ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 115-118

ตอนที่ 115 หมากกระดานสำคัญ!

 

เสียนไท่เฟยหันไปทอดเนตรมองดูขลุ่ยสั้นที่หล่นอยู่บนพื้น เมื่อประกอบกับเสียงร่ำไห้ของท่านหญิงน้อย ต่อให้นางเคยสงบนิ่งเพียงไร ยามนี้ก็จิตใจก็ร้อนรนไปหมดแล้ว 


 


 


นี่คือขลุ่ยคุมวิญญาณ เพียงแต่นี่เป็นสิ่งของเลียนแบบ เสียงขลุ่ยสามารถควบคุมเด็กเล็กๆ ขลุ่ยเลานี้นางให้ชิงผิงไปเพื่อช่วยให้นางสามารถควบคุมเด็กๆ ได้ง่ายขึ้น 


 


 


แต่ว่าขลุ่ยเลานี้ถูกเอามาซ่อนไว้ที่ตัวนางตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?  


 


 


นางอดที่จะหันไปมองชิงผิงไม่ได้ แต่ ‘ชิงผิง’ ในตอนนี้กลับถอยห่างจากนางไปไกล ท่าทางไม่สนใจไยดีใดๆ ทั้งสิ้น 


 


 


สายลมยังไม่ยอมหยุด เสียงร่ำร้องของเด็กบริสุทธิ์ที่ตายไปราวกับว่ากำลังรายล้อมอยู่รอบตัวของนาง ทำให้เสียนไท่เฟยจิตใจว้าวุ่นไปหมด 


 


 


” ดูท่า นี่คงจะเป็นแรงอาฆาตของเด็กที่ตายไปแล้ว พอขลุ่ยนี้ปรากฎขึ้นก็ดึงดูดพวกเขาออกมา คงเพราะต้องการหาตัวฆาตกรมาล้างแค้น ” อู๋เจินไม่ปล่อยเวลาให้เสียนไท่เฟยได้ทันตั้งตัว ก็สาดน้ำมันลงไปบนกองเพลิงในทันที 


 


 


เขาในตอนนี้ยิ่งทียิ่งทวีความเคารพนับถือในองค์ไทเฮาขึ้นไปอีก วิญญาณของเด็กๆ เหล่านี้ถูกอักขระดึงดูดจิตนั้นดึงดูดมารวมกันเป็นแน่ ในบรรดาผู้ที่เขารู้จักนั้น ก็มีแต่ท่านเจ้าอารามเท่านั้นที่สามารถใช้วิชาดึงดูดวิญญาณเช่นนี้ได้ 


 


 


ท่านเจ้าอารามนั้นมีอายุร้อยกว่าปีแล้ว แต่ว่าไทเฮาน้อยอายุเพียงสิบหน้าปีเท่านั้น!  


 


 


หากนางอายุถึงร้อยปีเมื่อใด เกรงว่านางคงจะสำเร็จกลายเป็นเทพเซียนไปแล้ว 


 


 


เมื่อมีคำพูดของอู๋เจินสกัดไว้ก่อน เสียนไท่เฟยก็ไม่อาจหาข้ออ้างมาชำระล้างความบริสุทธิ์ได้แล้ว 


 


 


นางยังคงยืนอยู่ที่เดิม พอจะขยับไปก้าวหนึ่ง ก็ปรากฎวิญญาณเกรี้ยวกราดของเด็กน้อยออกมายื้อยุดนางไว้ 


 


 


เสียนไท่เฟยหรี่เนตรมอง หัตถ์กำแน่นเป็นหมัด ที่จริงวิญญาณของเด็กๆ พวกนี้ไม่ได้น่ากลัวอันใด ที่นางกริ่งเกรงก็คือผู้ที่สามารถเรียกวิญญาณพวกนี้มาได้ต่างหาก 


 


 


อู๋เจิน…….เขารึมีความสามารถถึงเพียงนั้น? เกรงว่าคงจะไม่ใช่แล้ว 


 


 


สุดท้ายสายตาของนางก็หันไปยังตู๋กูซิงหลัน 


 


 


ตู๋กูซิงหลันไขว้สองมือเอาไว้ด้านหลัง ในมือมีกระดาษยันต์แผ่นหนึ่งที่เขียนขึ้นด้วยเลือดของนางเอง ยันต์แผ่นนี้มีลูกไฟสีน้ำเงินลุกไหม้อยู่ แต่ว่ากลับไม่ได้ทำร้ายผิวของนางแม้แต่น้อย 


 


 


ใช่แล้ว วิญญาณของเด็กๆ เหล่านั้นเป็นนางที่เรียกมาเอง มีแค้นพยาบาทล้วนต้องชำระ มีแต่ให้พวกเขาได้ระเบิดความแค้นลงที่ฆาตกร เด็กๆ พวกนี้จึงจะได้ระบายความทุกข์ออกไป ค้นพบทางหลุดพ้น 


 


 


ตู๋กูซิงหลันทางหนึ่งควบคุมบังคับยันต์ดึงดูดวิญญาณ ทางหนึ่งกลับจับจ้องมองดูเสียนไท่เฟยอย่างเงียบงัน นับตั้งแต่ที่นางได้ไปตำหนักฉางเล่อ และได้ใกล้ชิดเสียนไท่เฟยตั้งแต่ครั้งแรก ก็พบแล้วว่านางไม่ปกติธรรมดา 


 


 


บรรยากาศของตำหนักฉางเล่อเสมือนสุสานหลังหนึ่ง อีกทั้งเสียนไท่เฟยยังใช้เครื่องหอมจากเฉิงเซียง (ไม้จันทน์) อยู่ตลอดเวลา ก็เพื่อกลบกลิ่นสาบศพของตนเอง 


 


 


คราวก่อนที่อยู่นอกตำหนักเฟิ่งหมิงกง ตอนที่เสียนไท่เฟยคว้ามือนางไว้ แล้วใช้วิชาวิญญาณหุ่นไม้กับนางนั้น นางก็อาศัยพลังของหยกสรรพชีวิตตรวจสอบฐานะที่แท้จริงของนาง 


 


 


ถึงแม้ว่าผู้คนทั้งหลายจะมองไม่เห็นวิญญาณอาฆาตเหล่านั้น แต่ก็สามารถได้ยินเสียงของเด็กๆ ที่ร้องไห้อย่างโหยหวน ดังนั้นต่างก็พากันตาโตมองมายังนาง 


 


 


เส้นผมของไท่เฟยพลิ้วไหวอยู่ท่ามกลางสายลม ใจกลางฝ่ามือของนางปรากฎไอสีดำขึ้นมากลุ่มหนึ่ง วิญญาณของเจ้าเด็กพวกนี้ไม่อยู่ในสายตาของนางแม้แต่น้อย คิดจะอาศัยกำลังเพียงเท่านี้มาจัดการนางนะหรือ ฝันไปเถอะ!  


 


 


แต่ว่าในทันทีที่นางคิดจะขยับตัวนั้น ใต้ฝ่าเท้าก็รู้สึกเหมือนกับว่าถูกสิ่งใดดึงดูดเอาไว้ ราวกับจะดึงดูดนางลงไปยังใต้พื้นดิน 


 


 


นางก้มลงมองดู ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่กองหิมะหนาใต้ฝ่าเท้ากลายเป็นกองข้าวสารมากมาย ใต้กองข้าวสารยังเป็นแผ่นไม้ท้อรูปยันต์แปดทิศ ตัวนางกำลังยืนอยู่บนกองข้าวสารที่มียันต์แปดทิศรองเอาไว้อย่างพอดิบพอดี 


 


 


สิ่งเหล่านี้คือของที่สามารถสะกดข่มนางได้!  


 


 


ไอสีดำบนฝ่ามือของนางมอดดับสนิท ร่างกายไม่อาจขยับเขยื้อนได้แม้แต่น้อย 


 


 


ในที่สุดสีหน้าของเสียนไท่เฟยก็เปลี่ยนไปจริงๆ แล้ว 


 


 


นางพึ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่า เป็นชิงผิงที่พานางมายืนอยู่ตรงนี้ 


 


 


หลุมพรางนี้ ถูกขุดเอาไว้เพื่อรอนางตั้งแต่แรกแล้ว!  


 


 


ช่างเป็นหมากที่ลึกล้ำยิ่งนัก!  


 


 


ผู้ที่วางหมากเอาไว้ล่วงรู้ฐานะของนางตั้งแต่แรก จึงได้วางแผนลงมือกับนางอย่างละเอียดรอบคอบแม้กระทั้งจุดที่นางจะยืน 


 


 


เมื่อนางไม่อาจต่อต้าน เหล่าวิญญาณอาฆาตก็ยิ่งลงมือหนักขึ้นเรื่อยๆ  


 


 


ผู้คนทั้งหลายต่างเห็นเพียงว่าคล้ายกับมีบางสิ่งบางอย่างกำลังฉุดกระชากเสื้อผ้าของเสียนไท่เฟย ชุดกระโปรงสีดำของนางถูกฉีกทึ้งจนไม่มีชิ้นดี แม้แต่ร่มสีขาวนั้นก็ยังขาดเป็นรูโหว่มากมาย 


 


 


ใบหน้าที่เคยอ่อนโยนก็ถูกตะกุยจนเป็นริ้วรอยหลายแผล ผิวหน้าถลอกออกมาเป็นทางยาวจนเห็นเนื้อขาวๆ แต่ว่ากลับไม่มีเลือดไหลออกมาแม้แต่น้อย 


 


 


ภาพที่เห็นช่างหน้าสะพรึงกลัวจนทำให้ผู้คนทั้งหลายต่างขนลุกซู่ 


 


 


” ปะๆ … ปี.. ปีศาจ……” รองมหาเสนาตกใจกลัวจนปัสสาวะราดออกมา พอคิดได้ว่าเขากลายเป็นฝ่ายเดียวกับปีศาจไปแล้ว ก็อดตัวหนาวสั่นด้วยความหวาดกลัวไม่ได้ 


 


 


เมื่อมีรองมหาเสนาเปิดปากตะโกนขึ้นมาก่อน คนอื่นๆ ต่างก็พากันร่ำร้องขึ้นมาบ้าง “ปีศาจ! นางคือปีศาจที่ควักหัวใจดื่มโลหิต! “ 


 


 


“เผานางให้ตาย! “ 


 


 


“เผาให้ตาย! “ 


 


 


 


 


 


ทันใดผู้คนทั้งหลายต่างแตกตื่นขึ้นมา ภายใต้สถานะการณ์เช่นนี้ไม่ว่าเสียนไท่เฟยจะพูดเช่นไรก็ไม่อาจหักล้างได้อีกแล้ว 


 


 


เสียนไท่เฟยได้แต่ยืนอยู่ที่เดิม ตั้งแต่แรกจนถึงบัดนี้นางยังคงมองดูตู๋กูซิงหลันด้วยสายตาลึกล้ำเย็นวาบ 


 


 


นางไม่อยากจะเชื่อ ว่าเหตุการณ์ทั้งหมดจะเป็นฝีมือวางแผนของสาวน้อยที่เคยนอบน้อมเชื่องเชื่อนางทุกถ้อยคำมาโดยตลอด 


 


 


เมื่อถูกนางจดจ้องเขม็งเช่นนี้ ตู๋กูซิงหลันก็แสดงอาการหวาดกลัวออกมาโดยทันที นางรีบไปแอบอยู่ด้านหลังของจีเฉวียน กล่าวอย่างอ่อนแอว่า “ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันกลัวจัง…..” 


