เทพปีศาจหวนคืน 1142-1143

 เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1142 ต้มตุ๋น


แปลโดย iPAT


 


ผู้อมตะหอกน้ำแข็งพุ่งเข้าโจมตีฟางหยวน


 


‘มนุษย์กลายพันธุ์…ช่างดื้อรั้นนัก หรือมันจะเป็นเพราะเจตจำนงสวรรค์? ฮืม!’ ดวงตาของฟางหยวนเปลี่ยนเป็นมืดครึ้ม เขามองผู้อมตะหอกน้ำแข็งพุ่งเข้ามาโดยไม่หลบหนี


 


“บึม!”


 


ในเวลาต่อมาเขาเปิดทางเข้าออกมิติช่องว่างจักรพรรดิและปล่อยสัตว์อสูรที่มีร่างกายใหญ่โตออกมา


 


‘หือ นี่คือ!?’ ผู้อมตะหอกน้ำแข็งรู้สึกถึงกลิ่นอายที่ทรงพลัง


 


เขาหยุดเคลื่อนไหวอย่างกะทันหันขณะที่เจตจำนงแห่งการต่อสู้สูญสลายไปทันที


 


สิ่งที่ฟางหยวนปล่อยออกมาไม่ใช่สิ่งใดนอกจากอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุด!


 


อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดที่โตเต็มวัยมีขนาดใหญ่กว่าปลาวาฬหลายเท่า กล่าวได้ว่ามันไม่ด้อยกว่าสัตว์อสูรแรกกำเนิดประเภทมังกรของฝ่ายตรงข้าม


 


สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดคืออินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดมาด้วยพลังการต่อสู้ระดับแปด!


 


ตะลึง!


 


ผู้อมตะลึกลับตกตะลึงไปอย่างสมบูรณ์ พวกเขาไม่เคยคาดหวังว่าฟางหยวนจะมีไพ่ตายใบนี้อยู่ในมือ


 


แข็งแกร่งเกินไป!


 


ร่างกายของผู้อมตะหอกน้ำแข็งสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว


 


บรรยากาศของสนามรบเปลี่ยนไปทันที


 


ฟางหยวนยืนอยู่บนศีรษะของอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดด้วยความภาคภูมิใจและกล่าวอย่างเย็นชา “พวกเจ้าไม่เคยคิดงั้นหรือว่าเพราะเหตุใดข้าจึงปราศจากความหวาดกลัวตั้งแต่ต้น? กระทั่งท่าไม้ตายเขตแดนอมตะของพวกเจ้าจะทรงพลัง แต่มันจะสามารถหยุดอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดได้อย่างไร?”


 


ร่างของกลุ่มผู้อมตะลึกลับสั่นสะท้านขึ้นเมื่อได้ยินสิ่งนี้


 


“อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุด!”


 


“ตามตำนานอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดเป็นสัตว์อสูรแรกกำเนิดที่สามารถเจาะทะลวงกำแพงพลังงานและเข้าสู่สวรรค์ทั้งเก้า!”


 


“ไม่เพียงเท่านั้น มันยังสามารถเจาะทะลวงห้วงมิติและเข้าไปในถ้ำสวรรค์ ท่าไม้ตายเขตแดนอมตะของพวกเราไม่สามารถหยุดมัน!”


 


กลุ่มผู้อมตะพูดคุยกันด้วยความตื่นตระหนก


 


ฟางหยวนเผยรอยยิ้มมั่นใจขึ้นบนใบหน้า “แม้พวกเจ้าจะมีมังกรแรกกำเนิด แต่ข้ายังมั่นใจว่าสามารถหลบหนี อย่างไรก็ตามสิ่งที่ข้ากล่าวก่อนหน้านี้เป็นความจริงทั้งหมด! ข้าไม่จำเป็นต้องหลอกลวงพวกเจ้า กระทั่งข้าจะต้องการหลอกลวงพวกเจ้าจริงๆ พวกเจ้าก็สามารถตรวจสอบและเปิดโปงคำโกหกอันตื้นเขินเหล่านี้ เหตุใดข้าต้องเสียเวลาพูดคุย?”


 


กลุ่มผู้อมตะตกอยู่ในความเงียบ


 


อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดเป็นหลักฐานที่ดีที่สุดในการยืนยันคำกล่าวของฟางหยวน


 


“นี่เป็นของจริงหรือไม่?” กลุ่มผู้อมตะลอบพูดคุยอย่างลับๆ


 


มันค่อนข้างน่าขัน แรกเริ่มเมื่อฟางหยวนถูกซุ่มโจมตี เขาสงสัยว่าศัตรูเป็นของจริงหรือภาพลวงตา แต่ตอนนี้เมื่อฟางหยวนปล่อยอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดออกมา มันกลับกลายเป็นกลุ่มผู้อมตะลึกลับที่พบประสบการณ์เดียวกัน


 


“มันเป็นของจริง!” ผู้อมตะระดับหกที่ถูกเรียกว่าเสวี่ยเอ๋อกล่าวด้วยความตกใจ


 


“ยิ่งไปกว่านั้นพลังของอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดตัวนี้ยังน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก อย่าหลงกลรูปลักษณ์ที่งดงามของมัน! หากมันโจมตี มันจะกลายเป็นภัยพิบัติร้ายแรง!”


