พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1151-1152

 บทที่ 1151 แม่ทัพใหญ่ของประมุขปีศาจ

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากจ้องประเมินหอยยักษ์ไปสักพัก เหมียวอี้ก็ลูบคางพึมพำ ตัวใหญ่ขนาดนี้ก็ว่าแย่แล้ว ทั้งยังปล่อยกระแสไฟฟ้าด้วยด้วย ได้เจอหอยแบบนี้นับว่าได้เปิดหูเปิดตาครั้งใหญ่


แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาสนใจ เมื่อเห็นสภาพนักพรตปีศาจที่โดนขังเหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิด เขาก็รู้แล้วว่าตัวเองมาหาถูกที่ เขาแค่อยากจะมาหาสมบัติ ไม่ได้อยากสร้างปัญหาอย่างอื่น ใครจะไปรู้ว่าปีศาจที่ถูกขังอยู่ที่นี่มีพลังระดับไหน ไม่รู้ด้วยว่านิสัยดีหรือนิสัยเลว ถึงอย่างไรก็ตนก็หาสถานที่ซ่อนสมบัติเจอแล้ว ในภายหลังถ้ารู้สถานการณ์ชัดเจน หรือเวลาที่ต้องการอะไรจริงๆ อย่างมากก็แค่มาอีกรอบ


ดังนั้นจึงถือกระบี่เหลียวซ้ายแลขวา ค้นหาสมบัติที่ซ่อนไว้


ใครจะคิดว่าจู่ๆ จะมีเสียงน้ำเคลื่อนไหวดังขึ้น เหมียวอี้ตกใจรีบหันไปมองหอยยักษ์ เห็นเพียงเนื้อหอยพลิกม้วน ทะลักออกมาเป็นใบหน้าคนที่เปียกลื่น มีเค้าโครงปากและจมูก ดวงตาก็มีเหมือนกัน แต่กลับเป็นตาข้างเดียว ลูกตาดำสีฟ้าขนาดใหญ่เท่าความสูงของคนหนึ่งคนกำลังจ้องมอง เหมียวอี้สะมารถเห็นเงาสะท้อนกลับหัวของตัวเองได้


ปากที่มีน้ำเมือกอ้าออก เผยฟันเลื่อยที่แหลมคมสีขาว พ่นเสียงออกมาว่า “ในเมื่อมาเพราะได้ยินเสียงเรียกของข้าแล้ว เหตุใดยังไม่สะทกสะท้าน ยังไม่รีบมาดึงกระบองยาวกับไม้กระบองที่ตรึงร่างข้าออกอีก เร็วเข้า! โดนขังมาหลายปีขนาดนี้ ข้าอยากจะออกไปจะแย่อยู่แล้ว เร็ว!”


พูดได้เหรอ? เหมียวอี้ที่ตกใจมองเขาอย่างงุนงง ตกใจจนอ้าปากค้างจนคางแทบจะร่วงลงพื้น ท่าทางตกใจมาก


เสียงนี้คุ้นหูเหมียวอี้ ไม่นานก็นึกออกแล้ว เสียงที่แยกไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิงแบบนี้ เป็นเสียงที่ดังก้องอยู่ข้างหูตอนที่ตนเกือบจะตกหลุมพรางก่อนหน้านี้ไม่ใช่เหรอ? อย่าบอกนะว่า…เขาถือกระบี่ชี้ไปยังเค้าโครงใบหน้าที่นูนขึ้นมาจากเนื้อหอยยักษ์ “ปีศาจเฒ่า นี่เจ้ากำลังพูดอยู่เหรอ?”


“…” ปากหอยยักษ์ที่มีฟันเลื่อยแหลมคมขาวโพลนค้างแข็งแล้ว อ้าปากกว้างอยู่อย่างนั้น บนใบหน้าก็ทำสีหน้าครุ่นคิดเช่นกัน หลังจากผ่านไปนานถึงได้อุทานถามว่า “เป็นไปไม่ได้! เจ้าไม่ได้ถูกข้าควบคุมเหรอ?”


“เจ้ากำลังพูดอยู่จริงๆ ด้วย!” เหมียวอี้ที่หวาดผวาเห็นอีกฝ่ายโดนขังขยับไม่ได้ ตัวเองถึงได้โล่งอก ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองจะได้เผชิญหน้ากับปีศาจเฒ่าแบบไหน “ข้าไม่ได้รู้จักเจ้าเสียหน่อย ทำไมจะต้องโดนเจ้าควบคุมด้วยล่ะ?”


“เจ้าไม่รู้สึกได้ถึงการเรียกของข้าเลยเหรอ?” หอยยักษ์ยังคงตะลึงงัน


พูดถึงโดนเรียก เหมียวอี้ก็นึกเชื่อมโยงไปถึงเรื่องก่อนหน้านี้ นึกเชื่อมโยงไปถึงภาพสตรีวัยกลางคนที่ต่อให้ตายก็จะลงมาที่นี่ให้ได้ นึกถึงกระดูกขาวที่เกลื่อนกลาดที่อยู่ในรัศมีพื้นที่นี้ จึงขมวดคิ้วถามว่า “คนที่บุกเข้ามาในรัศมีของตรงนี้จะควบคุมตัวเองไม่ได้ ล้วนเป็นอุบายของเจ้าใช่มั้ย?”


