บมังกร หญ้าหงสา ผลชีพจรหยาง…”
ฝีเท้าของโม่เจ้าชะงัก “หมายความว่าอย่างไร?”
ตี้ฝูอีกลับหลับตาลงแล้ว เอ่ยเรียบๆ ประโยคเดียวว่า “พูดเล่นๆ เท่านั้น”
โม่เจ้าเงียบงัน เขาร้องเฮอะคราหนึ่ง สาวเท้าก้าวจากไป ทว่าในใจกลับจดจำจำสมุนไพรสามชนิดนี้ไว้ขึ้นใจ หลังจากลับไปถึงห้องพักของตน เขาก็ลองใช้ยาของหลงฟั่นดูก่อน ผลคือ…น้ำตานองหน้า
คนเราเมื่อผิดหวังบ่อยครั้งเข้าก็จะด้านชาขึ้นไม่น้อย กลับปลอบใจหลงฟั่นอีกสองประโยคด้วย หลังจากหลงฟั่นจากไปแล้ว เขาก็สั่งคนให้เรียกลูกน้องคนหนึ่งมา คนๆ นั้นก็เข้าใจศาสตร์การแพทย์เช่นกัน วิชาแพทย์ก็ไม่เลว เพียงแต่ยังสู้หลงฟั่นมิได้…
โม่เจ้าถามลูกน้องคนนั้นเกี่ยวกับสรรพคุณของสมุนไพรทั้งสามชนิด คนผู้นั้นก็มีความรู้กว้างขวาง รีบตอบทันที “ท่านเจ้า สมุนไพรสามชนิดนี้ล้วนเป็นสมุนไพรธาตุหยางที่หายากอย่างยิ่ง สามารถผลัดกระดูกเปลี่ยนเส้นเอ็นได้ ทำให้ร่างกายแข็งแกร่งทรงพลัง…”
โม่เจ้าเงียบไปครู่หนึ่ง “…เท่านี้หรือ?”
ลูกน้องคนนั้นกล่าวต่อว่า “เพียงแต่ ข้าน้อยยังเคยได้ยินว่าพวกมีมีสรรพคุณอย่างหนึ่งที่หาได้ยากนัก สมุนไพรสามชนิดนี้ถ้ากินเดี่ยวๆ สรรพคุณจะเป็นไปตามที่ข้าน้อยได้กล่าวไป แต่ถ้านำมารวมกัน ได้ยินว่าสามารถรักษาอาการหยางพร่องได้…”
โม่เจ้าไม่พูดอะไรแล้ว
อันที่จริงโม่เจ้าไม่ใคร่เชื่อตี้ฝูอี เขาไว้ใจหลงฟั่นยิ่งนักมาโดยตลอด ไม่อยากสงสัยอะไรเขา
แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในระยะนี้กลับทำให้ในใจของเขามีข้อสงสัยผุดขึ้นมารางๆ แล้ว
โดยเฉพาะตอนที่เขากลับไปแล้วแสร้งถามหลงฟั่นเกี่ยวกับสรรพคุณของสมุนไพรสามชนิดนั้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ หลงฟั่นก็อธิบายแบบส่งๆ และไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่สมุนไพรสามชนิดนี้สามารถรักษาอาการหยางพร่องได้
เขาไม่แสดงสีหน้าใดๆ แล้วแอบเรียกตัวลูกน้องที่รู้วิชาแพทย์คนนั้นมา ให้เขาพาคนไม่กี่คนออกไปเก็บเกี่ยวสมุนไพรสามชนิดนั้นมา
สมุนไพรสามชนิดนั้นถึงแม้จะหายาก แต่ความบังเอิญก็คือ ในหุบเขาแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากเขาลูกนี้มีอยู่ เพียงแต่ในหุบเขาแห่งนั้นมีสัตว์ร้ายค่อนข้างมาก คนธรรมดาไม่กล้าย่างกรายเข้าไปก็เท่านั้น
ส่วนลูกน้องที่รู้วิชาแพทย์คนนี้กลับฝึกฝนพลังวิญญาณจนบรรลุขั้นเจ็ดแล้ว และอีกไม่กี่คนที่เขาพาไปก็ไม่มีปัญหาเลยสักนิด
เขาวางแผนไว้ดียิ่ง แต่เขาไม่ได้หารือกับหลงฟั่นเลย ผลคือหลงฟั่นที่อู่ในห้องสังเกตการณ์เห็นหมอคนนั้นกำลังพาคนออกไป…
หลงฟั่นย่อมส่งคนไปสกัดไว้ จากนั้นคนของทั้งสองฝ่ายต่างคนต่างได้รับคำสั่งมาจากเบื้องบน จึงไม่มีใครยอมใคร
หมอคนนั้นบอกว่าได้รับสั่งมาจากท่านเจ้าต้องการออกไป อีกฝ่ายก็บอกว่าได้รับคำสั่งมาจากหลงฟั่น ไม่มีป้ายคำสั่งจากผู้อาวุโสหลง ผู้ใดก็ออกไปไม่ได้
ทุกคนอยู่ในสถานที่ที่แม้แต่นกก็ยังมองเมินไม่อึรดแห่งนี้มาตลอดเดิมทีก็เดือดดาลกันอยู่แล้ว หงุดหงิดได้ง่ายๆ ยามนี้ได้มีโอกาสเช่นนี้แล้ว ผ่านไปครู่หนึ่ง สองฝ่ายก็เริ่มต่อสู้กัน!
