พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1139-1142

 บทที่ 1139 พลังปฏิหาริย์ของเฮยทั่น

โดย

Ink Stone_Fantasy

ในหัวของท่านขุนนางเหมียวปรากฏภาพทที่ยอดเยี่ยม ทำสีหน้าค่อนข้างอัศจรรย์ใจ!


จีเหม่ยลี่รู้สึกได้ว่าร่างที่อยู่ข้างหลังนางสั่นเล็กน้อย มือที่ลูบไล้อยู่บนหน้าอกนางปล่อยออกอย่างช้าๆ ตัวคนก็ออกนางแล้วเช่นกัน


นางหันตัวมาจ้องมองเขา พลางกล่าวเสียงเรียบว่า “สงสัยเจ้าจะกลัวแล้ว”


ไม่ใช่ว่ากลัว แต่รู้สึกตัวสั่นทั้งๆ ที่ไม่ได้หนาว!เหมียวอี้พึมพำในใจ แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “ท่องแดนฝึกตนมาหลายปีขนาดนี้ นับว่าพบเจอการขู่คุกคามต่างๆ มาก็ไม่น้อย การขู่แบบเจ้าข้าเพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก ข้าบอกได้แค่ว่าข้ายอมเจ้าแล้ว!”


จีเหม่ยลี่กล่าวว่า “ไม่ใช่การขู่ ทำไมข้าถึงแต่งงานกับเจ้า เจ้าเองก็รู้อยู่แก่ใจ เจ้าวางใจได้ ข้าไม่ได้มีเจตนาอย่างอื่น ในเมื่อข้าแต่งงานกับเจ้าแล้ว กำหนดฐานะไว้แล้ว ข้าก็จะไม่คิดอย่างอื่น อยู่ก็เป็นคนของเจ้า ตายก็เป็นผีของเจ้า การเรียกร้องต่างๆ ล้วนอยู่ในการตัดสินใจของเจ้า เจ้าอยากจะครอบครองข้าเมื่อไรก็ได้ ข้าแค่อยากจะฉวยโอกาสตอนที่เจ้ายังสนใจข้าสร้างมูลค่าให้กับสิ่งที่ตัวเองต้องจ่ายไปสักหน่อย ถ้ารอให้เจ้าเล่นข้าจนเบื่อหน่ายแล้ว ข้ากลัวว่าจะกลายเป็นสิ่งที่วางประดับไว้ตรงหน้าเจ้าเท่านั้น ถ้าเอ่ยปากตอนนั้นเจ้าก็จะไม่สนใจใยดีข้าแล้ว”


เหมียวอี้ส่ายหน้า “แต่สำหรับข้าเรียกว่าหาเรื่องใส่ตัว แต่งงานรับเข้ามาสี่คนในรวดเดียว ผลก็คือต้องบูชาแต่ละคนอย่างกับเป็นบรรพบุรุษ”


จีเหม่ยลี่เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็แก้มัดผ้าคาดเอว ถอดชุดกระโปรงตัวนอกออกต่อหน้าต่อหน้าเหมียวอี้ ใส่เพียงชุดชั้นในหันตัวเข้ามา แผ่นหลังขาวดุจหยกที่อยู่ด้านหลังเสื้อชั้นในเปิดเผยออกมาหมดอย่างไม่ต้องสงสัย ต้นขายาวเท้าเปลือยที่มีเอกลักษณ์เหยียบลงในน้ำทะเล สะโพกงอนสะบัดผมยาววักน้ำ เรือนร่างโค้งเว้าที่อยู่ภายใต้แสงแดดยอดเยี่ยมจนบรรยายเป็นคำพูดไม่ได้ ความขาวดุจหิมะที่เผยออกมาครึ่งหนึ่งด้านข้างเสื้อชั้นในทำให้เหมียวอี้คอแห้งด้วยความกระหาย


“นี่เจ้ากำลังใช้ความสวยยั่วยวนข้า!” เหมียวอี้กล่าวอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก


จีเหม่ยลี่ที่สะบัดผมยาวไปไว้ข้างหัวไหล่จนน้ำกระเด็นอีกครั้งหันกลับมาถาม “เจ้าอยากจะดึงข้าไปเล่นน้ำทะเลไม่ใช่เหรอ?”


เหมียวอี้กระเหี้ยนกระหือรือ เขายังไม่เคยลิ้มลองรสชาติของนักพรตปีศาจมาก่อน ทั้งยังเป็นปีศาจสาวงามขาเรียวยาวที่หาพบได้ยากอีกด้วย ต้นขาที่ขาวดุจหิมะคู่นั้นเรียวยาวจริงๆ! แต่ถ้าจะให้ตนบอกถึงที่มาของเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานก็ไม่มีทางเป็นไปได้ เห็นได้ชัดว่าจีเหม่ยลี่อยากจะพิจารณาสักหน่อยว่าตัวเองจะช่วยตระกูลจีค้นหาเบาะแสอะไรเกี่ยวกับมหาเคล็ดวิชาหมื่นปีศาจได้รึเปล่า


บังเอิญว่าตอนนี้ในกำไลเก็บสมบัติมีระฆังดาราสั่นไหวพอดี เป็นข้อความจากเจ้าสำนักอวี้หลิง บอกว่าเยียนเป่ยหงพาหงซิ่ว หงฝูออกไปแล้ว!


เหมียวอี้รีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับเยียนเป่ยหง : พี่ใหญ่เยียน ท่านไปที่ไหนแล้ว?


เยียนเป่ยหง : พิภพใหญ่กว้างใหญ่ขนาดนี้ ถ้าไม่ออกไปเผชิญโลกกว้างสักหน่อย จะไม่ถือว่ามาเสียเที่ยวหรอกเหรอ? น้องชายไม่ต้องคิดถึงข้า ความเป็นความตายขึ้นอยู่กับโชคชะตา หวังว่าครั้งหน้าคงได้เจอกัน!


ตอนหลังเหมียวอี้จะเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ เยียนเป่ยหงไม่ได้คิดจะมาขอพึ่งพาทำงานใต้บังคับบัญชาเขา บอกเพียงว่าถ้ามีเรื่องที่จำเป็นต้องให้เขาช่วยจริงๆ  ก็จะบอก ถ้าเปลี่ยนมาอยู่ในความสัมพันธ์แบบเจ้านายลูกน้อง ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องก็จะไม่มีความหมาย จะทำลายความสัมพันธ์กันได้ง่าย


เหมียวอี้ที่เก็บระฆังดาราเงียบๆ ค่อนข้างกลัดกลุ้ม ห้าปราชญ์เป็นแบบนี้ เยียนเป่ยหงก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน แต่ลคนล้วนมีปณิธานอันยิ่งใหญ่ กลับทำให้คนที่หากินอยู่ในระบบของตำหนักสวรรค์อย่างเขาดูเหมือนไร้ความทะเยอทะยาน


ชั่วขณะนั้น เขาหมดความสนใจต่อเหม่ยลี่ที่ตัวเปียกยั่วยวนอยู่ในน้ำทะเลแล้ว กลับมานั่งขัดสมาธิข้างกายเฮยทั่นอย่างเหม่อลอย


จีเหม่ยลี่ทำท่าทางยั่วยวนอย่างเก้ๆ กังๆ พอเห็นสถานการณ์แบบนี้ ก็ทำได้เพียงสวมใส่ชุดกระโปรงใหม่อีกครั้ง เดินไปนั่งกอดเข่าข้างกายเขา แล้วกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “เจ้าสามารถหาเหตุผลอะไรมาหลอกลวงข้าได้ตามสบายเลย” นางจะสื่อว่าทำไมเจ้าไม่ยอมหลอกข้า


“อนุภรรยาในบ้านตัวเอง ยังต้องหลอกด้วยเหรอ มีความหมายอะไรเหรอ?” เหมียวอี้ถอนหายใจ แล้วยื่นมือไปตบต้นข้านางเบาๆ หลังจากบอกใบ้ให้เหยียดขาแล้ว เขาก็เอนกายนอนหนุนต้นขานาง ดมกลิ่นกายหอมของนาง หลับตานอนงีบ


ตอนแรกจีเหม่ยลี่ยังไม่ค่อยคุ้นชิน เมื่อเห็นเขาไม่ทำอะไรอย่างอื่นที่เกินเลย ถึงได้จ้องเขาครู่หนึ่งแล้วถามว่า “เหมือนเจ้าจะอารมณ์ไม่ดีนะ”


เหมียวอี้ที่กำลังหลับตายื่นมือไปลูบคลำใบหน้านาง ทั้งสองสงบลงแล้ว…


ชัวพริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วหนึ่งปี ในหนึ่งปีนี้ทั้งสองเรียกได้ว่าแทบจะไม่ห่างกันแม้แต่ก้าวเดียว อยู่ด้วยกันทั้งกลางวันทั้งกลางคืน นอกจากจะโอบกอดจีเหม่ยลี่นิดๆ หน่อยๆ เหมียวอี้ก็ไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่น ไม่ได้บังคับให้นางทำเรื่องที่อะไรที่ออกนอกกรอบ ทั้งสองคุ้นเคยกันมากขึ้น มองว่าการโอบกอดจากเขาเป็นเรื่องปกติไปแล้ว คุ้นชินกับการปรนนิบัติดูแลเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของเขาเช่นกัน เริ่มจะมีการวางตัวอย่างที่สามีภรรยาควรจะมีขึ้นมาบ้างแล้ว


การเปลี่ยนแปลงทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวผ่านวันเวลาที่ล่วงเลยไป


ในวันหนึ่งหลังจากผ่านไปหนึ่งปี เฮยทั่นอยู่ตรงกลาง สองคนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ทางซ้ายและขวาพลันลืมตาขึ้น เอียงหน้ามองเฮยทั่นที่นอนอยู่บนพื้นพร้อมกัน


เห็นเพียงหางที่วางตกนิ่งๆ อยู่บนพื้นของเฮยทั่นพลันกระดกขึ้นมา กวัดแกว่งตีอยู่บนหาดทรายสองสามครั้ง จังหวะการหายใจเกิดความเปลี่ยนแปลง ดวงตาใหญ่สองข้างลืมขึ้นช้าๆ มันเงยหน้าขึ้นมาและพลิกตัวอย่างกะทันหัน ในที่สุดก็ยืนขึ้นสั่นหัวส่ายหาง


หลังจากทำท่าเหมือนบิดขี้เกียจเสร็จ มันก็เหลือบมองเหมียวอี้ที่นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆ แล้วก้มหัวแลบลิ้นใหญ่อ้วนเลียใบหน้าของเขา


ลิ้นที่เหนียวลื่น สกปรกจะตายไป เหมียวอี้ไม่คิดว่าจำเป็นต้องใกล้ชิดสนิทสนมกับมันขนาดนี้ จึงยื่นมือไปช้อนคางมันไว้ ผลักหัวมันออกไป จากนั้นก็ยืนขึ้นเอามือไขว้หลัง “โจรอ้วน เจ้านี่มันใช้ได้เลย! ก่อนหน้านี้บังอาจลงมือกับข้า!”