 


ในไม่ช้าผู้อมตะระดับเจ็ดก็เริ่มยืนยันทีละคน


 


“นี่! เขามีเพียงแดนศักดิ์สิทธิ์ แล้วเขาจะเก็บสัตว์อสูรแรกกำเนิดไว้ได้อย่างไร!?”


 


“แม้มันดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ แต่นี่คือความจริง!”


 


“เราควรทำอย่างไร? เขามีสัตว์อสูรแรกกำเนิด พวกเราต้องส่งมังกรหินแรกกำเนิดออกไปจริงๆงั้นหรือ?”


 


ในความเป็นจริงมังกรที่อยู่ในกลุ่มเมฆาหมอกไม่ได้น่ากลัวเช่นการปรากฏตัวของมัน แม้กลิ่นอายของมันจะเป็นของจริง แต่มันไม่สามารถปลดปล่อยพลังโจมตีระดับแปด


 


มีหลายเหตุผล


 


ท่าไม้ตายเขตแดนอมตะสนามรบสีเทาไม่ใช่ท่าไม้ตายอมตะระดับแปด มันไม่สามารถรองรับสิ่งมีชีวิตระดับแปดที่แท้จริง


 


อีกเหตุผลหนึ่งคือร่างหลักของผู้อมตะเผ่ามนุษย์หินและมนุษย์หิมะกลุ่มนี้อยู่ใต้ดิน ร่างในสนามรบสีเทาเป็นเพียงหุ่นเชิดของพวกเขาเท่านั้น มังกรหินแรกกำเนิดก็เช่นกัน


 


กล่าวคือท่าไม้ตายเขตแดนอมตะสนามรบสีเทาสามารถสร้างหุ่นเชิดที่สอดคล้องกับผู้ใช้งาน


 


นั่นเป็นเหตุผลที่มังกรหินแรกกำเนิดไม่เคยเคลื่อนไหวตั้งแต่การต่อสู้เริ่มขึ้น


 


ฟางหยวนไม่กล้าตรวจสอบมันตั้งแต่แรก เช่นเดียวกับผู้อมตะหอกน้ำแข็งที่ไม่กล้าโจมตีอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุด


 


พลังการต่อสู้ระดับแปดของกลุ่มผู้อมตะเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์เป็นเพียงการข่มขวัญขณะที่พวกเขาไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับฟางหยวนและคิดว่าตนเองเป็นฝ่ายอ่อนแอกว่า


 


ด้านฟางหยวน เขายังไม่รู้ว่ามังกรหินแรกกำเนิดมีไว้เพื่อข่มขวัญ ดังนั้นเขาจึงคิดว่าตนเองเป็นฝ่ายเสียเปรียบ


 


แต่การตัดสินใจของเขาถูกต้อง


 


อย่างไรก็ตามอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดกำลังจะตายด้วยความหิวโหย เขาต้องใช้วิธีบนเส้นทางแห่งเลือดเพื่ออำพรางให้มันดูเหมือนยังแข็งแรงดี


 


นี่ทำให้อีกฝ่ายไม่กล้าโจมตี


 


เหตุผล?


 


หากพวกเขาโจมตีแต่ไม่สามารถสังหารและปล่อยให้ศัตรูหลบหนี สถานการณ์จะยิ่งเลวร้าย


 


แม้พวกเขาจะเรียกมังกรหินแรกกำเนิดมาจากใต้ดิน แต่มันจะหยุดการหลบหนีของอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดได้อย่างไร


 


ตั้งแต่ฟางหยวนเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของพวกเขา พวกเขาก็รู้สึกหวั่นวิตก


 


ตัวตนของพวกเขา!