การต่อสู้นี้ย่อมร้อนไปถึงเจ้านายของแต่ละฝ่าย หลงฟั่นกับโม่เจ้าจึงมุ่งหน้ามาในเวลาเดียวกัน
ยังไม่ทันเดินไปถึงสถานที่ต่อสู้แห่งนั้น ก็ได้ยินเสียงหมอคนนั้นเอ่ยขึ้นมาอย่างขุ่นคือง “ที่นี่ท่านเจ้าเป็นใหญ่ที่สุด ผู้อาวุโสหลงก็ต้องเชื่อฟังท่านเจ้าเหมือนกัน! พวกเราได้รับคำสั่งจากท่านเจ้าให้ออกไป เจ้ากลับไม่ยอมปล่อยให้เดินทาง เห็นท่านเจ้าอยู่ในสายตาบ้างหรือไม่?!”
ในกลุ่มคนที่สกัดเขาไว้คนหนึ่งเอ่ยหยันขึ้นมามาอย่างเหลืออด “ที่นี่ท่านเจ้าย่อมเป็นใหญ่ที่สุด แต่ผู้ที่ทุกคนยอมรับนับถืออย่างแท้จริงคือผู้อาวุโสหลง! ท่านเจ้ามิได้แยแสความเป็นความตายของลูกน้องอย่างพวกเราเลย…”
————————————————————————————-
บทที่ 1156 เอาใจออกห่าง 3
ท่านเจ้ามิได้แยแสความเป็นความตายของลูกน้องอย่างพวกเราเลย แต่ผู้อาวุโสหลงกลับใส่ใจดูแล อย่างไรเสียภายในตำหนักใต้ดินแห่งนี้ก็มีคนอาศัยอยู่กว่าสามร้อยคน หากถูกคนนอกบุกเข้าโจมตีเช่นนั้นก็มิใช่เรื่องขบขันแล้ว…”
คนผู้นี้ก็คือหนึ่งในสามคนนั้นที่ถูกตี้ฝูอีจับเป็นตัวประกัน
คนอื่นๆ ก็พูดขึ้นมาด้วย “ใช่แล้วๆ พวกเจ้าออกไปอย่างสะดวกสบาย รอจนกลับมาแล้วต้องถูกตรวจสอบสิ ไม่แน่ว่าทุกคนอาจถูกพวกเจ้าทให้เดือดร้อน ถูกขังไว้ในห้องมืดอีกหลายวัน…”
“อย่าได้มาท่านเจ้าเช่นนั้นท่านเจ้าเช่นนี้เลย บางทีท่านเจ้าอาจไม่ได้ใส่ใจที่นี่เลยสักนิด คนที่อยู่ที่นี่ส่วนใหญ่คือคนของผู้อาวุโสหลง สมควรต้องเชื่อฟังผู้อาวุโสหลงสิ”
ทุกคนเอะอะโวยวายทะเลาะต่อยตี เสียงดังโฉ้งเฉ้งครึกครื้นยิ่งนัก
หลงฟั่นหน้าเปลี่ยนสีแล้ว รีบกระโดดออกไป “หุบปาก! พูดเหลวไหลอะไรกัน?!”