ข้าทำเหรอ? เฮยทั่นเอียงหัว ในดวงตาฉายแววสงสัย เหมือนจำไม่ได้แล้ว ขี้เกียจจะคิดตาม ในท้องมีเสียงโครกครากดังเหมือนฟ้าร้อง เหยียดขาทั้งสี่กระโดดขึ้นฟ้า สะบัดตัวเลี้ยวเปลี่ยนทิศทางแยกเขี้ยวยิงฟันส่งเสียงดัง ดำลงในมหาสมุทรอีกครั้ง


เหมียวอี้กับจีเหม่ยลี่ทอดสายตามอง


ผ่านไปครู่เดียว เฮยทั่นก็โผล่หัวออกมาที่ผิวทะเลอีกครั้ง ในปากคาบปลาตัวใหญ่ ว่ายน้ำท่ากรรเชียงพลางกินปลาอย่างออกรสออกชาติ เพิ่งตื่นขึ้นมา จึงค่อนข้างเจริญอาหารอย่างเห็นได้ชัด พอกินหมดตัวหนึ่ง ก็มุดดำลงไปในทะเลอีก จับปลาอีกตัวลอยขึ้นมากัดกินอย่างบ้าคลั่งอยู่ที่ผิวน้ำ


หลังจากกินปลาหมดไปหลายสิบตัว มันถึงได้หยุดทำแบบนั้น เปลี่ยนไปเล่นน้ำโต้คลื่นแทน


เหมียวอี้ทอดสายตามองอยู่ไกลๆ พลันกล่าวว่า “ที่แท้ ‘หลีหลง’ ก็หน้าตาเป็นอย่างนี้นี่เอง”


ที่เรียกว่า ‘หลีหลง’ ความหมายตามชื่อก็คือยังห่างไกลจากมังกร เป็นหนึ่งในชื่อเรียกหลังจากอาชามังกรวิวัฒนาการแล้ว ทีแรกเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน เพิ่งมารู้หลังจากมาถึงพิภพใหญ่ เพียงแต่การวิวัฒนาการของอเป็นสถานการณ์ที่พบได้น้อยมาก เป็นเพียงตำนานของพิภพใหญ่เช่นกัน มีน้อยคนมากที่เคยเห็นว่าหลีหลงหน้าตาเป็นอย่างไร เหมียวอี้ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าหลีหลงจะหน้าตาเหมือนเฮยทั่นในตอนนี้ ไม่เคยเจอภาพประกอบ ตอนแรกเหมียวอี้ไม่รู้ด้วยว่าหลังจากเฮยทั่นวิวัฒนาการแล้วจะมีแนวโน้มไปทางสายเลือดมังกรหรือสายเลือดอาชาสวรรค์ จนกระทั่งเห็นเฮยทั่นไม่ได้วิวัฒนาการออกมามีปีก ถึงได้รู้ว่ามีแนวโน้มการวิวัฒนาการไปทางมังกร


“ไม่รู้ว่ามันจะวิวัฒนาการจนมีพลังปาฎิหาริย์อะไรรึเปล่า” จีเหม่ยลี่กล่าว


“พลังปาฎิหาริย์?” เหมียวเกิดความสนใจทันที ถามว่า “หลังจากอาชามังกรวิวัฒนาการจะมีพลังปาฎิหาริย์อะไรเหรอ?”


จีเหม่ยลี่ส่ายหน้า “ไม่รู้สิ แต่โดยทั่วไปสัตว์เทพที่วิวัฒนาการแล้ว การตื่นรู้ทางสายเลือดโดยกำเนิดของมันจะมีพลังปาฎิหาริย์ปรากฏออกมาด้วย เป็นสิ่งที่สัตว์เทพทั่วไปเทียบไปติด ถ้าอยากจะรู้ว่ามันมีพลังปาฎิหาริย์อะไร ให้มันแสดงสักหน่อยก็รู้แล้ว”


นี่คือสิ่งที่เหมียวอี้อยากจะรู้มากจริงๆ จึงถามเสียงดังทันทีวา “โจรอ้วน นอกจากกิน เจ้ามีความสามารถอย่างอื่นบ้างรึเปล่า?”


เฮยทั่นที่กลิ้งเกลือกอยู่บนผิวทะเลชะงักไปชั่วขณะ มันหันกลับมามองทางนี้ตาปริบๆ จากนั้นก็หยุดเล่นคลื่น แต่โผล่หัวขึ้นมาที่ผิวทะเลแล้วลอยไปลอยมา ไม่รู้ว่ามันกำลังเล่นบ้าอะไร เอาแต่ว่ายน้ำไปว่ายน้ำมาอย่างช้าๆ ตลอด


รอจนผ่านไปครึ่งชั่วยามกว่าๆ เมื่อเห็นมันไม่มีปฏิกิริยาอะไร เหมียวอี้ก็ตะโกนอีก “เก่งแต่เอ้อระเหยลอยชายแบบนี้น่ะเหรอ?”


เฮยทั่นทำเป็นไม่ได้ยิน ลอยไปลอยมาอยู่อย่างนั้นต่อไป


“อย่าไปรบกวนมัน ตอนนี้มันยังไม่เข้าใจตัวเองเลย มันกำลังทำความเข้าใจ” จีเหม่ยลี่กล่าว


เหมียวอี้เงียบไป


จนกระทั่งพระอาทิตย์ส่องเฉียงมาทางทิศตะวันตก เฮยทั่นที่ลอยไปลอยมาอยู่ในน้ำก็มุดลงในน้ำอย่างกะทันหัน จู่ๆ ก็มีเสียง “ปั้ง” ดังขึ้นหนึ่งครั้ง มันสั่นหัวส่ายหางฝ่าคลื่นขึ้นมาอีก พุ่งขึ้นบนท้องฟ้า เหาะวนอยู่บนท้องฟ้าครู่หนึ่ง แล้วก็คว่ำกรงเล็บทั้งสี่นิ่งๆ อยู่กลางอากาศ


เหมียวอี้และจีเหม่ยลี่ใช้ดวงตาอิทธิ์มองดูสักพักแต่ไม่เห็นความเคลื่อนไหวอะไร ขณะทั้งสองกำลังมองหน้ากันเลิกลั่ก จู่ๆ ก็ได้ยินเสียง “อู!” เฮยทั่นเงยหน้าร้องลากเสียงยาว มันอ้าปากไปทางมหาสมุทรเบื้องล่าง เห็นผิวทะเลกระเพื่อมทันที ทันใดทันก็มีน้ำวน น้ำวนเร็วขึ้นเรื่อยๆ ชั่วพริบตาเดียวก็หมุนวนจนเกิดเป็นเสาน้ำพุ่งขึ้นฟ้า กรอกเข้าไปในปากของเฮยทั่นที่กำลังอ้ารออยู่


ทั้งสองคนที่กำลังมองดูไม่เข้าใจว่ามันจะกลืนน้ำไปทำไม สรุปก็คือไม่เห็นมันหยุดพัก เสาน้ำวนโผล่ออกมาจากทะเลไม่หยุด เข้าไปในปากของเฮยทั่นอย่างไม่ขาดสาย


จนกระทั่งท้องฟ้าเป็นสีดำสนิท ถึงได้เห็นภาพนั้นหยุดลง ไม่รู้เหมือนกันว่าเฮยทั่นดูดน้ำเข้าท้องไปมากเท่าไร แต่ก็ไม่เห็นว่าท้องของเฮยทั่นมีการเปลี่ยนแปลงไปเลยสักนิด มีความจุที่น่าทึ่งจริงๆ


เฮยทั่นแฉลบผ่านฟ้าเข้ามาแล้ว มาเหาะวนอยู่เหนือศีรษะเหมียวอี้ ให้ความรู้สึกเหมือนภาคภูมิใจมาก เหมือนกำลังโอ้อวดให้เหมียวอี้ดู


เหมียวอี้พูดไม่ออกแล้ว เงยหน้าถามมันว่า “แค่กลืนน้ำได้เท่านี้น่ะเหรอ?”


เฮยทั่นสะบัดก้นหนึ่งที พุ่งขึ้นฟ้าอีกครั้ง เหาะไปอยู่ในจุดที่สูงกว่าเดิม แล้วเริ่มเหาะวนด้วยความเร็วสูง ทันใดนั้นก็พ่นหม่ออกมาเป็นวงกว้าง ไม่นานท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยเมฆหนามืดครึ้ม ตามที่มันเหาะขวักไขว่ไปมาอยู่ในเมฆครึ้ม ในเมฆครึ้มปรากฏสายฟ้าขึ้นมาทีละนิด เริ่มมีอัสนีบาตวิ่งตัดสลับกัน เสียงฟ้าร้องดังลั่นเป็นพักๆ ระหว่างฟ้าดินกะพริบแสงแวบวับ


เฮยทั่นเหาะขวักไขว่ไปมาอย่างอิสระอยู่ท่ามกลางอัสนีบาต สายฟ้าฟาดโดนร่างกายมัน แต่ไม่ส่งผลกระทบอะไรกับมัน ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่กลัวสายฟ้า พลิกแพลงใช้งานได้อย่างชำนาญ


จากนั้น บนฟ้าก็เกิดพายุฝนกระหน่ำ


จีเหม่ยลี่พยักหน้ากล่าวว่า ” เรียกฟ้าเรียกฝน พรสวรรค์นี้เป็นปรากฏการณ์ของสภาพอากาศ มีความสามารถในการควบคุมสิ่งมีชีวิตจำนวนมาก”


จากนั้นฝนก็หยุดแล้ว สายฟ้าก็หยุดแล้วเช่นกัน เห็นเพียงเฮยทั่นอ้าปากสีแดงเลือด เมฆครึ้มที่ลอยพัดม้วนอยู่เต็มท้องฟ้าถูกดูดหายไปหมดเกลี้ยง ท้องฟ้ากลับมาเต็มไปด้วยหมู่ดาวอีกครั้ง


เฮยทั่นเหาะลงมาจากท้องฟ้า มาสั่นหัวส่ายหางอยู่ตรงหน้าเหมียวอี้ เรียกได้ว่าลำพองใจ


เหมียวอี้ปวดประสาทนิดหน่อย รู้สึกว่าเฮยทั่นตั้งท่าอยู่นานแต่ได้พรสวรรค์แบบนี้มา พลังปาฏิหารย์แบบนี้ก็ดูมีมีพลัอำนาจเต็มที่อยู่หรอก เพียงแต่ดูดีแบบไร้ประโยชน์ เวลาต่อสู้จะช่วยอะไรได้ล่ะ ทำให้ใครบาดเจ็บก็ไม่ได้ เขาเกลาหัวพลางถอนหายใจ “กลืนเมฆพ่นหมอก โจรอ้วน นอกจากกินเจ้าก็มีแต่กินนี่แหละ ไม่มีความสามารถที่ใช้ประโยชน์ได้จริงสักนิดเลยเหรอ?”


เฮยทั่นพ่นเสียงใส่เขาทีหนึ่ง เหมือนไม่ยอมแพ้ จู่ก็พุ่งขึ้นฟ้าอีก เหาะไปไกลอย่างรวดเร็ว ไปชนภูเขาลูกใหญ่ที่อยู่ไกลๆ ในชั่วพริบตาเดียว


บึ้ม! เกิดเสียงดังสะเทือนอยู่ไกลๆ ภูเขาสะท้านแผ่นดินสะเทือน ภูเขายังไม่ทันล้มลงมา แต่กลับถูกเฮยทั่นเอาหัวชนทะลุแล้ว มันทะลุออกมากลางไหล่เขา มีพลังชนโจมตีที่น่าทึ่ง


แต่สำหรับเหมียวอี้แล้ว แบบนี้ไม่นับว่าวิเศษอะไร ตอนเขาลงมือก็สามารถทำให้ภูเขาถล่มแผ่นดินแยกได้เหมือนกัน


เฮยทั่นเหาะฝ่าภูเขากลับมา แล้วสั่นหัวส่ายหางโอ้อวดอย่างภาคภูมิใจต่อหน้าเหมียวอี้อีกครั้ง เหมือนกำลังถามว่า เป็นยังไงบ้าง?


เหมียวอี้ถอนหายใจเบาๆ “ก็ดูมีพลังเพิ่มขึ้นหลายส่วนนะ” ทำท่าเหมือนผิดหวังนิดหน่อย เทียบกับสัตว์เทพที่มีพลังโจมตีเต็มเปี่ยมเหมือนเดรัจฉานเสียงสวรรค์ไม่ติด พลังเล่นกลของเฮยทั่นเอามาใช้ประโยชน์ไม่ค่อยได้เลยจริงๆ


ซ้ายก็ไม่ได้ ขวาก็ไม่ได้ เฮยทั่นที่ตอนแรกยังภูมิใจก็ห่อเหี่ยวแล้วเหมือนกัน ก้มหน้าร้อง “อูอู” สะอึกสะอื้น เหมือนน้อยใจนิดหน่อย


…………………………


บทที่ 1140 ปี้เยว่อยากไปด้วย

โดย

Ink Stone_Fantasy

“เรื่องนี้ก็จะโทษมันไม่ได้ พลังปาฎิหาริย์ไม่ใช่สิ่งที่มันจะเลือกเองได้” จีเหม่ยลี่กล่าว


เหมียวอี้เองก็ไม่ได้มีเจตนาจะโทษมัน เพียงผิดหวังเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเห็นมันน้อยใจ เขาจึงยื่นมือไปตบศีรษะที่ห้อยตกของมันเบาๆ “ไม่เป็นไรหรอก ต่อสู้ไม่ชนะแต่หนีได้ก็นับว่าเป็นความสามารถเหมือนกัน ตอนนี้เจ้าเหาะได้แล้วไม่ใช่เหรอ?” พูดจบก็พลิกตัวขึ้นนั่งข้างหลังมัน แล้วยื่นมือไปข้างล่าง


แบบนี้นับว่าปล่อบใจอะไรกัน? ขนาดจีเหม่ยลี่ที่ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ออกทางสีหน้าก็ยังกลอกตามองบน นางยื่นมือออกมา แล้วถูกเหมียวอี้คว้าดึงขึ้นไปนั่งข้างหน้า เขานั่งตัวติดกับนางพลางกอดเอวเอาไว้ “โจรอ้วน ปลดปล่อยความเร็วพาพวกเราวนสักสองรอบ!”


