ลำนำบุปผาพิษ 1149-1154
บทที่ 1149 ยิ่งกว่ารู้จักเสียอีกมิรู้หรือ?
ฉากเหล่านั้นเลือนหายไปแล้ว ไอหมอกที่อยู่รอบๆ ก็คล้ายจะสลายไปเล็กน้อยแล้ว กู้ซีจิ่วค่อนข้างอาลัย เธอยังอยากเห็นอีก
ไม่มีผู้ใดทราบ หลายวันมานี้เธอใช้ชีวิตอย่างหวาดผวาอยู่ตลอด ครั้งแรกที่ลืมตาตื่นขึ้นมาในสมองว่างเปล่าขาวโพลน ไม่มีความทรงจำใดๆ อยู่เลย ซ้ำเธอยังโตถึงเพียงนี้แล้ว! เธอถึงขั้นที่นึกไม่ออกว่าตัวเองเป็นใคร
โม่เจ้าบอกเธอว่าเธอเป็นร่างโคลนนิ่งร่างหนึ่ง ถูกโคลนนิ่งขึ้นมาตามความปรารถนาของเขา ดังนั้นจึงไม่มีอดีต เขาบอกว่ายินดีแต่งเธอเป็นภรรยา แต่ต้องการให้เธอเป็นเด็กดี ต้องการให้เธอเชื่อฟัง และต้องการให้เธอเรียกเขาว่าพี่โม่
ถึงแม้เธอจะทำทุกอย่างตามที่เขาบอก แต่ในใจกลับหวาดผวาอยู่ตลอด ราวกับหลงลืมอะไรบางอย่างที่แสนสำคัญไป
โม่เจ้คล้ายว่าจะดีต่อเธอ และเธอก็ต้องพึ่งพาอาศัยเขายิ่งนักเช่นกัน แต่ในจิตใต้สำนึกของเธอรู้สึกว่าคนผู้นี้น่ากลัวนัก
ในตำหนักใต้ดินแห่งนี้มีบุรุษมากมายเหลือเกิน ทว่ามีกลิ่นเหม็นที่ประหลาดยิ่งนักทุกคน มีเพียงโม่เจ้าคนเดียวที่หอม ทำให้เธอเสพติดปานกัญชา
ถึงแม้สมองเธอจะว่างเปล่าไปหมด แต่สัญชาตญาณยังคงอยู่ เธอสัมผัสได้ว่าเรื่องนี้ผิดปกติ
เธอรู้สึกอยู่เสมอว่าชีวิตของตนอยู่ในตาข่ายผืนหนึ่ง รอบด้านคือกำแพงเหล็กผนังทองแดง คิดจะขังเธอให้ตายอยู่ในนี้ ทว่าทุกคนกลับบอกเธอว่าในตาข่ายนี้คือแหล่งพักพิงที่ประเสริฐที่สุดสำหรับเธอ…
อันที่จริงแล้วสำหรับคนที่ไม่มีความทรงลึกๆ ในใจเปราะบางยิ่งนัก รู้สึกเหมือนเรือที่ร่อนเร่พเนจรอยู่ในมหาสมุทรอย่างเดียวดายหาท่าจอดเรือไม่พบ กู้ซีจิ่วก็เปราะบางเช่นกัน เพียงแต่เธอฝังกลับความเปราะบางนี้ไว้ในส่วนลึกของจิตใจ ดังนั้นเมื่ออยู่ในฝันเธอจึงสืบหาไปตามสัญชาตญาณเสมอ ทว่าไม่พบอะไรลยมาโดยตลอด
และในระหว่างที่สืบหาเธอจะปวดหัว อาการปวดหัวรุนแรงจนทำให้เธอต้องละทิ้งการสืบหา
จวบจนวันนั้นที่เธอวิ่งเข้าไปในห้องขังของตี้ฝูอี วินาทีที่เห็นเขา หัวใจของเธอที่ไม่เคยมีความรู้สึกอันใดเลยมาโดยตลอดพลันมีความร้าวรานเล็กน้อยเอ่อล้นขึ้นมา เหมือนถูกเข็มเล็กๆ แถวหนึ่งทิ่มแทงหลายที
นี่เป็นความรู้สึกที่เธอไม่เคยมีให้คนอื่นๆ ที่อยู่ในนั้นมาก่อนเลย คนผู้นี้เป็นคนแปลกหน้าสำหรับเธอชัดๆ ทว่าเธอกลับรู้สึกใกล้ชิดผูกพันตามสัญชาตญาณ
หลังจากพบหน้ากันหนนั้น เขาก็เริ่มมาโผล่ในความฝันของเธอ…
ความฝันของเธอไม่ขาวโพลนอีกแล้ว เริ่มมีสีสันขึ้นมาทีละน้อยๆ ทิวทัศน์กระจัดกระจายบางส่วนเริ่มแวบขึ้นในสมองเธอถี่ขึ้นเรื่อยๆ
เธอตกปลาได้ตัวหนึ่งแล้ว ยื่นให้เขาอย่างภาคภูมิใจ
เขารีบเหยียดเอวบิดขี้เกียจแล้วบอกว่าเขาหิว อยากให้เธอย่างปลาให้เขากิน
เธอเอ่ยอย่างลำบากใจ “ข้าไม่เคยย่างมาก่อน ข้าทำอาหารไม่เป็น”
เขามองเธอด้วยดวงตาพราวระยับ “ไม่ ซีจิ่ว เจ้าทำเป็น และเจ้าย่างได้อร่อยมาก”