จากนั้นก็พุ่งไปทำความเคารพจุดหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล “ท่านเจ้า!”
ด้านหลังเสาต้นหนึ่ง โม่เจ้าปรากฏตัวอกมา ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองท่านเผยตัวแล้ว คนที่กำลังรบราอยู่ย่อมหยุดมือลง
โม่เจ้ากล่าวด้วยท่าทียิ้มมิเชิงยิ้ม “ที่แท้คำสั่งของท่านเจ้าเช่นข้าก็สู้คำสั่งจากผู้อาวุโสหลงไม่ได้สินะ เช่นนี้นี่เอง” ถึงแม้เขาจะกลาวด้วยรอยยิ้ม ทว่ายิ้มนั้นกลับส่งไปไม่ถึงดงตา
หลงฟั่นกระอักกระอวน
เวลานี้ตัวเขาไหนเลยจะกล้าพูดเป็นอื่น จึงขออภัยโม่เจ้า สั่งให้ปล่อยคนไป พลางลงโทษไม่กี่คนนั้นที่พูดจากำเริบเสิบสานว่าท่านเจ้าสู้ผู้อาวุโสไม่ได้อะไรทำนองนั้นอย่างรุนแรงปด้วย พวกเขาโดนโบยคนละแปดสิบไม้…
โม่เจ้าที่สวมเสื้อคลุมสีดำดูราวกับทูตแห่งรัตติกาล มองดูด้วยรอยยิ้มตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่พูดเลยสักคำ
จวบจนหลงฟั่นลงโทษเสร็จ เขาถึงเหลือบมองไม่กี่คนนั้นที่พูดจากำเริบเสิบสานแวบหนึ่ง “ผู้อาวุโสหลงช่างมีใจเมตตาโดยแท้ เห็นทีว่าต่อให้พวกเขาทรยศข้า เกรงว่าผู้อาวุโสหลงก็คงหักใจลงโทษพวกเขาอย่างจริงจังไม่ลง”
นี่เห็นได้ชัดว่ารังเกียจที่หลงฟั่นลงโทษเบาไป หลงฟั่นจนปัญญา ตัดสินใจในทันใด สั่งให้นำไม่กี่คนนี้ไปประหารให้หมด เพื่อมิให้เอาเป็นเยี่ยงอย่าง
โม่เจ้ายิ้มบางๆ แวบหนึ่ง ตบไหล่เขาเบาๆ อย่างชื่นชมยิ่งนัก “หลงฟั่น ข้ารู้ว่าเจ้าจงรักภักดีที่สุดแล้ว”
แล้วมองไม่กี่คนที่กำลังจะถูกประหารอีกแวบ เอ่ยเสริมอย่างเฉยชาประโยคหนึ่ง “กล้าวิพากษ์วิจารณ์ความขัดแย้งของข้ากับผุ้อาวุโสหลง ต้องสงสัยว่ามีเจตนายุแยง คนที่ใจมิซื่อคิดคดเช่นนี้ เพียงแค่ประหารออกจะง่ายเกินไป…”
แขนเสื้อพลันกวัดแกว่ง ลำแสงห้าสีพุ่งวาบออกมา ครอบคลุมไม่กี่คนนั้นที่ถูกมัดไว้ทั้งหมด มีเสียงโหยหวนหลายเสียงแว่วออกมาจากในลำแสงนั้น หมอกโลหิตพวยพุ่งออกมาพร้อมกับเงาเลือนรางหลายสาย
เงาพวกนั้นคือดวงวิญญาณของคนเหล่านั้น โม่เจ้าสะบัดแขนเสื้ออีกครา เกิดเสียงกรีดร้องเสียดหูดังขั้นอีกครั้งแล้วสลายไป
เห็นได้ชัดกว่าการลงมือครั้งนี้เขย่าขวัญทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ทุกคนต่างอดไม่ได้ถอยหลังไป
โม่เจ้าหันกลับมามองหลงฟั่นที่หน้าซีดเผือดแวบหนึ่ง “ผู้อาวุโสหลง ข้าลงโทษเช่นนี้เจ้าไม่มีความเห็นใดกระมัง?”