ความเร็วในการเหาะของเฮยทั่นไม่ได้ช้า พาทั้งสองพุ่งพรวดออกไปในรวดเดียว…


หลังจากนั้นห้าปี ในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก เหมียวอี้กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ดอกบัวสีทองสามกลีบตรงหว่างคิ้วดูศักดิ์สิทธิ์เป็นพิเศษ มีดอกบัวบานเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งกลีบบอย่างช้าๆ เหมียวอี้หยุดใช้วิชา เก็บยาเม็ดโลหิตที่กำไว้ในฝ่ามือ โบกมือเรียกยาแก่นเซียนออกมาหนึ่งร้อยเม็ด แล้วให้มันลอยวนอยู่รอบกายตัวเอง


เหมียวอี้ใช้นิ้วร่ายวิชา กระแสอากาศกระเพื่อมอยู่รอบกาย ชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นเกราะอิทธิฤทธิ์ล่องหน ครอบตัวเองเอาไว้กับยาแก่นเซียนหนึ่งร้อยเม็ด พอเขาดีดนิ้วหนึ่งครั้ง ยาแก่นเซียนเม็ดหนึ่งก็ระเบิดออก กลายเป็นพลังจิตวิญญาณมหาศาลที่เข้มข้นเหมือนน้ำนมวัวในนั้นที มันลอยเกลื่อนและแผ่คลุมทั้งตัวเหมียวอี้ไว้ในเกราะอิทธิฤทธิ์ล่องหน อาศัยวรยุทธิ์ของเหมียวอี้ในตอนนี้ สามารถกักพลังจิตวิญญาณพวกนี้ไม่ให้รั่วไหลได้อย่างง่ายดาย


ผ่านไปไม่นาน พลังจิตวิญญาณที่เข้มข้นก็กลายเป็นหมอกจางๆ มันถูกดูดซับเข้าร่างกายเหมียวอี้ด้วยความเร็วที่ตาเปล่ามองเห็นได้ แล้วก็เห็นเหมียวอี้ดีดนิ้วอีกครั้ง ทำให้ยาแก่นเซียนระเบิดออกอีกเม็ด ทำแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก


หลังจากยาแก่นเซียนหนึ่งร้อยเม็ดถูกดูดซับไปหมดแล้ว เกราะอิทธิฤทธิ์ล่องหนที่ครอบอยู่รอบกายก็หายไปเช่นกัน เหมียวอี้นับนิ้วคำนวณการโคจรพลังในร่างกาย จากเวลาในการกลั่นกรองยาแก่นเซียนหนึ่งร้อยเม็ดนี้ เขาคำนวณจำนวนที่กลั่นกรองได้ในแต่ละวันออกมา จากนั้นก็ลืมตาขึ้นแล้วส่ายหน้าเบาๆ


ตอนนี้หลอมสร้างยาแก่นเซียนได้วันละสามร้อยสิบเม็ดเท่านั้น เพิ่มขึ้นจากตอนมีวรยุทธ์บงกชทองขั้นสามเพียงสิบเม็ดเท่านั้น ส่วนการจะเพิ่มจากบงกชทองขั้นสี่เป็นบงกชทองขั้นห้า ก็ต้องใช้ยาแก่นเซียนอีกเกือบหนึ่งพันสี่ร้อยล้านเม็ด หรือพูดได้อีกอย่างว่า ต้องใช้เวลาอีกหนึ่งร้อยยี่สิบกว่าปีถึงจะบรรลุระดับบงกชทองขั้นห้าได้


ความเร็วแบบนี้ก็ไม่ถือว่าช้าแล้ว เหมียวอี้เพียงรู้สึกว่าไม่เร็วเท่าตอนที่ดูดซับไฟหยินหยางที่ดาวสองขั้ว…


หลังจากนั้นหลายวัน เหมียวอี้ก็เข้ามาขอพบปี้เยว่ฮูหยินที่ตำหนักคุ้มเมือง


“จะออกไปข้างนอกอีกแล้วเหรอ? ครั้งก่อนเจ้าเหมือนจะหายไปปีกว่าไม่กลับมา ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับเจ้าเลยนะ!” เรือนร่างเย้ายวนของปี้เยว่ฮูหยินที่นอนตะแคงขี้เกียจอยู่บนเตียงหยกลุกขึ้น นางเดินออกไปข้างนอก ขณะที่เดินเคียงข้างเหมียวอี้ ปี้เยว่ฮูหยินก็ขมวดคิ้วถามว่า “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ หน้าที่ของเจ้าคือเฝ้ารักษาการณ์ตลาดสวรรค์ ไม่ใช่ว่าพอหมดธุระก็ออกไปเพ่นพ่านข้างนอก ไม่อย่างนั้นถ้าตลาดสวรรค์เกิดเรื่องอะไรขึ้นมา เจ้าก็จะแบกความรับผิดชอบไม่ไหวนะ ตำหนักสวรรค์ก็มีกฎระเบียบ ถ้าไม่มีเรื่องอะไรก็อย่าละทิ้งหน้าที่โดยพลการ!”


เหมียวอี้ที่เดินอยู่ข้างกันกุมหมัดตอบว่า “เมื่ออยู่ต่อหน้าฮูหยิน ข้าน้อยจะไม่ปิดบัง อยู่ที่ตลาดสวรรค์นานๆ น่าเบื่อหน่ายจริงๆ ข้าน้อยด้อยประสบการณ์ความรู้ อยากจะไปท่องเที่ยวดูให้ทั่ววักหน่อย”


ปี้เยว่ฮูหยินหันมามองเขาแวบหนึ่ง “ข้าก็รู้สึกว่าอยู่ที่ตลาดสวรรค์น่าเบื่อหน่ายเหมือนกัน งั้นข้าก็ต้องออกไปเพ่นพ่านจนทั่วเหมือนกันหรือเปล่า?”


“หรือจะให้ข้าน้อยออกไปเที่ยวเล่นเป็นเพื่อนฮูหยินดีล่ะขอรับ?” เหมียวอี้ถาม


ปี้เยว่ฮูหยินพ่นเสียงทางจมูก “ถ้าผู้บัญชาการใหญ่อย่างเจ้าไม่อยู่ แล้วหัวหน้าภาคอย่างข้าก็ไม่อยู่ ละทิ้งหน้าที่โดยพลการทั้งคู่ ถ้าเกิดเรื่องที่ตลาดสวรรค์ขึ้นมาก็จะไม่มีใครอยู่ตัดสินใจแม้แต่คนเดียว ไม่อยากจะทำมาหากินที่ตำหนักสวรรค์แล้วใช่มั้ย? ข้าว่าเจ้าเอาเวลาที่ไปเที่ยวเล่นมาเพิ่มวรยุทธ์ของตัวเองดีมั้ย?”


ถ้าไม่อนุญาตให้ลาพักก็ยุ่งยากแล้ว! ขณะที่เหมียวอี้กำลังครุ่นคิดว่าจะอ้างเหตุผลอะไรดี ปี้เยว่ฮูหยินก็พลันถามว่า “เตรียมจะไปเที่ยวเล่นที่ไหนล่ะ? มีที่ไหนน่าเที่ยวบ้างรึเปล่า?”


เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ สงสัยผู้หญิงคนนี้จะสนใจแล้ว จึงรีบตอบว่า “อยากจะไปดูที่ดาวดำเนินเซียนสักหน่อย ข้าน้อยก็ไม่รู้เหมือนกันว่าน่าเที่ยวรึเปล่า”


“ดาวดำเนินเซียน?” ปี้เยว่ฮูหยินหันกลับมาถามอย่างแปลกใจ “ดาวดำเนินเซียนที่ตั้งของปราสาทดำเนินเซียน หนึ่งในสิบปราสาทใหญ่น่ะเหรอ?”


“ใช่แล้ว!”


“ทำไมเจ้าถึงคิดจะไปเที่ยวเล่นที่นั่น?”


“ข้าอยากจะไปเปิดหูเปิดตาสักหน่อย ฮูหยินเคยไปหรือเปล่า?”


“ไม่เคยไป อาณาเขตปกครองของตำหนักสวรรค์กว้างใหญ่ขนาดนั้น ใครจะไปทั่วทุกที่ได้?” ปี้เยว่ฮูหยินเดินเนิบนาบส่ายหน้าตอบ แล้วขมวดคิ้วถามว่า “ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าไปจะดีกว่า คนของสิบปราสาทใหญ่ไม่ค่อยอยากคลุกคลีกับคนของตำหนักสวรรค์ ต่อให้เจ้าไปแล้ว อีกฝ่ายก็อาจไม่ต้อนรับเจ้าก็ได้ ทำไมต้องหาเรื่องใส่ตัวด้วยล่ะ?”


เหมียวอี้ไม่คิดอย่างนั้น “ข้าเป็นขุนนางของตำหนักสวรรค์ ทุกแห่งในใต้หล้านี้ มิมีที่ใดไม่ใช่ผืนดินของราชัน ข้าแค่ไปเที่ยวดูนิดหน่อย พวกเขาจะดันทุรังไล่ข้าเชียวหรือ?”


“เจ้าอย่าพูดถึงเลย ถ้าอีกฝ่ายต้องการจะไล่เจ้าจริงๆ ฐานะในตำหนักสวรรค์ของเจ้าก็ทำอะไรพวกเขาไม่ได้หรอก” ปี้เยว่กล่าว


“ไม่ถึงขั้นนั้นหรอกมั้ง! พวกเขาจะกล้าเป็นศัตรูกับตำหนักสวรรค์เชียวหรือ?” เหมียวอี้งุนงง


“ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึก ไม่ต้องไปน่ะถูกแล้ว” ปี้เยว่ส่ายหน้า เห็นได้ชัดว่าไม่อยากพูดต่อ ถือโอกาสยื่นมือไปเด็ดดอกไม้กิ่งหนึ่ง ยกขึ้นมาสูดดมเบาๆ เดินเข้าไปในสวนดอกไม้แล้ว


เหมียวอี้ที่เดินตามอยู่ข้างๆ แววตาวูบไหว ผู้ชายของนางคือหนึ่งในเจ็ดสิบสองโหวของตำหนักสวรรค์ เกรงว่านางคงจะรู้ความลับบางอย่างที่คนอื่นไม่รู้ จึงถามพร้อมรอยยิ้มว่า “ฮูหยินมีท่านโหวหนุนหลัง ยังจะกลัวปราสาทดำเนินเซียนเล็กๆ แห่งเดียวเชียวหรือ?”


ปี้เยว่ฮูหยินเดินลากกระโปรงยาวเข้าไปนั่งในศาลา ผ่านไปไม่นานก็มีสาวใช้นำน้ำชามาวาง หลังจากรินน้ำชาไว้ถ้วยหนึ่ง ปี้เยว่ฮูหยินก็โบกมือให้สาวใช้ออกไป แล้วบอกว่า “ไม่เกี่ยวว่ากลัวหรือไม่กลัว แต่ไม่อยากสร้างปัญหาโดยไม่จำเป็น”


เหมียวอี้ทำท่าแปลกใจ “ก็แค่ไปเที่ยวที่ดาวดำเนินเซียน จะสร้างปัญหาอะไรได้?”


“สงสัยเจ้าจะอยากรู้ให้ได้เลยสินะ!” ปี้เยว่กลอกตามองเขา แล้วจู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียง “เดิมทีสิบปราสาทใหญ่มีสัมพันธ์อันดีกับประมุขไป๋ แล้วในปีนั้นคนที่เกี่ยวข้องกับประมุขไป๋ก็แทบจะโดนข้อหาโจรกบฏกันหมด เจ้าว่าจะสร้างปัญหามั้ยล่ะ?”


ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! พอเป็นแบบนี้ เหมียวอี้ก็ฉงนใจแล้วจริงๆ “ตอนนี้สิบปราสาทใหญ่ก็ยังอยู่สบายดีไม่ใช่เหรอ? ไม่เห็นตำหนักสวรรค์ตั้งข้อหาโจรกบฏกับพวกเขาเลย!”


หลังจากปี้เยว่ยื่นมือเชิญให้เขานั่ง ก็อธิบายว่า “ในปีนั้นตอนที่กำหนดอำนาจยิ่งใหญ่ในใต้หล้า สถานการณ์ยังผันผวนไม่แน่นอน รอบข้างมีการเข่นฆ่ากันไม่หยุด ไม่รู้ว่ามีตัวละครที่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ตายไปตั้งเท่าไร ราชันสวรรค์กับประมุขพุทธะวางแผนร่วมกัน จับกุมประมุขปีศาจอย่างกะทันหันรวดเร็วก่อน แล้วค่อยปราบปรามประมุขไป๋ สิบปราสาทใหญ่ที่เดิมทีมีความสัมพันธ์อันดีกับประมุขไป๋ พอเห็นประมุขไป๋มีกำลังอ่อนแอ ถึงได้ไปขอพึ่งพาราชันสวรรค์กับประมุขพุทธะ ภายใต้การร่วมมือของกลุ่มวีรบุรุษ ในที่สุดก็ปราบประมุขไป๋ไว้ในเจดีย์สยบปีศาจได้! ถ้าไม่ใช่เพราะประมุขปราสาทของสิบปราสาทใหญ่ทรยศหักหลังแล้วจู่โจม เกรงว่าคงจะจัดการประมุขไป๋ไม่สำเร็จ!”


เหมียวอี้ตกใจทันที นึกขึ้นได้ถึงเรื่องที่พระอาจารย์แสงทองบอกตอนที่ตนคุยกับเจ้าสำนักอวี้หลิง จึงถามว่า “ข้าน้อยได้ยินมาว่า เขาหลิงซานของแดนสุขาวดีมีเจดีย์สยบปีศาจอยู่หลังหนึ่ง ได้ยินว่าประมุขไป๋กับประมุขปีศาจโดนขังอยู่ในเจดีย์นั้น ไม่ทราบว่าฮูหยินกำลังพูดถึงเจดีย์สยบปีศาจหลังนั้นหรือเปล่า?”


ปี้เยว่เหล่ตามองแวบหนึ่งแล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ที่แท้เจ้าก็รู้มาบ้างแล้วเหมือนกัน”


เหมียวอี้โบกมืออย่างถ่อมตัว แล้วถามอีกว่า “ข้าน้อยยังเคยได้ยินมาว่าประมุขไป๋กับประมุขปีศาจยังไม่ถูกประหารชีวิต แค่โดนขังไว้ในเจดีย์ ไม่ทราบว่าจริงเท็จอย่างไร?”


ปี้เยว่ได้ยินแล้วดวงตาวูบไหว กล่าวอย่างปากไม่ตรงกับใจว่า “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าโดนประหารหรือยัง? อีกฝ่ายจะตายหรือไม่ตายแล้วเกี่ยวอะไรกับพวกเรา เจ้าจะสนใจมากขนาดนั้นไม่ทำไม?”


เหมียวอี้ได้ยินแบบนี้ก็รู้แล้วว่านางมีอะไรปิดบังไว้ “ข้าน้อยแค่แปลกใจเฉยๆ ถ้ายังไม่ตายจริงๆ ข้าสงสยัว่าในเมื่อจับประมุขไป๋กับประมุขปีศาจไปแล้วทำไมไม่ฆ่าทิ้ง ไม่กลัวว่าจะเกิดปัญหาตามมาทีหลังเหรอ?”


“อาจจะคิดถึงไมตรีระหว่างพี่น้องละมั้ง ถึงอย่างไรประมุขไป๋กับประมุขปราชญ์สองท่านนั้นเคยเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน” ปี้เยว่พูดกลบเกลื่อนไปอย่างนั้น แล้วก็เปลี่ยนประเด็นสนทนา “สิบปราสาทใหญ่ทรยศประมุขไป๋แล้ว ตอนหลังราชันสวรรค์ประทานสิบดาวเคราะห์ใหญ่ให้เป็นรางวัลแก่สิบปราสาทดำเนิน ให้เป็นสถานที่ส่วนตัวของสิบปราสาทดำเนิน นั่นคืออาณาเขตส่วนตัวของพวกเขา เจ้าจะถ่อไปทำไม?”


“เพราะเป็นสถานที่ที่คนทั่วไปไปได้ยาก ก็ควรจะไปดูสักหน่อยสิถึงจะถูก” เหมียวอี้กล่าว


ปี้เยว่เลิกคิ้ว “อย่าบอกนะว่าเจ้ายังฟังไม่เข้าใจ? สิบปราสาทดำเนินสร้างผลงานใหญ่ขนาดนั้น แต่ราชันสวรรค์กลับกำจัดให้พวกเขาอยู่นอกระบบเซียน มอบดาวเคราะห์เพียงสิบดวงเป็นรางวัลให้พวกเขาลงหลักปักฐาน ทั้งยังไม่อนุญาตให้พวกเขาทำการค้าที่ตลาดสวรรค์ด้วย แบบนี้เท่ากับป้องกันไม่ให้สิบปราสาทดำเนินยิ่งใหญ่ นับว่าข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้ง ด้วยเหตุนี้สิบปราสาทดำเนินจึงรักษาระยะห่างกับตำหนักสวรรค์มาตลอด นี่คือความไม่สงบใจ ถ้าคนของตำหนักสวรรค์ไปที่นั่น มีหรือที่พวกเขาจะทำสีหน้าดีๆ ใส่?”


เหมียวอี้เงียบไป ในใจกลับคิดถึงอีกเรื่องหนึ่ง ว่าราชันสวรรค์ท่านนี้กำลังเล่นบ้าอะไรกันแน่ ในเมื่อข้ามแม่น้ำรื้อสะพานแล้ว ไม่ว่าจะทางไหนก็ล่วงเกินไปแล้วอยู่ดี ตอนหลังเมื่อใต้หล้าสงบแล้ว ก็มีกำลังที่สามารถกำจัดสิบปราสาทดำเนินได้เลย ทำไมกลับปล่อยไว้อย่างนี้?


เหมียวอี้แอบมองปี้เยว่ฮูหยินเงียบๆ ไม่หยุด รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ยังมีความลับบางอย่างที่รู้มาจากท่านโหวเทียนหยวนแน่นอน เพียงแต่ไม่ยอมพูดออกมาเท่านั้น อีกฝ่ายตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะไม่พูด ผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างเขาไม่มีทางบังคับให้นางพูดได้ ถ้าสืบสาวราวเรื่องอีกก็เกรงว่าอีกฝ่ายจะสงสัย จึงกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “เช่นนั้นข้าน้อยเปลี่ยนสถานที่ไปก็สิ้นเรื่องแล้ว”


ปี้เยว่ฮูหยินเหล่ตามองเขา “ไปเที่ยวที่ไหน? พาข้าไปด้วยสิ”


“…” เหมียวอี้พูดไม่ออก เจ้าพูดถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าข้าพาเจ้าไปด้วย สถานที่ที่ไปก็ยังเป็นปราสาทดำเนินเซียน แบบนี้จะไม่เผยพิรุธหรอกเหรอ?


“ข้าว่าเจ้าเป็นโจรไม่กลับใจ ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะไปดูใช่มั้ย?” ปี้เยว่ฮูหยินถามอีก


เหมียวอี้พึมพำในใจ ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าเบื้องหลังสิบปราสาทใหญ่ยังมีเรื่องแบบนี้อยู่ เช่นนั้นตอนแรกตนก็ไม่ควรพูดออกมาว่าจะไปปราสาทดำเนินเซียน ตอนนี้ถ้าคิดจะกลับคำพูด เกรงว่าอีกฝ่ายก็คงจะไม่เชื่อแล้ว จึงยิ้มแห้งพร้อมบอกไปว่า “ข้าน้อยได้ยินว่าทิวทัศน์ของปราสาทดำเนินเซียนยอดเยี่ยมมาก ถึงได้มีคำว่า ‘เซียน’ อยู่ด้วย เป็นสุดยอดในใต้หล้า ทิวทัศน์สวยงามขนาดนี้ ถ้าไม่ไปดูสักหน่อยก็น่าเสียดายจริงๆ นี่คือเหตุผลที่ข้าน้อยอยากจะไปดูสักหน่อยขอรับ”


“ถ้าถูกจับได้ถึงตัวตนที่แท้จริง เกิดเหตุไม่คาดคิดอะไรขึ้นมา ข้าเป็นคนปล่อยให้เจ้าไป ถึงตอนนั้นข้าจะไม่ลำบากไปด้วยหรอกเหรอ?” ปี้เยว่ฮูหยินถาม


เหมียวอี้อาศัยที่ทั้งสองฝ่ายเคยต่อรองทำเรื่องน่าไม่อายกันลับหลัง หน้าด้านบอกไปว่า “ไม่หรอก! อย่างมากอีกฝ่ายก็ไม่ต้อนรับ แล้วไล่ข้าน้อยออกมาก็เท่านั้นเอง ข้าน้อยไม่เชื่อหรอกว่าปราสาทดำเนินเซียนจะลงมือกับคนของตำหนักสวรรค์โดยไร้เหตุผล ยิ่งไปกว่านั้น ข้าน้อยก็จะเตรียมตัวไปพอสมควร ไม่เกิดเรื่องอะไรแน่นอน”


“ฟังจากที่เจ้าพูด ก็มีเหตุผลอยู่เหมือนกัน ทิวทัศน์ของดาวดำเนินเซียนมีชื่อเสียงในใต้หล้า ข้าก็เริ่มสนใจแล้วเหมือนกัน ถ้าเจ้าสามารถเตรียมการได้อย่างเหมาะสม ข้าก็จะไปกับเจ้าแล้วกัน!” ปี้เยว่ฮูหยินกล่าว


เหมียวอี้พูดไม่ออก เจ้าจะไปกับข้าจริงๆ ด้วย!


…………………………


บทที่ 1141 จัดการจงหลีค่วย

โดย

Ink Stone_Fantasy

เขายังนึกว่าปี้เยว่ฮูหยินแค่พูดเล่น นึกไม่ถึงว่าจะไปด้วยกันจริงๆ


พอกลับมาถึงจวนขุนนาง เขาก็ไปที่ร้านโฉมเมฆาผ่านทางใต้ดิน ไปหาอวิ๋นจือชิวที่นอนอยู่บนเตียงเตี้ยในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ เล่าสถานการณ์ให้อวิ๋นจือชิวรู้


อวิ๋นจือชิวหัวเราะทันที เรียกได้ว่าตอบกลับมาด้วยคำพูดแปลกๆ  “นี่! พวกเจ้าสองคนมีความสัมพันธ์ยังไงกันแน่ ชายหญิงออกไปเที่ยวกันลำพังสองต่อสอง คิดอยากจะทำอะไรกันแน่? ข้าก็สงสัยอยู่ว่าทำไมเจ้าไม่ยอมให้ข้าไป ที่แท้ก็ซ่อนเจตนาเห็นแก่ตัวไว้นี่เอง!”


เหมียวอี้ที่นอนอยู่ตรงนั้นคว้ามืออวิ๋นจือชิวที่กำลังหยิกไปทั่วร่างกายของตน “พูดเหลวไหลอะไรของเจ้า เจ้าคิดว่าข้าอยากพานางไปเหรอ ข้าไม่ได้จะไปเที่ยวจริงๆ เสียหน่อย นางไปด้วยข้าก็ยังกังวลอยู่เลยว่านางจะจับพิรุธอะไรได้รึเปล่า ข้าจะอยากพานางไปด้วยได้อย่างไร”


ทว่าเมื่อเจอกับเรื่องแบบนี้ อวิ๋นจือชิวก็ค่อนข้างทำตัวไร้เหตุผล หลังจากทั้งจับทั้งเกาทำร้ายเหมียวอี้ไปยกหนึ่ง ถึงได้นั่งลงข้างกายเขา แล้วพูดเข้าประเด็นหลัก “หนิวเอ้อร์ เมื่อครู่เจ้าเพิ่งพูดเรื่องสิบปราสาทดำเนิน ข้าคิดไปคิดมา รู้สึกว่าจำเป็นต้องบอกข่าวนี้กับห้าปราชญ์มาก”


เหมียวอี้แปลกใจแล้ว เอานิ้วจิ้มก้นเด้งยืดหยุ่นของนางที่อยู่ตรงหน้าพร้อมถามว่า “จะบอกเรื่องนี้กับพวกเขาไปทำไม?”


