พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1145-1150

 บทที่ 1145 คนรักลับๆ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ธาราเมฆรินไหล บ้านเซียนในดินแดนมหัศจรรย์ จวนถ้ำที่หวังเยี่ยนถงมาเปลี่ยนเวรเฝ้า บรรยายออกมาได้เพียงเท่านี้


ในร่มของต้นสนโบราณนอกจวนถ้ำ ใช้หินที่สลักเป็นกระดานมหมากล้อมมาทำเป็นโต๊ะ เห็ดท้องถิ่นชนิดต่างๆ ถูกนำมาปรุงอย่างพิถีพิถันและวางไว้บนโต๊ะ ไก่ฟ้าตุ๋นหลิงชาน ตะขาบตัวใหญ่เท่าแขนเด็กที่นำไปย่างแล้วเลาะเปลือกเอาเนื้อขาวนุ่มมาผัดใส่น้ำแกง กลิ่นหอมอบอวล รสชาติยอดเยี่ยมจนบรรยายไม่ออก แล้วก็มีสุราหลิงชานด้วย


ทั้งสี่นั่งล้อมโต๊ะกัน ชูจอกสุราพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ลมพัดอ่อนๆ เห็นปุยเมฆรอบๆ พรั่งพรูราวกับคลื่น สัตว์ปีกบินร่อนวนเวียนไปมา ห่างออกไปไม่กี่จั้งมีรุ้งสายหนึ่งที่อยู่ใกล้จนสามารถมองเห็นได้ ภาพฉากนี้ควรค่าแก่การมัวเมาจริงๆ


ในระหว่างที่รับประทานอาหาร หวังเยี่ยนถงถามถึงที่มาที่ไปของเหมียวอี้และหวงฝู่จวินโหรวอย่างเลี่ยงไม่ได้ เหมียวอี้พูดไปส่งเดชว่าเป็นนักพรตอิสระจากดาววิงวอนชีพ แล้วหวังเยี่ยนถงก็ถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองอีก


ทางฝั่งเหมียวยังไม่ทันพูดอะไร หวงฝู่จวินโหรวก็พูดออกมาตรงๆ แล้วว่า “สามีภรรยา!”


“อุบ…แค่กๆ!” เหมียวอี้แทบจะพ่นสุราในปากออกมา แบบนี้กะทันหันเกินไปแล้ว นึกไม่ถึงว่าหวงฝู่จวินโหรวจะพูดแบบนี้ได้ แทบจะทำให้เขาสำลักตาย


จงหลีค่วยเหล่ตามองทั้งสอง ในปากกำลังอมสุราจึงไม่ได้พูดอะไรออกมา


หวงฝู่จวินโหรวเหล่ตามองเหมียวอี้ “ทำไมล่ะ? หรือว่าข้าพูดอะไรผิดไป?”


เหมียวอี้รีบโบกมือให้หวังเยี่ยนถง “ท่านอย่าไปฟังนางพูดเหลวไหล ข้าเอื้อมปีนป่ายไม่ถึงหรอก”


หวังเยี่ยนถงงุนงง นึกในใจว่าสองคนนี้พูดจริงหรือล้อเล่นกันแน่ ผู้หญิงที่สวยขนาดนี้พูดแบบนี้แล้ว ทว่าเจ้าหนุ่มนี้กลับปฏิเสธ เขาถึงได้มองจงหลีค่วยด้วยแววสงสัย กำลังถามหาคำตอบ


“พี่หวังอย่าถามข้าเลย ข้าเองก็ไม่รู้ชัดเหมือนกัน ถึงอย่างไรความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ไม่ค่อยชัดเจนอยู่แล้ว โบราณกล่าวว่าไว้ว่า เรื่องในครอบครัวสลับซับซ้อน แม้แต่ขุนนางที่สุจริตก็ยังโต้แย้งผิดถูกได้ยาก เรื่องแบบนี้ท่านกับข้าอย่าเข้าไปยุ่งเลย” จงหลีค่วยกล่าว


“พูดถูกแล้ว!” หวังเยี่ยนถงกล่าวกลั้วหัวเราะ แล้วยกจอกสุรา “หมดจอก!”


เหมียวอี้ที่ชูจอกสุราแอบถลึงตาจ้องหวงฝู่จวินโหรวอย่างดุร้าย พบว่าผู้หญิงคนนี้บ้าระห่ำเกินไปจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะพูดแบบนี้ต่อหน้าฝูงชน ส่วนหวงฝู่จวินโหรวก็โค้งมุมปากทำสีหน้าหยอกล้อ แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น


หลังจากดื่มสุราเสร็จ ก็เก็บจานชามออกไป เผยกระดานหมากล้อมบนโต๊ะออกมา หวังเยี่ยนถงเป็นฝ่ายเชิญ “ไม่ทราบว่าฝีมือการเล่นหมากล้อมของพี่เหมียวเป็นอย่างไร?” ความหมายที่อยู่ในคำพูดก็คือต้องการจะประลองหมากล้อมกับเหมียวอี้สักหน่อย


หวงฝู่จวินโหรวค่อนข้างเฝ้าคอย ไม่เคยเห็นเหมียวอี้เล่นหมากล้อมมาก่อน


พอพูดถึงหมากล้อม นี่ก็คือแผลเป็นที่อยู่ในหัวใจเหมียวอี้จริงๆ คนอื่นเขาดื่มสุราแล้วทำให้เรื่องราวยุ่งเหยิง แต่เขาเล่นหมากล้อมแล้วทำให้เรื่องราวยุ่งเหยิง ตั้งแต่อวิ๋นจือชิวถือกระบี่เล่นหมากล้อมปลุกให้เขาได้สติ เขาก็ไม่เคยแตะต้องสิ่งนี้อีกเลย จึงโบกมือปฏิเสธทันที “ข้าเล่นหมากล้อมไม่เป็นหรอก แต่ข้าเคยเห็นหวงโหรวเล่น พี่หวังประลองกับหวงโหรวดูสักหน่อยก็ได้” เขาอยากจะอาศัยโอกาสนี้ดักหวงฝู่จวินโหรวไว้ที่นี่ แล้วตัวเองจะได้ออกไปเดินดูให้ทั่วทุกที่


หวังเยี่ยนถงย่อมตาเป็นประกายอยู่แล้ว การเล่นหมากล้อมกับผู้หญิงที่สวยขนาดนี้เป็นเรื่องที่ทำให้จิตใจเบิกบาน แต่ใครจะคิดว่าหวงฝู่จวินโหรวจะโบกมือบอกว่า “เขาเป็นคนปากไม่ตรงกับใจมาตลอด ข้าเล่นหมากล้อมไม่เป็นเลย เขาพูดเหลวไหลจะตาย”


ทั้งสองปฏิเสธ แต่ในเมื่อเจ้าบ้านเชิญชวนแล้ว จงหลีค่วยก็ทำได้เพียงเล่นเอง


“พวกท่านค่อยๆ เล่นกันไปนะ ข้าเพิ่งนี่เป็นครั้งแรก อยากจะชื่นชมทิวทัศน์ของที่นี่สักหน่อย” เหมียวอี้ยืนขึ้นเตรียมจะทำธุระของตัวเอง


“ดูเฉยๆ นะ อย่าไปแตะต้องต้นหลิงชานที่ปลูกไว้ซี้ซั้วล่ะ” จงหลีค่วยเหล่ตากล่าว


เหมียวอี้กลอกตามองเขา “สภาพข้าเหมือนคนเป็นโจรเหรอ?”


หวังเยี่ยนถงกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “สหายของปราสาทดำเนินนภาไม่ทำอะไรชั่วช้าอย่างนั้นแน่นอน พี่เหมียวเชิญตามสะดวก” จากนั้นก็โยนป้ายคำสั่งแผ่นหนึ่งให้เหมียวอี้อีก “ศิษย์ของสำนักนี้อาจจะไม่รู้สักพี่เหมียว ถ้าบังเอิญพบแล้วเกิดความลำบากขึ้น ก็เผยป้ายคำสั่งของข้าได้”


แบบนี้ดีเลย! เหมียวอี้กุมหมัดขอบคุณทันที แต่ใครจะคิดว่าหวงฝู่จวินโหรวจะยืนขึ้นเช่นกัน “ข้าก็จะออกไปดูกับเจ้าด้วย”


เหมียวอี้อยากจะแยกกับนางใจจะขาด จะอยากพานางไปด้วยได้อย่างไร กล่าวพร้อมสีหน้าบึ้งตึงทันที “ข้าจะเดินดูของข้า เจ้าก็เดินดูของเจ้า หนทางกว้างใหญ่ ต่างคนต่างเดิน” พอนึกถึงคำพูดเมื่อครู่นี้ของนาง เขาก็โมโหมาก


หวงฝู่จวินโหรวเลิกคิ้วเบาๆ “ดาวดำเนินเซียนไม่ใช่บ้านของเจ้าเสียหน่อย ข้าอยากจะไปไหนก็เรื่องของข้า เจ้าควบคุมได้เหรอ?”


หวังเยี่ยนถงพูดไม่ออก นับว่ามองออกแล้ว ทั้งสองคนค่อนข้างไม่ลงรอยกัน จึงหันกลับมามองจงหลีค่วย เจ้าตัวส่ายหน้าไม่พูดอะไรเหมือนกัน แสดงท่าทีว่าไม่อยากล่วงเกินทั้งสองฝ่าย


“สรุปว่าอย่าตามข้ามาก็พอ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!” เหมียวอี้ชี้จมูกนางพร้อมกล่าวเตือน แล้วหันตัวกระโจนไปในทะเลเมฆใต้หน้าผา


“เชอะ!” หวงฝู่จวินโหรวพ่นเสียงดูถูก แล้วกระโดดตามลงไปโดยตรง นางไม่ได้ถูกตบตบเรื่องจุดประสงค์ที่มาที่นี่เหมือนกับจงหลีค่วย ดังนั้นจึงไม่เชื่อเลยว่าเหมียวอี้มาไกลขนาดนี้เพื่อชื่นชมทิวทัศน์ เตรียมจะจับตาดูเหมียวอี้ว่าเขาคิดจะทำอะไรกันแน่


“ทำไมข้ารู้สึกเหมือนสองคนนั้นเป็นศัตรูกันล่ะ?” หวังเยี่ยนถงกล่าวอย่างรู้สึกขำ


“ไม่ใช่เรื่องของท่านกับข้า เล่นหมากล้อม! ลงหมาก!” จงหลีค่วยถอนหายใจ คิดไม่ตกนิดหน่อยว่าทำไมเหมียวอี้ถึงไปกับหวงฝู่จวินโหรวได้ ถ้าเขาจำไม่ผิด ผู้หญิงคนนี้ร่วมมือกับปีศาจโลหิตเล่นงานเหมียวอี้จนเกือบตาย


เมฆหมอกกันแยกแสงแดดส่วนใหญ่เอาไว้ แสงอึมครึมอยู่ภายใต้เมฆหมอก บางทีอาจจะเป็นเพราะไม่ค่อยได้เจอแสงแดด พืชพรรณที่อยู่ใต้เมฆหมอกจึงเติบโตอย่างประหลาดเล็กน้อย บนใบไม้เต็มไปด้วยหยดน้ำ พื้นดินเปียกชุ่ม


พืชจำพวกตะไคร่น้ำมีเยอะเป็นพิเศษ เห็ดสีสันต่างๆ ก็ยิ่งมีให้เห็นทุกที่ สถานที่แบบนี้คือสวรรค์ของพืชพรรณประเภทนี้


ตามที่จงหลีค่วยบอก ดาวดำเนินเซียนไม่มีฝนตก แต่ปริมาณน้ำอุดมสมบูรณ์มาก ทุกที่ระหว่างภูเขามีน้ำไหลมารวมกันเป็นล้ำธารน้อยใหญ่ รินไหลใสเย็นอยู่ตามซอกภูเขา เหล่าปลาแหวกว่ายเล่นกันในนั้นอย่างสนุกสนาน


เมื่อเดินอยู่ระหว่างภูเขาของที่นี่ ใบหน้ารู้สึกได้ถึงความเย็นสบายของละอองฝน อากาศชื้นเกินไปจริงๆ ผ่านไปครู่เดียวเสื้อผ้าก็เปียกแล้ว จำเป็นต้องร่ายอิทธิฤทธิ์ทำให้แห้ง


แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่น่ารำคาญที่สุด สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้รำคาญใจที่สุดก็คือ เขาวรยุทธ์ไม่สูงเท่าหวงฝู่จวินโหรว พอโดนผู้หญิงคนนี้ตามติด ตัวเองก็ปลีกตัวหนีได้ยาก อีกฝ่ายตามก้นเจ้าอยู่ ถ้ารู้ว่าผู้หญิงคนนี้จะพูดคำว่า “สามีภรรยา” ออกมาต่อหน้าฝูงชนได้ ต่อให้ตีให้ตายเขาก็ไม่มีทางปล่อยให้นางตามมาที่ดาวดำเนินเซียน


พอหยุดอยู่ริมลำธารระหว่างภูเขา เหมียวอี้ก็ร่ายอิทธิฤทธิ์กวาดมองไปรอบๆ หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีคน ถึงได้หันตัวมาบอกว่า “อย่าคิดว่าการที่ข้ายอมถอยให้แปลว่าข้าถูกรังแกได้ง่ายๆ นะ ถ้าเจ้าอยากจะเปิดเผยเรื่องนี้ งั้นก็เปิดเผยไปได้เลย ตั้งแต่นี้ไปพวกเราไม่เกี่ยวข้องกันเหมือนน้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง!”


“ข้าไม่ได้อยากจะเปิดเผยนะ!” หวงฝู่จวินโหรวกล่าวอย่างแปลกใจ


“…” เหมียวอี้รู้สึกเหมือนใกล้จะประสาทเสีย ถามอย่างดุดันว่า “แล้วเจ้าพูดต่อหน้าคนอื่นทำไมว่าพวกเราเป็นสามีภรรยากัน?”


“ถึงอย่างไรเจ้ากับข้าก็ใช้ชื่อปลอม จะกลัวอะไร” หวงฝู่จวินโหรวกล่าวขึ้นมาคล้องแขนเขาโดยตรง


เหมียวอี้กลับใจดำอำมหิตกับนาง กลัวว่าจะหลบไม่ทัน ขณะที่หันซ้ายหันขวากลัวคนจะมาเห็น ก็รีบดึงแขนเสื้อทั้งผลักทั้งกัน


เมื่อเห็นเขาเป็นแบบนี้ หวงฝู่จวินโหรวก็โมโหแล้ว ดึงแขนเขามากอดไว้แน่นตรงหน้าอกตัวเอง พร้อมถามว่า “เจ้าทำแบบนี้หมายความว่ายังไง?”


เสียงดังมากพอ ทำให้เหมียวอี้ตกใจแทบแย่ แต่ไม่ใช่เพราะกลัวนาง เขาแค่กลัวว่าคนอื่นจะมาได้ยิน รีบตะคอกถามเสียงต่ำว่า “เจ้าเบาๆ หน่อยไม่ได้รึไง?”


“หนิว…เหมียวอี้ ข้าว่าพวกเราต้องมาคุยกันดีๆ สักหน่อย ไม่อย่างนั้นถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปก็ไม่ใช่วิธีที่ดี พวกเราต้องทำความสัมพันธ์ระหว่างเราให้ชัดเจน ข้าตามเจ้ามาครั้งนี้ก็เพื่อจะคุยเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นตอนอยู่ที่ตลาดสวรรค์เจ้าก็หลบข้าตลอด!” หวงฝู่จ้องเขาพร้อมกล่าวเสียงดังฟังชัด


การที่นางพูดแบบนี้กลับเป็นสิ่งที่เหมียวอี้หวัง อยากจะทำความสัมพันธ์ของทั้งสองให้ชัดเจนจริงๆ จึงพยักหน้าบอกว่า “ข้าก็มีเจตนาแบบนี้เหมือนกัน วันนี้พวกเรามาพูดเรื่องนี้ให้ชัดเจน”


“ดี!” หวงฝู่ปล่อยแขนเขาแล้ว มายืนอยู่ตรงข้ามเขาแล้วบอกว่า “ข้าถามเจ้าหน่อย ก่อนที่เจ้ากับข้าจะเกิดความสัมพันธ์กันแบบนั้น ข้าก็ไม่ได้มาเกาะแกะพัวพันอยู่กับเจ้าใช่มั้ยล่ะ? ตอนแรกเป็นใครกันที่ฝืนพาข้าขึ้นเตียงทั้งๆ ที่ข้าขัดขืน?”


“…” เหมียวอี้พูดไม่ออกทันที อ้าปากค้างไปครู่หนึ่งก่อนจะบอกว่า “พูดเรื่องในอดีตอีกก็ไม่มีความหมายอะไร พวกเราพูดถึงตอนนี้ก็พอ ถ้าอยากจะจัดการให้ชัดเจนก็จัดการเฉพาะเรื่องตอนนี้!”


“ถ้าไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ แล้วจะจัดการให้ชัดเจนได้ยังไง? ถ้าไม่มีมูลจะจัดการให้ชัดเจนได้เหรอ?” หวงฝู่จวินโหรวพูดกดดันต่อไป “ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง ตอนแรกที่เจ้าบังคับขืนใจข้า ข้ามีร่างกายที่บริสุทธิ์รึเปล่า? ข้าได้มอบความบริสุทธิ์ของข้าให้เจ้าหรือเปล่า? เรื่องนี้มีจุดไหนที่เจ้าเสียเปรียบมั้ย? ด้วยประเพณีนิยมของสังคมแบบนี้ การที่ผู้หญิงร่างกายไม่บริสุทธิ์หมายความว่าอะไร ก็ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้นี่?”