 


เมื่อข่าวของพวกเขาถูกแพร่กระจายออกไป ผู้อมตะภาคเหนือจะนำกองทัพมากวาดล้างพวกเขาทันที


 


กองกำลังมนุษย์มีความแข็งแกร่งและสามารถสังหารพวกเขามาตั้งแต่ยุคบรรพกาล มนุษย์จะไม่ปล่อยให้กองกำลังของเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์คงอยู่


 


ดังนั้นผู้อมตะเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์จึงต้องซุ่มโจมตีฟางหยวน พวกเขาไม่สามารถเปิดเผยตัวตน


 


ผู้อมตะเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์ระดมผู้อมตะเก้าคนรวมถึงสัตว์อสูรแรกกำเนิดมาที่นี่เพื่อจัดการกับฟางหยวนเพียงผู้เดียว


 


นี่เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่เกิดอุบัติเหตุใดๆ


 


แต่ถึงกระนั้นก็ยังเกิดเหตุไม่คาดคิดเพราะการประเมินศัตรูต่ำเกินไป ฟางหยวนเพียงผู้เดียวแต่กลับสามารถเรียกสัตว์อสูรแรกกำเนิดอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดออกมา


 


หากกลุ่มผู้อมตะเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์รู้เรื่องนี้มาก่อน พวกเขาจะจบลงในสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจเช่นนี้ได้อย่างไร?


 


ฟางหยวนรออยู่ชั่วครู่ เมื่อกลุ่มผู้อมตะเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์ไม่ได้กล่าวสิ่งใด เขาจึงส่ายศีรษะและเผยรอยยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “เอาล่ะ ข้าพูดไปแล้ว เหตุใดพวกเจ้ายังไม่เชื่อข้า? เป็นไปได้หรือไม่ที่พวกเจ้าต้องการต่อสู้จนถึงแก่ความตาย แต่โดยธรรมชาติข้าจะไม่ใช่หนึ่งในคนที่ต้องตาย”


 


“มนุษย์! เราจะเชื่อใจเจ้าได้อย่างไร?” ผู้อมตะระดับเจ็ดกล่าวด้วยความโกรธ


 


ฟางหยวนลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก เมื่ออีกฝ่ายกล่าวเช่นนี้ มันก็หมายความว่าพวกเขาถูกหลอกแล้ว ตอนนี้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความสามารถของเขา


 


ฟางหยวนกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคย


 


กลิ่นอายของท่าไม้ตายอมตะกระจายออกไปทำให้ผู้อมตะเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์ตื่นตัวและถอยห่างออกไป


 


อย่างไรก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ผู้อมตะเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์ตกใจ ดวงตาของพวกเขาเบิกกว้างขณะมองไปที่ฟางหยวนในร่างมนุษย์ขน


 


“ข้าเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงและได้รับมรดกที่แท้จริงบางส่วนของเหรินหว่าง ข้าสามารถหลอกลวงพวกเจ้าได้อย่างง่ายดายโดยการแปลงร่างเป็นมนุษย์ขน แต่เหตุใดข้าถึงไม่ทำเช่นนั้น?” ฟางหยวนกล่าวด้วยความจริงใจ


 


ผู้อมตะเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์มองฟางหยวนแต่ไม่ได้กล่าวสิ่งใด


 


ฟางหยวนกล่าวต่อ “ข้าทำเช่นนี้เพราะต้องการแสดงความจริงใจ! ตั้งแต่ข้าตระหนักถึงตัวตนของพวกเจ้า เราก็ถือเป็นฝ่ายเดียวกัน แม้ข้าจะเป็นผู้อมตะมนุษย์ แต่ข้าก็เป็นสมาชิกของแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา ต้นกำเนิดของแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาคือบรรพชนผมยาว ปัจจุบันมันอยู่ภายใต้การนำของจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยา นิกายหลางหยาถูกสร้างขึ้นและข้าเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสสูงสุดของนิกาย หากพวกเจ้าเชื่อข้า เพียงยกเลิกท่าไม้ตายเขตแดนอมตะและข้าจะส่งข้อความกลับไปรายงานนิกาย”


 


ผู้อมตะเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์มองหน้ากันแต่ไม่มีผู้ใดเคลื่อนไหว


 


ทั้งสองฝ่ายติดอยู่ในทางตัน


 


ในการปัดเป่าเจตจำนงสวรรค์ที่ส่งอิทธิพลต่อความคิดของพวกเขา ฟางหยวนต้องพูดคุยเพื่อเปลี่ยนใจพวกเขา


 


เจตจำนงสวรรค์ไม่ใช่เจตจำนงปลอม มันส่งอิทธิพลต่อความคิดของผู้อมตะเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์ไม่มากนัก ท้ายที่สุดความฉลาดของมนุษย์กลายพันธุ์ก็เป็นรองเพียงมนุษย์เท่านั้น


 


“เอาล่ะ ข้าจะแสดงความบริสุทธิ์ใจก่อน” ฟางหยวนถอนหายใจก่อนจะเก็บอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดกลับเข้าไปในมิติช่องว่างจักรพรรดิ


 


การเคลื่อนไหวนี้ทำให้กลุ่มผู้อมตะเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์ตกใจ


 


“ระวัง แม้อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดจะถูกเก็บเข้าไปแล้วแต่มันก็สามารถออกมาได้ตลอดเวลา”


 


“พอแล้ว เก็บสนามรบสีเทา”


 


“ท่านผู้นำ…”


 


“พวกเจ้าคิดว่าสนามรบสีเทายังสามารถหยุดเขาได้งั้นหรือ?”


