พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1143-1144

 บทที่ 1143 เป็นเจ้าเหรอ

โดย

Ink Stone_Fantasy

สำหรับนักพรตแล้ว กระบี่โดยทั่วไปสามารถนำมาเรียกใช้เป็นกระบี่บิน หรือไม่ก็ใช้ป้องกันตัวในเวลาสำคัญ หรือไม่ก็เพิ่มความกว้างความยาวของกระบี่เพื่อนำมาใช้เป็นอาวุธเหมือนเฟิงเป่ยเฉิน ไม่อย่างนั้นเวลาปะทะกันขึ้นมาก็จะเสียเปรียบมาก ภายใต้สถานการณ์ที่ตัวเองมีได้มีความได้เปรียบด้านวรยุทธ์มาก การใช้ถือกระบี่ที่มีความยาวปกติมาสู้กับกับทวน ทั้งยังล้าเป็นฝ่ายพุ่งเข้ามาสู้ก่อน เหมียวอี้เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่าอีกฝ่ายเชี่ยวชาญการรบประชิด


จงหลีค่วยที่ดูการต่อสู้อยู่ข้างๆ ขมวดคิ้ว ตะโกนถามว่า “ผู้ที่มาเป็นใครของตระกูลหวงฝู่แห่งสมาคมวีรชน?”


เห็นได้ชัดว่าเขามองออกถึงเบาะแสอะไรบางอย่าง


ตระกูลหวงฝู่ สมาคมวีรชน? ในหัวเหมียวอี้มีความคิดหนึ่งแวบเข้ามา สถานการณ์บีบบังคับทำให้ตอนนี้คิดอะไรมากไม่ได้


กระบี่ของอีกฝ่ายจ่อมาที่คอกระบี่ เหมียวอี้อาศัยแรงจากทวนยาวที่ถูกอีกฝ่ายเหยียบสะเทือนออกไปเพื่อเพิ่มความเร็วในการหมุนตัวของตัวเอง ควงทวนรอบหนึ่งปาดกระแทกเอวของอีกฝ่ายอย่างดุดัน


ในขณะที่หมุนตัว หลบข้างหน้าได้แต่หลีกข้างหลังไม่พ้น แกร๊ง! เกิดเสียงดังสะเทือน ม่านป้องกันด้านหลังของเกราะหัวโดนกระบี่โจมตีหนึ่งครั้ง แทบจะทำให้กระดูกคอสะเทือนจนเคลื่อนผิดรูป โชคดีที่วรยุทธ์ของอีกฝ่ายสูงกว่าตนไม่มาก ที่สำคัญกว่านั้นคือเกราะรบที่เยารั่วเซียนหลอมสร้างให้มีพลังป้องกันที่ค่อนข้างดี สามารถลดพลังโจมตีของฝ่ายตรงข้าม


เหมียวอี้ใช้วิธีการต่อสู้แบบทำให้เสียหายทั้งสองฝ่าย ยอมให้หลังคอโดนกระบี่หนึ่งครั้ง ส่วนตัวเองก็ควงทวนกระแทกเข้าไปเช่นกัน


เป็นเพราะไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ ทวนยาวก็มีข้อดีของความยาว แต่ก็มีความยุ่งยากเพราะความยาวเหมือนกัน พอถูกอีกฝ่ายเข้ามาประชิดตัว ก็ทำได้เพียงใช้งานมันเหมือนไม้กระบองแล้ว วันนี้นับว่าได้รับบทเรียนเพิ่ม ได้รับประสบการณ์อีกรอบ ในภายหลังจะไม่ให้คนที่ถือกระบี่เข้าใกล้ตัวเด็ดขาด


แต่การกระแทกทวนออกไปครั้งนี้ก็ไม่มีประโยชน์ อีกฝ่ายรบประชิดตัวได้อย่างร้ายกาจมาก ร่างกายปราดเปรียวมาก พอใช้กระบี่หนึ่งครั้งแล้วไม่ได้ผลลัพธ์อะไร ก็ใช้ขาเตะเข้ามาในแนวขวางอีก ทให้ทวนที่กวาดเข้ามาโดนเตะเด้งขึ้นไปโดยตรง อีกฝ่ายสามารถใช้งานมือกับเท้าพร้อมกันขณะกระโจนย้ายตัวหลบ


เหมียวอี้เองก็ไม่ใช่เล่นๆ เขาได้เปรียบที่ไหวตัวเร็ว เมื่อกระแทกทวนออกไปแล้วโดนปัดอออก ร่างกายท่อนล่างก็ลอยขึ้นมา อีกฝ่ายปราดเปรียว แต่เขากลับบ้าระห่ำ ใช้ขาถีบออกไปอบ่างบ้าระห่ำหนึ่งครั้ง ถึงอย่างไรเขาก็มีเกราะรบป้องกันตัว ทำให้ไม่กลัวคมกระบี่ในมือของอีกฝ่าย และฐานรองเท้าก็มีลายฟันที่แหลมคมด้วย


ชายหน้าเหลืองที่พลิกตัวกลางอากาศก็รู้เช่นกันว่ากระบี่ในมือตีฝ่าเกราะรบของเหมียวอี้ได้ยาก กระบี่ในมือสะท้อนแสงคมวิบวับ ถือกลับด้านเพื่อปกป้องท้องแขนตัวเองเอาไว้ ใช้มือข้างเดียวกวาดกระบี่ต้านในแนวขวาง ปั้ง! ตัวกระบี่แนบชิดกับท้องแขนและต้านการถีบของเหมียวอี้ไว้ได้


ตอนที่มืออีกข้างกำลังจะคว้าน่องของเหมียวอี้ ในใจก็รู้สึกตกตะลึงอยู่บ้าง ตกใจการตอบสนองที่รวดเร็วของเหมียวอี้ ในเวลาสั้นๆ ขนาดนี้ เหมียวอี้กระแทกทวนออกมาอีกครั้ง เรียกได้ว่าคนกับทวนรวมเป็นหนึ่ง ใช้ทั้งมือทั้งเท้าพร้อมกัน


ชายหน้าเหลืองที่แขนถูกป้องป้องด้วยกระบี่ดันออกไปหนึ่งครั้ง ทำให้เหมียวอี้สะเทือนออกไป ถือโอกาสกวาดท้องแขนออกไปอีก ปั้ง! ใช้กระบี่ป้องกันแขนและต้านการโจมตีของเหมียวอี้ไว้ได้


จนกระทั่งเขาพลิกกระบี่มาถือไว้ในมืออีกครั้ง เหมียวอี้ก็อาศัยแรงกดของเขาใช้ขาถีบถอยออกไปแล้ว ในที่สุดก็ออกห่างจากคนที่เชี่ยวชาญการรบประชิดได้ เพราะหลังจากที่โดนอีกฝ่ายพัวพัน ทวนยาวของตนก็แสดงอานุภาพไม่ได้เลย!


