พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1153-1158

 บทที่ 1153 ยาเจี๋ยตันขั้นเจ็ด

โดย

Ink Stone_Fantasy

ถึงแม้เสียงจะดังก้องอยู่ในหัวของตนเอง แต่เหมียวอี้ก็ฟังไม่เข้าใจเลยว่าหมายความว่าอะไร และตอนนี้ก็ไม่มีเวลามาสนใจด้วยว่าเขาจะพูดอะไร มีคนต้องการจะยึดร่างตนเอง นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เรียกได้ว่ารวบรวมสมาธิกำจัดจิตสำนึกของอีกฝ่ายที่ต้องการจะล่วงล้ำเข้ามา


ภายใต้การล้อมปราบอย่างสุดกำลังของเหมียวอี้ เสียงที่เสิ้นหมีเปล่งออกมาค่อยๆ แผ่วลง ลูกกลมใหญ่พองใหญ่เท่ากำปั้นตรงหว่างคิ้วเขาก็หยุดเลื้อยขยุกขยิกต่อต้านแล้วเช่นกัน กำลังหดเล็กลงอย่างช้าๆ…


ชั่วพริบตาที่จิตใต้สำนึกของเสิ้นหมีหายไป กระแสไฟฟ้าที่อยู่บนตัวหอยยักษ์ไม่ไกลก็เริ่มหายไปทีละนิดเช่นกัน กายเนื้อกำลังถูกเผาอย่างดุเดือดอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงที่ลุกโชน


ตอนที่กระแสไฟฟ้าบนตัวหอยยักษ์หายไป ลูกศิษย์ที่เฝ้าอยู่ตามจุดต่างๆ ของปราสาทดำเนินเซียน บางคนที่บังเอิญเห็นการเปลี่ยนแปลงของท้องฟ้าตะลึงงันแล้ว


ปรากฏการณ์มหัศจรรย์ที่สีขาวกับสีฟ้าผสมผสานกันและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาค่อยๆ หยุดนิ่ง สีขาวที่เหมือนภาพฝันมายาเริ่มเลือนหายไปทีละนิด หายไปกลางอากาศ ท้องฟ้ากลายเป็นสีฟ้าครามราวกับถูกชำระล้าง คืนสภาพกลายเป็นสีของท้องฟ้าอย่างที่ควรจะเป็น ท้องฟ้าสีฟ้าคราม


บางคนนึกว่ามันจะเป็นแบบนี้แค่ชั่วคราว แต่พอรอดูไปสักพัก กลับไม่เห็นว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลง ท้องฟ้ายังคงเป็นสีฟ้าสด…


ที่ก้นทะเลสาบ หลังจากก้อนขนาดเท่ากำปั้นหายบวม สีหน้าที่บิดเบี้ยวของเหมียวอี้ก็กลับคืนสู่สภาพปกติ ไม่มีความเจ็บปวดมหาศาลที่เหมือนโดนฉีกเนื้อแล้ว


เขากำจัดจิตสำนึกของเสิ้นหมีที่ต้องการจะบุกรุกเข้ามา แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์กำจัดวัตถุประหลาดที่ซ่อนอยู่ในหว่างคิ้วของตัวเองต่อไป ก่อนที่เสิ้นหมีจะตายยังบุกเบิกพื้นที่ว่างไว้ตรงหว่างคิ้วของเขา ตรงหว่างคิ้วของเขาราวกับมีแหวนเก็บสมบัติเพิ่มมาอีกวง แล้วก็เหมือนกระเป๋าใบหนึ่ง กระเป๋าที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดกำลังหยั่งรากอยู่บนหน้าผากของเขา


เหมียวอี้ที่หลับตารวบรวมสมาธิตัดสินใจถอนรากถอนโคนวัตถุประหลาดนี้ จึงร่ายอิทธิฤทธิ์เปิดกระเป๋าออก หมายจะหยิบวัตถุประหลาดออกมา


ทว่าวินาทีที่กระเป๋าเปิดออก เขาที่กำลังหลับตาอยู่ก็พลันมองเห็นสถานการณ์ในห้องหินชัดเจน มองชัดเจนยิ่งกว่าเวลาอื่น เรียกได้ว่าเห็นทุกอย่างแม้กระทั่งฝุ่น เห็นการเผาไหม้ที่โชติช่วงในเปลือกหอยยักษ์อย่างแจ่มแจ้ง


เหมียวอี้ตกใจทันที ตัวเองกำลังหลับตาอยู่แท้ๆ ทำไมมองเห็นสิ่งของอย่างชัดเจนได้?


เขาพบความผิดปกติอย่างรวดเร็ว พบว่าตอนที่ร่ายอิทธิฤทธิ์เปิดพื้นที่ว่างตรงหว่างคิ้ว พลังอิทธิฤทธิ์ก็ถูกของในกระเป๋านั้นดูดเข้าไปราวกับเป็นกระแสน้ำ พลังอิทธิฤทธิ์ของตนกำลังหมดเปลืองไปอย่างรวดเร็ว


เหมียวอี้รีบลืมตา วินาทีที่ลืมตาขึ้นมาสองข้าง เขาก็ตะลึงงันแล้ว ทุกที่ในพื้นที่ว่างใต้ดินมีแต่หมอกควันอบอวลหลังจากโดนเผา หมอกควันรบกวนสายตาทำให้มองเห็นอะไรไม่ชัดเจนเลย แต่ในหว่างคิ้วกลับเหมือนจะเห็นทุกอย่างชัดเจน


เขาหลอกตาสองข้างขึ้นเล็กน้อย จ้องมองเสาแสงอันคุ้นเคยที่ดวงตาทั้งคู่ของตนยิงขึ้นไปด้านบน แสงสีรุ้งกำลังวนเวียนอยู่ในเสาแสง


นี่เป็นพลังอภินิหารของปีศาจเฒ่านั่นไม่ใช่เหรอ? นี่มันเรื่องอะไรกัน? เขารีบหยิบกระจกบานหนึ่งออกมาส่อง ตอนไม่เห็นก็ยังไม่รู้ แต่พอเห็นแล้วตกใจแทบตาย หว่างคิ้วมีปากแผลเลือด ราวกับดวงตาเลือดกำลังลืมอยู่ ในปากแผลเลือดมีลูกตาสีรุ้งดวงหนึ่ง กำลังยิงเสาแสงที่มีรัศมีสีรุ้งวนเวียนออกมา งดงามอัศจรรย์ แต่สำหรับคนที่มีจิตใจต่อต้านอย่างเหมียวอี้ สิ่งนี้กลับแปลกประหลาดน่าตกใจ!


เขาเคยเห็นของสิ่งนี้มาก่อน เป็นใจกลางลูกตาที่อยู่ในลูกตาสีฟ้าของเสิ้นหมี เพียงแต่ไม่ใหญ่เหมือนที่เห็นตอนนั้นก็เท่านั้นเอง


ความเร็วในการดูดพลังอิทธิฤทธิ์ของลูกตาน่าตกใจเกินไป เหมียวอี้มองดูครู่เดียวก็รู้สึกรับไม่ไหวแล้ว ถ้ามองต่อไปพลังอิทธิฤทธิ์ของตนจะต้องถูกใช้จนหมดแน่นอน จึงรีบใช้พลังอิทธิฤทธิ์ปิดปากแผลเลือดตรงหว่างคิ้ว ดังนั้นตรงหว่างคิ้วจึงเหมือนมีคนใช้มีดกรีดจนเกิดรอยเลือด


พอปากแผลเลือดปิดแล้ว พลังอิทธิฤทธิ์ที่สิ้นเปลืองมหาศาลก็หยุดแล้วจริงๆ


แต่ไม่ว่าจะเป็นคนปกติคนไหน ถ้าจู่ๆ ตรงหว่างคิ้วมีดวงตาที่สามงอกขึ้นมาก็ต้องรับไม่มีทางรับได้กันทั้งนั้น เหมียวอี้ตัดสินใจว่าเจ็บสั้นดีกว่าเจ็บยาว จึงร่ายอิทธิฤทธิ์อีกครั้ง เตรียมจะคว้านเนื้อตรงหว่างคิ้วทิ้งทั้งราก


แต่ใครจะคิดว่าพอร่ายอิทธิฤทธิ์คว้านและจะดึงออก เหมียวอี้ก็ตาลายทันที จู่ๆ ก็ครางเสียงต่ำ ใช้สองมือกุมดวงตาทั้งคู่ของตัวเอง กุมดวงตาที่เจ็บปวดอย่างรุนแรงเอาไว้


ตอนนี้เขาเพิ่งจะพบว่าเส้นเลือดที่งอกออกมาจาก ‘ดวงตาที่สาม’ เชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกับเส้นประสาทตาของดวงตาทั้งคู่ของเขาแล้ว ถ้าดึง ‘ดวงตาที่สาม’ ออกก็จะต้องทำให้ดวงตาทั้งสองข้างของเขาเสียหายแน่นอน


เดิมทีเขาคิดว่าหลังจากขุดถอน ‘ดวงตาที่สาม’ ออกแล้ว ก็ค่อยใช้สมุนไพรเซียนซิงหัวฟื้นฟูซ่อมแซมบาดแผล


แต่ส่วนต่างๆ ในร่างกายตอบสนองต่อการรักษาของสมุนไพรเซียนซิงหัวต่างกัน บางจุดก็ฟื้นฟูได้ บางจุดก็ฟื้นฟูไม่ได้ บางจุดก็ฟื้นฟูค่อนข้างช้า ตำแหน่งส่วนใหญ่บนร่างกายล้วนใช้สรรพคุณของสมุนไพรเซียนซิงหัวฟื้นฟูรักษาได้ง่าย แต่ก็มีจุดที่ฟื้นฟูรักษาไม่ได้เหมือนกัน


ยกตัวอย่างเช่นผิวหนังกระด้างบนแขนขาที่ขาด หลังจากมีแขนขางอกออกมาใหม่ ผิวหนังกระด้างที่มีอยู่เดิมก็จะไม่สามารถฟื้นฟูกลับมาได้อีก ริ้วรอยที่มีอยู่แต่เดิมบนผิว เยื่อบุที่พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผู้หญิง หัวใจเสียหายและสมองเสียหาย หลังจากหยุดทำหน้าที่ทางสรีรวิทยาแล้วก็จะไม่สามารถฟื้นฟูกลับมาได้อีก


จุดที่ฟื้นฟูค่อนข้างยากก็รวมถึงอวัยวะภายใน ดวงตา อวัยวะรูปหอยโข่งในช่องหู อวัยวะเพศชาย


เหมียวอี้ที่กำลังเอามือกุมดวงตาที่เจ็บปวดของตัวเองส่ายหัว ขยี้ดวงตาที่ค่อนข้างพร่ามัว สถานการณ์แบบนี้ทำให้เขาพบว่าไม่มีทางขุด ‘ดวงตาที่สาม’ ออกมาได้เลย ไม่อย่างนั้นถ้าทำให้ดวงตาของตัวเองเสียหาย ก็เกรงว่าคงต้องใช้เวลานานกว่าจะออกจากที่นี่ได้ สถานการณ์ในปัจจุบันไม่สะดวกจะให้เขาอยู่ที่นี่นาน ทำได้เพียงรอให้ออกจากที่นี่ไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน


ร่ายอิทธิฤทธิ์สังเกตดูสักพัก หลังจากแน่ใจแล้วว่า ‘ดวงตาที่สาม’ ยังไม่ได้ส่งผลกระทบอะไร เหมียวอี้ก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ม้วนแขนเสื้อ ในพื้นที่ว่างใต้ดินก็เกิดลมหมุนทันที ม้วนควันหนาในถ้ำใต้ดินเข้ามาในทางใต้ดินราวกับพายุหมุน กรอกเข้ามาในน้ำที่อยู่ในทางใต้ดินแล้ว


ในถ้ำกลับมาสดใสชัดเจนทันที เหมียวอี้กางนิ้วทั้งห้าอีกครั้ง ดับเพลิงเดือดที่กำลังเผาไหม้อยู่ในเปลือกหอย ส่วนเนื้อในเปลือกหอยก็ถูกเผาทำลายจนไม่เป็นชิ้นเป็นอันแล้ว เห็นแล้วสะอิดสะเอียน


ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เหมียวอี้ก็ยังมีท่าทีระมัดระวังตัว ร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูหอยยักษ์อีกรอบหนึ่ง หลังจากแน่ใจว่าปีศาจเฒ่าไม่มีโอกาสรอดชีวิตแล้ว เขาก็ขยุ้มนิ้วทั้งห้าอีกครั้ง ดูดวัตถุประหลาดในเนื้อหอยที่โดนเผาออกมา


กล่องที่สกปรกใบหนึ่งตกลงในมือเขา เปิดกระดุมลับออก พอเปิดฝาดูก็เป็นอย่างที่คาดไว้ ข้างในมีก้อนโลหะกลมสีดำและแผ่นหยกนอนอยู่เงียบๆ เขาหยิบแผ่นหยกมาดูในมือ มีตัวอักษรตัวใหญ่เขียนไว้บนวิชาฝึกตนที่หนาแน่นยั้วเยี้ย : เคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ดิน!


เหมียวอี้ยิ้มบางๆ เคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าภาคดินอยู่ในมือแล้ว ไม่เสียแรงที่ตนเสี่ยงอันตรายรอบนี้


พอวางแผ่นหยกก็หยิบก้อนโลหะกลมสีดำขึ้นมาอีก เมื่อร่ายอิทธิฤทธิ์กระตุ้น ก้อนกลมก็แผ่ออกเสียงดังเปาะแปะ ภาพแรกที่ปรากฏสู่สายตาคือแผนที่ซ่อนสมบัติที่เหมือนกับก่อนหน้านี้ เป็นภาพสตรีกำลังกางแขนทะยานฟ้าอย่างอ่อนช้อย ด้านข้างมีตัวอักษรสองแถว : ลิขิตแห่งเส้นทางแห่งเซียนยังไม่จบสิ้น เรือกระดูกลอยอยู่ในทะเลเลือด!


เหมียวอี้ที่เคยเห็นจนมองเป็นเรื่องปกติรู้แล้วว่าตรงไหนคือกุญแจสำคัญ สายตาไปหยุดอยู่ที่อักษรสองตัวบนบนแผนที่ดาวและแผนที่ที่แนบมา : หยิน ดิน!


เขามองปราดเดียวก็เข้าใจแล้ว สิ่งที่ซ่อนอยู่ในจุกซ่อนสมบัติแห่งต่อไปก็คือเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางที่ปราชญ์ผีซือถูเซี่ยวฝึก


แผนที่หุบกลับเป็นลูกกลมโลหะและวางกลับเข้าไปในกล่อง หลังจากเก็บเข้าไปด้วยกันแล้ว เหมียวอี้ก็มองไปรอบๆ อีกครั้ง ในใจรู้สึกปลงอนิจจังไม่หยุด นึกไม่ถึงเลยจริงๆ ที่แท้คนที่วางจุดซ่อนสมบัติให้เชื่อมโยงติดต่อกันเป็นลูกโซ่ก็คือประมุขไป๋ หนึ่งในมหาราชันทั้งสี่ในปีนั้นนั่นเอง


พอลงมาคิดดูตอนนี้ก็พบว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ในปีนั้นหกมหาราชันก็ถูกพวกประมุขไป๋กำจัดเหมือนกันไม่ใช่เหรอ การที่ประมุขไป๋มีหกเคล็ดวิชาพิเศษอยู่ในมือก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร


แต่ยังมีจุดหนึ่งที่เขาคิดไม่ตก เขาไม่เข้าใจว่าประมุขไป๋ทำแบบนี้เพราะมีเจตนาอะไรกันแน่ ก่อนหน้านี้คิดว่าคนซ่อนสมบัติกินอิ่มแล้วไม่มีอะไรจะทำ แต่ตอนนี้มาลองคิดดูใหม่ก็รู้สึกว่ามันไม่ธรรมดาอย่างนั้นแน่นอน ประมุขไป๋คนนี้ไม่ใช่แค่คนที่มีวรยุทธ์สูงส่งเท่านั้น แต่สติปัญญาก็ไม่ธรรมดาด้วย ดูจากการโยนแมลงลงในทะเลสาบนิดหน่อยเพื่อควบคุมเสิ้นหมีไว้ในนี้ก็รู้แล้ว ทั้งยังมีการซ่อนสมบัติที่ต่อเนื่องกันเป็นลูกโซ่อีก ไม่รู้จริงๆ ว่าสมองของประมุขไป๋คิดออกมาได้อย่างไร ใช้เงามืดของลักษณะพื้นภูมิวาดเป็นรูปภาพขนาดใหญ่ วิธีการซ่อนสมบัติและชี้นำให้หาสมบัติทำให้คนเหลือเชื่อจริงๆ ปัจจัยต่างๆ เชื่อมโยงกันเป็นขั้นตอน คนที่ไม่รู้กุญแจสำคัญอย่างชัดเจน ต่อให้ได้แผนที่ทั้งหมดมาแต่ก็ไม่มีทางตามหาสมบัติพบ วิธีการที่ลึกลับยากจะคาดเดาแบบนี้ ต่อให้ตนจะคิดจนหัวแตกก็คิดไม่ออก