นางจับเรื่องนี้มาพูด เหมียวอี้ก็เสียเปรียบเรื่องเหตุผลแล้วจริงๆ ไม่สะดวกจะพูดอะไร


หวงฝู่จวินโหรวพูดต่อว่า “เจ้าบังคับล่วงเกินข้า ทำลายความบริสุทธิ์ของข้า ข้าไม่เรียกร้องอย่างอื่นหรอก ขอแค่ให้เจ้ารับผิดชอบ ข้าทำอะไรผิดงั้นเหรอ?”


เหมียวอี้กล่าวอย่างอึดอัดใจ “ข้าก็ไม่ได้บอกนี่ว่าข้าจะไม่รับผิดชอบ ตอนแรกข้าก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะแต่งงานกับเจ้า? แต่เจ้าไม่ยอมเอง บอกว่าผู้หญิงตระกูลหวงฝู่ไม่แต่งงานออก แต่ข้าต้องแต่งเข้าบ้านเจ้า ผู้ชายชาตรีอย่างข้าใช่ว่าจะเลี้ยงตัวเองไม่ได้ จะให้แต่งงานเข้าบ้านผู้หญิงได้ยังไง ตอนนี้เจ้ากลับมาบอกว่าข้าไม่รับผิดชอบเสียอย่างนั้น”


หวงฝู่พยักหน้า “ดี! ในเมื่อเจ้าอยากรับผิดชอบก็ดี! เอาอย่างนี้แล้วกัน เราต่างคนต่างถอยคนละก้าว!”


“ต่างคนต่างถอยคนละก้าวยังไง?” เหมียวอี้สงสัย


หวงฝู่บอกว่า “เจ้าไม่ต้องแต่งงานกับข้า แล้วก็ไม่ต้องแต่งงานเข้าบ้านข้าด้วย ภายนอกเจ้ารับผิดชอบไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ลับหลังก็ต้องรับผิดชอบ จะเอาแต่หลบไม่สนใจข้าอย่างนี้ไม่ได้ ภายนอกเจ้ากับข้ารักษาระยะห่างกัน ข้ารับรองว่าต่อไปจะไม่เกาะแกะสร้างความยุ่งยากให้เจ้าอีก แต่เจ้ากับข้ายังต้องรักษาความสัมพันธ์นี้เอาไว้อย่างลับๆ ก็เหมือนกับวันนี้ ในสถานการณ์ที่ไม่ได้อยู่ต่อหน้าคนนอก เจ้าเหมียวอี้กับข้าหวงโหรวเป็นสามีภรรยากัน ภายนอกข้าไม่ได้รับการปฏิบัติแบบนี้ แต่ลับหลังข้าต้องได้รับการปฏิบัติแบบนี้ ไม่อย่างนั้นข้าต้องเก็บกดตายแน่ หลายปีมานี้เจ้าทำให้ข้าไม่มีกะจิตกะใจจะฝึกตนแล้ว”


“พูดมาตั้งนาน สรุปว่าเจ้าอยากจะเป็นหญิงชู้ของข้างั้นเหรอ?” เหมียวอี้หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก


“ไม่ใช่หญิงชู้ เป็นคนรัก! เจ้ายังไม่แต่งงาน ข้ายังไม่แต่งงาน จะนับเป็นหญิงชู้ได้ยังไง” หวงฝู่พูดแก้ไข


ข้ายังไม่แต่งงานเหรอ? เหมียวอี้รู้สึกกินปูนร้อนท้องทันที ลูบคางครุ่นคิดพร้อมบอกว่า “ข้าจะพิจารณาดูอีกที”


หวงฝู่พูดเหมือนอยากขำ “ขนาดข้ายังตอบตกลงที่จะเป็นคนรักลับๆ ของเจ้าแล้ว เจ้ายังมีอะไรต้องพิจารณาอีก? ข้าไม่ได้ขอให้เจ้าเลี้ยงดูเสียหน่อย เจ้าก็รู้ภูมิหลังของข้า ไม่แน่ว่าข้าอาจจะช่วยเหลืออะไรเจ้าได้ หน้าตาข้าไม่ได้แน่นี่นา? ในใต้หล้ามีผู้ชายที่อยากได้ข้านับไม่ถ้วน เรื่องดีๆ แบบนี้เจ้าจะไปหาจากไหนได้? ข้าเสียเปรียบถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าเจ้ายังเห็นข้าเป็นขี้หมาเหม็นอีก หนิว…เหมียวอี้ ถ้าเจ้าจะกดดันข้าแบบนี้ให้ได้ ข้าก็หมดหนทางแล้ว อย่างมากก็พังพินาศลงพร้อมกัน ไม่ว่าใครก็อย่าได้คิดว่าจะได้อยู่ดีเลย!”


แบบนี้ก็เหมือนจะเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ดีเหมือนกัน! เหมียวอี้หวั่นไหว แต่กลับกล่าวอย่างลังเลว่า “วันนี้เจ้าปากไม่มีหูรูด เกรงว่าจงหลีค่วยจะมอกออกว่าความสัมพันธ์ของพวกเราไม่ปกติ”


“จะกลัวอะไร! คนของปราสาทดำเนินนภาไม่เผยแพร่เรื่องนี้ไปทั่วหรอก โดยเฉพาะถ้าเกี่ยวข้องกับตำหนักสวรรค์และสมาคมวีรชน พวกเขาไม่มีทางเข้าไปเกี่ยวข้อง เจ้าวางใจได้เลย” หวงฝู่กล่าว


เหมียวอี้กล่าวอย่างไม่ค่อยแน่ใจเต็มที่ “ลองดูก่อนก็ได้ ถ้าเจ้าทำไม่ได้อย่างที่ตัวเองบอก ก็อย่าหาว่าข้ากลับคำพูดแล้วกัน!”


…………………………


บทที่ 1146 กลางเผิงไหลสามพัน

โดย

Ink Stone_Fantasy

ถึงแม้ปากจะพูดแบบนี้ แต่เขาก็ยังรู้สึกกินปูนร้อนท้องนิดหน่อย มีหญิงชู้นอกบ้านลับหลังอวิ๋นจือชิว ถ้าให้อวิ๋นจือชิวรู้เรื่องนี้ สวรรค์คงรู้ว่าจะเกิดผลลัพธ์อย่างไร ไม่กล้าจินตนาการถึงเลยจริงๆ


“เอาตามนี้แล้วกัน!” หวงฝู่จวินโหรวยิ้มอย่างสดใสดุจดอกไม้ในทันที หยิบระฆังดาราออกมาคู่หนึ่ง ต้องการสร้างวิธีการติดต่อกับเหมียวอี้อย่างเป็นทางการ


เป็นเพราะไม่ชัดเจนกับเหมียวอี้มาหลายปี เหมียวอี้จงใจหลบซ่อนนางตลอด แม้แต่วิธีการติดต่อกันก็ยังไม่เคยสร้างขึ้นมา หลบหลีกนางอยู่ตลอด วันนี้นับว่าติดต่อกันได้แล้ว


หลังจากแน่ใจวิธีการติดต่อแล้ว เหมียวอี้ก็เก็บระฆังดาราพลางถอนหายใจเบาๆ แต่หวงฝู่จวินโหรวกลับคล้องแขนเหมียวอี้อย่างตรงไปตรงมาทันที เงยหน้าเชิดอก สีหน้าท่าทางกระปรี้กระเปร่า ในดวงตางามที่ยิ้มอย่างสนิทสนมดูสดใสมีชีวิตชีวากล่าวอย่างสบายใจว่า “วันนี้อากาศดีจังเลย!”


เหมียวอี้เงยหน้ามองฟ้าที่มีเมฆลอยวนเวียน มองไม่ออกจริงๆ ว่าอากาศดีตรงไหน


พอมองดูแขนของตัวเองที่โดนอีกฝ่ายคล้องกอดอย่างไม่สนใจอะไร เขาก็เปลี่ยนมาครุ่นคิดทันที พบว่าวุ่นวายมาตั้งนานแต่ผลลัพธ์ไม่แตกต่างอะไรกับเมื่อก่อนเลยเหรอ? ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย เดิมทีทั้งสองเหมือนจะมีความสัมพันธ์ที่บอกใครไม่ได้ ตอนนี้ก็แค่ไม่ต้องหลบหน้ากันและกันอีกแล้ว พอกลับมาถึงตลาดสวรรค์ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหวงฝู่จะต่างอะไรกับพวกอวิ๋นจือชิวสักเท่าไรล่ะ? กับพวกอวิ๋นจือชิวก็ไม่สามารถไปมาหาสู่กันได้อย่างเปิดเผยเหมือนกัน เขาปวดหัวนิดหน่อย สงสัยการที่ตัวเองหลบหลีกมาหลายปีขนาดนี้ สุดท้ายก็ยังทำให้หวงฝู่จวินโหรวสมปรารถนาอยู่ดี!


เขาไม่ชินกับการทำอะไรแบบนี้กับหวงฝู่จวินโหรวกลางวันแสกๆ รู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว จึงแกะมือนางออก “อย่าโอบกอดแบบนี้!”


“กำหนดความสัมพันธ์แล้ว กอดนิดกอดหน่อยจะเป็นไรไป? ตรงนี้ไม่มีคนรู้จักเห็นสักหน่อย ขนาดผู้หญิงอย่างข้ายังไม่เป็นอะไรเลย เจ้าจะกลัวอะไร? ทำเหมือนเจ้าบริสุทธิ์ผุดผ่องมากอย่างนั้นแหละ เวลาใช้ไม้แข็งกับข้าไม่เห็นเจ้าทำตัวสุภาพเรียบร้อยแบบนี้เลย” หวงฝู่จวินโหรวกอดเขาไม่ยอมปล่อย ดึงเขาไปชมนกชมไม้ด้วยกัน ตอนนี้นางอารมณ์ดีมาก ไม่ว่าจะมองอะไรก็สวยงามไปหมด แต่ท่านขุนนางเหมียวกลับเห็นแล้วไม่รู้สึกถึงรสชาติอะไรทั้งนั้น เหมือนจะเหม่อลอยนิดหน่อย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แม้แต่เรื่องหาสมบัติก็โยนทิ้งไปแล้ว


เที่ยวเล่นจนกระทั่งฟ้ามืด เหมียวอี้ได้รับข้อความของจงหลีค่วย ถามว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน เมื่อไรจะกลับมา


ทว่าคืนนี้หวงฝู่จวินโหรวไม่อยากกลับ ต้องการอยู่ในโลกที่มีแค่นางกับเหมียวอี้ ไม่ว่าจะอย่างไรวันนี้นางก็จะทำให้เหมียวอี้เติมเต็มนางให้ได้ นางถึงขนาดออดอ้อนแล้วด้วยซ้ำ เหมียวอี้แพ้แล้ว ทำได้เพียงบอกจงหลีค่วยว่าคืนนี้ไม่กลับ


บนยอดเขาแห่งหนึ่ง หวงฝู่โยนชัยภูมิถ้ำสวรรค์หลังหนึ่งออกมา หลังจากเข้าไปพิถีพิถันแต่งตัวแล้ว ก็สวมชุดกระโปรงผ้ามุ้งสีชมพูออกมา บนศีรษะปักปิ่นรูปแมลงปอที่เหมียวอี้เคยมอบให้นางในปีนั้น ท่ามกลางแสงแดดยามเย็น นางสะบัดกระโปรงหมุนตัวอย่างอรชรอ้อนแอ้นอยู่ตรงหน้าเหมียวอี้ แล้วยิ้มพร้อมถามว่า “สวยมั้ย?”


เหมียวอี้ที่อารมณ์สงบลงแล้วยิ้มบางๆ “ในปีนั้นตอนที่ข้ามาตลาดสวรรค์ครั้งแรกข้าก็ได้ยินคนลือกันแล้ว คนหนึ่งชื่อหวงฝู่จวินโหรว อีกคนชื่อเสวี่ยหลิงหลง เป็นบุปผาสองดอกของตลาดสวรรค์ จะไม่สวยได้อย่างไรล่ะ?” ขณะที่พูดก็ตบบนแท่นหินข้างๆ บอกใบให้นางมานั่งลง


เมื่อได้ยินเขาชมว่าตัวเองสวย บนใบหน้าหวงฝู่ก็ปรากฏรอยยิ้มที่มาจากใจ เดินเข้ามานั่งลงข้างกายเขา แล้วกอดแขนเขาพร้อมถามว่า “ดอกไม้สองดอกโดนเจ้าเด็ดไปแล้วหนึ่งดอก เจ้าภูมิใจมากใช่มั้ยล่ะ?”


เหมียวอี้พ่นเสียงทางจมูก แล้วบอกว่า “ถ้าข้าอยากจะเด็ดอีกดอกหนึ่ง แค่พูดคำเดียวก็เรียบร้อยแล้ว”


หวงฝู่ทุบเขาหนึ่งหมัด แสดงออกว่าไม่พอใจ “ห้ามเจ้าคิดอะไรกับเสวี่ยหลิงหลง ถ้าเจ้าให้สถานะกับนางไม่ได้ ก็อย่าไปย่ำยีนาง นางใช้ชีวิตลำบากอยู่แล้ว”


“เสวี่ยหลิงหลงก็เป็นแค่เนื้อที่อยู่ข้างปากข้าเท่านั้น อยู่ที่ตลาดสวรรค์ถ้าข้าไม่กิน คนอื่นก็ไม่กล้าแตะต้องเหมือนกัน” เหมียวอี้พูดหยอก


หวงฝู่ทุบเขาอีกที “ในสายตาของเจ้า ข้ากับเสวี่ยหลิงหลงใครสวยกว่า?”


“ต่างคนต่างมีจุดเด่นคนละอย่าง” เหมียวอี้ตอบ


หวงฝู่กะพริบตาถาม “ข้าสวยกว่าหรือว่าเถ้าแก่เนี้ยร้านโฉมเมฆาสวยกว่า?” นี่ต่างหากคือสิ่งที่นางอยากถามจริงๆ


“เปรียบเทียบข้ากับเซี่ยโห้วหลงเฉิงคนรักเก่าของเจ้าสักหน่อยมั้ยล่ะ?” เหมียวอี้ถามกลับ


ไม่นานทั้งสงก็เริ่มเถียงกัน จนกระทั่งรอบข้างมืดสนิท ดวงจันทร์ส่องสว่าง ทั้งสองถึงได้สงบลง ถ้าจะพูดให้ถูกคือแช่อิ่มอยู่ท่ามกลางทิวทัศน์อันยอดเยี่ยมรอบๆ ในที่สุดก็รอจนได้เห็นเรื่องปาฏิหาริย์ที่จงหลีค่วยบอกว่าต้องรอให้ถึงตอนกลางคืนถึงจะเห็น


พระจันทร์สีน้ำเงินสาดแสงอยู่บนทะเลเมฆ เมฆหมอกที่เป็นคลื่นซัดสาดขยายวงกว้างขึ้นลงไม่หยุดราวกับทางช้างเผือก แต่กลับรินไหลอย่างอ่อนโยน ดวงดาวเต็มท้องฟ้ากะพริบระยิบระยับอยู่ทั่วทิศ ราวกับสว่างวิบวับขึ้นมาจากทางช้างเผือก มีดาวตกพุ่งผ่านให้เห็นอยู่เป็นระยะ แสงจันทร์กระจ่างแสงดาวระยิบระยับ ทิวทัศน์ที่อ่อนโยนและได้อารมณ์ไร้ที่สิ้นสุด สงบเงียบกว้างใหญ่ สวยจนทำให้คนใจแตก


สรุปว่าหวงฝู่จวินโหรวถูกความงามนี้ทำให้ลุ่มหลงแล้ว นางอิงแอบที่บ่าของเหมียวอี้ พึมพำด้วยสายตาเคลิบเคลิ้มว่า “สวยจริงๆ…”


ทันใดนั้น บนฟ้าก็มีเรื่องมหัศจรรย์เกิดขึ้นอีก ทั้งสองคนที่กำลังตกตะลึงกับปรากฏการณ์มหัศจรรย์ที่วาดอยู่บนท้องพลันเงยหน้า


แสงสุกสกาวสีม่วงตระการตาพัดม้วนตามลมอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืน ไม่นานก็มีสีเขียว แล้วก็มีสีฟ้าตามเข้ามาประสม แผ่ขยายตามอำเภอใจอยู่บนท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ ระบายสีสันที่สวยเลิศล้ำให้ท้องฟ้ายามราตรีอย่างเงียบๆ


สิ่งนี้ทั้งสองคนล้วนเคยเห็นมาก่อน เพียงแต่อยู่ที่ขั้วโลกถึงได้ปรากฏแสงขั้วโลกขึ้นมา แต่การปรากฏแสงชั้วโลกในสถานที่ที่ไม่ใช่ขั้วโลกแบบนี้กลับทำให้คนประหลาดใจจริงๆ และการประสมของแสงขั้วโลกก็ยิ่งทำให้ทิวทัศน์งดงามที่อยู่ตรงหน้าตราตรึงใจ ยอดเยี่ยมจนบรรยายเป็นคำพูดไม่ได้จริงๆ