เมื่อครู่เขาถึงขนาดคิดจะโยนทวนทิ้งแล้วสู้มือเปล่ากับอีกฝ่ายด้วยซ้ำ การใช้ทวนสู้ในระยะประชิดทำให้เขาสู้ชายหน้าเหลืองไม่ได้เลย ทวนของเขาไม่ได้เร็วอย่างเดียว เพราะทวนเร็วอยู่ภายใต้เงื่อนไขของมือที่เร็ว มีเกราะรบป้องกันตัวสามารถกันคมกระบี่วิเศษของอีกฝ่ายได้ ใช่ว่าจะสู้แบบมือเปล่าไม่ได้


แต่ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้เจอคู่ต่อสู้แบบนี้ เจอคู่ต่อสู้ที่มีฝีมือพอ ๆ กันในด้านการใช้อาวุธ ไม่สามารถใช้ทวนเอาชนะ เขารู้สึกไม่ยอมนิดหน่อย ไม่อย่างนั้นในมือเขาก็มีท่าไม้ตายตั้งมากมาย


เมื่อเห็นจงหลีค่วยมีความคิดที่จะยื่นมือเข้ามาช่วย เหมียวอี้ที่ใช้มือข้างเดียวถือทวนลอยยุดอยู่กลางอากาศก็ยกมือห้าม บอกใบ้ไม่ให้เขามาแทรกแซง แล้วใช้ทวนชี้ไปที่ชายหน้าเหลือง “สามารถรับทวนของหนิวได้สามสิบท่าติดต่อกัน หนิวจะปล่อยเจ้าไปสักครั้ง!”


อีกฝ่ายโบกกระบี่ชี้เข้ามา กล่าวด้วยเสียงต่ำห้าวว่า “พูดโอ้อวดอย่างไร้ความละอาย!”


ไม่ต้องสิ้นเปลืองคำพูดอะไรมากแล้ว! เหมียวอี้พลันปาดทวนพุ่งเข้ามา ออกทวนต่อเนื่องหนึ่งชุด เสียงมังกรคำรามดังก้องตามพลังอิทธิฤทธิ์ที่วนเวียนอยู่บนหัวทวน


ชายหน้าเหลืองถือกระบี่เหาะปะทะเข้ามาเช่นกัน คมกระบี่เจอกับคมทวน เหมือนกับท่าที่เคยใช้ครั้งแรกไม่มีผิด


ในขณะที่ชนปะทะกัน ชายหน้าเหลืองพลันเบิกตากว้าง ปลายทวนที่แทงเข้ามาตรงหน้าพลันขยายออกราวกับพายุฝน แสงเย็นหลายจุดระเบิดออกมาราวกับฝนดาวตก เร็วจนแทบจะทำให้คนแยกไม่ออกว่าอันไหนจริงอันไหนปลอม เสียงมังกรคำรามทำให้คนจิตใจสับสนวุ่นวาย


กระบี่ที่ชายหน้าเหลืองแทงออกไปเปลี่ยนจากโจมตีกลายเป็นตั้งรับ แสงเย็นหลายสายวาดถักทออย่างรวดเร็วปานสายฟ้า ขวางดักอยู่ตรงหน้าราวกับตาข่าย


เสียงระเบิดที่ติงๆ ตังๆ หลายครั้งเปลี่ยนเป็นดังสะท้านในชั่วพริบตาเดียว


จงหลีค่วยที่ดูการต่อสู้รู้สึกทึ่งและชื่นชม แอบพูดในใจว่า เจ้าเด็กนี่ออกทวนได้เร็วกว่าในปีนั้นเยอะมาก!


เหมียวอี้ย่อมไม่เอาตัวเองไปเทียบกับตัวเองในปีนั้นอยู่แล้ว รู้เพียงว่าหลังจากวรยุทธ์บรรลุระดับบงกชทองขั้นสี่ ตัวเองก็ยิ่งควบคุมทวนได้อย่างอิสระมากขึ้น


วรยุทธ์ของอีกฝ่ายสูงกว่าตน ทุกครั้งที่ทวนกับกระบี่ชนปะทะกัน ก็แทบจะทำให้การโจมตีของทวนสะเทือนจนสับสน พอการโจมตีสับสน เหมียวอี้ก็รีบใช้การโจมตีท่าที่สอง ต่อให้แขนสองข้างจะสะเทือนจนชา แต่เขาก็ยังฝืนรุกโจมตีอยู่ดี จะปล่อยให้อีกฝ่ายเข้าใกล้ไม่ได้ หวังแค่ให้ตัวเองโจมตีได้อย่างรวดเร็ว ไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายได้พักหายใจโต้ตอบ ต้องการจะใช้ความเร็วจัดการอีกฝ่ายให้ได้ก่อนที่ตัวเองจะสะเทือนจนทนไม่ไหว!


เร็ว! เร็วมาก! เร็วจริงๆ!