 


 


“เจ้าจะกลัวอะไร ไม่ใช่ว่าเจ้าช่วยซุ่นเอ๋อร์เอาไว้ ไล่ตีปีศาจไปหรอกหรือ? “ 


 


 


” หม่อมฉันไหนเลยจะรู้ว่านั่นคือปีศาจเล่าเพคะ เป็นเพราะยามนั้นคิดว่าเป็นสตรีชุดดำผู้หนึ่งต่างหาก อีกทั้งยังไม่ได้เห็นใบหน้า….หม่อมฉันอายุเพียงสิบห้าปีเท่านั้น เป็นเพียงสตรีอ่อนแอเปราะบางผู้หนึ่ง ” ตู๋กูซิงหลันร้องทุกข์ เจ้าฮ่องเต้สุนัขช่างสมเป็นบุรุษหยาบคาย!  


 


 


พอได้ฟังแล้ว จีเฉวียนกลับตรัสอย่างอ่อนโยนอย่างยากที่จะได้ยินมาก่อนว่า 


 


 


” มาแอบที่ข้างกายเรานี่ เราเป็นโอรสสวรรค์ ไม่ว่าภูติผีปีศาจใดต่างต้องถูกสยบ” 


 


 


หากมิใช่ว่าเขาเจ็บ “ตรงนั้น” เสียจนยืนไม่ไหว คำพูดเหล่านี้จะต้องทำให้เขาดูองอาจกล้าหาญอย่างที่สุด 


 


 


” อืม จริงด้วยเพคะ” ตู๋กูซิงหลันตอบรับคำหนึ่งอย่างว่าง่าย 


 


 


กิริยาเช่นนี้ของนาง ทำให้เสียนไท่เฟยหักเลี้ยวความคิดของตนเองเมื่อครู่ ตู๋กูซิงหลันที่โง่เขลาถึงเพียงนี้ มีหรือจะสามารถวางหลุมพรางได้เจนจัดถึงเพียงนี้ 


 


 


ดูท่าแล้ว….จะต้องเป็นจีเฉวียนเสียมากกว่า 


 


 


หรือไม่ก็ จีเฉวียนจะต้องมอบข้อเสนอดีๆ อันใดให้แก่ตู๋กูซิงหลัน พวกมันถึงได้ตกลงร่วมมือกัน 


 


 


นี่จึงจะสมเหตุสมผล ว่าทำไมจีเฉวียนถึงได้เปลี่ยนแปลงท่าทีที่มีต่อตู๋กูซิงหลันไปอย่างมากมาย 


 


 


ยามนี้ องค์หญิงใหญ่เองก็บังเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาแล้ว ซุ่นเอ๋อร์ของนางเกือบจะตรงไปอยู่ในเงื้อมือมารแล้วจริงๆ!  


 


 


นางตรัสถามออกไปว่า “ท่านนักพรตอู๋เจิน ปีศาจตนนี้…..ตกลงแล้ว ตกลงแล้วคือตัวอะไรกันแน่? “ 


 


 


นักพรตอู๋เจินและบรรดาลูกศิษย์ต่างก็พากันรายล้อมเสียนไท่เฟยเอาไว้อย่างแน่นหนา อู๋เจินลูบไล้ลูกประคำในฝ่ามือ กล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “มีเนื้อแต่ไร้เลือด ร่างกายเย็นเฉียบอยู่ตลอดเวลา โปรดปรานกินหัวใจและดื่มโลหิต …..หากว่าข้านักพรตดูไม่ผิดละก็ นางคือศพมีชีวิต คนตายที่ยังมีชีวิตและเคลื่อนไหวได้ “ 


 


 


ระหว่างศพเดินได้กับศพมีชีวิต นั้นเป็นคนละเรื่องกัน 


 


 


อย่างแรกนั้นมีร่างเป็นศพ อย่างหลังนั้นมีร่างที่มีชีวิต มีความนึกคิดของตนเอง ทั้งยังสืบทอดเผ่าพันธุ์กันมา ปะปนอยู่ในหมู่ฝูงชน 


 


 


หากว่ากันตามคำเล่าลือที่โจษจันกันมา บรรพบุรุษของพวกเขาเคยได้รับพิษที่รุนแรงชนิดหนึ่ง แต่ว่าด้วยภูมิต้านทานที่แข็งแกร่ง ทำให้ร่างกายเปลี่ยนแปลงเป็นร่างที่มีพิษ กลายเป็นร่างกายอีกรูปแบบหนึ่ง 


 


 


ร่างศพมีชีวิตชนิดนี้สามารถสืบทอดเผ่าพันธุ์ได้ มีลูกหลานร่วมกันคนปกติได้ แต่ภายในร่างจะมีพิษชนิดนั้นอยู่ เมื่อเติบโตจนถึงช่วงระยะเวลาหนึ่งร่างกายก็จะเกิดความเปลี่ยนแปลง จากนั้นก็ค่อยๆ กลายสภาพไปจนกลายเป็นศพอย่างสมบูรณ์ 


 


 


เมื่ออู๋เจินกล่าวออกมาเช่นนี้ ผู้คนทั้งหลายต่างก็พากันตกตะลึงไป ในบรรดาผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ก็มีผู้ที่เป็นขุนนางเก่าแก่รวมอยู่ด้วย 


 


 


พวกเขาอดไม่ได้ที่จะคิดย้อนไปยามที่ปฐมกษัตริย์ยังทรงพระชนม์อยู่ เคยทรงปราบปรามแว่นแคว้นหนึ่งจนสิ้นสูญไป  

 

 


ตอนที่ 116 กู่เย่ว์กว๋อ

 

กู่เย่ว์กว๋อ (แคว้นจันทราโบราณ) 


 


 


ที่นั่นเป็น……..แคว้นเล็กๆ ที่เก่าแก่และลึกลับแห่งหนึ่ง มีประวัติยาวนานนับพันปี ถึงแม้เขตแดนจะเล็กมาก แต่ก็สืบทอดความเจริญรุ่งเรืองกันมาโดยมิได้ขาด 


 


 


ฟังว่า……แคว้นกู่เย่ว์มีกองทัพศพมีชีวิตที่ไร้พ่ายจำนวนหนึ่งไว้ในครอบครอง…… 


 


 


ยังมีอีก แคว่นกู่เย่ว์มีสมบัติวิเศษอยู่อย่างหนึ่ง เป็นสิ่งวิเศษเร้นลับ ซุกซ่อนอยู่ในหุบเขา มันทำให้ผู้ครอบครองสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ ทั้งยังสามารถควบคุมภูติผีวิญญาณร้ายต่างๆ ได้อีกด้วย 


 


 


ทั้งยังเล่าลือกันว่า สาเหตุที่แคว้นกู่เย่ว์เจริญรุ่งเรืองมาโดยตลอดนั้น เป็นเพราะในช่วงเวลาที่ผู้นำแคว้นต่างๆ กำลังแตกแยก และแย่งชิงดินแดนกันนั้น เจ้าผู้ครองแคว้นอาศัยของวิเศษชิ้นนั้นบงการกองทัพให้ไปขุดสุสานลักสมบัติมาสะสมเอาไว้ในคลังหลวงของตน เมื่อกระทำต่อเนื่องจนวันคืนผ่านไปนานเข้า ก็สะสมเอาไว้ได้อย่างมากมาย จนกลายเป็นแว่นแคว้นที่มั่งมี 


 


 


เมื่อเป็นเช่นนี้ ย่อมมีศัตรูอยู่ไม่น้อยที่คิดจะโจมตีช่วงชิง แคว้นกู่เย่ว์ แต่ที่น่าประหลาดก็คือ เหล่าศัตรูทั้งหลายนั้นสุดท้ายแล้วต่างก็ไม่มีจุดจบอันดี 


 


 


ราวกับว่าโดนคำสาปเข้า แต่ละคนตกตายอย่างอเนจอนาถ 


 


 


ท้ายที่สุด ในขณะที่ปฐมกษัตริย์ยังทรงหนุ่มแน่นนั้น ได้ทรงนำขุนพลเหล็กจำนวนหนึ่งแสนนายบุกไปยังแคว้นกู่เย่ว์กว๋อ หลังจากหลั่งเลือดในสนามรบอยู่สามเดือน ถึงได้สามารถบุกยึดแคว้นกู่เย่ว์ได้สำเร็จ ปราบปรามเจ้าครองแคว้น ทั้งยังฆ่าล้างชาวเมืองกู่เย่ว์กว๋อจนสิ้น 


 


 


ในบรรดาพวกเขาไม่มีผู้ใดที่เคยได้ติดตามปฐมกษัตริย์ไปออกรบศึกครั้งนั้นจริงๆ เพียงแต่ได้ยินได้ฟังมาว่าโลหิตหลั่งไหลเป็นท้องธาร ทุกหนแห่งล้วนเงียบงันวังเวง แม้แต่พื้นดินยังถูกชะโลมจนแดงก่ำดุจเดียวกับเลือด 


 


 


แม้ว่าผ่านไปหลายปีแล้วก็ยังไม่มีผู้ใดกล้ากลับไปดูสนามรบแห่งนั้นอีกเลย 


 


 


เพราะว่า……กองทัพนับแสนที่ติดตามปฐมกษัตริย์ไปในครั้งนั้น ก็เหลือรอดกลับมาเพียงไม่ถึงร้อยคนเท่านั้น 


 


 


หลังจากล้มล้างแคว้นกู่เย่ว์ได้แล้ว แคว้นตาโจวก็มิได้หยุดยั้งอยู่แค่นั้น แต่ว่าปราบปรามเหล่าแคว้นเล็กๆ ไปอีกนับสิบแคว้น จนสามารถขยายดินแดนของตนเองออกไปได้อีกเท่าหนึ่งเลยทีเดียว 


 


 


และอาจเป็นเพราะการสู้รบขยายดินแดนนั้นยากลำมากเกินไป เป็นเหตุให้ปฐมกษัตริย์ทรงประชวรเรื้อรัง เมื่อแคว้นต้าโจวมั่นคงได้เพียงไม่กี่ปี ก็เสด็จสวรรคตไป 


 


 


…………………………… 


 


 


เมื่อได้เห็นสภาพของเสียนไท่เฟยที่อยู่ตรงหน้า ทำให้เหล่าขุนนางเก่าแก่ทั้งหลายต่างอดไม่ได้ที่จะอยู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมาของแคว้นกู่เย่ว์ขึ้นมา 


 


 


ศพมีชีวิต….นางใช่ว่ามีความสัมพันธ์ใดกับกองทัพศพมีชีวิตของแคว้นกู่เย่ว์กว๋อหรือไม่? 