เดิมทีเขาคิดจะถามเสิ้นหมีว่าประมุขไป๋ทำแบบนี้ไปทำไม แต่เพื่อที่จะปกป้องชีวิต เสิ้นหมีไม่ยอมบอกแม้กระทั่งว่ามีสมบัติซ่อนอยู่บนร่างกายตัวเอง แถมตัวเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโดนขังไว้ที่ไหน ไม่มีทางที่จะรู้ถึงสาเหตุที่ประมุขไป๋ทำแบบนี้ ถามไปก็เปล่าประโยชน์ มิหนำซ้ำก่อนหน้านี้เขาก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องฆ่าเสิ้นหมีทิ้ง จึงไม่อยากให้เสิ้นหมีรู้ถึงสถานที่ซ่อนสมบัติแห่งอื่นที่เขาเคยไป


สิ่งที่เขาสงสัยตอนนี้ก็คือ ประมุขไป๋กับเคล็ดวิชาฝึกตนของเขามีความเกี่ยวข้องอะไรกันแน่ พอนึกถึงตรงนี้เขาก็รู้สึกโชคดี โชคดีที่ไม่รับปากให้อวิ๋นจือชิวมาหาสมบัติ ไม่อย่างนั้นถ้าอวิ๋นจือชิวบุกเข้ามาที่นี่ เกรงว่าจุดจบคงไม่ต่างอะไรกับสตรีวัยกลางคนที่มาปล้นหลิงชาน


เลิกคิดเรื่องพวกนี้ชั่วคราว เหมียวอี้ร่ายอิทธิฤทธิ์ค้นหาซากศพของปีศาจหอยที่โดนเผาทำลาย หลังจากสายตาไปหยุดอยู่ตรงจุดที่โดนเผาทำลาย เขาก็ขยุ้มนิ้วทั้งห้ากลางอากาศ ไข่มุกเม็ดหนึ่งลอยตกลงในมือเขา พอไข่มุกถูกคว้าอยู่ในมือเขาแบบนั้น เขาก็รู้สึกได้ถึงพลังงานมหาศาลกลุ่มหนึ่งที่ทำให้จิตวิญญาณสั่นสะท้าน


เขาพลิกมือ นำไขมุกเม็ดหนึ่งโปร่งแสงคีบไว้ที่ปลายนิ้ว มีหมอกจางๆ ลอยวนเวียน มีแสดงสว่างเปล่งออกมา แค่เห็นก็รู้ว่าเป็นของล้ำค่า


เหมียวอี้สูดหายใจอย่างตกตะลึง ยาเจี๋ยตันขั้นเจ็ด! นี่ก็คือยาเจี๋ยตันขั้นเจ็ด! เขามาที่พิภพใหญ่นานขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของยาเจี๋ยตันขั้นเจ็ด แม้แต่ในร้านค้าของสมาคมวีรชนก็ไม่มีขายมาก่อน


แค่คิดก็รู้แล้วว่าของชิ้นนี้มีมูลค่าขนาดไหน! หลังจากเหมียวอี้ใช้นิ้วถือฟั่นพลางเดาะลิ้นสองที ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มขื่นขมอีก ต่อให้ของชิ้นนี้จะมีมูลค่าสูง แต่เขาก็ไม่กล้านำไปปล่อยขายอยู่ดี นี่คือยาเจี๋ยตันที่กว่าจะได้มาต้องฆ่านักพรตระดับสำแดงฤทธิ์ก่อน ถ้านำออกมาจะต้องทำให้เกิดความเคลื่อนไหวใหญ่โตแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันมาโผล่อยู่ในมือนักพรตที่มีระดับอย่างเขา สงสัยจะทำได้เพียงเก็บซ่อนเอาไว้ดูเอง ไม่รู้ว่าถ้าโยนให้เฮยทั่นกินแล้วจะมีปฏิกิริยาอย่างไร


แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่เขาสามารถแน่ใจได้ ถ้านำของสิ่งนี้กลับไปให้อวิ๋นจือชิวเห็น เมียจอมจัดการที่วันๆ เอาแต่นับเงินจะต้องยิ้มสดใสเหมือนดอกไม้บานแน่ๆ นำกลับไปปะเหลาะให้อวิ๋นจือชิวเป็นฝ่ายเปลื้องผ้ามาปรนนิบัติเขาก่อนอย่างสุดความสามารถก็ถือว่าคุ้มเหมือนกัน เนื้อแท้ของผู้หญิงคนนั้นเป็นคนหัวโบราณมาก ไม่เคยยอมใช้ปากเลย ไม่รู้ว่าสมบัติชิ้นนี้จะสามารถเปิดปากนางได้หรือเปล่า


ถ้าให้คนอื่นรู้ว่าเจ้าบ้านี่ได้ยาเจี๋ยตันขั้นเจ็ดมาเพื่อปะเหลาะให้อวิ๋นจือชิวทำเรื่องสนุกบนเตียงเท่านั้น คาดว่าคงมีคนอยากจะฆ่าเขา


พอเก็บยาเจี๋ยตันขั้นเจ็ดแล้ว สายตาเหมียวอี้ก็จ้องพวกอุปกรณ์ผลึกแดงที่ใช้ควบคุมเสิ้นหมีอีก ของพวกนั้นมีจำนวนไม่น้อย สามารถทำเป็นเกราะรบผลึกแดงได้จำนวนมาก


เขาจึงเก็บเข็มแดงขนาดเท่าแขนหลายสิบเล่มไว้ทั้งหมดทันที  เก็บเสาผลึกแดงยาวสิบกว่าจั้งที่สอดเกี่ยวเปลือกหอยไว้ด้วยเช่นกัน จากนั้นก็ฝืนดึงโซ่ผลึกแดงที่ยาวหยาบหลายเส้นออกมาจากผนังหิน เก็บไว้ทั้งหมดแล้ว ในเมื่อสังหารเสิ้นหมีไปแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องปล่อยของสิ่งนี้ให้เสียเปล่า


หลังจากกวาดริบจนหมด เขาก็โยนหินผลึกไขมันเพลิงหลายก้อนไปเผาทำลายร่องรอยศพในเปลือกหอย เสร็จแล้วถึงได้ออกมาจากพื้นที่ว่างใต้ดิน หลังจากออกมาอยู่ในทะเลสาบแล้ว เขาก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ค้นหาสมบัติของศพที่อยู่ทั่วก้นทะเลสาบ กำไลเก็บสมบัติและแหวนเก็บสมบัติหลายวงถูกค้นออกมาจากโคลน


เป็นอย่างที่อวิ๋นจือชิวคอยบ่นบ่อยๆ ใช้เงินเหมือนกระแสน้ำ ต้องเลี้ยงดูผู้หญิงหลายคนที่แต่งงานเข้าบ้านมา ตอนนี้มีโอกาสร่ำรวยแล้ว มีหรือที่เขาจะพลาดไป ไม่อย่างนั้นจะเอาเงินจากไหนมาเลี้ยงอนุภรรยามากมายขนาดนั้นล่ะ? มีเงินถือกลับบ้าน เวลาเล่นกับพวกนางถึงจะมีความมั่นใจ


…………………………


บทที่ 1154 ลมพัดเมฆเคลื่อนกะทันหัน

โดย

Ink Stone_Fantasy

เก็บซ้ำไปซ้ำมาอยู่ที่ก้นทะเลสาบนิดหน่อย ท่านขุนนางเหมียวอี้ก็เริงร่าจนหุบยิ้มไม่ลง พวกกำไลเก็บสมบัติ แหวนเก็บสมบัติก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว ใช้เวลาครู่เดียวก็ได้ยาเจี๋ยตันขั้นห้าประมาณห้าหกเม็ดจากก้นทะเลสาบ


ของสิ่งนี้ไม่ได้อยู่ในแหวนหรือกำไลเก็บสมบัติ แต่ทับถมอยู่ในดินโคลนโดยตรง เห็นได้ชัดว่านักพรตปีศาจ นักพรตผี นักพรตมารก็ตายอยู่ที่นี่เหมือนกัน แมลงนั่นกินแม้กระทั่งนักพรตผี!


แสดงว่ามีนักพรตบงกชรุ้งไม่น้อยมาตายอยู่ที่นี่ ในร่างกายนักพรตของปราสาทดำเนินเซียนไม่มียาเจี๋ยตันแน่นอน แสดงว่าแขกที่มาทำลับๆ ล่อๆ แถวนี้ล้วนตายด้วยน้ำมือเสิ้นหมี เขาคิดไม่ตกจริงๆ ว่านักพรตบงกชรุ้งมากมายขนาดนั้นจะถ่อมาตายที่นี่ทำไม? น่าสงสารเสิ้นหมีที่เรียกคนมาหลายปีแต่ก็ไม่มีใครมาช่วยได้ ยังนึกว่าตัวโดนขังอยู่ในที่รกร้างไร้ผู้คน ที่จริงมีคนมากมายอยากจะช่วยเขา แต่น่าเสียดายที่คนพวกนั้นตายเพราะเขากับแมลงในทะเลสาบร่วมมือกัน


ตอนแรกเหมียวอี้ยังค้นหาของด้วยแนวคิดว่าต่อให้ยุงจะขาเล็กแต่ก็ยังมีเนื้อ เก็บเล็กผสมน้อยไปก็ได้ ตอนนี้ถึงได้พบว่านี่ไม่ใช่ขายุง แต่เป็นขาช้างต่างหาก!


ท่านขุนนางเหมียวกะปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที ค้นหาอยู่ที่ก้นทะเลสาบอย่างมีชีวิตชีวาเต็มเปี่ยม ยุ่งวุ่นกับการหาของอย่างถึงอกถึงใจ ทำเอาแมลงที่อยู่ก้นทะเลสาบหนีกันชุลมุน และมลงพวกนั้นก็ทำอะไรเขาไม่ได้ กลับโดนเขาฆ่าทิ้งไปไม่น้อย สุดท้ายก็ว่านอนสอนง่ายแล้ว พวกมันไม่สนว่าเขาจะเคลื่อนไหวทำอะไร พากันหลบอยู่ในกระดูกไม่ยอมออกม


ส่วนเหมียวอี้ก็เป็นเหมือนแม่เหล็กก้อนหนึ่ง ไม่ว่าจะว่ายน้ำไปตรงไหนที่ก้นทะเลสาบ ของที่อยู่ตรงนั้นก็จะถูกดูดออกมาให้เขาโบกมือเก็บ เรียกได้ว่ามีชีวิตชีวาเต็มเปี่ยม


เขากำลังคิดว่า หลังจากกลับไปแล้ว หงเฉิน จีเหม่ยลี่ อวี้หนูเจียวกับฝ่าอิน…ฝ่าอินเก็บไว้ก่อนดีกว่า หลังจากหอบเงินกองนี้กลับไป ระหว่างหงเฉิน จีเหม่ยลี่และอวี้หนูเจียว ตนจะทำลายความบริสุทธิ์ของใครก่อนดี? จัดการทีเดียวเลยแล้วกัน ตนเลี้ยงไหวอยู่แล้ว จะขาดความมั่นใจในการทำแบบนั้นได้อย่างไร


คำโบราณกล่าวไว้ไม่มีผิด บางครั้งผู้หญิงก็คือแรงขับเคลื่อนให้ผู้ชายขยันหาเงิน!


ค้นหาสมบัติต่อไปแบบนี้ หลังจากว่ายวนจนทั่วก้นทะเลสาบอย่างรวดเร็วรอบหนึ่ง เหมียวอี้ก็ยิ้มจนปากเกือบเป็นตะคริว แค่ยาเจี๋ยตันขั้นห้าอย่างเดียวก็ได้มาหนึ่งร้อยกว่าเม็ดแล้ว ยาเจี๋ยตันขั้นห้ามีมูลค่าเท่ากับหนึ่งหมื่นล้านผลึกแดง หรือพูดได้อีกอย่างว่า แค่ยาเจี๋ยตันขั้นห้าอย่างเดียวเขาก็ได้มาแล้วหนึ่งล้านล้านผลึกแดง


จำนวนยาเจี๋ยตันขั้นสี่ก็ยิ่งทำให้ต้องแอบปิดปากหัวเราะ หนึ่งหมื่นกว่าเม็ด! ไม่มียาเจี๋ยตันที่ต่ำกว่าขั้นสี่เลยสักเม็ดเดียว เห็นได้ชัดว่าถ้าเป็นนักพรตที่วรยุทธ์ยังไม่ถึงระดับบงกชทอง ก็มาที่ปราสาทดำเนินเซียนไม่ได้เหมือนกัน


ยังมีสิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงยิ่งกว่านั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะมีนักพรตระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพตายด้วยน้ำมือเสิ้นหมีด้วย ไม่น่าเชื่อว่าจะได้ยาเจี๋ยตันขั้นหกมาสองเม็ด ท่านย่าเอ๊ย เม็ดเดียวก็มีราคาหนึ่งล้านล้านผลึกแดงแล้วนะ!


เขาคิดไม่ตกแล้วจริงๆ ทำไมถึงมีนักพรตระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพลักลอบมาที่นี่? เขาเดาว่าคงมีคนรู้ว่าปราสาทดำเนินเซียนวางเขตต้องห้ามไว้ที่นี่ จึงอยากจะมาสืบดูสักหน่อยว่าเป็นอย่างไรกันแน่


ส่วนกำไลเก็บสมบัติที่ช้อนได้จากในทะเลสาบ ก็มีจำนวนสี่หมื่นกว่าวง! ในเวลาหนึ่งแสนกว่าปี ผู้ที่มาที่นี่ทยอยกันเอาสมบัติและชีวิตมาทิ้งไว้!


ตอนที่มีเวลาว่างแล้ว เหมียวอี้ก็ตรวจดูไม่ใส่ใจอีกนิดหน่อย ในกำไลเก็บสมบัติบางวงไม่มีของมีค่าอะไร แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะมีจำนวนเยอะ! สมบัติของนักพรตระดับบงกชทองหลายหมื่นคนมากองรวมอยู่ด้วยกัน ในนั้นยังมีสมบัติของนักพรตบงกชรุ้งและนักพรตพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพด้วย เมื่อนำของข้างในมารวมกันมันแปลว่าอะไรล่ะ?


ท่านขุนนางเหมียวร่ำรวยแบบพะรุงพะรังนิดหน่อย เขามาเพื่อหาสมบัติ ในห้องถ้ำที่ซ่อนสมบัติไม่มีของล้ำค่าอะไร แต่นอกห้องถ้ำกลับมีทรัพย์สินโยนไว้เป็นกอง แบบนี้มีเหตุผลเสียที่ไหน?


เหมียวอี้คิดว่าตอนนี้ตัวเองพอจะเข้าใจบ้างแล้วว่าทำไมประมุขไป๋ไม่ทำให้เสิ้นหมีตายสนิทในทันที ชัดเจนว่ากำลังอาศัยเสิ้นหมีเพื่อสร้างทะเลสาบแห่งนี้ให้เป็นชามสมบัติที่อยู่ตามธรรมชาติ! เวลายิ่งผ่านไปนาน ความร่ำรวยที่สะสมได้ก็ยิ่งเยอะ ชัดเจนว่าเตรียมไว้ให้คนที่จะมาหาสมบัติในตอนหลัง


เขารู้สึกสงสารเสิ้นหมีอีกครั้ง เสิ้นหมีพยายามดิ้นรนสุดชีวิตมาตลอดหลายปีก็เพื่อยกประโยชน์ให้คนอื่น ไม่จำเป็นต้องควบคุมเร่งรัด ก็พยายามลำบากทำงานที่นี่ ทำงานอย่างสุดกำลัง ประมุขไป๋เรียกได้ว่าใช้ประโยชน์จากเสิ้นหมีอย่างถึงที่สุด!


หลังจากโผล่ออกมาจากทะเลสาบ เหมียวอี้ถึงได้พบว่าเป็นเวลาพลบค่ำแล้ว เขาเหลือบมองกระดูกขาวที่อยู่ริมฝั่ง แต่ก็ไม่มีความคิดที่จะไปค้นหาอีก กระดูกที่อยู่บนฝั่งส่วนใหญ่เป็นกระดูกของสัตว์ป่า ไม่มีกระดูกของคน ย่อมไม่มีสมบัติอะไรอยู่แล้ว


เหมียวอี้สงบสติอารมณ์ แล้วรีบฝ่าเมฆหมอกออกไป เห็นเพียงแสงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่องอยู่ที่เส้นขอบฟ้า เมื่อหาทิศทางได้แม่นยำแล้ว เขาก็เหาะไปอย่างรวดเร็ว


ผ่านไปไม่นาน เขาก็ไปเหยียบลงตรงจุดที่ปล่อยหวงฝู่จวินโหรวกับจงหลีค่วยไว้ก่อนหน้านี้ ทั้งสองยังคงนอนนิ่งไม่ขยับไปไหน


เหมียวอี้ร่ายอิทธิฤทธิ์คลายผลึกบนตัวของทั้งสอง ไม่นานทั้งสองก็ลืมตาตื่นขึ้นมา จากนั้นลุกนั่งแล้วมองไปรอบๆ จงหลีค่วยถามอย่างหวาดผวาว่า “นั่นมันพิษอะไรกัน? แก้พิษที่อยู่บนตัวเราได้แล้วเหรอ?”


เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วบอกว่า “โชคดีที่ข้าลงมือได้ทันเวลา พาพวกเจ้ากลับมาได้ทันท่วงที เดาว่าคงพิษคงจะยังไม่ได้ซึมลึก พวกเจ้าค่อยตรวจอาการอีกรอบแล้วกัน ดูว่าเป็นอะไรหรือเปล่า”


ทั้งสองหลับตาร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจอาการตัวเองทันที หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่เป็นอะไร พวกเขาก็ส่ายหน้า หวงฝู่จวินโหรวกลับอดไม่ได้ที่จะถามอย่างสงสัยว่า “พวกเราสองคนตกหลุมพรางในทันทีที่บุกเข้าไป ทำไมเจ้าไม่เป็นอะไรเลยล่ะ ยังมีเวลาว่างมาช่วยชีวิตพวกเราด้วยเหรอ?”


“ไม่เป็นอะไรที่ไหนล่ะ?” เหมียวอี้ชี้ปากแผลเลือดตรงหว่างคิ้วของตัวเอง “ข้าใช้วิชาลับผ่าแท่นจิตของตัวเอง ถึงได้รักษาแท่นจิตให้กระจ่างชัดเจนได้ ถึงได้ช่วยพวกเจ้าสองคนออกมาได้ทันเวลาไงล่ะ เจ้ายังสงสัยข้าอีกเหรอ?”


ทั้งสองมองดูบาดแผลตรงหว่างคิ้วของเขา ทั้งยังมีรอยเลือดบนใบหน้าและร่างกาย จงหลีค่วยถามอย่างสงสัยเช่นกัน “ผ่าแท่นจิตแล้วมีเลือดไหลออกมาเยอะขนาดนี้เชียวเหรอ? เจ้าคงไม่ได้ต่อสู้กับใครหรอกใช่มั้ย?”


“วิชาลับไม่มีค่าพอให้เอ่ยถึงหรอก!” เหมียวอี้พูดขายผ้าเอาหน้ารอด


หวงฝู่จวินโหรวมองดูสีของท้องฟ้าแล้วถามอีกว่า “เจ้าไปไหนมา? พวกเรานอนอยู่ที่นี่ตอนเที่ยง เจ้าเพิ่งกลับมาตอนฟ้าใกล้จะมืดเหรอ?”


เหมียวอี้ตอบว่า “ข้าไปไหนเสียที่ไหนกัน? เพื่อที่จะช่วยชีวิตพวกเจ้า ข้าโดนพิษหนักกว่าพวกเจ้าเสียอีก ข้าร่ายอิทธิฤทธิ์ถอนพิษอยู่แถวๆ นี้มาตลอด จะไปที่ไหนได้ล่ะ?”


หวงฝู่จวินโหรวหันกลับไปมองที่เขตต้องห้าม แล้วหันมามองเหมียวอี้อีก “นับว่าเจ้าข้ออ้างเยอะ อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้เลย เรื่องที่ไอ้เวรตะไลมันลงมือจู่โจมข้ากะทันหัน จับข้ามัดเอาไว้ จะคิดบัญชียังไงดี?” พอพูดถึงเรื่องนี้ นางก็เรียกได้ว่าขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน คนที่รักษาภาพลักษณ์มาตลอดอย่างนาง ตอนนี้โดนเล่นงานจนผมเผ้ายุ่งเหยิงแล้ว


สำหรับเรื่องนี้น่ะเหรอ จงหลีค่วยเงยหน้ามองฟ้า เขาไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้แล้ว


เหมียวอี้แสยะยิ้ม “เจ้ากำลังทำอะไรอยู่ คิดว่าข้าไม่รู้เหรอ? ผู้หญิงอย่างเจ้าจับตาดูข้าอยู่ตลอด ข้าสงสัยนิดหน่อยว่าเจ้าเป็นสายลับที่ใครบางคนส่งมาจับตาดูข้า!” แบบนี้เรียกว่าย้อนเล่นงานแทนที่จะรับผิด


สายลับ? หวงฝู่จวินโหรวย่อมรู้ความหมายลึกๆ ที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขา ภูมิหลังของนางคือสุนัขรับใช้ของตำหนักสวรรค์ นางจึงเริ่มกังวลนิดหน่อย ตะคอกกลับเสียงดังว่า “เจ้าอย่ามาใส่ร้ายคนอื่น! ข้าก็แค่รู้สึกว่าเจ้าทำตัวลับๆ ล่อๆ ก็เลยอยากจะดูว่าเจ้าคิดจะทำอะไร!”


เหมียวอี้พูดออกมาตรงๆ เสียเลยว่า “ข้าก็ทำเรื่องที่ให้คนอื่นเห็นไม่ได้นั่นแหละ ข้าหลบๆ ซ่อนๆ ทำตัวลับๆ ล่อๆ ไปแล้ว แล้วยังไงต่อล่ะ? ข้าไม่อยากให้เจ้ารู้ว่าข้ากำลังทำอะไรอยู่ ตกลงมั้ย? ถ้าข้าจะจับตาดูเจ้าไว้ตลอด เจ้าจะรู้สึกยังไง?”


“เจ้า…” หวงฝู่จวินโหรวชี้หน้าเขาพร้อมด่าว่า “เจ้าลงมือลับหลังข้า ยังมีหน้ามาอ้างเหตุผลอีกเหรอ?” เรื่องนี้นางคิดแล้วก็ปวดใจ สองคืนที่ผ่านมาทั้งสองยังทำเหมือนรักกันดูดดื่ม ยังชมทิวทัศน์ด้วยกันอยู่เลย นางรู้สึกมีความสุขมากมาตลอด ใครจะคิดว่าผู้ชายคนนี้จะแปรพักตร์ทันที่ใส่กางเกงเสร็จ ไม่น่าเชื่อว่าจะลอบโจมตีนาง ไม่ยุติธรรมเกินไปแล้ว


“เลิกเถียงกันได้แล้ว!” จงหลีค่วยพูดห้าม แล้วชี้ไปบนฟ้าที่อยู่ไกลๆ พร้อมกล่าวอย่างแปลกใจว่า “พวกเจ้าสังเกตเห็นรึเปล่า ปรากฏการณ์มหัศจรรย์บนท้องฟ้าหายไปแล้ว เมื่อครู่นี้ข้าสังเกตมาตลอด เหมือนท้องฟ้าผืนนี้จะกลับมาเป็นปกติแล้วนะ”


ทั้งสองเงยหน้ามอง แล้วก็มองไปยังท้องฟ้าโดยรอบอีก เหมือนจะเป็นแบบนี้จริงๆ พวกเขารู้สึกค่อนข้างแปลกใจ


เมื่อเห็นคู่แค้นทั้งสองเลิกเถียงกันแล้ว จงหลีค่วยก็กุมหมัดไอหนึ่งที แล้วเริ่มพูดถึงเรื่องสำคัญ “เหมียวอี้ ข้ารู้สึกว่าฐานะของพวกเจ้าสองคนไม่สะดวกจะอยู่ที่นี่นาน ข้าคิดว่ารีบออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุดจะเหมาะสมกว่า ไม่อย่างนั้นถ้าเผยพิรุธขึ้นมา ข้าก็ไม่มีทางอธิบายต่อสำนักได้เลย!”


หวงฝู่จวินโหรวเหล่ตามองเหมียวอี้ นางยังคิดว่าการที่เหมียวอี้ถ่อมาที่นี่จะต้องมีจุดประสงค์อะไรแน่นอน เดาว่าเหมียวอี้คงไม่ออกไปจากที่นี่ง่ายๆ


ใครจะคิดว่าหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เหมียวอี้ก็พยักหน้าบอกว่า “ได้! เชื่อฟังท่าน อย่างไรเสีย การโดนจับตามองอยู่ตลอดก็ทำให้หมดอารมณ์ชมทิวทัศน์อยู่แล้ว รีบกลับกันเถอะ”


กลับไป? หวงฝู่จวินโหรวพูดไม่ออก ไม่ง่ายเลยกว่านางจะขอลาหยุดกับมารดาตัวเองได้ ยังอยากจะแอบใช้ชีวิตบันเทิงกับเหมียวอี้สักระยะ นี่จะกลับแล้วเหรอ?


นางรู้สึกไม่ค่อยยอม แต่อีกสองคนตัดสินใจว่าจะไปแล้ว ถ้านางต้องการจะอยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์


ดังนั้นทั้งสามจึงออกไปจากที่นี่ตอนนี้ ก่อนจะไปพวกเขากลับไปหาหลิวฮั่นอีก นำบัตรผ่านและป้ายคำสั่งไปให้หลิวฮั่น ให้หลิวฮั่นไปกล่าวอำลาปราสาทดำเนินเซียนแทนพวกเขา


ขณะมองส่งทั้งสามเหาะขึ้นฟ้าไป หลิวฮั่นกลับขมวดคิ้วมุ่น เมื่อได้ยืนยันหน้าตาของเหมียวอี้กับหวงฝู่จวินโหรวใกล้ๆ อีกครั้ง ก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้จำผิด…


ท้องฟ้ามืด แล้วก็สว่างอีกครั้ง


ตอนที่ดวงดาวยังกะพริบแสงอยู่บนท้องฟ้า ขอบฟ้าสว่างเล็กน้อย จิ่งฉงเจ้าสำนักของปราสาทดำเนินเซียนเหาะมาเหยียบลงนอกตำหนักเมฆาล่องลอย ยืนอยู่หน้าประตูที่ปิดสนิท แล้วกุมหมัดคารวะ “ศิษย์จิ่งฉง ขอพบปรมาจารย์!”


ประตูที่ปิดสนิทส่งเสียงเสียงดังทึบ เปิดออกเองโดยไร้ลม เมื่อประตูเปิดออกแล้วสี่ส่วน จิ่งฉงถึงได้ก้าวเดินเข้าไป


ในตำหนักเงียบขรึมที่แทบจะว่างเปล่าไร้สิ่งของ บนพื้นที่ปูด้วยหยกขาว ชายชราคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงกลาง ในตำหนักมีเสาหลักขนาดใหญ่สี่ต้น ทั้งต้นสร้างจากหยกขาว


ชายชราสวมชุดคลุมยาวตัวใหญ่โคร่งสีขาวดุจหิมะ


ผมสีขาวราวกับหิมะยาวมาก ยาวคลุมร่างกายเขาไปครึ่งหนึ่ง แผ่อยู่บนพื้นข้างหลังของเขาเป็นรูปครึ่งวงกลม เหมือนตั้งแต่ยอดศีรษะลงมาถูกคลุมด้วยผ้าไหมสีเงินหนึ่งชั้น ทั้งยังมีคิ้วหนาสีขาว ตรงหว่างคิ้วเป็นลายเมฆสีทองดอกหนึ่ง ใบหน้าที่มีรอยเหี่ยวย่นดูสุขุมเยือกเย็น ใต้ริมฝีปากหนามีเคราสีขาวที่ย้อยจนถึงหน้าอก


ชายชราผู้นี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นปรมาจารย์ที่บุกเบิกสร้างปราสาทดำเนินเซียน และเป็นอาจารย์ปู่ของจิ่งฉงเช่นกัน เขาชื่อว่าโหยวอี๋!


“ศิษย์จิ่งฉงคารวะปรมาจารย์!” เจ้าสำนักจิ่งฉงยืนอยู่ตรงจุดที่ห่างออกไปสองจั้ง กุมหมัดคารวะพร้อมโค้งกาย


เมื่อเห็นโหยวอี๋ไม่ทำอะไรเสียที และไม่เอ่ยปากพูดอะไรด้วย เสียงที่เยือกเย็นเลื่อนลอยจึงดังอยู่ในตำหนัก “เจ้าสำนักมาที่นี่ด้วยธุระอะไร?”


จิ่งฉงยังคงกุมหมัดค้างไว้ พร้อมบอกว่า “ตามคำสั่งของปรมาจารย์ ศิษย์เฝ้าสังเกตปรากฏการณ์บนท้องฟ้าทุกค่ำคืน แต่เมื่อคืนท้องฟ้ามีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ตั้งแต่เมื่อคืนจนกระทั่งฟ้าใกล้สว่าง แสงขั้วโลกหลากสีที่อัศจรรย์บนท้องฟ้าได้หายไปแล้ว…”


เขายังพูดไม่ทันจบ โหยวอี๋ที่นั่งนิ่งไม่สะทกสะท้านเหมือนรูปปั้นมาตลอดก็พลันลืมตาขึ้น ในดวงตาทั้งคู่ฉายแววคมกริบ จู่ๆ ในตำหนักก็มีลมพัดวูบ ให้ความรู้สึกเหมือนจะเกิดลมพัดเมฆเคลื่อนกะทันหัน ผมสีเงินที่คลุมร่างโหยวอี๋ปลิวสะบัดอย่างรุนแรง เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ของเขากระวนกระวายถึงขีดสุด


…………………………


บทที่ 1155 เขากลับมาแล้ว!

โดย

Ink Stone_Fantasy

จิ่งฉงอึ้งไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ปรมาจารย์จึงมีปฏิกิริยามากขนาดนี้ เขาต้านเสียงลมที่กระเพื่อมสาดซัด กุมหมัดคารวะกล่าวต่อไปว่า “ศิษย์ติดต่อกับศิษย์ที่อยู่ตามจุดต่างๆ แล้ว ปรากฏการณ์ประหลาดนี้เกิดแค่ขั้วโลกสองแห่ง แสงขั้วโลกหลากสีสันของที่อื่นหายไปหมดแล้ว แต่ที่จริงก็มีเค้าลางตั้งแต่เมื่อวานตอนกลางวันแล้ว แสงสีขาวที่เปลี่ยนแปลงอยู่บนท้องฟ้าเลือนหายไป ท้องฟ้ากลายเป็นสีฟ้าครามราวกับถูกชำระล้างขอรับ!”


พรึ่บ! โหยวอีที่นั่งขัดสมาธิพลันหายไปจากที่เดิม


จิ่งฉงหันกลับไปมอง พบว่าปรมาจารย์กำลังยืนมองท้องฟ้าอยู่บนบันไดนอกประตูแล้วแล้ว


ตรงขอบฟ้ามีสีขาวเหมือนพุงปลา ท้องฟ้ายามค่ำคืนมีดวงดาวส่องสว่าง


ชุดคลุมสีขาวตัวโคร่งหลวมของโหยวอีกำลังปลิวสะบัด ผมสีขาวเงินที่ยาวลากพื้นกำลังลอยพลิกขึ้นพลิกลง เงยหน้ามองท้องฟ้ายามใกล้รุ่งเงียบๆ ให้ความรู้สึกราวกับทั้งตัวจะลอยขึ้นฟ้า


จิ่งฉงเดินไปข้างเขาอย่างเงียบงัน ก้มหน้าเล็กน้อย แอบมองปรมาจารย์อยู่เป็นระยะ รอฟังคำสั่งอย่างเงียบๆ


สีสันสะลานตาของแสงขั้วโลกยามค่ำคืนหายไปแล้วจริงๆ เห็นได้ชัดว่าสีหน้าของโหยวอีค่อนข้างเหม่อลอย ในดวงตาที่ลึกล้ำเผยให้เห็นความงงงวย ปากส่งเสียงพึมพำว่า “หากข้ากลับมา สีสันเต็มท้องฟ้านี้จะต้องอับแสงลง…”


ในหัวเขาปรากฏภาพภาพหนึ่ง เป็นบนยอดเขาแห่งหนึ่งที่อยู่ในภายใต้ท้องฟ้ายามราตรี คนคนหนึ่งกำลังเอามือไขว้หลังยืนหันหลังให้ ส่วนเขาก็ยืนกล่าวอยู่ข้างหลัง : ได้โปรดคิดทบทวน!


คนคนนั้นตอบขณะที่หันหลังให้ : หลังจากจบเรื่องนี้ รอข้ากลับมา!


เขาถาม : จะกลับเมื่อใด?


ดังนั้นคนคนนั้นจึงลั่นวาจาว่า : หากข้ากลับมา สีสันเต็มท้องฟ้านี้จะต้องอับแสงลง!