ข้างหน้าเต็มไปด้วยเงาทวน ชายหน้าเหลืองคอยสกัดทวนอย่างฉุกละหุก การโจมตีท่าที่สอง ท่าที่สาม ท่าที่สี่ก็เข้ามาราวกับพายุฝนคลั่ง…


ชายหน้าเหลืองที่มือกำลังรัวกระบี่รู้สึกเหมือนมือจะเป็นตะคริว เมื่อเผชิญการโจมตีอย่างบ้าระห่ำแบบนี้ของอีกฝ่าย เขาก็มีความตั้งใจแต่ไร้กำลังจริงๆ วรยุทธ์สูงกว่าอีกฝ่ายแท้ๆ แต่กลับโดนโจมตีจนเหลือแค่แรงตั้งรับ ไม่มีโอกาสได้โจมตีโต้ตอบเลย เขารู้ว่าเหมียวอี้ออกทวนได้รวดเร็ว แต่หลังจากที่ได้สัมผัสกับตัวเอง ก็ยังควบคุมความรู้สึกสั่นคลอนในใจไม่ได้ สิ่งที่ทำให้เขาตกใจมากที่สุดก็คือ เป็นไปได้อย่างไรที่วรยุทธ์ของเหมียวอี้จะต้านทานวรยุทธ์ของเขาได้


เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าทวนในมือของเหมียวอี้สามารถลดพลังโจมตีของฝ่ายตรงข้ามได้ เกราะรบก็ลดพลังโจมตีได้เช่นกัน พลังที่ใช้มาบนตัวเหมียวอี้มีเพียงหกส่วน อาศัยวรยุทธ์ของเขา ถ้าสามารถแสดงพลังประหลาดแบบเฟิงเป่ยเฉินได้ เหมียวอี้ก็ไม่กล้าใช้กำลังปะทะกับเขาตรงๆ เลย!


เหมียวอี้บอกว่าโจมตีเขาสามสิบท่า แต่ที่จริงแล้วไม่ได้ทำแบบนั้น หลังจากโจมตีไปหกท่าเขาก็รับไม่ไหวแล้ว ตาข่ายกระบี่ตกหลุมพรางเผยพิรุธ คมทวนที่โจมตีเข้าๆ ออกๆ ทำให้เกิดเสียงดังแคว่กๆ ทันที  ทำให้แขนเสื้อข้างหนึ่งกลายเป็นเศษผ้าปลิวว่อนเหมือนผีเสื้อ เผยแขนที่ขาวละเอียดอ่อนเหมือรากบัว ต่างกับสีบนฝ่ามือโดยสิ้นเชิง


เมื่อการป้องกันถูกทำลาย แขนเสื้อถูกปาด แขนเกือบจะโดนฟันพิการ ชายหน้าเหลืองตระหนกตกใจ กระบี่ที่ฟันสกัดขวางอย่างรวดเร็วก็ยิ่งรับมือไม่ไหว พอช่องโหว่เผยออกมาแล้ว ยามเผชิญการโจมตีที่บ้าระห่ำเหมือนพายุฝนของเหมียวอี้ เขาจะยังต้านทานไหวได้อย่างไร


“หนิวโหย่วเต๋อ!” ชายหน้าเหลืองพลันกรีดร้องออกมา ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเสียงของผู้หญิง


กระบี่รองอยู่ใต้หัวทวน หัวทวนห่างเพียงฝ่ามือเดียวก็จะแทงโดนหน้าอกของชายหน้าเหลือง ทั้งสองฝ่ายเงียบสงบลง แต่เสียงมังกรคำรามยังคงดังก้องอยู่ตรงหัวทวน


เหมียวอี้ไม่ได้ฆ่าเขา สาเหตุแรกเป็นเพราะรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าตอนประมือกันอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาจะฆ่าตน สาเหตุต่อมาเป็นเพราะยังไม่รู้ชัดว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ทำไมต้องติดตามตน


ทว่าเหมียวอี้ที่ถือทวนลอยเงียบๆ ในเวลานี้กลับกระตุกมุมปากแล้ว เสียงของอีกฝ่ายค่อนข้างคุ้นหู เขาสงสัยนิดหน่อยว่าตัวเองฟังผิดไปหรือเปล่า!


แกร๊ง! ชายหน้าเหลืองใช้กระบี่เขี่ยทวนของเขาออกไป แล้วยื่นมือไปดึงหนังปลอมบนคอตัวเองออก ฉีกใบหน้าปลอมบนใบหน้าตัวเองลงมา เผยใบหน้างามล่มเมืองที่ขาวเนียนละเอียดอ่อน หวงฝู่จวินโหรว!


“เป็นเจ้าเหรอ?” เหมียวอี้เก็บทวน กลอกตามองบน แล้วถามอย่างหงุดหงิดว่า “เจ้าตามข้ามาทำไม?”


หวงฝู่จวินโหรวพูดดูถูกว่า “ท้องฟ้ากว้างใหญ่ขนาดนี้ แล้วก็มใช่บ้านเจ้าเสียหน่อย ข้าอยากจะไปไหนก็เรื่องของข้า มีสิทธิ์อะไรมาบอกว่าข้าตามเจ้า?”


เพียงแต่ความรู้สึกตกตะลึงที่เผยในแววตายังคงอยู่ นางเคยได้ยินมาจากปากปีศาจโลหิตว่าเหมียวอี้มีวิชาทวนที่ร้ายกาจ ดังนั้นจึงอยากจะสัมผัสสักหน่อย เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าจะร้ายกาจขนาดนี้ ไม่แปลกใจที่ทำให้ปีศาจโลหิตแพ้ได้ ทั้งยังสามารถข่มกลุ่มวีรบุรุษในการทดสอบหนึ่งร้อยปีได้ด้วย!


แต่ความเคียดแค้นในดวงตาก็ยากจะข่มไว้เช่นกัน รู้สึกไม่ยอมไม่ได้นิดหน่อยที่แพ้ให้เหมียวอี้ ขณะเดียวกันก็รู้สึกปลื้มใจ อย่างน้อยก็ไม่ได้เสียตัวให้กับเศษสวะที่ไร้ประโยชน์ ต่อให้เสียเปรียบแต่ก็ไม่ถือว่าเสียเปรียบอย่างไร้ความยุติธรรมเท่าไร


เหมียวอี้ขี้คร้านจะสนใจนาง เก็บเกราะรบและทวนเอาไว้ แล้วถลันตัวไปข้างกายจงหลีค่วย “พวกเราไปกันเถอะ!”