 


 


หรือบางที ปีนั้นอาจจะมีปลาที่เล็ดลอดหว่างแหออกไปได้? 


 


 


ผู้ที่รู้เรื่องราวเหล่านี้ คงเหลือเพียงขุนนางเก่าแก่แค่สองสามคนเท่านั้น ผู้คนอื่นๆ ที่เหลือต่างก็แตกตื่นหวาดกลัวศพมีชีวิตด้วยกันทั้งนั้น 


 


 


โดยเฉพาะเหล่าพระสนมทั้งหลาย เมื่อพวกนางต่างก็คิดว่าตนเองเคยยืนเคียงข้างปีศาจเช่นนี้อยู่ในเรือนด้วยกันตั้งนาน หัวใจของทุกผู้ต่างก็สั่นสะท้านขึ้นมา 


 


 


เสียนไท่เฟยช่างรู้จักเสแสร้งนัก! 


 


 


นางหลอกลวงฉางซุนฮองเฮา หลอกลวงอดีตฮ่องเต้ หลอกพวกนางทุกๆ คน! 


 


 


หากไม่ใช่เพราะว่าวันนี้ความจริงถูกเปิดเผยออกมา พวกนางเองยังไม่รู้เลยว่าจะถูกปิดบังเอาไว้อีกนานเท่าใด 


 


 


บนเก้าอี้กุ้ยเฟย สีพระพักตร์ของฝ่าบาทกลับไม่มีวี่แววประหลาดใจใดๆ พระองค์สงบเยือกเย็น ทอดพระเนตรมองเสียนไท่เฟยอย่างเงียบๆ “จับตัวไว้ ขังในคุกหลวง เราจะสอบสวนด้วยตนเอง” 


 


 


“ฝ่าบาทพะยะค่ะ ยังจะมีเรื่องอันใดต้องสอบสวนกันอีก นางเป็นปีศาจ สมควรจับเผาทั้งเป็นไปเสียเดี๋ยวนี้ ” รองมหาเสนาฯ รีบกราบทูล ” ตัวอันตรายเช่นนี้หากปล่อยเอาไว้วันหนึ่ง ก็เพิ่มความอันตรายขึ้นอีกหนึ่งส่วน “ 


 


 


ประเด็นสำคัญก็คือเขาหวาดเกรงว่าเสียนไท่เฟยจะหันมาแก้แค้นเขา ใครจะไปรู้ว่าปีศาจเช่นนี้จะแก้แค้นผู้คนด้วยวิธีเช่นไรบ้าง 


 


 


หากว่าเขาเกิดโดนควักหัวใจดูดโลหิตขึ้นมาบ้างละ…..พอคิดถึงตรงนี้รองมหาเสนาฯ ก็หลังเหงื่อเย็นๆ ออกมาบ้าง 


 


 


จีเฉวียนกวาดพระเนตรมองมาที่เขาครั้งหนึ่ง ทำให้รองมหาเสนาฯ ตระหนกจนต้องหุบปากไป 


 


 


ยามที่พระองค์หันกับมองทอดพระเนตรมองดูเสียนไท่เฟยอีกครั้ง ถึงได้เห็นว่า นางกลับยิ้มออกมา ใบหน้าที่ซีดขาว เต็มไปด้วยบาดแผลนั้นยิ้มอย่างสยดสยองอย่างยิ่ง 


 


 


“หม่อมฉันมีฝีมือสู้ผู้อื่นไม่ได้ วางหมากพลาดไปตาหนึ่ง ก็ได้แต่ยอมรับความพ่ายแพ้แล้ว “ 


 


 


นางยืนอยู่ที่เดิม ทรงผมถูกพวกวิญญาณรุมทึ้งจนหลุดลุ่ย เส้นผมปลิวจนยุ่งเหยิง ดวงเนตรที่ลึกล้ำนั้นเผยประกายลึกลับที่เฉียบคมกว่าเดิม 


 


 


“แต่ว่าฝ่าบาท อย่าได้ทรงลืมไปว่า ที่หม่อมฉันสามารถกลายเป็นนางกำนัลของพระมารดาพระองค์ได้ และยังได้รับความโปรดปรานจนกลายเป็นสนมคนโปรดของอดีตฮ่องเต้ ตระกูลตู๋กูเองก็มีส่วนไม่น้อย” 


 


 


” เจ้าหุบปาก! ” ตู๋กูจุนกระชับดาบในมือไว้แน่น ในความทรงจำของเขา ทุกคนในบ้านต่างดีต่อเสียนไท่เฟยอย่างยิ่ง โดยเฉพาะท่านปู่ แทบจะดูแลนางเป็นดั่งบุตรสาวคนหนึ่งเลยทีเดียว 


 


 


หากไม่ใช่เพราะบุตรชายของนางอี้อ๋องทรยศหักหลังน้องเล็ก ตระกูลตู๋กูของพวกเขาจะต้องช่วยประคองอี้อ๋องขึ้นครองราชย์อย่างสุดกำลังไปแล้ว 


 


 


นางไม่รู้จักสำนึกบุญคุณบ้างก็แล้วไป กลับลอบลงมือทำร้ายน้องเล็ก กระทั่งวันนี้ยังคิดจะลากตระกูลตู๋กูของพวกเขาลงน้ำไปด้วย! 


 


 


ท่านปู่ช่างตาบอดไปเสียแล้ว ถึงได้ดีต่อนางเช่นนี้! 


 


 


เสียนไท่เฟยกลับไม่เกรงกลัวเขา รอยยิ้มของนางยิ่งทียิ่งน่าขนลุก “อ้อ ใช่สิ ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ผู้คนทั้งต้าโจวต่างก็รู้กันเป็นอย่างดี “ 


 


 


พูดแล้ว นางก็ชี้นิ้วออกไปยังตู๋กูซิงหลันที่หลบอยู่ด้านหลังจีเฉวียน “ไทเฮาพระองค์นี้ สูญเสียบิดามารดาไปแต่เยาว์วัย ข้าดูแลนางมาประหนึ่งบุตรสาวแท้ๆ มาโดยตลอด แต่ว่าข้าเป็นศพเดินได้ เช่นนั้นไทเฮาที่มีศพเดินได้เลี้ยงดูมาจนโต จะเป็นตัวอะไรละ? “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลังรู้สึกว่านางช่างรู้จักยุยแยงดีนัก มาจนถึงขั้นนี้แล้ว ยังไม่ลืมที่จะหาเรื่องแทงนางต่อหน้าจีเฉวียนและผู้คนสักหลายๆ แผล 


 


 


บางครั้งคำพูดเมื่อกล่าวออกมาอย่างชัดแจ้ง กลับกลายเป็นไร้ความหมาย 


 


 


คำชี้นำที่กระตุ้นความคิดผู้คนเช่นนี้ต่างหากถึงจะน่ากลัวที่สุด 


 


 


คำพูดของเสียนไท่เฟยหลายคำนี้ เป็นที่ชัดเจนเลยว่าต้องการจะยุแยงความสัมพันธ์ของเจ้าฮ่องเต้สุนัขกับตระกูลของนาง ฝังเมล็ดพันธุ์แห่งความหวาดระแวงเอาไว้ในใจของผู้คน 


 


 


และเพราะว่านางกำลังแอบอยู่ด้านหลังของจีเฉวียน จึงรู้สึกได้ถึงกระแสเย็นยะเยือกจากตัวของเขาในทันที 


 


 


เจ้าฮ่องเต้สุนัขเดิมทีก็เคียดแค้นตระกูลตู๋กูอยู่เป็นทุนเดิม เมื่อถูกไท่เฟยสะกิดแผลเช่นนี้ ไหนเลยจะไม่คิดมากได้อีก 


 


 


ผู้คนทั้งหลายต่างก็ได้แต่สูดลมหายใจเข้าไป ผู้ใดก็ไม่กล้ายื่นศีรษะออกไปก่อน 


 


 


ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ถึงได้เห็นว่าฮ่องเต้ทรงคลายบ่าไหล่ลง ตรัสตอบอย่างเยือกเย็นว่า “ไทเฮานั้น นางเป็นดั่งเซียนหญิง “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “??? “ 


 


 


อะไรนะ? นางพึ่งได้ยินอะไรออกไป? เจ้าฮ่องเต้สุนัขกำลังชื่นชมนางหรือ? 


