องครักษ์เสื้อแพร 1137-1138

ตอนที่ 1137 ประวัติศาสตร์กล่าวกันหลาก...

 

โอรสสวรรค์สิ้นพระชนม์  ในวังนอกวังได้จัดการทุกอย่างเรียบร้อย ฮ่องเต้ถูกวางยาพิษสิ้นพระชนม์หรือไม่ ไม่มีข่าวอย่างเป็นทางการ  ตอนนี้ข่าวที่ได้มาก็คือโอรสสวรรค์สิ้นพระชนม์ด้วยโรคปัจจุบันทันด่วน


รัชทายาทขึ้นครองบังลังก์ ไม่เพียงแต่ในวังดำเนินการไปตามขั้นตอน หากต้องให้ขุนนางราชสำนักยอมรับ  มีแต่สองฝ่ายเห็นชอบร่วมกัน จึงจะจัดพิธีได้


แน่นอน ส่วนใหญ่ก็มิได้มีเรื่องให้หาความจริงกันมากนัก  การเปลี่ยนยุคสมัยของฮ่องเต้ในแต่ละสมัยก็ต้องมักเผชิญกระแสคลื่นลมเหมือนกันทั้งนั้น แต่ก็มักเป็นแค่กระแสคลื่นเล็กๆ  มีข่าวลือกันก็แค่ข่าวลือกันไปเท่านั้น ขอเพียงไทเฮาแสดงท่าที ขุนนางใหญ่ก็ย่อมคล้อยตาม


แต่ฮองเฮาเจิ้ง ตอนนี้ควรเป็นไทเฮาเจิ้ง  กลับไม่มีอิทธิพลใดในวงขุนนางราชสำนักมากนัก ตอนนั้นแย่งอำนาจกัน หวังทงนำทหารเข้าวัง  เกือบหลั่งเลือดกัน จึงได้ทำให้จูฉางสวินได้ตำแหน่งรัชทายาท จากนั้นมาฮ่องเต้ว่านลี่เพื่อไม่ให้หวังทงอำนาจใหญ่ผู้เดียว จึงไม่ให้ครองอำนาจใหญ่ในวงขุนนางราชสำนัก


นี่ไม่ใช่ปัญหา  ขุนนางใหญ่เหล่านี้กับศิษย์พวกเขาจากนั้นล้วนเดินอยู่บนเส้นทางแห่งคมมีด จะให้พวกเขาคิดหวังดีต่อฮองเฮาเจิ้งและรัชทายาทได้อย่างไร


นับประสาอันใดกับสถานการณ์ตอนนี้  ตั้งแต่ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 31 มา  ก็มีแต่คนเสนอให้โอรสองค์โตจูฉางลั่วเป็นรัชทายาท ทุกครั้งคนเสนอล้วนถูกปลดเนรเทศ แต่สุดท้ายก็ไม่อาจกลบเสียงเรียกร้องเหล่านี้ได้ หลังโอรสสวรรค์สิ้นพระชนม์ก็ยังมีกระแสฮองเฮาเจิ้งวางยาพิษ นี่เป็นกระแสใหญ่ เป็นเวลาดีแห่งการแสวงหาประโยชน์


ก่อการ ก่อการขึ้น หากสามารถทำให้อ๋องฝูจูฉางลั่วเป็นฮ่องเต้ พวกที่ก่อการทั้งหมดล้วนได้ผลประโยชน์ แม้ไม่อาจทำได้  แต่หากต้องการให้ทุกคนนิ่งเงียบ ก็ย่อมไม่กลับไปมือเปล่าแน่


ขุนนางส่วนใหญ่ล้วนสีหน้าเรียบเฉยในการจัดการพิธีพระศพฮ่องเต้ว่านลี่ และพวกเขาก็เริ่มเคลื่อนไหวบ้าคลั่งกันขึ้น


มีคนไปโขกศีรษะหน้าประตูแผ่นดินหมิง และคนไปร่วมนับวันยิ่งมาก  มีขุนนางกองต่างๆ มีนายกองสำนักตรวจสอบ ยังมีบัณฑิตสำนักปราชญ์ฮั่นหลินย่วนและกั๋วจื่อเจี้ยน มากมายหลายฝ่าย เหมือนเช่นปกติ หลายฝ่ายที่ไร้สังกัดก็ขอไปร่วมวงด้วย เพื่อวันหน้าจะได้มีเรื่องให้กล่าวได้ว่าตอนนั้นตนก็ได้ไปร่วมด้วย


มีเรื่องเช่นนี้ในเมืองหลวงทุกคนล้วนไปร่วมโวยวายกันไปปกติ ทุกคนไม่ได้สนใจอันใดนัก แต่หากครั้งนี้คนที่ไปกลับเหมือนมากอยู่สักหน่อย มากก็มากไปละกัน! ขอเพียงเทียนจินยังนิ่งสงบ แผ่นดินหมิงก็ไม่เป็นไร  ไปร่วมวงสนุกก็ดี


“…พระนางเจิ้งราวกับต๋าจี[1] หายนะแห่งราชวงศ์!!”