ดังนั้นหลังจากการเปลี่ยนแปลงฉากใหญ่นี้ เขาจึงสั่งให้ลูกศิษย์ในสำนักสังเกตปรากฏการณ์นี้ไว้ตลอด ตอนนี้สีสันที่อยู่เต็มท้องฟ้าเป็นอย่างที่คนคนนั้นบอก มันอับแสงลงแล้ว!


จิ่งฉงหูกระดิกนิดหน่อย ได้ยินเสียงปรมาจารย์ดังแว่วชัดเจน เพียงแต่ไม่รู้ว่าคำพูดของปรมาจารย์หมายความว่าอะไร


รออยู่สักประเดี๋ยว โหยวอีก็กล่าวอย่างเนิบนาบว่า “จิ่งฉง ช่วงนี้มีแขกมาที่ดาวดำเนินเซียนบ้างรึเปล่า?”


จิ่งฉงมึนงงเล็กน้อย แล้วกุมหมัดตอบว่า “ปรมาจารย์ช่างปราดเปรื่อง ไม่กี่วันมานี้มีแขกมาสามคน เพียงแต่พักอยู่ในเรือนรับแขกได้คืนเดียว เมื่อวานกล่าวอำลาจากไปแล้ว”


โหยวอีแววตาวูบไหว หันหน้ามองมา แล้วถามว่า “ผู้ที่มาเป็นใคร?”


“จงหลีค่วยลูกศิษย์ของฝูเสี่ยน เจ้าสำนักของปราสาทดำเนินนภา เขาพาสหายสองคนมาชมทิวทัศน์ขอรับ” จิ่งฉงตอบ


“ปราสาทดำเนินนภา?” ดวงตาโหยวอีฉายแววสงสัย ถามอีกว่า “สหายสองคนที่จงหลีค่วยพามาเป็นใคร?”


จิ่งฉงไม่เคยเจอเหมียวอี้กับหวงฝู่จวินโหรวเลย เจ้าสำนักของปราสาทดำเนินเซียนผู้สง่าน่าเกรงขาม ไม่ใช่ว่ามีใครมาแล้วจะสนใจทุกคน ถ้าจงหลีค่วยไม่ใช่ลูกศิษย์ของเจ้าสำนักปราสาทดำเนินนภา เขาก็ไม่จำเป็นต้องให้เข้าพบเลย เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ ปรมาจารย์จะสนใจสิ่งนี้ จึงตอบอย่างค่อนข้างลายอายใจทันที “ศิษย์ประมาทเลินเล่อ ไม่เคยไปถาม จึงไม่ค่อยชัด รู้เพียงว่าทั้งสองเป็นนักพรตอิสระ”


ร่างของโหยวอีพลันหายไปจากที่เดิน กลับไปนั่งขัดสมาธิในตำหนักอีกครั้ง แล้วในตำหนักก็มีเสียงที่ราบเรียบลอยออกมา “มีชื่อแซ่ว่าอะไร ไปสืบแล้วกลับมารายงาน” พูดจบ ประตูตำหนักก็ปิดลงอีกครั้ง


จิ่งฉงกุมหมัดคารวะให้ประตูที่ปิดลง แล้วถลันตัวเหาะออกไปอย่างรวดเร็ว


ตอนที่ยังไม่ได้ไปสืบก็ยังดีๆ อยู่ แต่หลังจากสืบจนรู้ชัดแล้ว สีหน้าของจิ่งฉงก็ค่อนข้างแย่


ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม เขาก็มาปรากฏตัวในตำหนักเมฆาเลื่อนลอยอีก รายงานว่า “สองคนที่จงหลีค่วยพามา คนหนึ่งชื่อเหมียวอี้ คนหนึ่งชื่อหวงโหรว เรียกตัวเองว่าเป็นคู่สามีภรรยานักพรตอิสระ แต่…แต่ตามที่ลูกศิษย์ที่ชื่อหลิวฮั่นรายงานขึ้นมา เขาเหมือนจะเคยเห็นนักพรตอิสระคู่นี้ที่ตลาดสวรรค์ของดาวเทียนหยวนมาก่อน คนที่ชื่อเหมียวอี้เหมือนหนิวโหย่วเต๋อ ผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน ส่วนคนที่ชื่อหวงโหรวก็เหมือนหวงฝู่จวินโหรว ผู้จัดการร้านค้าสมาคมวีรชนของตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน ไม่มีทางที่เรื่องราวจะบังเอิญขนาดนี้ เป็นไปได้สูงว่าหลิวฮั่นจะพูดความจริง เรื่องนี้เป็นศิษย์เองที่ตรวจสอบผิดพลาด ปล่อยให้คนที่ไม่สมควรมาที่นี่ล่วงล้ำเข้ามา”


“หนิวโหย่วเต๋อ?” โหยวอีไม่ได้มีท่าทีว่าจะถือสาหาความกับจิ่งฉง หลังจากทำท่าสงสัยนิดหน่อย ก็ถามอีกว่า “คนที่สั่งประหารข้าทาสของตระกูลผู้มีอำนาจของตำหนักสวรรค์ไปสามพันกว่าคนน่ะเหรอ?”


“ใช่แล้วขอรับ!” จิ่งฉงตอบ


“ทำไมเขาถึงปลอมตัวเป็นสามีภรรยากับคนของสมาคมวีรชนแล้วมาที่นี่ได้?” โหยวอีตอบ


จิ่งฉงตอบอย่างอับอายเล็กน้อย “ศิษย์ไม่ทราบ! เดี๋ยวศิษย์จะไปขอคำอธิบายจากคนของปราสาทดำเนินนภาแน่นอน ว่าเหตุใดจึงให้ท้ายลูกศิษย์ในสำนักมาหลอกลวงคนที่นี่”


โหยวอีไม่ได้พูดอะไรอีก แต่หยิบระฆังดาราออกมาต่อหน้าจิ่งฉง แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์เขย่าอยู่ในมือ


ปราสาทดำเนินนภา ในตำหนักนภาครามที่กว้างโล่ง บนเตียงหยกตัวหนึ่ง ชายชราผมขาวที่มัดผมหางม้ากำลังนั่งสมาธิอยู่บนนั้น เขาสวมชุดคลุมสีน้ำเงินเขียว ใบหน้าซูบผอม ตรงหว่างคิ้วราวกับมีไฝสีแดงชาดอยู่จุดหนึ่ง กำลังนั่งสมาธิฝึกตนอย่างสงบใจ คนผู้นี้ไม่ใช่ใครที่ให้ เป็นประมุขปราสาทดำเนินนภา และเป็นปรมาจารย์ที่บุกเบิกปราสาทดำเนินนภา เวินหวนเจิน!


เขาที่ยามปกติไม่ค่อยถูกรบกวน ฝึกตนอย่างสงบใจอยู่ที่นี่โดยไม่ออกไปไหน กิจธุระในสำนักก็ย่อมมีลูกศิษย์ที่เติบโตแล้วคอยจัดการให้ ไม่จำเป็นต้องทำให้เขาเป็นห่วงอะไร


ไม่ค่อยถูกรบกวนแต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีใครมารบกวน ตอนนี้ดวงตาที่ปิดอยู่เปิดขึ้นแล้ว เขาหยิบระฆังดาราที่สั่นออกมา ดวงตาฉายแววประหลาดใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเหตุใดโหยวอีจากปราสาทดำเนินเซียนจึงติดต่อเขาอย่างกะทันหันไม่มีเค้าลาง เขาถามว่า : มีธุระอะไร?


โหยวอี : ศิษย์รุ่นสี่ของสำนักพวกเจ้าที่ชื่อจงหลีค่วยพาสหายสองคนมาที่ปราสาทดำเนินเซียน


เวินหวนเจินงุนงงทันที แปลกใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงสนใจลูกศิษย์รุ่นสี่ของสำนักตน : เขาก่อเรื่องอะไรที่ปราสาทดำเนินเซียนของเจ้าเหรอ?


โหยวอี : ไม่มีอะไรหรอก ขอยืนยันตัวตนที่แท้จริงของสหายสองคนที่เขาพามาหน่อย


เมื่อเขาพูดแบบนี้ เวินหวนเจินก็ยิ่งแปลกใจ เขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าใครกันที่สามารถทำให้โหยวอีสนใจได้ขนาดนี้ จึงหยิบระฆังดาราอีกอันมาเขย่า


ผ่านไปครู่เดียว ฝูเสี่ยนเจ้าสำนักที่เป็นลูกศิษย์ของเขาก็เข้าตำหนักมาคารวะปรมาจารย์


“ข้าจพได้ว่าเจ้ามีลูกศิษย์คนหนึ่งชื่อว่าจงหลีค่วยใช่มั้ย?” เวินหวนเจินถามเขา


ฝูเสี่ยนอึ้งไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าทำไมปรมาจารย์จึงสนใจคนคนนี้ กุมหมัดตอบทันทีว่า “ใช่ขอรับ!”


“เขาพาคนสองคนไปที่ปราสาทดำเนินเซียน เจ้าติดต่อเขา ถามเขาหน่อยว่าสหายสองคนนั้นมีตัวตนที่แท้จริงเป็นอย่างไร” เวินหวนเจินกล่าว


จงหลีค่วยพาสหายสองคนไปที่ปราสาทดำเนินเซียนเหรอ? ใครกัน? ฝูเสี่ยนเริ่มขมวดคิ้ว เขาเองก็อยากรู้ว่าใครกันที่ทำให้ปรมาจารย์ต้องลำบากมาถามด้วยตัวเอง จึงหยิบระฆังดาราอกมาติดต่อจงหลีค่วยทันที


จงหลีค่วยในเวลานี้กำลังเหาะด้วยความเร็วสูงอยู่บนดาราจักรพร้อมกับเหมียวอี้และหวงฝู่จวินโหรว จู่ๆ ก็ได้รับข้อความจากอาจารย์ ทั้งยังถามตรงๆ ถึงตัวตนที่แท้จริงของเหมียวอี้กับหวงฝู่จวินโหรว จงหลีค่วยเริ่มกลัวนิดหน่อย ไม่รู้ว่าไปเผยพิรุธอะไรไว้เรื่องถึงวุ่นวายไปถึงอาจารย์ตัวเอง


ฝูเสี่ยนถามด้วยตัวเอง เขาเองก็ไม่รู้ว่าฝูเสี่ยนรู้มากแค่ไหน และไม่กล้าปิดบังด้วย ทำได้เพียงบอกตัวตนที่แท้จริงของเหมียวอี้กับหวงฝู่จวินโหรวไปอย่างซื่อสัตย์


ฝูเสี่ยนถามถึงที่มาที่ไปของเรื่องนี้อีกเล็กน้อย แล้วสุดท้ายก็บอกว่า : ก่อเรื่องวุ่นวาย!


เหมียวอี้ที่ร่วมเดินทางอยู่ขณะนั้นดันไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น “ลุงหนวด ทำไมหน้าดำคร่ำเครียดอย่างนั้นล่ะ เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”


“ครั้งนี้ซวยเพราะเจ้าแล้ว ตัวตนของพวกเจ้าถูกเปิดเผยที่ปราสาทดำเนินเซียนแล้ส เมื่อครู่นี้อาจารย์เพิ่งถามข้าด้วยตัวเอง!” จงหลีค่วยกล่าวด้วยน้ำเสียงโมโห


เหมียวอี้กับหวงฝู่จวินโหรวมองหน้ากันเลิกลั่ก…


ส่วนฝูเสี่ยนที่อยู่ในตำหนักนภาครามก็หวาดกลัวยำเกรง หลังจากเล่าเรื่องที่จงหลีค่วยบอกให้ฟังแล้ว ก็บอกอีกว่าเหมียวอี้กับปราสาทดำเนินนภาเคยมีความขัดแย้งกัน


เวินหวนเจินไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น ขมวดคิ้วเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง เรื่องนี้ลูกศิษย์ของตัวเองทำไม่ถูกจริงๆ แต่ตามหลักการแล้ว เรื่องแบบนี้ไม่น่าจะมีค่าพอให้โหยวอีมาถามด้วยตัวเอง จึงเขย่าระฆังดาราเล่าเรื่องที่ลูกศิษย์บอกให้โหยวอีรู้ทันที


โหยวอีถามว่า : ลูกศิษย์ของเจ้าไปรู้จักกับคนที่ชื่อเหมียวอี้นั่นได้อย่างไร?


เวินหวนเจิน : ตอนแรกเขาไม่ได้เป็นคนของตำหนักสวรรค์ จะว่าไปแล้ว การที่เขาเข้าตำหนักสวรรค์ก็เกี่ยวข้องกับปราสาทดำเนินนภาเหมือนกัน…


เขาเล่าเรื่องความขัดแย้งระหว่างเหมียวอี้กับปราสาทดำเนินนภาให้ฟังคร่าวๆ อีก


โหยวอี : หมายความว่า เหมียวอี้นั่นไม่ได้มาแค่ดาวดำเนินเซียนกับดาวดำเนินนภา เขาไปที่ดาวแมกไม้ด้วยเหรอ?


เวินหวนเจิน : เหมือนจะเป็นอย่างนั้น มีปัญหาอะไรหรือ? วันนี้เจ้าแปลกๆ ไปนะ มีเรื่องอะไรกันแน่?


โหยวอีตอบเพียงว่า : เขากลับมาแล้ว!


ตอนแรกเวินหวนเจินยังไม่เข้าใจ ถามว่า : ใคร?


โหยวอีตอบ : เขา! เขายังไม่ตาย! เขากลับมาแล้ว!


ถึงแม้จะไม่เอยชื่ออกมา แต่น้ำเสียงที่เน้นหนักนี้ก็ทำให้เวินหวนเจินเข้าใจอะไรแล้วนิดหน่อย สองตาพลันเบิกกว้าง รีบเขย่าระฆังดาราถามทันที : เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าเขายังไม่ตาย? เจ้าเห็นเขาเองกับตาเลยเหรอ?


ฝูเสี่ยนหันมองกระแสลมที่พัดม้วนอยู่ในตำหนักรอบๆ แล้วก็มองปรมาจารย์ที่กำลังทำสีหน้าตื่นเต้นฮึกเหิม ในใจแอบรู้สึกตระหนก ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรที่ทำให้ปรมาจารย์เสียอาการขนาดนี้ ต่อให้ลูกศิษย์ของตนจะพาสองคนนั้นไปที่ปราสาทดำเนินเซียน แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นนั้นหรอกมั้ง?


โหยวอี : ไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง! เรื่องผ่านมาหลายปี ใจคนยากจะคาดเดา สถานการณ์ไม่ชัดเจน เขาจะปรากฏตัวง่ายๆ ได้อย่างไร? ถ้าปรากฏตัวขึ้นมา ก็เป็นไปได้สูงว่าทางภูเขาหลิงซานจะรู้สึกได้ ถ้ารอให้ถึงเวลาที่เขารู้สึกว่าสามารถปรากฏตัวได้จริงๆ จะต้องเป็นเวลาที่ฟ้าสั่นปฐพีสะเทือน ฟ้าดินกลับตาลปัตรแน่นอน!


เวินหวนเจินเขย่าระฆังถามอย่างสะเทือนอารมณ์ : เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าเขากลับมาแล้ว?


โหยวอี : คนสำรวจเส้นทางมาแล้ว! เคยไปที่ปราสาทแมกไม้มาก่อน แล้วก็ไปที่ของเจ้า แล้วก็มาที่ของข้า เขาตรวจสอบพวกเราแล้ว กำลังเตรียมพร้อม เขากลับมาแล้ว!


เวินหวนเจินตกใจ : คนสำรวจเส้นทาง? หนิวโหย่วเต๋อนั่นน่ะเหรอ?


โหยวอี : ใจคนยากจะคาดเดา เรื่องนี้ เจ้ารู้ ข้ารู้!


หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เวินหวนเจินก็ตอบว่า : เข้าใจแล้ว!


หลังจากเก็บระฆังดาราแล้ว เวินหวนเจินที่เงียบไปพักหนึ่งก็บอกฝูเสี่ยนว่า : “อย่าให้ใครรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ รวมทั้งคนในสำนักด้วย ไม่ต้องไปตำหนิจงหลีค่วยลูกศิษย์ของเจ้าเหมือนกัน ให้ทำเหมือนเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น กำชับจงหลีค่วย ให้เขาอยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต๋อโดยไม่เผยเบาะแสอะไร ถ้าหนิวโหย่วเต๋อนั่นต้องการอะไร ก็ให้เขาให้ความร่วมมือ ถ้าเขามีเรื่องจำเป็นอะไรต้องขอให้สำนักช่วย ปราสาทดำเนินนภาก็จะสนับสนุนอย่างเต็มที่โดยไม่เสียดายอะไร อย่าให้เกิดความผิดพลาด!”