 


 


” เจ้าฟังไม่ผิด เขาบอกว่าเจ้าเป็นเซียนหญิง” วิญญาณทมิฬที่นั่งชมงิ้วอยู่บนบ่าของนางมาโดยตลอด ทำสีหน้าขื่นขมออกมา “แต่ว่าเจ้าอย่าได้ลิงโลดไป ตามประวัติศาสตร์ในมิติของโลกก่อน ‘เซียนหญิง’ บางครั้งก็ใช้เปรียบเทียบแทนสตรีในหอโคมเขียวอยู่เหมือนกัน ไม่แน่ว่าในมิติของโลกใบนี้ก็อาจเป็นเช่นเดียวกัน เจ้าฮ่องเต้สุนัขนั่นอาจจะหลอกด่าเจ้าอยู่ก็ได้นะ “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “………” เจ้าไม่พูดอะไรก็ไม่มีใครหาว่าเจ้าเป็นใบ้หรอกนะ จริงๆ เลย 


 


 


แต่ว่าจีเฉวียนกลับตรัสต่อไป เขาหันกลับไปทอดพระเนตรมองดูสตรีตัวน้อยที่อยู่ด้านหลัง คลี่ยิ้มกล่าวว่า “ความคิดของไทเฮานั้นเรียบง่าย สายตาการดูคนก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ไม่รู้จักหลอกลวงผู้คน เพียงแต่สะสวยงดงาม เจ้ายังคิดหวังให้คนเช่นนางฉลาดเฉลียวมีไหวพริบได้ด้วยหรือ? “ 


 


 


วิญญาณทมิฬ “เขาบอกว่าเจ้ามันไม่มีสมอง ตาก็บอด เป็นได้แค่แจกันดอกไม้ใบหนึ่ง “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันอยากจะเด็ดหัวมันทิ้งนัก 


 


 


ผู้คนทั้งหลายต่างก็ต้องประหลาดใจ ไยฝ่าบาทไม่ทรงกริ้วตามที่ควรจะเป็น? “ 


 


 


แต่ว่าเมื่อคิดๆ ดูแล้ว ที่รับสั่งไปก็นับว่ามีเหตุผลอยู่ ไทเฮาผู้นี้นอกจากความงามเลิศล้ำแล้ว ที่เหลือก็ไม่มีอะไร 


 


 


แต่ว่าไม่ว่าจะฟังดูอย่างไร พระดำรัสของฝ่าบาทเมื่อครู่ ทั้งอารมณ์และน้ำเสียง แล้วยังพระพักตร์ที่แย้มสรวลงดงามนั่นอีก ดูแล้วก็น่าจะเป็นความโปรดปรานเป็นแน่ 


 


 


” ท่านย่าน้อยย่อมไม่ใช่ปีศาจ ท่านย่าน้อยเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ลงมาเกิด! ซุ่นเอ๋อร์นับว่าให้หน้านาง ทั้งยังยกนิ้วโป้งให้อย่างชื่นชม 


 


 


เสียนไท่เฟยถึงกลับกล่าววาจาใดไม่ออก ถึงยามนี้นางถึงได้เข้าใจแล้วว่าตนเองมองตู๋กูซิงหลันต่ำไป สตรีผู้นี้ ไม่เพียงแต่ทำให้เย่วเอ๋อร์หลงใหลแทบเป็นแทบตาย แม้กระทั่งจีเฉวียนก็ยังถูกนางสยบเอาไว้แล้ว  

 

 


ตอนที่ 117 ฝ่าบาทคือจิ้งจอกที่ไร้หัวใจ!

 

แค่พิศดูใบหน้านี้ของนาง ก็สรุปกันไปเสียแล้วว่านางมิได้มีความเฉลียวฉลาดสักเท่าใดนัก เพียงแต่สามารถสร้างความประทับใจแก่เหล่าบุรุษได้โดยง่ายก็เท่านั้น 


 


 


นางคิดจะกล่าวอันใด แต่กลับเห็นว่าจีเฉวียนละความสนใจไปเสียแล้ว 


 


 


“นักพรตอู๋เจิน คงต้องรบกวนเจ้าไปเฝ้านางในคุกหลวงด้วยตนเอง” 


 


 


อู๋เจินที่อยู่ดีๆ ก็ถูกเรียกชื่อขึ้นมา ชะงักไปเล็กน้อย เขาเหลือบตามองดูสายตาของไทเฮาแวบหนึ่ง ถึงได้พยักหน้ารับ สองมือประนมเข้าหากันตอบว่า “โอ้เง็กเซียนบนสวรรค์ การปราบปีศาจกำราบมารร้ายนั้นเป็นหน้าที่ของข้านักพรต ฝ่าบาททรงเกรงใจไปแล้ว” 


 


 


” นำตัวนางไป ” จีเฉวียนรับสั่งอีกครั้งในทันที 


 


 


เหล่าองครักษ์ที่ติดตามเขามา รีบเข้าไปควบคุมตัวเสียนไท่เฟยเอาไว้ อู๋เจินกับเหล่าลูกศิษย์อ่อนเยาว์และหนุ่มแน่นปานจะคั้นน้ำออกมาได้พากันรายล้อมเสียนไท่เฟยเอาไว้เป็นวงล้อมชั้นหนึ่ง ก็ขยับมารวมตัวกันไว้ ดูไปยิ่งใหญ่น่าเกรงขามอย่างยิ่ง 


 


 


อู๋เจินย่อมไม่หวาดวิตกอยู่แล้ว ในจดหมายที่ไทเฮาน้อยมอบให้เขานั้น มียันต์อยู่สามชุด แผ่นหนึ่งเป็นยันต์สะกดร่าง แผ่นหนึ่งสะกดวิญญาณ อีกแผ่นเป็นยันต์คุ้มครอง ทั้งหมดล้วนเป็นยันต์ชั้นยอด เมื่อมียันต์สามแผ่นนี้ เขาย่อมสามารถควบคุมเสียนไท่เฟยได้โดยไม่ยาก 


 


 


ตอนนี้เขายิ่งทียิ่งนับถือไทเฮาน้อยแล้ว ทุกเรื่องราวทุกสิ่งล้วนอยู่ในความคาดหมายของนาง แม้แต่ยันต์ที่จะใช้ในการสะกดยามกักขังเสียนไท่เฟยก็ยังถูกเตรียมเอาไว้อย่างดี ไม่แน่ว่า ไทเฮาน้อยอาจจะเป็นศาสดาพยากรณ์? หรือไม่ก็นางอาจมีพลังหยั่งรู้ล่วงหน้า?  


 


 


คิดๆ แล้วเขาก็ได้แต่แอบหันไปมองดูอีกครั้ง แต่คราวนี้กลับไม่ได้สบตากับไทเฮาน้อยแต่ดันไปสบตากับฝ่าบาทเข้า 


 


 


โอ้ สวรรค์ ช่างน่ากลัวนัก ราวกับว่าเขาเผอิญไปแตะต้องสิ่งที่ไม่สมควรแตะเข้าให้ ฮ่องเต้ที่เมื่อครู่ยังมีทีท่าเกรงอกเกรงใจเขาอยู่นั้น ยามนี้สายพระเนตรประหนึ่งจะฆ่าคนได้ 


 


 


อู๋เจินรีบหลุบตากลับมา หันหน้ากลับไป พลางรู้สึกขึ้นมาว่าความคิดที่จะ ‘อัญเชิญไทเฮาผู้สักดิ์สิทธ์ิไปเคารพบูชาประหนึ่งพระโพธิสัตว์ในอารามนั้น’ ดูจะเจออุปสรรคสำคัญเสียแล้ว 


 


 


เมื่อห่างไกลออกไป เสียนไท่เฟยถึงได้หยุกชะงักฝีเท้าลง นางกวาดตากลับมามองไปยังจีเฉวียนและตู๋กูซิงหลัน ประกายตานั้นทอแววเคียดแค้นอย่างชัดเจน 


 


 


ทันทีที่นางจากไปลมหมุนที่พัดกระหน่ำก็หยุดลง แม้แต่เสียงร่ำร้องโหยหวนของวิญญาณที่เคียดแค้นก็พลอยเงียบไปด้วย ท้องฟ้ากลับมาใสกระจ่าง แสงแดดส่องกระทบหิมะบนพื้นเป็นประกายงดงามอีกครั้ง จิตใจของผู้คนทั้งหลายในที่นั้นก็พลอยผ่อนคลายลงไปด้วย 


 


 


เนื่องด้วยร่างกายของฝ่าบาทเกิดความไม่สบายบางประการ ไม่สะดวกต่อการเดินเหิน จึงมีรับสั่งให้จัดพิธีแต่งตั้งท่านหญิงน้อยเสียในจวนของตระกูลตู๋กูนั่นเอง พระราชทานพื้นที่ศักดินาเป็นเมืองตันหยาง และราชทินนามในชื่อเดียวกัน เรียกว่าท่านหญิงตันหยาง 


 


 


เหล่าเชื้อพระวงศ์และขุนนางทั้งหลายต่างพากันประหลาดใจขึ้นมา 


 


 


เนื่องด้วยการพระราชทานดินแดน และพื้นที่ศักดินานั้นเป็นคนละเรื่องเดียวกัน อย่างแรกนั้นผู้ครอบครองมีอำนาจเหนือดินแดนของตน เสมือนดั่งเป็นฮ่องเต้น้อย อย่างหลังนั้นเพียงสามารถเก็บเกี่ยวภาษีในท้องที่ ไม่มีอำนาจบริหารจัดการใดๆ ภาษีที่เก็บเกี่ยวได้ยังต้องส่งเข้ามาถวายฝ่าบาทตามจำนวนที่กำหนดไว้อย่างแน่นอนอีกด้วย 


 


 


เรื่องการพระราชทานพื้นที่ศักดินานั้นเป็นฝ่าบาททรงรับสั่งขึ้นมาเองตั้งแต่เมื่อพักก่อน ทันทีที่รับสั่งก็ถูกเหล่าเชื้อพระวงค์และขุนนางใหญ่ทั้งหลายแสดงความคิดเห็นต่อต้าน 


 


 


ฝ่าบาทก็มิได้ร้อนพระทัย และมิได้แตะต้องดินแดนที่เคยมีการพระราชทานไปแล้ว 


 


 


ที่แท้…..พระองค์คิดจะใช้โอกาสที่แต่งตั้งท่านหญิงน้อยนี้ ริเริ่มการพระราชทานแต่เพียงพื้นที่ศักดินานั่นเอง 


 


 


ตู๋กูซิงหลันมองดูจีเฉวียนอย่างพิจารณา ก่อนหน้านี้นางยังดูไม่ออก ว่าเจ้าฮ่องเต้สุนัขนี่จะหน้าหนาได้ถึงเพียงนี้ ช่างเหมาะเจาะจะเป็นฮ่องเต้เสียจริงๆ แม้แต่หลานสาวสายนอกของตนเองยังเอามาเป็นเครื่องมือปูทางสร้างอำนาจสายใหม่ได้ 


 


 


คนผู้นี้หากเอามาผ่าดูข้างในคงดำสนิท!  