ผ่านไปสักประเดี๋ยว แสงขั้วโลกก็หายไปครู่หนึ่ง แล้วไม่นานก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับริบบิ้นหลากสีกำลังเริงระบำอยู่ท่ามกลางพระจันทร์และดวงดาว เหมือนสายรุ้งยาวหมื่นลี้ สั่นไหวหลากหลายท่าทางตามอำเภอใจ แสดงความสว่างพร่างพรายของตัวเองออกมาอย่างเต็มที่


เกิดเป็นลำแสงผืนใหญ่ผืนแล้วผืนเล่าโผล่ออกมาเงียบๆ กลางอากาศราวกับมังกรเทพจากนอกฟ้า พอครอบครองท้องฟ้าผืนนั้นไว้แล้ว ก็ครอบครองท้องฟ้าผืนต่อไปอีก บนท้องฟ้ายามราตรีที่ไร้ขอบเขตปรากฏแสงอันแวววับที่รวมกันและเปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่งเต็มไปหมด เป็นความวิเศษน่าอัศจรรย์แบบนี้


ไม่เหมือนแสงขั้วโลกของสถานที่อื่นที่ปรากฏขึ้นมาพักเดียวแล้วก็หายไป แสงขั้วโลกของที่นี่โผล่มาประดับห้อยอยู่ในท้องฟ้ายามราตรีซ้ำแล้วซ้ำอีก แสดงอย่างอยู่บนม่านฟ้าขนาดใหญ่ ราวกับต้องการลอยอวดความงามตระการตาจนฟ้าสว่างถึงจะยอมลงจากเวทีแสดง แล้วก็เหมือนต้องการจะตราตรึงฝังลึกอยู่ในความทรงจำของผู้คนถึงจะยอมหยุด แสดงอารรมณ์ที่หลากหลายแบบนี้ อาลัยอาวรณ์ท้องฟ้ายามค่ำคืนแบบนี้ ราวกับคนคลั่งรักที่งดงามที่สุดในโลกกำลังเริงระบำไม่หยุดเพื่อให้คนของตัวเองมีความสุข


หลังจากได้สติกลับมาจากฉากอันงดงาม เหมียวอี้ก็กล่าวชมอีกครั้ง “เป็นเรื่องมหัศจรรย์ของโลก ปราสาทดำเนินเซียนได้ครอบครองสถานที่ดีๆ แล้วจริงๆ”


พอได้ยินแบบนั้น จู่ๆ หวงฝู่จวินโหรวก็หันกลับมาพูดเสียงต่ำว่า “อย่าทำให้ฤกษ์ดีและทิวทัศน์ที่งดงามขนาดนี้ผิดหวังนะ”


เหมียวอี้ได้ยินแล้วมองนาง ยังไม่ทันเข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไร หวงฝู่ก็จูงมือเขาไว้แล้ว “ไปกันเถอะ! ตอนกลางวันข้าเห็นสถานที่หนึ่งที่ทิวทัศน์สวยมาก” นางจูงมือเขาเหาะออกไปแล้ว


บนภูเขาสูงกว่าเดิมที่ไม่ถือว่าห่างจากที่นี่ไกล ทั้งสองเหยียบลงบนไหล่เขา ที่นี่ค่อนข้างจ้อกแจ้กจอแจ มีน้ำตกสายหนึ่งไหลเอื่อยจากยอดเขาที่คดเคี้ยววกวนแล้วตกดิ่งสาดกระเซ็นลงมา


“ที่นี่มีอะไรน่าดู?” เหมียวอี้ทองไปรอบๆ ขณะกำลังแปลกใจ ปรากฏว่าพอหันกลับมาสายตาก็หยุดอยู่บนตัวหวงฝู่อย่างตะลึงงัน


หวงฝู่จวินโหรวถอดปิ่นปักผมออกแล้ว สะบัดผมงามราวกับน้ำตก หันหลังให้เหมียวอี้พร้อมถอดเสื้อผ้าเบาๆ เสื้อผ้าตกลงที่เท้าชิ้นแล้วชิ้นเล่า พวกชุดชั้นในถูกถอดออกอย่างช้าๆ จนหมด ในท่วงท่าการกระทำนั้นยั่วยวนจิตวิญญาณ ก้นขาวกลมกลึงเปิดโปงอยู่ตรงหน้าเหมียวอี้ นางคือคนที่มีจุดนี้สมบูรณ์แบบและยั่วยวนที่สุดในบรรดาผู้หญิงที่เหมียวอี้เคยเจอ เรียกได้ว่าที่พัวพันกันครั้งแล้วครั้งเล่าก็เป็นเพราะแพ้ให้กับก้นของหวงฝู่ เหมียวอี้คอแห้งนิดหน่อยขณะจ้องมองก้นขาวดุจหิมะที่โค้งงอนของนาง


หวงฝู่จวินโหรวที่ใช้สองแขนปิดหน้าอกหันตัวมาอย่างเขินอายเล็กน้อย นางกัดริมฝีปาก ค่อยๆ วางแขนสองข้างที่ปิดหน้าอกลง ยืดภูเขาหิมะสองลูกตรงหน้าเหมียวอี้ ร่างเปลือยปรากฏให้เห็นทั้งหมดอยู่ตรงหน้าเหมียวอี้


แสงจันทร์สีเงินสาดส่องบนเรือนร่าง เหมียวอี้ที่เลือดลมสูบฉีดกลืนน้ำลาย หันกลับไปมองข้างหลังทางซ้ายทางขวา “เจ้าไม่กลัวคนเห็นเหรอ?”


“ไม่สนใจหรอก เห็นก็เห็นไปสิ” หวงฝู่จวินโหรวถอยหลังช้าๆ เท้าเปลือยเหยียบลงท่ามกลางละอองน้ำใต้น้ำตกที่สาดซัด เรือนร่างอ่อนช้อยบิดไปมาอยู่ในละอองน้ำ ยืดแขนเสยผม พึมพำออกมาว่า “คนบื้อ มัวมองอะไร ยังไม่เข้ามาถูหลังให้ข้าอีก!”


เหมียวอี้ทนไม่ไหวอีกต่อไป พุ่งตัวเข้าไปทั้งๆ ที่ไม่ได้ถอดเสื้อ…


“ตื่นแล้ว!”


วันต่อมา พอเหมียวอี้ลืมตาขึ้นก็เห็นร่างเปลือยล่อนจ้อนนอนตะแคงเอามือหนุนศีรษะมองตนด้วยรอยยิ้มสนิทสนม ปากเล็กที่อ่อนละมุนจูบยื่นเข้ามาใกล้เขาหนึ่งที


“เมื่อคืนเหนื่อยแทบตาย!” เหมียวอี้ยื่นมือไปลูบคลำหน้าอกของนางสองที ภายใต้ความปรารถนาอันไร้ที่สิ้นสุดของนางเมื่อคืนนี้ เขาเหนื่อยจนผล็อยหลับไปบนตัวนาง เหนื่อยยิ่งกว่าตอนสู้เอาชีวิตรอด การทำแบบนี้ไม่อาศัยพลังอิทธิฤทธิ์ ใช้แรงกายล้วนๆ!


หวงฝู่จวินโหรวกลับเม้มปากหัวเราะ “เมื่อคืนสนุกแทบตาย วิญญาณแทบจะหลุดลอยไปแล้ว ไม่เสียแรงที่ถ่อมาตั้งไกล!”


“เห็นแก่ที่ข้าทุ่มเทพลังกายของตัวเอง บอกข้ามาว่าปีศาจโลหิตอยู่ที่ไหน” เหมียวอี้ยิ้มตอบ


หวงฝู่จวินโหรวขมวดคิ้ว “ทำไมเจ้าเอาแต่คิดถึงปีศาจโลหิตอยู่ได้? ตอนนี้นางไม่กล้ามาหาเรื่องเจ้าแล้ว ทำไมเจ้ายังไม่ยอมปล่อยนางไปอีก?”


เหมียวอี้ถามเพราะอยากจะเจอปีศาจโลหิตเสียที่ไหนกัน เขาแค่สงสัยว่าศีลแปดกับปีศาจโลหิตอยู่ด้วยกัน จึงยื่นมือไปบีบคางหวงฝู่พร้อมบอกว่า “เจ้าบอกว่าอยากให้ข้าเป็นคนรักลับๆ ไม่ใช่เหรอ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็ช่วยไม่ได้หรือไง? ข้ารับปากเจ้าว่าจะไม่ฆ่านางก็แล้วกัน”


หวงฝู่ส่ายหน้าบอกว่า “สาเหตุที่ข้าไม่ชัดเจนกับเจ้าแบบนี้ ก็เป็นเพราะข้ามีเส้นตายของข้า ปีศาจโลหิตเป็นคนของสมาคมวีรชน ในฐานะที่ข้าเป็นคนของตระกูลหวงฝู่ เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะเปิดเผยที่อยู่ของปีศาจโลหิตให้ศัตรูของนางรู้ เรื่องบางเรื่องข้าพูดได้ แต่เรื่องบางเรื่องข้าก็พูดไม่ได้ ข้าไม่อาจทรยศตระกูลหวงฝู่ ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นอันตรายต่อเจ้าด้วยเหมือนกัน!”


เมื่อเห็นว่าถามไม่ได้ความอะไร เหมียวอี้จึงตบก้นนางหนึ่งที ลุกขึ้นมาอาบน้ำ จากนั้นก็จากไปเพียงลำพัง


ทั้งสองได้กำหนดความสัมพันธ์กันไว้แล้ว หวงฝู่ก็สงบใจแล้วเช่นกัน นางเชื่อฟังมากขึ้น เหมียวอี้ไม่ให้นางตามไป นางก็ปฏิบัติตามคำสั่งเขา


ส่วนเหมียวอี้ก็เหาะอยู่บนฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวเพียงลำพัง เริ่มเหาะวนดาวดำเนินเซียน เมฆหมอกที่ลอยวนเวียนบนพื้นทำให้เขามองเห็นสภาพพื้นที่ไม่ชัดเจนเลย และไม่มีทางหาจุดซ่อนสมบัติพบด้วย ในเมื่อไม่สามารถแยกแยะตัดสินจากสภาพพื้นที่ได้ เขาก็ตัดสินใจจะลงมือจากอีกทิศทางหนึ่ง จะลองมองลงมาจากบนฟ้าสูง ดูว่าจะสามารถไขปริศนาความหมายแฝงของคำว่า ‘กลางเผิงไหลสามพัน’ บนแผนที่ได้หรือไม่


จากความเข้าใจด้านตัวอักษร เชื่อมโยงกับประสบการณ์ก่อนหน้านี้ ก็ทำความเข้าใจได้ไม่ยากว่าคำว่า ‘กลาง’ ที่อยู่ในนั้นหมายความว่าอะไร ส่วนคำว่า ‘เผิงไหลสามพัน’ เขาสงสัยว่าหมายถึงเกาะเกาะเซียนเผิงไหล[1]หรือเปล่า จะหมายถึงจุดดำเบื้องล่างที่โผล่ออกมาจากทะเลเมฆหรือไม่ หรืออาจจะหมายถึงยอดเขาพวกนั้นที่ลอยขึ้นมาเหนือทะเลเมฆ ถึงอย่างไรบนยอดเขานั้นก็ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นแดนเซียนจริงๆ อิงจากการวินิจฉัยนี้ เขาถึงได้ตัดสินใจไปลองดูจากบนฟ้าสูง


แต่เรื่องเศร้าก็คือ หลังจากก้มมองลงมาได้พักหนึ่ง ตามการตีความของตัวเอง บนดาวดำเนินเซียนจะมีแค่ ‘เผิงไหลสามพัน’ ได้อย่างไร เกรงว่าคงจะไม่ได้มีแค่หนึ่งแสนเผิงไหลด้วยซ้ำ นับจนตาลายไปหมดแล้ว ไปเทียบกับประโยค ‘กลางแนวสร้อยไข่มุกเก้าขุนเขา’ ที่ดาวสองขั้วไม่ได้ นั่นยังมีเอกลักษณ์ของสภาพพื้นที่บอกอย่างชัดเจน


…………………………


[1] เผิงไหล 蓬莱 เป็นที่อยู่ของเซียนตามตำนาน


บทที่ 1147 ได้มาแบบไม่เปลืองแรง

โดย

Ink Stone_Fantasy

ผ่านไปไม่นาน เขาก็พบว่าความคิดของตัวเองเกิดความผิดพลาดแล้ว ขณะที่ตัวอยู่บนฟ้าสูง ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนของดาวดำเนินเซียน พอลองนับดูคร่าวๆ ก็พบว่าไม่มีเผิงไหลแค่สามพัน ถ้าหาแบบนี้ต่อไปก็เป็นเรื่องที่ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เป็นไปไม่ได้ที่จะพบคำตอบ


ยังคงเป็นประสบการณ์หาสมบัติที่ดาวสองขั้วที่ชี้เบิกทางสว่างให้ ดูว่าจะสามารถหาสภาพพื้นที่ไหนที่มีเอกลักษณ์ชัดเจนได้หรือเปล่า


หลังจากตัดสินใจแบบนี้ได้แล้ว เหมียวอี้หยุดนับเผิงไหลสามพัน ทิ้งเรื่องจำนวนภูเขาเอาไว้ก่อน แล้วเริ่มจ้องสำรวจดาวดำเนินเซียนว่ามีสถานที่ไหนโดดเด่นเป็นพิเศษ เหาะวนรอบดาวดำเนินเซียนรอบแล้วรอบเล่า


ไม่รู้ว่าใช้วิธีการนี้ถูกหรือผิด แต่หลังจากใช้วิธีการนี้เป็นครั้งที่สาม จู่ๆ เหมียวอี้ก็หยุดอยู่บนท้องฟ้า พบว่าจุดดำที่ลอยอยู่ท่ามกลางเมฆหมอกตรงบางแห่งด้านล่างเหมือนจะกระจุกตัวกันเยอะกว่าที่อื่นนิดหน่อย จึงพยายามใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองลงไป


เป็นอย่างที่คาดไว้ เหมือนกับสถานที่อื่นๆ เป็นภูเขาที่ลอยอยู่ท่ามกลางทะเลเมฆ แต่ภูเขาลูกนี้ไม่เหมือนกับที่อื่น บนภูเขาแต่ละลูกล้วนสร้างตึกรามบ้านช่องเอาไว้ สิ่งปลูกสร้างมากมายขนาดนี้ล้วนก่อสร้างอยู่บนยอดเขา คนที่สร้างผลงานใหญ่ขนาดนี้ได้ เหมียวอี้สงสัยว่ามีความเป็นไปได้สูงว่าตรงนี้จะเป็นปราสาทดำเนินเซียน


เขาอยากจะลงไปสืบดูสักหน่อยว่าเป็นอย่างไรกันแน่ แต่ไม่นานก็เปลี่ยนความคิด ถ้าล่วงล้ำเข้าไปในปราสาทดำเนินเซียน ดีไม่ดีอาจจะถูกไล่ออกไปจริงๆ ก็ได้ ยอดฝีมือของปราสาทดำเนินเซียนมีเยอะเหมือนเมฆบนท้องฟ้า เขาไปมีเรื่องด้วยไม่ไหว


เมื่อมองสำรวจลักษณะเฉพาะข้างล่างอีกครั้ง ถ้ามสังเกตก็คงไม่เห็น พอสังเกตแล้วเห็นรางๆ ว่า ภูเขาที่กระจุกตัวอยู่เบื้องล่างเหมือนจะกระจายตัวเป็นรูปน้ำวน กระจายตัวค่อนข้างมีระเบียบ มีแค่ภูเขาที่รวมตัวกันบริเวณนี้ที่เป็นแบบนี้ การกระจายตัวของภูเขารอบข้างไม่ได้เป็นระเบียบแบบนี้


หลังจากเหมียวอี้ลอยตัวคุรุ่นคิดอยู่บนฟ้าพักหนึ่ง ก็เริ่มใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์นับภูเขาที่กระจายตัวเป็นรูปน้ำวนบริเวณนั้น


สุดท้ายปรากฏว่านับได้สามพันสามร้อยกว่าลูก จำนวนนี้ทำให้เหมียวอี้ค่อนข้างพูดไม่ออก เพราะเกินสามพันไปแล้ว ไม่รู้ว่าแบบนี้จะเรียกว่าเผิงไหลสามพันได้หรือเปล่า


หลังจากหยุดอยู่ที่เดิมครู่เดียว เขาก็เริ่มวนค้นหารอบๆ ดาวดำเนินเซียนอีกครั้ง ปรากฏว่าพอวนบนฟ้าของดาวดำเนินเซียนไปรอบหนึ่ง ก็ไม่พบสถานที่ที่โดดเด่นอะไรอีก ต่อให้เป็นสถานที่ที่โดดเด่นขึ้นมาหน่อย แต่พอนับดูแล้วถ้าไม่น้อยกว่าสามพันมากๆ ก็เยอะกว่าสามพันมากๆ กลับเป็นสถานที่บริเวณปราสาทดำเนินเซียนที่ค่อนข้างสอดคล้องกันพอดี


เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ตอนค้นหาสมบัติที่ดาวดำเนินนภา จุดศูนย์กลางในการหาสมบัติก็อยู่ที่ปราสาทดำเนินนภา อย่าบอกนะว่าที่นี่ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน?