หลงฟั่นย่อมไม่มีความเห็นใด เขาทำได้เพียงกล่าวว่าลงโทษได้ถูกต้อง ลงโทษอย่างเป็นธรรมแล้ว
โม่เจ้ากวาดตามองฝูงชนแวบหนึ่ง “ทราบชัดเจนหรือยังว่าผู้ใดเป็นนายของพวกเจ้า?”
“ท่านเจ้า!”
“ย่อมเป็นท่านเจ้า” คนมากมายเอ่ยตอบ
โม่เจ้าถึงได้พอใจหันหลังจากไป
หลงฟั่นมองดูเงาหลังของเขา หนาวยะเยือกไปทั้งใจ
เดิมทีเขายังคงอยากถามโม่เจ้าว่าจะส่งไม่กี่คนนั้นไปทำอะไร ยามนี้ไม่อาจถามได้แล้ว
อำนาจสูงสั่นคลอนนาย[1] ยามนี้เขามีอำนาจสูงจนสั่นคลอนผู้เป็นนายแล้ว
อีกทั้งโม่เจ้าอยู่ในราชวงศ์ที่แก่งแย่งชิงดีกันมานานหลายปี จักรพรรดิจัดการกับขุนนางมีผู้มีคุณูปการเช่นไร เรื่องเหล่านั้นโม่เจ้ากระจ่างแจ้งดี ได้เรียนรู้มา และเอามาใช้กับเขา
ตอนนี้โม่เจ้ายังต้องใช้ประโยชน์จากเขา ย่อมไม่ทำอะไรเขาจริงๆ…
————————————————————————————-
[1] อำนาจสูงสั่นคลอนนาย หมายถึง คนที่มีความสามารถโดดเด่นจนทำให้ผู้เป็นนายหวาดระแวง
บทที่ 1157 เอาใจออกห่าง 4
แต่เมื่อท่านเจ้าผู้นี้ประสบความสำเร็จแล้ว เกรงว่าจะไม่ไว้หน้าขุนนางผู้มีคุณูปการที่เคยช่วยเขาบุกตะลุยไปทั่วหล้าอีกแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นไม่แน่ว่าสิ่งที่รอตัวเขาหลงฟั่นอยู่ก็คือกระต่ายมอดสุนัขล่าเนื้อม้วย…[1]
จิตใจเขาหนักอึ้งขึ้นมา…
กวาดตามองฝูงชนแวบหนึ่ง คนที่อยู่ที่นี่ส่วนใหญ่ล้วนได้รับการชุบเลี้ยงสั่งสอนจากเขา มีความรู้สึกต่อเขาลึกซึ้งกว่าที่มีต่อโม่เจ้า และค่อนข้างเคารพนับถือเขา
ตอนนี้เมื่อโม่เจ้าลงมือเช่นนี้แล้ว คนเหล่านี้ปิดปากเงียบ ทว่าในใจกลับระทมขมขื่นยิ่งนัก…
“ผู้อาวุโสหลง…” คนผู้หนึ่งมองเขาด้วยดวงตาที่แดงก่ำเล็กน้อย “พวกเขาไม่ได้ทรยศ…”
หลงฟั่นโบกมือ “นี่คือค่าตอบแทนที่พวกเขาล่วงเกินท่านเจ้า ถูกลงโทษก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว เอาล่ะ เรื่องนี้จบแล้ว ทุกคนแยกย้ายไปซะ! ไม่ต้องพูดถึงอีก” หันหลังจากไปเช่นกัน
สถานที่แห่งนี้มีกล้องวงจรปิดอยู่ทุกหนทุกแห่ง ไม่แน่โม่เจ้าอาจดูอยู่ในห้องสังเกตการณ์ที่ไหนสักแห่งก็ได้…
สีหน้าเขาราบเรียบ ทว่าในใจเริ่มเสียใจภายหลังแล้วที่ติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้มากมายถึงเพียงนี้
มี ‘สายตา’ เหล่านี้จับจ้องอยู่ ผู้ใดเล่าจะกล้าเดือดดาล? แม้กระทั่งวาจาขุ่นเคืองก็ไม่กล้าเอ่ยออกมาเลย กล้องวงจรปิดเหล่านี้จุดประสงค์เดิมคือระวังภัยคนนอกที่บุกรุกเข้ามา เพื่อให้สังเกตเห็นและรับมือได้ทันท่วงที ยามนี้กลับกลายเป็นเครื่องจองจำอิสรภาพในการออกความคิดเห็นของทุกคนไปเสียแล้ว…
ฝูงชนแยกย้ายกันไปด้วยความระทมขมขื่น
นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป กล้งวงจรปิดหลายจุดในตำหนักใต้ดินเริ่มมีความผิดปกติแล้ว กล้องวงจรปิดเหล่านี้ล้วนสร้างขึ้นจากวัสดุบอบบางพังเสียหายได้ง่ายๆ ทำลายได้ง่ายดายนัก
มรสุมเริ่มก่อตัวแล้ว เพียงแต่ฉากหน้ายังคงสงบนิ่งยิ่งนักอยู่
….
