เทพปีศาจหวนคืน 1136-1141

 เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1136 สุนัขอินทรีย์


แปลโดย iPAT 


 


สุนัขอินทรีย์มีร่างกายเป็นสุนัขและศีรษะเป็นนกอินทรีย์ มันมีปีกหนึ่งคู่อยู่บนแผ่นหลัง ขนของมันเป็นสีดำ ร่างกายของมันเต็มไปด้วยร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งความมืด


 


มันเป็นสัตว์อสูรที่ค่อนข้างพิเศษ


 


วิธีสืบพันธุ์ของสุนัขอินทรีย์แตกต่างจากสัตว์อสูรทั่วไป


 


พิษของสุนัขอินทรีย์อาจส่งผลกระทบต่อสุนัขหรือนกอินทรีย์ทุกชนิด มันจะค่อยๆเปลี่ยนเป้าหมายให้กลายเป็นสุนัขอินทรีย์ในที่สุด


 


นั่นเป็นเหตุให้ความแข็งแกร่งของสุนัขอินทรีย์แต่ละตัวแตกต่างกันไป


 


สุนัขอินทรีย์บางตัวถูกเปลี่ยนมาจากสัตว์อสูรเดียวดายขณะที่บางตัวมาจากสัตว์อสูรบรรพกาล สุนัขอินทรีย์ระดับสัตว์อสูรแรกกำเนิดหาได้ยากกระทั่งในสวรรค์สีขาวหรือสีดำก็ตาม


 


ทุกอย่างสามารถอธิบายได้อย่างชัดเจน


 


สุนัขดาวตกเพลิงเป็นเป้าหมายของสุนัขอินทรีย์ฝูงนี้ เมื่อสุนัขดาวตกเพลิงโตเต็มวัย สุดท้ายมันจะกลายเป็นสุนัขอินทรีย์ระดับสัตว์อสูรบรรพกาลในที่สุด


 


เหตุผลที่สุนัขดาวตกเพลิงมาอยู่ที่นี่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเพราะเจตจำนงสวรรค์


 


‘สุนัขอินทรีย์บรรพกาลสามตัว นอกนั้นเป็นสุนัขอินทรีย์เดียวดาย’ ฟางหยวนมองไปยังสุนัขอินทรีย์บรรพกาล


 


เขาไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายของวิญญาณอมตะจากพวกมัน


 


นี่ทำให้เขามีความมั่นใจมากขึ้น


 


การมีหรือไม่มีวิญญาณอมตะเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกใช้กลยุทธ์


 


“สุนัขอินทรีย์ถูกสังหารในการโจมตีเดียว…”


 


“มันยังไม่ตาย มันเพียงหมดสติ”


 


“กระบวนท่านี้คือสิ่งใด?”


 


“มันเหมือนกำปั้นยักษ์!”


 


ผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนตอบสนองด้วยความตกใจ


 


สุนัขอินทรีย์ตัวหนึ่งถูกจับโดยกำปั้นยักษ์ ท่าไม้ตายกำปั้นยักษ์หมื่นตัวตนเป็นท่าไม้ตายอมตะระดับเจ็ด เป็นธรรมดาที่มันจะสามารถจัดการสุนัขอินทรีย์เดียวดาย หากเป็นสุนัขอินทรีย์บรรพกาล ผลลัพธ์จะแตกต่างออกไป


 


ผมที่สิบสองไม่เคยเห็นฟางหยวนต่อสู้จริงจังมาก่อน


 


เขาคิดมาตลอดว่าความแข็งแกร่งของฟางหยวนคือสิ่งที่ฟางหยวนแสดงออกมาในช่วงเวลาของการสอน


 


ผมที่สิบสองสงบจิตใจลงและคิดกับตนเอง ‘ฟางหยวนเอาชนะสุนัขอินทรีย์ตัวหนึ่งและทำให้มันหมดสติแล้วอย่างไร? ยังเหลือสุนัขอินทรีย์อีกมาก! แม้เขาจะแข็งแกร่งเพียงใด เขาเพียงผู้เดียวจะทำสิ่งใดได้ เราควรล่าถอย อา…’


 


ขณะที่ผมที่สิบสองกำลังคิดถึงสิ่งนี้ เขากลับต้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ


 


การต่อสู้ระหว่างฟางหยวนกับสุนัขอินทรีย์สั้นมาก ในวินาทีแรกหลังจากสุนัขอินทรีย์ตัวแรกถูกจัดการ ฟางหยวนก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง


 


วิญญาณอมตะดาบทะลวงมิติ!