 


 


แต่ขณะเดียวกันนางก็อดที่จะชื่นชมจีเฉวียนในข้อนี้ไม่ได้ ในประวัติศาสตร์ของโลกมิติปัจจุบัน การเปลี่ยนถ่ายจากพระราชทานดินแดนมาเป็นพื้นที่ศักดินานั้น จำเป็นต้องผ่านหลายยุคหลายสมัยจึงจะกระทำได้สำเร็จ เขาที่เป็นฮ่องเต้องค์ใหม่กลับใช้ออกด้วยวิธีเช่นนี้ กลายเป็นข้ออ้างสำหรับการเปิดทางให้กับตนเอง นับว่ารู้จักวางแผนอย่างแยบยลนัก 


 


 


คราวนี้เหล่าเชื้อพระวงศ์และขุนนางใหญ่ทั้งหลายต่างก็อดที่จะหันไปมองดูองค์หญิงใหญ่ไม่ได้ หากว่าองค์หญิงใหญ่มีความกล้าขึ้นมามากพอ แสดงความไม่พอพระทัยการพระราชทานพื้นที่ศักดินานี้ละก็ การเปลี่ยนแปลงใหม่ที่ฝ่าบาทมีพระประสงค์ก็คงจะเริ่มไม่ออกแล้ว 


 


 


แต่ว่าองค์หญิงใหญ่กลับไม่มีท่าทีไม่พอพระทัยแม้แต่น้อย นางดึงตัวซุ่นเอ๋อร์ถวายคำนับอย่างเต็มพิธีการให้จีเฉวียน “จีฉุนขอบพระทัยที่ฝ่าบาททรงพระเมตตาแทนท่านหญิงตันหยาง! “ 


 


 


ซุ่นเอ๋อร์ก็รีบโขกศีรษะเช่นกัน “ซุ่นเอ๋อร์ขอบพระทัยท่านน้าฮ่องเต้! “ 


 


 


สำหรับองค์หญิงใหญ่แล้ว เมื่อได้รับประสบการณ์ทั้งดีและร้ายในวันนี้ สิ่งของนอกกายเหล่านั้น นางไม่คิดติดใจอันใดอีก เพียงแค่ซุ่นเอ๋อร์แคล้วคลาด มีชีวิตอย่างปลอดภัยก็พอแล้ว 


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น…..นับตั้งแต่วันที่จีเฉวียนขึ้นครองราชย์ นางก็ตระหนักดีแล้วว่า ฮ่องเต้ที่ยากจะคาดเดาพระทัยผู้นี้ จะต้องสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่ให้กับต้าโจวเป็นแน่ 


 


 


นางไม่มีความจำเป็นใดจะต้องไปงัดข้อกับเขา ทั้งยังไม่มีกำลังจะทำด้วย เช่นนั้นไยไม่ว่าตามเขาไป ไม่แน่ว่ายังจะได้อยู่อย่างสงบและปลอดภัยมากกว่า 


 


 


กระทั่งองค์หญิงใหญ่ยังยอมรับแล้ว ผู้อื่นไหนเลยจะมีคำพูดใดๆ ได้อีก?  


 


 


หากไม่ใช่ว่าเสียนไท่เฟยนั้นเป็นปีศาจจริงๆ พวกเขาคงจะต้องคิดว่าเหตุการณ์ทั้งหลายในวันนี้เป็นแผนการที่ฝ่าบาททรงวางไว้แต่แรกแล้ว 


 


 


จัดการองค์หญิงใหญ่ล้มเลิกความสนใจจะที่ครอบครองเขตแดน พอใจเพียงแค่ได้ดูแลธิดาตนเองให้ปลอดภัยโดยไม่มุ่งหวังใดอื่น 


 


 


ผลลัพธ์เช่นนี้………..คล้ายว่าจะเป็นไปตามพระประสงค์ของฝ่าบาทจริงๆ  


 


 


ฝ่าบาท ทรงเป็นจิ้งจอกที่ไร้หัวใจนัก 


 


 


 


 


 


………………… 


 


 


 


 


 


เมื่อเสร็จพิธีการแต่งตั้งแล้ว องค์หญิงใหญ่ก็เสด็จมาขวางอยู่เบื้องหน้าของตู๋กูซิงหลัน นางดึงดาบประจำตัวออกมาอีกครั้ง 


 


 


เหล่าเชื้อพระวงค์และขุนนางใหญ่ทั้งหลายยังไม่ทันได้จากไป ต่างก็มองไปยังองค์หญิงใหญ่อย่างเลิ่กลั่ก เสียนไท่เฟยคือนางปีศาจตัวจริง หรือว่าองค์หญิงใหญ่ยังทรงมีความสงสัยใดในตัวตู๋กูซิงหลันอีก จึงได้คิดหาเรื่องนางอีกครั้ง?  


 


 


คิดๆ ดูก็อาจจะใช่อยู่…….คำพูดที่ก่อนหน้านี้เสียนไท่เฟยได้พูดเอาไว้แล้ว ได้กลายเป็นเมล็ดพันธุ์ที่บ่มเพาะความสงสัยในใจของพวกเขา 


 


 


ผู้ที่ศพมีชีวิตเลี้ยงดูมาจนเติบโต ยังจะนับว่าเป็นมนุษย์ที่ปกติดีๆ ได้อีกหรือ?  


 


 


ตู๋กูซิงหลันมองดูองค์หญิงใหญ่ เห็นสองปรางของนางปรากฎสีแดงซ่านขึ้นมา ดวงเนตรเรียวรูปใบไม้จดจ้องมายังนางอยู่นานเสียจนตู๋กูซิงหลันคิดไปว่าบนศีรษะของนางมีดอกไม้งอกเงยขึ้นมาแล้ว 


 


 


ตู๋กูจุนที่ยืนอยู่ด้านข้างอดไม่ได้ที่จะเขยิบเข้ามาใกล้น้องสาวอีกหลายส่วน เขารู้ว่าตนเองเป็นสาเหตุที่ทำให้องค์หญิงใหญ่ไม่ชอบหน้าน้องเล็ก เขาจึงเกรงว่าองค์หญิงใหญ่จะทำร้ายนาง 


 


 


นานอีกพักใหญ่องค์หญิงใหญ่จึงยกดาบขึ้นมา 


 


 


แต่คราวนี้กลับหันสันดาบให้กับตู๋กูซิงหลัน 


 


 


ตู๋กูซิงหลันรับดาบไปด้วยสีหน้างงงัน จากนั้นพลันเห็นองค์หญิงใหญ่สะบัดชายกระโปรงขึ้นมา คุกเข่าลงต่อหน้าผู้คนทั้งหลาย โขกศีรษะเสียงดังให้กับนางครั้งหนึ่ง 


 


 


” คำนับนี้ ขอบพระทัยไทเฮาที่ทรงช่วยชีวิตซุ่นเอ๋อร์เอาไว้! “ 


 


 


กล่าวแล้ว นางก็โขกศีรษะหนักๆ อีกครั้ง 


 


 


” คำนับที่สอง คือจีฉุนติดค้างพระเมตตาของไทเฮา พระคุณนี้จะจดจำใส่ใจ วันหน้าต้องตอบแทน! “ 


 


 


สุดท้าย นางก็คำนับเป็นครั้งที่สาม 


 


 


” คำนับที่สาม เป็นหม่อมฉันจีฉุนมีตาแต่ไร้แวว ตกหลุมพรางของผู้อื่น หลงคิดว่าไทเฮาคือปีศาจ จนเกือบจะทำร้ายไทเฮา เป็นหม่อมฉันโง่เขลา! ขอไทเฮาประทานดาบหนึ่งให้กับหม่อมฉัน ชะล้างพระทัยที่ทรงได้รับความอยุติธรรม! “ 


 


 


คำนับครบสามครั้ง ความขัดแย้งในพระทัยของจีฉุนก็หมดไป แววเนตรกระจ่างใส ปราศจากความเสแสร้งใดๆ  


 


 


การแสดงออกขององค์หญิงใหญ่ ทำให้ผู้คนทั้งหลายต่างนิ่งค้างกันไปหมด 


 


 


พวกเขารู้ดีกว่าที่ผ่านมาองค์หญิงใหญ่ทรงเป็นผู้ที่กล้ารักกล้าแค้นคนหนึ่ง แต่นึกไม่ถึงว่านางที่เป็นถึงองค์หญิงสูงศักดิ์จะถึงขนาดยอมวางศักดิ์ฐานะของตนลงและยอมรับผิดเช่นนี้!  


 


 


ซุ่นเอ๋อร์ที่เห็นมารดาคุกเข่าลงโขกศีรษะก็มีสีหน้าตกตะลึงไปเช่นกัน นางเองก็รีบคุกเข่าลงโขกศีรษะไปด้วย “ขอบพระทัยท่านย่าน้อยช่วยชีวิตหม่อมฉัน ท่านแม่เพียงแต่กังวลใจในตัวซุ่นเอ๋อร์มากเกินไป ท่านแม่มิได้ตั้งใจ” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันชมดูจนป่วยใจ นางวางดาบในมือลง ดึงเด็กหญิงตัวน้อยขึ้นมากอดไว้ในอ้อมอก  


 


 


จากนั้นก็ประคององค์หญิงใหญ่ให้ลุกขึ้นมาด้วยตนเอง ” เรื่องได้รับความอยุติธรรมนั้นไม่มีหรอก หากว่าองค์หญิงทรงคิดจะตอบแทนบุญคุณละก็ เราก็มีคำขอร้องอยู่ข้อหนึ่ง “  

 

 


ตอนที่ 118 นี้มันเรียกว่าคนสิ้นคิด!