จงหลีค่วยมองดูหวงฝู่จวินโหรวครู่หนึ่ง แล้วก็เหาะไปกับเหมียวอี้ หลังจากเหาะไปไกลแล้วก็ถามว่า “ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร? เหมือนข้าจะเคยเห็นที่ตลาดสวรรค์”


“ผู้จัดการหวงฝู่จวินโหรวของร้านค้าสมาคมวีรชน” เหมียวอี้ตอบอย่างไม่ใส่ใจ


จงหลีค่วยเข้าใจในทันที “ข้าก็ว่าแล้วว่าเคยเห็นวิชากระบี่แบบนั้นมาก่อน เป็นคนของตระกูลหวงฝู่จริงๆ ด้วย นางจะตามเจ้ามาทำไม?”


“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร ผู้หญิงคนนี้สมองมีปัญหา ไม่ต้องไปสนใจนาง” เหมียวอี้ตอบ


จงหลีค่วยหันกลับมามองแวบหนึ่ง “คงไม่สนใจไม่ได้หรอกมั้ง นางตามมาอีกแล้ว”


เหมียวอี้หันกลับมามองแวบหนึ่ง หวงฝู่จวินโหรวยังตามหลังอยู่จริงๆ ด้วย จงหลีค่วยบอกอีกว่า “ถึงแม้นางจะเป็นคนของตระกูลหวงฝู่ แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าสะกดรอยตามเจ้าอย่างโจ่งแจ้งแบบนี้ เอาความกล้ามากมายขนาดนั้นมาจากไหน?”


เหมียวอี้พูดไม่ออก ไม่รู้จริงๆ ว่าจะตอบอย่างไร จะตอบว่าทั้งสองเคยนอนด้วยกันก็ไม่ได้ เขาจึงโบกมือเรียกเฮยทั่นออกมาจากกระเป๋าสัตว์เสียเลย แล้วเรียกจงหลีค่วยให้มาขี่เฮยทั่นด้วยกัน อาศัยให้ความเร็วของเฮยทั่นช่วยเหลือ เร่งความเร็วจากไป


“เอ๋! นี่สัตว์พาหนะอะไรของเจ้า ทำไมข้าไม่เคยเห็นมาก่อน?” จงหลีค่วยเดาะลิ้นถาม พร้อมมองสำรวจเฮยทั่นหัวจดหางด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้


“ลุงหนวด วันนี้ท่านพูดมากจริงๆ เลยนะ” เหมียวอี้รำคาญใจ


“ข้าพูดมากเหรอ? ผู้หญิงข้างหลังก็มีสัตว์พาหนะ อย่าหาว่าข้าไม่บอกเจ้าแล้วกัน”


เหมียวอี้หันกลับไปมอง ทำให้อึ้งจนพูดไม่ออก เห็นหวงฝู่จวินโหรวยืนอยู่บนหลังพญาปักษาขนทองตัวหนึ่ง ความเร็วไม่ได้ด้อยไปกว่าเฮยทั่น อีกฝ่ายตามอยู่อย่างนั้นอย่างไม่รีบร้อน เริ่มกลัวขึ้นมาแล้วจริงๆ เขากลัวที่สุดว่าผู้หญิงคนนี้จะมาพัวพันเขา สงสัยอีกฝ่ายจะมาพัวพันเขาแล้วจริงๆ!


เขากลัดกลุ้มใจ ผู้หญิงคนนี้รู้ได้อย่างไรว่าวันนี้ตนออกนอกเมือง คงไม่ได้จับตาดูตนอยู่ตลอดหรอกใช่มั้ย?


เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ ประการแรกเป็นเพราะหวงฝู่จวินโหรวไม่กล้าเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคน จึงไม่น่าเป็นไปได้ที่จะส่งลูกน้องมาเฝ้าติดตามเขาในระยะยาว และก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่หวงฝู่จวินโหรวจะเฝ้าจับตาดูเขาด้วยตัวเองเป็นเวลานาน ความเป็นไปได้เดียวก็คือผู้หญิงคนนี้รู้ว่าช่วงนี้เขาจะออกมาข้างนอก แล้วใครบอกล่ะ? คนที่รู้เรื่องนี้มีอยู่ไม่กี่คน…


ไม่ต้องคิดมากแล้ว ไม่นานก็นึกขึ้นได้ถึงภาพที่หวงฝู่จวินโหรวกับปี้เยว่ฮูหยินเล่นหมากล้อมกันเมื่อวานนี้ เป็นไปได้สูงว่าปี้เยว่ฮูหยินจะหลุดปาก


เหมียวอี้ทำได้เพียงด่าปี้เยว่ฮูหยินในใจ ไม่กล้าด่าต่อหน้า


ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ใช่วิธีที่ดี เขาให้เฮยทั่นแบกจงหลีค่วยไปข้างหน้าต่อ ส่วนตัวเองก็ถลันตัวเหาะไปข้างหลัง


เมื่อเห็นเหมียวอี้พุ่งเข้ามา พญาปักษาขนทองก็กระสับกระส่ายนิดหน่อย หลังจากหวงฝู่จวินโหรวปลอบให้สงบลงแล้ว ก็ให้เหมียวอี้เหยียบลงบนหลังพญาปักษาขนทอง


เมื่อเห็นจงหลีค่วยมองกลับมาเป็นระยะ เหมียวอี้กับหวงฝู่จวินโหรวก็รักษาระยะห่าง ทำท่าทางเหมือนชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดกัน แล้วถามเสียงต่ำว่า “เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”


หวงฝู่จวินโหรวแสยะยิ้ม “เจ้าคิดว่าข้าอยากจะทำอะไรล่ะ? ครั้งก่อนที่เจ้าบังคับให้ข้านั่งคุกเข่าต่อหน้าฝูงชน ข้ายังไม่ได้ไปคิดบัญชีกับเจ้าเลยนะ!”