 


ฟางหยวนทิ้งภาพติดตามเอาไว้ข้างหลัง ภายในชั่วอึดใจเขาก็พุ่งเข้าสู่จุดศูนย์กลางของสนามรบ


 


“รวดเร็วนัก!” ผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนตกใจมาก


 


กระทั่งรูม่านตาของผมที่หกก็ยังหดเล็กลง เขากัดฟันแน่นและคาดเดาว่าฟางหยวนใช้วิญญาณอมตะดาบทะลวงมิติ สิ่งนี้เคยเป็นของโป้ชิงมาก่อน!


 


ฟางหยวนลอยอยู่กลางอากาศและมองลงไปยังสัตว์อสูรที่อยู่ด้านล่าง


 


นี่คือสุนัขอินทรย์บรรพกาล เมื่อมันปรากฎตัว มันล้มหมีเพชร ส่งพยัคฆ์ขาวลายทองบินกลับหลัง และจิกตากระทิงเกาลัดจนบอด


 


สุนัขอินทรีย์บรรพกาลตัวนี้กำลังกดหมีเพชรเอาไว้ใต้ฝ่าเท้าของมัน สุนัขดาวตกเพลิงวัยเยาว์ขดตัวด้วยร่างกายสั่นเทา


 


ฟางหยวนอยู่ห่างจากสุนัขอินทรีย์บรรพกาลตัวนี้น้อยกว่าหนึ่งร้อยก้าว


 


ภาพของกันและกันสะท้อนอยู่ในดวงตาของทั้งคู่


 


ฟางหยวนหายตัวไปอย่างกะทันหันก่อนจะปรากฏตัวขึ้นด้านหน้าสุนัขอินทรีย์บรรพกาลและทำให้มันถอยหลังกลับไปโดยไม่รู้ตัว


 


แต่ในไม่ช้าธรรมชาติที่ดุร้ายของมันก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง มันอ้าปากกว้างและกรีดร้องด้วยความโกรธเกรี้ยว ปีกของมันกระพือขึ้นและพุ่งเข้าโจมตีฟางหยวนอย่างดุร้าย


 


ฟางหยวนเผยรอยยิ้มเย้ยหยัน “สัตว์ร้าย นอนลง”


 


“บึม!”


 


กำปั้นยักษ์บนเส้นทางความแข็งแกร่งพุ่งลงมาจากอากาศและทุบสุนัขอินทรีย์บรรพกาลลงบนพื้น


 


แต่กำปั้นยักษ์ยังถูกผลักดันกลับจากการปะทะ


 


ในไม่ช้าภายใต้การควบคุมและเติมเต็มของฟางหยวน กำปั้นยักษ์ก็ผลักดันสุนัขอินทรีย์บรรพกาลลงไปราวกับพายุกรรโชกแรง


 


กำปั้นยักษ์กดศีรษะของมันลงขณะที่มันพยายามใช้เท้าทั้งสี่พยุงตัวเอง นี่ทำให้เกิดหลุดสี่หลุมขึ้นบนพื้น


 


กำปั้นยักษ์ถูกส่งขึ้นสู่อากาศในกระบวนการนี้ แต่ในวินาทีต่อมามันก็กระแทกลงไปอีกครั้ง


 


สุนัขอินทรีย์บรรพกาลปฏิเสธที่จะยอมรับความพ่ายแพ้และเงยหน้าขึ้น แต่ในวินาทีนี้กำปั้นยังก็พุ่งลงมาปิดบังวิสัยทัศน์ของมันเอาไว้ทั้งหมด


 


“บึม!”


 


เสียงระเบิดดังขึ้น ศีรษะของสุนัขอินทรีย์บรรพกาลกระแทกลงบนพื้นอย่างรุนแรง


 


จงอยปากของมันฝังลงไปในพื้นดิน


 


ขนของมันปลิวขึ้นสู่อากาศขณะที่ขาทั้งสี่จมอยู่ใต้ดินเช่นกัน


 


สุนัขอินทรีย์บรรพกาลโกรธมากกับความอัปยศครั้งนี้ มันตอบสนองด้วยการส่งพลังงานไปยังเท้าทั้งสี่และเงยศีรษะขึ้น


 


“บึม!”