หลงฟั่นกำลังผสมน้ำยาอยู่ในห้อง เนื่องจากจิตใจไม่สงบ จึงเกือบทำพลาดอยู่หลายครั้ง
เขาจึงหยุดมือ คิดว่าจะไปที่ห้องสังเกตการณ์ในห้องสักหน่อย อยากเห็นสถานการณ์ของตี้ฝูอี
ตี้ฝูอียังคงหลับใหลอยู่เช่นเคย ที่นั่นไม่มีอะไรผิดปกติ
“หลงฟั่น ดูอะไรอยู่?” เสียงของโม่เจ้าแว่วมาจากด้านหลังทำให้หลงฟั่นสะดุ้งโหยง
เขาหันมาทำความเคารพ โม่เจ้าโบกมือ สื่อว่าเขาไม่จำเป็นต้องมากพิธี เขามองจอภาพเหล่านั้นแวบหนึ่ง ถอนหายใจแผ่วๆ “หลงฟั่น ข้ารู้สึกว่าสิ่งที่เจ้าทำอยู่ที่นี่เป็นผลเสียต่อการวิจัยของเจ้า ทำให้เจ้าเสียสมาธิได้ง่ายๆ…”
หลงฟั่นใจหายวาบ “ความหมายของท่านเจ้าคือ?”
“ห้องสังเกตการณ์มีสองแห่งก็พอแล้ว ที่ห้องของข้าหนึ่งแห่ง ด้านนอกอีกหนึ่งแห่ง ผู้อาวุโสหลงต้องทุ่มเทวิจัยตัวยาสิถึงจะถูก ที่นี่ก็ทำลายทิ้งไปเสีย”
หลงฟั่นตะลึงงัน
เมื่อผู้บังคับบัญชาหวาดระแวงในความภักดีของคุณ เวลาเช่นนี้ไม่ควรจะต่อต้านเขา
ดังนั้นถึงแม้ในใจหลงฟั่นจะไม่ยินยอม แต่เพื่อคลายความคลางแคลงของโม่เจ้า เขาจึงข่มความระทมไว้ลงมือรื้อถอนห้องสังเกตการณ์แห่งนี้ด้วยมือตน…
โม่เจ้าตบไหล่เขาเบาๆ ด้วยความพอใจ ชมเชยไม่กี่ประโยคก็ออกไป
หลงฟั่นนั่งอยู่ในห้องที่เละเทะ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าความภักดีของตนคล้ายจะเรื่องขบขันอย่างหนึ่ง…
เขายังถอนตัวจากไปได้อยู่หรือไม่?
ที่แท้ความไว้ใจที่ท่านเจ้ามีต่อเขาก็ต้านท้านคำยุแยงไม่กี่ประโยคจากคนนอกไม่ได้…
….
หลังจากที่พวกโม่เจ้าจากไปตี้ฝูอีก็จมสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง ความจริงคือถอดวิญญาณไปที่ห้องของกู้ซีจิ่ว
ร่างครึ่งเทพหลงฟั่นยังสามารถฝึกฝนจนทำให้ดวงวิญญาณก่อตัวเป็นกึ่งร่างจริงได้ นับประสาอะไรกับตี้ฝูอีที่เป็นร่างเทพอย่างแท้จริงเล่า?