ตกตะลึง! ฝูเสี่ยนตกตะลึงพรึงเพริด ให้จงหลีค่วยลูกศิษย์ตนให้ความร่วมมือกับหนิวโหย่วเต๋อเหรอ? แล้วก็ให้ปราสาทดำเนินนภาสนับสนุนจงหลีค่วยอย่างเต็มที่ นี่…นี่มันเรื่องอะไรกัน?


จงหลีค่วยในตอนนี้กำลังด่าทอเหมียวอี้อยู่บนดาราจักร หวงฝู่จวินโหรวก็ได้อาศัยบารมีไปด้วยไม่น้อย ถึงขั้นด่าว่า ‘คู่สุนัขตัวผู้กับสุนัขตัวเมีย’ ด่าจนทั้งสองอับอายที่จะโต้ตอบ


รอจนกระทั่งฝูเสี่ยนผู้เป็นอาจารย์ส่งข้อความมาอีกครั้ง ใบหน้าของจงหลีค่วยก็ราวกับโดนตะคริวกิน อ้าปากค้างพูดไม่ออกแล้ว มองเหมียวอี้ด้วยแววตาที่แปลกประหลาดไร้ที่เปรียบ…


ณ ตำหนักเมฆาเลื่อนลอย โหยวอีเก็บระฆังดาราแล้วเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะบอกจิ่งฉงว่า “กลับไปตรวจสอบมาหน่อย ว่าเรื่องหนิวโหย่วเต๋อกับหวงฝู่จวินโหรวนั่น หลิวฮั่นบอกคนอื่นไปกี่คนแล้ว ขอเพียงเป็นคนที่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน เจ้าต้องรวบรวมตัวมาให้หมด ห้ามให้ขาดไปแม้แต่คนเดียว แล้วหาที่สงบๆ ให้พวกเขาฝึกตน ห้ามให้พวกเขาเปิดเผยเรื่องนี้ต่อภายนอก ใครเปิดเผยก็ลงโทษคนนั้น ถ้ามีคนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งจริงๆ ไม่สนว่าจะเป็นใคร เมื่อถึงเวลาจำเป็นก็ประหารชีวิตได้เลย เข้าใจมั้ย?”


“…” จิ่งฉงตกใจมาก ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรกันแน่ แต่กุมหมัดเอ่ยรับคำสั่งทันที “ศิษย์น้อมรับคำสั่ง!”


…………………………


บทที่ 1156 โอ้อวด

โดย

Ink Stone_Fantasy

ในภูเขานอกเมืองของดาวเทียนหยวน


“แยกกันกลับตรงนี้ เจ้ากลับเข้าเมืองไปก่อน” เหมียวอี้บอกหวงฝู่จวินโหรว


หวงฝู่จวินโหรวเองก็รู้ว่าทั้งสองกลับไปด้วยกันไม่ได้ ถ้าให้คนอื่นเห็นแล้ว นางเองก็ไม่มีทางอธิบายได้เช่นกัน เพียงแต่ก่อนจะไปนางยังทำสีหน้าสงสัย จ้องตรงหว่างคิ้วของเขาพร้อมถามว่า “บาดแผลของเจ้ายังไม่สมานตัวอีกเหรอ?”


เหมียวอี้ย่อมไม่มีทางบอกนางว่าตรงหว่างคิ้วของตัวเองมีดวงตาที่สามงอกออกมา ระหว่างทางที่กลับมาเขาเคยแอบร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดู พบว่าดวงตาที่สามได้เชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกับกายเนื้อของเขาโดยสมบูรณ์แล้ว มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเขา หลังจากที่คุ้นชินแล้ว ‘ลูกตา’ นั่นถึงขั้นมองซ้ายมองขวาตามจิตใต้สำนึกของเขา ไม่เป็นอุปสรรคอะไรเลยสักนิด ทำให้เขาหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ไม่รู้เหมือนกันว่าในการโจมตีครั้งสุดท้ายเสิ้นหมีได้ทำอะไรไว้กับเขากันแน่


ดูจากสถานการณ์เขากก็นับว่าเข้าใจแล้ว ถ้าคว้านดวงตาที่สามนี่ทิ้ง ดวงตาปกติอีกสองข้างของเขาก็จะต้องสูญเสียการมองเห็นไปสักระยะหนึ่ง รอการฟื้นฟูอย่างช้าๆ


“ถึงเวลาเดี๋ยวก็สมานตัวเอง” เหมียวอี้ตอบแบบขายผ้าเอาหน้ารอด แล้วโบกมือบอกใบให้นางรีบกลับไป


หวงฝู่จวินโหรวกลอกตามองเขา แล้วแอบถ่ายทอดเสียงบอกว่า “อย่าลืมข้อตกลงของเจ้ากับข้าล่ะ” พูดจบถึงได้เหาะขึ้นฟ้าจากไป


หลังจากมองคล้อยหลังนางไปแล้ว เหมียวอี้ถึงได้หันกลับมาถามจงหลีค่วย “ลุงหนวด จะให้ข้ากลับไปอธิบายเป็นเพื่อนท่านที่ปราสาทดำเนินนภามั้ย?”


“ตอนนี้ยังกลับไปไม่ได้ อาจารย์ให้ข้าสำนึกความผิดของตัวเองอยู่ข้างนอก” จงหลีค่วยตอบ


“ไม่กลับแล้วเหรอ?” เหมียวอี้งงไปชั่วขณะ ค่อนข้างรู้สึกผิดกับเรื่องนี้ อีกฝ่ายมองตนเป็นสหาย แต่ตัวเองกลับใช้ประโยชน์จากอีกฝ่าย ทั้งยังทำให้อีกฝ่ายพลอยลำบากไปด้วย จึงยิ้มแห้งๆ แล้วบอกว่า “ไม่กลับก็ไม่กลับ เดี๋ยวข้าจะหาที่พักในเมืองให้ท่านสักแห่ง”


“ข้าจะหาที่หลบฝึกตนในภูเขาแถวๆ นี้ ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาหาข้าที่นี่แล้วกัน” จงหลีค่วยส่ายหน้า


“ท่านไม่โกรธข้าแล้วเหรอ?” เหมียวอี้ถาม


“โกรธปล้วจะมีประโยชน์เหรอ?” จงหลีค่วยถามกลับ


เหมียวอี้ไม่พูดพร่ำทำเพลง หยิบแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งยื่นให้เขา “ยาแก่นซียนหนึ่งล้านเม็ด ท่านเอาติดตัวไว้ใช้ก่อน ถ้าไม่พอค่อยมาหาข้า”


จงหลีค่วยหยิบมาดูในมือ เป็นยาแก่นซียนกองใหญ่จริงๆ จึงแสยะยิ้มพร้อมบอกว่า “ใครๆ ก็พูดกันว่าตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์อุดมสมบูรณ์มาก สงสัยจะเป็นแบบนี้จริงๆ ควักออกมาครั้งเดียวก็เป็นยาแก่นซียนหนึ่งล้านเม็ดเลย ช่างร่ำรวย! เจ้าให้ข้าจริงเหรอ?”


“เอาไปเถอะน่า เป็นเพื่อนกันไม่ต้องเกรงใจกันหรอก” เหมียวอี้โบกมือ มองเขาศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มอีกว่า  “ท่านบอกขนาดของกระบี่วิเศษกับขนาดร่างกายตัวเองมา เดี๋ยวกลับไปข้าจะทำเกราะรบผลึกแดงกับกระบี่วิเศษผลึกแดงขั้นห้าให้ท่านสักชุด ใช้ดีกว่าเกราะม่วงบนตัวท่านแน่นอน”


จงหลีค่วยเหล่ตามมองเขา “ข้าไม่มีเงินจ่ายเจ้าหรอกนะ”


เหมียวอี้กล่าวด้วยท่าทางจริงจังว่า “พูดเรื่องเงินกับเพื่อนมันทำลายความสัมพันธ์นะ จะดีจะร้ายข้าก็เป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ จะทำสักชุดก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก มอบให้ท่านแบไม่คิดเงินเลย” รู้สึกผิดที่ทำให้อีกฝ่ายพลอยลำบากไปด้วย แถมครั้งนี้ก็ได้สมบัติมาจำนวนหนึ่ง ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องชดเชยให้กับบาดแผลทางจิตใจอีกฝ่ายสักหน่อย ในด้านนี้เขาไม่มีทางขี้งก


จงหลีค่วยก็ไม่เกรงใจเหมือนกัน นำแผ่นหยกออกมา เขียนพวกขนาดร่างกายลงไป แล้วตบที่หน้าอกเหมียวอี้ จากการกระทำนี้จะเห็นได้ว่าในใจยังมีความโกรธ ถึงแม้อาจารย์ของเขาจะไม่ถือสาหาความแล้ว แต่ในใจเขาก็ยังหงุดหงิด กำลังถือคติว่า การเอาของจากคนต่ำช้า ถ้าไม่เอาก็เสียของอยู่ดี แถมในใจยังด่าอีกว่า ขุนนางสุนัข!


ในสายตาของเขา ถ้าไม่ใช่ขุนนางโลภ อาศัยแค่เงินเดือนพวกนั้นจะทำของพวกนี้ได้อย่างไร


“ท่านวางใจได้ ข้าจะพยายามจัดการให้ท่านโดยเร็วที่สุด” เหมียวอี้มองดูขนาดที่เขียนไว้ในแผ่นหยก แล้วกล่าวรับประกันตรงนั้นเลย


จากนั้นเหมียวอี้ก็หยิบกระจกออกมาแต่งหน้าปลอมตัวอีก จงหลีค่วยที่อยู่ข้างๆ เห็นแล้วเอามือไขว้หลังถามว่า “เจ้าเด็กนี่ ชอบชอบทำตัวลับๆ ล่อๆ ทำเรื่องที่บอกคนอื่นไม่ได้มาตลอดใช่มั้ย กลับอาณาเขตตัวเองแล้วจะปลอมตัวทำไม?”


“เฮ้อ! ในตำหนักสวรรค์อยู่ยาก ตอนนี้ไม่อยากให้คนรู้ว่าข้ากลับมาแล้ว” เหมียวอี้พูดแก้ตัวส่งเดช ที่จริงตอนนี้เตรียมจะหลบเมียไปฟื้นฟูร่างกาย ถ้าคว้านดวงตามที่สามออกมาแล้ว แล้วตัวเองถูกปี้เยว่ฮูหยินเรียกพบตอนมองอะไรไม่ชัดเจน แบบนั้นจะแย่ขนาดไหน


พูดซ้ำไปซ้ำมามากพอแล้ว ก่อนที่จะไป เหมียวอี้ก็บอกจงหลีค่วยอีกว่า “อยู่ที่นี่ถ้าพบปัญหาอะไร ก็ให้ติดต่อข้าทันที ข้าจะส่งคนมาช่วยท่านจัดการทันที”


จงหลีค่วยพยักหน้า ในจุดนี้เขาเชื่อได้ อยู่ที่ดาวเทียนหยวนเจ้าหนุ่มนี่นับว่าอยู่ใต้คนคนเดียวแต่อยู่เหนือคนนับหมื่น ไม่มีใครกล้ามาหาเรื่อง


พอเข้ามาในเมือง เหมียวอี้ก็มุ่งตรงไปที่ร้านโฉมเมฆา อวิ๋นจือชิวที่ติดต่อกันไว้ก่อนหน้านี้กำลังรอเขาอยู่ในลานบ้านแล้ว


พอทั้งสองเจอหน้ากัน อวิ๋นจือชิวก็ถามพร้อมแววตาเฝ้าคอย “มีของอะไรจะให้ข้าดูเหรอ?”


นางรู้ล่วงหน้าแล้วว่าเหมียวอี้ได้เคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าภาคดินมาไว้ในมือ สาเหตุที่สำคัญที่สุดก็คือ ทุกครั้งที่ชายคนนี้ออกไปนอกบ้าน จะต้องไม่กลับมามือเปล่าแน่นอน คนที่เป็นเถ้าแก่เนี้ยและเป็นเมียจอมจัดการมาจนชินจะชื่นชอบการนับเงินมาก ไม่อย่างนั้นถ้าเห็นแต่เงินในบ้านจ่ายออก ไม่เห็นมีเงินเข้าบ้าน ในใจจะรู้สึกไม่สงบมากเอามากๆ


เป็นเพราะช่วงนี้นางใช้จ่ายเงินในบ้านจนรู้สึกกลัวแล้ว แค่เปิดร้านค้าสามร้านให้พวกอวี้หนูเจียวอย่างเดียว ก็เป็นค่าใช้จ่ายจำนวนมหาศาลแล้ว ถึงแม้การมีเส้นสายของเหมียวอี้จะค่อนข้างมีสิทธิพิเศษ แต่ก็ยังต้องจ่ายเงินไปก้อนใหญ่ ไหนจะค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ อีก


“ครั้งนี้ทำเงินก้อนใหญ่แล้วจริงๆ!” เหมียวอี้กระซิบข้างหูนาง พูดจบก็โอบกอดนางทันที


อวิ๋นจือชิวตาเป็นประกายอย่างที่คาดไว้ นางส่ายก้นพร้อมดึงแขนเสื้อเขา แล้ววิ่งเหยาะๆ ตามขึ้นบันไดไป ถ่ายทอดเสียงถามว่า “รีบบอกข้ามา ได้มาเท่าไร เยอะกว่าตอนไปร่วมการทดสอบครั้งก่อนรึเปล่า?”


“แค่ของชิ้นเดียวที่ได้มาก็ได้เยอะกว่าครั้งก่อนแล้ว” เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ


“ของอะไร?”


“กลับไปแล้วจะบอก”


ทั้งสองเข้ามาในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ด้วยกัน อวิ๋นจือชิวโบกมือสั่งอย่างกระตือรือร้นทันที “นายท่านกลับมาแล้ว เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ รีบนำน้ำชามาให้นายท่าน!”


พอเข้ามานั่งลงในศาลา เหมียวอี้ก็ชี้ที่น้าตัวเอง อวิ๋นจือชิวถอดเครื่องปลอมตัวให้เขาด้วยตัวเองทันที แต่พอเห็นบาดแผลตรงหว่างคิ้วของเขา ก็ยังถามอย่างตกใจว่า “นี่เจ้าเป็นอะไรไป?”


“เรื่องมันยาว เดี๋ยวค่อยบอกทีหลัง นวดไหล่ให้ข้าก่อน” เหมียวอี้ชี้ที่ไหล่สองข้างของตัวเอง


อวิ๋นจือชิวกลอกตามองเขาแวบหนึ่ง  แต่ก็ยังเดินมาข้างหลังเขา บีบนวดไหล่สองข้างให้เขา “อย่ามายั่วให้ข้าอยาก เป็นของอะไรกันแน่ รีบนำออกมาให้ข้าดู”


เหมียวอี้หลับตาดื่มด่ำความผ่อนคลาย ไม่ยอมบอกสักที ยั่วให้นางอยากรู้อยู่อย่างนั้น


เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ถือน้ำชาเข้ามา พอเห็นเหมียวอี้วางมาด ทั้งสองก็เม้มปากหัวเราะพร้อมกัน


เหมียวอี้เปิดตาครึ่งหนึ่งจ้องทั้งสอง “หัวเราะอะไร? ข้าว่าพวกเจ้าสองคนจะเอาใหญ่แล้วนะ กล้าหัวเราะเยาะข้า มานวดขาให้ข้า!”


“เจ้าค่ะ!” สองสาวเอ่ยรับ แต่ยังคงเม้มปากหัวเราะเหมือนเดิม พวกนางนั่งคุกเข่าทางซ้ายและขวาข้างขาเหมียวอี้ แล้วนวดทุบต้นขาให้เขา


ภาพเหตุการณ์แบบนี้ อวิ๋นจือชิวเห็นแล้วทั้งโมโหทั้งอยากขำ ทนดูต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ นางบิดหูท่านขุนนางเหมียวหนึ่งที “อวดดีอะไรนักหนา? ข้าแค่ยอมให้เจ้าหน่อยเดียว เจ้าก็เริ่มวางมาดเสียแล้ว รีบบอกมาว่าของคืออะไร ไม่อย่างนั้นข้าจะบิดหูเจ้าลงมา”


เหมียวอี้เจ็บจนร้อง “โอ้ยๆ” รีบให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ถอยไป ไม่กล้าเล่นแล้ว ยอมบอกอย่างซื่อสัตย์ “ยาเจี๋ยตันขั้นเจ็ด!”