 


อย่างไรก็ตามกำปั้นยักษ์ของฟางหยวนเร็วกว่า มันฟาดลงมาที่ศีรษะและแผ่นหลังของเป้าหมาย


 


เสียงกระดูกหักดังขึ้น สุนัขอินทรีย์บรรพกาลรู้สึกเวียนศีรษะอย่างรุนแรง ความแข็งแกร่งที่สะสมมาก่อนหน้าสูญสลายไปอย่างสิ้นเชิง


 


แต่ฟางหยวนยังไม่หยุด กำปั้นยักษ์ยังกระหน่ำทุบลงมาอย่างไม่หยุดยั้ง


 


ดินบริเวณรอบๆค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดขณะที่สุนัขอินทรีย์บรรพกาลถูกฝังเอาไว้ภายใน


 


ผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนรู้สึกพูดไม่ออกเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้


 


หลังจากกำจัดสุนัขอินทรีย์บรรพกาลตัวนี้ ฟางหยวนพุ่งไปยังฝูงสุนัขอินทรีย์โดยไม่กลัวความได้เปรียบเชิงปริมาณของศัตรู


 


เผชิญหน้ากับสุนัขอินทรีย์บรรพกาลอีกตัว ฟางหยวนส่งกำปั้นยักษ์สิบหรือมากกว่านั้นออกมาและฟาดมันราวกับแป้งขนมปังที่ถูกทุบ


 


ผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนไม่เคยเห็นการต่อสู้ที่น่ากลัวเช่นนี้มาก่อน พวกเขาต่างรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก


 


ในความเป็นจริงไม่เพียงผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนแต่สุนัขอินทรีย์ตัวอื่นก็รู้สึกมึนงงเช่นกัน


 


เมื่อพวกมันสามารถตอบสนอง ผู้นำของพวกมันก็ถูกกำจัดไปแล้ว


 


ความเงียบเข้าปกคลุมพื้นที่ ไม่มีแม้แต่เสียงลม


 


ภายใต้การจ้องมองของทุกคน ฟางหยวนค่อยๆเงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า


 


มีสุนัขอินทรีย์ไม่มากบินอยู่กลางอากาศ ท่ามกลางพวกมันมีสุนัขอินทรีย์บรรพกาลหนึ่งตัว


 


“ถึงเวลาของเจ้าแล้ว” เสียงของฟางหยวนดังขึ้นอย่างแผ่วเบาขณะที่เขาพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าในเวลาต่อมา


 


ฝูงสุนัขอินทรีย์กรีดร้องเสียงแหลมและบินหนีไปทุกทิศทาง


 


ผมที่สิบสองและกลุ่มผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนอ้าปากค้างขณะมองฟางหยวนขับไล่ฝูงสุนัขอินทรีย์ราวกับพวกมันเป็นนกกระจอกหรือนกพิราบ


 


พวกมันยังเป็นสุนัขอินทรีย์อยู่หรือไม่?


 


สัตว์อสูรบรรพกาลที่ยิ่งใหญ่หายไปที่ใด!?


 


ผมที่สิบสองรู้สึกราวกับอยู่ในความฝัน


 


การแสวงหาโชคลาภ หลีกเลี่ยงภัยพิบัติ ปกป้องตนเอง และไขว่คว้าชีวิตที่ยืนยาวคือสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด สัตว์ป่าจะผลักดันผู้อ่อนแอและหวาดกลัวผู้แข็งแกร่ง นี่ก็เป็นเรื่องปกติเช่นกัน


 


เมื่อฝูงสุนัขอินทรีย์กระจัดกระจายกันออกไป ฟางหยวนจึงไม่สามารถทำสิ่งใด


 


ในแง่ของความเร็ว สุนัขอินทรีย์มีความโดดเด่นไม่ว่าพวกมันจะอยู่ในระดับสัตว์อสูรเดียวดายหรือสัตว์อสูรบรรพกาล


 


สายตาของฟางหยวนอยู่ที่สุนัขอินทรีย์บรรพกาล


 


“เจ้าจะสามารถหลบหนีหรือไม่?” ฟางหยวนพึมพำขณะเร่งความเร็ว


 


เพียงไม่นานเขาก็ปรากฏตัวด้านหลังสุนัขอินทรีย์บรรพกาล


 


กำปั้นยักษ์หมื่นตัวตน!