เธอตะลึงงันอยู่พักหนึ่ง สรรหาเหตุผลข้อที่สองมาอีก “แต่ที่นี่ไม่มีสิ่งของจำพวกฟืนเลย…”
“ขอเพียงเจ้านึกถึงก็จะมี เจ้าลองนึกดูสิ รวบรวมสมาธิแล้วนึกดู” ตี้ฝูอีค่อยๆ โน้มน้าว
ด้วยเหตุนี้กู้ซีจิ่วจึงรวบรวมสมาธินึกถึง เมื่อเธอลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เบื้องหน้าก็มีกองฟืนปรากฏขึ้นมาจริงๆ…
ดวงตาเธอเปล่งประกาย ที่แท้ในฝันเธอสามารถทำทุกอย่างได้ตามใจนึก
เธอเริ่มจัดการปลาตัวนั้น ตอนที่เพิ่งลงมือเธอยังนึกว่าตัวเองจะเป็นมือใหม่เสียอีก แต่ผ่านไปเพียงครู่เดียวเธอก็คุ้นเคยแล้ว ราวกับนี่เป็นทักษะที่เธอเรียนรู้มานานแล้ว
เธอย่างปลาพลางสนทนากับเขาไปด้วย “ดูเหมือนเจ้าจะรู้จักข้าดีนะ”
“อืม ไม่มีใครรู้จักเจ้าดีเท่าข้าแล้ว” ตี้ฝูอีกอดอกสนทนากับเธอ
“เมื่อก่อนพวกเรา…รู้จักกันหรือ”
“ยิ่งกว่ารู้จักเสียอีกมิรู้หรือ?” ตี้ฝูอีถอนหายใจอย่างเอ้อระเหย
กู้ซีจิ่วใจเต้นแรงแวบหนึ่ง มองเขาตาโต “เช่นนั้นเจ้าเล่าเรื่องในอดีตให้ข้าฟังได้ไหม?”
ตี้ฝูอีมองดูเธอ “ตอนนี้เจ้าเชื่อใจข้าแล้วเหรอ?”
ตอนที่พบกันครั้งแรก ตี้ฝูอีพยายามเล่าอดีตของนางให้ฟังแล้ว…
————————————————
บทที่ 1150 เป็นไปไม่ได้! เจ้าหลอกลวงผู้อื่น!
ตอนที่พบกันครั้งแรก ตี้ฝูอีพยายามเล่าอดีตของนางให้ฟังแล้ว ผลคือเด็กสาวผู้นี้กลับบอกว่านางไม่มีอดีต เป็นมนุษย์โคลนนิ่ง ซ้ำยังบอกว่าเขาใจคดคิดมิซื่อ คิดจะกุเรื่องมาหลอกนาง…
ยามนี้ในที่สุดนางก็เริ่มเชื่อเขาแล้วสินะ?
กู้ซีจิ่วค่อนข้างสับสนเล็กน้อย เธอรู้สึกว่าโม่เจ้าคงไม่หลอกเธอ แต่จิตใต้สำนึกกลับรู้สึกว่าคนที่อยู่ตรงหน้านี้ไว้ใจได้ ดังนั้นเธอจึงพูดว่า “จะฟังสักหน่อยเท่านั้น เจ้าลองเล่ามาก่อนสิ”
นึกไม่ถึงว่าตี้ฝูอีกลับไม่เล่าแล้ว “ข้ารู้สึกว่าเจ้าหาคำตอบด้วยตัวเองจะดีกว่า” เรื่องราวของนางถึงจะเล่าอย่างน่าตื่นเต้นไปมากมายสักเพียงไหน นางก็ไม่มีความรู้สึกร่วมอยู่ดี มิสู้ให้นางค้นหาด้วยตัวเอง ฟื้นฟูด้วยตัวเอง…
กู้ซีจิ่วชักจะหงุดหงิดขึ้นมาแล้ว “แต่ถ้าข้าค้นหาข้าจะปวดหัว เพียงนึกแวบเดียวก็ปวดหัวแล้ว! ช่างเถอะ เจ้าไม่เล่าก็แล้วไป ถึงเจ้าเล่าก็ไม่แน่ว่าข้าจะเชื่อ ถ้าหากสิ่งที่เจ้าเล่าเป็นความจริง เช่นนั้นสิ่งพี่โม่พูดก็จะเป็นเรื่องโกหก…”
ตอนนี้คนเดียวก็ที่เธอเชื่อใจก็คือโม่เจ้า หากทุกอย่างที่เขาพูดมาเป็นเรื่องโกหก…เช่นนั้นโลกใบน้อยของเธออาจจะพังทลาย เธอจึงต่อต้านตามสัญชาตญาณ
พี่โม่…
ตี้ฝูอีกำหมัดเงียบๆ ทุกครั้งที่ได้ยินสองคำนี้จากปากนางเขาก็อยากทุบคน เขารำคาญสองคำนี้!
เขาไม่พูดไม่จา นั่งอยู่ตรงนั้น
กู้ซีจิ่วคอยอยู่ครู่หนึ่ง อันที่จริงเธอยังคาดหวังให้เขาพูดสักหน่อย ผลคือไม่พูดเลยจริงๆ
นี่ทำให้เธอโมโหอยู่บ้าง ริมฝากเล็กเม้มเข้าหากัน หลังจากย่างปลาสุกแล้วก็ไม่มอบให้เขา เป่าเองอยู่ตรงนั้น…
ตี้ฝูอียืดกายขึ้นยื่นมือไปหาเธอ “ย่างสุกแล้วหรือ? ให้ข้าได้ไหม? หิวจะตายแล้ว!”