“…ในวังถูกคนชั่วควบคุมไปแล้ว ขอองครักษ์เสื้อแพรเข้าไปตรวจสอบ ไม่เช่นนั้นประชาไม่สงบ…”


“…โอรสองค์โตจูฉางลั่วเป็นรัชทายาท ขอในวังรีบส่งคนไปเชิญอ๋องฝูที่ลั่วหยางขึ้นครองราชย์ แต่งตั้งไทเฮาหวัง…”


เสียงวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้หากเป็นเมื่อก่อนเรียกได้ว่าเหิมเกริมไร้คุณธรรมอย่างยิ่ง แต่ในตอนนี้ ผู้ใดจะไปสนใจพระเกียรติราชวงศ์ หลายปีมานี้ การแย่งชิงอำนาจของเมืองหลวงและเทียนจิน ก็เรียกได้ว่าไม่อาจมองหน้ากันแล้ว อำนาจเปลี่ยนแปลงไปมาก ทุกคนก็ล้วนมีความกล้ามากขึ้น


กระแสวาจาเหล่านี้หากปล่อยให้ขยายวงกว้างต่อไป  ก็ย่อมถูกขุนนางในราชสำนักยื่นฎีกา  รอให้ถึงวันนั้น ก็ย่อมไม่อาจทำอะไรได้อย่างที่ต้องการแล้ว


ไทเฮาเจิ้งกับเจิ้งกั๋วไทเข้าใจหลักการนี้ดี พวกเขาทางหนึ่งให้ขุนนางราชสำนักที่ซื้อใจมาหลายปีออกไปโต้ อีกทางก็ออกคำสั่งให้องครักษ์เสื้อแพรกับสำนักบูรพาออกไปกำราบ


เรื่องนี้ไหนเลยง่ายเพียงนั้น ตอนนั้นทหารม้าองครักษ์เสื้อแพรอารักขาหวังทงทั้งครอบครัวไปเทียนจิน มาถึงวันนี้จะไปฟังคำสั่งผู้อื่นได้อย่างไร ศาลซุ่นเทียนกับศาลอาญาใหญ่ก็ถูกหลี่ว์วั่นไฉคุมไว้แน่น ยิ่งไม่ฟังคำสั่ง คำสั่งการจากเบื้องบนไม่อาจสั่งพวกเขาได้


บรรดาเจ้าหน้าที่ก็ออกไปตรวจตามตรอกซอกซอย ป้องกันแน่นหนาไม่ให้พวกผิดกฎหมายฉวยโอกาสทำชั่วในจังหวะนี้ สำหรับประตูเมืองแผ่นดินหมิงก็ไม่ต้องไปสนใจ ส่งคนสองคนไปดูแลสถานการณ์ก็พอ


ตระกูลเจิ้งตอนนี้ร่ำรวยระดับล่มแผ่นดิน ถึงตอนนี้เงินทองทำอะไรได้  เงินทองหว่านออกไปกองโต ขอแค่ให้คนมีอาวุธเหล่านี้ออกมาช่วย


เงินทองอยู่ตรงหน้า ใช่ว่าไม่มีคนหวั่นไหว เพียงแต่พอองครักษ์เสื้อแพรหลายร้อยนำกำลังออกมา คนที่ออกมาเดินถนนไม่ทันพ้นถนนเส้นหนึ่งก็ถูกนายกองพันรั้งพวกเขาไว้  ให้ทุกคนกลับไปประจำฐาน  คนที่นำคนออกมาก็คือคนจากกองกำลังฮามี่ (ซินเจียง) รับหน้าที่สืบข่าวแถบซีอวี้


ที่ยิ่งทำให้ในวังตกใจก็คือกองกำลังหลวง พวกเขาเองก็สั่งการไม่ได้ หลายกองล้วนอ้างป่วย คนที่เหลือก็กล่าวอย่างเต็มไปด้วยคุณธรรมว่า


“มีดดาบกระหม่อมทั้งหลายนี้ล้วนเพื่อขจัดโจรชั่ว ในเมืองล้วนเป็นขุนนางภักดีและราษฎรแผ่นดินหมิง เคลื่อนกำลังได้อย่างไร?”


ไทเฮาเจิ้งไร้หนทาง รัชทายาทจูฉางสวินไม่รู้ทำเช่นไรดี เจิ้งกั๋วไทร้อนใจราวมดในหม้อร้อน ขุนนางสายพวกเขาก็ล้วนแตกตื่นตกใจ พวกเขาล้วนรู้มีวิธีหนึ่งใช้ได้ แต่ไม่กล้านำมาใช้


ในเมืองเริ่มมีคนตายแล้ว หลายคนเห็นชัดว่าเป็นขุนนางใหญ่ที่ก่อกระแสเบื้องหลังตายในจวน ขุนนางบัณฑิตชิงหลิวหลายคนล้วนถูกลอบสังหารระหว่างทางกลับบ้าน มีคนถูกลอบสังหาร มีคนบาดเจ็บหนัก