เพี้ยะ! อวิ๋นจือชิวตีปัดมือเขาออกไป แล้วกล่าวอย่างใจเย็นว่า “ข้าคิดแบบนี้นะ เรื่องสิบปราสาทดำเนินทำลับหลังแบบนี้ จำเป็นต้องบอกให้ห้าปราชญ์รู้ ไม่อย่างนั้นถ้าห้าปราชญ์เจอเรื่องอะไรแล้วพุ่งเข้าใส่โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ก็เป็นไปได้สูงว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้น ให้พวกเขาได้รู้สถานการณ์สักหน่อย จะได้หลบเลี่ยงความเสี่ยงได้บ้าง ต่อไปถ้าได้ข่าวแบบนี้มา ตราบใดที่ไม่ส่งผลเสียต่อเรา ก็สามารถบอกให้พวกเขารู้ได้ ข้าคิดว่านี่คือสิ่งที่พวกเขายินดีที่จะเห็น พวกเขาก็เป็นคนที่อ่านสถานการณ์ออกเช่นกัน ในภายหลังถ้าพวกเขาทั้งสี่เดินทางไปเจอข่าวอะไรที่มีประโยชน์ ก็จะได้แจ้งให้พวกเรารู้ได้ทันเวลาเช่นกัน นี่คือสิ่งที่มีประโยชน์สำหรับผู้บัญชาการใหญ่ที่ถูกกำหนดให้ประจำอยู่ที่นี่อย่างเจ้า ทั้งสองฝ่ายใช้วิธีการรักษาการติดต่อกันไว้แบบนี้ จะสามารถรักษาความสัมพันธ์ที่มั่นคงไว้ได้ด้วย เจ้าวางใจได้ ไม่ทำให้เจ้าเกิดปัญหาหรอก ข้าจะเป็นคนกลางประสานให้”


ถ้าไม่ทำให้ตนเกิดความยุ่งยาก เหมียวอี้ก็ไม่ว่าอะไรแล้ว โบกมือบอกว่า “เจ้าจัดการตามเห็นสมควรแล้วกัน!”


ตอนนี้เขาแค่คิดอยากจะทำเรื่องอื่นสักหน่อย เอามือลูบไปที่ต้นขาอวิ๋นจือชิว แต่ใครจะคิดว่าอวิ๋นจือชิวจะคว้ามือเขาโยนทิ้ง แล้วลุกขึ้นเดินออกไปเลย


ผ่านไปครู่เดียว สองพี่น้องตระกูลโอวหยาง ฝ่าอิน อวี้หนูเจียวและจีเหม่ยลี่ถูกอวิ๋นจือชิวเรียกมาประชุม ไม่ใช่เรื่องอะไรอย่างอื่น เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสิบปราสาทดำเนิน ให้พวกนางต่างคนต่างบอกข่าวให้สี่ปราชญ์ที่อยู่เบื้องหลังได้รู้ และบอกให้ชัดเจนด้วยว่า ในภายหลังถ้ามีข่าวประมาณนี้อีก ทางนี้ก็จะแจ้งสี่ปราชญ์ให้รู้อย่างทันท่วงที และให้บอกสี่ปราชญ์ด้วยว่า ถ้าอยู่ข้างนอกแล้วเจอข่าวอะไรที่เป็นประโยชน์ ก็ให้รีบบอกทางนี้ให้ทันเวลาเช่นกัน


ทั้งสี่พยักหน้า แล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับสี่ปราชญ์ตรงนั้นเลย


อวิ๋นจือชิกลับมาในห้องนอน เหมียวอี้ที่เดินเตร่อยู่ในห้องขวางนางไว้ แล้วถ่ายทอดเสียงถามว่า “เจ้ากับห้าปราชญ์มีวิธีติดต่อกันโดยตรงไม่ใช่เหรอ จำเป็นต้องมากเรื่องให้พวกนางพวกนางบอกต่อด้วยเหรอ?”


อวิ๋นจือชิวตอบเสียงเรียบ “ข้าจะทำให้สี่ปราชญ์รู้ไงล่ะ ว่าพวกนางอยู่ที่นี่แล้วยังมีประโยชน์ แบบนี้สี่ปราชญ์ถึงจะกำชับให้พวกนางเชื่อฟังเมื่ออยู่ต่อหน้าฮูหยินอย่างข้า เจ้าคิดว่าการเป็นนายหญิงของตำหนักหลังง่ายนักหรือไง? สิ้นเปลืองพลังความคิดนะ!”


เหมียวอี้พูดไม่ออก สงสัยจะเกี่ยวข้องกับปัญหาอำนาจสิทธิ์ขาดระหว่างกลุ่มผู้หญิงของตำหนักหลัง วันๆ หนึ่งในมองผู้หญิงคนนี้คิดเรื่องอะไรบ้าง?


ความคิดในใจของผู้หญิง ผู้ชายอย่างเขาคลุกคลีด้วยไม่มากจึงไม่เข้าใจ และคิดเกียจจะคิดมากด้วย เขาชี้ไปข้างนอกอีกครั้ง “เจ้าไม่เรียกหงเฉิน แต่เรียกสองพี่น้องฝาแฝดมาทำไม?”


อวิ๋นจือชิวเบะปาก “นิสัยอย่างหงเฉินน่ะ อีกนิดเดียวก็จะเป็นแม่ชีแล้ว แล้วอีกอย่าง มู่ฝานจวินจับสาวใช้สองคนแทรกมาไว้ข้างกายหงเฉิน เพราะหวังจะให้หงเฉินแสดงบทบาท ผู้หญิงอย่างมู่ฝานจวินมีความคิดเจ้าเล่ห์เยอะเกินไป จะให้นางตัดสินใจเองได้อย่างไร ต้องกันหงเฉินแยกไว้สิ ถ้าเวลาผ่านไปนานๆ เข้า พอมู่ฝานจวินเห็นหงเฉินไม่มีบทบาทอะไรแล้ว เดี๋ยวนางก็วางแผนน้อยลงเอง ทางพี่น้องฝาแฝดนั่นพวกเราก็จัดการสะดวกด้วย”


“มู่ฝานจวินมีความคิดเจ้าเล่ห์เยอะ แต่ข้าว่าความคิดเจ้าเล่ห์ของเจ้าก็ไม่น้อยเหมือนกัน!” เหมียวอี้ยื่นมือไปช้อนคางที่อ่อนนุ่มของนาง ดึงนางมาไว้ในอ้อมกอด ดมกลิ่นกายหอมของนาง รู้สึกกระเหี้ยนกระหือรืออีกครั้ง ไม่เคยรู้สึกเบื่อหญิงยั่วราคะคนนี้เลย


แต่ด้านนอกมีคน ตอนนี้อวิ๋นจือชิวไม่มีอารมณ์มาเล่นจังหวะแบบนี้กับเขา จึงออกแรงผลักเขาออกไป “ไปหาอนุภรรยาของเจ้าไป”


ไม่ต้องไปหาเอง พออวิ๋นจือชิวออกไปข้างนอก ฝ่าอินก็ถูกนางเรียกเข้ามาแล้ว เจ้าตัวประนมมือทักทายโดยจิตใต้สำนึก “ท่านสามี!”


ด้วยความเคยชินที่มีมาหลายปี ภายใต้การกล่อมเกลาวิธีการทำความเคารพของชาวพุทธ ความเคยชินบางอย่างไม่ใช่ว่าบทจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนกันได้เลย


เหมียวอี้ปวดประสาททันที ถ้าใครมาเจอคนที่ไหว้ทักทายพร้อมเรียกว่าสามีแบบนี้ ก็ต้องรู้สึกวุ่นวายใจกันทั้งนั้น แถมต่อไปฝ่าอินจะต้องพูดถึงเรื่องร่วมห้องเป็นสามีภรรยากับเขาแน่ๆ นั่นต่างหากคือจุดเริ่มต้นของสายฟ้าที่จะผ่าจนตัวเจ้ากรอบนอกนุ่มใน สมกับเป็นลูกศิษย์ต้นแบบของ ‘ฉางเหลย’ คนที่ไม่เคยมีประสบการณ์คงไม่มีทางจิสตนาออกว่าฝ่าอินแปลกประหลาดขนาดไหน พระกับฆราวาสร่วมรักต่างสายพันธุ์ หลังจากร่วมห้องหอแล้วยังต้องไปสอบถามกับสาวๆ คนอื่นอีก รับรองว่าต้องทำให้เจ้าเหงื่อแตกจนหลังเปียกแน่นอน อารมณ์สุนทรีอะไรก็บินหนีหายไปไกลสุดขอบฟ้าหมดแล้ว


เหมียวอี้ที่ได้รับบทเรียนมาก่อนกลัวนางแล้ว พอเห็นนางก็อยากหลบทันที ยกมือห้ามพร้อมกล่าวว่า “ข้ายังมีธุระต้องทำ ถ้ามีเรื่องอะไรก็ไปพูดกับฮูหยินได้!”


เขายกขารีบสาวเท้าเดินออกไป พอออกจากประตูก็โบกมือให้สัญญาณกลุ่มผู้หญิงที่นั่งอยู่ในศาลา เท้ายังไม่หยุดเดิน หนีไปอย่างรวดเร็ว!


อวิ๋นจือชิวบุ้ยปากทำสีหน้าหยอกล้อใส่เหมียวอี้ที่กำลังหนีอย่างจนตรอก ผู้หญิงในศาลาเม้มปากกลั้นขำทันที ขนาดจีเหม่ยลี่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ฝ่าอินคือคนที่อวิ๋นจือชิวจงใจเรียกให้เข้าไป ที่จริงทุกคนต่างก็รู้ว่าสถานภาพการสึกกลับเป็นฆราวาสของฝ่าอินแปลกประหลาดขนาดไหน เป็นยาพิษที่ใช้รับมือกับเหมียวอี้จริงๆ…


หลังจากนั้นหลายเดือน บนกำแพงเมืองของตลาดสวรรค์ เหมียวอี้เอามือไขว้หลังเดินเคียงข้างอยู่กับแขกที่มาเยือนไม่บ่อยท่านหนึ่ง


แขกท่านนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นจงหลีค่วยจากปราสาทดำเนินธารานั่นเอง หลังจากเหมียวอี้เข้ามาเป็นขุนนางในตำหนักสวรรค์ จงหลีค่วยก็แทบจะไม่ติดต่อกับเขาอีกเลย ครั้งนี้เหมียวอี้เป็นฝ่ายติดต่อเชิญเขามาเอง


นี่เป็นครั้งแรกที่จงหลีค่วยยืนบนกำแพงตลาดสวรรค์เพื่อทอดสายตามองทั้งตลาดสวรรค์ คูเมืองที่กว้างใหญ่เจริญรุ่งเรืองไร้ที่เปรียบ ทำให้คนรู้สึกว่าตลาดแห่งนี้ไร้ขอบเขต เป็นปะรสบการณ์ที่ต่างออกไปจริงๆ ทหารสวรรค์ที่ยืนเฝ้าอยู่บนกำแพงเมืองถูกเหมียวอี้สั่งให้ถอยไปหมดแล้ว ไม่มีใครรบกวน สามารถเดินเที่ยวได้อย่างสงบใจ


สวีถังหรานประจบเอาใจ ลงครัวเตรียมสุราอาหารมาจัดวางไว้ข้างหน้าด้วยตัวเอง แล้วเดินไปที่หัวมุม พอทั้งสองคนนั้งลง เหมียวอี้รินสุราให้จงหลีค่วยเองกับมือ


หลังจากดื่มสุราลงท้องไปหลายจอก เหมียวอี้ก็ชี้ที่ตลาดสวรรค์พร้อมบอกว่า “ลุงหนวด นั่งดื่มสุราตรงนี้แล้วชมทิวทัศน์ของตลาดสวรรค์ ได้รสชาติไปอีกแบบใช่มั้ยล่ะ? ในใต้หล้ามีไม่กี่คนที่ได้เสพสุขกับสวัสดิการแบบนี้นะ ตามหลักการแล้วห้ามดื่มสุราหาความสำราญบนกำแพงเมือง วันนี้ยกให้เป็นกรณีพิเศษเพื่อท่านเลย”


จงหลีค่วยวางจอกสุราแล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจ “นึกไม่ถึงเลยจริงๆ! เจ้าเด็กที่มีพื้นเพมาจากร้านขายของชำซื่อตรงในปีนั้น ใช้เวลาสั้นๆ แค่นี้ก็ได้กลายเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์แล้ว มีอำนาจข่มราชสำนักและประชาชน เรื่องที่เจ้าลงดาบตัดหัวคนหลายพันโด่งดังมากที่ปราสาทดำเนินธารา!”