กู้ซีจิ่วแกว่งปลาในมือ ไม่ได้ยื่นใส่มือเขา “เจ้าต้องโอ๋ให้ข้ามีความสุขก่อนแล้วจะมอบปลาตัวนี้ให้เจ้า”
“โอ้ เช่นนั้นต้องโอ๋อย่างไรเจ้าถึงจะมีความสุข?”
“เจ้าเล่าสิ่งที่เรียกว่าอดีตของข้ามาสักหน่อยดีหรือไม่?”
ตี้ฝูอีส่ายศีรษะอย่างแน่วแน่ “ไม่เล่า! เจ้าคิดเอาเองสิ!”
กู้ซีจิ่วโกรธแล้ว “ถ้าไม่เล่าปลากตัวนี้ก็ไม่ให้เจ้ากินแล้ว!”
ตี้ฝูอีมองปลาในมือเธอ จากนั้นก็มองเธอ “ข้าบอกแล้วไง ถ้าเจ้าไม่นึกให้ออกด้วยตัวเองเล่าไปก็ความทรงจำก็ไม่สลักลึก อีกอย่างเจ้าก็ไม่เชื่อข้าด้วย ข้าไม่อยากเปลืองน้ำลาย แต่ตอนนี้ข้าทั้งหิวทั้งกระหาย…”
กู้ซีจิ่วแย้งเขา “เจ้าไม่เล่าแล้วรู้ได้ยังไงว่าความทรงจำข้าจะไม่สลักลึก? ไม่แน่พอเจ้าเล่าข้าอาจจะนึกออกเลยก็ได้นะ?”
ตี้ฝูอีชะงักไปครู่หนึ่ง “หากข้าบอกว่าพี่โม่ของเจ้าคือคนที่ทำร้ายเจ้า เขาวางแผนทำให้เจ้าเสียความทรงจำเจ้าเชื่อหรือไม่?”
กู้ซีจิ่วตะลึงงัน ตอบโต้ไปตามสัญชาตญาณ “เป็นไปไม่ได้! เจ้าหลอกลวงผู้อื่น!”
ตี้ฝูอีแบมือออก “ดังนั้นข้าจึงไม่มีอะไรจะพูด”
กู้ซีจิ่วเงียบไป เพลิงโทสะเธอโหมขึ้นมาอย่างน่าประหลาด “เจ้ายุแยงตะแคงรั่ว ปลาตัวนี้ข้าไม่ให้เจ้ากินแล้ว!” พลางกัดเองคำโต
ตี้ฝูอีเงียบไปแล้ว
อันที่จริงกู้ซีจิ่วแค่ขู่เขา ไม่ได้คิดจะกินปลาตัวนี้จนหมดจริงๆ ดังนั้นหลังจากกัดไปคำหนึ่งก็มองดูเขา
เมื่อเห็นใบหน้าและริมฝีปากที่ซีดขาวของเขาในใจพลันปวดร้าวขึ้นมาเล็กน้อย กระแอมคราหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ขอเพียงเจ้าเล่าอดีตที่แท้จริงให้ข้าฟังสักนิด ข้าก็จะยกปลากตัวนี้ให้เจ้า”
ตี้ฝูอีหลุบตายิ้มแวบหนึ่ง ลุกขึ้นทันที ทอดถอนใจเบาๆ คราหนึ่ง “ช่างเถอะ! ข้าลงไปจับปลาเองก็ได้ ข้าหิวมากจริงๆ และกระหยมากด้วย…” เรือนกายวูบไหว กระโจนลงไปในทะเลสาบเล็กๆ ที่อยู่ด้านข้างทันที
กู้ซีจิ่วตั้งตัวไม่ทัน
เธอถือปลาตัวนั้นที่กัดไปแล้วสองคำไว้ค่อนข้างตกตะลึง
ความจริงแล้วเธอไม่หิวสักนิดเลย และไม่ได้อยากกินปลาตัวนี้ด้วย เพียงแค่โมโหเขาเท่านั้น กลับคาดไม่ถึงว่า…
เธอรออยู่ริมฝั่งสักพักแล้ว ก็ไม่เห็นเขาโผล่ขึ้นมา
—————————————————
บทที่ 1151 ข้าไม่ต้องการ! ข้าไม่ได้ต้องการจริงๆ
เธอร้อนใจ ทนไม่ไหวตะโกนเรียกไปทางทะเลสาบ “นี่ เจ้าขึ้นมาเถอะ ข้าไม่ต้องการให้เจ้าเล่าอะไรอีกแล้ว ปลาตัวนี้ข้ายกให้เจ้า…”
ผ่านไปครู่หนึ่ง ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ น้ำในทะเลสาบนิ่งสงบไม่มีแม้แต่ระลอกคลื่น
‘เขาคงไม่ได้จมน้ำตายไปแล้วกระมัง!’