 

” ขอไทเฮาทรงตรัสมาเถอะเพคะ” องค์หญิงใหญ่จ้องมองนาง การที่ตู๋กูซิงหลันมิได้กล่าววาจาเกรงอกเกรงใจแม้สักครึ่งคำ ทำให้นางแปลกใจนัก ทั้งยังรู้สึกนับถือขึ้นมาอยู่บ้าง 


 


 


เมื่อเปรียบเทียบกับพวกอสรพิษที่ชอบทำตนเป็นพยัคฆ์แล้ว ไทเฮาที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้ยังถูกใจนางมากกว่านัก 


 


 


ได้ฟังแล้ว ตู๋กูซิงหลันก็หันกลับไปมองดูพี่ชายของตนเองแวบหนึ่ง 


 


 


ตู๋กูจุนชะงักไปเล็กน้อย ค่อยตัดสินใจเขยิบมายืนข้างตัวนาง ตู๋กูซิงหลันปล่อยเขาไว้เช่นนั้น 


 


 


นางรีบหันกลับมามองดูองค์หญิงใหญ่ 


 


 


การกระทำก่อนหน้านี้ขององค์หญิงใหญ่ ตู๋กูซิงหลันมิได้รู้สึกโกรธเคืองเลย ไม่ว่าเป็นแม่คนใด เมื่อเป็นเรื่องความเป็นความตายของลูกแล้วก็ย่อมจะสูญเสียเหตุผลที่เคยมีได้ด้วยกันทั้งนั้น 


 


 


เรื่องนี้นางย่อมเข้าใจได้ อย่าว่าแต่สตรีที่สามารถอบรมสั่งสอนซุ่นเอ๋อร์ให้เป็นเด็กน้อยน่ารักได้เช่นนี้ ย่อมมิใช่คนไม่ดีไปได้เด็ดขาด 


 


 


นางยิ่งคิดไม่ถึงว่า องค์หญิงใหญ่ผู้หนึ่ง จะยินยอมคุกเข่าลงต่อหน้าผู้คนเพื่อขออภัยต่อนาง เพียงแค่ข้อนี้ข้อเดียว ตู๋กูซิงหลันก็อยากจะเพิ่มคะแนนให้องค์หญิงใหญ่อีกไม่น้อยแล้ว 


 


 


นางลดเสียงลง เขยิบเข้าไปจนใกล้ กระซิบลงที่ข้างพระกรรณขององค์หญิงกล่าวว่า “ข้าเพียงอยากรู้ว่า ระหว่างพี่ใหญ่และองค์หญิงเกิดข้อเข้าใจผิดอันใดกันหรือ? “ 


 


 


นางกล่าวเพียงประโยคเดียว สีพระพักตร์ของจีฉุนก็เปลี่ยนไปในทันที แม้แต่แววตาก็หม่นหมองลงไปด้วย 


 


 


นางค่อยๆ ปิดตาลง ส่ายหน้าน้อยๆ “ขอไทเฮาทรงเปลี่ยนคำถามเป็นเรื่องอื่นเถอะเพคะ เรื่องระหว่างข้าและพี่ชายของท่านนั้น ข้าไม่มีคำพูดจะกล่าว” 


 


 


“องค์หญิง บุญคุณที่เราต้องการให้ท่านตอบแทนนั้น ก็คือคำพูดที่ชัดเจนไม่กี่คำเท่านั้น ” ตู๋กูซิงหลันตอบกลับ “ขององค์หญิงใหญ่ทรงตรัสอย่างรวบรัดชัดเจนเถอะ” 


 


 


องค์หญิงใหญ่ลืมเนตรขึ้นมองนางอย่างละเอียดละออ สตรีน้อยตรงหน้าอายุเพียงสิบหน้าปีเท่านั้น แต่ความอาจหาญเจรจาเช่นนี้ทำให้นางประหลาดใจอย่างคาดไม่ถึง 


 


 


นางก้มศีรษะลง ถอดถอนหายใจยาวเหยียด “ไทเฮาประสงค์จะทรงทราบให้จงได้หรือเพคะ? “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน พยักหน้ารับ “ใช่แล้ว” 


 


 


ดวงพักตร์ขององค์หญิงใหญ่ซีดขาวยิ่งกว่าเดิม นานครู่ใหญ่จึงได้ยอมตรัสออกมา ” ฉางซุนซู่ ราชบุตรเขยของข้า เมื่อหกปีก่อนถูกพี่ชายของท่านสังหาร ความเกลียดชังนี้คงไม่อาจสลายได้ทั้งชาติ ดังนั้น ระหว่างข้าและท่านแม่ทัพผู้พิชิตมิได้มีข้อผิดใจอันใดกัน” 


 


 


วาจาประโยคเดียวกลับคล้ายว่าเผาผลาญพลังงานที่นางมีอยู่ทั้งหมดจนสิ้นไป ทำให้นางเจ็บปวดจนถึงขนาดลมหายใจยังสั่นสะท้าน ผ่านไปครู่ใหญ่นางจึงถวายคำนับลากับตู๋กูซิงหลัน “จีฉุนรู้สึกร่ายกายไม่สู้ดี ขอทูลลาแล้วเพคะ วันหน้าจะต้องเข้าวังไปขอบพระทัยไทเฮาอีกครั้งแน่นอน “ 


 


 


 


 


 


กล่าวแล้ว นางก็เข้ามาอุ้มตัวซุ่นเอ๋อร์กลับไป จากนั้นก็ไปจากจวนตระกูลตู๋กูอย่างรวดเร็ว 


 


 


ตู๋กูจุนหยุดอยู่ที่เดิม มองดูเงาหลังของนางจากไป ก็ได้แต่อ้าปากค้าง แต่กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาสักคำ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเองก็ละล้าละลัง แต่ก็ไม่กล้าบังคับรั้งนางเอาไว้ น้ำหนักของเรื่องนี้ดูท่าจะรุนแรงเกินไปแล้ว มิน่าเล่าพี่ใหญ่ถึงได้ไม่กล้าบอกกับนางมาโดยตลอด 


 


 


เมื่อมองดูพี่ชายตนเองที่ท่าทางเหมือนกับว่าวิญญาณได้หลุดลอยไปแล้ว นางก็รู้สึกปวดใจขึ้นมาอีกหลายส่วน เรื่องนี้ใช่ว่ายังมีเงื่อนงำอะไรอีกหรือไม่? 


 


 


“พี่ใหญ่ เรื่องราวในปีนั้น ท่านหาเวลามาพูดกับข้าให้ละเอียดเถอะ ข้าเป็นน้องสาวของท่าน ข้าเชื่อว่าท่านไม่มีทางฆ่าคนอย่างไร้เหตุผลหรอก นี่จะต้องมีเหตุจำเป็นอันใดให้ท่านต้องกระทำเป็นแน่ ” ตู๋กูซิงหลันย่ำเท้าลงไปพลางตบบ่าของเขาเบาๆ “ชีวิตคนเรานั้นแสนสั้น อย่าได้ปล่อยให้มีเรื่องต้องเสียดาย” 


 


 


เพียงแค่ประโยคเดียวของนางกลับทำให้ตู๋กูจุนรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาอีกหลายส่วน น้องเล็กไปได้รับประสบการณ์เช่นไรมา ถึงได้สามารถเกิดความเข้าอกเข้าใจได้ถึงเพียงนี้ 


 


 


ที่ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้บอกนาง ก็เพราะว่าไม่อยากให้นางต้องวิตกกังวลใจไปเปล่าๆ บุรุษตระกูลตู๋กูเช่นพวกเขาแต่ไหนแต่ไร ก็ไม่อาจทนเห็นนางทุกข์ใจได้แม้แต่น้อย กลับคิดไม่ถึงว่าน้องเล็กจะจดจำเรื่องนี้ไว้ในใจมานานแล้ว 


 


 


นางในตอนนี้กับก่อนหน้านั้น ช่างแตกต่างราวกับเป็นคนละคนกันทีเดียว 


 


 


ก่อนหน้านี้น้องเล็กไม่เคยจะใส่ใจเขาแม้แต่น้อย 


 


 


ในใจของเขาทั้งซาบซึ้ง ทั้งรู้สึกภาคภูมิใจขึ้นมา คิดว่าเรื่องนี้ถึงเขาไม่พูดออกมา นางก็คงหาทางรู้เข้าจนได้ 


 


 


หากต้องปลอยให้นางว้าวุ่นใจ โดยไม่อาจหาคำตอบที่แน่ชัดได้เช่นนี้ต่อไป มิสู้ให้เขาบอกกับนางด้วยตนเองจะดีกว่า 


 


 


เมื่อคิดได้แล้ว ตู๋กูจุนก็พยักหน้าติดๆ กัน “ตกลง” 


 


 


………………………… 


 


 


บนเก้าอี้กุ้ยเฟย ฮ่องเต้ผู้ทรงมิได้รับความสนใจไยดีใดๆ จากไทเฮาแม้แต่น้อยกลับมิได้ทรงมีโทสะ นับตั้งแต่ที่เสียนไท่เฟยเดินออกไป สายพระเนตรของพระองค์ก็มีแต่ความเย็นชา ถึงแม้ตู๋กูซิงหลันและองค์หญิงใหญ่จะกล่าวเรื่องอันใดแก่กันก็ไม่ได้ทรงสนพระทัย 


 


 


หลี่กงกงได้แต่ขุดความกล้าหาญขึ้นมาเข้าไปสอบถามรับสั่ง ” ฝ่าบาทพะยะค่ะ เวลาไม่เช้าแล้ว ยามนี้ใช่สมควรเสด็จกลับวังเลยหรือไม่พะยะค่ะ? “ 


 


 


จีเฉวียนถึงได้ค่อยๆ เรียกสติกลับมา เขาหันไปทอดพระเนตรมองไทเฮาน้อยที่ข้างกายชั่วแวบหนึ่ง ” กลับ” 


 


 


เขาขยับตัวอย่างรวดเร็ว ลืมเรื่องที่ตนเองเจ็บตรงนั้นไปชั่วขณะ ลุกขึ้นประทับยืนในคราเดียว เมื่อขยับตัวมากถึงเพียงนี้ ย่อมเกิดความเจ็บปวดไปถึงขั้วหัวใจ เรียกว่าเกือบจะส่งเขาขึ้นสวรรค์ไปเลยทีเดียว! 


 


 


ฮ่องเต้สีพระพักตร์ย่ำแย่ พระบาทอ่อนล้าไร้กำลัง ได้แต่กลับมาประทับนั่งบนเก้าอี้กุ้ยเฟยอีกครั้ง กัดพระทนต์ตรัสว่า “แบกเรากลับไป” 


 


 


หลี่กงกง “??? ” ยามนี้เขาชักสงสัยขึ้นมาเสียแล้วว่าฝ่าบาททรงประชวรขึ้นมาอย่างกระทันหันหรือไม่ ยามมานั้นองอาจดุจมังกรคึกคักดุจพยัคฆ์ ทำไมบทจะไปถึงกับยืนไม่ขึ้นเสียอย่างงั้น? 


 


 


พอคิดถึงว่าก่อนหน้านี้เขาได้ยินซุ่มเสียงแปลกๆ ที่พาให้คนต้องขบคิดมากความมาจากในห้องของไทเฮาน้อย หลี่กงกงก็รู้สึกเหน็บหนาวขึ้นมาเลยทีเดียว 


 


 


คงไม่ใช่ว่า…..ฝ่าบาททรงถูกไทเฮาน้อย…….สูบจนแห้งไปแล้ว! 