“พูดเรื่องพวกนี้ก็ไม่สนุกแล้ว มิตรภาพระหว่างท่านกับข้าไม่เกี่ยวข้องว่าตำแหน่งจะสูงหรือต่ำ”


“ถ้าไม่ใช่เพราะมิตรภาพสมัยก่อน เจ้าคิดว่าข้าอยากจะมาพบเจ้าเหรอ? เจ้าต้องรู้เอาไว้นะ ตอนนี้เจ้าเป็นคนของตำหนักสวรรค์แล้ว ศิษย์ของปราสาทดำเนินธารารักษาระยะห่างกับคนของตำหนักสวรรค์อย่างพวกเจ้ามาตลอด เออใช่ เจ้าตั้งใจมาหาข้าแบบนี้ คงไม่ใช่เพื่อชมทิวทัศน์เฉยๆ หรอกมั้ง? ข้าจะพูดให้ชัดเอาไว้ก่อนนะ ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับตำหนักสวรรค์ก็อย่ามาหาข้าเลย”


“ท่านอย่าพูดอย่างนั้นเลย จู่ๆ ข้าก็คิดถึงขึ้นมา จึงตั้งใจมาชมทิวทัศน์กับท่าน”


“ข้าก็นึกว่าเจ้าอยากจะมาโอ้อวดอำนาจของตัวเองต่อหน้าข้าซะอีก” จงหลีค่วยพูดหยอก แล้วมองไปรอบๆ พลางถามว่า “ชมทิวทัศน์เหรอ? ที่ตลาดสวรรค์มีอะไรน่าดู?”


เหมียวอี้ยกกาสุรารินให้เขา “ข้าเคยได้ยินว่ามีอยู่สถานที่หนึ่งที่ทิวทัศน์ไม่เลวเลย” เขากดเสียงต่ำลงหลายส่วน “ได้ยินว่าวังสวรรค์มีทิวทัศน์ที่สุดยอดมาก พวกเราแอบไปเดินเล่นกันสักหน่อยมั้ยล่ะ”


จงหลีค่วยกลอกตามองเขา “เจ้าหลอกข้าเล่นเอาสนุกรึไง? จะแอบไปเดินเล่นที่วังสวรรค์ได้ยังไง? ถ้าเจ้าแอบเข้าใกล้ได้สักสามสิบนิ้วข้าจะคุกเข่าเรียกเจ้าว่าท่านปู่เลย!”


แต่จะว่าไปแล้ว การที่นำวังสวรรค์มาพูดล้อเล่นแบบนี้ได้ กลับทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองใกล้ชิดกันมากขึ้น ราวกับย้อนไปปีนั้นที่เคยหนีเอาชีวิตรอดด้วยกัน อย่างน้อยก็พิสูจน์แล้วว่าเหมียวอี้ไม่ได้วางมาดจริงๆ


เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะว่า “พวกเราไม่ได้มารวมตัวกันหลายปีแล้ว ท่านคิดว่าที่ไหนมีทิวทัศน์ที่งดงามบ้างล่ะ ข้าเฝ้าอยู่ที่นี่มาตลอด เก็บกดจะแย่อยู่แล้ว ไปเที่ยวด้วยกันสิ”


จงหลีค่วยไม่คิดอยางนั้น “เจ้ายังมีอารมณ์สุนทรีแบบนี้ด้วยเหรอ? ถ้าคนอื่นมีปัจจัยเหมือนอยากเจ้า ก็คงใช้เวลานี้เร่งเพิ่มวรยุทธ์ให้สูงแล้ว แต่ดูเจ้าทำสิ”


“ข้าได้ยินว่าปราสาทดำเนินเซียนมีทิวทัศน์ที่ยอดเยี่ยมหาพบได้ยาก พวกเราไปเที่ยวดูที่นั่นหน่อยมั้ยล่ะ?” เหมียวอี้ถาม


เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้โดนสงสัย หลังจากอ้อมค้อมอยู่นาน ในที่สุดก็วกเข้าประเด็นหลักแล้ว


สาเหตุที่เขาบอกว่าอยากไปที่ปราสาทดำเนินเซียนทั้งต่อหน้าปี้เยว่ฮูหยินและต่อหน้าจงหลีค่วย ก็เพราะอยากจะเปิดใช้เคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าภาคดิน ทางอวิ๋นจือชิวเปรียบเทียบจนได้ผลลัพธ์ออกมาแล้ว ว่าจุดที่ระบุไว้บนแผนที่ซ่อนสมบัติคือปราสาทดำเนินเซียน


เดิมทีก็ไม่อยากจะรบกวนจงหลีค่วย แต่พอปี้เยว่ฮูหยินบอกมาแบบนั้น เขาถึงได้พบว่าอาศัยฐานะของตัวเองในตอนนี้ไม่เหมาะจะเข้าไปในอาณาเขตของปราสาทดำเนินเซียนสามารถแอบไปได้ แต่ยังไม่รู้สถานการณ์ของปราสาทดำเนินเซียนชัดเจน จึงไม่กล้ารับประกันว่าจะถูกคนของปราสาทดำเนินเซียนจับได้หรือเปล่า เพื่อให้มั่นใจขึ้นหน่อย เขานึกขึ้นได้ว่าตัวเองสนิทกับสิบปราสาทดำนเนินใหญ่แล้ว จึงเตรียมจะดึงศิษย์ของปราสาทดำเนินธาราอย่างจงหลีค่วยมามาคุ้มกัน เมื่อโดนพบตอนอยู่ในอาณาเขตนั้นขึ้นมา จงหลีค่วยจะได้ออกหน้ายืนยันให้ว่าตนเป็นศิษย์ของปราสาทดำเนินธารา แบบนั้นก็จะเดินไปไหนมาไหนที่ปราสาทดำเนินเซียนได้สะดวกแล้ว ไม่อย่างนั้นต่อให้ไม่โดนไล่แต่ก็จะโดนจับตามองอยู่ดี จะลงมือค้นหาสมบัติลำบาก


“ปราสาทดำเนินเซียน?” จงหลีค่วยพึมพำ สายตาจ้องอยู่ที่เหมียวอี้ เริ่มขมวดคิ้วทำท่าอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไร


“ท่านเคยไปปราสาทดำเนินเซียนมาแล้วหรือยัง?” เหมียวอี้ยิ้มถาม


จงหลีค่วยพยักหน้า “เหมือนจะเคยตามอาจารย์ไปอยู่ครั้งหนึ่ง ทิวทัศน์ของที่นั่นยอดเยี่ยมหาพบได้ยากจริงๆ เพียงแต่ว่า…ข้าพูดตรงๆ แล้วกัน ไม่ใช่แค่ปราสาทดำเนินธาราของพวกเรา แต่สิบปราสาทดำนเนินใหญ่ไม่มีใครอยากไปมาหาสู่กับคนของตำหนักสวรรค์เลย ถ้าเจ้าไม่ได้เข้าเป็นขุนนางของตำหนักสวรรค์ ก็จะไปเมื่อไรก็ได้ แต่ตอนนี้เจ้าเป็นขุนนางของตำหนักสวรรค์ กอปรกับชื่อเสียงที่แผ่ไปข้างนอก ถ้าไปแล้วเกรงว่าจะทำให้เจ้าอึดอัดลำบากใจ”


“อึดอัดลำบากใจเหรอ? ข้ากับพวกเขาไม่ได้มีความแค้นอะไรต่อกัน ไม่ได้ไปหาเรื่องพวกเขาด้วย มีสิทธิ์อะไรมาทำให้ข้าลำบากใจ?” เหมียวอี้วางจอกสุรา แล้วแสยะยิ้มบอกว่า “ทีแรกข้าก็พูดไปอย่างนั้นแหละ แต่พอได้ยินท่านพูดแบบนี้ ข้าก็ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะไปดูให้ได้ ดูซิว่าพวกเขาจะทำอะไรข้าได้!”


จงหลีค่วยพูดเหยียดหยามว่า “ข้ารู้ว่าเจ้ามียศแม่ทัพเกราะม่วงหนึ่งแถบที่ราชันสวรรค์แต่งตั้งให้ เป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ แต่อย่ามาโอ้อวดบารมีขุนนางของเจ้าต่อหน้าข้ามากนักเลย อย่าว่าแต่ปราสาทดำเนินเซียน ปราสาทดำเนินธาราก็ไม่ตกหลุมพรางนี้ของเจ้าเหมือนกัน!”


“บารมีขุนนาง?” เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ แล้วเงยหน้ากรอกสุราจอกหนึ่ง แล้วตบวางจอกสุราลงบนโต๊ะเสียงดัง “ท่านคิดว่าข้าอยากจะเป็นแม่ทัพเกราะม่วงหนึ่งแถบรึไง? คิดว่าข้าเต็มใจจะเป็นผู้บัญชาการใหญ่เหรอ? ท่านคิดว่าอยากจะกระโดดเข้าวงการที่ต้องคอยประจบคนอื่นแบบนี้เหรอ? ที่ข้าเดินมาได้จนถึงทุกวันนี้ ท่านกล้าพูดมั้ยว่าไม่เกี่ยวข้องกับปราสาทดำเนินธาราของพวกท่าน? ในปีนั้นตอนที่ข้าโดนกดดันจนจนตรอก เดิมทีคิดว่าการที่มอบแผนที่ซ่อนสมบัติให้ปราสาทดำเนินธาราแล้ว จะสามารถหลบหลีกภัยอยู่ที่ปราสาทดำเนินธาราได้ แต่ปราสาทดำเนินธาราของพวกท่านทำอย่างไรล่ะ? ข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้ง! ผลักให้ข้าออกมารนหาที่ตาย! แล้วข้าจะทำอย่างไรได้ล่ะ? ทำได้เพียงกลืนฟันที่หักลงท้อง นำหุ้นสองส่วนไปมอบให้ตระกูลโค่ว ถึงได้รักษาชีวิตไว้ได้ ถึงได้โดนกดดันให้เดินมาจนถึงจุดนี้ แต่ดูตอนนี้สิ ลุงหนวดกลับไม่ชอบขี้หน้าข้าเสียแล้ว รังเกียจที่ข้าเป็นแบบนี้ รังเกียจที่ข้าเป็นแบบนั้น สงสัยตอนอยู่ในค่ายกลมารโลหิตข้าจะช่วยชีวิตคนอกตัญญูเอาไว้ ลุงหนวด วันนี้ข้าจะพูดเอาไว้ตรงนี้เลย ข้าจะดึงท่านไปปราสาทดำเนินเซียนเป็นเพื่อนข้าให้ได้ ไม่ใช่เพราะอะไร แค่อยากจะดูว่าท่านจะมองข้าเป็นสหายหรือเปล่า! ถ้าท่านไม่เต็มใจไปเป็นเพื่อนข้า ข้าก็ไม่บังคับ ตั้งแต่วันนี้ไปก็ต่างคนต่างเดิน ถือว่าข้าตาถั่ว!”