กู้ซีจิ่วหวาดกลัวขึ้นมา ตะโกนเรียกอีกหลายครั้งติดต่อกัน ก็ยังไม่เห็นตี้ฝูอีโผล่ขึ้นมาจากน้ำ
เขาดูเหมือนค่อนข้างอ่อนแอ หลายวันมานี้ เธอเห็นสีหน้าของเขาซีดเผือดยิ่งนัก หรือว่าจะไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้ว? ถ้ารู้ก่อนว่าจะเป็นแบบนี้ เธอไม่ควรใช้วิธีการฉ้อฉลเอาปลานี้ไว้เพื่อข่มขู่เขาเลย…
เธอรู้สึกเสียใจภายหลัง ในที่สุดก็ทนไม่ไหว ตัดสินใจกระโดดลงไปในทะเลสาบ
น้ำในทะเลสาบไม่นับว่าลึกนัก เธอดิ่งลงไปสู่ก้นทะเลสาบด้วยความรวดเร็ว เมื่อปรับสายตาก็มองเห็นทัศนียภาพใต้น้ำได้อย่างชัดเจน
น้ำทะเลสาบใสมาก เธอมองเห็นปลาที่แหวกว่ายไปมาเหล่านั้นได้ชัดเจน แต่กลับมองไม่เห็นแม้แต่เงาของตี้ฝูอี
เธอเดินวนไปมาใต้ท้องทะเลสาบสามถึงสี่รอบก็ไม่พบสิ่งใด จึงกลับขึ้นฝั่งมา
เธอทั้งตื่นตระหนกและวุ่นวายใจ พยายามกวาดสายตามองไปทั่วทุกทิศทาง ทว่ามีเพียงตัวเธอภายในโลกเวิ้งว้างแห่งนี้…
ในมือยังคงถือปลาตัวที่ตนกัดไปแล้วไว้ ยืนอยู่ริมฝั่งน้ำตาเกือบไหลริน “นี่ เจ้าออกมาเถิด ปลาตัวนี้ ข้ายกให้เจ้าจริงๆ…”
ความคิดพลันแวบเข้ามาในสมอง ไม่รู้ด้วยเหตุอันใดถึงรู้สึกว่าเขาน่าจะเป็นคนรักความสะอาด และยังพูดต่ออีกหนึ่งประโยค “ข้าตกปลาอีกตัวให้เจ้าย่างก็ได้ อร่อยกว่าปลาตัวนี้ด้วย…”
ผลลัพธ์คือตี้ฝูอียังคงไม่ปรากฏตัว
หมอกรอบด้านเริ่มก่อตัวหนาขึ้น ค่อยๆ รวมตัวกันมาทางเธอ
เดิมที สถานที่แห่งนี้ยังคงมองเห็นศาลาขนาดย่อมและธารน้ำภูเขา น้ำในทะเลสาบกระเพื่อมไหว บัดนี้กลับจางหายไปดังภาพลวงตา เธอถูกหมอกหนากลืนหายไป ทุกอย่างกลายเป็นสีขาวโพลนสุดลูกหูลูกตาที่คุ้นเคยดังเดิม
เธอรู้สึกสับสนยิ่งนัก เขาคงไม่ได้ถูกฝังใต้ทะเลสาบนั้นไปแล้วกระมัง?
‘คงไม่ใช่หรอก? เขาเป็นคนมากความสามารถขนาดนั้น…’
ในห้วงแห่งความฝันหลายวันที่ผ่านมา เขาเป็นดังทูตสวรรค์ผู้พิทักษ์คอยคุ้มครองข้างกายเธอ ขจัดปัดเป่าภยันตราย ไม่ทอดทิ้งและห่างไปไหน ไม่ว่าพบเจอความยากลำบากหรืออันตรายใดๆ ก็ช่วยเธอแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ในใจกู้ซีจิ่วรู้สึกว่าความสามารถของเขาสูงส่งกว่าโม่เจ้า มีความรับผิดชอบมากกว่าโม่เจ้า…
สองวันมานี้ เขาทุ่มเทเพื่อเธอมากมายขนาดนี้ วันนี้เพียงขอกินปลาตัวหนึ่ง เธอกลับไม่ให้เขากิน อีกทั้งยังเอามันมาข่มขู่เขาอีก…
กู้ซีจิ่วเสียใจอย่างหาที่เปรียบมิได้
นอกจากเสียใจแล้วเธอยังค่อนข้างรู้สึกผิด เธอไม่ได้ไม่อยากให้เขากินจริงๆ เพียงแค่อยากให้เขาเล่าเรื่องราวให้เธอฟัง แต่ผลสุดท้ายเขากลับหายสาบสูญไปเช่นนี้…
นี่คือสถานการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในความฝันหลายวันมานี้ เธอไม่ยอมลดละ เริ่มล้มลุกคลุกคลานคลำหาในหมู่มวลเมฆหมอกทั่วทุกซอกมุม
ท่ามกลางหมอกหนาที่มืดสลัว มีเสียงเสียงหนึ่งส่งผ่านเข้ามาข้างหูเธอ “ซีจิ่ว เจ้าต้องคิดได้ด้วยตัวเอง ขอเพียงเจ้าตั้งจิตแน่วแน่ หมอกหนานี้จะพลันจางหาย เจ้าจะค้นพบตัวตนของเจ้าอีกครั้งหนึ่ง…”
เสียงนั้นลอยล่องเลือนราง เสมือนความคิดข้างหู ประหนึ่งกระแทกเข้ามาในจิตใจเธอ
เธอเบิกตากว้างในทันใด ‘เสียงของตี้ฝูอี!’
เขาไม่เป็นอะไร เขายังมาเตือนสติเธอ
นี่เขาจะจากไปแล้วหรือ?
ให้ตาย เหตุใดเขาจึงทอดทิ้งเธอไว้เช่นนี้?
“ข้าไม่ต้องการ ข้าไม่ได้ต้องการจริงๆ!” เธอร้องตะโกน
ทว่าไม่มีผู้ใดสนใจเธอ แม้แต่กระแสเสียงนั้นก็หายไปแล้ว
เธอรู้สึกหวาดกลัวและขุ่นเคืองที่ถูกทอดทิ้ง พึมพำกับตัวเองว่า “ข้าไม่ได้ต้องการจริงๆ ไม่ต้องการ!” ปากเอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยว แต่เนื่องจากคลำหาท่ามกลางหมอกหนามาเป็นเวลานานแล้ว เธอหวาดกลัว จึงเริ่มคิดอย่างอดไม่ได้…
———————————————
บทที่ 1152 ในที่สุดเจ้าก็รู้สึกได้เอง?