แต่มันก็ไม่เสมอไป เพราะที่ดาวแมกไม้ไม่ใช่แบบนี้ ถึงอย่างไรระหว่างนั้นก็มีประโดดไปที่ดาวสองขั้วด้วย


เขากลัวว่าความทรงจำของตัวเองจะผิดพลาด จึงนำแผนที่ซ่อนสมบัติออกมาตรวจดูลักษณะพื้นที่บนนั้นอีก แต่เครื่องหมายที่ทำไว้บนนั้นก็มีแค่ลักษณะพื้นที่สูงต่ำ ไม่ได้ทำเครื่องไว้ตรงจุดที่โผล่ในทะเลเมฆ แผนที่ไม่ได้ระบุจุดเด่นของลักษณะพื้นที่ไว้ละเอียดขนาดนั้น ถ้าพูดจากอีกมุมมองหนึ่งมันคือแผนที่ที่สร้างขึ้นมาแบบค่อนข้างหยาบ เหมือนทำเสร็จภายใต้ความรีบร้อน ระบุเครื่องหมายไว้คร่าวๆ เท่านั้น ทั้งภาพมีเพียงรูปของสตรีทะยานฟ้าที่ค่อนข้างใช้ความทุ่มเท สลักออกมาได้สมจริงราวกับมีชีวิต


แต่หลังจากมีประสบการณ์ในการหาสมบัติก่อนหน้านี้ เหมียวอี้ก็รู้เช่นกัน ว่าแผนที่นี้ไม่เพียงแค่เป็นจุดซ่อนสมบัติที่ไม่แน่นอน แต่กลับมีข้อสงสัยที่โน้มนำให้คนเข้าสู่เส้นทางที่ผิดด้วยซ้ำ คนที่ไม่ได้ ‘กุญแจ’ ในการเปิดใช้งานแผนที่ ก็ไม่มีทางไขปริศนาบนแผนที่นี้ได้เลย ถ้าต้องการตามหาโดยอิงจากแผนที่จริงๆ ต่อให้หาจนตายเจ้าก็หาไม่พบ ตอนปราสาทดำเนินนภาค้นหาสมบัติที่ดาวแมกไม้ ก็เคยเสียเปรียบในด้านนี้มาแล้ว


หลังจากไตร่ตรองอยู่พักหนึ่ง ก็ตัดสินใจจะไปสืบดูที่ปราสาทดำเนินเซียน แต่การที่เขาจะไปคนเดียวก็เห็นได้ชัดว่าไม่เหมาะสม ไปคิดหาทางกับจงหลีค่วยดีกว่า


เมื่อมีความคิดนี้แล้ว เขาถึงได้เหาะวนรอบดาวดำเนินเซียนอีกครั้ง หาสถานที่เหาะลงจากฟ้า


เขากลับมาเหยียบลงตรงยอดเขาที่เริ่มออกเดินทาง เห็นเพียงหวงฝู่จวินโหรวกำลังยืนยิ้มอย่างสนิทสนมอยู่ใต้ต้นสน พอแจอกันก็เข้าไปต้อนรับและมองสำรวจศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง “ไปมาตั้งนาน ทั้งยังออกไปนอกท้องฟ้า เจ้าไปทำอะไรมา?”


เหมียวอี้ถือโอกาสยื่นมือไปลูบไล้ก้นนาง “ไปดูอะไรเรื่อยเปื่อย”


หวงฝู่บิดก้นออกจากมือเขา “เจ้านี่ลามกจริงๆ ทำไมชอบลูบไล้ก้นของข้าอยู่ได้”


“จะบอกความลับเจ้าอย่างหนึ่ง” เหมียวอี้กระซิบข้างหูนาง “ก้นของเจ้าน่ะสุดยอด…”


“เชอะ!” พอฟังจบหวงฝู่จวินโหรวก็สบถ แต่ก็ยังหันกลับไปมองก้นของตัวเอง แต่น่าเสียดายที่หันคอไปข้างหลังไม่ได้ ย่อมมองไม่เห็นอะไรอยู่แล้ว กะว่ากลับไปจะไปส่องกระจกดูดีๆ สักหน่อย นางถามว่า “มันดึงดูดเจ้าขนาดนั้นจริงๆ เหรอ? เจ้ารู้ได้ยังไงว่ามันสวยกว่าของผู้หญิงคนนี้ เจ้าบอกมาแต่โดยดี เจ้าเคยเห็นก้นของผู้หญิงมาแล้วเท่าไรกันแน่?”


“เจ้าเดาสิ!” เหมียวอี้ยิ้มอย่างคลุมเครือ


“เรื่องลามกประเภทนี้ ข้าขี้เกียจจะเดา! อย่ามาเปลี่ยนเรื่องเลย ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้ามาชมทิวทัศน์ที่ดาวดำเนินเซียน เจ้ามาทำอะไรกันแน่? เจ้าถือภารกิจลับอะไรมา?”


“ถ้าเจ้าไม่เชื่อ ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ไม่พูดแล้ว กลับไปหาจงหลีค่วยกัน!”


ตอนที่กลับไปถึงจวนถ้ำเปลี่ยนเวรของหวังเยี่ยนถง ก็เห็นได้ชัดว่าเขากับจงหลีค่วยไม่มีเรื่องอย่างอื่นทำ เล่นหมากล้อมกันอีกแล้ว เมื่อเห็นทั้งสองคนกลับมา หวังเยี่ยนถงก็พยักหน้ายิ้ม ส่วนจงหลีค่วยก็หันกลับมามองแวบหนึ่ง แล้วถามว่า “ทิวทัศน์เป็นยังไงล่ะ?”


“เป็นทำเลทองที่หาพบได้น้อยมากในโลก” เหมียวอี้ตอบ แล้วคืนป้ายคำสั่งให้หวังเยี่ยนถง จากนั้นก็ถามจงหลีค่วยว่า “ไหนๆ ก็มาแล้ว ดูก็ดูไปแล้ว มาละลาบละล้วงที่นี่ข้ารู้สึกไม่สงบใจ ลุงหนวด พวกเราควรไปเยี่ยมคารวะเจ้าของปราสาทดำเนินเซียนหน่อยมั้ย?”


มือที่ถือตัวหมากของจงหลีค่วยหยุดชะงัก ได้เจอกับหวังเยี่ยนถงแล้ว นับว่าได้ทักทายแล้วเช่นกัน เขาเป็นเพียงศิษย์รุ่นสี่ของปราสาทดำเนินนภา ไม่นับว่ามีลำดับอาวุโสสูง จะไปหรือไม่ไปปราสาทดำเนินเซียน ที่จริงก็ไม่สำคัญเลย ไปแล้วก็อาจจะไม่ได้เจอบุคคลสำคัญที่แท้จริงของปราสาทดำเนินเซียนก็ได้ แต่เหมียวอี้กล่าวออกมาต่อหน้าหวังเยี่ยนถง เขาจึงไม่สะดวกที่จะบอกว่าไม่จำเป็นต้องไปคารวะ เพราะพูดแบบนั้นเสียมารยาทเกินไป กลัวว่าจะทำให้คนเข้าใจผิดว่าเขาดูถูกปราสาทดำเนินเซียน


หวังเยี่ยนถงยิ้มบางๆ ที่จริงเขาเองก็รู้สึกว่าไม่จำเป็น แต่เขาก็ไม่สะดวกที่จะพูดเหมือนกันว่า ‘แค่เจอหน้าข้าก็พอแล้ว ไม่ต้องไปหาอาจารย์ข้า’ ถ้าพูดแบบนี้ออกมาจริงๆ เขาก็จะตกเป็นที่ต้องสงสัยว่าสามมารถเป็นตัวแทนปราสาทดำเนินเซียนได้ เขาไม่ได้วางมาดใหญ่โตขนาดนั้น


หวงฝู่จวินโหรวเหล่ตามองเหมียวอี้แวบหนึ่ง แล้วเลิกคิ้วเล็กน้อย มองเหมียวอี้ด้วยแววตาเป็นประกาย


ถ้าไม่ได้พูดออกมาต่อหน้าเจ้าของบ้านหลังนี้มันจะตายรึไง? เจ้าจะไม่รู้จักสถาะของตัวเองเชียวหรือ ต้องถ่อไปโดนเปิดโปงตัวตนก่อนถึงจะพอใจเหรอ? จงหลีค่วยแอบด่าเหมียวอี้ในใจ แต่หลังจากวางหมากแล้ว ปากก็ยังกล่าวอย่างร่าเริงว่า “เจ้าพูดถูก ควรจะไปเยี่ยมคารวะสักหน่อย”


ในเมื่อฝั่งนี้ตัดสินใจแล้ว หวังเยี่ยนถงก็แสดงไมตรีของเจ้าบ้านอย่างเต็มที่ จะส่งพวกเขาไปให้ได้


เมื่อเล่นหมากล้อมจบไปหนึ่งกระดาน หวังเยี่ยนถงก็สั่งอะไรลูกศิษย์ในสำนักไว้นิดหน่อย แล้วพวกเขาก็ออกเดินทางไป


เมื่อมีหวังเยี่ยนถงร่วมเดนิทางไปด้วย ระหว่างทางก็ลดความยุ่งยากได้ไม่น้อยเลย ที่เขตอื่นยังมีคนอื่นเฝ้ารักษาการณ์อยู่ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะรู้จักจงหลีค่วยเหมือนกันหมด ลดความยุ่งยากที่จะโดนสอบสวน คาดว่านี่คงจะเป็นสาเหตุที่หวังเยี่ยนถงต้องการจะไปส่งพวกเขา ไม่ละเลยแขก!


หลังจากถึงจุดมุ่งหมาย ก็เป็นอย่างที่เหมียวอี้คาดไว้ ตอนที่ตัวเองอยู่บนท้องฟ้าก่อนหน้านี้ ก็พบว่าจุดที่มีลักษณะพิเศษอยู่ที่ปราสาทดำเนินเซียนจริงๆ


บนคลื่นเมฆมีภูเขาเซียนหลายลูก สิ่งปลูกสร้างมีชายคาโค้งขึ้น มีสะพานมายาสายรุ้งเซียน สง่างามสดใส สัตว์ปีกสีขาวบริสุทธิ์สูงส่ง เสียงระฆังหยกขาวแสนสงบ ชำระล้างจิตใจ


สถานที่นี้ย่อมบุกเข้าไปไม่ได้ง่ายๆ อยู่แล้ว หวังเยี่ยนถงออกหน้าให้ผ่านการสอบสวน แล้วพาทั้งสามไปเหยียบลงนอกซุ้มประตูรับแขก


เหมียวอี้เหลือบตาขึ้นมองคำขวัญคู่บนเสาสองต้นของซุ้มประตูหยก ทำให้ตะลึงค้างทันที


ด้านซ้ายคือ : เผิงไหลสามพัน


ด้านขวาคือ : เขาเซียนหนึ่งแสน


คำขวัญแนวขวางที่สัมผัสกับคำขวัญคู่แนวตรงคือ : ทั้งเช้าทั้งค่ำ


ในสายตาของเหมียวอี้ไม่มีอย่างอื่น จ้องเพียงคำว่า ‘เผิงไหลสามพัน’ ทางด้านซ้าย ในใจรู้สึกมีความสุขเล็กๆ เป็นที่นี่จริงๆ ด้วย


ขณะเดียวกันก็อดสงสัยไม่ได้ ว่าคนที่ซ่อนสมบัติเป็นใครกันแน่ ทำไมถึงมาชี้แนะที่ซ่อนสมบัติในสถานที่อย่างปราสาทดำเนินนภากับปราสาทดำเนินเซียนได้?


“เหม่อลอยอะไรของเจ้า?” จงหลีค่วยหันกลับมาถาม


หวังเยี่ยนถังมองตามสายตาของเหมียวอี้ แล้วก็หัวเราะเบาๆ คำขวัญต้อนรับแขกของปราสาทดำเนินเซียนค่อนข้างแปลกประหลาดจริงๆ กลอนทางซ้ายทางขวาและแนวขวางล้วนมีสี่คำ แขกผู้มาเยือนที่สนใจสิ่งนี้ไม่ได้มีแค่เหมียวอี้คนเดียว ไม่แปลกอะไร


“ไม่มีอะไร แค่รู้สึกว่าตัวอักษรบนนี้เขียนได้ไม่เลวเลย ดูเหมือนจะมีอายุเก่าแก่มาก” เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะ


จงหลีค่วยมองบันไดที่อยู่ด้านบน แล้วบอกเหมียวอี้กับหวงฝู่จวินโหรวว่า “พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ก่อน ข้าจะตามพี่หวังไปเยี่ยมคารวะเจ้าสำนัก”


ที่ไม่พาทั้งสองคนไปด้วย ประการแรกเป็นเพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าพบเจ้าสำนักของปราสาทดำเนินเซียนได้ ถึงแม้อาจารย์ของเขาจะรับตำแหน่งเจ้าสำนักของปราสาทดำเนินนภา แต่เขามาที่นี่ก็มีสิทธิ์แค่คารวะทักทายเท่านั้น ประการต่อมาหากเหมียวอี้กับหวงฝู่โดนเปิดโปงตัวตนขึ้นมา ในฐานะที่ตนเป็นคนพาคนของตำหนักสวรรค์และสมาคมวีรชนมาหลอกตบตาเจ้าสำนักที่ปราสาทดำเนินเซียน แบบนั้นตนก็จะปลีกตัวไม่พ้นแล้วจริงๆ


เหมียวอี้กับหวงฝู่จวินโหรวพยักหน้า เข้าใจเจตนาของเขา ได้แต่มองตามหวังเยี่ยนถงกับจงหลีค่วยเดินผ่านซุ้มประตูขึ้นบันไดไปอย่างเป็นระเบียบ


หันกลับมาเห็นหวงฝู่จวินโหรวกำลังจ้องคำขวัญแนวขวางนั้นซ้ำๆ ด้วยสีหน้าสงสัย เหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “เจ้ากำลังมองอะไร?”


“ข้ากำลังดูว่าเจ้ามองอะไร” หวงฝู่จวินโหรวกล่าว


เหมียวอี้รู้สึกขำ คิดในใจว่าถ้าเจ้ามองออกว่าข้ามองอะไรก็แปลกแล้ว แต่ชั่วพริบตาเดียวก็เกิดความระแวดระวังขึ้นมาในใจ ทำไมถึงรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้พูดจามีความหมายแอบแฝง?


รออยู่ข้างนอกได้ไม่นานเท่าไร เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าสำนักของปราสาทดำเนินเซียน ก็มีสิทธิ์แค่เยี่ยมคารวะเท่านั้น ยังไม่ถึงคราวของเขาที่จะคุยธุระสำคัญอะไร ย่อมต้องกลับมาอย่างรวดเร็วอยู่แล้ว หวังเยี่ยนถงกลับมาด้วยกัน เป็นเพราะเขาสนิทกับจงหลีค่วย เจ้าสำนักสั่งให้คนอื่นไปแลกเวรเฝ้ายามแทนเขา บอกให้เขาอยู่รับรองแขก


สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้แอบตื่นเต้นประหลาดใจก็คือ สถานที่ที่หวังเยี่ยนถงเตรียมให้พวกเขา เป็นสถานที่ที่ใช้รับราองแขกของปราสาทดำเนินเซียนเช่นกัน เป็นบนภูเขาที่อยู่ตรงใจกลาง ‘น้ำวน’ ตอนที่เขาเห็นเมื่อสำรวจมองจากบนฟ้าพอดี เมื่อครู่เขายังแอบครุ่นคิดอยู่เลยว่าจะเข้าใกล้สถานที่นี้ได้อย่างไร นึกไม่ถึงว่าจมีคนเป็นฝ่ายพาเขามาส่งที่นี่เอง ได้มาแบบไม่เปลืองแรงจริงๆ


เรือนพักที่อยู่บนภูเขารับแขกมีไม่น้อย ปราสาทดำเนินเซียนไม่ได้มีแขกเยอะขนาดนั้น ทั้งหมดล้วนว่างอยู่ หวังเยี่ยนถงให้แขกเข้าพักตามความชอบ


“แขกเชิญพักตามสะดวก!” จงหลีค่วยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม


หวงฝู่จวินโหรวก็ยิ้มตอบเช่นกัน “ตามสะดวก”


กลับเป็นเหมียวอี้ที่โบกมือไปยังเรือนพักที่อยู่บนยอดเขาตรงกลางสุด “ที่นั่นสูงดี เป็นสถานที่ชมทิวทัศน์ที่ไม่เลว ข้าพักที่นั่นได้มั้ย?”


จงหลีค่วยกลอกตามองบน ส่วนหวงฝู่จวินโหรวก็เอียงหน้าช้าๆ มองสำรวจเหมียวอี้


คำพูดตามมารยาทของทั้งสองคนสูญเปล่าแล้ว หวังเยี่ยนถงย่อมยื่นมือเชิญ “เชิญ!”