ดวงวิญญาณของเขาสามารถออกจากร่างได้ ถึงขั้นที่เวลาเขาออกจากร่างยังเหลือวิญญาณส่วนหนึ่งไว้ในร่างได้ด้วย เช่นนี้ก็จะเห็นว่ามีลมหายใจหัวใจเต้นอยู่ คล้ายว่ากำลังหลับใหล
ตรวนสลายวิญญาณเส้นนั้นเป็นศาตรามารยุคโบราณ เมื่อถูกล่ามไว้ ต่อให้เป็นเทพเซียนก็ถอดไม่ออก แม้กระทั่งดวงวิญญาณก็ถูกจองจำให้รับโทษทัณฑ์อยู่ภายในร่าง
ตอนที่ตี้ฝูอีเพิ่งถูกล่ามไว้ที่นี่ ก็ต้องปรับตัวอยู่สองสามวัน หลังจากจับทางได้แล้วถึงเริ่มถอดวิญญาณออกไปกระทำการ…
————————————————————————————-
บทที่ 1158 เอาใจออกห่าง 5
เนื่องจากการรบกวนเมื่อครู่นี้ของโม่เจ้า เขาจึงต้องกลับมา ในใจยังคงพะวงถึงกู้ซีจิ่วอยู่ เกรงว่านางหลงอยู่ในความฝันเช่นนั้นเพียงลำพังแล้วจะหวาดกลัว
ดังนั้นพอโม่เจ้าจากไป เขาก็รีบไปหานางที่นั่นทันที คิดจะเข้าไปชี้แนะให้นางในฝันของนางอีกครา
หลายวันมานี้เขานำทางนางไปค้นหาความทรงจำอย่างอดทน ทว่าไม่อาจบุ่มบ่ามเข้าไปได้ เลี่ยงไม่ให้เกิดผลกระทบมากเกินไป เป็นผลเสียต่อร่างกายนาง และจะดึงดูดให้นางเกิดความรู้สึกต่อต้านได้ง่ายๆ
ถึงอย่างไรครานี้นางก็เสียความทรงจำไปจริงๆ หากว่าเขาพูดคุยกับนางมากเกินไป ไม่แน่นางอาจจะหลุดปากออกไประหว่างที่สนทนากับโม่เจ้าก็ได้ ดังนั้นเขาจึงค่อยๆ ดำเนินการไปทีละขั้นอย่างเงียบเชียบ
ส่วนกู้ซีจิ่วต่อให้ไม่มีความทรงจำแล้วก็ยังคงเฉลียวฉลาดอยู่ เรื่องที่นางพบปะกับเขาในความฝัน นางไม่ได้บอกกล่าวแก่คนนอกเลย นางเก็บไว้เป็นความลับเล็กๆ ระหว่างเขากับนาง
แต่เมื่อไปถึงที่นั่นก็พบว่านางตื่นแล้ว ยามนี้กำลังกอดผ้าห่มนั่งใจลอยอยู่บนเตียง
เนื่องจากในห้องนี้ของนางก็มีการจับตามองอยู่เช่นกัน ดังนั้นตี้ฝูอีจึงไม่ปรากฏตัว เพียงมองนางอยู่เช่นนี้
กู้ซีจิ่วย่อมมองไม่เห็นเขาเช่นกัน เธอกำลังหงุดหงิดเล็กน้อย
เมื่อครู่ตอนอยู่ในความฝันเธอใกล้จะวิ่งไปถึงจุดที่มีทิวทัศน์ที่แจ่มใสชัดเจนแล้วชัดๆ นึกไม่ถึงว่าจะมีกำแพงโผล่มาขวางไว้อย่างน่าประหลาด ซ้ำยังเป็นชนิดที่ปิดฟ้ากั้นดินอีกด้วย ขณะที่เธอใช้วิชาเคลื่อนย้ายผ่านไป นึกไม่ถึงว่าจะชนเข้ากับกำแพงนั้นอย่างจัง จากนั้นหัวเธอก็ปวดเหมือนจะระเบิดออกมา ความปวดนี้ปลุกให้เธอตื่นจากความฝันทันที!