ทว่าเธอไม่คิดเสียยังดีกว่า เมื่อใดที่คิด อาการปวดหัวที่คุ้นเคยจะกำเริบขึ้นมาอีก กะโหลกศีรษะราวถูกสว่านเจาะทำลาย เธอเอามือกุมหัวย่อตัวลง ทนไม่ไหวร้องไห้ออกมา “ข้าไม่อยากคิด ปวดหัวยิ่งนัก…”
เธอนั่งร้องไห้อยู่ตรงนั้นสักครู่หนึ่ง ไม่มีผู้ใดไยดีเธอ แม้เธอจะสิ้นหวัง ก็ต้องยืดหยัดลุกขึ้นเดินหน้าต่อไป
คนหลอกลวง! คนขี้งก! แค่ไม่ให้เขากินปลาก็ทอดทิ้งเธอไปแล้ว!
……
‘น่าแปลก ทำไมพอข้าคิดถึงเรื่องที่ผ่านมาถึงได้ปวดหัว? ร่างโคลนนิ่งมีอาการแบบนี้ด้วยหรือ?’
‘ข้าสูญเสียความทรงจำอย่างที่ตี้ฝูอีพูดจริงหรือไม่?
‘พี่โม่หลอกข้าเข้าแล้ว…’
คำถามมากมายผุดขึ้นในใจเธอ เธอเหม่อมองหมอกหนาที่กระจายเต็มฟ้า
ความจริงหมอกหนารอบด้านเบาบางลงกว่าตอนแรกบ้างแล้ว มองเห็นสิ่งของในจุดที่ไกลสุดลูกหูลูกตาได้เลือนๆ ถึงแม้ของเหล่านั้นเลือนรางยิ่งนัก ทว่าก็เป็นความหวังเล็กๆ ของเธอ
สิ่งเหล่านั้นจะใช่ความทรงจำของเธอหรือไม่?
“ข้าจะต้องฟื้นคืนความทรงจำให้ได้” เธอตั้งมั่นกับตัวเอง! เป็นครั้งแรกที่เธอเร่งร้อนเรื่องความทรงจำขนาดนี้…
เธอมุ่งหน้าไปทิศทางนั้นอย่างรวดเร็ว
ระหว่างทาง เธอยังพบเจออุปสรรคต่างๆ มากมาย เช่นปีศาจร้ายที่จู่ๆ ก็กระโจนเข้ามา ทะเลเพลิงที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้น ภูเขาสูงชันที่มีดาบปักอยู่ทั่วทุกหนแห่ง…
เคราะห์ดีที่หลายวันนี้ตี้ฝูอีในฝันสอนวิธีการรับมือกับสิ่งเหล่านี้ให้ เธอจึงนำมาใช้ทันที จึงนับว่าเป็นเหตุการณ์ที่ร้ายแรงแต่ไม่อันตราย
ในขณะที่กำลังมุ่งหน้าไป คนผู้หนึ่งพลันปรากฏกายขึ้นต่อหน้า
เธอชะงักฝีเท้า คนผู้นั้นคือหลงฟั่น
เขาโผเข้ามาประชิดข้างกายเธอ กระซิบเรียกว่า “ซีจิ่ว…”
กลิ่นศพเหม็นเน่าลอยมาแตะจมูก ตลบคลุ้งจนเธอเกือบจะเป็นลมล้มพับ! กู้ซีจิ่วทนไม่ไหว ตวัดฝ่ามือออกไป “เหม็นจะตายแล้ว ออกไป!”
เสียง ‘เพียะ’ ดังขึ้น เธอรู้สึกว่าตบเข้าไปเต็มใบหน้าของฝ่ายตรงข้าม ในที่สุดหลงฟั่นก็หายตัวไป
กู้ซีจิ่วตกตะลึงทว่าโล่งใจ และไม่ได้หยุดยั้งฝีเท้าที่กำลังมุ่งไปด้านหน้า เธอเกือบเห็นภาพเลือนรางของทัศนียภาพตรงหน้าได้ชัดเจนแล้ว เธอไม่อยากให้ผู้ใดเข้ามาขัดขวางฝีเท้าที่มุ่งค้นหาความจริง…
เธอปวดหัวมากขึ้นเรื่อยๆ อดทนขบกัดริมฝีปากไว้แน่น
วันนี้เธอจะต้องสืบสาวราวเรื่องให้จงได้! ให้คนผู้นั้นรู้ว่า ต่อให้เขาไม่เล่าเรื่องราวความจริงให้เธอฟัง เธอก็สามารถค้นหาได้ด้วยตัวเอง เฮอะ!
…
ภายในห้องคุมขัง
ตี้ฝูอีถูกโม่เจ้าปลุกให้ตื่น วิธีการที่โม่เจ้าปลุกเขานั้นช่างง่ายดายทว่าโหดร้าย เพียงแค่เขย่าตรวนสลายวิญญาณนั่น ต่อให้เป็นคนที่ใกล้ตายก็กลับมามีชีวิตได้เพราะความเจ็บปวด
ดังนั้นตี้ฝูอีเหงื่อโซมทั่วทั้งใบหน้า ลืมตาเหลือบมองโม่เจ้าด้วยใบหน้าประหนึ่งพายุจะมาเยือน “เจ้ายังมีเรื่องอันใดอีก?”