ดังนั้นทั้งสามจึงไปพักบนเรือนที่อยู่บนยอดเขาสูงสุด หวงฝู่จวินโหรวเองก็ไม่เกรงใจ ไม่สนใจแววตาที่แปลกใจของจงหลีค่วย ดันทุรังพักบ้านหลังเดียวกับเหมียวอี้


นางกำลังสำรวจดูในบ้าน แต่เหมียวอี้กลับไปอยู่บนหลังคาเรือนหลักด้านนอก กวาดสายตามองไปรอบๆ เหมือนกำลังใช้สายตาวัดอะไรบางอย่าง


…………………………


บทที่ 1148 จับมัดเสียเลย

โดย

Ink Stone_Fantasy

ไม่นานสายตาของเขาก็ไปหยุดอยู่ตรงศิลาสยบขุนเขาก้อนหนึ่งบนพื้นราบนอกเรือน เป็นหินหยกขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง เป็นจุดศูนย์กลางที่เขาใช้สายตาวัดคำนวณได้ เป็นตำแหน่งที่กลางเผิงไหลสามพันระบุไว้


“เจ้าไปทำอะไรบนนั้น?” ไม่รู้ว่าหวงฝู่จวินโหรวมาโผล่อยู่ในลานบ้านตั้งแต่เมื่อไร นางกำลังมองบนหลังคาพร้อมเอ่ยถาม


เหมียวอี้หันกลับมามองแวบหนึ่ง แล้วตอบว่า “ชมทิวทัศน์”


เชื่อเจ้าก็แปลกแล้ว! หวงฝู่จวินโหรวพึมพำในใจ แล้วลอยขึ้นไปหาเขา


ปรากฏว่าพอนางเหาะขึ้นไป เหมียวอี้ก็เหาะลงมาอีก แล้วเดินก้าวยาวออกนอกประตูไป หวงฝู่พูดไม่ออก แต่มองสำรวจไปรอบด้านเช่นกัน อยากจะเห็นว่าเหมียวอี้กำลังดูอะไรกันแน่ นางรู้สึกอย่างชัดเจนว่าเหมียวอี้ไม่ได้ถ่อมาถึงที่นี่เพื่อชมทิวทัศน์แน่นอน เพียงแต่ใช้กำลังสมองทั้งหมดแล้วก็ยังไม่มีทางรู้เจตนาของเหมียวอี้ได้


ชั่วพริบตาเดียวก็พบว่าเหมียวอี้ออกไปอยู่นอกลานบ้านแล้ว กำลังยืนอยู่ข้างๆ ศิลาสยบขุนเขาด้านนอก ไม่รู้ว่าจะจ้องก้อนหินทำไมอีก


หวงฝู่ถลันตัวเหาะออกไปที่ลานบ้านโดยตรง เหยียบลงข้างกายเหมียวอี้แล้วมองดู เห็นเพียงตัวอักษรขนาดใหญ่บนหิน : ที่พักแขก!


ลายมือมีพลังล้ำลึก เพียงแต่ดูจากลอยพร้อยรอบๆ ก็ไม่รู้ว่าตัวอักษรพวกนี้ผ่านหมอกผ่านฝนแล้วกี่ปี ดูโบราณเรียบง่ายและผ่านโลกมาอย่างโชกโชน นอกจากสิ่งนี้ก็มองไม่เห็นเบาะแสอะไรอย่างอื่น หวงฝู่จวินโหรวค่อนข้างพูดไม่ออก สักประเดี๋ยวก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนปัญญาอ่อน


หลังจากจ้องมองอยู่พักหนึ่ง เหมียวอี้ก็หันตัวเดินกลับเข้ามาในลานบ้าน ส่วนหวงฝู่ก็เดินตามกลับมาด้วยสีหน้าตั้งคำถาม เริ่มจับตาดูทุกการกระทำของเหมียวอี้อย่างใกล้ชิด


ปรากฏว่าเหมียวอี้ไม่ได้ทำอะไรผิดปกติอีก กลับมาเอนกายลงบนเตียงในห้อง รองเท้าก็ไม่ได้ถอด นอนเอาขาสองข้างไขว้กันพลางหลับตาพักผ่อน ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังคิดอะไรอยู่


เพี้ยะ! หวงฝู่เดินเข้ามาตบบนขาของเขาหนึ่งที “สกปรกจะตาย รีบถอดรองเท้า!” คืนนี้นางก็อยากนอนที่นี่เหมือนกัน ไล่อย่างไรก็ไล่ไม่ไป


เหมียวอี้ยื่นเท้าออกมา เท้าอยู่ตรงหน้านางพอดี ไม่แม้แต่จะลืมตาสักนิด


“เจ้าเห็นข้าเป็นสาวใช่รึไง?” หวงฝู่ถลึงตามองเขาอย่างดุดัน แต่สุดท้ายก็ยังประคองเท้าของเท้า ช่วยเขาถอดถุงเท้าออก ตลอดชีวิตของนางเพิ่งเคยทำแบบนี้เป็นครั้งแรก


จากนั้นตัวเองก็ถอดถุงเท้าให้เขาด้วยเหมือนกัน แล้วพลิกตัวขึ้นไปนั่งคร่อมบนท้องของเหมียวอี้ นอนหมอบบนร่างกายเขาพร้อมถามเสียงต่ำว่า “บอกข้ามาอย่างซื่อสัตย์เถอะ เจ้ามาที่นี่เพราะคิดจะทำอะไรกันแน่?”


“เจ้าจะหัวรั้นอะไรมากมายขนาดนั้น ข้าบอกแล้วไงว่ามาชมทิวทัศน์ เจ้าไม่เชื่อแล้วดันถามอยู่ได้” เหมียวอี้ใช้นิ้วจิ้มผลักหน้าผากของนาง “เจ้าดูสิว่าตัวเองกำลังทำอะไร ประตูก็ไม่ได้ปิด ถ้ามีคนบุกเข้ามาล่ะ เจ้าไม่อายเหรอ?”


“เรื่องน่าอายกว่านี้ข้าก็เคยทำมาแล้ว ยังต้องกลัวเรื่องนี้ด้วยเหรอ?” หวงฝู่เม้มปากหัวเราะ จงหลีค่วยยังมีคนรู้จักคนอื่นๆ ที่ปราสาทดำเนินเซียน ไปเยี่ยมเยียนคนพวกนั้นแล้ว ตอนนี้ในลานบ้านมีแคพวกเขาสองคน ดังนั้นนางจึงมาคลอเคลียแนบชิดอยู่บนตัวเหมียวอี้อีกแล้ว


รับไม่ไหวกับผู้หญิงคนนี้แล้ว! เหมียวอี้พบว่าผู้หญิงคนนี้ภายนอกดูเรียบร้อยหัวโบราณ แต่ที่จริงเนื้อแท้เป็นคนปล่อยตัวมาก เวลาไม่มีคนก็ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าเป็นฝ่ายรุกขนาดไหน


เมื่อคืนวานทั้งสองคนจัดหนักกันเกินไป เหมียวอี้สาบานกับตัวเองแล้วว่าวันนี้จะพัก แต่พอตกกลางคืนก็ถูกผู้หญิงคนนี้ยั่วยวนไม่รู้จากว่างเว้น ทำให้ไม้แห้งติดไฟอีกครั้ง เขาถูกคั้นน้ำจนแห้งเหือดอีกแล้ว…


วันต่อมาขณะที่ฟ้าเริ่มจะสว่าง เหมียวอี้แกะแขนขาที่ติดหนึบบนร่างกายตัวเองราวกับปลาหมึก ผลักร่างขาวดุจหยกของหวงฝู่จวินโหรวไปไว้ข้างๆ แล้วลุกขึ้นมาหยิบเสื้อผ้าใส่


หวงฝู่เอามือขยี้ตาพลางเท้าแขนลุกนั่ง ร่างหยกที่ทำให้ผู้พบเห็นเลือดลมสูบฉีดเผยออกมานอกผ้าห่มครึ่งหนึ่ง นางถามว่า “ฟ้ายังไม่สว่างดีเลย เจ้าจะไปไหน?”


“ไม่ได้ไปไหนนี่!” เหมียวอี้ตอบส่งเดช พลางนั่งใส่รองเท้าของตัวเองอยู่บนขอบเตียง


หวงฝู่ไม่เชื่อ รีบเก็บเสื้อผ้าขึ้นมาใส่ หลังจากรีบร้อนใส่จนเสร็จแล้ว ก็นั่งสยายผมขาวดุจน้ำตกอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง นางหันซ้ายหันขวาส่องกระจก พบว่าพอผ่านความชุ่มชื้นมาสองคืน สีผิวและสีหน้าก็ดูดีขึ้นไม่น้อย รู้สึกว่าการมีผู้ชายไว้ข้างกายสักคนเป็นเรื่องดีต่อผู้หญิง


ในกระจก เหมียวอี้ที่สวมเสื้อผ้าเสร็จแล้วเดินเข้ามา โอบนางจากข้างหลัง แล้วจูบติ่งหูกับลำคอของนาง


หวงฝู่หัวเราะคิกคัก “มีกำลังวังชาแล้วเหรอ? งั้นก็ดี อีกประเดี๋ยวอย่าร้องว่าไม่ไหวก็แล้วกัน…”


เสียงพูดพลันเงียบลงกะหันหัน ใบหน้าฉายแววหวาดกลัว เพราะเหมียวอี้ฉวยโอกาสลงมือผนึกวรยุทธ์ของนางตอนนางไม่ทันระวังตัว นี่คือเรื่องที่ต่อให้นางนอนฝันก็นึกไม่ถึง เมื่อคืนทั้งสองยังคว่ำเมฆพลิกฝนเหมือนรักกันดูดดื่มอยู่เลย ใครจะคิดว่าผ่านไปประเดี๋ยวเดียวอีกฝ่ายจะทำเรื่องนี้กับตนได้


เหมียวอี้ปล่อยมือถอยออกมา หวงฝู่จวินโหรวพลันยืนขึ้น หันตัวมามองเขาแล้วถามอย่างตกใจ “เจ้าคิดจะทำอะไร?”


“ให้เจ้าได้พักผ่อนเยอะๆ สักหน่อย!” เหมียวอี้ยิ้มตอบ


“รีบปลดผนึกให้ข้า ไม่อย่างนั้นข้าจะตะโกน!” หวงฝู่กัดฟันกรอด


ตอนที่นางยังไม่พูดก็ยังดีๆ อยู่ แต่พอพูดขึ้นมา เหมียวอี้ก็โยนเชือกมัดเซียนออกมาทันที ขี้คร้านจะเปลืองคำพูดกับนาง จัดการเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด มัดนางเอาไว้โดยตรง


ขณะเดียวกันก็ถลันตัวเข้ามา ไม่รู้ว่าหยิบเศษผ้ามาจากไหน บีบปากหวงฝู่ที่ต้องการจะร้องตะโกนเอาไว้ แล้วยัดผ้าชิ้นนั้นเข้าไปในปากนาง เพื่อป้องกันไม่ให้นางเอาผ้าในปากออก เหมียวอี้จึงดึงเชือกมัดเซียนออกมาอีกเส้น แล้วมัดปากนางไว้อีกครั้ง นางนั้นก็อุ้มนางมาโยนไว้บนเตียง แล้วดึงผ้าห่มคลุมไว้


ใบหน้าของหวงฝู่จวินโหรวเรียกได้ว่าทั้งแค้นทั้งเศร้า ส่งเสียงอู้อี้ทางจมูกใส่เหมียวอี้ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ากำลังด่าเหมียวอี้อยู่


เหมียวอี้ปัดแขนเสื้ออย่างไม่รีบร้อน แต่ยังไม่ได้ออกไปในทันที เขานั่งลงข้างเตียง เก็บเท้าสองข้างนั่งขัดสมาธิ


หวงฝู่จวินโหรวที่กำลังดิ้นรนหอบหายใจอย่างทรมาน พอเห็นเหมียวอี้ยังไม้ได้ทิ้งนางหนีไป ก็หยุดดิ้นรนอย่างว่านอนสอนง่าย จ้องเหมียวอี้พร้อมร้องอู้อี้เป็นระยะ เห็นได้ชัดว่าถ้าไม่ใช่กำลังด่าก็กำลังขอร้องให้เขาปล่อยนางไป


เหมียวอี้ที่กำลังนั่งขัดสมาธิเรียกได้ว่าใจแข็งดุจหินผา ไม่สนใจนางเลย


จนกระทั่งสีของท้องฟ้าด้านนอกเริ่มเป็นสีฟ้า เหมียวอี้ก็พลันลืมตาสองข้า ลงจากเตียงแล้วเดินออกไป ทิ้งหวงฝู่จวินโหรวให้ร้องอู้อี้อยู่บนเตียงข้างหลัง


ผู้หญิงคนนี้ก็แกว่งเท้าหาเสี้ยนเหมือนกัน ขยับไม่ได้ก็ไม่ต้องขยับสิ แต่นางดันดิ้นรนเหมือนคนใกล้ตาย สองเท้าที่โดนมัดยกขึ้นกระแทกเตียงประท้วงไม่หยุด


เหมียวอี้ที่เดินมาถึงประตูพลันหยุดฝีเท้า เขาหันกลับมามองแวบหนึ่ง แล้วก็เดินกลับมาอีก จากนั้นเลิกผ้าห่มออกแล้วใช้นิ้วแตะหน้าอกนาง นางเบิกตากว้างทันที หยุดนิ่งโดยสิ้นเชิง เหลือเพียงลูกตาที่ฉายแววอยากจะกัดคน


ตอนที่ห่มผ้าห่มอีกครั้ง ครั้งนี้ก็ห่มศีรษะนางไปด้วยเลย เหมียวอี้เดินออกไปอย่างไม่ลังเล พอเปิดประตูออกมาแล้วก็ปิดประตูไว้ด้วย เดินตรงไปข้างๆ ศิลาสยบขุนเขาด้านนอก แล้วรอเวลาอยู่ครู่หนึ่ง


จนกระทั่งตรงเส้นขอบฟ้ามีแสงสีทองปรากฏรางๆ เหมียวอี้ก็กระโดดขึ้นไปบนศิลาสยบขุนเขา ร่างทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าโดยตรง ในใจกำลังคำนวณระดับความสูงอย่างเงียบๆ สภาพรอบๆ ปราสาทดำเนินเซียนหดลงอยู่ใต้เท้าของเขาอย่างช้าๆ ศิษย์ที่เดินไปเดินมาอยู่บนภูเขาโดยรอบเห็นแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร นึกว่าเขาอยากจะดูพระอาทิตย์ขึ้นเหนือทะเลเมฆ เรื่องราวประเภทนี้มักเกิดขึ้นบ่อยๆ


พอลอยขึ้นฟ้าสูงถึงหกพันจั้ง ร่างของเหมียวอี้ก็หยุดอยู่กับที่ทันที เมื่อขึ้นมาถึงความสูงระดับนี้แล้ว ถ้าคนข้างล่างไม่ได้ตั้งใจใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองสำรวจ ตาเนื้อธรรมดาก็มองไม่เห็นเขาเหมือนกัน


มีประสบการณ์ก่อนหน้านี้แล้วหลายครั้ง ครั้งนี้จึงนับเวลาได้พอดี เขากวาดสายตามองรอบๆ ขณะที่ลอยอยู่บนฟ้า  แล้วสายตาก็หยุดนิ่งอย่างรวดเร็ว พบภาพที่ตัวเองอยากจะเห็นแล้วจริงๆ ด้วย


ยอดเขามากมายที่ลอยอยู่บนทะเลเมฆไกลๆ กำลังอยู่ภายใต้แสงแดดที่ส่องแสงในแนวราบ ทำให้เกิดเงามืดหลายสาย บนทะเลเมฆเกิดเป็นภาพสตรีทะยานฟ้าที่กินพื้นที่กว้างขวาง กางแขนทะยานฟ้าอย่างนิ่มนวลอ่อนช้อย ยังคงสั่นสะท้านใจคนเหมือนเดิม


แต่นี่ไม่ใช่เวลามาชื่นชมสิ่งนี้ เพราะเคยมีบทเรียนมาแล้ว สายตาของเหมียวอี้ไปหยุดอยู่บนมือของสตรีทะยานฟ้าที่กำลังกางแขน บนฝ่ามือไม่มีของอะไรทั้งนั้น มีแค่สีขาวโพลนผืนใหญ่ เพราะว่าตรงนั้นไม่มีภูเขา เหมียวอี้จึงคิดว่านั่นอาจจะเป็นที่ซ่อนสมบัติ


เขาใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์จดจำตำแหน่งภูเขาที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้นอย่างละเอียด หลังจากในหัวสมองกำหนดตำแหน่งเสร็จแล้ว เขาก็ไม่กล้าอยู่ตรงนี้นาน กลัวว่าจะทำให้คนอื่นสงสัย รีบลงไปข้างล่าง ไปเหยียบลงข้างๆ ก้อนหินที่เขียนว่า ‘ที่พักแขก’ อีกครั้ง


เขาไม่ได้กลับเข้ามาในลานบ้านอีก แต่มุ่งไปหาศิษย์ปราสาทดำเนินเซียนที่รับหน้าที่ดูแลสถานที่รับแขกแห่งนี้ เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ท่าทางเหมือนแต่งงานแล้ว หลังจากกุมหมัดคารวะทักทาย ก็กล่าวขอคำชี้แนะ “ทิวทัศน์ที่อยู่ไกลๆ นั่นงดงามมาก ไม่ทราบว่าขอไปดูสักหน่อยได้หรือไม่”


หลังจากผู้หญิงคนนี้ครุ่นคิดเล็กน้อย ก็บอกว่า “เชิญแขกรอสักครู่ ข้าจะไปขอคำชี้แนะสักหน่อย”


“รบกวนด้วย!” เหมียวอี้กุมหมัดขอลคุณ แล้วก็ยืนรออยู่ที่เดิม


ศิษย์หญิงเหาะออกจากภูเขา ไปเหยียบลงบนภูเขาอีกลูก รออยู่ไม่นานก็เหาะกลับมาอีก แล้วยื่นป้ายคำสั่งแผ่นหนึ่งให้เหมียวอี้ “ท่านอาจารย์ลุงบอกมาแล้ว ว่านอกจากภูเขาเผิงไหลสามพันรอบๆ ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้บุกไป นอกนั้นแขกก็สามารถเที่ยวชมได้ตามใจ ถ้าแขกเจอปัญหาอะไร ก็สามารถแสดงป้ายคำสั่งแผ่นนี้เพื่อขอความช่วยเหลือจากศิษย์ของสำนักได้”


“ขอบคุณมาก ขอบคุณมาก!” เหมียวอี้ใช้สองมือรับป้ายคำสั่งมาอย่างสุภาพเกรงใจ แล้วกล่าวขอบคุณอีกครั้ง คนมีมารยาทมากมักไม่โดนตำหนิ


ศิษย์หญิงยิ้มบางๆ พลางแสดงมารยาทกลับอย่างที่คาดไว้ “ไม่ต้องเกรงใจ!”