 


ผู้อมตะเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์คนอื่นๆไม่สามารถโต้เถียง


 


จากสิ่งที่พวกเขาเห็น มันเป็นเรื่องจริง


 


ท่ามกลางความเงียบงัน สนามรบสีเทาถูกถอนออกไปอย่างช้าๆ วิสัยทัศน์ของฟางหยวนกลับมาสดใสอีกครั้ง


 


เขาอดทนต่อแรงกระตุ้นของการหลบหนีและกล่าวกับกลุ่มผู้อมตะเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์ “ดีมาก มิตรภาพมักเกิดขึ้นหลังจากต่อสู้ ข้าจะแจ้งข่าวกลับไปที่นิกายหลางหยาทันทีและรอให้นิกายส่งผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนมาที่นี่”


 


การแสดงออกของฟางหยวนไร้ขอบกพร่องใดๆ นอกจากนี้เขายังไม่ได้หลบหนี นี่เป็นอีกข้อพิสูจน์ที่ดี


 


“หากเป็นเช่นนั้นเราจะต้อนรับท่านในฐานะแขก” หลังจากกลุ่มเมฆหมอกกระจายหายไปมีผู้อมตะเพียงผู้เดียวที่เหลืออยู่ เขาคือผู้ควบคุมสนามรบสีเทา


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า โปรดนำทาง” ฟางหยวนติดตามผู้อมตะเผ่ามนุษย์หินผู้นี้ลงไปใต้ดิน


 


ข้อเท็จจริงได้รับการพิสูจน์แล้วว่าอิทธิพลของเจตจำนงสวรรค์ไม่ได้ยิ่งใหญ่นัก อย่างน้อยฟางหยวนก็สามารถใช้คำพูดเพื่อปัดเป่าอิทธิพลนี้


 


แน่นอนว่าเหตุผลหลักมาจากอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุด


 


การดำรงอยู่ของสัตว์อสูรแรกกำเนิดทำให้กลุ่มผู้อมตะเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์เปลี่ยนความคิด


 


เจตจำนงสวรรค์ไม่สามารถทำลายความมีเหตุมีผลของพวกเขา การท้าทายสัตว์อสูรแรกกำเนิดเป็นเพียงการรนหาที่ตายเท่านั้น


 


ในส่วนลึกของแดนน้ำแข็งมีโลกที่งดงามซ่อนตัวอยู่


 


ผู้อมตะเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์หลายคนนำฟางหยวนเดินไปตามเส้นทางขณะที่เขามองทิวทัศน์อย่างเหม่อลอย


 


ผู้อมตะเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์ก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกระทั่งนิกายหลางหยาส่งผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนมาที่นี่


 


ผมที่สิบสองและผมที่หกร่วมอยู่ในคณะเดินทาง


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1143 ข้า…มีความสุขมาก


แปลโดย iPAT


 


ใต้ดินของแดนน้ำแข็ง


 


ในห้องโถงขนาดใหญ่ เก้าอี้และโต๊ะหินถูกจัดเรียงเป็นวงกลม เถาวัลย์หนาเลื้อยพันอยู่บนผนัง


 


กองไฟสามกองกำลังลุกไหม้อยู่กลางห้อง


 


นี่เป็นพิธีการที่ตกทอดมาจากยุคบรรพกาล เมื่อมนุษย์กลายพันธุ์จัดงานเลี้ยงต้อนรับแขก พวกเขาจะจุดไฟสามกอง


 


ผู้อมตะเผ่ามนุษย์หิมะ มนุษย์หิน และมนุษย์ขนรวมถึงฟางหยวนนั่งอยู่ในห้องโถงแห่งนี้


 


ผลไม้ทุกชนิดถูกวางไว้ด้านหน้าทุกคนขณะที่คนรับใช้เผ่ามนุษย์หินเริ่มรินสุราให้กับทุกคน


 


“นี่คือสุราเหงือกปลาของพวกเราชาวมนุษย์หิน โปรดลิ้มลอง!” ซื่อจงยืนขึ้นกล่าวพร้อมกับถ้วยสุราที่อยู่ในมือ


 


ซื่อจงเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของเผ่ามนุษย์หิน เขาไม่ได้เข้าร่วมในการต่อสู้เพื่อสังหารฟางหยวน


 


ร่างกายของเขาเปล่งประกายด้วยอัญมณีหลากหลายชนิด


 


นี่คือรูปแบบของชนเผ่ามนุษย์หิน


 