เจ้าชั่วนี่เหตุใดจึงกลับมาเร็วเช่นนี้?! ทำให้เขาต้องทิ้งเด็กคนนั้นไว้ในห้วงแห่งความฝันเพียงลำพัง ดีที่ยังพอมีเวลาเหลือคำพูดทิ้งท้ายไว้ให้นาง…
โม่เจ้าพูดตรงไปตรงมา “เจ้าดูโรคแอบแฝงของข้าออกอย่างนั้นรึ?”
ดวงตาของตี้ฝูอีวาบไหวเล็กน้อย หัวเราะเบาๆ “ในที่สุด เจ้าก็รู้แล้วหรือ?”
โม่เจ้าแอบกัดฟัน “โรคแอบแฝงของข้าคืออะไร? หากเจ้าพูดได้ถูกต้อง ข้าจะปลดตรวนเหล่านี้ให้เจ้าครึ่งหนึ่ง”
ตี้ฝูอีหลุบตาลง ตอกกลับเขาไปสามคำ “ไม่สัตย์จริง!”
โม่เจ้าแทบอยากคว้าตรวนสลายวิญญาณขึ้นมาเขย่าอีกครา พูดอย่างเย็นชาว่า “หากเจ้ามีวิธีรักษา ข้าจะเอาตรวนสลายวิญญาณออกให้เหลือเพียงเส้นเดียว เส้นที่เหลือข้าจะปลดออกให้ทั้งหมด! เจ้าลองพูดมาก่อนว่าข้าเป็นโรคแอบแฝงอะไร?”
ตี้ฝูอีพิจารณาเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า เอ่ยอย่างราบเรียบ “เพื่อแสดงความจริงใจ เจ้าปลดตรวนให้ข้าเส้นหนึ่งก่อนแล้วกัน”
โม่เจ้าชะงักไปสามอึดใจ และตอบรับด้วยความเต็มใจ จากนั้นควานหากุญแจดอกหนึ่งออกมา ปลดตรวนเส้นที่อยู่ระหว่างแขนกับข้อศอกก่อน ทำให้ตี้ฝูอีสามารถยืดแขนข้างนั้นได้เล็กน้อย
——————————————————
บทที่ 1153 เจ้าคิดจะมาไม้ไหนอีก?
“คราวนี้ เจ้าพูดได้แล้ว!”
“การพัฒนาร่างโคลนนิ่งของเจ้าเป็นการกระทำที่ขัดกฎธรรมชาติ ดังนั้นถึงแม้ว่าเจ้าจะมีพลังวิญญาณขั้นเก้า แต่หากคิดจะก้าวหน้าสูงขึ้นไปกลับยากเย็นกว่าคนทั่วไปนัก ถึงขนาดย่ำอยู่กับที่ ร่างโคลนยังมีจุดบกพร่องที่ร้ายแรงอีกหนึ่งจุด ซึ่งก็คือใช้ฝึกฝนร่างอมตะไม่ได้ มันมีช่วงอายุขัยปกติ ทว่าก็ยังมีข้อดีอยู่ นั่นคือรักษาใบหน้านี้ไว้ได้จนแก่เฒ่า…” ตี้ฝูอีพูดอย่างฉะฉาน
สีหน้าโม่เจ้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย แรกเริ่มที่เขายังฟังตี้ฝูอีวิเคราะห์โรคแอบแฝงของตนไม่จบ เขาไม่เชื่อตี้ฝูอีแม้แต่น้อย แต่เมื่อฟังคำพูดด้านหลัง เขากลับรู้สึกกังวลและหวาดกลัว…
ร่างกายนี้ นอกจากจะเสื่อมสมรรถภาพแล้ว ยังมีข้อบกพร่องมากมายถึงเพียงนี้?! หลงฟั่นไม่เคยพูดเรื่องพวกนี้เลย!
เป็นจริงดังนี้ หรือว่าตี้ฝูอีพูดจาเหลวไหลหลอกลวงเขาอีก?
“ยังมีอีกหรือไม่?” โม่เจ้าถามต่อ
ตี้ฝูอีตอบกลับอย่างขอไปที “ยังมีอีกไหม? หากยังมีข้าก็ต้องจับชีพจรเจ้าแล้ว”
โม่เจ้าเผยรอยยิ้มหลังจากอึ้งไปหลายวินาที “เจ้าคิดจะมาไม้ไหนอีก?”
ตี้ฝูอีหันหน้ามองเขาเล็กน้อย “สภาพข้าในตอนนี้ เจ้ายังกลัวว่าข้าจะมาไม้ไหนอีกรึ? เจ้ากลัวข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
โม่เจ้ายิ้มเย้ยหยัน “ข้าไม่มีทางกลัวเจ้า เอาเถิด ข้าจะลองให้เจ้าจับชีพจรดู”
เขาก็แอบหัวเราะที่ตัวเองหวาดระแวงมากเกินไป ตี้ฝูอีในตอนนี้ถูกพันไว้อย่างกับบ๊ะจ่าง พลังวิญญาณภายในร่างกายก็ถูกตรวนสลายวิญญาณทำลายไปประมาณหนึ่งแล้ว ต่อให้อยากเล่นตุกติก ถึงใจปรารถนาก็ไม่มีเรี่ยวแรงมากพอ
ดังนั้น เขาจึงยื่นข้อมือไปข้างๆ มือของตี้ฝูอี
นิ้วมือของตี้ฝูอียังสามารถเคลื่อนไหวได้เล็กน้อย จึงจับชีพจรให้โม่เจ้า
ห้องนี้ร้อนอบอ้าวเป็นที่สุด ตี้ฝูอีเหงื่อออกไม่น้อย แต่นิ้วมื้อของเขากลับเย็นเยือกดั่งผลึกน้ำแข็ง ตอนเขาคลำหาชีพจร โม่เจ้าสะดุ้งเล็กน้อย ยังคิดว่าอีกฝ่ายจะเล่นตุกติกอะไร ในขณะที่กำลังจะเบี่ยงตัวออก กลับพบว่าฝ่ายตรงข้ามกำลังจับชีพจรให้ตนจริงๆ เขาจึงอดทนต่อไปอีก
ส่วนมืออีกข้างก็แอบทำมุทราบางอย่าง เผื่อว่าตี้ฝูอีมีความเคลื่อนไหวผิดปกติใด เขาจะได้ลงมือทำให้สลบได้ทันท่วงที!