หอยยักษ์ถามกลับว่า “อย่าบอกนะว่ามีนักพรตล่วงล้ำเข้ามาในรัศมีของที่นี่? ข้างนอกไม่ใช่พื้นที่รกร้างไร้ผู้คนหรอกหรือ? เหตุใดข้าร้องเรียกมาหลายปีขนาดนี้จึงไม่มีคนมาช่วยข้าล่ะ?” อารมณ์ของเขาค่อนข้างตื่นเต้นฮึกเหิม


เหมียวอี้เข้าใจแล้ว ที่แท้คนที่บุกเข้ามาในรัศมีของพื้นที่นี้แล้วสูญเสียสติสัมปชัญญะก็เป็นเพราะอุบายของปีศาจตนนี้จริงๆ ด้วย ที่แท้ปีศาจตนนี้ก็อยากจะควบคุมให้คนมาช่วยชีวิตมัน สาเหตุที่สตรีวัยกลางคนต้องการจะลงมาข้างล่างให้ได้ก็เพื่อมาช่วยมัน กระดูกขาวในทะเลสาบส่วนใหญ่ล้วนมีสาเหตุการตายเหมือนกับสตรีวัยกลางคนนางนั้น


ขณะเดียวกันเหมียวอี้ก็เข้าใจแล้วว่าทำไมปีศาจที่มีความสามารถมากขนาดนี้แต่กลับไม่มีทางหลุดพ้นได้ แค่เพราะมีคนวางกับดักอะไรไว้ข้างนอกนิดหน่อยเท่านั้น ถึงแม้จะมีการจะวางกับดักไว้นิดเดียว แต่กลับตัดความหวังในการหลุดพ้นความลำบากของปีศาจที่ใช้ความพยายามสูญเปล่ามาหลายปี


เหตุผลเรียบง่ายมาก นักพรตที่ถูกปีศาจตนนี้ควบคุมสูญเสียสติสัมปชัญญะไปแล้ว เมื่อไม่มีความสามารถในการต่อต้านตามปกติ ต่อให้กระโดดลงมาในทะเลสาบแต่ก็ผ่านด่านฝูงแมลงที่หนาแน่นพวกนั้นไม่ได้เลย ดังนั้น คนที่ตัดขาดความหวังในการรอดชีวิตของปีศาจตนนี้ จึงแค่จับคนพวกนั้นโยนลงในทะเลสาบให้พวกแมลงเท่านั้นเอง ไม่ได้เปลืองแรงอะไรเลย คนที่วางกับดักนี้ช่างจัดการเรื่องยากได้อย่างสบายมือจริงๆ


เหมียวอี้ลองถามหยั่งเชิงว่า “เจ้าโดนขังมากี่ปีแล้ว?”


“ไม่รู้! อย่างน้อยหนึ่งแสนปีแล้วกระมัง” หอยยักษ์ตอบ


แค่เพราะแมลงตัวเล็กๆ พวกนั้นที่อยู่ในทะเลสาบ ก็ทำให้ปีศาจเฒ่าตัวนี้โดนขังอย่างน้อยหนึ่งแสนปี เหมียวอี้ปาดเหงื่อนิดหน่อย อดใจไม่ไหวที่จะบอกความจริงกับอีกฝ่าย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะถามเช่นกัน “เจ้าเป็นใครกัน? ใครขังเจ้าไว้ที่นี่นานขนาดนี้?”


หอยยักษ์ตอบว่า “ข้าคือเสิ้นหมี แม่ทัพใหญ่ของประมุขปีศาจ เพียงเพราะประมุขปีศาจตกอยู่ในสถานการณ์ที่มีแนวโน้มพ่ายแพ้ ข้าไม่อยากให้ใครเสียสละอีก จึงโน้มน้าวให้เหล่าพี่น้องแยกย้ายกันไปไปวิ่งตามอนาคตตัวเอง ไม่รู้ว่าใครนำคำพูดของข้าไปพูดให้ประมุขไป๋ฟัง ทำให้ประมุขไป๋เดือดดาลมาก ข้าจึงโดนประมุขไป๋โจมตีจนบาดเจ็บสาหัส แล้วถูกขังไว้ที่นี่!”


“…” เหมียวอี้อ้าปากกว้าง ปีศาจตนนี้คือแม่ทัพใหญ่ของประมุขปีศาจในตำนาน เด็กดี! เจอกับตัวละครใหญ่เข้าแล้ว


“เจ้าถูกประมุขไป๋ขังไว้เหรอ?” เหมียวอี้อุทานถาม


หอยยักษ์หัวเราะเบาๆ แล้วถามว่า “ไม่รู้ว่าตอนนี้ในใต้หล้ามีสถานการณ์โดยรวมเป็นอย่างไร ประมุขไป๋อยู่ที่ไหน?”


เหมียวอี้หันซ้ายหันขวามองถ้ำหิน ความรู้สึกตกตะลึงนี้ยากจะบรรยายออกมาได้ อย่าบอกนะว่าสถานที่ซ่อนสมบัติที่ตนตามหามาตลอดทางก่อนหน้านี้ล้วนเป็นประมุขไป๋ที่วางแผนไว้? เขาชชงักไปครู่หนึ่งแล้วบอกว่า “ในใต้หล้าไม่มีประมุขไป๋กับประมุขปีศาจอยู่แล้ว ตอนนี้ในใต้หล้ามีเพียงประมุขพุทธะและประมุขชิงสองคนที่เป็นเจ้าของ”


“ฮ่าๆ…” หอยยักษ์เสิ้นหมีหัวเราะอย่างบ้าคลั่งไม่หยุด เพียงแต่เสียงหัวเราะฟังดูไม่ค่อยมั่นใจ เห็นได้ชัดว่าโดนขังนานเกินไปทำให้เสียพลังไปไม่น้อย สามารถอดทนจนถึงตอนนี้โดยไม่ตายก็นับว่าโชคดีมากแล้ว ในเสียงหัวเราะของเขาซ่อนความภูมิใจเอาไว้หลายส่วน “ข้ารู้อยู่แล้วว่าจะเป็นอย่างนี้! น้องชาย รบกวนคลายผนึกที่ควบคุมข้าออกให้หน่อย หลังจากข้าหลุดพ้นความลำบากแล้ว จะไม่ทำให้เจ้าเสียเปรียบแน่!”


เหมียวอี้ขานรับ “อ้อ” อย่างไม่ใส่ใจ แล้วถามว่า “จะไม่ทำให้ข้าเสียเปรียบยังไงล่ะ?”