 


กำปั้นยักษ์ที่พุ่งลงมาทำให้สุนัขอินทรีย์บรรพกาลตัวสั่น


 


วินาทีต่อมาผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนจึงเห็นสุนัขอินทรีย์บรรพกาลถูกฟางหยวนส่งลงจากท้องฟ้าและพุ่งกระแทกพื้นราวกับลูกบอล


 


วิญญาณอมตะดาบทะลวงมิติผสานงานกับกำปั้นยักษ์หมื่นตัวตน


 


กำปั้นยักษ์เคลื่อนที่ได้ช้ามาก หากใช้มันเพียงลำพัง สุนัขอินทรีย์อาจสามารถหลบหนี


 


แต่ฟางหยวนอาศัยความเร็วของวิญญาณอมตะดาบทะลวงมิติทำให้กำปั้นยักษ์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ


 


แน่นอนว่ากลยุทธ์นี้มีจุดอ่อน มันง่ายที่จะทำให้ฟางหยวนตกสู่สถานการณ์อันตราย


 


ดังนั้นฟางหยวนจึงกระตุ้นใช้งานท่าไม้ตายอมตะอาภรณ์โลหิตไว้ตั้งแต่แรก


 


นอกจากนี้ยังมีเงื่อนไขอีกประการหนึ่ง ฟางหยวนไม่รู้สึกถึงการคงอยู่ของวิญญาณอมตะจากฝูงสุนัขอินทรีย์เหล่านี้ หากพวกมันมีวิญญาณอมตะป่าและยังไม่ได้ตรวจสอบ ฟางหยวนจะไม่ใช้กลยุทธ์นี้


 


ต้นไม้ที่ไท่ชิวยังช่วยลดความเร็วในการเคลื่อนที่ของสุนัขอินทรีย์


 


แม้สุนัขอินทรีย์บรรพกาลจะถูกจำกัดความเร็ว แต่พวกมันก็ยังเป็นสัตว์อสูรบรรพกาล ฟางหยวนไม่สามารถสังหารพวกมันด้วยกำปั้นยักษ์เพียงไม่กี่กำปั้น


 


อย่างไรก็ตามขณะที่ฟางหยวนกำลังจะไล่ล่ามัน การแสดงออกของเขากลับเปลี่ยนแปลงไป


 


ภาพในดวงตาของเขาแสดงให้เห็นฉากเหตุการณ์ในอนาคตที่เขาถูกซุ่มโจมตีโดยสุนัขอินทรีย์บรรพกาลที่ซ่อนตัวอยู่


 


ในภาพเหตุการณ์ฟางหยวนถูกโจมตีโดยกรงเล็บของสุนัขอินทรีย์บรรพกาลและตกลงกระแทกพื้น เลือดไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ดของเขา กระดูกทั่วร่างแตกร้าว อาภรณ์โลหิตขาดสะบั้น กระทั่งวิญญาณอมตะสมบัติเลือดก็ไม่สามารถใช้งานได้อีก


 


ภาพนี้เกิดขึ้นเพียงเสี้ยวพริบตาอย่างกะทันหันแต่ฟาหงยวนเชื่อมันอย่างเต็มที่


 


เพราะนี่คือท่าไม้ตายอมตะที่เขากระตุ้นใช้งานเอาไว้ล่วงหน้า ท่าไม้ตายภาพอนาคตสามลมหายใจ!


 


มันเป็นท่าไม้ตายอมตะสายตรวจสอบบนเส้นทางแห่งกาลเวลาของไห่ฟานที่ใช้วิญญาณอมตะราชินีมดเป็นแกนกลางและอนุญาตให้ผู้อมตะมองเห็นสถานการณ์ในอนาคต มันคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นภายในสามลมหายใจหลังจากนั้น


 


ดวงตาของฟางหยวนส่องประกายขึ้นด้วยความพึงพอใจ


 


‘แผนการของเจตจำนงสวรรค์ไม่ใช่เรื่องง่าย มีการซุ่มโจมตีอยู่จริงๆ’


 


‘อาภรณ์โลหิตเป็นท่าไม้ตายอมตะสายป้องกัน แต่แกนกลางของมันเป็นเพียงวิญญาณอมตะระดับหก มันจะอ่อนแอมากต่อหน้าสัตว์อสูรบรรพกาล’


 


เมื่อเขาตระหนักถึงแผนการนี้ การซุ่มโจมตีจึงกลายเป็นไร้ประโยชน์


 


ดาบประหารชีวิต!


 


ฟางหยวนยิงแสงดาบออกไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง


 


ผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนรู้สึกสับสนกับการกระทำของฟางหยวน


 


“ฉัวะ!”


 


สุนัขอินทรีย์บรรพกาลถูกโจมตี


 


ผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนตะโกนด้วยความตกใจ


 


“มีสุนัขอินทรีย์บรรพกาลอีกตัวซ่อนอยู่!”