ที่ยิ่งทำให้คนตกใจ ฝั่งเซียงหยางกงแห่งตระกูลเฉินก็มีคนถูกแทง น้องชายสองคนของเฉินซือเป่าล้วนเป็นขุนพลในกองกำลังวังหลวง ก็ถูกลอบแทงในกอง ตายหนึ่งเจ็บหนึ่ง


ในเมืองค่อยๆ เริ่มวุ่นวาย แต่วิธีรับมือเช่นนี้ก็ได้ผล  ไม่มีคนบงการและประสานงาน ศิษย์ของขุนนางใหญ่ก็พากันหดหัวตามเหล่าขุนนางบัณฑิตชิงหลิว  ก่อเรื่องส่วนก่อเรื่อง ผลประโยชน์ส่วนผลประโยชน์ อย่างไรก็ไม่มีอันใดสำคัญไปกว่าชีวิต


หน้าประตูแผ่นดินหมิงคนน้อยลง แต่ยังมีคนมากอยู่ คนเหล่านี้ไม่กลัวตาย และองครักษ์เสื้อแพรกับหลายฝ่ายยังส่งคนมาอารักขาเพิ่ม ไม่ให้ใครหาโอกาสลงมือได้อีก ได้ยินว่าจับมือสังหารได้แล้ว มือสังหารก่อนตายยังสารภาพว่าตนเองเป็นคนที่สำนักส่วนพระองค์ในวังส่งมา


เห็นพวกขุนนางหน้าประตูแผ่นดินหมิงไม่ตาย ทุกคนในที่สุดก็เข้าใจ เรื่องนี้ไม่ใช่คนหาโอกาสอันใด แต่มีคนอยู่เบื้องหลัง


จากนั้นก็มีข่าวต่างๆ มาจากเหอหนานว่า…


“…อ๋องฝูออกนอกเมืองไปแล้ว ผู้ว่าไม่ได้รั้งไว้…”


“…อ๋องฝูข้ามแม่น้ำขึ้นฝั่งไปแล้ว อีกสี่วันก็เข้าสู่เขตปกครอง…”


“…ผู้ว่าเจินติ้งต้อนรับอ๋องฝูด้วยพิธีการรับเสด็จโอรสสวรรค์…”


สถานการณ์ไม่อาจควบคุมแล้ว  เทียบกับจูฉางสวินผู้อ่อนแอแล้ว อ๋องฝูจูฉางลั่วกลับเป็นคนสงบเสงี่ยมกว่ามาก  นอกจากชอบเรื่องนารีแล้วก็ไม่มีความชอบอื่น ให้เขาเข้าเมืองมาแย่งตำแหน่งฮ่องเต้ คิดว่าเขาน่าจะชอบอยู่ลั่วหยางสำราญกับเหล่าสตรีมากกว่า  เรื่องเสี่ยงภัยพวกนี้เขาไม่แน่ว่าอยากจะทำ


แต่ทว่า อ๋องฝูเป็นเช่นนี้จริงหรือไม่ไม่สำคัญ แต่การเคลื่อนไหวต่างๆ เหล่านี้ได้ราวกับตัดฟางเส้นสุดท้ายของไทเฮาเจิ้ง


 จากเรื่องนี้ ฮองเฮาเจิ้งกับคนในวังเหล่านี้ก็รู้ว่าควรแก้ไขความวุ่นวายตรงหน้าอย่างไร แต่พวกเขาล้วนรู้ไม่อาจทำเช่นนี้


ตอนนี้สถานการณ์เรียกได้ว่าป่วยหนัก แต่อาการป่วยนี้ทุกคนล้วนรู้ควรรักษาเช่นไร ได้แต่กินยานั่นแล้ว อาการป่วยหายแล้ว คนก็ต้องตาย


แต่เรื่องเร่งด่วนตอนนี้ก็คือให้รัชทายาทจูฉางสวินได้ครองราชย์ เรื่องไม่ครองราชย์ไม่ต้องพูดถึง  ครองราชย์แล้วบางทีอาจมีความเป็นไปได้อีกหลายอย่าง


ไทเฮาเจิ้งมีราชโองการ ว่าเมืองหลวงจลาจล ต้องการขุนนางภักดีเก่าก่อนมาคุมสถานการณ์ จวิ้นอ๋องเล่อลั่งหวังทงแม้ว่าป่วยอยู่ แต่ควรจะเห็นแก่บ้านเมืองเป็นหลัก ให้เข้าเมืองหลวงมาทำหน้าที่


ราชโองการมาถึง หวังทงยังคงตอบรับในสถานะขุนนางบู๊ ไม่มีท่าทีเสแสร้งปฏิเสธ รับราชโองการทันที เตรียมเข้าเมืองหลวง กองกำลังหลวงหน่วยหานกัง และกองกำลังหลวงหน่วยเดิมของหลี่หู่โถว กองกำลังหลวงหน่วยฉีอู่ ล้วนเริ่มเดินทางเคลื่อนกำลังไปปักหลักรอบเมืองหลวง


ตอนข่าวหวังทงรับราชโองการมายังเมืองหลวงและได้รับการยืนยันจากทางการแล้ว คนหน้าประตูแผ่นดินหมิงก็สลายตัวไปหมดทันที เมืองหลวงพริบตาก็สงบลง