“วรยุทธ์ข้าถึงระดับสำแดงฤทธิ์ขั้นหนึ่งแล้ว ถ้าคิดจะหาทรัพย์สมบัติตอบแทนเจ้าสักหน่อย นั่นไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกเหรอ?” เสิ้นหมีตอบ


เมื่อกล่าวมาแบบนี้ เหมียวอี้ก็แอบตกตะลึง วรยุทธ์บงกชรุ้งขึ้นไปก็คือบงกชกลาย ระดับที่อยู่เหนือบงกชกลายขึ้นไปก็คือสำแดงฤทธิ์ เมื่อวรยุทธ์ถึงระดับบงกชกลาย ภาพมายาดอกบัวตรงหว่างคิ้วก็กลายสภาพแล้ว จะแสดงภาพประจำตัวของผู้ฝึกตนออกมา และหลังจากวรยุทธ์ถึงระดับสำแดงฤทธิ์แล้ว ภาพมายาตรงแท่นจิตก็จะเปลี่ยนจากมายาเป็นของจริง


บงกชกลายและสำแดงฤทธิ์ก็คือระดับใหญ่ที่เรียกว่าพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพ!


สมกับเป็นลูกสมุนของประมุขปีศาจ วรยุทธ์ถึงระดับสำแดงฤทธิ์แล้ว! เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ เพียงแต่อีกฝ่ายก็ไม่จำเป็นต้องหลอกตนเหมือนกัน คนที่สามารถทำให้ประมุขไป๋ลงมือปราบเองได้ วรยุทธ์จะต้องไม่ต่ำแน่นอน


เมื่อเห็นเขาไม่พูดอะไร เสิ้นหมีก็บอกอีกว่า “เจ้าอยากได้อะไรล่ะ พูดออกมาได้เลย รอให้ข้าหลุดพ้นความลำบาก ข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อหามาให้เจ้า ไม่ให้เจ้าเสียเปรียบแน่!”


ตอนที่เขายังไม่บอกแบบนี้ บางทีเหมียวอี้อาจจะพิจารณาจริงๆ ก็ได้ แต่พอกล่าวมาแบบนี้ เหมียวอี้ก็เลิกคิ้วทันที เพื่อที่จะหลุดพ้นความทรมานนี้ ไม่ว่าตนจะเสนอเงื่อนไขอะไรปีศาจเฒ่าตนนี้ก็จะตอบรับ คำสัญญาพล่อยๆ ที่ไม่สนว่าจะทำได้หรือไม่ได้ ใครเชื่อก็แปลกแล้ว


เหมียวอี้เองก็ต้องชั่งน้ำหนักตัวเองด้วยเหมือนกัน ตัวเองมีคุณสมบัติอะไรถึงจะควบคุมให้ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์หาของมาให้ตนได้? การเสนอเงื่อนไขกับคนประเภทนี้ ดีไม่ดีถ้าปล่อยตัวออกมาแล้ว เรื่องแรกที่อีกฝ่ายจะทำก็คือหัวเราะเยาะแล้วฆ่าเขาตาย!


อีกฝ่ายรู้ถึงสถานการณ์โดยรวมในปัจจุบันแล้ว ในฐานะที่เป็นแม่ทัพใหญ่ของประมุขปีศาจ จะปล่อยให้ตนรอดออกไปเปิดโปงความลับนี้เหรอ? ทหารกระจอกงอกง่อยอย่างตน ถ้าอีกฝ่ายจะฆ่าขึ้นมาก็ไม่ต้องมีภาระทางจิตใจเลยสักนิด


ดังนั้น ไม่ว่าจะมองจากด้านไหน การปล่อยปีศาจเฒ่าแบบนี้ออกมาอันตรายเกินไปจริงๆ ตนไม่มีกำลังสำหรับโต้ตอบใดๆ เลย


แกร๊งๆ! เหมียวอี้ถือกระบี่ไว้ในมือ งอนิ้วดีดตัวกระบี่ออกมา แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “อย่าพูดเหลวไหลไปไกลเลย! ระดับสำแดงฤทธิ์ขั้นหนึ่งแล้วยังไงล่ะ? ตอนนี้ใต้หล้าเป็นของประมุขพุทธะกับประมุขชิง ทั้งสองมีลูกน้องที่เป็นยอดฝีมือตั้งมากมาย ระดับยศไม่หละหลวม ควบคุมทั้งใต้หล้า ระดับสำแดงฤทธิ์ขั้นหนึ่งอย่างเจ้าไม่พอให้ชายตาแลเลย ยังคิดจะออกไปตอบแทนข้าอีกเหรอ? ถ้าเจ้ามีความสามารถจริงๆ ทำไมปกป้องประมุขปีศาจไว้ไม่ได้ล่ะ? ไม่ต้องพูดอะไรที่ไม่สอดคล้องกับความจริงแล้ว เอ่อคือว่า บนตัวเจ้ามีของอะไรอยู่บ้างล่ะ ไม่สู้ส่งออกมาตอนนี้เลยดีกว่า ขอเพียงของนั้นเติมเต็มความต้องการของข้าได้ ข้าก็จะปล่อยเจ้าไป ดีมั้ย?”


ลูกตาสีฟ้าของเสิ้นหมีจ้องเหมียวอี้อย่างฉายประกาย มองออกแล้วว่าเหมียวอี้ไม่ใช่คนที่จะโดนหลอกได้ง่ายๆ เมื่อได้ยินว่าตนมีวรยุทธ์เท่าไรแล้วยังใจเย็นขนาดนี้ได้ เห็นได้ชัดว่าเคยผ่านอุปสรรคคลื่นลมมาไม่น้อย เป็นคนที่เคยเห็นโลกมาพอสมควร เขาฟังแล้วถอนหายใจ “ตอนที่ประมุขไป๋ขังข้า จะปล่อยให้บนตัวข้าเหลือของได้อย่างไร ริบของข้าไปหมดตัวตั้งนานแล้ว แต่จะว่าไปแล้ว ถึงแม้บนตัวข้าจะไม่มีสมบัติอะไร แต่ถ้าข้าหลุดพ้นความลำบากนี้ได้ การจะปล้นสมบัติสักนิดหน่อยนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกเหรอ?”