 


 


พอความคิดนี้ผุดขึ้นมา หลี่กงกงก็พลันรู้สึกว่าศีรษะที่ขวัญกล้าบังอาจของตนชักจะไม่มั่นคงเท่าไหร่แล้ว 


 


 


พอเหล่าองครักษ์เข้ามายกเก้าอี้กุ้ยเฟยขึ้น ก็ได้ยินจีเฉวียนตรัสกับตู๋กูซิงหลันว่า “ไทเฮา ติดตามเรากลับวังด้วยกัน” 


 


 


สายตาของตู๋กูซิงหลันจับจ้องอยู่บนเก้าอี้กุ้ยเฟยตัวนั้น 


 


 


เก้าอี้กุ้ยเฟยตัวนี้เป็นผลงานของร้านเครื่องเรือนอันดับหนึ่งในแคว้นต้าโจว ใช้ไม้สักทองสร้างขึ้นทั้งตัว พนักพิงและที่วางแขนสลักลายลงทองฝังอัญมณีไว้ แม้แต่เบาะนุ่มที่ใช้รองบนเก้าอี้ก็ทำจากผ้านวมอ่อนนุ่มชั้นดีและผ้าต่วนเมฆไหล 


 


 


เจ้าฮ่องเต้สุนัข……บัลลังก์ของตนเองมีไม่นั่ง กลับจะมายึดเอาเก้าอี้กุ้ยเฟยของนางไปหรือ? 


 


 


นางค่อยๆ กลืนน้ำลายลงไป ตอบว่า “เก้าอี้ตัวนี้ ฝ่าบาทจะทรงคืนให้หม่อมฉันใช่ไหมเพคะ? “ 


 


 


จีเฉวียนพระพักตร์เขียวขึ้นมาทันที พูดตามจริงเลย ตอนนี้เขาคิดจะฆ่านางเสียด้วยซ้ำไป! 


 


 


ในสายตาของนาง เกียรติของบุรุษเช่นเขาเทียบไม่ได้กลับเก้าอี้ตัวหนึ่งหรือไง? 


 


 


” เจ้าคิดเช่นไรละ? ” นิ้วเรียวยาวของเขาลูบไล้ไพลินบนที่วางแขนไปมาคล้ายตั้งใจและไม่ตั้งใจอยู่ตลอด 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “……….” 


 


 


…………….. 


 


 


ในพระตำหนักตี้หัว หมอหลวงซุนกำลังตรวจสอบดูไข่ใบสำคัญของฝ่าบาท เขาพลันรู้สึกว่าตนได้มาถึงสุดสูงในอาชีพของหมอของตนแล้ว 


 


 


อีกหน่อยยามที่เขาแก่ชรากลับบ้านเกิดไป อยู่ในหุบเขาห่างไกลจากฮ่องเต้ จะสามารถคุยอวดกับผู้คนได้หรือไม่ ว่าเขาได้เคยเห็นไข่มังกรมาแล้ว อีกทั้งยังเป็นหมอหลวงผู้ทรงคุณวุฒิที่สามารถรักษาไข่มังกรจนหายดีอีกด้วย? 


 


 


” ทูลฝ่าบาท ยังดีที่ไม่ได้หักเสียหาย มิได้บาดเจ็บจนถึงแก่นสำคัญ กระหม่อมจะฝังเข็มถวายสักหลายครั้ง จากนั้นจัดเทียบยาให้ทรงดื่ม ไม่เกินเจ็ดวันก็จะกลับคืนมาดีดังเดิมพะยะค่ะ” หมอหลวงซุนพูดไป ก็หยิบเอาเข็มเงินออกมา 


 


 


พูดตามตรง เขาเองก็ประหลาดใจอยู่มาก ฝ่าบาททรงไปกระทำการใดมากันแน่ ถึงได้ทำให้พระองค์เองกลายเป็นเสียอย่างนี้ 


 


 


คงมิใช่ว่าสมองกลับตาลปัตรคิดว่าตนเองมีไข่เหล็กหรอกนะ? 


 


 


ไปใช้งานอะไรรุนแรงถึงเพียงนี้…… 


 


 


ดูสิว่าบวมถึงเพียงไหน จุ๊ๆๆ ….ยังดีที่พระวรกายของฝ่าบาทแข็งแรงมาตลอด หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น มีหวังเละเป็นเต้าหู้ไปเสียแล้ว 


 


 


จีเฉวียนสาดพระเนตรเย็นชาออกไป ทอดพระเนตรไปยังไทเฮาน้อยที่ถูกพากลับมาอย่างดี เงาของนางทอดอยู่บนฉากบังลมวิหคเพลิง คนตัวสั่นสะท้านแอบอยู่หลังฉากอย่างเงียบๆ เรียบร้อย 


 


 


สตรีผู้นี้ พอรู้ว่าเรื่องราวหนักหนาก็เกิดความกลัวขึ้นมาเป็นเหมือนกันรึ 


 


 


 


 


 


ที่ด้านนอกของฉากบังลม ตู๋กูซิงหลันได้พยายามหุบปากกลั้นยิ้มเอาไว้สุดความสามารถ นางปิดปากเสียแน่น ไม่ยอมให้เสียงของตนเองเล็ดลอดออกไป จนทั้งร่างได้แต่สั่นสะท้าน 


 


 


พอกลับมาถึงวัง ฮ่องเต้ก็มีรับสั่งให้นางเตรียมเข้าเฝ้าอยู่ในตำหนักตี้หัว รอหมอหลวงซุนมาตรวจอาการให้เขา 


 


 


แต่พอได้ยินว่าหมอหลวงซุนจะฝังเข็มลงบนไข่มังกร ……สมองของตู๋กูซิงหลันก็อดที่จะจินตนาการภาพเหตุการณ์ขึ้นมาไม่ได้ นางรู้สึกว่าลมพัดเย็นจัดจนขนลุกกราวขึ้นมา เจ็บจี๊ดไปทั้งตัวเลยทีเดียว 


 


 


ถึงแม้ว่าในใจของนางจะปรากฎความละอายในความผิดขึ้นมาบ้างเล็กน้อย แต่สุดท้ายแล้วก็ยังคงอดจะอยากหัวเราะอย่างสะใจไม่ได้ 


 


 


ช่างสมกับที่ตัวนางเคยมีฉายาว่าบงกชดำจริงๆ 


 


 


ไม่รู้ว่าฝ่าบาทจะได้รับการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์หรือไม่ พระองค์จะได้กลายเป็นฮ่องเต้พระองค์แรกที่พงศาวดารจารึกไว้ว่ามีการฝังเข็มไข่มังกร 


 


 


“ฝ่าบาท กระหม่อมขอประทานอนุญาตล่วงเกินแล้ว…..” หลังฉากบังลม หมอหลวงซุนกำเข็มเงินเอาไว้ในมือ ทั้งตื่นกลัวและทั้งตื่นเต้นไปพร้อมๆ กัน 


 


 


การรักษาด้วยวิธีฝังเข็มไข่มังกรเช่นนี้ คงจะกลายเป็นแรงผลักดันให้เขาได้กลายเป็นสุดยอดหมอหลวงในประวัติศาสตร์เป็นแน่ 


 


 


จีเฉวียนสีพระพักตร์เย็นเฉียบ ฝ่าพระหัตถ์ตวัดออกไป ก็ฟาดจนมือของหมอหลวงซุนสั่นสะท้าาน เข็มเงินปักใส่หลังมือของตนเอง ลึกลงไปในเนื้อถึงสามส่วน เขาเจ็บปวดจนร่ำร้องออกมา 


 


 


เขาไม่รู้จริงๆ ว่าตนเองกระทำผิดต่อฝ่าบาทในที่ใด ได้แต่ตระหนกตกใจจนคุกเข่าลงกับพื้นด้วยความหวาดผวา บนศีรษะหลั่งเหงื่อเย็นออกมามากมาย 


 


 


” ไสหัวไปให้เราเดี๋ยวนี้ ” จีเฉวียนทรงกำเข็มขัดเอาไว้แน่น ใครก็อย่าได้คิดจะแต่ต้องไข่มังกรของเขาแม้แต่น้อย! 


 


 


หมอหลวงซุนได้แต่ยอมถูกระทำเสียแล้ว ดูเอาเถอะ อาชีพหมอหลวงนั้นต้องเสี่ยงเพียงไร คนไข้อารมณ์ไม่ดี เขาก็ไม่อาจพูดมากความได้ 


 


 


“ทูลฝ่าบาท หากว่าไม่ได้รับการฝังเข็ม อาศัยการดื่มยาแต่เพียงอย่างเดียว พระองค์จะทรงฟื้นตัวได้ช้าอย่างยิ่ง เกรงว่าจะต้องใช้เวลากว่าหนึ่งเดือนพะยะค่ะ หากว่าระหว่างนั้นเกิดเหตุอันใดขึ้นมาละก็ จะเกิดผลกระทบต่อเชื้อสายของราชวงค์ต้าโจวได้นะพะยะค่ะ ” หมอหลวงซุนยึดเอาหลักการแพทย์มากล่าวอ้าง น้อมเตือนฝ่าบาทอย่างไม่กลัวตายเลยทีเดียว 


 


 


” นอกจากฝังเข็มแล้ว ไม่มีวิธีอื่นเลยหรือ? ” จีเฉวียนพระพักตร์เย็นชา แทบจะขู่ขวัญหมอหลวงซุนจนร้องไห้ออกมา 


 


 


หมอหลวงซุนลูบคอของตนเอง เค้นสมองครุ่นคิด จากนั้นค่อยกราบทูลเสียงเบาๆ ว่า “ฝ่าบาทสามารถใช้วิธีแช่พระองค์ในอ่างน้ำร้อนผสมตัวยาเป็นประจำทุกวัน ….วิธีนี้ก็จะช่วยคลายความเจ็บปวด ร่วมกับการดื่มยา ใช่เวลาประมาณครึ่งเดือนก็น่าจะฟื้นฟูได้พะยะค่ะ” 


 


 


” ถ้าเช่นนั้นก็ให้ใช้วิธีนี้ เรื่องนี้หากว่าเราได้ยินข่าวลือออกไปแม้เพียงครึ่งคำ ศีรษะของเจ้าได้ตกดินเป็นแน่” 


 


 


หมอหลวงซุนอยากจะร้องไห้ออกมาเหลือเกิน …….เป็นหมอหลวงช่างไม่ง่ายดายเลย หากว่าไม่ระวังมีหวังได้เผาผีไปจริงๆ 


 


 


พอฝ่าบาทตรัสจบแล้ว ก็ทรงไล่หมอหลวงซุนออกไป 


 


 


เหลือเพียงตู๋กูซิงหลันที่แอบอยู่นอกฉากบังลม 


 


 


หลังจากนั้นก็ได้ยินฮ่องเต้ตรัสด้วยสุรเสียงเย็นชาว่า “ไทเฮา เจ้าสำนึกผิดหรือยัง ครึ่งเดือนให้หลังนี้ เจ้าต้องคอยดูแลเราแช่ยา เราจะยอมให้อภัยที่เจ้าทำให้เราบาดเจ็บสาหัส” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “? “ 


 


 


” เจ้าคงจะไม่อยากให้ผู้อื่นรู้ว่า เจ้าทำกับเราเช่นไรใช่ไหม? “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “……..” นางพอจะปฎิเสธได้ไหม? 