เมื่อหยิบป้ายคำสั่งมาไว้ในมือแล้ว เหมียวอี้ก็กล่าวอำลาทันที ไปยังสถานที่ที่กำหนดไว้ก่อนหน้านี้อย่างไม่รีบร้อน คงไม่ดีที่จะรีบร้อนจนสะดุดตาคนอื่น


ตอนที่เขาไปได้ไม่นาน ภูเขาลูกหนึ่งในเผิงไหลสามพัน จงหลีค่วยที่ไปพบปะกับสหายเก่าหนึ่งคืนเหาะกลับมาแล้ว เดินตรงเข้ามาในเรือนพักที่เหมียวอี้อยู่ เมื่อเห็นประตูบ้านปิดสนิท จงหลีค่วยก็เอามือลูบเครา เขาลังเลนิดหน่อย ไม่สะดวกจะบุกเข้าไป


ถ้าเหมียวอี้อยู่คนเดียวก็ว่าไปอย่าง แต่ที่สำคัญคือหวงฝู่จวินโหรวก็อยู่ที่นี่ด้วยเหมือนกัน ใครจะไปรู้ว่าสองคนนั้นกำลังทำอะไรด้วยกัน ถ้าบุกเข้าไปแล้วเจอพวกเขาเสื้อผ้าไม่เรียบร้อยก็จะไม่เหมาะสม คิดไปคิดมาก็ตะโกนเรียกดีกว่า “ตะวันส่องก้นแล้ว ยังไม่ตื่นอีกเหรอ”


ต่อให้เป็นทิวทัศน์ที่งดงามกว่านี้ แต่ถ้ามองนานๆ ก็เบื่อเหมือนกัน เขาอยากจะถามเหมียวอี้ว่าจะออกไปจากที่นี่เมื่อไร เขาไม่อยากจะอยู่ที่นี่นานเลยจริงๆ ถ้าตัวตนของเหมียวอี้กับหวงฝู่จวินโหรวถูกเปิดโปงขึ้นมา ก็จะทำให้เขาอึดอัดมาก เพราะเมื่อคืนมีคนถามถึงที่มาที่ไปของสองคนนี้แล้ว เหมียวอี้ตอบแบบขายผ้าเอาหน้ารอด ดังนั้นเขาจึงเตรียมจะเกลี้ยกล่อมให้เหมียวอี้รีบกลับเร็วๆ


พอตะโกนเรียกแล้วข้างในไม่มีปฏิกิริยาอะไร จงหลีค่วยก็แปลกใจแล้ว ไม่ควรจะเป็นแบบนี้สิ! เขาจึงตะโกนอีก “เหมียวอี้ เหมียวอี้…”


ตะโกนหลายครั้งติดต่อกัน แต่ในห้องยังไม่มีปฏิกิริยาอะไร จงหลีค่วยสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย คงไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอกใช่มั้ย?


ดังนั้นจึงเดินมาเคาะประตู แต่ข้างในก็ยังไม่มีปฏิกิริยาอะไร จงหลีค่วยร่ายอิทธิฤทธิ์สะเดาะกลอนทันที ผลักประตูบุกเข้าไปโดยตรง พอกวาดสายตามอง ก็เห็นผมยาวโผล่จากปลายผ้าห่ม แต่กลับไม่ขยับเขยื้อนเลย


ชวิ้ง! จงหลีค่วยถือกระบี่ไว้ในมือ พอเดินเข้ามาใกล้ก็ค่อยๆ ยื่นกระบี่ไปเลิกผ้าห่มออก สิ่งแรกที่เห็นก็คือดวงตาที่วูบไหวร้อนรนของหวงฝู่จวินโหรว จากนั้นก็เห็นปากนางทั้งโดนอุดทั้งโดนมัดไว้


จงหลีค่วยตะลึงไปชั่วขณะ ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้วรยุทธ์ต่ำ ทำไมโดนคนควบคุมไว้โดยไม่เกิดการต่อสู้กันเลยแม้แต่น้อย?


เขารีบร่ายอิทธิฤทธิ์กวาดมองในห้องอย่างระแวดระวัง แต่ไม่เห็นคนอื่นซ่อนตัวอยู่ และไม่เห็นเหมียวอี้ด้วย เขาถึงได้ปาดคมกระบี่ ปาดเชือกบนปากของหวงฝู่จวินโหรว แล้วใช้กระบี่เลิกผ้าที่กำลังยัดปากนางด้วย เมื่อเห็นนางใส่เสื้อผ้าอยู่ ก็โบกกระบี่ถลกผ้าห่มออกอีก ถึงได้พบว่าโดนเชือกมัดเซียนมัดอยู่ ดูท่าทางแล้วน่าจะโดนผนึกวรยุทธ์ด้วย นี่ต้องอยากป้องกันผู้หญิงคนนี้มากขนาดไหนกัน? แค่เห็นเชือกมัดเซียนนั่นก็รู้แล้วว่าเป็นอุปกรณ์ของตำหนักสวรรค์ จึงตัดสินได้ทันทีว่ามีโอกาสสูงที่จะเป็นผลงานของเหมียวอี้


…………………………


บทที่ 1149 พิษประหลาด

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมื่อเห็นหวงฝู่ยังพูดไม่ได้และยังขยับตัวไม่ได้ จงหลีค่วยก็ยื่นมือไปกดบ่านางเพื่อตรวจอาการ พอแน่ใจแล้วว่าถูกควบคุมไว้ ก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ทำลายผนึกทันที


“เฮ่อ…” ตอนนี้หวงฝู่จวินโหรวถึงได้ถอนหายใจยาวออกมา จากนั้นก็ด่าสาดเสียเทเสีย “ไอ้เวรนั่นมันบังอาจลอบจู่โจมข้า!”


เมื่อปลดผนึกพลังอิทธิฤทธิ์แล้วก็มัดนางไม่อยู่ ใช้ความพยายามนิดหน่อยก็กำจัดตราอิทธิฤทธิ์ของเหมียวอี้ในเชือกมัดเซียนได้แล้ว จากนั้นก็ลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองลงไป เชือกมัดเซียนคลายตัวเองและตกอยู่ในมือนางทันที นางพลิกตัวตกลงพื้นแล้ว


“เป็นหนิว…เป็นเหมียวอี้ทำเหรอ?” จงหลีค่วยถาม


“นอกจากไอ้เวรนั่นแล้วยังจะมีใครแว้งกัดข้าได้ล่ะ!” หวงฝู่จวินโหรวขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน


จงหลีค่วยขมวดคิ้ว “อยู่ดีๆ เขาจะมามัดเจ้าทำไม?”


“ข้าจะไปรู้เหรอว่าเขาทำตัวลับๆ ล่อๆ เพราะคิดจะทำอะไร? เขาอยู่ข้างนอกรึเปล่า?”


“ไม่อยู่!”


หวงฝู่จวินโหรวกลอกลูกตา แล้วรีบออกไปตามหาด้านนอกจนทั่วพักหนึ่ง พอเห็นจงหลีค่วยที่อยู่ในลานบ้านอีกครั้ง ก็ถามอีกว่า “รู้รึเปล่าว่าเขาไปไหน?”


“ข้าเพิ่งกลับมา ยังคิดจะถามเจ้าอยู่เลยว่าเขาไปไหน…” พูดจบก็อกสั่นขวัญแขวนนิดหน่อย กังวลว่าเหมียวอี้จะทำเรื่องอะไรที่ไม่ควรทำที่นี่ จึงครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วบอกว่า “ตอนออกไปจากที่นี่คงจะมีคนเห็น ไปถามดูข้างนอกหน่อย” จงหลีค่วยตอบ


หวงฝู่จวินโหรวก็ไม่ไม่มีเวลามาหวีผมอีกแล้ว ปล่อยผมยุ่งสยาย


ทั้งสองทยอยกันถลันตัวออกไป เมื่อหาศิษย์ปราสาทดำเนินเซียนที่รับผิดชอบดูแลที่นี่พบแล้วถามนาง ก็พบว่าเหมียวอี้ออกไปแล้วจริงๆ ด้วย


“ไปที่ไหน?” จงหลีค่วยถามอีกว่า


ศิษย์หญิงที่ดูเหมือนแต่งงานแล้วคนนั้นครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง “ไปทางนั้นค่ะ”


“เจ้ารออยู่ที่นี่สักครู่! ข้าจะไปขอป้ายคำสั่งจากหวังเยี่ยนถง” จงหลีค่วยทิ้งคำพูดไว้แล้วเหาะออกไป ผ่านไปไม่นานก็ถือป้ายคำสั่งมาแล้ว กวักมือเรียกหวงฝู่จวินโหรวแต่ไกลๆ อีกฝ่ายเหาะตามไปทันที ทั้งสองออกไปพร้อมกัน


ศิษย์ปราสาทดำเนินเซียนกระจายกำลังเป็นร่างแหอยู่ทั่วดาวดำเนินเซียน ส่วนสภาพแวดล้อมของดาวดำเนินเซียนก็เห็นๆ กันอยู่ เห็นสภาพพื้นที่ใต้เมฆหมอกได้ยากมาก ดังนั้นเหมียวอี้จึงเหาะอยู่กลางอากาศอย่างไม่สนใจอะไร ถ้าไม่อยากให้ศิษย์ที่ดาวดำเนินเซียนพบตอนเหาะอยู่บนฟ้าก็คงยาก เวลาจงหลีค่วยกับหวงฝู่จวินโหรวเจอศิษย์ปราสาทดำเนินเซียนดักและสอบถาม พวกเขาก็ถามกลัยเช่นกัน และไม่นานก็แน่ใจทิศทางที่เหมียวอี้ไปแล้ว


“ใครกัน!”


บนยอดเขาข้างหน้ามีเสียงตะโกนดังมา เงาคนคนหนึ่งแฉลบผ่านฟ้ามาขวางทางเหมียวอี้ไว้ ด้านซ้ายด้านขวามีคนเหาะมาเพิ่มอีกสิบกว่าคน


เหมียวอี้ค่อนข้างจนใจ ระหว่างทางที่มานี่เป็นครั้งที่ห้าแล้วที่โดนขวางทาง ปราสาทดำเนินเซียนพิทักษ์รักษาดาวดำเนินเซียนเข้มงวดพอสมควร แต่ก็ช่วยไม่ได้ สภาพด้านล่างของเมฆหมอก แม้แต่การแยกแยะทิศทางให้ชัดเจนยังทำได้ยากมาก ทำอย่างหลบๆ ซ่อนๆ ไม่ค่อยสะดวก ทำเอาการเดินทางในครั้งนี้ของเขาไม่เป็นความลับอะไรเลย นี่ก็เป็นสาเหตุที่เขาไม่ได้เก็บหวงฝู่จวินโหรวเข้าในกระเป๋าสัตว์


ย่อมเกิดความเข้าใจผิดอยู่แล้ว ป้ายคำสั่งที่เหมียวอี้ยื่นให้ได้ยืนยันตัวตนแล้วว่าเป็นแขกที่มาชมทิวทัศน์ ‘ป้ายคำสั่ง’ ของเขาไม่เหมือนป้ายคำสั่งที่หวังเยี่ยนถงมีไว้ครอบครองส่วนตัว แต่เป็นการทำหลักฐานยืนยันออกมา ว่าเขาคือแขกของปราสาทดำเนินเซียนที่มาเที่ยวเล่นที่นี่ ให้ศิษย์แต่ละคนอย่าเมินเฉยไม่ต้อนรับ


“ที่แท้ก็เป็นพี่เหมียว ผู้น้อยหลิวฮั่น ถ้ามีจุดไหนล่วงเกินก็ขออภัยด้วย” ชายหนุ่มที่ตรงหว่างคิ้วเผยวรยุทธ์บงกชทองขั้นห้ากุมหมัดคารวะ พอนำป้ายคำสั่งคืนให้ กลุ่มลูกศิษย์ที่วรยุทธ์ค่อนข้างต่ำที่ลอยอยู่ข้างหลังเขาก็แสดงท่าทีศัตรูเช่นกัน


“พี่หลิวทำตามหน้าที่ จะตำหนิได้อย่างไร” เหมียวอี้ยิ้มตอบพร้อมรับป้ายคำสั่งกลับมา


แต่พอหลิวฮั่นมองตามทิศทางที่เหมียวอี้จะไป ก็ขมวดคิ้วถามว่า “นี่พี่เหมียวจะไปเที่ยวเล่นข้างหน้าเหรอ?”


“ใช่แล้ว!” เหมียวอี้ตอบ แต่พอเห็นปฏิกิริยาแบบนั้นของอีกฝ่าย จึงถามหยั่งเชิงว่า “หรือว่ามีอะไรไม่เหมาะสม?”


หลิวฮั่นตอบว่า “พี่เหมียวต้องจำไว้ให้ดีนะ ถ้าไปต่อข้างหน้าอีกหนึ่งร้อยลี้ แล้วพบความผิดปกติอะไร ก็อย่าเดินไปข้างหน้าต่อเด็ดขาด ท่ามกลางเมฆหมอกในรัศมีหนึ่งร้อยลี้ของที่นั่นซ่อนหมอกพิษเอาไว้ พิษร้ายแรวสุดๆ พิษนั้นรักษาไม่ได้ คนที่บุกเข้าไปแทบจะออกมาไม่ได้เลย ต่อให้โชคดีรอดชีวิตออกมาได้ แต่ก็สติฟั่นเฟือน ผู้อาวุโสหลายท่านของสำนักเราเคยโดนหมอกพิษนี้ ดังนั้นลูกศิษย์จึงไม่กล้าแม้แต่จะเข้าใกล้ พี่เหมียวต้องระวังตัวนะ จะประเมินมันต่ำไม่ได้เด็ดขาด!”


เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ ตำแหน่งที่อีกฝ่ายบอกมา ก็คือจุดมุ่งหมายหาสมบัติที่ตนต้องการจะไปไม่ใช่เหรอ?


แต่ไม่นานก็เปลี่ยนความคิด มีความเป็นไปได้ว่าคนที่ซ่อนสมบัติทำให้ที่นั่นเป็นเขตต้องห้ามเพื่อปกป้องสมบัติ ประสบการณ์ที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่าตนไม่กลัวพิษ จึงกุมหมัดคารวะทันที “ขอบคุณที่พี่หลิวเตือน ข้าจะไปดูนิดหน่อย ไม่ล่วงล้ำเข้าไปแน่ ไม่รบกวนการเฝ้าเวรยามของพี่หลิวแล้ว ขอตัวก่อน!”


“ส่งตรงนี้!” หลิวฮั่นกุมหมัดส่ง หลังจากมองส่งเหมียวอี้เหาะหายไปในทะเลเมฆไกลๆ ก็ลูบเคราสั้นพลางขมวดคิ้วพึมพำ “คนนี้ทำไมหน้าคุ้นๆ? เหมียวอี้…เหมียวอี้…”


“อาจารย์อา เป็นอะไรไป? หรือว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า?” ลูกศิษย์ที่อยู่ข้างๆ เห็นเขาทำท่าครุ่นคิด จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม


“ไม่มีอะไร!” หลิวฮั่นส่ายหน้า “ข้าแค่รู้สึกว่าคนคนนี้ค่อนข้างคุ้นตา คล้ายๆ ผู้บัญชาการใหญ่หนิวโหย่วเต๋อของตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน”


“หนิวโหย่วเต๋อที่สั่งตัดหัวข้าทาสของชนชั้นสูงที่ตำหนักสวรรค์ไปสามพันกว่าคนนั่นน่ะเหรอ?” ศิษย์คนนั้นถามอย่างตกใจ


“นอกจากหนิวโหย่วเต๋อนั่นแล้วจะมีใครได้อีก ชื่อประเภทนี้ ถ้าอยากจะให้มีคนชื่อเดียวกันก็คงยาก” หลิวฮั่นตอบ


ศิษย์อีกคนบอกว่า “อาจารย์อา เกรงว่าคงจะจำผิดแล้วมั้ง ผู้บัญชาการใหญ่ของตำหนักสวรรค์จะมีบัตรผ่านของปราสาทดำเนินเซียนได้อย่างไร?”