ศาลซุ่นเทียนกับองครักษ์เสื้อแพรล้วนเริ่มส่งเจ้าหน้าที่กับทหารออกมาตามท้องถนน เริ่มรักษาความสงบเข้ม กองกำลังหลวงกับกองกำลังวังหลวงก็เริ่มมีคำสั่งไม่ให้ทุกคนออกจากพื้นที่


สำหรับอ๋องฝูจูฉางลั่วไปสู่เมืองเจินติ้งแล้ว ถูกผู้ว่านำทหารมาเฝ้าไว้ ใช้พิธีการรับเสด็จแบบโอรสสวรรค์รับเสด็จอ๋องเข้าเมือง ตอนนี้ได้เป็นขุนนางมีความชอบในการยับยั้งอ๋องฝูด้วยอุบาย


อ๋องออกจากพื้นที่ครองตน เป็นความผิดใหญ่ เมืองหลวงได้ส่งองครักษ์เสื้อแพรไปจัดการ  และให้กรมพิธีการเอาผิด ตอนนี้สถานการณ์เช่นนี้ สถานะอ๋องฝูเช่นนี้ การถูกจำกัดบริเวณย่อมหนีไม่พ้นแล้ว


ก่อนหวังทงเข้าเมืองหลวง ผู้ช่วยสำนักอาชาหลวงไช่หนานก็มาถึงก่อน เฉินซือเป่าหัวหน้ากองกำลังหลวง มารับด้วยตนเองไปที่ที่ทำการกองกำลังหลวงในอุทยานปัจจิม


หัวหน้าขันทีสำนักอาชาหลวงกับผู้ช่วยสำนักในปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 21 ก็เหมือนเป็นตำแหน่งเปล่า ๆ แล้ว ไม่มีอำนาจแท้จริง เป็นแค่การให้ตำแหน่งแก่ขันทีระดับสูง  แต่ทว่าคนที่ได้ตำแหน่งระดับสูงแท้จริง ก็คือ ไช่หนานขันทีผู้คุมกำลังกองกำลังวังหลวงผู้เดียวเท่านั้น


ธรรมเนียมเป็นเพราะคนดำเนินการ ก่อนกำหนดชัดเจน ก็ยังใช้ธรรมเนียมเก่าก่อน ไช่หนานตอนนี้มีอำนาจคุมกองกำลังหลวง  แน่นอนทุกคนในกองกำลังหลวงแอบยอมรับระบบงานนี้ไปแล้ว


ทหารสามหน่วยกองกำลังหลวง มาถึงนอกเมือง ทหารม้ากับทหารกองปืนใหญ่ก็มาถึง กองกำลังนี้รวมกับองครักษ์เสื้อแพร ทหารศาลอาญาใหญ่ในเมือง ยังมีกองกำลังหลวงกับวังหลวงที่ใกล้ชิดกับหวังทง หวังทงมีกำลังในเมืองหลวงเรียกว่าได้เปรียบอย่างไม่มีผู้ใดต้านทานได้


ผู้ใดก็ไม่รู้ว่าจากนี้จะเกิดอันใด แต่ผู้ใดล้วนรู้วันหน้าจะเกิดอันใด……


คนที่กระพือกระแสหาพวกไปทั่วทุกแห่งก่อนหน้านี้ล้วนเงียบลง พวกเขารู้ว่าตอนนี้ เวทีแสดงพวกเขาจบแล้ว  ตอนนี้ตัวละครเอกขึ้นแสดงแล้ว


เสิ่นอีก้วนดำรงตำแหน่งมหาอำมาตย์คณะเสนาบดีใหญ่ได้ไม่ถึงสองปี ก็พอเข้าใจหวังซีเจวี๋ยเหตุใดจากไปแล้ว  สถานการณ์ตอนนี้ สถานะมหาอำมาตย์ หัวหน้าแห่งขุนนางบุ๋น สวามิภักดิ์ต่อหวังทง  ก็ไม่อาจทนทำไปได้ และตอนนี้เป็นถึงหัวหน้าขุนนางบุ๋นแล้ว หากจะไปอยู่ทางนั้นจะดำรงสถานะใด แต่หากไม่ยอมก้มหัว ตำแหน่งจะดำรงต่อไปมั่นคงได้หรือไม่  ก็ยากกล่าวได้


หลังโอรสสวรรค์สิ้นพระชนม์ กระบวนการทุกอย่างหยุดไประยะหนึ่งก็เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง หลังพิธีฝังพระศพ ฮ่องเต้ใหม่ครองราชย์ ทุกอย่างล้วนเริ่มเตรียมไปตามระเบียบ แต่ในวังก็ไม่ได้มีบรรยากาศผ่อนคลายใด


เดือนหกปีรัชสมัยไท่ชางที่หนึ่ง  หวังทงกลับคืนสู่เมืองหลวงอีกครั้ง ขุนนางราชสำนักและชนชั้นสูงเมืองหลวงล้วนออกมารอรับ ที่พักหวังทงยังคงเป็นจวนจวิ้นอ๋องเล่อลั่งตามเดิม


หวังทงระหว่างทางถูกลอบสังหาร ทหารติดตามหนึ่งรับดาบไว้ มือสังหารถูกสังหารไว้ก่อนจะปลิดชีพตนเอง


………………………………………….