…………………………


บทที่ 1144 มหัศจรรย์ไร้ที่เปรียบ

โดย

Ink Stone_Fantasy

“เจ้าจะคิดบัญชีกับข้ายังไง? เจ้าจะทำอะไรข้าได้?” เหมียวอี้ถามด้วยสีหน้ารังเกียจ


สีหน้ารังเกียจของเขาทำให้หวงฝู่จวินโหรวเดือดดาลจริงๆ ตอนที่ได้นอนกับนางทำท่าสุขสันต์หรรษา แต่พอยกกางเกงขึ้นใส่กลับมองว่านางเป็นคนน่าเกียจ ในใจนางส่งคำว่า ” ให้เขาก่อน จากนั้นก็แสยะยิ้มบอกว่า “จับตาดูเจ้าไว้แล้ว ถ้าพบว่าเจ้าทำเรื่องน่าไม่อายอะไร ก็จะรายงานเรื่องเจ้าทันที!”


เหมียวอี้พ่นเสียงทางจมูกแล้วถามว่า “จากนั้นก็ค่อยเปิดโปงเรื่องของเจ้ากับข้าใช่มั้ย? เจ้ากล้าเหรอ”


“อย่านึกว่าเรื่องเส็งเคร็งแค่นั้นจะขู่ข้าได้! ผู้หญิงของตระกูลหวงฝู่ ตราบใดที่ไม่ได้แต่งงานออกข้างนอก จะแอบคบกับผู้ชายแมงดาสักคนสองคนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เจ้าเชื่อรึเปล่าว่าข้าจะเปิดโปงออกมาตอนนี้เลย?” หวงฝู่จวินโหรวใช้วิธีการตาต่อตา ฟันต่อฟัน


“ไปดีๆ ล่ะ ไม่ไปส่งนะ ไปเปิดโปงเลย!” เห็นได้ชัดว่าเหมียวอี้ไม่เชื่อ


“เจ้าแซ่หนิว นี่เจ้ากดดันข้าเองนะ คนข้างหน้าเหมือนจะเป็นจงหลีค่วยจากปราสาทดำเนินนภาใช่มั้ย? ข้าจะเปิดโปงให้เขาฟังก่อนคนแรก!” หวงฝู่จวินโหรวพูดว่าจะทำก็ทำเลย ควบคุมพญาปักษาขนทองให้เร่งความเร็ว ตามทันเฮยทั่นที่อยู่ข้างหน้าแล้ว


ทีแรกก็นึกว่านางแค่ขู่เขา แต่พอเห็นหวงฝู่โมโหจนจะเอาจริง เหมียวอี้ก็หน้าเครียดทันที “เจ้าจะเอายังไงกันแน่ถึงจะยอมหยุด?”


“ตอนนี้รู้จักกลัวแล้วเหรอ? ถ้าอยากจะให้ข้าหยุดก็ขอโทษอย่างจริงใจสิ ข้าจะนั่งคุกเข่าไปเฉยๆ แบบนั้นไม่ได้” หวงฝู่จวินโหรวถามกลับ


เหมียวอี้พูดอย่างไม่ใส่ใจ “ขอโทษ ครั้งก่อนข้าผิดไปแล้ว!”


“ขอโทษก็ต้องมีความจริงใจ ท่าทางแบบนี้ของเจ้าเหมือนจริงใจเหรอ?”


“เจ้าต้องการความจริงใจแบบไหนล่ะ?”


“นี่พวกเจ้ากำลังจะไปไหน?” หวงฝู่ไม่ตอบแต่ถามกลับ


“ไปเที่ยว!” เหมียวอี้ตอบ


“พาข้าไปด้วย อุดอู้อยู่ที่สมาคมมาหลายปี ไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่นนานแล้ว ถ้าข้าเที่ยวอย่างมีความสุข ก็จะไม่ตำหนิเรื่องความผิดในอดีต” หวงฝู่กล่าว


ถ้านางดึงดันจะพัวพันก่อกวนให้ได้ ยางอายก็ไม่ต้องมีแล้ว เหมียวอี้ก็ไม่มีทางปฏิเสธเหมือนกัน นอกเสียจากจะฆ่านางทิ้ง ผลสุดท้ายจึงกลายเป็นการเดินทางร่วมกันสามคน


พอออกเดินทาง จงหลีค่วยที่โดนทั้งสองขนาบอยู่ตรงกลางกลับไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไร สรุปก็คือมองออกว่าเหมียวอี้สีหน้าค่อนข้างแย่ จึงแอบถ่ายทอดเสียงถามเหมียวอี้ “มันเรื่องอะไรกัน?”


“ข้าติดเงินนางไม่น้อยเลย โดนพัวพัวแล้ว ท่านคิดเสียว่านางไม่มีตัวตนก็แล้วกัน” เหมียวอี้อ้างเหตุผล


ตอนแรกจงหลีค่วยก็ยังนึกว่าเขาพูดความจริง แต่จงหลีค่วยก็ไม่ใช่คนโง่ เพราะพฤติกรรมในขณะที่อยู่ใกล้กันของเหมียวอี้และหวงฝู่จวินโหรว เหลือบมองกันไปเหลือบมองกันมาเป็นระยะ เมื่อเวลาผ่านไปนานๆ เข้า ก็มีบางจุดเผยพิรุธออกมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จงหลีค่วยมองออกว่าระหว่างทั้งสองไม่ได้ติดเงินกันธรรมดาแน่นอน จะต้องมีอะไรในกอไผ่ เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่แน่ใจ เขาจึงเก็บไว้ในใจไม่พูดออกมาก็เท่านั้นเอง


แล้วสองคนนั้นก็ดันคิดว่าตัวเองแสดงละครได้เนียนมาก หารู้ไม่ว่าความสัมพันธ์แบบนั้นระหว่างทั้งสองไม่เหมาะจะอยู่ต่อหน้าบุคคลที่สามนานเลย พฤติกรรมแต่ละอย่างที่เหมือนจะใกล้ชิดแต่ก็ห่างเหิน เมื่อเวลานานไปแล้วไม่อยากให้คนสงสัยก็คงยาก


เมื่อเหาะเดินทางเป็นเวลาหลายเดือน ในที่สุดดาวดำเนินเซียนก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าทุกคนแล้ว