หลิวฮั่นกล่าวอย่างลังเลว่า “ตอนนั้นที่หนิวโหย่วเต๋อสั่งตัดหัวคนสามพันกว่าคน ข้าได้รับคำสั่งให้จัดการธุระแล้วผ่านมาที่ดาวเทียนหยวน ตอนที่แวะพักตลาดสวรรค์เกิดเรื่องนี้ขึ้นพอดี ตอนนั้นข้าล้อมมุงดูอยู่ด้วย ในตอนนั้นเขาสวมเกราะรบแม่ทัพหนึ่งแถบของตำหนักสวรรค์ เผยใบหน้าออกมา ลักษณะมีพลังอำนาจ ใบหน้าหยิ่งผยิงดุร้าย ถ้าเทียบกับคนคนนี้ก็ต่างกันนิดหน่อย ข้าว่าข้าคงมองผิดไป คงจะแค่หน้าตาเหมือนกันเฉยๆ”


ถ้าเหมียวอี้ได้ยินคำพูดเหล่านี้ของเขา คาดว่าคงต้องมีปาดเหงื่อกันบ้าง ต้องนึกไม่ถึงแน่ๆ ว่าดาวดำเนินเซียนที่อยู่ไกลขนาดนี้จะมีคนรู้จักเขา นี่คือราคาที่ต้องจ่ายจากการทำตัวโดดเด่นในปีนั้น ไม่อย่างนั้นในบรรดาคนที่ไปมาหาสู่กับดาวเทียนหยวน จะมีสักกี่คนที่มีโอกาสเห็นว่าผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์เป็นใคร


หลิวฮั่นเพิ่งจะกลับมาถึงจวนถ้ำที่ต้องเฝ้าเวรยามได้ครู่เดียว จู่ๆ ระฆังดาราก็ส่งเสียงดัง ได้รับขาวจากลูกศิษย์อีกแล้ว มีคนแปลกหน้าสองคนบุกเข้ามาอีกแล้ว


ทำไมวันนี้มีแต่คนแปลกหน้ามาหา? หลิวฮั่นค่อนข้างแปลกใจ ออกไปดักคนไว้อีกครั้ง


คนที่ดักไว้ได้ย่อมไม่ใช่ใครอื่น เป็นจงหลีค่วยกับหวงฝู่จวินโหรวนั่นเอง การถูกซักถามเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้


เมื่อยืนยันที่มาที่ไปแล้ว จงหลีค่วยก็ถามคำถามเดียวกับที่ถามคนอื่นก่อนหน้านี้ “พี่หลิว เห็นคนที่ชื่อหนิวโหย่วเต๋อผ่านมาทางนี้บ้างหรือเปล่า?”


“มี! เพิ่งจะผ่านทางนี้ไปได้ไม่นาน” หลิวฮั่นพยักหน้าตอบ สายตาเขากวาดมองใบหน้าหวงฝู่จวินโหรวเป็นระยะพลางขมวดคิ้ว


“ไปทางไหนแล้ว?” หวงฝู่จวินโหรวถาม


หลิวฮั่นโบกมือชี้ แล้วก็เตือนทั้งสองเหมือนที่เตือนเหมียวอี้ก่อนหน้านี้ด้วย


ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง พอขอบคุณที่อีกฝ่ายชี้แนะ ก็ขอตัวอำลา แล้วเดินทางไปยังทิศทางที่เหมียวอี้ไป


ขณะที่มองส่งทั้งสองคล้อยหลังไป หลิวฮั่นก็ขมวดคิ้วมุ่น ข้างหลังมีลูกศิษย์ถามอีกว่า “อาจารย์อา อย่าบอกนะว่าเคยรู้จักอีก?”


หลิวฮั่นส่ายหน้าเบาๆ แล้วเรียกให้ทุกคนแยกย้าย แต่ระหว่างทางที่กลับมาจวนถ้ำ คิวที่ขมวดมุ่นกลับไม่เคยคลายออกเลย


ถึงแม้เขาจะไม่สนิทกับจงหลีค่วย แต่ก็เคยเห็นตอนที่จงหลีค่วยมาที่ปราสาทดำเนินเซียนในปีนั้น คนนี้คงจะเป็นจงหลีค่วยไม่ผิดแน่ แต่ปัญหาอยู่ที่ตัวหวงฝู่จวินโหรว ก่อนที่เหมียวอี้จะเปิดฉากสังหารใหญ่ที่ตลาดสวรรค์ เขาเคยผ่านมาพักที่ดาวเทียนหยวนไม่กี่วัน ตอนนั้นเคยนำยาเจี๋ยตันที่ได้ไปปล่อยขายให้ร้านค้าสมาคมวีรชน ถึงแม้คนที่มาต้อนรับเขาจะไม่ใช่หวงฝู่จวินโหรว แต่เขาก็เคยบังเอิญเหลือบไปเห็นหวงฝู่จวินโหรวนั่งคุยกับคนอื่นอยู่ในห้องส่วนตัว


พอบังเอิญเหลือบมองแวบหนึ่ง เขาก็อดไม่ได้ที่จะมองหลายๆ ครั้ง เป็นเพราะความงามของหวงฝู่จวินโหรวก็เห็นๆ กันอยู่ เป็นเรื่องยากที่จะให้ผู้ชายปกติมองข้าม ด้วยเหตุนี้จึงถือโอกาสถามพนักงานว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร เขาจึงค่อนข้างมีภาพของหวงฝู่จวินโหรวติดในความทรงจำ แต่หวงฝู่จวินโหรวในวันนี้ดันปล่อยผมยาวสยาย เปลี่ยนทรงผมแล้ว ถึงแม้หน้าตาจะงดงามชวนหวั่นไหวเหมือนเดิม แต่ก็ดูไม่ค่อยเหมือนแล้วจริงๆ


ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจสงสัยไม่หยุดก็คือ แค่เหมียวอี้คนเดียวที่หน้าตาเหมือนหนิวโหย่วเต๋อก็ว่าน่าสงสัยแล้ว ทำไมมีหวงโหรวที่หน้าตาเหมือนผู้จัดการร้านค้าสมาคมวีรชนโผล่มาด้วยล่ะ? สองคนที่หน้าตาคล้ายสองคนนั้นดันเป็นคนที่อยู่ในสถานที่เดียวกันด้วย แถมชื่อหวงฝู่จวินโหรวกับหวงโหรวก็ยังมีความเชื่อมโยงกันอีก…


ในตอนนี้เหมียวอี้มาถึงบริเวณที่อยู่ริมขอบจุดมุ่งหมายแล้ว เหยียบลงบนยอดเขาแห่งหนึ่งที่กำหนดไว้ มองทิวทัศน์โดยรอบจากตรงนี้ก็ยังโอ่อ่าสง่างามเหมือนเดิม แต่กลับมีกลิ่นอายของสิ่งมีชีวิตน้อยลงหลายส่วน ไม่น่าเชื่อว่าเบื้องหน้าจะไม่เห็นสัตว์ปีกบินไปบินมาเลย เท่ากับพิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่หลิวฮั่นพูดเป็นความจริง


เขาย่อมไม่หยุดอยู่ตรงนี้อยู่แล้ว ถ้าเป็นอย่างอื่นเขาอาจจะพะว้าพะวัง แต่กับยาพิษเขาไม่รู้สึกอะไร ถึงขั้นเป็นเรื่องดีสำหรับเขาในตอนนี้ด้วยซ้ำ แปลว่าบริเวณนี้ไม่มีศิษย์ปราสาทดำเนินเซียนเฝ้าอยู่ สามารถจัดการเรื่องต่างๆ ได้สะดวก


อิงจากประสบการณ์ก่อนหน้านี้ เหมียวอี้ก็ถลันตัวพุ่งในแนวแนวเฉียงขึ้นไปบนฟ้าเหนือสถานที่เป้าหมาย เตรียมจะกำหนดจุดศูนย์กลางของสถานที่นั้นจากบนฟ้า


เมื่อล่วงล้ำเข้ามาในน่านฟ้าที่หลิวฮั่นเตือน ข้างหูเหมียวอี้ก็ได้ยินเสียงคน “นี่” ดังมารางๆ เหมือนเสียงนี้จะดังก้องอยู่ในหัวของเขา เขางงไปชั่วขณะ รีบหันมองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นว่ามีใคร แต่เห็นจงหลีค่วยกับหวงฝู่จวินโหรวตามมาอยู่ไกลๆ


สองคนนี้มาได้อย่างไร? เหมียวอี้ค่อนข้างพูดไม่ออก สาเหตุที่เขามัดหวงฝู่จวินโหรวไว้ไม่ยอมพามา ก็เป็นเพราะการรักษาการณ์ของดาวดำเนินเซียนแน่นหนาเกินไป กลัวว่าการเดินทางครั้งนี้จะมีความผิดพลาดอะไร ที่ทิ้งหวงฝู่จวินโหรวเอาไว้ก็เพื่อความปลอดภัยของนางเอง ถ้าพูดจากอีกมุมมองหนึ่ง การที่มัดนางไว้แบบนี้ก็เพื่อให้รับมือได้สะดวก หากเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นมาจะได้ช่วยให้หวงฝู่ตัดความเกี่ยวข้องกับเขาได้ ใครจะคิดว่าผู้หญิงคนนี้ยังจะมาได้อีก


เมื่อเห็นคนที่มากับนางก็รู้แล้ว เหมียวอี้เรียกได้ว่าทั้งโมโหทั้งอยากขำ เดาว่าจงหลีค่วยคงจะปล่อยผู้หญิงคนนั้นออกมา ตนอุตส่าห์ลงมือกับหวงฝู่ได้อย่างสะดวกราบรื่นแล้ว แต่ดันพลาดให้ลุงหนวด!


แต่สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้แปลกใจก็คือ หรือว่าเมื่อครู่นี้เป็นพวกเขาสองคนที่ตะโกนเรียกตน? ไม่ใช่สิ ไม่เหมือนเสียงของสองคนนั้น ยังมีคนอื่นอีกเหรอ? เขารีบหันมองไปรอบๆ อีกครั้ง แต่ก็ไม่เห็นคนอื่น


ในขณะนี้เอง จู่ๆ ข้างหูก็มีเสียงจ้อกแจ้กจอแจดังกรอกเข้ามาในหูโดยตรง เสียงแบบต่างๆ ที่ดังขึ้นในชั่วพริบตาเดียวทำให้เขาปวดหัวจนหัวแทบแยก โดยเฉพาะเสียงที่ดังชัดที่สุดท่ามกลางเสียงดังวุ่นวายนั้น “มานี่…มานี่สิ…” เป็นเสียงที่เรียกเขาไม่หยุด แยกไม่ออกว่าเป็นเสียงของผู้ชายหรือผู้หญิง ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในความฝัน ไม่รู้ว่าจะเรียกให้ตนไปที่ไหน


สิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงยิ่งกว่านั้นก็คือ ตั๊กแตนห้าตัวในกำไลเก็บสมบัติตื่นแล้ว มันร้อนรนกระสับกระส่ายอยู่ในกำไลเก็บสมบัติ เฮยทั่นที่อยู่ในกระเป๋าสัตว์ก็ไม่นอนแล้วเช่นกัน มันกำลังร้อนรนอยู่ในกระเป๋าสัตว์


เขาจำคำเตือนของหลิวฮั่นได้ สิ่งแรกที่เขาคิดได้ก็คือตัวเองโดนพิษเข้าแล้ว แต่จะเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร?


มีหลิวฮั่นเตือนไว้ก่อนล่วงหน้า เขาจึงใช้เกราะอิทธิฤทธิ์ล่องหนก่อนที่จะล่วงล้ำเข้ามาในน่านฟ้าผืนนี้ ต่อให้พิษจะสามารถฝ่าทะลุเกราะอิทธิฤทธิ์ล่องหนได้ แต่ตนก็น่าจะได้รับสัญญาณแจ้งเตือนบ้างสิถึงจะถูก จะได้ใช้วิชาอัคนีดาราเตรียมป้องกันได้ทันเวลา แต่ไม่น่าเชื่อว่าตนจะโดนพิษโดยไม่รู้สึกถึงเค้าลางเลยสักนิด? กระเป๋าสัตว์กับกำไลเก็บสมบัติยังไม่ได้เปิดใช้ พิษจะเข้าไปข้างในได้อย่างไร? ถ้าเป็นการโจมตีด้วยคลื่นเสียง ตั๊กแตนกับกับเฮยทั่นก็อยู่ในอีกมิติหนึ่ง เป็นไปไม่ได้ที่จะถูกรบกวนโดยคลื่นเสียง นี่มันเป็นพิษอะไรกันแน่?


…………………………


บทที่ 1150 หอยไฟฟ้า

โดย

Ink Stone_Fantasy

ตามหลักการแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีจากพิษหรือว่าคลื่นเสียง ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะเข้ามาในกระเป๋าสัตว์และกำไลเก็บสมบัติ เหมียวอี้ยากที่จะทำความเข้าใจได้


แต่นี่ไม่ใช่เวลามาพิจารณาเรื่องนี้ จิตใต้สำนึกของของเขาตกอยู่ในแนวโน้มเหม่อลอยแล้ว เรียกได้ว่าถลำลึกลงไปอย่างรวดเร็ว ถ้าไม่ใช่เพราะได้ยินคำเตือนมาล่วงหน้า เกรงว่าอาจจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาก็ได้ เหมียวอี้รีบใช้เพลิงจิตปกป้องร่างกาย


พอเพลิงเดือดสีเหมือนน้ำครอบร่างกาย เสียงที่วุ่นวายอยู่ในหัวก็ถดถอยไปราวกับกระแสน้ำไหลทันที สติสัมปชัญญะกลับมาชัดเจนอีกครั้ง ตั๊กแตนกับเฮยทั่นก็ถูกปลอบโยนจนสงบลงอย่างรวดเร็ว เมื่อแน่ใจแล้วว่าเพลิงจิตมีผลกับการป้องกัน เหมียวอี้ก็ถอนหายใจยาวออกมาอย่างโล่งอก


“ข่างหน้าคือพื้นที่ต้องห้ามที่หลิวฮั่นเอ่ยถึง มีอันตราย เข้าไปอีกไม่ได้แล้ว!”


เมื่อตามมาถึงริมขอบพื้นที่ต้องห้าม จงหลีค่วยเห็นหวงฝู่จวินโหรวยังต้องการจะไปข้างหน้าต่อ จึงเอ่ยเตือนทันที


ทีแรกทั้งสองหยุดลอยอยู่บนท้องฟ้าก่อน แต่หวงฝู่จวินโหรวชี้ไปยังเหมียวอี้ที่กำลังเหลียวซ้ายแลขวาอยู่ไกลๆ “เจ้าดูเขาสิ เหมือนคนเป็นอะไรที่ไหน หลิวฮั่นนั่นคงจะพูดเกินความจริง”


“คงจะไม่พูดเรื่อยเปื่อยโดยไร้เป้าหมายหรอก ระวังตัวไว้หน่อยจะดีกว่า” จงหลีค่วยกล่าว


หวงฝู่จวินโหรวถามกลับว่า “ขนาดเหมียวอี้ยังไปได้ แล้วพวกเราจะไปไม่ได้เชียวเหรอ? เจ้าบ้านั่นทำลับๆ ล่อๆ ที่นั่นต้องมีลับลมคมในอะไรแน่นอน ข้าจะไปดู” พูดจบก็ถลันตัวออกไปเลย


จงหลีค่วยคิดไปคิดมาก็เห็นด้วย ขนาดเหมียวอี้ยังไปได้ คงจะไม่มีปัญหาอะไรมาก จึงตามไปด้วยเช่นกัน


ส่วนเหมียวอี้ที่เห็นว่าตอนแรกสองคนนั้นหยุดอยู่ด้านนอก ก็ยังนึกว่าทั้งสองไม่กล้าข้ามา แต่ใครจะคิดว่าพอมองสำรวจไปจนทั่วแล้วหันหน้ากลับมาอีกครั้ง ก็เห็นจงหลีค่วยกับหวงฝู่จวินโหรวพุ่งเข้ามาแล้ว เขาตกใจมากทันที รีบโบกมือส่งสัญญาณให้ทั้งสองถอยไป


แต่เห็นได้ชัดว่าสายไปแล้ว ทั้งสองพุ่งเข้ามาลึกในชั่วอึดใจเดียว จนกระทั่งตอนที่พบความไม่ชอบมาพากลและเหาะกลับไปอีกครั้ง ร่างกายทั้งสองก็โอนเอนอยู่บนท้องฟ้าแล้ว ชั่วพริบตาเดียวก็เหมือนนกปีกหัก แกว่งไกวและดิ่งตกลงจากฟ้าสูง สองคนที่สติเลื่อนลอยอย่างเห็นได้ชัดทยอยกันดิ่งลงพื้น


พรึ่บ! เหมียวอี้พุ่งเข้ามาเร็วมากเหมือนลูกธนูที่ออกจากสาย ขณะที่ทั้งสองตกถึงทะเลเมฆ เขาก็ถือแขนทั้งสองไว้คนข้างละคน ดึงทั้งสองไปเหยียบลงบนยอดเขาใกล้ๆ แล้วรีบปล่อยเพลิงจิตออกมาครอบร่างกายทั้งสองเอาไว้