 


“หากมันลอบโจมตีพวกเรา พวกเราคงตายไปแล้ว”


 


“ฟางหยวนค้นพบมันได้จริงๆ”


 


ฟางหยวนยกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นสุนัขอินทรีย์บรรพกาลตัวนี้ไม่ได้รับความเสียหาย


 


‘มันสามารถป้องกันท่าไม้ตายอมตะดาบประหารชีวิต ดูเหมือนมันจะมีวิญญาณอมตะป่าอยู่ในการครอบครอง’


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1137 ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง


แปลโดย iPAT 


 


สุนัขอินทรีย์บรรพกาลตัวนี้มีวิญญาณอมตะอยู่ในการครอบครอง มิฉะนั้นมันจะป้องกันท่าไม้ตายอมตะดาบประหารชีวิตได้อย่างไร?


 


หัวใจของฟางหยวนลุกไหม้ขึ้นด้วยเจตจำนงแห่งการต่อสู้


 


เวลาเปลี่ยนไป


 


หากเป็นก่อนที่ฟางหยวนจะได้รับมรดกที่แท้จริงของไห่ฟาน เขาจะหลีกเลี่ยงฝูงสุนัขอินทรีย์เหล่านี้ แต่ตอนนี้ด้วยความแข็งแกร่งที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว มันทำให้ความคิดของเขาเปลี่ยนแปลงไป


 


เขาตั้งใจจัดการสุนัขอินทรีย์ทั้งหมด!


 


‘มิติช่องว่างจักรพรรดิของข้าใหญ่มาก’ ริมฝีปากของฟาหงยวนยกตัวขึ้น


 


‘สำหรับวิญญาณอมตะของสุนัขอินทรีย์บรรพกาลตัวนี้ ข้าจะเก็บมันไว้เช่นกัน สามารถต่อต้านท่าไม้ตายอมตะดาบประหารชีวิต ให้ข้าดูว่ามันเป็นวิญญาณอมตะสายป้องกันชนิดใด’


 


ฟางหยวนวางกลยุทธ์การต่อสู้ทันที


 


ท่าไม้ตายบนเส้นทางแห่งเลือดไม่เหมาะสมที่จะใช้ต่อหน้ากลุ่มผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขน


 


พวกเขาสามารถเชื่อมต่อกับสวรรค์สีเหลืองและสามารถเรียนรู้ความน่ากลัวของเส้นทางแห่งเลือด พวกเขาไม่เหมือนผู้อมตะที่โง่เขลาในถ้ำสวรรค์ไห่ฟาน


 


แม้ฟางหยวนจะสามารถใช้ท่าไม้ตายอมตะของไห่ฟาน แต่เขาก็ต้องรอบคอบ สิ่งสำคัญก็คือเขายังไม่ได้ฝึกฝนจนมีความชำนาญที่มากพอ หากล้มเหลว เขาจะได้รับผลกระทบย้อนกลับ


 


ดังนั้นฟางหยวนจึงเลือกวิธีที่เขาถนัดที่สุด


 


ท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งทาสและความแข็งแกร่ง หมื่นตัวตน!


 


ในเวลาต่อมาภูตมนุษย์จำนวนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า


 


“อา…” กลุ่มผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนรู้สึกพูดไม่ออก


 


ผมที่หกแสดงออกด้วยความตกตะลึงแต่ภายในเขาไม่แปลกใจ


 


เขารู้เกี่ยวกับท่าไม้ตายอมตะหมื่นตัวตนมานานแล้ว


 


แต่ในไม่ช้ารูม่านตาของผมที่หกก็หดเล็กลง เขาอุทาน “เขา…เขาหายไป!?”


 


ในการรับรู้ของผมที่หก ฟางหยวนหายตัวไปอย่างสมบูรณ์


 


ฟางหยวนใช้ท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคยซ่อนตัวอยู่ในกองทัพภูตมนุษย์


 


“ไป!”


 


กองทัพภูตมนุษย์ตะโกนและพุ่งเข้าไปหาสุนัขอินทรีย์บรรพกาลราวกับสายฝน


 


ดวงตาของสุนัขอินทรีย์บรรพกาลส่องประกายขึ้น มันกระพือปีกทำให้เกิดเป็นเงาสีดำเป็นชั้นๆ


 


ความเร็วของมันเพิ่มสูงขึ้นอย่างกะทันหัน มันตั้งใจล่าถอย!