ทั้งสามบุกเข้าไปพร้อมกัน สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาคือโลกที่ขาวโพลน ตอนแรกเหมียวอี้ยังนึกว่าเป็นเมฆขาว แต่หลังจากบุกเข้าดาวดำเนินเซียนถึงได้พบว่าผิวดินของดาวดำเนินเซียนแทบจะถูกเมฆหมอกลอยวนเวียนอยู่หนึ่งชั้น ไม่ใช่ใฆขาวบนท้องฟ้าเลย


พอเหาะลงไปหาจุดสีดำเบื้องล่าง จุดสีดำก็ค่อยๆ ขยายกลายเป็นยอดเขา


ทั้งสามเหาะลงไปที่พื้น ต้นสนประหลาดหลายต้นที่อยู่รอบๆ กำลังเหยียดกิ่งก้านอยู่บนยอดเขา รอบข้างเป็นทะเลหมอกขาวโพลนที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ไอหมอกลอยวนเวียน ปุยเมฆพรั่งพรูราวกับคลื่น พลิกม้วนขึ้นๆ ลงๆ เป็นฉากที่โอ่อ่าอลังการ เมื่อทอดสายตามองไปทำให้ในใจรู้สึกจิตใจเบิกบานผ่อนคลายที่ได้อยู่สูงและห่างไกลจากมนุษย์ในโลก


และสิ่งที่สวยวิจิตรน่าประทับใจยิ่งกว่านั้นก็คือ ทั้งข้างบนและข้างของเมฆหมอก ทุกที่มีสายรุ้งปรากฏรางๆ อยู่ในนั้น เมื่อมองไปโดยรอบจะเห็นว่าทั้งใกล้ทั้งไกลมีสายรุ้งน้อยใหญ่นับพัน ตอนอยู่บนฟ้ามองไม่เห็น แต่พอเหยียบลงพื้นถึงได้ค้นพบ ราวกับสะพานสายรุ้งเซียนสำหรับเซียนเดินตามตำนานที่เล่าขานกันในโลกมนุษย์ ภูเขาที่ปรากฏวับแวมอยู่ในเมฆหมอกเหมือนกับที่อยู่อาศัยของท่านเซียน ขนาดตอนที่ยืนอยู่ในนี้ยังนึกว่าตัวเองเป็นท่านเซียนเลย


คนที่ไม่ได้อยู่ในอาณาเขตนี้ไม่มีทางจินตนาการได้เลยว่าทุกสิ่งที่ได้เห็นตรงหน้าเลือนรางและสวยงามขนาดไหน แค่มองปราดเดียวก็ทำให้คนหลงไหลเคลิบเคลิ้มได้


“สวยจัง!” หวงฝู่จวินโหรวประสานมือตรงหน้าอก ทำสีหน้าเคลิบเคลิ้มแล้ว


“ได้ยินว่าทิวทัศน์ของดาวดำเนินเซียนงดงามหาพบได้ยาก พอวันนี้ได้เห็นก็พบว่าสวยสมชื่อจริงๆ!” เหมียวอี้สูดหายใจลึกเอาอากาศสดชื่นเข้าปอด แล้วหันมาถามหวงฝู่ “เจ้าก็ไม่เคยมาดาวดำเนินเซียนเหมือนกันเหรอ?”


หวงฝู่จวินโหรวไม่มีอารมณ์จะเอ่ยตอบเขาแล้ว นางกำลังมองทิวทัศน์รอบกายด้วยแววตาหลงใหล เพียงส่ายหน้าบอกใบ้ว่าไม่เคยมา


“พวกเราไปดูบนฟ้ากัน!” จงหลีค่วยพลันชี้ไปบนฟ้า


ทั้งสองได้ยินแล้วเงยหน้ามองตาม ทำให้รู้สึกงงงันทันที ตอนที่ลงมาจากบนฟ้าไม่ได้สังเกตเห็นเลย ตอนนี้ถึงได้พบว่าบนฟ้าเหนือศีรษะตัวเองปรากฏเรื่องปาฏิหาริย์ ท้องฟ้าสีครามราวกับถูกชะล้างมีสีขาวกับสีฟ้าคลุกเคล้าสลับกันไม่หยุด สีขาวที่กำลังเคลื่อนที่ไม่ใช่เมฆขาวแน่นอน ราวกับเป็นสีรองพื้นชนิดหนึ่งของท้องฟ้า บางครั้งท้องฟ้าก็เป็นสีฟ้าครามเหมือนอัญมณี บางครั้งก็เป็นสีขาวมายา บางครั้งก็เหมือนมีอัญมณีสีฟ้าถูกคลุมด้วยม่านมุ้งสีขาวหนึ่งชั้น


สีขาวกับสีฟ้าครามเปลี่ยนแปลงผสมผสานกันยู่บนฟ้าไม่หยุด ปรากฏการณ์ปาฏิหาริย์ยามสีธรรมชาติที่ไร้การตกแต่งจากมนุษย์สองสีเปลี่ยนแปลงหลอมรวมกันไม่หยุดแบบั้น งดงามจนสะท้านจิตวิญญาณคนจริงๆ ทำให้เหมียวอี้กับหวงฝู่จวินโหรวตะลึงค้าง พอเหลือบสายตาต่ำลงมาหน่อยก็เป็นสายรุ้งนับไม่ถ้วนบนทะเลเมฆที่เปลี่ยนแปลงไปร้อยแปดพันเก้า ความรู้สึกแบบนี้เหมือนกับตัวอยู่ในภาพฝันมายา งดงามจนบรรยายออกมาไม่ได้


เหมียวอี้ชี้ไปยังการเปลี่ยนแปลงที่สุดยอดบนท้องฟ้า พร้อมถามอย่างประหลาดใจ “ลุงหนวด นี่มันเรื่องอะไรกัน?”