[1] พระชายาคนโปรดของพระเจ้าโจ้วแห่งราชวงศ์ซัง ถูกสาปแช่งว่าเป็นผู้ทำให้แผ่นดินล่มสลาย



 

 

 


ตอนที่ 1138 อ๋องจี้

 

หวังทงมีทหารติดตามกับองครักษ์เสื้อแพรคอยอารักขา รอบข้างมีคนคอยป้องกัน  มือสังหารความจริงนั้นไม่มีโอกาสเลย


แต่มือสังหารอยู่ในกลุ่มผู้คุ้มกันก็ยากจะกล่าวได้แล้ว มือสังหารมีสามคน ล้วนปฏิบัติหน้าที่ในสำนักรักษาความสงบ สองคนดึงความสนใจทุกคนไป อีกคนใช้ปืนไฟยิงจากที่สูงนอกระยะห้าสิบก้าว สองคนขยับ ผู้คุ้มกันหวังทงก็เริ่มมองรอบทิศเพื่อหาจุดของศัตรู ที่สูงก็ไม่เว้น ก่อนคนนั้นยิง หวังทงก็ถูกห้อมล้อมด้วยกลุ่มทหารติดตามแล้ว ไม่มีมุมยิงได้อีก


ปืนไฟยิงมา ทหารติดตามหวังทงนายหนึ่งถูกยิงตายทันที มือสังหารผู้นั้นถูกทหารติดตามหวังทงยิงด้วยปืนไฟจนร่างพรุน อีกสองคนล้วนถูกจับได้ หนึ่งคนตวัดดาบปลิดชีพตนเอง อีกคนแม้ว่าถูกกดลงกับพื้น ก็ยังคงกัดยาพิษในปากปลิดชีพตนเช่นกัน


คนจากสำนักองครักษ์เสื้อแพรและศาลซุ่นเทียนเดิมทีมารอต้อนรับหวังทงอย่างยินดี ก็พากันโมโหอย่างมาก รีบส่งคนไปตรวจสอบทั้งหมด กองกำลังหลวงยกทัพเข้าเมืองหลวง คุ้มกันในละแวกจวนจวิ้นอ๋องเล่อลั่งผู้ บรรยากาศเมืองหลวงเคร่งเครียดขึ้นทันที


สามคนนั้นเป็นคนของสำนักรักษาความสงบ คนที่ทำงานที่นี่ล้วนมีประวัติเป็นมาชัด สืบไปถึงครอบครัวสามคนนี้ คนที่ถูกส่งเข้าเมืองมาเป็นผู้คุ้มกันหวังทง ก็ยิ่งไม่อาจปล่อยให้คนใหม่มาทำหน้าที่ได้


ระยะห่างจากเวลาลอบสังหารได้สามชั่วยามก็มีผลปรากฏ สามคนนี้ที่แท้เป็นคนสังกัดในวัง ก่อนมาเป็นคนสำนักรักษาความสงบเคยเป็นคนองครักษ์เสื้อแพร ศาลซุ่นเทียน และในวัง  สามหน่วยงานล้วนส่งคนเข้ามาปะปน สุดท้ายทุกคนล้วนอยู่ใต้การควบคุมขององครักษ์เสื้อแพร แต่หากสายสัมพันธ์เก่าก่อนยังคงอยู่


มีบางครั้งสืบคดีกระจ่างไม่จำเป็นต้องอาศัยหลักฐาน ในสถานการณ์เช่นนี้  ขอเพียงหาต้นตอก็พอวิเคราะห์เข้าใจได้  ลอบสังหารหวังทง ผู้ใดได้ประโยชน์ที่สุด ผู้ใดต้องการให้หวังทงตาย ผู้ใดมีอำนาจที่จะส่งมือสังหารมาลอบสังหารได้เช่นนี้


ทุกคนล้วนเดาผลออก  กลับไม่มีคนกล้ารายงานหวังทง  มีแต่โหววั่นเสียงแห่งผู้ช่วยผู้บัญชาการเท่านั้นที่กล่าวกับหวังทง


หวังทงเข้าเมืองหลวงตอนเช้า ตั้งแต่ถูกลอบสังหารถึงตอนความกระจ่างก็ใกล้มืดแล้ว ยามนี้กลองวังหลวงดังขึ้น ประตูวังกำลังจะปิด มีทหารติดตามเห็นหวังทงคว้าของหนึ่งคิดปาลงพื้น แต่ก็ลังเลก่อนจะวางลง ออกคำสั่งเพียงแค่ให้เตรียมพร้อม เขาจะเข้าเฝ้า


ตอนนี้ไม่มีเรื่องใหญ่ใดต้องเข้าวัง ขอเข้าเฝ้านับว่าเป็นการเสียธรรมเนียม แต่หวังทงคิดเข้าวังตอนนี้ ก็ย่อมเป็นเรื่องใหญ่กับเรื่องสำคัญแล้ว คนในวังต่างไม่กล้าขัดขวาง