“อย่ามาใช้มุขนี้กับข้าเลย! คนที่ทรยศเจ้านายตัวเอง จะยอมเสี่ยงโดนเปิดเผยตัวตนเพื่อปล้นของมาให้ข้าเหรอ? ปีศาจเฒ่าอย่างเจ้าน่ะ พอหลุดพ้นไปได้จะต้องหาที่หลบเพื่อฟื้นฟูพลังตัวเอง รอคอยอนาคตแน่นอน! ข้าว่านะปีศาจเฒ่า เจ้าพูดจาไม่มีความจริงใจ หลอกล่อข้าเหมือนข้าเป็นเด็กสามขวบ ข้าว่าไม่ต้องคุยกันแล้วล่ะ ประมุขไป๋สิ้นเปลืองความพยายามเพื่อขังเจ้าไว้ที่นี่ ที่ขังไว้โดยไม่ฆ่าแปลว่าต้องมีจุดประสงค์แน่นอน ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนี้ข้าคงฆ่าเจ้าไปนานแล้ว ข้าไม่ฆ่าเจ้าก็ถือว่าเจ้าต้องขอบคุณฟ้าดินแล้ว อย่าคิดอะไรไม่ซื่อเลย เจ้าอยู่ที่นี่ต่อไปแต่โดยดีเถอะ!” เหมียวอี้แสยะหัวเราะสองที สะบัดกระบี่ใสมือ แล้วเริ่มเหลียวซ้ายแลขวาอีกครั้ง การหาสมบัติต่างหากที่เป็นเรื่องสำคัญ


เมื่อเหมียวอี้กล่าวแบบนี้ เสิ้นหมีก็ก็ทำสีหน้าเดือดดาลทันที แต่กลับพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “ที่ข้ามีสมบัติอยู่ชิ้นหนึ่ง ซ่อนอยู่ในดวงตาข้า เจ้าดูสิ!”


สมบัติอะไร? เหมียวอี้ที่เพิ่งจะหันตัวงงทันที พอหันกลับมา มองไปที่ลูกตาสีฟ้าของเขา ก็เห็นเพียงลูกตาสีฟ้าของเขาเป็นประกาย สีฟ้าตรงใจกลางลูกตาเลือนรางไป เผยกลางลูกตาสีรุ้ง ชั่วพริบตาเดียวลำแสงสีรุ้งรูปเสาที่วนเวียนก็ยิงออกมาจากกลางลูกตา สั่นสะท้านใจคนมาก เสาแสงสายหนึ่งครอบเหมียวอี้ไว้แล้ว


ร่างของเหมียวอี้สั่นเทิ้ม สายตาที่จ้องกลางลูกตาสีรุ้งนั่นยากจะเบนย้ายออกไปได้ ที่หูมีเสียงเรียกที่แยกไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิงดังมาแว่วๆ “มานี่…มานี่สิ…” หลังจากถูกลำแสงครอบไว้ ตั๊กแตนในกำไลเก็บสมบัติและเฮยทั่นในกระเป๋าสัตว์ก็เริ่มทรมานขึ้นมาอีกแล้ว


เขาเดินไปข้างหน้าสองก้าวโดยจิตใต้สำนึก เพียงแต่เสียงเรียกที่เบาและอ่อนแอแบบนี้ยังทำให้เขาสับสนอย่างเต็มที่ไม่ได้ พอส่ายหน้าก็เรียกสติกลับมาได้อีกครั้ง รีบเอียงหน้าไม่มองกลางลูกตาสีรุ้งนั่นอีก ถ้าดูต่อไปจะรู้สึกว่าจิตวิญญาณกำลังจะตกลงกลางลูกตาสีรุ้งอย่างถอนตัวไม่ขึ้น


ขณะเดียวกันก็ถลันตัวไปด้านข้าง หลบจากเสาแสงสายตาที่ครอบตัวเองอยู่ ทำให้เห็นเสาแสงนั่นกวาดมองตามทันที แต่ช่วยไม่ได้ที่มีมุมเป็นอุปสรรค ทำให้มันไม่สามารถมองมาที่เหมียวอี้ได้อีกแล้ว


เมื่อหลุดพ้นจากเสาแสง จิตวิญญาณของเหมียวอี้ก็สงบลงทันที ตั๊กแตนในกำไลเก็บสมบัติและเฮยทั่นในกระเป๋าสัตว์สงบลงแล้วเช่นกัน ถึงแม้จะหลุดพ้นจากอันตรายแล้ว แต่ภาพเมื่อครู่นี้ก็ยังทำให้เหมียวอี้รู้สึกหวาดผวาอยู่เลย เพลิงจิตที่ปกป้องร่างกายแทบจะป้องกันสายตาของสัตว์ประหลาดไม่ไหว เรื่องนี้ก็ต้องขอบคุณเพลิงจิตที่ปกป้องเขาไว้ ไม่อย่างนั้นจะต้านทานการล่อล่วงของสายตาสัตว์ประหลาดได้อย่างไร


ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ ตนแทบจะตกหลุมพรางโดยที่ยังไม่ทันรู้สึกถึงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ของอีกฝ่ายเลยสักนิด การเผชิญหน้ากับปีศาจเฒ่าแบบนี้เรียกได้ว่าป้องกันไม่ชนะจริงๆ เหมียวอี้ถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วหันกลับไปมองหอยยักษ์ ก่อนจะยกกระบี่วิเศษผลึกแดงในมือตัวเองขึ้นมาดูอีก


…………………………


บทที่ 1152 กล้าวางแผนร้ายกับข้า

โดย

Ink Stone_Fantasy

เขากำลังมองกระบี่วิเศษในมือ ไม่รู้ว่ากำลังมีความคิดบ้าๆ อะไร แต่ดูจากมุมปากที่โค้งแสยะยิ้มก็รู้แล้วว่าไม่ใช่เรื่องดี


เสาแสงที่มีแสงสีรุ้งวนเวียนกวาดมองทั้งบนล่างซ้ายขวาไปทั่วทุกที่ กำลังค้นหาเงาร่างของเหมียวอี้ พอไม่เห็นว่าเหมียวอี้อยู่ที่ไหน ก็เหมือนจะลุกลี้ลุกลนนิดหน่อย


ดวงตาประหลาดนั่นหายไปอย่างรวดเร็ว ตามด้วยเสียงที่กังวลสุดขีดของเสิ้นหมี “เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เจ้าเป็นใครกันแน่? เจ้ามีวรยุทธ์เท่าไรกันแน่?”