กล่าวเกินไปหน่อยแล้ว! จงหลีค่วยดื่มสุราอย่างกลุ้มใจ ในปีนั้นที่ผลักเหมียวอี้ออกมา ปราสาทดำเนินธาราก็มีความลำบากใจของปราสาทดำเนินธาราเหมือนกัน แต่ไม่ว่าจะเป็นในด้านความรู้สึกหรือด้านเหตุผล ครั้งนั้นปราสาทดำเนินธาราก็ค่อนข้างขาดคุณธรรมจริงๆ


เหมียวอี้เองก็ไม่พูดอะไร เอาแต่จ้องเขาอยู่อย่างนั้น รอฟังคำตอบจากเขา


หลังจากทั้งสองตึงใส่กันอยู่นาน จงหลีค่วยก็วางจอกสุราลง แล้วกล่าวอย่างจนใจว่า “ก็ใช่ว่าจะไปเป็นเพื่อนเจ้าไม่ได้ แต่เจ้าต้องตอบตกลงเงื่อนไขข้าข้อหนึ่งก่อน เปลี่ยนตัวตน อย่าเปิดเผยภูมิหลังตำหนักสวรรค์ของเจ้า ข้าทำได้แค่นี้แหละ”


“ฮ่าๆ!” เหมียวอี้หัวเราะลั่น ถือหาสุรารินให้เขาอีกครั้ง “ท่านพูดแบบนี้ก็เพียงพอแล้ว นับว่าข้ามองคนไม่ผิด ข้าไม่ทำให้ท่านลำบากใจหรอก ข้าไม่ไปปราสาทดำเนินเซียนแล้ว พวกเราแอบไปเดินเล่นที่วังสวรรค์ ไปดูวังสวรรค์กันหน่อยเป็นไร!”


…………………………


บทที่ 1142 ยอดฝีมือรบประชิด

โดย

Ink Stone_Fantasy

มือที่ถือจอกสุราสั่นทันที จงหลีค่วยรีบโบกมือบอกว่า “อย่า! ข้ายอมให้เจ้าทำให้ข้าลำบากใจ แต่กับวังสวรรค์ข้าไม่มีความกล้านั้น ไปที่ปราสาทดำเนินเซียนก็พอแล้ว”


“ได้! เอาตามที่ท่านบอก ไปปราสาทดำเนินเซียนก็ไปปราสาทดำเนินเซียน!” เหมียวอี้พยักหน้า อารมณ์ดีมาก ยื่นมือเชิญให้ดื่มสุราต่อ


หลังจากดื่มสุราบนกำแพงจนสนุกกันเต็มที่แล้ว จงหลีค่วยก็ไปหาโรงเตี๊ยมพักเอง จากนั้นสวีถังหรานก็โผล่ออกมาถามว่าด้วยรอยยิ้ม “ผู้บัญชาการใหญ่ สุราอาหารวันนี้ถูกปากหรือเปล่า?”


“ใช้ได้!” เหมียวอี้พยักหน้า “เจ้ากลับไปเตรียมตัวสักหน่อย ช่วงนี้อาจจะต้องออกไปกับข้าสักเที่ยว”


สวีถังหรานงงไปชั่วขณะ แล้วถามว่า “ไปไหนเหรอ?”


“ถึงเวลาเดี๋ยวก็รู้เอง” เหมียวอี้พูดทิ้งท้ายแล้วเอามือไขว้หลังเดินจากไป


ไม่มีทางเลือกแล้ว ปี้เยว่ฮูหยินก็จะไปด้วยเหมือนกัน เหมียวอี้กลัวว่าตัวเองจะทนความยั่วยวนของสาวใหญ่คนนี้ไม่ไหวแล้วทำเรื่องอะไรขึ้นมา พาคนขี้ประจบอย่างสวีถังหรานไปด้วยจะเหมาะสมที่สุด ให้เขาพัวพันอยู่กับปี้เยว่ฮูหยิน บวกกับฝีมือการทำอาหารของสวีถังหรานในตอนนี้ค่อนข้างใช้ได้ ออกไปเที่ยวเล่นชมธรรมชาติจำเป็นต้องมีคนทำเรื่องพวกนี้


จากนั้นเหมียวอี้ก็ตรงมาที่ตำหนักคุ้มเมือง เตรียมจะพบปี้เยว่ฮูหยินเพื่อบอกว่าสามารถออกเดินทางได้แล้ว


ใครจะคิดว่าพอเข้ามาในสวนดอกไม้ในตำหนัก ก็เห็นปี้เยว่ฮูหยินกับหวงฝู่จวินโหรวกำลังเล่นหมากล้อมอยู่ในศาลา พอหวงฝู่จวินโหรวเห็นเขา ก็กวาดตามองอย่างเย็นชาแล้วเบะปาก ตอนนั้นนอกจากจะโดนค้นยึดร้านค้าแล้ว ยังมีความแค้นเรื่องโดนบังคับให้คุกเข่าที่นางยังไม่ลืม แต่ภายนอกก็ยังลุกขึ้นคำนับ “คำนับผู้บัญชาการใหญ่!”


พอเหมียวอี้เห็นหวงฝู่จวินโหรวก็อึดอัดไปทั้งตัวเช่นกัน พยักหน้าเบาๆ พอเป็นพิธี


“มีเรื่องอะไร?” ปี้เยว่ฮูหยินที่กำลังจ้องกระดานหมากล้อมเอียงหน้าถาม จกานั้นก็ลงหมาก


เหมียวอี้ย่อมไม่พูดอะไรต่อหน้าหวงฝู่จวินโหรวอยู่แล้ว ถ่ายทอดเสียงถามว่า “ฮูหยิน เรื่องเดินทางเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว ไม่ทราบว่าฮูหยินจะออกเดินทางเมื่อไร?”


พอพูดเรื่องนี้ปี้เยว่ฮูหยินก็ถอนหายใจเบาๆ เหลือบตาขึ้นมองหวงฝู่จวินโหรวที่อยู่ตรงหน้าแวบหนึ่ง แล้วเปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ไม่ไปแล้ว! ท่านโหวไม่อนุญาต ไปไม่ได้แล้ว!”


“…” เหมียวอี้ตะลึงค้าง แล้วถามอย่างเชิงว่า “เช่นนั้นข้าน้อย…”


ปี้เยว่ฮูหยินถอนหายใจ “ไปเถอะๆ รีบไปรีบกลับ!”


เหมียวแอบดีใจมาก กำลังคิดอยู่เลยว่าถ้าพาผู้หญิงคนนี้ไปด้วยแล้วจะอธิบายกับจงหลีค่วยอย่างไร แบบนี้กำลังดีเลย ลดความยุ่งยากลงไม่น้อย กล่าวอำลาทันที


หลังจากรอจนเหมียวอี้ไปแล้ว หวงฝู่จวินโหรวก็ถามเหมือนไม่ใส่ใจเท่าไรว่า “ผู้บัญชาการใหญ่มาที่นี่มีกิจธุระอะไรหรือเปล่าคะ? ถ้ามีธุระ จวินโหรวก็ไม่กล้ารบกวนงานของฮูหยิน ขอตัวกลับก่อนดีกว่า”


ปี้เยว่ฮูหยินถือหมากอยู่ตัวหนึ่ง พลางโบกมือบอกว่า “จะมีกิจธุระอะไรได้ เขาแค่อยากจะออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก เลยมาขอลาหยุดกับข้า”


“อ๋อ!” หวงฝู่จวินโหรวทำท่าครุ่นคิด แล้วดวงตาก็เป็นประกาย ลงหมากตามลงไป


ทันใดนั้น ก็ได้ยินปี้เยว่ฮูหยินทอดถอนใจอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร “เกิดเป็นผู้หญิงนี่ชะตาลำเค็ญ! ทั้งชีวิตนี้ต้องเป็นเครื่องประดับของผู้ชาย ต่อให้ไม่ได้ใช้แต่ก็ต้องครอบครองไว้ ถ้าชาติหน้ามีจริง ต้องขอลิ้มลองรสชาติของการเกิดเป็นผู้ชายให้ได้…”


ตอนกลางคืน เหมียวอี้ลงมาถึงทางใต้ดินในบ่อ เดิมทีคิดจะไปหาอวิ๋นจือชิว แต่พอไปได้ครึ่งทางแล้วเห็นทางแยก คิดไปคิดมาก็เปลี่ยนเส้นทางดีกว่า


“ทำไมเจ้ามาที่นี่?”


เมื่อเห็นเหมียวอี้ปรากฏตัวกะทันหัน อวี้หนูเจียวก็แปลกใจนิดหน่อย ปกติก่อนหน้านี้เวลาจะมาต้องบอกก่อนล่วงหน้า


นางได้ยินเสียงแล้วเดินออกจากห้อง ปรากฏว่าโดนเหมียวอี้ดึงกลับเข้าไปอีก เหมียวอี้ที่เข้าประตูมาแล้วโบกมือ เมิ่งเจี๋ยกับเมิ่งหย่าที่ตามหลังมารีบปิดประตู ถอยออกไปข้างนอกอย่างรู้งานแล้ว


อวี้หนูเจียวที่ค่อนข้างประหม่าเอ่ยถามอีกครั้ง “เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”


เหมียวอี้โอบเอวนาง แล้วประชิดทีละก้าวให้นางถอยไปข้างเตียง “ข้าเป็นเจ้าของบ้าน ทำไมจะมาไม่ได้?”


อวี้หนูเจียวที่กัดริมฝีปากหายใจไม่เป็นจังหวะ รู้สึกได้ว่าวันนี้จะเกิดเรื่อง


เป็นอย่างที่คาดไว้ ผ้ามัดเอวถูกดึงออกแล้ว ตอนที่ตัวชนขอบเตียง ชุดตัวนอกก็ถูกเหมียวอี้ถอดลงเช่นกัน อวี้หนูเจียวลับตาลง กัดริมฝากและไม่ขัดขืนอะไร นับว่ายอมรับในการกระทำของท่านขุนนางเหมียวแล้ว


จนกระทั่งเสื้อผ้าทั้งตัวถูกถอดหมดและล้มลงบนเตียง กลับพบว่าอีกฝ่ายชักช้าไม่ลงมือเสียที จึงลืมตามอง พบว่าเหมียวอี้กำลังยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ กำลังยืนกอดอกชื่นชมเรือนร่างหยกงามของนางอยู่ข้างเตียง


อวี้หนูเจียวอับอายจนหน้าแดงเป็นก้นลิงทันที “อ๊าย” นางรีบยื่นมือไปดึงผ้าแพรข้างๆ มาปิดบังร่างกายตัวเอง ปิดเอาไว้แม้กระทั่งหัว


ผ่านไปครู่เดียว ก็มีร่างเปลือยมุดเข้ามา ร่างร้อนผ่าวแนบชิด จูบกับนางอย่างเร่าร้อนอยู่ในความมืด แขนขาทั้งสี่เกาะเกี่ยวพัวพันกัน


ตอนที่อวี้หนูเจียวยอมรับชะตากรรมแล้ว ตอนที่คิดว่าคืนนี้ไม้จะต้องกลายเป็นเรือแน่นอน แต่ท่านขุนนางเหมียวกลับหยุดอย่างกะทันหัน ถามข้างหูนางว่า “ข้าบอกแล้วว่าข้าจะไม่บังคับเจ้า วันนี้ยินยอมพร้อมใจรึยัง?”


“ไม่!” อวี้หนูเจียวเป็นคนปากแข็ง


นางปากไม่ตรงกับใจชัดๆ แต่เหมียวอี้กลับไม่แตะต้องนางแล้วจริงๆ ดึงนางมากอดไว้ทั้งคืน ตอนเที่ยงคืนเหมียวอี้ก็หลับแล้ว อวี้หนูเจียวกลับทรมานอยู่นอ้อมกอดเขาหนึ่งคืน แบบนี้มันใช่เรื่องอะเหรอ…


เช้าวันต่อมา เหมียวอี้เดินออกไปพร้อมสีหน้าหยอกล้อสบายใจ ก่อนจะไปยังพูดทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า “รอให้วันไหนเจ้ายินยอมพร้อมใจ ข้าค่อยครอบครองเจ้า!”


อวี้หนูเจียวเรียกได้ว่าแค้นตนกัดฟันกรอด เกิดความคิดอยากจะฆ่าเขาให้ตายแล้ว


เมิ่งเจี๋ยกับเมิ่งหย่าดันมาแสดงความยินดีกับนาง นึกว่าในที่สุดนางก็ได้ร่วมห้องกับเขาแล้ว นางระบายไฟโกรธไปที่ตัวหญิงรับใช้ทั้งสองทันที “ออกไป!”


ยามอู่[1] เหมียวอี้ออกจากเมือง ตอนที่เหาะผ่านป่าภูเขาทางทิศตะวันออกของเมือง จงหลีค่วยก็พุ่งตามเขามาแล้ว ทั้งสองมุ่งตรงขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยกัน


หลังจากเหาะอยู่บนอวกาศได้ไม่นาน จู่ๆ จงหลีค่วยก็บอกว่า “ข้างหลังมีคน!”