ร่างกายของมนุษย์หินถูกสร้างขึ้นมาจากหิน ในช่วงชีวิตที่ยาวนานแร่ทองคำและแร่ทุกชนิดจะเติบโตขึ้นบนร่างกายของพวกเขา มนุษย์หินถือเอาสิ่งนี้เป็นสัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่และมีเกียรติ ยิ่งมนุษย์หินมีตำแหน่งสูงเท่าใด ร่างกายของพวกเขาก็ยิ่งงดงามมากเท่านั้น


 


ไม่เพียงซื่อจงแต่ผู้อมตะเผ่ามนุษย์หินคนอื่นๆก็อยู่ในรูปลักษณ์ที่ใกล้เคียงกัน


 


เนื่องจากซื่อจงเป็นผู้เปิดปากเชิญ ดังนั้นทุกคนจึงยกถ้วยสุราของตนเองขึ้นมา


 


ซื่อจงและคนอื่นๆดื่มสุราคำโตมีเพียงฟางหยวนที่จิบเบาๆเท่านั้น


 


ซื่อจงวางถ้วยสุราลงโดยไม่เหลือสุราแม้แต่หยดเดียว


 


จากนั้นเสียงโห่ร้องก็ดังขึ้น


 


ผู้อมตะคนอื่นๆทำเช่นเดียวกัน


 


บรรยากาศเต็มไปด้วยชีวิตชีวา


 


มีเพียงฟางหยวนที่วางถ้วยสุราลงโดยมีสุราเหลืออยู่ในถ้วย


 


อย่างไรก็ตามผู้อมตะเผ่ามนุษย์หินและมนุษย์หิมะคนอื่นๆต่างเมินเฉยต่อสิ่งนี้


 


ตรงข้ามกับผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขน ผมที่หกเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ฟางหยวน “ผู้อาวุโสฟางหยวน ท่านกำลังทำสิ่งใด เหตุใดท่านจึงกระทำการไม่สุภาพเช่นนี้? เจ้าภาพดื่มสุราจนหมดถ้วย ในฐานะแขก พวกเราไม่ควรเหลือสุราทิ้งไว้ นี่คือการแสดงความเคารพต่อเจ้าภาพ อา…ข้าเกือบลืมไปแล้วว่าท่านเป็นมนุษย์ไม่ใช่พวกเรา ไม่แปลกใจเลยที่ท่านไม่รู้จักประเพณีที่ตกทอดมาจากยุคโบราณของพวกเรา”


 


ผมที่หกเป็นสายลับที่อยู่ในนิกายหลางหยา เขาใช้ประโยชน์จากทุกสถานการณ์เพื่อสร้างปัญหาให้กับฟางหยวน


 


ฟางหยวนยิ้มและกล่าวอย่างสะดวกสบาย “ข้าจะไม่รู้ประเพณีนี้ได้อย่างไร? มันเป็นเพียงแค่สุรานี้คือน้ำลายที่ถูกทิ้งไว้โดยปลากระพงใต้ดิน ข้าไม่อยากดื่มมัน”


 


“ท่าน!” การแสดงออกของผมที่หกกลายเป็นมืดครึ้มแต่เขาลอบมีความสุขอยู่ภายใน คำกล่าวของฟางหยวนชัดเจนว่าเป็นการสร้างความขุนเคืองให้กับฝ่ายตรงข้ามซึ่งเป็นสิ่งที่ผมที่หกตั้งใจให้เกิดขึ้น


 


ในจดหมายที่ฟางหยวนส่งกลับไปยังนิกายหลางหยาไม่ได้กล่าวถึงรายละเอียดทั้งหมด เขาอธิบายเพียงภาพรวมเท่านั้น ผมที่หกและคนอื่นๆไม่รู้ว่าฟางหยวนนำอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดออกมาและทำให้กลุ่มผู้อมตะเผ่ามนุษย์หินและมนุษย์หิมะต้องประนีประนอม


 


ในความเป็นจริงจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาได้มอบภารกิจค้นหาพันธมิตรเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์ให้กับฟางหยวนมานานแล้ว


 


ตั้งแต่ฟางหยวนค้นพบมนุษย์กลายพันธุ์เหล่านี้ เขาก็สามารถทำภารกิจให้กับนิกายได้สำเร็จและจะได้รับรางวัลจากนิกายหลางหยา


 


ในฐานะสมาชิกนิกาย ผมที่หกไม่ต้องการเห็นฟางหยวนได้รับผลประโยชน์และพัฒนา ตอนนี้เขากล่าวสิ่งเหล่านี้เพื่อกำหราบฟางหยวน


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า เนื่องจากผู้อาวุโสฟางหยวนไม่ชอบสุราชนิดนี้ เช่นนั้นเราจะเปลี่ยนเป็นสุราชนิดอื่น ข้าจะนำสุราหมาป่าน้ำแข็งออกมาจากโรงกลั่นของข้า!” ผู้อมตะเผ่ามนุษย์หิมะหัวเราะ