ใช้เวลาเพียงชั่วพริบตาเดียว เสียงที่แยกไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิงก็กลายเป็นเสียงแหบพร่าของชายชราแล้ว เหมือนจะแก่ลงไม่รู้ตั้งกี่ปีในชั่วพริบตาเดียว


แกร๊ง! เหมียวอี้ใช้นิ้วดีดกระบี่วิเศษ ดีดจนมีเสียงแกร๊งๆ พลางเดินมาตรงหน้าเสิ้นหมีช้าๆ อย่างผ่อนคลายไร้กังวล เขาเหลือบมองเสิ้นหมีนิดหน่อย เพราะรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง เขาพบว่าเสิ้นหมีไม่ใช่แค่เสียงเปลี่ยนเป็นแก่ลง แม้แต่กายเนื้อที่อยู่ในเปลือกหอยก็เปลี่ยนเป็นอับแสงลงด้วยเหมือนกัน โดยเฉพาะลูกตาสีฟ้านั่น มันเปลี่ยนเป็นสีฟ้าอ่อนแล้ว ไม่มีประกายราศีเหมือนก่อนหน้านี้ อาการเหมือนเลือดลมเสียหายอย่างหนัก


เหมียวอี้กลอกลูกตา นับว่ามองออกแล้ว พลังอิทธิฤทธิ์ของปีศาจเฒ่าถูกผนึกอยู่ เมื่อครู่นี้เหมือนจะพยายามดันทุรังสำแดงพลังจนสิ้นเปลืองเลือดลมของตัวเอง มิน่าล่ะเมื่อครู่ถึงไม่รู้สึกถึงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์เลยสักนิด ขโมยไก่ไม่ได้ เสียข้าวสารอีกกำมือชัดๆ!


“ปีศาจเฒ่า นักโทษที่โดนขังอย่างเจ้าน่ะ ยังกล้าวางแผนร้ายกับข้าอีกแหรอ ข้าว่าเจ้าคงเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วล่ะ!” เหมียวอี้โบกกระบี่วิเศษในมือพลางแสยะยิ้มไม่หยุด เดินเข้ามาพร้อมกับสีหน้าแฝงเจตนาร้าย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเหมียวอี้อยากจะแทงอีกฝ่ายหลายๆ กระบี่


“เจ้าอย่าทำซี้ซั้วนะ!” เสิ้นหมีกล่าวด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว


“ทำซี้ซั้วไม่ได้หรอก!” เหมียวอี้พลันพยักหน้าพลางหยุดฝีเท้า เพราะถูกเตือนด้วยกระแสไฟฟ้าที่ไหลเวียนไม่หยุดอยู่บนตัวอีกฝ่าย ถ้าวิ่งเข้าไปแทงสักสองกระบี่จริงๆ เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไฟฟ้าบนตัวอีกฝ่ายแรงหรือเบา ถ้าโดนกระแสไฟฟ้าโจมตีขึ้นมาจริงๆ ดีไม่ดีเขาอาจจะโดนอีกฝ่ายควบคุมเสียเอง เกือบจะตกหลุมพรางปีศาจเฒ่าตนนี้แล้ว เขาจึงหยิบหินผลึกไขมันเพลิงออกมาก้อนหนึ่ง แล้วกล่าวพลางแสยะยิ้ม “ข้าไม่มีบุญคุณความแค้นอะไรกับเจ้า เป็นเจ้าที่วางกับดักข้าก่อน อย่ามาหาว่าข้าไร้คุณธรรมทีหลังแล้วกัน!”


ตอนนี้เสิ้นหมีหวาดกลัวแล้วจริงๆ ร้องบอกว่า “น้องชาย มีอะไรก็คุยกันดีๆ เถอะ เมื่อครู่เข้าใจผิดไป เข้าใจผิดจริงๆ เรามาคุยกันดีๆ อีกทีเถอะ อย่าทำอะไรวู่วาม”


“เจ้าคิดจะเล่นงานข้าให้ถึงตาย ยังมาบอกไม่ให้ข้าวู่วามอีกเหรอ? ใครกันแน่ที่วู่วาม? วันนี้ข้าจะให้เจ้าชดใช้ในความวู่วามของตัวเอง” เหมียวอี้แสยะยิ้ม พอพลิกหินผลึกไขมันที่คีบอยู่ตรงปลายนิ้ว พรึ่บ! เปลวเพลิงเดือดก็ลุกโชนทันที เขาสะบัดมือโยนเพลิงเดือดกลุ่มหนึ่งเข้าไปในเปลือกหอย เปลวเพลิงเดือดลุกโชนอยู่ในเนื้อหอยที่อ้วนฉ่ำแล้ว


“อา…” เสิ้นหมีที่ขัดขืนไม่ได้ส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนทันที อ้อนวอนด้วยเสียงแหลมสั่นว่า “น้องชาย ข้าผิดไปแล้ว ไว้ชีวิตข้าสักครั้ง ไว้ชีวิตข้าสักครั้งเถอะ ช่วยด้วย!”