จงหลีค่วยส่ายหน้าตอบ “ตอนข้ามาครั้งแรกก็ตะลึงค้างเหมือนพวกเจ้านี่แหละ ตอนหลังข้าขอคำชี้แนะจากคนของปราสาทดำเนินเซียน แต่คนของปราสาทดำเนินเซียนก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันคืออะไร ตามที่พวกเขาบอกมา ในอดีตเมื่อนานมาแล้ว ท้องฟ้าของที่นี่ก็เป็นสีฟ้าเหมือนกัน ตอนหลังไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงกลายเป็นแบบนี้ จากการคาดเดาของคนปราสาทดำเนินเซียน ท้องฟ้าผืนนี้อาจจะเป็นกระจกสีฟ้าบานหนึ่ง เพราะการเปลี่ยนแปลงของเมฆหมอกที่อยู่ข้างล่างสะท้อนขึ้นไปบนท้องฟ้า ส่วนความจริงเป็นอย่างไรกันแน่ก็ไม่มีใครรู้ชัด”


ในตอนนี้เอง จู่ๆ ก็มีนกกระเรียนฝูงหนึ่งบินข้ามสะพานสายรุ้งที่อยู่ในดมฆหมอก บินผ่านจากจุดที่ไม่ไกล ท่วงท่าสง่างามละมุนละไม ยิ่งเพิ่มกลิ่นอายความเป็นเซียนให้กับที่นี่


เหมียวอี้ส่ายหน้าทอดถอนใจ “ครั้งนี้นับว่าไม่ได้มาเสียเที่ยว เป็นทิวทัศน์ที่เยี่ยมยอดจริงๆ ปราสาทดำเนินเซียนช่างเลือกสถานที่เก่งจริงๆ”


จงหลีค่วยชี้ไปทางซ้ายทางขวา “พอตกกลางคืน ที่นี่ก็จะมีความน่าสนใจอีกอย่างหนึ่ง”


“ความน่าสนใจอะไร?” หวงฝู่จวินโหรวถามราวกับเป็นเด็กสาว


“พอตกกลางคืนก็จะรู้เอง อยู่รอคอยแล้วกัน” จงหลีค่วยยิ้มบางๆ


หวงฝู่จวินโหรวทำได้เพียงชื่นชมทิวทัศน์งดงามที่อยู่ข้างกายต่อไป


ผู้ชายไม่เหมือนผู้หญิงที่ัฝักใฝ่กับของสวยงามมากเกินไป ไม่นานเหมียวอี้ก็ดึงสติกลับมาได้ ถามว่า “ดาวดำเนินเซียนถูกหมอกคลุมไว้ทั้งปีเลยเหรอ?”


ตอนนี้เขาเริ่มกังวลถึงเรื่องเรื่องหนึ่งขึ้นมาแล้ว ถ้าที่นี่ถูกเมฆหมอกคลุมไว้ทั้งปี เวลาจะจำแนกแยกแยะก็ยุ่งยากมาก ถ้าไม่แน่ใจสภาพทางภูมิศาตร์ แล้วจะหาที่ซ่อนสมบัติพบในดาวเคราะห์ที่ใหญ่ขนาดนี้ได้อย่างไร?


จงหลีค่วยส่ายหน้า “ไม่เป็นแบบนั้นหรอก ถ้าลมพัดแรง เวลาลมพัดไปที่ไหน เมฆหมอกตรงนั้นก็ย่อมสลายไป แต่หลังจากลมหยุดพัด เมฆหมอกที่นี่ก็พรั่งพรูออกมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ที่ดาวดำเนินเซียนไม่มีฝนตก น้ำที่จำเป็นสำหรับพืชพรรณล้วนถูกหมุนเวียนด้วยเมฆหมอกของที่นี่”


ขณะที่พูดก็เริ่มมีลมพัด พอลมผ่านไปวูบหนึ่ง เมฆหมอกก็สลายไป สายรุ้งหายไปแล้ว เผยให้เห็นป่าภูเขาที่อยู่ด้านล่าง ขณะเดียวกันก็มองเห็นสภาพทางภูมิศาสตร์ชัดเจน สถานที่ที่ทั้งสามยืนอยู่ก็คือบนภูเขาหินที่ตั้งตรงตระหง่าน รอบๆ สูงชันราวกับโดนขวานฟันโดนมีดตัด ภูเขาโดยรอบที่สูงต่ำไม่เสมอกันตามสภาพพื้นที่ก็เป็นอย่างนี้เหมือนกันหมด


จงหลีค่วยชี้พลางพูดต่อว่า “นี่ก็คือเรื่องมหัศจรรย์อย่างหนึ่งของดาวดำเนินเซียน ภูเขาของทั้งดาวดำเนินเซียนสูงโดดเหมือนหินงอกแบบนี้หมด ภูเขาสูงแบบที่อื่นมีอยู่น้อยมาก”


ผ่านไปครู่เดียว ลมค่อยๆ สงบลง เมฆหมอกรอบข้างพรั่งพรูออกมา ปกคลุมสภาพพื้นดินไว้อีกครั้ง ตามด้วยสายรุ้งที่วาดผ่านท้องฟ้านับไม่ถ้วน มหัศจรรย์ไร้ที่เปรียบ


หวงฝู่จวินโหรวตื่นตาตื่นใจกับการเปลี่ยนแปลงอันมหัศจรรย์แบบต่างๆ แต่เหมียวอี้กลับกลุ้มใจ แบบนั้นต้องใช้ลมมากขนาดไหนถึงจะพัดให้เมฆหมอกของพื้นที่ขนาดใหญ่สลายไป ให้ตนค่อยๆ หาลักษณะพื้นภูมิเหมือนบนแผนที่จนเจอ?


“คนของปราสาทดำเนินเซียนมาแล้ว! เมื่อครู่นี้คงจะมีคนสังเกตเห็นว่าพวกเราเหาะลงมาจากฟ้า” จงหลีค่วยพลันเอ่ยบอก


เหมียวอี้กับหวงฝู่จวินโหรวใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองไปทางที่จงหลีค่วยมองทันที เห็นคนสิบกว่าคนเรียงแถวกันเข้ามา เหมือนกำลังค้นหามาตลอดทาง


เหมียวอี้พึมพำว่า “ดาวดำเนินเซียนใหญ่ขนาดนี้ ขนาดพวกเราหาที่เหาะลงมาส่งเดชก็ยังถูกพบอีกเหรอ? อย่าบอกนะว่าศิษย์ของปราสาทดำเนินเซียนกระจายตัวอยู่ทั่วทั้งดาวดำเนินเซียน?”