 


มนุษย์หิมะมีร่างกายสีขาวราวหิมะและมีดวงตาสีน้ำเงินพร้อมเส้นผมสีฟ้า


 


ผู้อมตะเผ่ามนุษย์หิมะผู้นี้ไม่สวมเสื้อและเผยให้เห็นรอยสักสีน้ำเงินเข้มบนหน้าอก ผมสีฟ้าของเขาถูกมัดขึ้นเผยให้เห็นใบหน้าที่มั่นคงและไร้กังวล


 


บุคคลผู้นี้มีนามว่าปิงเจา เขาก็คือผู้อมตะหอกน้ำแข็งที่ทำให้ฟางหยวนรู้สึกขมขื่น


 


ไม่นานคนรับใช้เผ่ามนุษย์หิมะก็นำสุราชนิดใหม่ออกมา


 


ถ้วยสุราทำจากน้ำแข็ง สุราที่อยู่ภายในสร้างไอเย็นลอยขึ้นสู่อากาศ


 


“กล่าวตามตรงข้าเองก็ไม่ชอบดื่มสุราเหงือกปากเช่นกัน ดังนั้นโปรดลิ้มลองสุราชนิดนี้” ปิงเจากล่าว


 


ฟางหยวนกวาดตามองสุราและกล่าวโดยไม่ให้ความเคารพใดๆ “ให้ข้าลองดูก่อน”


 


“เชิญ” ปิงเจาหัวเราะ


 


เพียงเมื่อปิงเจากล่าวจบ ฟางหยวนยกถ้วยสุราขึ้นดื่มจมหมดในครั้งเดียว


 


ผู้อมตะทั้บงหมดมึนงงอยู่ชั่วขณะก่อนจะปรบมือและโห่ร้องเสียงดัง


 


ฟางหยวนมองผมที่หกอย่างระมัดระวังและลอบหัวเราะอยู่ภายใน


 


เขารู้ความตั้งใจของสหายผู้นี้


 


อย่างไรก็ตามผมที่หกจะไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องร้ายใดๆขึ้นกับฟางหยวนเพราะนิกายเงาต้องการเก็บร่างของฟางหยวนเอาไว้เพื่อหลอมรวมวิญญาณทารกอมตะอีกครั้ง


 


สิ่งที่ผมที่หกทำได้มีเพียงการยับยั้งความก้าวหน้าของฟางหยวนเท่านั้น


 


ก่อนหน้านี้ผมที่หกพยายามทำเรื่องนี้โดยทำลายความสัมพันธ์ระหว่างฟางหยวนกับนิกายหลางหยา


 


แต่ผมที่หกไม่เคยคาดคิดว่าฟางหยวนจะมีอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุด ยิ่งไปกว่านั้นเขายังใช้มันสร้างความหวาดกลัวให้กับผู้อมตะเผ่ามนุษย์หิมะและมนุษย์หิน


 


ด้วยความแข็งแกร่งที่แตกต่าง ผู้อมตะเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์เหล่านี้จึงไม่มีทางเลือกนอกจากให้ความเคารพ!


 


นี่คือจุดแข็ง


 


ในใจของพวกเขาไม่ว่าผมที่หกจะยั่วยุหรือกล่าวสิ่งใด มันก็ไร้ประโยชน์ หลังจากทั้งหมดฟางหยวนสำคัญกว่าผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนทั้งหมดรวมกัน


 


มนุษย์กลายพันธุ์ให้ความเคารพต่อความแข็งแกร่งมาก นี่เป็นประเพณีของพวกเขามาตั้งแต่ยุคบรรพกาล


 


เนื่องจากยุคบรรพกาลเป็นยุคแห่งการดื่มเลือดกินเนื้อ ช่วงเวลาแห่งสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ทำให้พวกเขาถูกสังหารโดยมนุษย์ มีเพียงความแข็งแกร่งที่จะทำให้พวกเขาอยู่รอด


 


ฟางหยวนตั้งใจทำเรื่องต่างๆให้ดูยากขึ้นเพราะต้องการให้ผู้อมตะเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์เหล่านี้รู้สึกกังวลอยู่ตลอดเวลา


 


หากฟางหยวนไม่ทำมัน พวกเขาจะรู้สึกสบายใจเกินไป


 


ฟางหยวนเข้าใจธรรมชาติของพวกเขา นอกจากนี้ยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง นั่นคือเพื่อตรวจสอบความตั้งใจของฝ่ายตรงข้าม


 


ตอนนี้ฟางหยวนมั่นใจอย่างสมบูรณ์แล้วว่าเขาปลอดภัย


 


‘เกิดสิ่งใดขึ้น?’ เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของผู้อมตะเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์ ผมที่หกตกใจมาก


 


ผู้อมตะเผ่ามนุษย์หิมะและมนุษย์หินเข้ารุมล้อมฟางหยวนขณะที่ปล่อยผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนทิ้งไว้โดยไม่สนใจ


 


“ผู้อาวุโสฟางหยวน ข้าขอดื่มให้ท่าน”


 


“ผู้อาวุโสฟางหยวนช่างเป็นนักดื่มที่ยอดเยี่ยมนัก!”