หัวของเธอเต็มไปด้วยหงื่อ ตอนที่ตี้ฝูอีเข้ามาเธอกำลังหงุดหงิดอยู่
เธอทึ่มทื่อเหม่อลอยอยู่บนเตียงครู่หนึ่ง จากนั้นก็กระโดดลงมาแต่งเนื้อแต่งตัวเล็กน้อย วิ่งตรงไปที่ห้องครัวเลย
นี่คือครัวเล็กที่จัดเตรียมไว้ให้ท่านเจ้าผู้อาวุโสหลงและเธอโดยเฉพาะ ฝีมือการครัวของพ่อครัวในห้องครัวยอดเยี่ยมนัก กู้ซีจิ่วชอบกินอาหารฝีมือพ่อครัวคนนี้มาก
หลังจากเธอเข้ามาก็ส่งให้พ่อครัวคนนั้นทำโจ๊กสองชนิด…
ตี้ฝูอีที่ติดตามดูอย่างข้างกายตลอด หัวใจพลันสั่นไหวเล็กน้อย โจ๊กสองชนิดนี้ที่นางต้องการเป็นรสชาติที่ถูกปากเขา!
นางจะกินเองหรือว่าจะเอาไปส่งให้เขากันนะ?
คำถามข้อนี้ได้รับคำตอบอย่างรวดเร็วยิ่ง หลังจากโจ๊กสองชนิดนั้นเสร็จดีแล้ว กู้ซีจิ่วก็บรรจุใส่ถุงเก็บของของนาง จากนั้นก็ไปที่ห้องขังนั้น…
เอามาส่งให้เขาจริงๆ ด้วย!
มุมปากของตี้ฝูอีหยักโค้งเป็นองศาน่ามองอย่างไม่อาจควบคุมได้ จากนั้นก็กลับเข้าร่างอย่างว่องไว เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งก็เห็นกู้ซีจิ่วยืนอยู่ไม่ไกล กำลังมองเขาอยู่
เมื่อเห็นเขาลืมตาขึ้นมา เธอแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
ในความฝันเธอเห็นเขาถูกทะเลสาบกลืนกินลงไป ต่อมาถึงแม้จะได้เสียงกำชับแว่วๆ ประโยคหนึ่งของเขา แต่ถึงอย่างไรวางใจถึงเพียงนั้นไม่ได้ ตอนที่วิ่งมาเมื่อครู่ยังหวั่นอยู่ว่าเขาจะเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ยามนี้เมื่อเห็นเขาลืมตาขึ้นมา ในที่สุดเธอก็วางใจได้แล้ว
ทั้งสองคนสบตากัน ตี้ฝูอียิ้มน้อยๆ ทว่าหัวใจกู้ซีจิ่วกลับเต้นกระหน่ำขึ้นมาสองคราอย่างไม่ได้เรื่อง คำถามหนึ่งผุดขึ้นมาในสมอง
….เขาที่ตนพบในความฝันใช่เขาในความเป็นจริงหรือไม่?
เขาถอดร่างไปข้าฝันเธอ? หรือว่าเป็นเธอที่ฝันถึงเขาโดยบังเอิญ? บางทีเขาอาจไม่รู้เรื่องเลยก็ได้…
เธอก้าวเข้าไปสองก้าว “นี่ เจ้ายังดีอยู่กระมัง?”
ตี้ฝูอีพยักหน้านิดๆ “ยังดีอยู่”
จู่ๆ กู้ซีจิ่วก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดีอยู่บ้าง สายตาเธอร่อนลงบนปากของเขา
รูปปากเขาน่ามองยิ่งนัก ทำให้กู้ซีจิ่วนึกออกเพียงคำเดียวเท่านั้น…สมบูรณ์แบบ!
แต่ยามนี้ริมฝีปากที่สมบูรณ์แบบนี้กลับมีจุดด่างพร้อยอยู่บ้าง เนื่องจากมันแห้งเกินไป! และซีดเซียวเกินไป! บนริมฝีปากมีแม้กระทั่งรอยแตกเป็นขุย…
กู้ซีจิ่วนึกถึงความฝันที่เขาบอกว่าหิวกระหายยิ่งนัก ในใจเสมือนถูกเข็มทิ่มแทงเล็กน้อยอีกครั้ง เอ่ยโพล่งออกไป “เจ้ากระหายหรือไม่? หิวหรือเปล่า?”
————————————————————————————-
[1] กระต่ายมอดสุนัขล่าเนื้อม้วย อุปมาถึง คนที่พอทำการสำเร็จตามความคาดหมายแล้วก็ถีบหัวส่งผู้ที่เคยให้ความช่วยเหลือทิ้งเพราะหมดประโยชน์แล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น