จงหลีค่วยอธิบายว่า “ดาวดำเนินเซียนไม่เหมือนที่อื่น ที่นี่มีพลังจิตวิญญาณเต็มเปี่ยม สภาพแวดล้อมก็เหมาะสม ให้กำเนิดหลิงชานมากมายอยู่ภายใต้การคลุมของเมฆหมอก ไม่จำเป็นต้องตั้งใจปลูกต้นไม้ ทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หลิงชานคือสิ่งที่จำเป็นสำหรับการหลอมปรุงยาเม็ดชนิดต่างๆ นี่คือรายได้หลักของปราสาทดำเนินเซียน เพื่อป้องกันไม่ให้คนมาแอบเด็ด ลูกศิษย์ของปราสาทดำเนินเซียนจึงกระจายกำลังอยู่แทบจะทั่วทั้งดาวดำเนินเซียน ที่พวกเราถูกจับได้ก็ไม่นับว่าแปลกอะไร!”


เหมียวอี้เข้าใจแล้ว ไม่แปลกใจที่ปี้เยว่ฮูหยินมีความกังวลแบบนั้น


พอพูดจบ ชายหญิงที่สวมชุดขาวสิบคนก็มาเหยียบลงตรงนั้น ล้อมทั้งสามคนเอาไว้ แต่ละคนวรยุทธ์ไม่สูง วรยุทธ์สูงสุดแค่บงกชม่วงขั้นสามเท่านั้น ส่วนที่เหลือก็ระดับบงกชแดงทั้งหมด ทุกคนถือกระบี่ใหญ่อยู่ในมือ จ้องมองอย่างดุร้าย ชายที่เป็นหัวหน้าตะโกนถามว่า “ใครกันบุกมาที่ดาวดำเนินเซียนโดยพลการ?”


แน่นอน ไม่มีใครลงมือเพราะพวกเขาวรยุทธ์ต่ำเช่นกัน ถ้ายั่วยุให้ยอดฝีมือของปราสาทดำเนินเซียนมา นั่นก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้ว


จงหลีค่วยกุมหมัดคารวะ “จงหลีค่วย ศิษย์รุ่นที่สี่ของปราสาทดำเนินนภาทักทาย!”


ศิษย์รุ่นที่สี่ของปราสาทดำเนินนภาเหรอ? ศิษย์ทุกคนของปราสาทดำเนินเซียนตกใจ พวกเขาแทบจะเป็นศิษย์รุ่นหกรุ่นเจ็ดแล้ว ลำดับอาวุโสของท่านนี้ ถ้าอยู่ที่ปราสาทดำเนินเซียนอย่างน้อยก็เป็นระดับอาจารย์ปู่ของพวกเขาแล้ว จึงเลิกไม่ให้เกียรติทันที ถึงอย่างไรสิบปราสาทใหญ่ดำเนินก็ยังมีไมตรีต่อกันอยู่


ลูกศิษย์ที่นำหน้ามาถือกระบี่กลับด้าน แล้วกุมหมัดคารวะ ถามด้วยน้ำเสียงที่สุภาพขึ้นไม่น้อย “ท่านสามารถพิสูจน์ได้มั้ยว่าตัวเองเป็นศิษย์ของปราสาทดำเนินนภา?”


จงหลีค่วยหยิบป้ายคำสั่งของปราสาทดำเนินนภามาโยนให้เขา หลังจากอีกฝ่ายรับมาอ่าน ก็คืนป้ายให้จงหลีค่วย แล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับใครก็ไม่รู้


ผ่านไปไม่นานก็มีลำแสงสายหนึ่งพุ่งมาจากเส้นขอบฟ้า ชายวัยกลางคนที่ตรงหว่างคิ้วปกปิดวรยุทธ์บงกชทองขั้นหกเหยียบลงที่ยอดเขา พอเห็นจงหลีค่วยก็กุมหมัดทักทายด้วยรอยยิ้มทันที “เป็นพี่จงจริงๆ ด้วย! จากกันไปหลายปี จู่ๆ ได้ยินลูกศิษย์มารายงาน ยังนึกว่ามีคนปลอมตัวมาเสียอีก” จากนั้นก็โบกมือให้พวกลูกศิษย์แยกย้ายกันไป


จงหลีค่วยกุมหมัดคารวะด้วยรอยยิ้มเช่นกัน “ทำไมพี่หวังไม่อยู่ที่ปราสาทเซียน มาโผล่อยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”


ผู้ที่มายิ้มตอบ “แค่ผลัดเวรกันเฝ้ารักษาการณ์เท่านั้นเอง ทำไมจู่ๆ พี่ซงมาที่นี่ล่ะ?”


“ผ่านมาที่นี่พร้อมกับสหาย พวกเขาได้ยินเรื่องทิวทัศน์อันงดงามของดาวดำเนินเซียนมานานแล้ว แต่กลับไม่เคยเห็น ข้าทำได้เพียงพาพวกเขามารบกวนสักหน่อย กำลังเตรียมจะแจ้งให้สำนักของท่านรู้พอดี นึกไม่ถึงว่าพี่หวังจะมาถึงแล้ว” จงหลีค่วยกล่าวอย่างสุภาพ แล้วแนะนำทั้งสองฝ่ายให้รู้จักกันทันที “ท่านนี้คือหวังเยี่ยนถง ศิษย์รุ่นสี่ของปราสาทดำเนินเซียน สองคนนี้คือสหายของข้า เหมียวอี้กับหวงโหรว!”


เหมียวอี้กับหวงฝู่จวินโหรวล้วนใช้ชื่อปลอม แต่เหมียวอี้เอาชื่อจริงมาแสร้งเป็นชื่อปลอม ส่วนหวงฝู่ก็ใช้ตัวอักษรที่ออกเสียงเดียวกับชื่อตัวแรกและตัวท้า


ทั้งสองฝ่ายย่อมกล่าวทักทายกันตามมารยาท ส่วนหวังเยี่ยนถงก็แสดงไมตรีของเจ้าบ้านอย่างเต็มที่ เชิญทั้งสามไปยังจวนถ้ำที่พักในปัจจุบันของเขา


…………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)