เหมียวอี้ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์หันกลับไปมองแวบหนึ่ง เห็นชายหนุ่มหน้าเหลืองชุดเทากำลังตามหลังพวกเขาสองคนอยู่ไกลๆ ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังสะกดรอยตามหรือเปล่า บางทีอาจจะไปทางเดียวกันก็ได้


บนท้องฟ้า ถ้าอยากจะสะกดรอยตามโดยไม่ให้โดนจับได้ก็เป็นเรื่องยาก เป็นเพราะภูมิภาคกว้างโล่งเกินไป แทบจะไม่มีอะไรบังเลย ถ้าอยากจะหลบให้พ้นขอบเขตสายตาของดวงตาอิทธิฤทธิ์ ก็เป็นไปได้สูงว่าจะคลาดกับคนที่สะกดรอยตาม


ถ้าอยากจะทดสอบว่าสะกดรอยตามหรือไม่ก็งายมาก เหมียวอี้กับจงหลีค่วยสบตาวันแวบหนึ่ง แล้วเริ่มค่อยๆ เหาะเบี่ยงออกนอกเส้นทาง ไม่สามารถเลี้ยวอย่างกะทันหันได้ ไม่อย่างนั้นจะทำให้อีกฝ่ายตื่นตัว


เป็นอย่างที่คาดไว้ ชายหน้าเหลืองชุดเทาก็เหาะเบี่ยงเส้นทางตามโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม ทั้งสองก็เหาะเบี่ยงกลับมาเส้นทางเดิม แล้วชายหน้าเหลืองก็เบี่ยงเส้นทางกลับมาอีกโดยไม่รู้ตัว ยังคงตามหลังทั้งสองคน


ทั้งสองสบตากันอีกครั้ง ไม่พูดอะไรมากแล้ว เหาะไปยังเป้าหมายเดิมต่อไป


หลังจากนั้นไม่กี่วัน ประตูดวงดาวบานแรกก็ปรากฏ เหมียวอี้กับจงหลีค่วยต่างคนต่างใช้กระสวยเงิน ชั่วพริบตาเดียวก็หายไปในประตูดวงดาวแล้ว


พอโดนพ่นออกจากประตูดวงดาว ทั้งสองก็รีบแยกกันไปอยู่ทางซ้ายและขวา จงหลีค่วยถือกระบี่หน้ากว้างไว้ในมือ เหมียวอี้สวมเกราะรบและถือถวนไว้ในมือแล้วเช่นกัน ทั้งสองกำลังรอคอยอยู่


รออยู่ไม่นาน เงาคนคนหนึ่งก็ถูกพ่นออกมากลางอากาศ จงหลีค่วยตะโกนทันที “ฆ่า!”


กระบี่หน้ากว้างบินฟันเข้ามา ชายหน้าเหลืองที่โผล่มาอย่างกะทันหันก็ไหวตัวเร็วเช่นกัน พลิกมือหยิบกระบี่วิเศษดาบหนึ่งที่ใสเหมือนหยกแดงออกมา ยับยั้งกระบี่ได้หนึ่งครั้ง ฟันกระบี่ของจงหลีค่วยจนกระเด็นออกไป แต่เหมือนวรยุทธ์จะสู้จงหลีค่วยไม่ได้ ตัวเองก็สะเทือนจนลอยถอยหลังเช่นกัน


ทว่าในขณะที่กำลังลอยถอยหลัง มือที่สะบัดกระบี่ไปข้างหลังก็มีแสงเย็นหลายสายกระเด็นออกมา ท่วงท่าคล่องแคล่วแข็งแรง


ท่ามกลางเสียงดังสะเทือน แล้วก็ยับยั้งได้อีกสามทวน แทบจะหันหลังโจมตีทวนที่เหมียวอี้ฟันเข้ามาสามติดต่อกัน เหมียวอี้วรยุทธ์สู้คนคนนี้ไม่ได้ ถูกทำให้สะเทือนถอยออกไป!


“วิชากระบี่ไม่ธรรมดา!” เหมียวอี้กล่าวชมด้วยแววตาทึ่ง นานแล้วที่ไม่ได้เจอคนที่เหนือกว่าตัวเองในด้านทักษะการต่อสู้ จึงตะโกนทันทีว่า “ลุงหนวดหลีกไป ข้าจะประลองกับเขาเอง!”


ชายหน้าเหลืองใช้มือหนึ่งไขว้หลัง ใช้มืออีกข้างชี้กระบี่เฉียงไปใต้เท้า กวาดตามองสองคนที่ขนาบโจมตีทางซ้ายและขวา


จงหลีค่วยโบกมือเรียกกระบี่บินกลับมา แล้วถอยออกไปเล็กน้อย เขาพอจะมีความเชื่อมั่นในวิชาทวนอันยอดเยี่ยมของเหมียวอี้อยู่บ้าง เพราะตอนแรกเคยเห็นเหมียวอี้ต่อสู้กับปีศาจโลหิต ภายใต้เงื่อนไขที่วรยุทธ์ห่างกันมาก แต่เหมียวอี้ก็ทำให้ปีศาจโลหิตแพ้ได้ บวกกับวันนี้สวมเกราะรบผลึกแดงด้วย


เมื่อเห็นเหมียวอี้ถือทวนไว้ในแนวขวาง ชายหน้าเหลืองก็ตาเป็นประกายเล็กน้อย เหมือนนึกสนุกขึ้นมาเหมือนกัน ถือกระบี่ชี้ไปที่เหมียวอี้แล้ว


“ผู้ที่มาเป็นใคร หนิวคนนี้ไม่ฆ่าคนที่ไม่รู้จักชื่อ!” เหมียวอี้ถือทวนชี้มา


ชายหน้าเหลืองไม่ตอบ ชี้กระบี่ปาดเล็กน้อย ให้ความรู้สึกเหมือนท้าทายอยู่หลายส่วน


ไม่ฆ่าคนที่ไม่รู้จักชื่ออะไรกันล่ะ ปกติคนที่ใช้คำพูดนี้ก็ฆ่าเหมือนเดิมนั่นแหละ! เหมียวอี้พลันถลันตัวเข้ามา พุ่งทวนยิงออกมาหนึ่งครั้ง ดูมีพลังเข้มแข็งเกรียงไกร!


ชายหน้าเหลืองถลันตัวพุ่งเข้ามารับหน้าเช่นกัน ไม่หลบไม่หลีก พุ่งเข้าหาการโจมตีของเหมียวอี้ คมกระบี่ชนกับคมทวน


อีกฝ่ายวรยุทธ์สูงกว่าเหมียวอี้ การใช้กำลังปะทะตรงๆ ไม่ใช่ความคิดที่ชาญฉลาดสำหรับเหมียวอี้ เพียงแต่กระบี่ในมืออีกฝ่ายยาวไม่เท่าทวนในมือเขา สู้กันซึ่งๆ หน้าแบบนี้ก็เสียเปรียบเหมือนกัน เหมียวอี้ย่อมเลี่ยงจุดแข็งโจมตีจุดด้อยอยู่แล้ว


ชั่วพริบตาที่คมกระบี่และคมทวนชนกัน หัวทวนสามแฉกรูปร่มที่แหลมคมก็เอียงเล็กน้อย!


ซวบ! ไม่ได้ชนโดนจุดสำคัญ คมกระบี่ลื่นทันที ไหลเฉียดปีกร่มสามแฉกไป ทวนเกล็ดย้อนฝ่าการป้องกันได้และสังหารออกไปโดยตรง โจมตีไปที่ร่างกายของอีกฝ่าย


ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายจะคล่องแคล่วสุดๆ เมื่อถือกระบี่อยู่ในมือ คมกระบี่เพิ่งจะไหลผ่านปีกทวนไป ไม่ใช้ท่าเก่าๆ เลย ปาดขึ้นแล้วหดกลับทันที กักตะขอบนหัวทวนไว้ได้ในรวดเดียว ควบคุมและโน้มนำทวนที่เหมียวอี้โจมตีเข้ามาให้ขึ้นไปด้านบน ส่วนมืออีกข้างก็กำลังจะคว้าด้ามทวนเกล็ดย้อน


เกิดเสียงดังแกร๊ก ตะขอสามแฉกพลันพลิกขึ้นไปด้านบน คมกระบี่ที่กัดหัวทวนเอาไว้ไม่มีที่ให้กักแล้วไหลออกไปอีกครั้งในทันที


สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้กะทันหันจริงๆ ทำให้คนทำอะไรไม่ถูก ในดวงตาของชายหน้าเหลืองฉายแววตกตะลึงอย่างชัดเจน นึกไม่ถึงว่าบนทวนเกล็ดย้อนจะยังมีลับลมคมใน ช่วยไม่ได้ที่ใช้แรงโบกกระบี่ลากขึ้นข้างบนเยอะเยอะเกินไป ทันใดนั้นเอง คนกับกระบี่ตกหลุมพรางพร้อมกัน ทำเอาร่างกายโยกไหวไปข้างหลังอย่างเสียการควบคุม


ฉวยโอกาสในสถานการณ์แบบนี้ ถือโอกาสจากช่องโหว่ที่เผยออกมาตอนอีกฝ่ายลุกลี้ลุกลนเพราะคาดการณ์ผิดพลาด เหมียวอี้กระทุ้งทวนไปที่ศีรษะหนึ่งครั้งกระทุ้งไปทางศีรษะของอีกฝ่ายอย่างเหี้ยมหาญ


ทว่าขณะที่ชายหน้าเหลืองถอยหลังท่ามกลางความสับสน จู่ๆ ก็ฉีกขากลางอากาศ ฉีกขาเป็นเส้นตรง แล้วใช้ฝ่าเท้าข้างหนึ่งยันขึ้นไปด้านบน ยันด้ามทวนที่กระทุ้งลงมาเอาไว้ ราวกับมีมืองอกออกมาสนองความต้องการเร่งด่วนในชั่วพริบตาเดียว เหมียวอี้ถูกเขาทำให้งงนิดหน่อย เป็นคนที่ร่างกายยืดหยุ่นแบบพบหาได้น้อยในหมู่นักพรต ถ้าจะให้ฉีกขาเขาก็ทำได้ แต่กลับทำอย่างเชี่ยวชาญสบายๆ แบบอีกฝ่ายไม่ได้


ฉวยโอกาสขณะที่ถ่วงเวลา ชายหน้าเหลืองหมุนตัวอย่างรวดเร็ว ใช้เท้าเตะบนด้ามทวนหลายครั้งติดต่อกัน อาศัยที่วรยุทธ์สูงกว่าเตะทวนในมือเหมียวอี้ให้สะเทือนออกไป ขณะเดียวกันก็อาศัยเหยียบบนด้ามทวนก้าวหนึ่ง ตัวคนเข้ามาใกล้เหมียวอี้แล้ว เมื่อผ่านพ้นระยะการป้องกันทวนยาวแล้ว จู่ๆ ก็ยิงกระบี่แสงเย็นออกมาหนึ่งด้าม กระโจนหดร่างราวกับวานรเทพ ทั้งโจมตีทั้งป้องกัน กระบี่กวาดมาที่คอหอยของเหมียวอี้


ยังไม่ต้องพูดถึงว่าวิตกกังวลหรือไม่วิตกกังวล สรุปว่าเหมียวอี้ถูกทำให้ทึ่งแล้ว เด็กดี! วันนี้ได้เจอกับยอดฝีมือแห่งการเข่นฆ่าระยะใกล้ที่แท้จริงแล้ว สำหรับนักพรตที่ใส่เต็มเหนี่ยวหรือไม่ก็เอาของวิเศษมาทุ่ม ฝีมือแบบนี้ทำให้คนรู้สึกชื่นชม เชี่ยวชาญเกินไปแล้ว!


ต้องทราบไว้ว่านี่ไม่ใช่ตำนานที่อยู่ในนิทานวีรบุรุษผดุงความยุติธรรม บางทีในนิทานวีรบุรุษผดุงความยุติธรรมอาจจะบรรยายได้เกินจริงไปหน่อย ในความเป็นจริงคนธรรมดาทั่วไปไม่มีทางฝึกฝนทักษะตัวเบาขนาดนั้นได้เลย ร่างกายที่มีเลือดเนื้อมีขีดจำกัด วันนี้ทำให้เหมียวอี้ได้เปิดหูเปิดตามากจริงๆ!


…………………………


[1] ยามอู่ 午时 เวลาระหว่าง 11:00 น. – 13:00 น.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)