ถ้าหากทั้งสองอยู่ร่วมกันอย่างสงบปรองดอง เหมียวอี้ก็ไม่สนใจเขาเหมือนกัน แต่แย่ตรงที่ทั้งสองฝ่ายสู้กันแล้ว ถ้าปล่อยยอดฝีมือที่น่ากลัวขนาดนี้ออกไป ก็แสดงว่าตนคงเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่ ถ้าผูกความแค้นแล้วไม่ฉวยโอกาสนี้เอาชีวิตปีศาจเฒ่า นั่นก็ไม่ใช่เหมียวอี้แล้ว


ดังนั้น เหมียวอี้จึงดีดหินผลึกไขมันเพลิงที่ติดไฟออกมาอีกหลายสิบก้อน ดีดยิงเข้าไปในเปลือกหอยก้อนแล้วก้อนเล่า


กลิ่นเนื้อหอยย่างที่สุกเกรียมอบอวลอยู่ในพื้นที่ว่างใต้ดิน เสียงกรีดร้องโหยหวนน่าเวทนาของเสิ้นหมีดังไม่ขาดสาย


เหมียวอี้ไม่ได้ชื่นชอบการดูคนอื่นทรมาน ปล่อยให้เสิ้นหมีค่อยๆ ร้องห่มร้องไห้เหมือนผีสาง ส่วนตัวเองก็หันตัวถือกระบี่เดินสำรวจไปทั่ว ตามหาสมบัติที่ซ่อนเอาไว้


หลังจากวนหาอยู่ในพื้นที่ว่างใต้ดินรอบหนึ่ง เหมียวอี้ก็งุนงงนิดหน่อย หาห้องซ่อนสมบัติที่ใช้เก็บสมบัติไม่พบ ร่ายอิทธิฤทธิ์กวาดหาตามผนังหินทั่วทุกทิศ แต่พบว่าไม่มีผนังตรงไหนกลวง ที่นี่ไม่มีห้องว่างซ่อนสมบัติที่ทำแยกไว้ นี่มันเรื่องอะไรกัน?


เหมียวอี้เดินวนอยู่ในพื้นที่ว่างใต้ดินพลางกวาดสายตาค้นหาไปทั่ว สุดท้ายก็มาหยุดอยู่บนหลังของเสิ้นหมี ก่อนหน้านี้ไม่ได้สังเกต แต่ตอนนี้เพิ่งจะพบว่าภาพสตรีทะยานฟ้าสลักอยู่บนหลังของเปลือกหอย สายตาของเหมียวอี้มองไปยังจุดที่แขนอันอ่อนช้อยของสตรีทะยานฟ้าชูขึ้น เพราะทุกครั้งเวลาหาสมบัติ สมบัติล้วนซ่อนอยู่ตรงนั้น


เพียงแต่ตรงจุดที่เอามือรองในครั้งนี้ เหมียวอี้มองไม่เห็นสมบัติที่ซ่อนอยู่ เห็นเพียงตำแหน่งนั้นบนเปลือกหอยมีรูอยู่หนึ่งรู


“ปีศาจเฒ่า ประมุขไป๋ซ่อนอะไรไว้บนตัวเจ้ารึเปล่า?” เหมียวอี้ตะคอกถามทันที


ในเปลือกหอยที่มีควันดำพัดม้วน เสิ้นหมีที่ร้องโหยหวนพลันตอบเสียงดังว่า “ไม่มี ไม่ได้ซ่อนอะไรไว้!”


ไม่ได้ซ่อนเหรอ? ไม่ได้ซ่อนก็แปลกแล้ว! เหมียวอี้จ้องมองที่รูบนเปลือกหอย พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมอีกฝ่ายจึงไม่ยอมรับ การซ่อนสมบัติในครั้งนี้ซ่อนอยู่ในร่างกายปีศาจเฒ่า ผู้ซ่อนสมบัติมีเจตนาชัดเจนว่าต้องการให้คนหาสมบัติฆ่าปีศาจเฒ่าตนนี้ก่อน ถึงจะหาสมบัติพบ ขอถามหน่อยว่าปีศาจเฒ่าจะกล้ายอมรับได้อย่างไร ถ้ายอมรับไม่เท่ากับรนหาที่ตายหรอกเหรอ!


ปกติเวลาที่ค้นหาสมบัติ เดิมทีเหมียวอี้กังวลว่าจะเกิดปัญหาถ้าไปแตะต้องปีศาจเฒ่าที่โดนจองจำไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้รู้ว่าสมบัติที่ซ่อนไว้เกี่ยวข้องกับประมุขไป๋ ไม่รู้ว่าการที่ประมุขไป๋สิ้นเปลืองพลังความคิดแบบนี้เพราะมีเจตนาที่ล้ำลึกอะไรกันแน่ เขาจึงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ที่ไปแตะต้องปีศาจหอยก็เพราะได้ผูกความแค้นกันจึงจำใจต้องทำอย่างนั้น ตอนนี้พอได้รู้ว่าประมุขไป๋ต้องการจะเล่นงานปีศาจหอยให้ถึงตาย เรียกได้ว่าทำให้เขาหมดความพะว้าพะวงในทันที


“ไม่ได้ซ่อนจริงเหรอ?” เหมียวอี้ถลันตัวมาตรงหน้าหอยยักษ์แล้วตะคอกถาม


หน้าคนที่นูนออกมาจากเนื้อหอยในทะเลเพลิงส่ายหน้าอย่างเจ็บปวดทรมาน “ไม่มี! ปล่อยข้าไปเถอะ เจ้าปล่อยข้าไปสักครั้ง ข้าสำนึกผิดแล้ว!”


“ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาจริงๆ!” เหมียวอี้แสยะยิ้ม พอพลิกฝ่ามือ กระบี่วิเศษผลึกแดงในมือก็ลอยขึ้นมา


“ไว้ชีวิตข้า!” เสิ้นหมีร้องตกใจเมื่อเห็นท่าทีของเขา


เสียงร้องขอชีวิตเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา พอเหมียวอี้โบกมือชี้เข้าไป ซวบ! กระบี่วิเศษก็พลันยิงออกมา ถล่มสังหารไปที่ดวงตาขนาดยักษ์ของปีศาจหอย ทำให้ลูกตาระเบิดออกมาเป็นของเหลวกองหนึ่ง แล้วก็มีเสียงบึ้มดังอีกครั้ง กระบี่บินโจมตีทะลุเปลือกหอยยักษ์ออกมา กระบี่บินกลับมาเป็นเส้นโค้ง แล้วยิงกลับไปอีกครั้ง


“อา! อา! อา…”


ภายใต้การร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมของเหมียวอี้ ทุกครั้งที่กระบี่บินทะลุร่างกายขนาดใหญ่ของหอยยักษ์ เสิ้นหมีก็จะร้องออกมาอย่างเจ็บปวด แต่เห็นได้ชัดว่าเหมียวอี้ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดมือ ถึงแม้จะเห็นว่าเป็นแบบนี้ แต่ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะสังหารให้มันตายไม่ได้เสียที ขนาดกายเนื้อที่ไม่มีพลังอิทธิฤทธิ์ปกป้องยังห้าวหาญได้ถึงเพียงนี้ ถ้ามีพลังอิทธิฤทธิ์ช่วยเสริมจะไม่แย่หรอกหรือ?