“อะไรนะ?” อวิ๋นจือชิวหยุดบิดหูทันที ทั้งยังช่วยนวดหูให้เขาด้วย นางเดินมาตรงหน้าเขา แล้วกล่าวด้วยตาเป็นประกาย “รีบเอาออกมาให้ข้าดู”


เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ตกตะลึงเช่นกัน ยังไม่ต้องพูดถึงราคา ยาเจี๋ยตันขั้นเจ็ดคือสิ่งที่กว่าจะได้มาต้องฆ่านักพรตระดับสำแดงฤทธิ์ก่อน


เหมียวอี้กระดกนิ้วเรียกอวิ๋นจือชิว หลังจากบอกใบ้ให้นางเอาหูมาใกล้ๆ ก็กระซิบพึมพำข้างหูนางสองสามประโยค


เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่ได้ยินประโยคพวกนั้นเริ่มเอามือปิดปากหัวเราะ


อวิ๋นจือชิวกลับทำสีหน้าไม่ถูก เตะหน้าหน้าแข้งเขาหนึ่งที แล้วถลึงตาบอกเขาว่า  “เจ้าคนเหม็นสาบหน้าด้านไร้ยางอาย อย่ามาให้ข้าทำ ข้าทำไม่เป็น” นางชี้สาวใช้ทั้งสองที่กำลังแอบหัวเราะ “ไปให้พวกนางสองคนทำสิ สาวใช้สองคนนี้ถูกฝึกสอนมาตั้งแต่เด็กแล้ว ทำได้หลายแบบ”


“นั่นมันไม่เหมือนกันนี่!” เหมียวอี้ลุกขึ้นยืน แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มชั่วร้าย “เจ้าก็ไปขอให้พวกนางสองคนสอนสักหน่อยสิ”


“ไปตายซะ!” อวิ๋นจือชิวทำท่าเหมือนอับอายจนโมโห กล่าวด้วยสีหน้าแดงเรื่อว่า “เจ้าจะส่งมาหรือจะไม่ส่งมา ถ้าไม่ส่งมาอย่าหาว่าข้าแปรพักตร์นะ สุราคำนับมิยอมดื่ม อยากดื่มสุราลงทัณฑ์เหรอ?”


เหมียวอี้ค่อนข้างจนใจ พลิกมือโยนยาเจี๋ยตันขั้นเจ็ดเม็ดหนึ่งออกมา


ขณะถือยาเจี๋ยตันขั้นเจ็ดที่มีหมอกลอยวนเวียนพลิกดูไปมา อวิ๋นจือชิวที่ตาเป็นประกายจนแทบจะเปล่งแสงก็เดาะลิ้นไม่หยุด นางหันตัวมายื่นให้หญิงรับใช้ทั้งสอง “พวกเจ้าดูสิ ดูให้ดี เปิดหูเปิดตาสักหน่อย ของแบบนี้ปกติไม่มีโอกาสให้เห็นหรอกนะ”


ด้วยเหตุนี้จะเห็นได้ถึงฐานะของเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ในบ้าน ขนาดของแบบนี้ยังนำออกมาดูต่อหน้าทั้งสองได้อย่างง่ายดาย นำมาผ่านมือทั้งสองอย่างง่ายดาย หญิงรับใช้ทั้งสองรู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าอีกประเดี๋ยวบรรดาหรูฮูหยินก็จะไม่มีโอกาสได้เห็นเหมือนกัน เดี๋ยวฮูหยินจะต้องซ่อนเอาไว้แน่นอน ไม่มีทางนำออกมาต่อหน้าคนอื่น


ของสิ่งนี้ไม่เกี่ยวว่ามีเงินหรือไม่มีเงิน เพราะยามปกติหาซื้อไม่ได้ในตลาด เป็นของที่ใช้สำหรับหลอมสร้างไว้ในอาวุธระดับสูงเท่านั้น ลองนึกถึงของวิเศษที่ใช้สิ่งนี้ทำสิ อานุภาพการโจมตีของมันจะเทียบเท่ากับพลังของนักพรตระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพคนหนึ่งเลย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าราคาสูงขนาดไหน


เป็นสมบัติล้ำค่าที่มีจำนวนจำกัดอย่างแท้จริง เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่มีวาสนาได้เห็นแม้จะอยู่มาทั้งชีวิต แต่พวกนางสองคนไม่ใช่แค่มีวาสนาได้เห็น ทั้งยังได้ถือชื่นชมอยู่ในมือด้วย


หลังจากหยิบของมาชื่นชมในมือได้สักประเดี๋ยว พวกนางก็ส่งกลับคืนให้อวิ๋นจือชิว อวิ๋นจือชิวเรียกได้ว่าโปรดปรานจนวางไม่ลง แต่กลับทำสีหน้ากลุ้มใจ “ของมันก็ดีอยู่หรอก! แต่ไม่มีทางนำมาเปลี่ยนเป็นทรัพยากรฝึกตนได้เลย ถ้านำไปแลกจะต้องสะเทือนถึงบุคคลระดับสูงของตำหนักสวรรค์ เรื่องดีก็จะกลายเป็นเรื่องร้าย หนิวเอ้อร์ สงสัยจะต้องเก็บไว้เป็นสมบัติสืบทอดตระกูลให้ลูกชายเจ้าแล้วล่ะ”


เหมียวอี้เหล่ตามองท้องนาง ไม่ต่อความยาวสาวความยืดเรื่องมีลูก เพราะเขารู้ว่าในใจผู้หญิงคนนี้วู่วามอยากจะเป็นแม่คน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางหยั่งเชิงเขาเรื่องนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะปัจจัยแวดล้อมในตอนนี้ไม่เหมาะสม ผู้หญิงคนนี้คงจะไม่ได้พูดเฉยๆ แล้ว คงจะเอาจริงแน่นอน


เขาเปลี่ยนประเด็นสนทนา “ถ้าเจ้าตอบตกลงเงื่อนไขของข้า ข้าก็จะให้เจ้าดูของดีอีกนิดหน่อย”


อวิ๋นจือชิวรีบเก็บยาเจี๋ยตันในมือ แววตาเป็นประกายอีกครั้ง “ยังมีของอะไรอีก?”


“เจ้าตอบตกลงก่อนแล้วค่อยว่ากัน” เหมียวอี้กล่าว


“เอาของมาดูก่อนว่ามีค่าพอให้ทำอย่างนั้นมั้ย” อวิ๋นจือชิวกลอกตามองบน


เหมียวอี้พ่นเสียงทางจมูก แล้วบอกว่า “ให้เจ้าได้เปิดหูเปิดตาสักหน่อย!” พอเขาโบกมือ ก็มีเสียงดังก๊องแก๊ง กำไลเก็บสมบัติที่กองเหมือนภูเขาไหลพุ่งออกมาแล้ว เรียกได้ว่าเป็นฉากที่อลังการงานสร้าง


…………………………


บทที่ 1157 ยังมีคนที่โอ้อวดยิ่งกว่า

โดย

Ink Stone_Fantasy

ในลานบ้าน วัตถุที่เป็นวงกลิ้งมั่วไปทั่ว กำไลเก็บสมบัติเต็มพื้นกลิ้งไปทั่วทุกที่


อวิ๋นจือชิว เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ยืนอยู่ที่เดิมด้วยแววตาเหม่อล่อย ยังไม่ได้สติกลับมาพักใหญ่


“กำไลเก็บสมบัตินี่มันอะไรกัน?” อวิ๋นจือชิวยกกระโปรงขึ้น ใช้ปลายเท้าเขี่ยกำไลเก็บสมบัติที่กลิ้งมาข้างเท้า บนนั้นมีตะไคร่น้ำ ติดดินโคลนสกปรกมาก ไม่ใช่แค่วงเดียว แต่กำไลเก็บสมบัติทุกวงที่อยู่ตรงหน้าสกปรกเหมือนกันหมด ถ้าไม่ติดโคลนก็มีตะไคร่น้ำ หรือไม่ก็มีวัชพืชน้ำพันอยู่


เหมียวอี้กล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “ไม่ต้องพูดแล้ว แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าแช่อยู่ในน้ำมานาน นี่คือสิ่งที่ผู้ชายของเจ้าลำบากลำบนไปงมมาจากก้นทะเลสาบ” เขาไม่ใช่คนที่สะเพร่าขนาดนั้น เพียงแต่ชอบโอ้อวดตอนอยู่ต่อหน้าอวิ๋นจือชิวเท่านั้นเอง ชอบเห็นท่าทางเวลานางตกตะลึงเพราะเขา


ของสกปรกเกินไป เดิมทีอวิ๋นจือชิวไม่อยากแตะต้อง แต่เพื่อที่จะดูว่าข้างในมีของอะไรบ้าง นางก็ยังฝืนใจยื่นนิ้วสองนิ้วไปชี้ที่วงหนึ่งพร้อมร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดู ทำให้พบว่าข้างนไม่ได้มีของมีค่าอะไรสักเท่าไร จึงโยนทิ้งแล้วพูดเหมือนดูถูกว่า “แค่พวกเศษเหล็กผุพัง มีอะไรน่าอวดนักหนา”


ที่จริงในใจนางก็รู้ดี ว่าถ้านำของในกำไลเก็บสมบัติจำนวนมากมายขนาดนี้มากองรวมกัน นั่นก็ไม่ใช่ตัวเลขน้อยๆ เลย เพียงแต่ปากนางไม่ยอมใครอยู่แล้ว


“เศษเหล็กผุพังเหรอ? เจ้าดูนะว่าอะไรเรียกว่าเศษเหล็กผุพัง!” พอเหมียวอี้โบกมือ วัตถุรูปเข็มขนาดเท่าแขนคนจำนวนหลายสิบแท่งก็เสียบเรียงแถวอยู่บนพื้น


อวิ๋นจือชิวตาเป็นประกายทันที ย่อมมองออกว่าเป็นของที่ทำมาจากผลึกแดง นางก้าวไปดูข้างหน้า แล้วขมวดคิ้วถามว่า  “ทำไมสกปรกขนาดนี้? เหมือนจะเคยโดนไฟเผามาก่อนด้วย แล้วของสีดำมันขลับข้างบนคืออะไร?”


“…” เหมียวอี้ไม่ได้ตอบอะไร แต่มองไปรอบๆ ชัยภูมิถ้ำสวรรค์ ผู้หญิงคนนี้รักสะอาดที่สุด ในหนึ่งวันถ้าไม่อาบน้ำสักครั้งก็จะรู้สึกไม่สบายไปทั้งตัว ถ้าให้นางรู้ว่าเขานำของที่เคยเผาจากตัวศพมาโยนในบ้านที่สะอาดที่สุดของนาง นางจะต้องปรี๊ดแตกแน่นอน


เขาจึงไอแห้งๆ แล้วดึงเสาผลึกแดงต้นหนึ่งที่ยาวสิบกว่าจั้งออกมา เคยถูกไฟเผามาแล้วเช่นเดียวกัน


เป็นอย่างที่คาดไว้ เมื่อวัตถุที่ใหญ่ขนาดนี้ปรากฏตัว ก็ทำให้อวิ๋นจือชิวหุบปากแล้ว ไม่สนใจว่าจะสกปรกหรือไม่ หลังจากใช้มือสัมผัสอาวุธขนาดใหญ่จนแน่ใจว่าทั้งหมดทำมาจากผลึกแดง ดวงตางามก็เป็นประกายวิบวับ กำลังครุ่นคิดแล้วว่าถ้านำไปขายจะได้เงินเท่าไร จะสร้างเกราะรบผลึกแดงผลึกแดงได้กี่ชุด บนสีหน้าที่ปิติยินดีเขียนคำว่า ‘รวยแล้ว’ ตัวใหญ่เอาไว้


“ฮูหยิน เท่านี้เพียงพอให้เจ้าตอบตกลงคำขอของข้าแล้วสินะ?” เหมียวอี้ถามอย่างลำพองใจ


“หน้าไม่อาย!” อวิ๋นจือชิวถลึงตาจ้องเขาอย่างดุดัน แล้วหยิบเสาผลึกแดงมาลูบคลำอีก พร้อมกล่าวอย่างเสียดายว่า “น่าเสียดายที่วรยุทธ์ของพวกเราต่ำเกินไป ควบคุมของวิเศษขั้นเจ็ดไม่ไหวเลย ไม่อย่างนั้นถ้าใช้ยาเจี๋ยตันขั้นเจ็ดใส่เข้าไปตอนหลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตร แบบนั้นก็จะเป็นของที่ดีมากจริงๆ” นางหันกลับไปโบกมือให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ “เก็บไม้กระบองทั้งเล็กทั้งใหญ่เอาไว้ แล้วก็จัดการที่นี่ให้สะอาด หลอมสร้างใหม่แล้วแยกออกจากกัน สามารถนำมาเก็บสะสมไว้หลอมสร้างของวิเศษ ทั้งยังนำไปทำกำไรที่ร้านผลึกสกัดของสองพี่น้องฝาแฝดได้ด้วย”


หญิงรับใช้ทั้งสองเอ่ยรับคำสั่ง แล้วเก็บไม้กระบองผลึกแดงทั้งเล็กทั้งใหญ่ใส่เข้าในกระเป๋าสัตว์ของตัวเอง


ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะสะบัดมืออีกครั้ง สะบัดโซ่ผลึกแดงหยาวใหญ่หยาบออกมาหลายเส้น ถ้ารวมร่างกันแล้วไม่เล็กว่าเสาผลึกแดงที่ยาวสิบกว่าจั้งต้นนั้นแน่นอน


อวิ๋นจือชิวเบิกตากว้างอีกครั้ง รีบสาวเท้าเดินวนรอบโซ่ มีความสุขจนหุบยิ้มไม่ลงแล้ว “ครั้งนี้รวยแล้วจริง รีบเก็บไว้ รีบเก็บไว้ แล้วอย่าลืมล้างให้สะอาดด้วยนะ”


“เจ้าค่ะ!” เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์เอ่ยรับ พวกนางมีสีหน้าปลาบปลื้มดีใจเช่นกัน ต่างคนต่างเก็บโซ่ไว้ สำหรับพวกนางสองคน ทรัพย์สินในบ้านก็คือทรัพย์สินของพวกนาง ถ้าในบ้านมีเงินพวกนางก็จะไม่ขาดแคลนข้าใช้จ่าย ปกติทรัพย์สินบนตัวทั้งสองมีมากกว่าพวกอนุภรรยา


ที่จริงแล้วฐานะของทั้งสองในตระกูลเหมียว ก็เป็นรองแค่เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวเท่านั้น บรรดาอนุภรรยาล้วนต้องเกรงใจกูกูใหญ่กับกูกูน้อยสองท่านนี้


อวิ๋นจือชิวที่ดีใจปนกังวลเหลือบมองกำไลเก็บสมบัติที่กองเป็นภูเขา พลางกล่าวอย่างปวดหัวว่า “ของนี้ไม่สะดวกจะให้ผ่านมือคนนอก หนิวเอ้อร์ พวกเราผู้หญิงสามคนทำความสะอาดทีละชิ้นแบบนี้แล้วจะเสร็จเมื่อไรกัน?”


เหมียวอี้แสยะยิ้ม “ขอแค่เจ้าเติมเต็มความต้องการของข้า ข้ารับรองว่าเจ้าจะมีกำลังวังชามาทำความสะอาดของพวกนี้แน่นอน”


อวิ๋นจือชิวมองมาด้วยแววตาเป็นประกาย “เจ้ายังมีของอะไรที่ยังไม่ได้นำออกมาอีกใช่มั้ย? หนิวเอ้อร์ ข้าจะบอกเจ้าให้นะ ข้าให้เจ้าแต่งงานรับอนุภรรยาเป็นโขยง แต่ต้องมีเงินไว้เลี้ยงนะ ถ้าเจ้ากล้านำเงินในบ้านไปใช้กับผู้หญิงคนอื่นนอกบ้าน อย่าหาว่าข้าแปรพักตร์ก็แล้วกัน ส่งมาให้ข้าแต่โดยดี!”


เหมียวอี้พ่นเสียงทางจมูก แล้วบอกว่า “เจ้าอย่ามาใช้มุกนี้เลย เจ้าตอบตกลงข้าก่อนแล้วค่อยว่ากัน”


อวิ๋นจือชิวมองด้วยสายตาดูถูก “หน้าด้านไร้ยางอาย ให้ข้าดูก่อนว่าเป็นอะไรแล้วค่อยว่ากัน”


“นี่เจ้าพูดเองนะ ข้าให้เจ้าดูก็ได้ หลังจากดูแล้วเจ้าอย่ากลับคำพูดแล้วกัน” เหมียวอี้ชี้นาง


“ตกลงเจ้าจะเอาออกมามั้ย?” อวิ๋นจือชิวถลึงตาจ้อง


ผู้หญิงคนนี้ส่อแววว่าจะปรี๊ดแตกแล้ว เหมียวอี้เม้มปากพลางโบกมือหนึ่งครั้ง สิ่งของที่หนาแน่นกลุ่มหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศ ยาเจี๋ยตันวีม่วงหลายเม็ดกำลังลอยอยู่กลางอากาศ เป็นยาเจี๋ยตันขั้นสี่จำนวนมาก!