เมื่อเห็นทั้งสองคนที่เต้นแร้งเต้นกาสงบลงอย่างช้าๆ แววตาที่เลื่อนลอยค่อยๆ กลับมาสดใสชัดเจน จู่ๆ เหมียวอี้ก็ลงมือผนึกวรยุทธ์ของทั้งสองไว้ หลังจากทั้งสองขยับตัวไม่ได้แล้ว เขาก็หิ้วทั้งสองเหาะออกไปนอกบริเวณนั้น โยนทั้งสองทิ้งไว้บนภูเขาลูกหนึ่ง


สถานการณ์ของเขตพื้นที่นั้นแปลกประหลาดเกินไปจริงๆ ไม่จำเป็นต้องพาทั้งสองไปเสี่ยงอันตรายด้วย ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเหมียวอี้จนกลับมาไม่ได้ ปราสาทดำเนินเซียนไม่เห็นทั้งสามคนนานๆ ก็จะมาค้นหาทางนี้ทันที ถึงตอนนั้นก็ย่อมช่วยเหลือทั้งสองออกไปได้


เมื่อวางทั้งสองคนไว้เรียบร้อยแล้ว เหมียวอี้ก็ใช้เพลิงจิตปกป้องร่างกายอีกครั้ง แล้วพุ่งในแนวเฉียงขึ้นไปบนท้องฟ้าของเขตอันตราย แล้วมองไปรอบๆ ขณะที่ลอยอยู่บนฟ้า กำหนดบริเวณศูนย์กลางของเขตอันตรายอย่างคร่าวๆ โดยอิงตามยอดเขาที่อยู่โดยรอบ เสร็จแล้วถึงได้พุ่งเข้าไปในทะเลเมฆ


เมื่อผ่านเมฆหมอกมาเหยียบลงพื้น ใต้เท้าก็มีเสียงดังกร๊อบชัดเจนมาก เหมียวอี้ก้มมองว่ามันคืออะไร พบว่าตัวเองกำลังเหยียบอยู่บนโครงกระดูกผืนหนึ่ง พอมองดูรอบๆ อีกครั้ง ก็พบว่าทุกที่ที่สายตาสามารถมองเห็นได้มีแต่โครงกระดูก ส่วนใหญ่เป็นกระดูกของสัตว์ป่า กระดูกมนุษย์ก็ใช่ว่าจะไม่มี เพียงแต่มีน้อย


ไม่ใช่โครงกระดูกเสียทั้งหมด ยังมีร่างของสัตว์ป่าที่เน่าเปื่อยด้วย ศพที่เพิ่งตายใหม่ๆ ก็มีเหมือนกัน


ขณะที่เหยียบกระดูกจนแตกเสียงดังกรอบแกรบ เหมียวอี้ก็หยุดอยู่ข้างๆ ศพกวางน้อยตัวหนึ่งที่เพิ่งตายได้ไม่นาน ช้อนกระบี่วิเศษผลึกแดงด้ามหนึ่งมาไว้ในมือ แล้วใช้กระบี่กรีดผิวหนังของกวางน้อยออก เมื่อเห็นสีของเนื้อที่อยู่ข้างในนั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว สีของเนื้อสดใหม่มาก เลือดสีแดงสด ดูแล้วไม่เหมือนตายเพราะโดนพิษ


ทว่าในโลกนี้มีสิ่งพิสดารมากมาย บางทีการดูแค่ภายนอกอาจจะไม่มีทางแน่ใจได้ว่าโดนพิษตายหรือไม่ เหมียวอี้หันกระบี่กลับมาที่ตัวเอง แล้วเลียเลือดกวางที่อยู่บนคมกระบี่ หลังจกาชิมรสเลือดกวางอย่างละเอียดแล้ว เขาก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง พบว่าไม่มีพิษอะไรเลย หรือพูดได้อีกอย่างว่ากวางตัวนี้ไม่ได้ตายเพราะโดนยาพิษ


ก่อนหน้านี้หลิวฮั่นเตือนแล้วว่าที่นี่มีพิษประหลาด เขาก็เลยคิดไปในทางนั้นด้วยเหมือนกัน แต่หลังจากผ่านการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน เขาก็สงสัยนิดหน่อยว่าอาจจะไม่ใช่พิษ หลักฐานของจริงในตอนนี้ได้พิสูจน์แล้วว่าเขาวินิจฉัยผิด


ถ้าไม่โดนพิษแล้วจะโดนอะไรได้ล่ะ? หลังจากเหมียวอี้ครุ่นคิดไปสักพัก ก็รู้สึกว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องสนใจว่าที่นี่มีอะไรผิดปกติ การหาของที่ตัวเองต้องการให้พบก่อนต่างหากที่เป็นเป็นเรื่องสำคัญ จึงร่ายอิทธิฤทธิ์กวาดมองโดยรอบ พบว่าเงียบงันไร้ผู้คน และดูไม่เหมือนซ่อนอะไรเอาไว้ แต่กลับพบทะเลสาบแห่งหนึ่งอยู่ไม่ไกล ในใจเขาจึงเกิดความคิดบางอย่างแล้วถลันตัวเข้าไปทันที


เมื่อไปเหยียบลงริมทะเลสาย เหมียวอี้ก็ทำสีหน้าค่อนข้างจริงจัง บนทะเลสาบมีหมอกบางปกคลุม ส่วนตรงน้ำตื้นริมทะเลสาบก็มีกระดูกสีขาวกระจัดกระจายเกลื่อนกลาด  แต่ไม่เหมือนกับที่เห็นก่อนหน้านี้ เพราะในน้ำมีแต่กระดูกคน


ในขณะนี้เอง เหมียวอี้พลันหันกลับไปมองตรงจุดที่อยู่ไม่ไกล ในหมอกหนาที่เกิดการเปลี่ยนแปลวไม่หยุดนิ่งมีคนคนหนึ่งเดินออกมา เป็นสตรีวัยกลางคนสวมชุดสีเทา หน้าตาค่อนข้างดี เพียงแต่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนของปราสาทดำเนินเซียน สายตาของเหมียวอี้ไปหยุดอยู่ที่มือนาง ในมือนางกำลังถือหลิงชานต้นหนึ่ง


หลิงชานของดาวดำเนินเซียนคือสมบัติเฉพาะของปราสาทดำเนินเซียน คนนอกไม่สามารถล่วงล้ำเข้ามาเก็บโดยพลการได้ ถ้าเป็นคนรู้จักของปราสาทดำเนินเซียน แล้วต้องการหลิงชานจริงๆ ปราสาทดำเนินเซียนก็ย่อมนำไปมอบให้เอง ไม่จำเป็นต้องถ่อมาขุดเก็บ ชัดเจนมากว่าการมาเก็บเองส่วนตัวแบบนี้หมายความว่าอย่างไร


เหมียวอี้ตัดสินได้แล้วว่ามีความเป็นไปได้สูงที่นางจะมาปล้นหลิงชาน แต่การรอดพ้นหูตาของปราสาทดำเนินเซียนมาได้ก็นับว่ามีฝีมืออยู่เหมือนกัน แต่จะว่าไปแล้ว ดาวดำเนินเซียนกว้างใหญ่ขนาดนี้ ขอเพียงบุกเข้ามาแล้วไม่ถูกพบ เคลื่อนไหวหลบๆ ให้อยู่ต่ำกว่าเมฆหมอก ปราสาทดำเนินเซียนก็ไม่น่าจะจับได้ง่ายขนาดนั้นเหมือนกัน แค่จะถูกจับได้ง่ายตอนเข้าออกดาวดำเนินเซียนเท่านั้นเอง


เหมียวอี้ยังแปลกใจว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงไม่ถูกความผิดปกติของที่นี่รบกวน ทำไมถึงมองข้ามเขาราวกับไม่มีตัวตน อยู่ห่างกันในระยะที่ใกล้ขนาดนี้ เขาสามารถเห็นนางได้ เขาไม่เชื่อหรอกว่านางจะไม่เห็นเขา จู่ๆ ก็พบว่าบนใบหน้าของนางเผยรอยยิ้มโง่ๆ นางมองทะเลสาบตรงหน้าราวกับมองเห็นสวรรค์ เหมียวอี้รู้สึกได้ถึงความผิดปกติทันที เห็นตรงหว่างคิ้วของนางเผยวรยุทธ์บงกชทองขั้นสาม นางลอยตัวเหาะขึ้นมา เหาะไปที่ผิวทะเลสาบโดยมีเกราะอิทธิฤทธิ์ล่องหนป้องกันตัว สุดท้ายก็มุดลงไปในน้ำ


เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะถลันตัวตามไป มุดลงไปในน้ำทะเลสาบเช่นเดียวกัน ตามหลังสตรีวัยกลางคนคนนั้น ดำตามนางลงไปในน้ำลึกราวกับมีฟองอากาศห่อหุ้มร่างกาย


หลังจากทั้งสองเพิ่งดำลึกลงไปได้สิบจั้ง เหมียวอี้ก็พลันเบิกตากว้าง จู่ๆ ก็เห็นเมฆดำกลุ่มหนึ่งทะลักขึ้นมาจากก้นทะเลสาบและหมุนวนไปหาสองคนที่กำลังดำน้ำลงไป


ในน้ำจะมีเมฆดำโผล่มาได้อย่างไรกัน? เมื่อดวงตาอิทธิฤทธิ์มองให้ละเอียด ถึงได้พบว่าเป็นแมลงสีดำขนาดตัวเท่าเมล็ดงาที่หนาแน่นฝูงหนึ่ง เล็กแต่ดุร้าย


สตรีวัยกลางคนที่ดำน้ำอยู่ข้างหน้าประสบหายนะทันที นางดิ้นรนเอาตัวรอดอยู่ในน้ำพักหนึ่ง เหมียวอี้มองจนขนหัวลุก ไม่น่าเชื่อว่าแมลงพวกนั้นจะทะลุฝ่าเกราะอิทธิฤทธิ์ล่องหนของนางได้ ชั่วพริบตาเดียวก็ทำให้นางจมลงในน้ำ แล้วฝูงแมลงก็กรูกันเข้าไปล้อมครอบนางไว้


เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนั้นมีสติสัมปชัญญะเลือนราง เหลือเพียงความสามารถในการร่ายอิทธิฤทธิ์ตามสัญชาตญาณเท่านั้น ไม่เข้าใจเลยว่าต้องขัดขืนต่อต้านอย่างไร และไม่รีบหนีขึ้นมาจากน้ำด้วย ยังคงดำน้ำลงไปข้างล่างต่อ เหมียวอี้รีบพุ่งตามเข้าไป อยากจะช่วยชีวิตนาง แต่ใครจะคิดว่าแมลงพวกนั้นจะไม่ได้โจมตีนางคนเดียวแล้ว มีแมลงส่วนหนึ่งกรูเข้ามาหาเขาด้วยเช่นกัน


เหมียวอี้หยุดชะงักทันที เปลี่ยนมาระแวดระวังรอบๆ ไม่รู้ว่าเพลิงจิตของตัวเองจะสามารถต้านทานฝูงแมลงที่หนาแน่นพวกนี้ได้หรือเปล่า ถ้าพบความิดปกติเขาก็จะฝ่าออกจากน้ำทันที


โชคดีที่เพลิงจิตไม่ได้ทำให้เขาผิดหวัง ภายใต้อานุภาพการใช้เพลิงจิตของเขา พอแมลงพวกนั้นชนกับตาข่ายไฟของเพลิงจิต ก็มีเสียงเปาะแปะเปาะแปะทันที ราวกับถั่วที่ระเบิดหลังจากโดนผัดในกระทะจนพอง เรียกได้ว่ามาเท่าไรก็ตายเท่านั้น แต่แมลงพวกนั้นก็ฉลาดมากเหมือนกัน เมื่อเห็นว่าฝ่ายตัวเองเสียหายหนักและไม่มีทางทำอะไรเหมียวอี้ได้ พวกมันก็หนีไปเหมือนลมพัดทันที


เมื่อไม่มีฝูงแมลงที่หนาแน่นมาเป็นอุปสรรคต่อสายตาแล้ว เหมียวอี้ก็ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์กวาดมองสตรีวัยกลางคนคนนั้นทันที ถ้าไม่มองคงไม่รู้ หลังจากเห็นแล้วขนลุกซู่ เวลาเพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ผู้หญิงที่โดนแมลงพวกนั้นพัวพันกลายเป็นกระดูกสีขาวไปแล้ว กำลังจมลงก้นทะเลสาบโดยมีฝูงแมลงวนเวียนต่อไป


ก้นทะเลสาบดำมืดมิด เหมียวอี้ไม่รู้ว่าข้างล่างมีอะไร และไม่รู้ด้วยว่าใช่ที่ซ่อนสมบัติหรือไม่ แต่การกระทำของผู้หญิงคนนั้นที่ต่อให้ตายก็จะลงไปข้างล่างให้ได้ ทำให้เขาอยากจะลงไปดูว่ามีอะไรกันแน่ อย่างน้อยก็ไปเพื่อหาสมบัติ


เหมียวอี้ดำลงไปถึงก้นทะเลสาบในอึดใจเดียว พบว่าที่ก้นมีกระดูกขาวนับไม่ถ้วน ทั้งหมดแทบจะเป็นกระดูกคน พอเขาลงมาข้างล่าง กระดูกขาวจำนวนมากที่ก้นทะเลสาบก็ขยับเล็กน้อย ฝูงแมลงหนาแน่นสีดำฝูงแล้วฝูงเล่าโผล่ออกมาจากโพรงของกระดูก สงสัยที่พักของแมลงพวกนี้อยู่ในกระดูก


ราวกับมีควันดำนับพันสายโผล่ออกมาจากก้นทะเลสาบและพัดม้วนมาที่เหมียวอี้ เมือ่เจอกับเพลิงจิตที่ปกป้องร่างกายเหมียวอี้อยู่ เสียงเม็ดถั่วระเบิดก็ดังไม่หยุดอีกครั้ง ผลก็เป็นเหมือนก่อนหน้านี้ ฝูงแมลงที่เสียหายอย่างหนักแพ้หนีไป มาไวไปไว พากันมุดเข้าไปรวมอยู่ในกระดูกอีก


ก้นทะเลสาบกลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง แต่สภาพพื้นภูมิของก้นทะเลสาบก็เหมือนกับภูเขา สูงต่ำไม่คงที่ เหมียวอี้ที่ว่ายน้ำลอดเข้าไปในนั้นร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูรอบๆ ไม่นานก็พบโพรงถ้ำโพรงหนึ่งบนผนังหินที่มีวัชพืชน้ำปกคลุมอย่างหนาแน่น เหมียวอี้ลอยเข้าไปร่ายอิทธิฤทธิ์แหวกพืชน้ำออก เห็นปากถ้ำที่มีเค้าว่าถูกขุดสร้างด้วยฝีมือมนุษย์ พอร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูข้างในก็พบทางสัญจรเส้นทางหนึ่ง ในใจเกิดความคิดอะไรบางอย่าง แล้วถือกระบี่มุดเข้าไป ดำน้ำเข้าไปพร้อมระแวดระวังตลอดทาง


หลังจากดำน้ำไปข้างหน้าเป็นระยะทางหลายสิบจั้ง ข้างหน้าก็ปรากฏบันไดที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ เหมียวอี้ที่โผล่ศีรษะอยู่ในน้ำมองดูโพรงถ้ำที่อยู่ด้านหลังบันได จากนั้นลอยไปที่ผิวน้ำแล้วเดินเข้าไปอย่างช้าๆ เดินขึ้นไปได้สักระยะก็พบว่าที่ปลายทางมีแสงสว่างกะพริบ ตอนที่เดินออกมาจาทางสัญจรนั้น ตรงหน้าก็คือห้องหินขนาดใหญ่ห้องหนึ่ง


ด้านบนห้องหินฝังเลี่ยมไข่มุกราตรีเอาไว้หนึ่งเม็ด แสงอ่อนละมุนส่องสว่างให้ห้องหิน แสงที่กะพริบไม่ได้มาจากไข่มุกราตรี แต่มาจากหอยยักษ์ตัวหนึ่งที่มีขนาดตัวยาวเกือบสิบจั้ง เป็นหอยน้ำจืด นี่เป็นครั้งแรกที่เหมียวอี้ได้เห็นหอยน้ำจืดที่ใหญ่ขนาดนี้


ที่น่าตกใจที่สุดก็คือ บนเปลือกของหอยน้ำจืดมีกระแสไฟฟ้าไหลออกมาไม่หยุด จุดกำเนิดของแสงที่กะพริบก็มาจากมันนี่เอง


แต่ก็เหมือนนักพรตปีศาจที่เหมียวอี้เจอตอนหาสมบัติก่อนหน้านี้ จุดจบไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไร


เปลือกหอยสีเงินขนาดยักษ์ถูกบังคับให้งัดออกแล้ว เผยให้เห็นเนื้อที่อ่อนอ้วนสดใหม่ขนาดใหญ่ในนั้น กำลังขยับขึ้นลงไม่หยุด ด้านบนมีกระแสไฟฟ้าไหลวนเวียนไปมา กระบองเหล็กสีแดงผลึกด้ามหนึ่งปักเปลือกหอยรวมทั้งเนื้อข้างเอาไว้บนพื้นด้วยกัน ข้างในมีเข็มสีแดงหลายเล่มเสียบเนื้อมันด้วย รอบๆ มีโซ่สีแดงมัดสอดเกี่ยวเปลือกหอยเอาไว้ ควบคุมสัตว์ขนาดยักษ์ตัวหนึ่งให้แน่นิ่งอยู่ที่นี่มาแล้วไม่รู้ตั้งกี่ปี


…………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)