หลายปีมานี้ มีคนไม่มากนักที่ได้เห็นหวังทงโมโหหนักเช่นนี้ การต่อสู้ต่อกรกับคนในวัง แต่ไรมาหวังทงยังคงถือมั่นธรรมเนียมมารยาท แต่ครั้งนี้เขานำทหารติดตามขี่ม้าสวมเกราะเข้าวัง แต่ทว่าก็ยังให้คำอธิบายว่า สงสัยในวังมีคนร้าย ไทเฮาและฝ่าบาทตกในอันตราย


ในวังเองก็งงกับการกระทำนี้ของหวังทง พวกเขารู้ว่าหวังทงไม่ให้ความเคารพยำเกรง แต่ทำอันใดไม่ได้ สถานการณ์มาถึงตอนนี้ ยังจะทำอันใดได้เล่า?


ก่อนหวังทงเข้าเฝ้าในวังครึ่งชั่วยาม หัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ขันทีเจ้าจินเลี่ยงดื่มยาพิษปลิดชีพตนเอง โจวอี้ที่ไม่ได้ทำหน้าที่ใดในวังมาหกปีถูกขอให้ออกมาดูแลงานแทนก่อน


ตามวาจาขันทีในวัง เจ้าจินเลี่ยงสวมชุดงูใหญ่เข้าเฝ้ารัชทายาทจูฉางสวิน โขกศีรษะถวายบังคมก่อนทูลว่า


“บ่าวไร้สามารถ วันหน้าไม่อาจปรนนิบัติรับใช้ฝ่าบาทแล้ว วันหน้าฝ่าบาทเกรงว่าคงต้องทนรับแล้ว บ่าวไม่มีหน้าไปเข้าเฝ้าอดีตฮ่องเต้แล้ว”


ในวังยามนี้วุ่นวายกันไปหมด ศพเจ้าจินเลี่ยงอยู่ในห้องทำงานกลางสำนักส่วนพระองค์ หวังทงเดิมทีที่โมโหหนัก พอได้ยินข่าวนี้ก็เงียบไปทันที ทหารติดตามอยู่ ๆ พบว่า แม่ทัพใหญ่ราวกับเหน็ดเหนื่อยมาก จิตใจอ่อนกำลังลงไปมาก


 เผชิญกับจูฉางสวินที่ไม่รู้จะวางพระองค์เช่นไร  หวังทงถวายคำนับแล้วก็ไม่ได้กล่าวอันใดมากความ ได้แต่ขอไปยังสำนักส่วนพระองค์เพื่อดูเจ้าจินเลี่ยง


สถานการณ์ตอนนี้  หวังทงนับว่าขอไปวังฝ่ายในเพื่อดูพระสนมก็ยังต้องอนุญาต อย่าว่าแต่เรื่องนี้เลย จูฉางสวินที่แต่ไรไม่กล้าส่งเสียงกล่าวอันใดยามนี้กลับคิดโต้แย้ง หากถูกขันทีชราดึงไว้ สุดท้ายก็ยังคงเงียบ


 ตอนหวังทงเข้าวัง ทุกคนในวังต่างหวาดกลัวไปหมด แต่ตอนนี้ล้วนเงียบสงบ คนของหวังทงไม่ได้เข้ามาในวังสังหารปล้นชิง


ไม่พบกันนานหลายปี โจวอี้ผมขาวโพลนทั้งศีรษะแล้ว เทียบกับอายุจริงแล้วแก่ลงไม่เพียงแค่สิบปี ขันทีสำนักส่วนพระองค์แต่ละคนล้วนไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ บางคนสีหน้านิ่งเฉย บางคนหลั่งน้ำตาเงียบ ๆ พอเห็นหวังทง ทุกคนอดคำนับไม่ได้


โจวอี้พอเห็นหวังทง คิดจะคุกเข่าคำนับ แต่ถูกหวังทงรั้งไว้ มองดูหวังทง โจวอี้นิ่งไปนาน ไม่กล่าวอันใดอยู่นาน หวังทงตบบ่าเขาได้แต่ถอนหายใจ


ไม่มีคนเดินไปสำนักส่วนพระองค์เป็นเพื่อนหวังทง หวังทงอยู่กับศพเจ้าจินเลี่ยงคนเดียวอยู่นาน ฟ้ามืดสนิทแล้ว ในห้องเงียบอย่างมาก ทหารติดตามรู้สึกไม่ถูกต้องนัก เตรียมจะเข้ามาดู หวังทงก็ผลักประตูออกมา


สีหน้าไร้รอยน้ำตา หน้าตาต่างจากตอนเข้าไปมาก ราวกับว่าแข็งทื่อไปแล้ว ตอนออกมา มีคนจุดคบไฟขึ้น หวังทงมองไปรอบ ๆ  ไม่ว่าทหารติดตามหรือขันทีล้วนก้มหน้านิ่ง นอบน้อมเคารพไม่กล้าสบตา


“…สั่ง…เดี๋ยวขอจะไปเข้าเฝ้าทูลขอฝ่าบาท จากนี้ใต้หล้ามิให้มีขันทีอีก คนที่ตอนตนเองก็จะเนรเทศไปเป็นทาส จะได้ไม่ต้องสร้างเวรกรรมให้คนต้องสิ้นลูกหลานเช่นนี้…”


ขันทีรอบ ๆ ล้วนอึ้งเงยหน้า หวังทงโบกมือกล่าวว่า


“ไม่เกี่ยวกับพวกเจ้า พวกเจ้าทำงานต่อไป พวกเจ้าไม่มีความผิดอันใด ความชั่วเลวร้ายอยู่ที่วิธีการบัดซบพวกนี้!”