 


 


จีเฉวียน “นี่เป็นราชโอการ ไม่อาจปฎิเสธ” 


 


 


 


 


 


…………………………………………. 


 


 


สามวันหลังจากนั้น 


 


 


ข่าวที่ว่าเสียนไท่เฟยคือศพมีชีวิตก็โด่งดังไปทั่วเมื่องหลวงอย่างรวดเร็ว 


 


 


ไม่ว่ากลางถนนใหญ่ในตรอกซอกซอยโรงเตี๊ยมร้านน้ำชาต่างก็ไม่พลาดที่จะวิพากษ์วิจารณ์นาง 


 


 


ปีศาจเช่นนี้กลับสามารถเข้าไปอยู่ในวัง ทั้งยังกลายเป็นถึงพระสนมกุ้ยเฟย ซ้ำยังคลอดราชโอรสออกมา คิดๆ ดูแล้วช่างน่าหวาดกลัวนัก ไม่รู้ว่าหากอดีตฮ่องเต้ยังทรงพระชนม์อยู่ละก็ จะส่งดำริเช่นไร 


 


 


มิน่าเล่านางถึงสามารถไต่เต้าจากนางกำนัลเล็กๆ ไปเป็นพระสนมคนโปรดของอดีตฮ่องเต้ได้ คิดๆ ดูแล้วนี่ย่อมจะต้องเกี่ยวเนื่องกับฐานะปีศาจของนางเป็นแน่ 


 


 


ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องที่ทำให้ทุกผู้ต่างพากันกังวลใจก็คือ ในเมื่อเสียนไท่เฟยเป็นศพมีชีวิต เช่นนั้นอี้อ๋องจีเย่ว์เล่า? 


 


 


เขาก็เท่ากับว่าเป็นบุตรของศพมีชีวิตนะสิ! 


 


 


…………………………………………….. 


 


 


ในตำหนักเย็นโหยวหนิงนำเรื่องที่เล่าลือกันบนถนนใหญ่และตรอกซอยนี้บอกเล่าให้จีเย่ว์ฟัง 


 


 


ถึงแม้ว่าตัวนางจะอยู่ในตำหนักเย็น แต่ว่ายังดีที่มีซิ่วเหอผู้จงรักภักดีอยู่ และค่อยหาเวลามาเยี่ยมเยียนนางอยู่เสมอ ทั้งยังเอาข่าวคราวจากภายนอกมาเล่าให้นางฟังด้วย 


 


 


ข่าวดีเช่นนี้ นางย่อมอยากจะแบ่งบันแก่จีเย่ว์เป็นคนแรกอยู่แล้ว 


 


 


” คิดไม่ถึงเลยว่า สตรีที่ท่านรักมากที่สุด จะเป็นคนที่แทงดาบใส่มารดาของท่านเอง ” นางยกมุมปาก มองดูพระพักตร์ของจีเย่ว์ที่มีแต่ความเคร่งขรึม “เสียนไท่เฟย ผู้ที่อี้อ๋องท่านใช้ชื่อเสียงของตนเองทั้งหมดปกป้องเอาไว้ “ 


 


 


จีเย่ว์ประทับอยู่บนแผ่นหินสีเขียวที่เปียกชื้นในตำหนักเย็น หิมะตกอีกแล้ว หิมะตกลงบนตัวของเขา ทำให้ร่างของเขาก็เปียกชื้นไปด้วยเช่นกัน 


 


 


 


 


 


ดวงพักตร์ที่งดงามดุจภาพวาดของเขา มีหยดน้ำที่เปียกชื้นอยู่ชั้นหนึ่ง ริมฝีปากไร้สีเลือด กลายเป็นความงามที่อมโรค 


 


 


โหยวหนิงมองดูเขา พลางเขยิบหลายก้าวเข้ามาใกล้ “ฟังว่า ต้นเดือนหน้า ฝ่าบาทจะเสด็จไปควบคุมการจุดเพลิงด้วยพระองค์เอง จะทรงเผานางให้ตายบนลานจูเสียไถในอารามเทียนเก๋อกวน “ 


 


 


ประโยคนี้พอนางพูดออกไป จีเย่ว์ถึงได้มีปฎิกิริยาขึ้นมาบ้าง เงยพระพักตร์ขึ้นมาจ้องดูนางครู่หนึ่ง 


 


 


โหยวหนิงกลับไม่เกรงกลัว นางย่อตัว นั่งลงที่ข้างกายของเขา สองตาจ้องมองเขาอย่างแน่วแน่ “ท่านอ๋อง ท่านยังดูไม่ออกอีกหรือ? ข้ามิได้เกรงกลัวว่าท่านจะเป็นทายาทของศพมีชีวิต มีแต่ข้าเท่านั้นที่จริงใจต่อท่าน “ 


 


 


จีเย่ว์จ้องนางด้วยสายพระเนตรเย็นชา “เจ้าคิดว่า อ๋องเช่นข้าจะตกต่ำจนถึงขนาดให้เจ้าต้องมาสมเพชเวทนาหรือ? “ 


 


 


” ข้ารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่า เสียนไท่เฟยมิใช่คนธรรมดา ย่อมต้องรู้ว่า ท่านอ๋องเองก็ไม่ใช่คนปกติทั่วไป แต่ไม่ว่าท่านจะเป็นอะไร โหยวหนิงก็ชอบท่าน ของเพียงท่านอ๋องยินยอมอยู่เคียงข้างข้าตลอดไป ข้ายินดีทำทุกอย่างเพื่อท่าน “ 


 


 


โหยวหนิงพูดไป สองมือก็ค่อยๆ ขยับขึ้นไปอย่างอาจหาญ “ท่านอ๋อง ข้าเคยได้ยินมาว่า ขอเพียงโดนศพมีชีวิตกัดบนลำคอคำหนึ่ง ผู้ที่โดนกัดก็จะกลายเป็นศพมีชีวิต โหยวหนิงยินดีกลายเป็นศพมีชีวิตเพื่อท่าน อยู่เคียงข้างท่านไปตลอด “ 


 


 


นางกล่าวอย่างจริงใจ ในดวงตายังมีประกายน้ำแห่งความยินดี 


 


 


นางที่ได้แต่กอดหม้อยามาจนโต หมอทั้งหลายต่างก็บอกว่านางอาจมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่ปี หากจะต้องรอความตายอยู่ในตำหนักเย็นเช่นนี้ มิสู้กลายเป็นศพมีชีวิตไปเสียดีกว่า จะได้มีชีวิตยืนยาวต่อไป 


 


 


พอเห็นว่าจีเย่ว์ไม่มีปฎิกิริยาใดๆ ทั้งไม่ได้ผลักนางออก โหยวหนิงก็รำพึงรำพันต่อไปว่า 


 


 


“ท่านอ๋องพอได้ทรงฟังเรื่องของเสียนไท่เฟยแล้ว ทั้งไม่ประหลาดพระทัย และไม่มีโทสะ นี่แสดงว่าท่านทราบฐานะของไท่เฟยมาตั้งนานแล้ว และวันข้างหน้าของท่านก็คงจะหนีไม่พ้นเช่นกัน “ 


 


 


” ยามนี้ตู๋กูซิงหลันเองก็ล่วงรู้ฐานะของท่านแล้ว ท่านคิดว่านางจะยินดีกลายเป็นศพมีชีวิตเช่นเดียวกับท่านไหม? “ 


 


 


โหยวหนิงพูดจบแล้ว ก็เอนร่างพิงจีเย่ว์ลงไปทั้งตัวหันลำคอที่ขาวผ่องของตนเองไปยังริมโอษฐ์ของเขา “ท่านอ๋องเพคะ ข้าชอบท่านด้วยใจจริง ข้ายินดีจะอยู่เคียงข้าท่านไปตลอดชั่วชีวิต “ 


 


 


จีเย่ว์ทอดเนตรมองดูลำคอระหงกระจ่างประดุจหยกของนาง ในสมองก็ปรากฎภาพตู๋กูซิงหลันที่งดงามนุ่มนวลขึ้นมา 


 


 


เขาขมวดคิ้วขึ้น ผลักโหยวหนิงลงไปบนพื้นทันที น้ำเสียงที่กล่าวออกมานั้นเย็นชาอย่างที่สุด ” เจ้าเป็นพี่สะใภ้ของอ๋องเช่นข้า โปรดรู้จักเคารพฐานะตนเองด้วย “ 


 


 


โหยวหนิงล้มลงไปบนลานกว้างอย่างแรง ฝ่ามือกระแทกจนถลอกปอกเปิก นางก็เกรี้ยวกราดขึ้นมาทันที “เช่นนั้นตู๋กูซิงหลันก็เป็นมารดาเลี้ยงของท่าน ไยจึงไม่เห็นท่านรู้จักเคารพตนเองบ้าง? “ 


 


 


จีเย่ว์พระพักตร์เคร่งขรึม “นางไม่เหมือนกัน “ 


 


 


“นางไม่เหมือนกัน! นับตั้งแต่ที่ท่านมาอยู่ในตำหนักเย็นจนถึงตอนนี้ นางไม่เคยมาเยี่ยมเยียนท่านเลยสักครั้ง! ” ท่านก็ยังทนได้อีก! ท่านอ๋อง ท่านรู้หรือไม่ว่านี่เรียกว่าอะไร? เรียกว่า สิ้นคิด! “ 


 


 


ทันทีที่โหยวหนิงกล่าวออกไป ก็ได้ยินน้ำเสียงเย็นชาของสาวน้อยผู้หนึ่งดังมาจากประตูตำหนักเย็น…….. 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)