 


การเคลื่อนไหวนี้อยู่ในการคาดเดาของฟางหยวน


 


เห็นได้ชัดว่าสุนัขอินทรีย์บรรพกาลตัวนี้มีวิญญาณอมตะดวงที่สอง เงาดำเกิดจากพลังอำนาจของวิญญาณอมตะ


 


‘มีวิญญาณอมตะอีกดวง!’ ความปรารถนาของฟางหยวนทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น


 


เขาสั่งให้กองทัพภูตมนุษย์ไล่ล่าสุนัขอินทรีย์บรรพกาลต่อไป


 


กองทัพภูตมนุษย์กระจายออกไปราวกับดอกไม้บานและเข้าปิดล้อมสุนัขอินทรีย์บรรพกาลเอาไว้


 


สุนัขอินทรีย์บรรพกาลกรีดร้องและพยายามล่าถอยอีกครั้ง


 


ฟางหยวนคำนวณเส้นทางการล่าถอยของมันเอาไว้แล้ว ดังนั้นกองทัพภูตมนุษย์จึงพุ่งไปข้างหน้าราวกับมังกรวารีสะบัดหาง


 


สุนัขอินทรีย์บรรพกาลที่ต้องการล่าถอยบิดตัวไปทางขวาอย่างกะทันหัน ปีกของมันดึงร่างกายพุ่งเป็นเส้นโค้งและสามารถหลบหนีจากกองทัพภูตมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์


 


กลุ่มผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนรู้สึกกระวนกระวายเมื่อเห็นการเคลื่อนไหวทั้งหมด


 


เปรียบเทียบกับสุนัขอินทรีย์บรรพกาล พวกเขาต้องการให้ฟางหยวนได้รับชัยชนะโดยธรรมชาติ


 


แต่สุนัขอินทรีย์บรรพกาลตัวนี้มีไหวพริบมาก มันสามารถหลบหนีจากการปิดล้อมของฟางหยวนได้หลายครั้ง


 


“ความเร็วของสุนัขอินทรีย์บรรพกาลตัวนี้สูงกว่าฟางหยวนมาก แล้วพวกเขาจะตามทันได้อย่างไร?” ผมที่สิบสองสังเกตและรู้สึกหดหู่ใจ


 


อย่างไรก็ตามดวงตาของผมที่หกกลับส่องประกายขึ้น ‘ความสำเร็จบนเส้นทางแห่งทาสของฟางหยวนดูเหมือนจะพัฒนาขึ้นเล็กน้อย มันกำลังจะจบลงในไม่ช้า! สุนัขอินทรีย์บรรพกาลตัวนี้อาจมีความเร็ว แต่มันทำได้เพียงบินไปรอบๆสนามรบ อีกไม่นานมันจะถูกจับโดยฟางหยวน’


 


สนามรบอยู่บนท้องฟ้า


 


สุนัขอินทรีย์ทั้งหมดบินขึ้นมาและต่อสู้กับกองทัพภูตมนุษย์


 


ฟางหยวนให้ความสำคัญกับสุนัขอินทรีย์บรรพกาลเท่านั้น


 


‘มีบางอย่างแปลกๆเกี่ยวกับสุนัขอินทรีย์บรรพกาลตัวนี้!’


 


ฟางหยวนสามารถจัดการสุนัขอินทรีย์บรรพกาลตัวอื่นได้อย่างง่ายดาย เขาใช้กำปั้นหมื่นตัวตนเพียงไม่กี่กำปั้นก็สามารถจับกุมพวกมัน มีเพียงสุนัขอินทรีย์บรรพกาลตัวนี้เท่านั้นที่ค่อนข้างเจ้าเล่ห์และสามารถมองทะลุแผนการของเขา มันยังสามารถล่าถอยและโจมตีได้ในเวลาที่เหมาะสม


 


ในที่สุดฟางหยวนก็ประสบความสำเร็จในการปิดล้อมสุนัขอินทรีย์บรรพกาลตัวนี้


 


“เขาปิดล้อมมันได้จริงๆ!” ผมที่สิบสองตะโกนด้วยความยินดี


 


สุนัขอินทรีย์บรรพกาลส่งเสียงกรีดร้องขณะกระพือปีกและกวักแกว่งกรงเล็บออกไปทุกทิศทางเพื่อโจมตีภูตมนุษย์จำนวนมาก


 


ภายในเวลาไม่กี่นาทีสถานการณ์ของสุนัขอินทรีย์บรรพกาลก็เริ่มดีขึ้น มันกำลังจะฝ่าวงล้อมออกไป


 


แต่สิ่งนี้ไม่สำคัญ


 


เนื่องจากร่างจริงของฟางหยวนลอบเข้าประชิดตัวมันแล้ว


 


เมื่อเขาเข้าใกล้มันมากพอ เขากระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะลอบสังหารในความมืดทันที


 


ความพิเศษของท่าไม้ตายนี้คือกลิ่นอายของวิญญาณอมตะจะไม่รั่วไหลออกมาเมื่อกระตุ้นใช้งาน


 