เรื่องการตอนชายสืบทอดมาหลายพันปีก็จบสิ้นลงในวินาทีนี้ หลังหวังทงขึ้นครองราชย์ มีขุนนางใหญ่เสนอชัดเจนว่า ไม่มีขันที ก็ไม่อาจทำให้ในตัดขาดนอก ราชวงศ์ไม่เหมือนดังราชวงศ์


หวังทงปฏิเสธง่ายมากว่า  ข้าผ่านมานานหลายปี ในนอกแยกงานกระจ่าง  ในจวนไม่มีชายไม่ใช่ชายรับใช้ ตระกูลจูหลายปีมานี้ต้องการแยกในนอกให้กระจ่าง ใช้งานชายไม่ใช่ชายในช่วงที่มากที่สุดก็นับหมื่น นอกในเคยแยกกันกระจ่างจริงงั้นหรือ


พวกที่ตอนผู้อื่นให้ตัดหัวทิ้ง พวกที่ตอนตนเองให้เนรเทศไปถูลู่ฟานและเยี่ยเอ่อร์เชียงทางตะวันตก ราชวงศ์ไม่ต้องการขันทีแล้ว  ราษฎรจะยากจนเพียงใดก็ย่อมไม่อาศัยช่องทางนี้อีกแล้ว


หลังหวังทงขึ้นครองราชย์ ก็มิได้ให้ขันทีในแต่ละจวนอ๋องเดิมต้องทิ้งงานที่ทำไป รอให้แก่และป่วยตายไปเอง ออกเพียงคำสั่งว่าจ้างงานพวกเขาไม่มีความผิด ขันทีในวังส่วนใหญ่ถูกส่งไปยังหน่วยงานต่าง ๆ


พวกสูงอายุมีความสามารถให้ส่งไปประจำสุสานหลวง ให้เลี้ยงดูตลอดชีวิต  พวกยังหนุ่มที่ไม่มีความสามารถใดให้ส่งไปโรงนาพร้อมเครื่องมือทำนา ให้ทำมาหากินเอาเอง


ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 35 ตอนหวังทงเข้าเมืองมาประกาศจบ ทุกอย่างล้วนเรียบร้อย รัชทายาทจูฉางสวินขึ้นครองราชย์ เริ่มต้นปีรัชสมัยไท่ชางที่หนึ่ง


หลังหวังทงเข้าเมืองหลวง ทุกอย่างเรียบร้อยไปหมด กองกำลังที่อ่อนกำลังมาร้อยกว่าปีได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง เปลี่ยนชื่อเป็นกองบัญชาการทัพใหญ่ คุมการทหารทั้งทางบกและทางน้ำ หวังทงเป็นผู้บัญชาการใหญ่แห่งกองบัญชาการทัพใหญ่ ควบตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร ดูแลไปถึงกิจการเทียนจินและซงเจียง


ตำแหน่งเหล่านี้ดูเหมือนน่าตกใจ แต่ความจริงนั้นก็สมเหตุผล ที่ทำให้คนตกใจจริงก็คือเพื่อยกย่องหวังทงว่ามีคุณความชอบยิ่งใหญ่ต่อแผ่นดิน ฮ่องเต้ไท่ชางก็แต่งตั้งหวังทงเป็นอ๋องจี้ ชื่อตำแหน่งอ๋องคำเดียว นับเป็นตำแหน่งอ๋องสูงสุด ไม่มีตระกูลใดในแผ่นดินหมิงนอกจากเชื้อพระวงศ์ระดับใกล้ชิดจะได้รับ เช่น น้องชายฮ่องเต้ไท่ชาง จูฉางลั่วตอนนี้เป็นอ๋องฝู จูอี้หลิวน้องชายแท้ ๆ ฮ่องเต้ว่านลี่เป็นอ๋องลู่  อ๋องฉินไกลถึงส่านซีเป็นโอรสแท้ๆ ปฐมฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หมิงจูหยวนจาง แผ่นดินหมิงยังมีระเบียบว่า ในเขตปกครองสำคัญ เมืองใหญ่ยังอยู่ ไม่ให้แต่งตั้งอ๋อง


นี่จึงนับว่าเป็นเรื่องที่เรียบร้อยแท้จริง  เห็นการแต่งตั้งนี้แล้ว ใต้หล้าไม่มีผู้ใดไม่เข้าใจว่าเกิดอันใดขึ้น ข่าวมายังแดนใต้ มายังที่พักของหวังซีเจวี๋ย กำลังสนทนายิ้มแย้มกับบรรดาสหายวิจารณ์เรื่องนี้