อวิ๋นจือชิวกวาดมองแบบลวกๆ พอคาดคะเนได้ว่ามีเกินหนึ่งหมื่นเม็ด ก็แสดงความดีใจออกมาทางสายตาทันทีทันที นางไม่พูดพร่ำทำเพลง หยิบแหวนเก็บสมบัติออกมาวงหนึ่ง แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์กวาดยาเจี๋ยตันขั้นสี่ทั้งหมดเก็บไว้ นางใช้มือข้างเดียวรองถือแหวนเก็บสมบัติวงนั้น เมื่อได้ผลประโยชน์แล้วยังกล่าวอวดฉลาด “แค่ยาเจี๋ยตันขั้นสี่นิดหน่อย เจ้ายังมีหน้ามาเอ่ยปากขอแบบนั้น? ข้าจะบอกเจ้าให้นะ…”


ยังพูดไม่ทันขาดคำ สีหน้าก็นิ่งค้าง เห็นเพียงเหมียวอี้โบกมือหนึ่งครั้ง ทำให้มียาเจี๋ยตันสีทองร้อยกว่าเม็ดลอยอยู่กลางอากาศอีก


อวิ๋นจือชิวตาลุกวาวราวกับอัญมณี ไม่พูดพร่ำทำเพลง โบกมือเก็บอีกครั้งแล้ว


“ข้ามีสิทธิ์เอ่ยปากแบบนั้นรึยัง?” เหมียวอี้ถาม


อวิ๋นจือชิวนำของมาเก็บไว้ เมื่อของมาถึงมือ นางก็ทำสีหน้าคลายกังวล แล้วบอกว่า “ข้าว่านะหนิวเอ้อร์ เจ้าวิปริตหรือเปล่า? ข้าจะบอกอีกครั้งนะ ข้ารับไม่ไหวหรอก เจ้าอย่ากดดันข้า! ไปให้อนุภรรยาพวกนั้นเติมเต็มความต้องการของเจ้าสิ ข้าจะทำเป็นไม่รู้อะไรทั้งนั้น”


วันนี้ท่านขุนนางเหมียวมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม เมื่อคุยเหตุผลกันไม่รู้เรื่อง เขาแค่หยิบเงินออกมาทุ่มก็สิ้นเรื่อง พอพลิกฝ่ามือยาเจี๋ยตันขั้นหกสีรุ้งสองเม็ดก็เคลื่อนไหวอยู่ในฝ่ามือแล้ว


“ยาเจี๋ยตันขั้นหก?” อวิ๋นจือชิวสายตาแวววาวแล้ว ยื่นมือไปแย่งมาไว้ในมือโดยตรง ถือไว้ข้างละเม็ด ถือเล่นอยู่ในมือ


เหมียวอี้ชี้ไปยังกำไลเก็บสมบัติที่กองเหมือนภูเขา พร้อมคุ้ยโม้โอ้อวดว่า “อวิ๋นจือชิว เจ้าฟังข้าให้ดี กำไลเก็บสมบัติสี่หมื่นกว่าวงตรงนี้ เป็นสมบัติที่นักพรตระดับบงกชทองขึ้นไปจำนวนหนึ่งหมื่นกว่าคนทิ้งไว้ ยาเจี๋ยตันขั้นห้าร้อยกว่าเม็ดกับยาเจี๋ยตันขั้นหกสองเม็ดในมือเจ้า แสดงว่าในนั้นมีสมบัติของนักพรตบงกชรุ้งอย่างน้อยหนึ่งร้อยกว่าคน และมีของนักพรตพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพอย่างน้อยสองคน นี่เป็นอย่างน้อยนะ! ตอนนี้เจ้ารู้ถึงมูลค่าของ ‘เศษเหล็กผุพัง’ พวกนี้แล้วรึยัง?”


“อะไร?” อวิ๋นจือชิวอุทานตกใจ ถลึงดวงตางามมองไปยังกำไลเก็บสมบัติกองนั้น สมบัติของนักพรตบงกชรุ้งอย่างน้อยหนึ่งร้อยกว่าคน กับนักพรตพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพอย่างน้อยสองคนเหรอ? ตอนนี้นางถึงได้เข้าใจว่ากำไลเก็บสมบัติกองนี้ต่างหากที่เป็นทรัพยากรที่เยอะที่สุด ยาเจี๋ยตันขั้นเจ็ดเม็ดนั้นไม่สามารถนำออกมาแลกเป็นเงินสดได้


นางหันหน้าช้าๆ กลับไปมองเหมียวอี้ พบว่าทุกครั้งที่ผู้ชายคนนี้ออกไปข้างนอก ก็ไม่เคยกลับบ้านมามือเปล่าเลย ครั้งนี้นำกองผู้เขาเงินกับกองภูเขาทองกลับมาแล้วจริงๆ มีเพียงพอให้ทุกคนกินได้นานเลย


เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็ตกตะลึงเช่นกัน สมบัติของนักพรตพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพหมายความว่าอย่างไรล่ะ?


แต่สาวใช้สองคนยังดีหน่อย ไม่ได้ตกตะลึงมากขนาดนั้น ตั้งแต่ติดตามรับใช้เหมียวอี้มา เหมียวอี้ก็เป็นบุคคลผู้น่าเคารพนับถือที่ทำได้ทุกอย่างในสายตาพวกนาง ยังไม่เคยเห็นเรื่องอะไรทำให้เหมียวอี้ลำบากได้เลย แน่นอนว่าเหมียวอี้มีเวลาที่ได้รับความทุกข์ทรมานเหมือนกัน เพียงแต่พวกนางไม่ได้เห็นก็เท่านั้นเอง


เหมียวอี้ที่ภาคภูมิใจยื่นมือไปช้อนคางอวิ๋นจือชิว “ฮูหยิน คืนนี้ยอมข้าได้แล้วสินะ”


เห็นได้ชัดว่าอวิ๋นจือชิวไม่ได้เอาความคิดไปวางไว้กับเรื่องนั้น หลังจากกลอกตาไปมาพักหนึ่ง นางก็ตบกรงเล็บสัปดนของเหมียวอี้ออก แล้วรีบหยิบระฆังดาราออกมาร่ายอิทธิฤทธิ์เขย่า ไม่รู้เหมือนกันว่าติดต่อใคร


“เจ้าทำอะไร?” เหมียวอี้สงสัย


อวิ๋นจือชิวไม่ตอบ แต่ไม่นานก็ได้รู้คำตอบแล้ว


ผ่านไปครู่เดียว หลางหลางหวนหวน อวี้หนูเจียว จีเหม่ยลี่ ฉินเวยเวย ฝ่าอิน ยกเว้นหงเฉิน กลุ่มอนุภรรยาของท่านขุนนางเหมียวอี้ก็มากันครบแล้ว เหมียวอี้มองพวกนางอย่างพูดไม่ออก


ส่วนผู้หญิงกลุ่มนี้ก็มองดูกำไลเก็บสมบัติที่กองเป็นภูเขาเต็มลานบ้านอย่างตกตะลึง ที่สำคัญเป็นเพราะกำไลเก็บสมบัติพวกนี้สกปรกจริงๆ


“ตรงหว่างคิ้วเจ้าเป็นอะไรไป?” จีเหม่ยลี่จ้องตรงหว่างคิ้วขณะเดินผ่านเหมียวอี้


“บาดเจ็บเล็กน้อย” เหมียวอี้ยิ้มขื่นขม


แปะๆๆ! อวิ๋นจือชิวปรบมือ ดึงความสนใจของผู้หญิงกลุ่มนี้กลับมา บอกว่า “ในบ้านมีคนเยอะ ค่าใช้จ่ายก็มีเยอะ ครั้งนี้นายท่านตั้งใจออกไปใช้อำนาจหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวมา เพียงแต่ของที่นำกลับมาได้ทุกคนก็เห็นแล้ว ของนี้ไม่สะดวกจะให้ผ่านมือคนนอก คนในครอบครัวเดียวกันอย่าอยู่ว่างๆ เลย มาช่วยกันทำความสะอาดสักหน่อย”


จากนั้น นางก็เริ่มอาศัยฐานะนายหญิงของบ้านเรียกใช้กลุ่มผู้หญิงพวกนี้ เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ย้ายโต๊ะเก้าอี้และนำน้ำชามาวาง อวิ๋นจือชิวนั่งดื่มน้ำชาแล้วคอยชี้นิ้วสั่ง


อนุภรรยาทั้งหกแบ่งกันร่ายอิทธิฤทธิ์ล้างกำไลเก็บสมบัติกองนั้น การทำความสะอาดของแบบนี้เป็นเรื่องง่ายสำหรับคนที่มีพลังอิทธิฤทธิ์อย่างทั้งหกคน ประเด็นสำคัญคือการจัดระเบียบของที่อยู่ในกำไลเก็บสมบัติทีละวง การแยกประเภทของที่อยู่ในนั้นค่อนข้างยุ่งยาก ในกำไลเก็บสมบัติยังมีกำไลเก็บสมบัติหรือไม่ก็แหวนเก็บสมบัติอีก การแยกประเภทของที่อยู่ในกำไลเก็บสมบัติหลายหมื่นชิ้นก็ไม่ใช่งานเบาๆ


“ต้องนำของทั้งหมดเก็บเข้าบัญชีกลาง ไม่ว่าใครก็ห้ามเก็บไว้ส่วนตัว ถ้าจับได้เมื่อไรก็อย่าว่าข้าไม่เกรงใจ!” อวิ๋นจือชิวนั่งไขว่ห้างยกถ้วยน้ำชาดื่ม มีมาดของฮูหยินมาก นางกำลังถลึงตาจ้องอยู่ตรงหน้าทุกคน ไม่ว่าใครก็ไม่สะดวกจะเก็บของไว้ส่วนตัวทั้งนั้น แล้วอีกอย่าง พวกจีเหม่ยลี่ก็ไม่ได้ถึงขั้นมีนิสัยลักเล็กขโมยน้อย


ส่วนเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็บันทึกของที่อนุภรรยาทั้งหกล้างออกมาไม่หยุดหย่อน แล้วก็ส่งต่อให้อวิ๋นจือชิว อวิ๋นจือชิวผ่อนคลายสบายมาก


เหมียวอี้กำลังเอามือไขว้หลังยืนอยู่นอกศาลา ขณะชำเลืองมองท่าทางที่อวิ๋นจือชิวชี้นิ้วบงการกลุ่มอนุภรรยา เขาก็ปวดประสาทนิดหน่อย แอบถ่ายทอดเสียงถามว่า “ข้าว่านะ การที่เจ้าเรียกพวกนางมา ในมือพวกเรามีของมากมายขนาดนี้ เจ้าไม่กลัวพวกนางจะปล่อยข่าวให้สี่ปราชญ์รู้เหรอ?”


อวิ๋นจือชิวตอบว่า “รู้ก็รู้ไปสิ พวกเขาจะกล้าแย่งไปจากมือเจ้าเชียวเหรอ? ข้าอยากให้พวกเขารู้ถึงศักยภาพของพวกเราอยู่พอดี พวกเขาดูถูกที่ผู้บัญชาการใหญ่อย่างเจ้ามีรายได้น้อยไม่ใช่เหรอ แต่ละคนหยิ่งในศักดิ์ศรีจนเจ้ารั้งไว้ไม่อยู่ไม่ใช่รึไง ให้พวกตาแก่มาดูถูกผู้ชายของข้า ข้าก็ไม่มีหน้ามีตาน่ะสิ ข้าอดกลั้นความโกรธนี้มาตลอด เมื่อได้โอกาสแล้วข้าก็ต้องระบายความโกรธแน่นอน! เจ้าคิดว่าทำไมข้าถึงบอกว่าของพวกนี้เจ้าได้มาเพราะใช้อำนาจหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวล่ะ พวกนั้นยืมเงินข้าแล้วยังมาดูถูกข้าอีก ครั้งนี้ให้พวกเขาได้เปิดหูเปิดตาสักหน่อย ดูว่าพวกเขาต้องต่อสู้ดิ้นรนกี่ปีถึงจะหาเงินได้เท่านี้ ให้พวกเขาเข้าใจว่าใครกันแน่ที่เป็นพี่ใหญ่ในบรรดาหกปราชญ์!”


…………………………


บทที่ 1158 ดวงตาที่สาม

โดย

Ink Stone_Fantasy

นี่เรียกว่าหลักการอะไรกัน ต่างคนต่างมีปณิธานของตัวเอง ทำไมกลายเป็นดูถูกเจ้าไปเสียแล้วล่ะ?


เหมียวอี้พูดไม่ออกแล้ว ไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะว่าผู้หญิงคนนี้อย่างไรดี ไม่เข้าจว่าในหัวของผู้หญิงคนนี้คิดอย่างไร เรื่องแบบนี้ทำให้อัดอั้นความโกรธว้ในใจได้ด้วยเหรอ? เขาพบว่าบางครั้งความคิดของผู้หญิงก็ไร้เหตุผลเหมือนกัน


แค่นั้นยังไม่หมด จู่ๆ อวิ๋นจือชิวก็นึกอะไรขึ้นได้ “ลืมไปเลย เกรงว่าหลางหลางหวนหวนคงจะช่วยปิดบัง หงเฉินก็คงไม่พูดอะไรเหมือนกัน หนิวเอ้อร์ เจ้าไปห้องข้างๆ เรียกหญิงรับใช้ทั้งสองคนของหงเฉินมาช่วยหน่อย”


“คุณหนูชิว แบบนี้ไม่ใช่แล้วมั้ง จำเป็นต้องโอ้อวดแบบนี้ด้วยเหรอ?” เหมียวอี้กล่าวอย่างจนใจ


“ข้ามีความสุข!” อวิ๋นจือชิวเหล่ตามองมา “เจ้าไม่ดีใจเหรอที่ข้ามีความสุข?”


ก็ได้! จะไม่พูดอะไรทั้งนั้นแล้ว เหมียวอี้ส่ายหน้าแล้วเดินออกไป


เมื่อออกจากชัยภูมิถ้ำสวรรค์ เขาก็มาที่ห้องข้างๆ ผลักประตูห้องของหงเฉินออกโดยตรง ในห้องไม่มีคนอยู่ เดิมทีห้องนี้ก็มีเพื่อจัดแสดงไว้เท่านั้น


สายตาขไปหยุดอยู่ที่ชัยภูมิถ้ำสวรรค์ของหงเฉิน แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนเรียก “หงเฉิน!”


ผ่านไปไม่นาน ประตูมายาสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมา พอก้าวเข้าไปในนั้น ก็ได้ยินเสียงจื่ออวิ๋นกับจื่อหัวที่มาต้อนรับคำนับพร้อมกัน


“ฮูหยินเรียกให้พวกเจ้าสองคนไปหา” เหมียวอี้กล่าว


ฮูหยินของอาณาเขตนี้ นอกจากอวิ๋นจือชิวก็ไม่มีคนอื่นแล้ว สองสาวสบตากันแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าอวิ๋นจือชิวเรียกหาพวกนางด้วยธุระอะไร ทำได้เพียงเอ่ยรับแล้วออกไป


พอทั้งสองคนออกไป เหมียวอี้ก็เหลียวซ้ายแลขวาครู่หนึ่ง แต่ตะโกนเรียก “หงเฉิน!”


“ทางนี้!” เสียงที่ผ่อนคลายของหงเฉินดังมาจากสวนดอกไม้


เหมียวอี้ได้ยินแล้วเดินไปหา พบว่าหงเฉินยังคงนั่งสมาธิฝึกตนอยู่ในศาลา เขาเอามือไขว้หลังเดินเข้าไป พองอเข่านั่งลงก็บอกว่า “อุดอู้อยู่ในนี้ทั้งวันไม่ลำบากเหรอ? เหมือนเจ้าจะยังไม่เคยไปเดินตลาดสวรรค์ข้างนอกแบบจริงๆ จังๆ เลยนะ ถ้ามีเวลาก็ออกไปเดินเล่นหน่อยสิ ออกไปรับลมบ้าง”


หงเฉินยิ้มอ่อนพลางพยักหน้า หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ก็ถามว่า “อวิ๋นจือชิวเรียกพวกนางไปทำอะไร?”


เหมียวอี้ตอบอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “เรียกพวกนางสองคนไปทำงานแล้ว สองสามวันนี้คงไม่ได้กลับมา เจ้าคงขาดคนปรนนิบัติไปสักระยะ”


“ข้าไม่ต้องการคนปรนนิบัติหรอก” หงเฉินส่ายหน้า


เหมียวอี้มองซ้ายมองขวา ตรงนี้มีชายหญิงอยู่กันตามลำพังสองคน และตอนนี้จื่ออวิ๋นกับจื่อหัวก็ยังไม่มารบกวนด้วย เขาจึงจ้องหงเฉินพร้อมกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม  “ทางนี้มีผู้หญิงอยู่กันเป็นกลุ่มวุ่นวาย ข้าไม่สะดวกจะกลับจวนผู้บัญชาการด้วย พักอยู่กับเจ้าสักสองสามวันได้หรือเปล่า?”