กระบี่บินแทงทะลุกลับไปกลับมาอย่างรวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ เป็นจังหวะที่ต้องการจะสังหารให้ปีศาจหอยตนนี้ร่างพรุนยับเยิน


เมื่อเห็นว่าไม่มีทางรอดชีวิตแล้ว! เสิ้นหมีที่อยู่ในความเจ็บปวดทรมานก็พลันตวาดเสียงแหลมดุดัน “ข้าจะสู้ตายกับเจ้า!”


ลูกตาที่แบนลีบอยู่ในทะเลเพลิงพลันพองขึ้น ทั้งยังขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ด้วย เหมียวอี้ตกใจทันที เพราะรู้สึกได้ว่าในลูกตาที่พองขึ้นมีคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ ไม่รู้ด้วยว่าอีกฝ่ายจะใช้กี่ท่าเพื่อสู้ตายกับตน เรียกได้ว่าด่าประมุขไป๋ในใจอย่างบ้าคลั่ง พวกปีศาจที่พบก่อนหน้านี้ถูกสยบไว้อย่างดี แต่ทำไมปีศาจตนนี้กลับเหลือหนทางรอดชีวิตอยู่ แล้วยังจะให้คนหาสมบัติฆ่าปีศาจตนนี้ทิ้งอีก แบบนี้ไม่ใช่การจงใจวางกับดักคนหาสมบัติหรอกหรือ?


แต่พอเปลี่ยนความคิดก็รู้สึกว่าตัวเองคิดมากไป ถ้าปีศาจตัวนี้ใช้ท่าโจมตีอะไรได้จริงๆ พวกอาวุธที่ควบคุมไว้คงถูกปีศาจตนนี้กำจัดทิ้งเองไปตั้งนานแล้ว คงไม่รอมาจนถึงวันนี้หรอก


ไม่ว่าจะอย่างไร เหมียวอี้ก็ไม่มีทางปล่อยให้อีกฝ่ายมีโอกาสแว้งกัดอีก พอโบกมือชี้ไป กระบี่บินก็เร่งยิงไปยังลูกตาที่กำลังพองตัว


บึ้ม! ภายใต้การโจมตีของกระบี่บิน ครั้งนี้ลูกตาระเบิดแล้ว เกิดก้อนกลมสีรุ้งโปร่งแสงที่มีขนาดใหญ่เท่ากำปั้นลูกหนึ่งถูกครอบด้วยของเหลว จู่ๆ มันก็ลากยาวกลายเป็นกระบี่คมยิงเข้ามา โผเข้ามาทางเหมียวอี้ รวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ เร็วจนคนวรยุทธ์อย่างเหมียวอี้ต้านทานไม่ทัน


ภายใต้ความร้อนรน เหมียวอี้ตบฝ่ามือออกไปหนึ่งครั้ง แต่สุดท้ายก็ช้าไปหน่อย กระบี่คมสีรุ้งนั่นเฉียดผ่านฝ่ามือมาแล้ว เพียงแต่ของเหลวที่ครอบมันอยู่สลายหายไปอย่างฉับพลันเมื่อสัมผัสกับเพลิงจิตที่ผิวของเหมียวอี้ ทำให้กระบี่คมสีรุ้งนั่นสั่นไหวอยู่ครู่หนึ่ง แต่กลับเสียบโดนแท่นจิตตรงหว่างคิ้วของเหมียวอี้เข้าอย่างจัง


ปั้ง! ศีรษะของเหมียวอี้เอนไปข้างหลังอย่างรุนแรง เขากระอักเลือดออกมาคำหนึ่งขณะร่างสะเทือนปลิวถอยหลัง ตอนที่ขาเหยียบลงพื้นและเดินโซเซถอยหลัง ตรงหว่างคิ้วก็ปรากฏแผลที่มีรอยเลือด เลือดสดรินไหล ผิวตรงหว่างคิ้วพองใหญ่เท่ากำปั้น ทำให้ใบหน้าของเหมียวอี้เปลี่ยนรูปร่างแล้ว เหมียวอี้รู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งต้องการจะเจาะทะลวงเข้าไปในสมองของตนผ่านตรงหว่างคิ้ว รสชาติแบบนั้นเจ็บปวดเจียนตาย เขารีบโคจรเคล็ดวิชาต้านทาน


ลูกกลมที่ต้องการจะทะลวงเข้าศีรษะของเหมียวอี้ พอสัมผัสกับเคล็ดวิชาอัคนีดารา มันก็ส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนทันที เสียงนี้ไม่ได้อยู่โลกแห่งความเป็นจริง แต่กลับร่ำร้องอยู่ในสมองและจิตใจของเหมียวอี้ “เจ้าเป็นใครกันแน่? เจ้าเป็นอะไรกับประมุขไป๋?”


เหมียวอี้พลันหลับตารวบรวมสมาธิสู้กับมัน ไม่กล้าเสียสมาธิเลยแม้แต่น้อย ต้องการจะใช้พลังอิทธิฤทธิ์มหาศาลเผาหลอมวัตถุประหลาดนี้ เขารู้สึกได้ว่าปีศาจตนนี้อยากจะควบคุมจิตวิญญาณของเขา หรือว่านี่จะเป็นการยึดร่างอย่างที่ร่ำลือกัน? ต้องการจะยืมร่างคืนวิญญาณ?