ทว่าตี้ฝูอีจับชีพจรให้เขา ผ่านไปครู่หนึ่งก็ผละมือออก ยิ้มอ่อนมองมาที่โม่เจ้า “โรคแอบแฝงของเจ้า…เหมือนเป็นการกระทำของมนุษย์”
โม่เจ้านิ่งอึ้ง
คำพูดนี้ของตี้ฝูอีคล้ายโจมตีจิตใจเขาอย่างรุนแรง เขาสูดลมหายใจเข้าเบาๆ “อย่างไร?”
ตี้ฝูอีกลับไม่พูดแล้ว หลับตาลง แล้วพูดส่งแขก “ข้าเหนื่อยล้าอ่อนแรงแล้ว เจ้าออกไปได้”
นี่มันยั่วน้ำลายกันชัดๆ!
โม่เจ้าเดือดดาลยิ่งนัก จ้องมองเขาครู่หนึ่ง “ตกลงเจ้ารู้หรือไม่ว่าโรคแอบแฝงของข้าคืออะไรกันแน่?!”
“ข้าหิว! ข้ากระหาย!” ตี้ฝูอีทอดถอนใจเบาๆ
โม่เจ้ากล่าวอันใดไม่ออก
ผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็มีข้ารับใช้ยกโจ๊กเม็ดบัวมาให้ ช่วยดับร้อน แก้อาการร้อนใน บรรเทาความหิวกระหาย
โม่เจ้าไม่อยากป้อนเขา แต่ตี้ฝูอีก็ช่างจุกจิกเสียเหลือเกิน เขาไม่ยอมให้ข้ารับใช้ป้อน ดังนั้นโม่เจ้าจึงปลดตรวนให้อีกเส้นหนึ่ง ทำให้แขนครึ่งท่อนของเขาเป็นอิสระ อย่างน้อยที่สุดก็สามารถยกชามขึ้นกินเองได้แล้ว
โม่เจ้ารอตี้ฝูอีกินโจ๊กจนหมดถ้วยด้วยความยากเย็น และรอให้ตี้ฝูอีไขข้อข้องใจของเขา
ท้ายที่สุด ตี้ฝูอีกลับไม่ได้ตอบคำถามคาใจ หากแต่บอกให้เขาคลำหาตำแหน่งหนึ่งบนหน้าอก และลองกดดูว่าเจ็บหรือไม่
เมื่อโม่เจ้ากดบริเวณนั้น ผลคือตำแหน่งนั้นเจ็บดังเข็มทิ่มแทง!
แน่นอน ความเจ็บปวดนั้นมาเพียงแค่ชั่ววูบ เมื่อนิ้วมือเขาผละออก ความเจ็บปวดนั้นก็จางหายไป
เขาตกใจสงสัย ชะงักงันไปชั่วครู่ และยังกดที่ตำแหน่งนั้นอีกครั้ง กลับไม่มีอาการผิดปกติอันใด
——————————————————-
บทที่ 1154 เอาใจออกห่าง
ตี้ฝูอีบอกอาการในตอนนี้ของเขาได้อย่างแม่นยำ ในที่สุดก็เอ่ยขึ้น “ร่างโคลนนิ่งเหมือนการฝึกฝนวิชามารสวรรค์สลายร่างสละกาย สามารถยกระดับพลังวิญญาณไปสู่ระดับใหม่ได้ในระยะเวลาอันสั้น แต่ก็จะทำลายกฎความคงอยู่ของพลังวิญญาณ การเผาผลาญย่อมใช้พลังงานหมดรวดเร็ว ร่างกายของเจ้านี้ดูเหมือนอายุยี่สิบปี แต่ความจริงใช้ศักยภาพของทั้งยี่สิบปีจนหมดแล้ว ไม่มีศักยภาพซ่อนเร้นอื่นใดที่งัดออกมาใช้ได้อีก ไม่ถึงสิบปี ร่างกายนี้จะเสื่อมสภาพ…หากเจ้าไม่เชื่อ ลองสูดหายใจเข้าอีกสักสองที แล้วลองกดตำแหน่งห่างจากใต้วงแขนหนึ่งชุ่น…”
สีหน้าโม่เจ้าพลันเปลี่ยนแปลง สิ่งที่ตี้ฝูอีพูดชัดเจนและมีเหตุผล เขายังคงสองจิตสองใจ แต่เมื่อกดตรงตำแหน่งที่ตี้ฝูอีบอกเหล่านั้นก็มีความรู้สึกประหลาดบางอย่าง เดี๋ยวเจ็บ เดี๋ยวชา เดี๋ยวบวม…ถูกต้องตามอาการที่ตี้ฝูอีบอกทุกประการ
หากมีอาการบางจุดถูกต้องอาจพูดได้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่หากอาการทุกอย่างถูกต้องทั้งหมดเล่า?