 


ฟางหยวนไม่ปฏิเสธพวกเขาและดื่มทุกครั้ง


 


ผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนมองหน้ากันด้วยความสับสน


 


ผมที่หกรู้สึกสับสนมาก ‘ฟางหยวนใช้เสน่ห์เล่ห์กลใดถึงทำให้พวกเขาหลงใหลและให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นเช่นนี้?’


 


หากฟางหยวนเป็นมนุษย์ขน นั่นอาจสมเหตุสมผล แต่เขาอยู่ในร่างที่แท้จริงซึ่งเป็นมนุษย์


 


“ผู้อาวุโสฟางหยวน ข้าเสวี่ยเอ๋อจะรินสุราให้ท่าน” ระหว่างงานเลี้ยง ผู้อมตะหญิงเผ่ามนุษย์หิมะเดินเข้ามาหาฟางหยวนและช่วยรินสุราแทนคนรับใช้


 


ผู้อมตะชายเผ่ามนุษย์ขนมองด้วยดวงตาเบิกกว้าง


 


ผมที่หกแทบตะโกนออกมา ‘พวกเจ้าบ้าไปแล้ว! พวกเจ้าเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ ฟางหยวนเป็นมนุษย์! เขาเป็นมนุษย์! มนุษย์ที่เข่นฆ่าพวกเราเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์!”


 


“เสวี่ยเอ๋อ เจ้าคือมนุษย์หิมะที่ค้นพบร่างจริงของข้าใช่หรือไม่?” ฟางหยวนมองผู้อมตะหญิงเผ่ามนุษย์หิมะผู้นี้


 


ผู้อมตะหญิงเผ่ามนุษย์หิมะก้มศีรษะลงและเผยรอยยิ้มเขินอาย “ข้าเชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบเล็กๆน้อยๆเท่านั้น ผู้อาวุโสฟางหยวนคือวีรบุรุษที่แท้จริง”


 


ผมที่สิบสองแทบพ่นสุราออกมาจากปากเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้


 


ผมที่หกลอบสาปแช่งผู้อมตะหญิงเผ่ามนุษย์หิมะ ‘เจ้าตั้งใจทำสิ่งใด!? เฮ้ เฮ้ เหตุใดเจ้าต้องหน้าแดงและก้มศีรษะลงด้วยท่าทางเขินอาย? เจ้าคิดว่าข้ามองไม่ออกงั้นหรือว่าเจ้าสนใจเจ้าหมอนั่น! เจ้าเป็นมนุษย์หิมะ คิดถึงสถานะของตนเองบ้าง!’


 


“ข้าไม่สมควรได้รับการยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษ” ฟางหยวนหัวเราะ


 


ปิงเจาถือถ้วยสุรามาหาเขา “หากผู้อาวุโสฟางหยวนไม่ใช่วีรบุรุษแล้วผู้ใดยังจะสามารถอ้างตัวเป็นวีรบุรุษได้อีก?”


 


เสวี่ยเอ๋อแนะนำตัวในเวลาที่เหมาะสม “นี่คือท่านพี่ปิงเจา เขาเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าของเรา ปกติแล้วเขาเป็นคนเย็นชาและภาคภูมิใจในตนเอง มีเพียงผู้อาวุโสฟางหยวนเท่านั้นที่ทำให้เขาชื่นชมได้เช่นนี้”


 


ฟางหยวนยืนขึ้นและประเมินผู้อมตะผู้นี้ “หากข้าเดาไม่ผิด เจ้าคือคนที่ใช้หอกน้ำแข็งคู่ต่อสู้กับข้าหลายสิบกระบวนท่าถูกต้องหรือไม่?”


 


ปิงเจาหัวเราะและยกนิ้วให้ “ผู้อาวุโสฟางหยวน สายตาของท่านช่างแหลมคมนัก!”