สุนัขอินทรีย์บรรพกาลกรีดร้องอย่างน่าสังเวชเมื่อมันถูกลอบโจมตี


 


เกิดรูปรากฏขึ้นบนลำคอของมันและมีเลือดพุ่งออกมาราวกับน้ำพุ


 


แต่ในพริบตาเลือดก็หยุดลง บาดแผลของมันได้รับการเยียวยาและหายเป็นปกติ


 


ร่างกายของสุนัขอินทรีย์บรรพกาลถูกปกคลุมด้วยเงาสีดำอีกครั้ง นี่ทำให้ความเร็วของมันเพิ่มขึ้นหลายเท่า มันพุ่งเข้าโจมตีศัตรูอย่างดุเดือดด้วยปีกและกรงเล็บ


 


“บึม!”


 


ภูตมนุษย์จำนวนมากถูกทำลายโดยไม่สามารถต่อต้าน


 


กระทั่งร่างจริงของฟางหยวนยังถูกส่งลอยกลับหลัง


 


แต่ด้วยอาภรณ์เลือด เขาจึงไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก


 


“นี่เป็นไปได้อย่างไร?”


 


“มีกลิ่นอายของวิญญาณอมตะจำนวนมากรั่วไหลออกมาจากสุนัขอินทรีย์บรรพกาลตัวนี้!”


 


ผมที่สิบสองและคนอื่นๆอุทานด้วยความตกใจ


 


ดวงตาของผมที่หกเบิกกว้างขึ้นเช่นกัน  เขากล่าวด้วยความไม่อยากจะเชื่อ “เป็นไปไม่ได้! มันสามารถใช่ท่าไม้ตายอมตะงั้นหรือ?”


 


พลังอำนาจชนิดนี้และกลิ่นอายของวิญญาณอมตะจำนวนมากบ่งบอกว่าสุนัขอินทรีย์บรรพกาลตัวนี้สามารถใช้ท่าไม้ตายอมตะ


 


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิ่งนี้ขัดต่อหลักการทั่วไปของโลกผู้อมตะ


 


สัตว์อสูรมีสติปัญญาเพียงพอที่จะกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะ!


 


ฟางหยวนถูกส่งลอยกลับหลัง แม้เขาจะหลีกเลี่ยงการโจมตีโดยตรง แต่เขายังได้รับผลกระทบ


 


เขามองสุนัขอินทรีย์บรรพกาลด้วยดวงตาส่องประกาย ‘เป็นเช่นนี้ ไม่แปลกใจเลยที่ข้ารู้สึกแปลกๆ สุนัขอินทรีย์บรรพกาลตัวนี้คือผู้มอตะ!’


 


เป็นไปไม่ได้ที่สัตว์ป่าจะมีความฉลาดถึงระดับที่สามารถใช้ท่าไม้ตายอมตะ!


 


ผมที่หกไม่ตระหนักถึงสิ่งนี้เพราะเขาไม่ได้บ่มเพาะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง


 


ฟางหยวนมีความสำเร็จบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นเขาจึงสามารถคาดเดา


 


ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงบางคนเปลี่ยนร่างเป็นสุนัขอินทรีย์บรรพกาล แต่เนื่องจากเขาเปลี่ยนร่างบ่อยเกินไปหรือนานเกินไป สุดท้ายเขาจึงไม่สามารถย้อนกลับสู่ร่างมนุษย์และกลายเป็นสุนัขอินทรีย์บรรพกาลที่แท้จริง


 


เช่นเดียวกับการหลอมรวมวิญญาณ ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงเมื่อพวกเขาเปลี่ยนร่างเป็นสิ่งอื่น


 


ในประวัติศาสตร์กรณีนี้ไม่ใช่เรื่องหายาก


 


การต่อสู้นี้เป็นการพิสูจน์การคาดเดาของฟางหยวน


 


สุนัขอินทรีย์บรรพกาลยังมีสัญชาตญาณในการต่อสู้ของผู้อมตะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง นี่ทำให้มันมีไหวพริบและสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างเหมาะสม


 


แต่สุดท้ายมันก็ไม่ใช่ผู้อมตะ มันไม่มีสติปัญญาของมนุษย์ที่แท้จริง มันไม่สามารถทำความเข้าใจการต่อสู้และไม่สามารถใช้กลยุทธ์ที่ซับซ้อน


 


เมื่อมันต่อสู้ มันจะใช้วิญญาณอมตะเป็นหลัก เมื่อมันตกสู่สถานการณ์แห่งชีวิตและความตาย สัญชาตญาณของมันจะกระตุ้นให้มันใช้ท่าไม้ตายอมตะออกมาโดยไม่รู้ตัว


 


ก่อนหน้านี้ฟางหยวนเคยใช้ท่าไม้ตายอมตะลอบสังหารในความมืดเพื่อแทงทะลุศีรษะของมัน แต่ในช่วงเวลาสำคัญมันสามารถหลบและเลี่ยงการโจมตีไปที่ลำคอ!