นิ้วมือของโม่เจ้าสั่นไหวเล็กน้อย เขามองตี้ฝูอี “เจ้ายังไม่ได้พูดโรคแอบแฝงที่แท้จริงของข้าเลย!”
ตี้ฝูอีถอนหายใจ “เมื่อเทียบกับโรคแอบแฝงที่ร้ายแรงที่สุดนี้ โรคแอบแฝงอื่นของเจ้ายังจะเรียกว่าเป็นโรคแอบแฝงได้อย่างนั้นรึ?”
โม่เจ้านิ่งอึ้ง
ขณะที่เขากำลังจะไถ่ถามเพิ่ม เงาร่างหน้าประตูพลันวาบไหว หลงฟั่นเดินเยื้องย่างเข้ามา “ท่านเจ้า เขาพูดจาเหลวไหลวทั้งนั้น!” เห็นได้ชัดว่าหลงฟั่นได้ยินบทสนทนาระหว่างตี้ฝูอีกับโม่เจ้าผ่านจอสังเกตการณ์อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง
โม่เจ้าขมวดคิ้วมองไปทางหลงฟั่น
หลงฟั่นเอ่ยขึ้นอีก “หากมีความรู้สึกตรงตำแหน่งที่เขาบอกให้กด นั่นก็เป็นเรื่องปกติ ความจริงแล้วเป็นการคำนวณตามวิธีการไหลเวียนของโลหิตและชีพจร บางตำแหน่งของร่างกายเมื่อการไหลเวียนของเลือดเพิ่มขึ้นหรือขยายมากขึ้น หากมีแรงกดจากภายนอกก็จะมีความรู้สึกเช่นนี้ ไม่น่าแปลกใจแม้แต่น้อย! ท่านเจ้า ร่างกายนี้สมบูรณ์แบบเป็นที่สุด ท่านเจ้าใช้ฝึกฝนได้ตามต้องการ ภายในระยะเวลาห้าปีก็จะบรรลุขั้นสิบขึ้นไปได้…คนผู้นี้พูดจาเช่นนี้เพื่อต้องการยุให้รำตำให้รั่วเป็นแน่แท้!”
โม่เจ้านิ่งไป
เขาย่อมไม่เชื่อตี้ฝูอี แต่สิ่งที่หลงฟั่นพูดมาทั้งหมดเขากลับเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เขาเหลือบมองตี้ฝูอีแวบหนึ่ง
ตี้ฝูอียิ้มออกมา “ข้ายุให้รำตำให้รั่ว? หลงฟั่น เจ้ารู้สภาพร่างกายของเขาชัดเจนที่สุด เจ้ากล้าพูดกับเขาหรือไม่ว่าเจ้าไม่มีอะไรปิดบัง?!”
สีหน้าหลงฟั่นแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ยิ้มเยาะกลับไปทันใด “ไม่มี…ไม่มีอะไรปิดบังอย่างแน่นอน”
“เช่นนั้นรึ?” ตี้ฝูอียิ้มน้อยๆ ไม่อธิบายอันใดกับเขาอีก “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ถือเสียว่าข้าโป้ปดเจ้า โม่เจ้า สิ่งที่ข้าพูดไปทั้งหมดเจ้าไม่จำเป็นต้องเชื่อแม้แต่น้อย”
โม่เจ้าขมวดคิ้ว
คิ้วของหลงฟั่นกลับขมวดปมแน่นยิ่งกว่า เขาหันกายไปหาโม่เจ้า ถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “ท่านเจ้า ความจงรักภักดีที่ข้ามีต่อท่านเจ้า สุริยันจันทราเป็นสักขีพยาน! ท่านเจ้าเชื่อเขาหรือว่าเชื่อข้าน้อย?”
อย่างไรเสียหลงฟั่นก็เป็นถึงนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่อง ความชัดเจนและมีเหตุมีผลในงานวิจัยวิทยาศาสตร์ของเขาอยู่ในระดับแนวหน้าของโลก แต่เขาไม่อาจหยั่งรู้ใจคน การจัดการเรื่องบางเรื่องยังไม่แยบยลพอ เขาถามเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าตกต่ำไปอีกระดับแล้ว
โม่เจ้าตบไหล่เขาเบาๆ “ข้าต้องเชื่อเจ้าอยู่แล้ว เหตุใดจะไปเชื่อใจศัตรูได้?”
หลงฟั่นโล่งอกไปที “ท่านเจ้า พูดถึงศาสตร์การแพทย์ ข้าน้อยไม่เป็นสองรองใคร! หากข้าน้อยไม่อาจรักษาโรคได้ ผู้อื่นยิ่งไม่ต้องคิดเลย ข้าน้อยวิจัยโอสถชนิดใหม่ออกมา ท่านเจ้าต้องการไปลองดูหรือไม่?”
ทดลองโอสถใหม่อีกแล้วรึ?
สองวันมานี้ เขาทดลองโอสถไปไม่ต่ำกว่าสิบชนิด กลับไม่มีตัวไหนใช้การได้เลย ส่วนนั้นของเขาอ่อนนุ่มตลอดเวลา บางครายาชนิดหนึ่งออกฤทธิ์ได้บ้างเล็กน้อย แต่คึกคักอยู่ได้เพียงครึ่งนาที ต่อมาก็จะอ่อนปวกเปียก…
——————————————
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น