 


ฟางหยวนไม่ได้กล่าวต่อแต่ยกถ้วยสุราขึ้นดื่มให้กับปิงเจา


 


ปิงเจามีความสุขมากและดื่มสุราจนหมดถ้วย


 


เสียงโห่ร้องดังขึ้นอีกครั้งขณะที่เสวี่ยเอ๋อปรบมืออยู่ด้านข้าง “วีรบุรุษย่อมดึงดูดวีรบุรุษ”


 


ผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนตกตะลึง ไม่มีผู้ใดสนใจพวกเขา ตรงข้าม ทุกคนต่างมองไปที่ฟางหยวน


 


ผมที่หกแทบยกมือขึ้นตุบโต๊ะ


 


ทัศนคติของปิงเจาทำให้เขารู้สึกแย่


 


เขากรีดร้องอยู่ในใจ ‘พวกเจ้ากำลังทำสิ่งใด!? หญิงที่ชื่อเสวียเอ๋อ เพียงเห็นผู้ชายหน้าตาดีถึงกับตื่นเต้นจนไม่สามารถเก็บอาการ ดูสีหน้าของเจ้า ดูวิธีหัวเราะของเจ้า มันบอกได้ชัดเจนว่าเจ้าต้องการสิ่งใดจากฟางหยวน! ผู้อมตะเผ่ามนุษย์หิมะที่แข็งแกร่งที่สุด เจ้ายังเป็นวีรบุรุษของเผ่าอยู่หรือไม่? เจ้าต้อนรับและใกล้ชิดมนุษย์ราวกับเป็นพี่น้องร่วมสายเลือด เจ้าต้องการทรยศต่อเผ่าของตนเองงั้นหรือ!?’


 


ปิงเจาถอนหายใจ “เปรียบเทียบกับผู้อาวุโสฟางหยวน ข้าจะถือเป็นวีรบุรุษได้อย่างไร? ผู้อาวุโสฟางหยวนครอบครองอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุด หากไม่ใช่เพราะผู้อาวุโสฟางหยวนอยู่ฝ่ายเดียวกับพวกเรา เผ่าของพวกเราอาจพบภัยพิบัติร้ายแรงจริงๆ”


 


“อา…กระไรนะ!? อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุด!” ผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนมองหน้ากันด้วยความตกใจ


 


“ผู้อาวุโสฟางหยวน ข้าได้ยินสิ่งใดผิดไปหรือไม่? ท่านมีอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดงั้นหรือ!?” ในที่สุดผมที่หกก็ไม่สามารถอดทนและผุดลุกขึ้นยืน


 


ฟางหยวนลูบจมูกของตนและกล่าวด้วยท่าทีลำบากใจเล็กน้อย “ไม่นานมานี้ข้าร่วมมือกับชูตู๋เพื่อไปยังถ้ำสวรรค์ไห่ฟานและสามารถรับสืบทอดมรดกที่แท้จริงของไห่ฟานได้สำเร็จ อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดเป็นหนึ่งในผลประโยชน์ของการเดินทางครั้งนี้”


 


“อันใด!?” ผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนอุทานด้วยความตกใจมาก


 


ผู้อมตะเผ่ามนุษย์หิมะและมนุษย์หินมองหน้ากัน


 


ผมที่หกก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว เขาจ้องมองฟางหยวนด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ


 


ในช่วงเวลานี้ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดผู้อมตะเผ่ามนุษย์หิมะและมนุษย์หิมเหล่านี้จึงให้ความสำคัญกับฟางหยวนมากนัก


 


สัตว์อสูรแรกกำเนิดที่มีพลังการต่อสู้ระดับแปด!


 


ผมที่หกไม่สามารถรับแรงกระแทกนี้ ขาของเขากลายเป็นไร้เรี่ยวแรงและล้มลงนั่งบนเก้าอี้หินอีกครั้ง


 


“ข้าไม่มีเวลาแจ้งให้พวกเจ้ารู้ มา สมาชิกนิกายหลางหยาของเรามาดื่มเพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง” ฟางหยวนยิ้มและยกถ้วยสุราขึ้น


 


ผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนตอบสนองโดยเผยให้เห็นถึงความสุข


 


“นิกายหลางหยาของเรามีความแข็งแกร่งระดับแปดแล้วในเวลานี้!”


 


“ผู้อาวุโสฟางหยวนของเราช่างไร้เทียมทาน น่าทึ่งมาก!”


 


“ผู้อาวุโสฟางหยวน ก่อนหน้านี้เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ของข้า ข้ามีตาแต่หามีแววไม่!”


 


ผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนแสดงออกด้วยการยอมรับ


 


นี่คือพลังอำนาจของความแข็งแกร่งระดับแปด!


 


ผมที่หกยกถ้วยสุราขึ้นด้วยรอยยิ้มแต่ภายในแทบกระอักเลือดด้วยความโกรธ


 


ฟางหยวนมองผมที่หกและเผยรอยยิ้มบาง “ผู้อาวุโสหก เหตุใดมือของท่านถึงสั่นเช่นนั้น?”


 


ผมที่หกยิ้มและกล่าวด้วยเสียงที่แหบแห้ง “นี่เป็นเพราะข้าตื่นเต้นกับผู้อาวุโสฟางหยวนและนิกายหลางหยาของเรา ข้า…มีความสุขมาก…”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)