เขาดาไม่ผิด เสิ้นหมีต้องการจะยึดร่างจริงๆ ต้องการจะอาศัยร่างกายของเหมียวอี้เพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่เหมียวอี้ยากที่จะจินตนาการถึงราคาที่ต้องจ่ายกับสิ่งนี้ เสิ้นหมีมีวรยุทธ์เท่าไรล่ะ? วรยุทธ์สำแดงฤทธิ์ขั้นหนึ่งเชียวนะ! การจะให้นักพรตปีศาจที่ลำบากฝึกตนมาหลายปีละทิ้งวรยุทธ์สำแดงฤทธิ์ขั้นหนึ่งไปยึดกายเนื้อของนักพรตบงกชทองแบบนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะจนตรอกหมดหนทาง ใครจะทำอย่างนี้ได้? แบบนี้เท่ากับทำลายการฝึกตนที่ยากลำบากมาทั้งชีวิตภายในครั้งเดียว !


มิหนำซ้ำการยึดร่างของเขาก็ไม่เหมือนการยึดร่างแบบปกติด้วย ประมุขไป๋ไม่เพียงแค่ระงับวรยุทธ์ของเขา ทั้งยังร่ายอิทธิฤทธิ์ตอกสามวิญญาณเจ็ดดวงจิต[1]ของเขาไว้ด้วย เขาไม่มีทางรวบรวมสามวิญญาณเจ็ดดวงจิตเพื่อมายึดร่างพร้อมกันได้ ทำได้เพียงดันทุรังคัดลอกความทรงจำที่อยู่บนไข่มุกอิทธิฤทธิ์ต้นกำเนิดในร่างกายตัวเองเพื่อไปยึดร่างกายอีกฝ่าย หรือพูดได้อีกอย่างว่าจิตวิญญาณของเขาไม่สามารถออกจากร่างกายได้นานเกินไป พอออกจากร่างกายแล้วจะต้องหาร่างใหม่ทันที ไม่อย่างนั้นความทรงจำจะหายไปอย่างรวดเร็ว ไม่เหมือนการรวบรวมสามวิญญาณเจ็ดดวงจิตก่อนแล้วค่อยๆ หาร่างทีหลัง เขาทำแบบนี้ไม่ได้ ทำได้เพียงฉกฉวย ถ้าไม่จนตรอกถึงด่านสุดท้ายก็ไม่มีทางใช้วิธีการนี้


แต่สิ่งที่ทำให้เสิ้นหมีหวาดกลัวก็คือ เขาพบว่าตัวเองเจอกับเคล็ดวิชาอัคนีดาราเข้าแล้ว! เจอกับเคล็ดวิชาอัคนีดาราที่สามารถเอาชนะเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาได้ ความทรงจำเล็กน้อยที่ตนคัดลอกไว้บนไข่มุกอิทธิฤทธิ์จะทนการตอบโต้ของเคล็ดวิชาอัคนีดาราได้อย่างไร!


ในขณะที่หวาดกลัว เพื่อที่จะร้องขอชีวิต ความรู้สึกตัวอันน้อยนิดของเสิ้นหมีรีบควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์ที่แฝงอยู่บนไข่มุกอิทธิฤทธิ์ให้สร้างพื้นที่ว่างบนหว่างคิ้วของเหมียวอี้เสียเลย หมายจะหลบซ่อนอยู่ในนั้น ทว่าเหมียวอี้ระดมเพลิงจิตมาล้อมปราบแล้ว เสิ้นหมีที่ร้อนรนรีบควบคุมไข่มุกอิทธิฤทธิ์เพื่อปลูกถ่ายอีกครั้ง บนไข่มุกอิทธิฤทธิ์มีเส้นเลือดงอกออกมาอย่างรวดเร็ว เชื่อมต่อกับเส้นเลือดบนศีรษะเหมียวอี้ ต้องการจะเชื่อมต่อไข่มุกอิทธิฤทธิ์ของตัวเองให้เป็นหนึ่งเดียวเหมียวอี้ ทำให้เวลาเหมียวอี้ทำร้ายเขา ก็เท่ากับทำร้ายตัวเองด้วย


ทว่าจนตรอกเป็นสุนัขกระโดดกำแพงไปก็ไม่มีประโยชน์ เมื่อเผชิญกับทำลายล้างของเคล็ดวิชาอัคนีดารา ความรู้สึกตัวอันน้อยนิดของเสิ้นหมีก็ดับวูบอย่างรวดเร็ว


ก่อนที่ความรู้สึกตัวจะพังทลายลง ในที่สุดเสิ้นหมีก็เหมือนจะตระหนักอะไรบางอย่างได้แล้ว ในหัวของเหมียวอี้มีเสียงร่ำร้องที่น่าสังเวชใจของเสิ้นหมีดังขึ้น “ประมุขไป๋ เจ้าช่างโหดจริงๆ! ต่อให้ข้าจะมีความผิด แต่ข้าเป็นลูกน้องของประมุขปีศาจ ต่อให้ไม่มีผลงานแต่ก็ลำบากทำงานหนัก แต่เจ้าไม่ให้แม้แต่โอกาสเกิดใหม่กับข้าด้วยซ้ำ ขังข้าไว้หลายปีขนาดนี้ นอกจากจะทำให้ข้าจิตวิญญาณแตกซ่านแล้ว ยังจะวางแผนยึดตาทิพย์ของข้าอีก เจ้าช่างวางแผนการได้ล้ำลึก!”


…………………………


[1] ตามความเชื่อเต๋า จิตวิญญาณของคนเรา ประกอบด้วยสามวิญญาณเจ็ดดวงจิต(三魂七魄 ) สามวิญญาณ (魂)คือ 1. วิญญาณฟ้า 2. วิญญาณดิน 3. วิญญาณชีวิต  เจ็ดดวงจิต(魄) (ความรู้สึกหรืออารมณ์ทั้ง 7 คือ ชอบ เกลียด เศร้า สุข กลัว รัก ความปรารถนา)

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)