“ไม่ต้องเกรงใจ ที่นี่ก็เป็นบ้านของเจ้าเหมือนกัน ข้าไม่มีสิทธิ์ห้าม เจ้า…” หงเฉินหยุดพูดกะทันหัน เพราะเห็นเขากำลังจ้องใบหน้าตนอยู่ สายตาค่อนข้างประหลาด นางพอจะเข้าใจแล้ว ว่าสิ่งที่เหมียวอี้เรียกว่าพักอยู่ที่นี่สองสามวันหมายความว่าอะไร นางเงียบงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามว่า “เจ้าอยากได้ข้าเหรอ?”


เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ “สวยจนอยากกลืนกิน ข้ามีความคิดแบบนั้น หากเจ้าไม่ขัดขืน”


หงเฉินเงียบไปอีกครู่หนึ่ง แล้วลุกขึ้นยืนช้าๆ “ข้าจะไปอาบน้ำ!”


ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะลงมือกะทันหัน คว้ามือเรียวสวยของนาง ดึงนางเข้ามาไว้ในอ้อมกอดโดยตรง แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “อาบด้วยกันเถอะ!”


“ข้าไม่เคยผ่านประสบการณ์เรื่องแบบนี้มาก่อน ไม่ค่อยคุ้นชิน กลัวจะอาบน้ำได้ไม่เต็มที่ เจ้าทำแบบนี้ข้าจะยิ่งประหม่า!” หงเฉินค่อนข้างอึดอัด


เหมียวอี้ใช้มือข้างหนึ่งโอบเอวที่อ่อนนุ่มของนาง แล้วใช้มืออีกข้างช้อนคางนาง พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถ้ามีครั้งแรกแล้ว ต่อไปข้าอาจจะมาหาบ่อยๆ เดี๋ยวก็ค่อยๆ ชินไปเอง!”


หงเฉินเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าเบาๆ จนแทบจะไม่สังเกตเห็น นางไม่พูดอะไรแล้ว นับว่ายอมรับแล้ว


เหมียวอี้ลุกขึ้นยืน จับหงเฉินอุ้มไว้อย่างเผด็จการมาก เดินก้าวยาวอุ้มนางเข้าไปในเรือนด้านใน เขาทำได้อย่างเป็นธรรมชาติและสมเหตุสมผล กลิ่นอายยามเมาได้นอนหนุนตักหญิงงาม ยามตื่นได้กุมอำนาจของขุนนางปรากฏบนตัวเขารางๆ ไม่ต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกต่ำต้อยด้อยค่าเหมือนตอนที่เป็นมือใหม่ไร้ประสบการณ์แล้ว ใจอันบริสุทธิ์ที่รักษากฎระเบียบไม่มีอยู่บนตัวเขาอีกแล้ว เมื่อมีศักยภาพก็ทำให้สภาพจิตใจเปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว


ข้างอ่างอาบน้ำ หงเฉินก้มตัวยื่นมือไปทดสอบความอุ่นของน้ำ มือที่เรียวงามข้างหนึ่งเขี่ยอยู่ในน้ำซ้ำๆ อย่างนั้น ทำท่านี้ติดต่อกันนานมาก นางไม่รู้จริงๆ ว่าต่อไปจะเผชิญหน้ากับคนที่ยืนอยู่ข้างหลังอย่างไร นางยังไม่เคยเปลื้องผาต่อหน้าผู้ชายมาก่อน


ปิ่นปักผมถูกคนที่อยู่ข้างหลังดึงออกแล้ว ผมที่ดำขลับเด้งสยายออก ผ้าคาดเอวสีแดงก็ถูกดึงออกแล้วเช่นกัน มือคู่นั้นเริ่มขยับจากหัวไหล่นาง ถอดเสื้อผ้าออกจากหัวไหล่นางเบาๆ เริ่มจากหัวไหล่ที่เกลี้ยงเกลา เรือนร่างที่งดงามถูกเปิดเผยอยู่กลางสายลม…หลังจากเปลือยเปล่าไปทั้งตัวแล้ว ภายใต้การสัมผัสจากนิ้วของใครบางคน หงเฉินตัวสั่นเทิ้มอย่างควบคุมไม่ได้ ตั้งแต่ต้นจนจบนางไม่ได้หันไปมองคนข้างหลังเลย นางเอามือกุมหน้าอกพร้อมก้าวเท้าลงไปในอ่างน้ำ ตอนที่นั่งลงในน้ำแล้ว แขนสองข้างก็ยังไม่ปล่อยออกจากหน้าอก นางเอียงหน้าไปด้านข้าง ไม่กล้ามองหน้าใครบางคน รู้สึกได้ว่าเขาลงมาอยู่ในอ่างน้ำแล้วเช่นกัน


นางรู้สึกได้ว่ามีคนดึงมือของนาง พยายามแยกแขนสองข้างของนางที่กำลังใช้ปิดป้องหน้าอก หลังจากดึงดันได้ครู่เดียวก็เลิกขัดขืนแล้ว นางวางมือสองข้างลงในน้ำ จากนั้นก็มีมือยื่นเข้ามาดึงหน้านางให้หันกลับมา ทำให้นางเห็นหน้าของเหมียวอี้


ในดวงตาที่งดงามใสแจ๋วฉายแววเขินอาย จมูกโด่งปากแดง ใบหน้างามดุจภาพวาด เหมียวอี้ลูบไล้ใบหน้านาง นึกถึงภาพตอนเห็นนางครั้งแรกที่เมืองโบราณฉางเฟิง


ดวงตาทั้งสี่สบประสานกัน หงเฉินลมหายใจถี่กระชั้นเล็กน้อย กล่าวเบาๆ ว่า “ข้ากังวลมาก!”


เหมียวอี้ตอบกลับนางด้วยการปฏิบัติจริง…


รสชาติยามประตูที่รกร้างมีแขกมาเยือนเป็นครั้งแรก ค่ำคืนที่งดงามนั้นแสนสั้น ฟ้าสว่างแล้ว เหมียวอี้ตื่นขึ้นมาท่ามกลางรสชาติอร่อยของเมื่อคืน เขาก็บิดขี้เกียจอย่างสบายเนื้อสบายตัว พอลุกขึ้นมา ก็พบว่าไม่เห็นหงเฉินอยู่ในห้องแล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงกลิ่นหอม เขาเลิกผ้าห่มออก สายตาไปหยุดอยู่ที่รอยเลือดสีแดงเพียงชั่วครู่ จากนั้นก็ลงจากเตียงไปแช่น้ำอุ่นในอ่างอาบน้ำที่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว


เหมียวอี้ออกจากประตูมาตามหา เห็นหงเฉินในสวนดอกไม้อีกแล้ว นางยังคงนั่งขัดสมาธิฝึกตนอยู่ในศาลา เมื่อได้ยินเสียงเขานางก็ลืมตา แล้วพยักหน้าเบาๆ ทักทายเขา “ตื่นแล้วเหรอ?”


สีหน้าท่าทางสงบเยือกเย็น ราวกับเป็นคนละคนกับผู้หญิงคนเมื่อคืนที่สุดจะทนกับเรื่องระหว่างชายหญิง ราวกับระหว่างทั้งสองคนไม่เคยเกิดเรื่องอะไรมาก่อน


เหมียวอี้เดินไปยืนนอกศาลาแล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มบางๆ “เจ้าช่างปรนนิบัติคนไม่เป็นเลยจริงๆ”


หงเฉินเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยถาม “ยังต้องให้ข้าทำอะไรอีกเหรอ?”


“…” เหมียวอี้ค่อนข้างพูดไม่ออก ถามกลับว่า “เมื่อคืนเจ้าไม่รู้สึกผ่อนคลายบ้างเชียวเหรอ?”


หงเฉินทำท่าครุ่นคิด แล้วตอบตามความจริง “ตอนแรกก็ไม่ผ่อนคลาย แต่ตอนหลังยังดีหน่อย รู้สึกมีความสุขมาก ดีกว่าที่ข้าจินตนาการไว้ ข้าไม่ต่อต้าน”


เหมียวอี้ยกมือขึ้นลูบหน้าผาก ทำถึงขนาดนี้ ทำไมยังรู้สึกว่าไม่มีทางดึงระยะห่างระหว่างนางกับเขาให้เข้าใกล้กันได้ เขาถามว่า “เจ้าไม่อยากคุยอะไรกับข้าสักหน่อยเชียวเหรอ?”


“ไม่รู้จะคุยอะไร ใช่แล้ว บาดแผลตรงหน้าผากเจ้าคืออะไรกันแน่ ทำไมข้ารู้สึกว่ามันไม่มีท่าทีว่าจะสมานตัวเลย?” หงเฉินถาม


เหมียวอี้ชี้ตรงหว่างคิ้วตัวเอง “ถ้าข้าบอกว่าข้ามีดวงตาที่สามงอกออกมาล่ะ เจ้าจะเชื่อมั้ย?”


“ไม่เชื่อ!” หงเฉินส่ายหน้า


ท่าทีและความรู้สึกของนางไม่อ้อมค้อมเลยสักนิด ไม่อยากผิดบังอะไรเหมียวอี้ พูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาตรงๆ


เหมียวอี้จึงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “หวังว่าเจ้าจะไม่กลัว ดูให้ดีนะ!” พูดจบก็หลับตาสองข้าง


หงเฉินเอียงหน้ามองเขา ตอนแรกสีหน้ายังสงบเยือกเย็น จากนั้นดวงตางามก็ค่อยๆ เบิกกว้าง เพราะปากแผลตรงหว่างคิ้วของเหมียวอี้ที่นางกำลังมองอยู่เริ่มเปิดออกอย่างช้าๆ เห็นลูกตาข้างหนึ่งโผล่อยู่ในปากแผลนั้น เป็นลูกตาใสสีรุ้ง ไม่น่าเชื่อว่าปากแผลนั้นจะกลายเป็นดวงตาข้างหนึ่ง


หงเฉินเผยอปากเล็กน้อย ในดวงตาและใบหน้าเผยความรู้สึกตกตะลึงและเหลือเชื่อ


เรื่องที่เกินจริงกว่านั้นเกิดขึ้นในทันที เสาแสงสายหนึ่งที่มีรัศมีสีรุ้งวนเวียนเป็นรูปใบพัดยิงออกมาจากดวงตาสีรุ้ง มีความยาวสิบกว่าจั้ง โอ่อ่าอลังการ ทำให้คนรู้สึกใจหายใจคว่ำ


หงเฉินนั่งต่อไปไม่ไหวแล้ว นางลุกพรวดขึ้นมา ในดวงตางามเต็มไปด้วยความตกตะลึง สีหน้าเปลี่ยนไปแล้ว กำลังจ้องเหมียวอี้อย่างไม่ละสายตา


สีหน้าของเหมียวอี้ก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ไปเทียบกับภาพที่มองเห็นตอนอยู่ในถ้ำใต้ดินก้นทะเลสาบของดาวดำเนินเซียนไม่ได้แล้ว เขาพบว่าภายใต้สถานการณ์ที่ไร้อุปสรรคบังสายตา ดวงตาที่สามของตนสามารถข้ามผ่านฟ้าบนกำแพงบ้าน เห็นห้องที่อยู่นอกชัยภูมิถ้ำสวรรค์แล้ว แล้วก็มองผ่านหน้าต่างห้องออกออกไป สายตาลอดผ่านเส้นขอบฟ้า มองเห็นดาราจักรอันกว้างใหญ่ไพศาลแล้ว


เหมียวอี้รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าพลังอิทธิฤทธิ์ของตัวเองเหมือนเขื่อนแตก ถูกดวงตาคู่นั้นดูดพลังอย่างบ้าคลั่ง


แต่เขาก็ค้นพบเช่นกันว่า ขอเพียงตนยิ่งใส่พลังอิทธิฤทธิ์เข้าไปจำนวนมาก ดวงตาข้างนั้นก็เหมือนจะยิ่งมองได้ไกล  เขาไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกไปเองหรือเปล่า


สายตาเขาจ้องอยู่บนดาวเคราะห์เล็กๆ ดวงหนึ่งในดาราจักรแล้ว เขาพยายามใส่พลังอิทธิฤทธิ์เพิ่มไปอีก ชั่วพริบตาเดียวสายตาก็ขยายยื่นออกไป ดาวเคราะห์เล็กๆ นั่นขยายใหญ่ขึ้นไปอีก ดาวเคราะห์รกร้างที่เต็มไปด้วยฝุ่นละอองปรากฏสู่สายตาเขาในระยะใกล้ หลุมบ่อขรุขระบนดาวเคราะห์ สภาพพื้นที่ของดาวเคราะห์ สีสันและรูปร่างก้อนหินบนดาวเคราะห์เผยให้เห็นอย่างชัดเจน ความมืดก็ไม่มีทางขัดขวางการใช้สายตาสอดแนมดาวเคราะห์ของดาวดวงนั้นได้อยู่ดี


เขาไม่รู้ว่าตัวเองมองเห็นได้ไกลเท่าไรกันแน่  แต่แน่ใจได้ว่าดวงตาอิทธิฤทธิ์ของตัวเองมองไม่ได้ไกลขนาดนี้แน่นอน ความรู้สึกอันงดงามยามมองสอดแนมทุกอย่างได้แบบนี้ไม่มีทางบรรยายเป็นคำพูดได้เลย เขากวาดมองหน้าตาของดาวเคราะห์ดวงนั้นอย่างหิวกระหาย


สุดท้ายก็รู้สึกไม่ถึงอกถึงใจ สายตาแฉลบผ่านดาวเคราะห์ดวงนั้นอย่างรวดเร็ว ไปหยุดอยู่บนดาวเคราะห์อีกดวงที่อยู่ไกลกว่าเดิม ดาวเคราะห์ดวงนั้นขยายใหญ่อยู่ตรงหน้าเขาอย่างรวดเร็ว


ในขณะนี้เอง ในหัวเขาก็มีเสียงหึ่งๆ ดังขึ้น ภาพตรงหน้ากลายเป็นสีดำ จู่ๆ ก็มองไม่เห็นอะไรแล้ว ตัวเองเหมือนจะหมดความรู้สึกตัวไปในชั่วพริบตาเดียว


สิ่งที่ปรากฏนสายตาของหงเฉินกลับเป็นอีกภาพหนึ่ง นางเห็นสีหน้าของเหมียวอี้ซีดลงเรื่อย จู่ๆ ดวงตาข้างนั้นของเหมียวอี้ก็อับแสง ดวงตาปิดลง เหมียวอี้อ่อนปวกเปียกไปทั้งร่าง ล้มหมอบอยู่บนพื้นแล้ว


มีเสียงกระแทกพื้นดังปั้ง ถึงได้ดึงสติหงเฉินกลับมาจากความตกตะลึง นางถลันตัวเข้าไปอย่างรวดเร็ว เขย่าร่างเขาพลางเรียกปลุก “เหมียวอี้ เหมียวอี้ เจ้าเป็นอะไรไป? เหมียวอี้…”


ไม่ว่าจะเรียกอย่างไรก็ไม่ได้ผล หงเฉินจึงร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูในร่างกายเขาทันที ผลก็คือพบว่าในร่างกายเหมียวอี้ไม่มีการบาดเจ็บอะไร เป็นเพียงปฏิกิริยาหลังจากสูญเสียพลังอิทธิฤทธิ์จำนวนมากเท่านั้นเอง


เมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น หงเฉินก็ไม่กล้าทำอะไรโดยพลการ รีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่ออวิ๋นจือชิว


ผ่านไปไม่นาน อวิ๋นจือชิวก็รีบบุกเข้ามา พอสายตามองมาทางนี้ นางก็ตวาดถามด้วยเสียงดุดันทันที “เจ้าทำอะไรเขา?”


“เปล่า เมื่อครู่เขาเพิ่งมีความผิดปกติ…” หงเฉินชี้ปากแผลตรงหว่างคิ้วเหมียวอี้ พร้อมเล่าเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นให้ฟังรอบหนึ่ง สุดท้ายก็พูดเสริมว่า “เหมือนจะไม่มีปัญหาร้ายแรงอะไร แค่ใช้พลังอิทธิฤทธิ์มากเกินไปเท่านั้นเอง”


“ดวงตาที่สาม?” อวิ๋นจือชิวจ้องมองปากแผลตรงหว่างคิ้วของเหมียวอี้ครู่หนึ่ง แล้วรีบคุกเข่าลงข้างกายเหมียวอี้เพื่อร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจอาการ หลังจากแน่ใจแล้วว่าร่างกายของเหมียวอี้ไม่ได้มีปัญหาร้ายแรงเหมือนอย่างที่หงเฉินบอก นางก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจตรงหว่างคิ้วของเหมียวอี้อีก พบว่าตรงหว่างคิ้วของเหมียวอี้ปรากฏพื้นที่ว่างเล็กช่องหนึ่ง และในนั้นก็ซ่อนลูกตาไว้หนึ่งดวง


…………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)