“ไม่สู้แต่งตั้งเป็นอ๋องเยี่ยนไปเลย ทำให้คนเข้าใจได้ง่ายดี ไยต้องลำบากทำเรื่องเช่นนี้…”


จูตี้เคยเป็นอ๋องเยี่ยนนำกำลังทหารแย่งชิงบังลังก์จูอวิ่นเหวินผู้เป็นหลาน  ขึ้นเป็นฮ่องเต้หมิงเฉิงจู่ คำว่า เยี่ยน กับ จี้ หมายถึงพื้นที่เดียวกัน ชื่ออ๋องหวังทงทำให้คนรับรู้ถึงความหมายแฝง


เรื่องราวต่างๆ ใต้ล้วนมองเข้าใจ ใต้หล้าล้วนรู้สึกว่าก็ควรเป็นเช่นนี้ อย่างไรก็คงไม่เกิดเหตุสงครามแย่งชิง แต่จะเปลี่ยนคนเป็นฮ่องเต้ไม่เห็นความต่างอันใด


หวังซีเจวี๋ยเข้าใจเรื่องนี้มากกว่าคนอื่น หลังได้ข่าวหวังทงได้รับการแต่งตั้ง เขาก็ไม่ให้ลูกหลานตนเรียนตำราขงจื่ออีก ล้วนถูกเขาไล่ไปเมืองซงเจียง ไม่บอกว่าให้พวกเขาเรียนอะไร เพียงแต่ให้พวกเขาไปหาทางทำสิ่งที่ชอบ


“อำนาจวาสนาวันหน้า เกรงว่าคงอยู่ที่นี่แล้ว!”


 สวีกว่างกั๋วที่ต้องไว้ทุกข์กลับไม่ได้กลับบ้านเกิด  เขามาถึงเมืองชางโจวแล้วก็ว่าป่วย ไม่เดินทางต่อ พอหวังทงเข้าเมืองหลวงมา ราชโองการยับยั้งการไว้ทุกข์ก็มาถึง


สวีกว่างกั๋วยังไม่ทันออกจากเมืองเหอเจียน ก็เดินทางกลับเมืองหลวง  ตอนยังไม่เข้าเมืองหลวง  ราชโองการที่สองก็มาถึง สวีกว่างกั๋วได้รับแต่งตั้งเป็นเสนาบดีฝ่ายปกครอง เป็นรองอำมาตย์


ยังมีอีกราชโองการยังอยู่ระหว่างทาง  ผู้ว่าเมืองซงเจียงหยางซือเฉินเป็นเสนาบดีกรมอากร เข้าสู่คณะเสนาบดีใหญ่ และเจ้ากรมศาลซุ่นเทียนหลี่ว์วั่นไฉเป็นเสนาบดีกรมทหาร ควบตำแหน่งงานศาลซุ่นเทียน  โจวอี้ที่ว่างงานมาหกปีก็ได้เป็นหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ ไช่หนานเป็นผู้ช่วยสำนักส่วนพระองค์ควบหัวหน้าสำนักอาชาหลวง


ศูนย์กลางอำนาจรวมอยู่ที่คนใกล้ชิดหวังทง บัณฑิตจวี่เหรินเป็นเสนาบดี บัณฑิตจวี่เหรินได้เข้าร่วมคณะเสนาบดีใหญ่ เรื่องพวกนี้หากเป็นสิบปีก่อนก็คงเรียกว่าเหลวไหลอย่างไม่กล้าคาดคิด  แต่ตอนนี้กลับไม่มีคนรู้สึกแปลก มองดูแล้วก็ใกล้เปลี่ยนใหม่หมดแล้ว แน่นอนทุกอย่างล้วนไม่เหมือนเดิม เรื่องนี้ไม่มีอันใดไม่ถูกต้อง


บรรดาขุนนางในการประชุมราชสำนักเข้าเฝ้าโอรสสวรรค์ ตามหลักมหาอำมาตย์คณะเสนาบดีใหญ่ควรใกล้โอรสสวรรค์ที่สุด  แต่ตอนนี้หวังทงร่วมประชุม ขุนนางยืนสองแถว


“อ๋องจี้ตำแหน่งสูงส่ง พวกข้าไม่บังอาจยืนเสมอ”


ตอนหวังทงเข้าประชุมราชสำนัก สวีกว่างกั๋วดึงมหาอำมาตย์เสิ่นอีก้วนไว้ ‘อย่างห่วงใย’ พอยืนประจำที่ เสิ่นอีก้วนก็ยืนอยู่หลังตำแหน่งหวังทงสองก้าว หวังทงอยู่หน้าพระที่นั่งเพียงผู้เดียว


ไม่ได้เป็นดังคำว่าใต้หนึ่งคน เหนือนับหมื่นอีกแล้ว  ฮ่องเต้ไท่ชางต่อหน้าหวังทงก็ก้มหัวหด

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)