 


เงาสีดำที่ปะทุออกมาจากร่างของสุนัขอินทรีย์บรรพกาลส่งฟางหยวนบินกลับหลัง นี่คือท่าไม้ตายอมตะเช่นกัน


 


การต่อสู้เข้าสู่ทางตันเมื่อมาถึงจุดนี้


 


หากเป็นสุนัขอินทรีย์บรรพกาลทั่วไป ฟางหยวนจะจับพวกมันทั้งหมด แต่นี่เป็นสถานการณ์ที่แตกต่าง สุนัขอินทรีย์บรรพกาลตัวนี้มีปัญหา


 


เมื่อใดก็ตามที่ฟางหยวนลอบโจมตีสุนัขอินทรีย์บรรพกาล มันสามารถเลี่ยงจุดตาย สิ่งนี้อาจเกิดขึ้นเพราะประสบการณ์ของผู้อมตะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง นอกจากนั้นมีความเป็นไปได้สูงมากที่มันจะได้รับความช่วยเหลือจากเจตจำนงสวรรค์


 


เดิมทีฟางหยวนตั้งใจจบการต่อสู้อย่างรวดเร็ว แต่แผนการนี้กลับถูกขัดขวาง


 


เสียงดังขึ้นอย่างไม่หยุดยั้งขณะที่ภูตมนุษย์ถูกทำลายลงอย่างต่อเนื่อง


 


แต่การเติมเต็มของฟางหยวนทำให้กองทัพภูตมนุษย์ยังไม่ลดลง


 


คุณภาพของพวกมันอาจไม่เท่ากัน แต่ในแง่ของปริมาณ ฟางหยวนถือว่าได้เปรียบ


 


สุนัขอินทรีย์บรรพกาลถูกโจมตีและร่วงลงมากระแทกพื้นเป็นครั้งคราว


 


“ฟางหยวน…ผู้อาวุโสฟางหยวนเป็นฝ่ายได้เปรียบในการต่อสู้ครั้งนี้!”


 


“แข็งแกร่งนัก!”


 


“ผู้อาวุโสฟางหยวนทรงพลังจริงๆ!”


 


ผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนที่ถอยออกจากสนามรบไปแล้วเริ่มกล่าวถึงฟางหยวนในฐานะผู้อาวุโสโดยไม่รู้ตัว


 


การแสดงออกของผมที่สิบสองเต็มไปด้วยความตกใจและขมขื่น


 


ในความเป็นจริงเขายิ่งเข้าใจมากกว่าคนอื่นๆ


 


ความสำเร็จบนเส้นทางแห่งทาสของฟางหยวนอนุญาตให้เขาควบคุมกองทัพภูตมนุษย์จำนวนมหาศาล นี่ทำให้ผมที่สิบสองรู้สึกถึงเงามืดขนาดใหญ่ที่กดทับลงมา


 


ตั้งแต่ต้นจนจบฟางหยวนเป็นฝ่ายได้เปรียบตลอดมา สุนัขอินทรีย์บรรพกาลไม่สามารถทำสิ่งใดเขาได้


 


‘เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็ควรเปลี่ยนกลยุทธ์การต่อสู้’ ร่างจริงของฟางหยวนหยุดโจมตีและถอยกลับไป


 


เขารวบรวมสมาธิเพื่อกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะอีกท่าหนึ่ง


 


เดิมทีเขาได้รับการปกป้องโดยอาภรณ์โลหิต ใบหน้าที่คุ้นเคย และภาพอนาคตสามลมหายใจ เขาลอยอยู่กลางอากาศและกระตุ้นใช้วิญญาณ บางครั้งก็เติมเต็มกองทัพภูตมนุษย์ สิ่งเหล่านี้อยู่ในการควบคุมของเขาทั้งหมด


 


อย่างไรก็ตามท่าไม้ตายอมตะที่เขากำลังจะกระตุ้นใช้งานมีความซับซ้อนขณะที่เขายังไม่ได้ฝึกฝนมันจนเกิดความชำนาญ ดังนั้นเขาจึงต้องหยุดโจมตีและย้ายไปอยู่ในตำแหน่งที่ปลอดภัยกว่าเพื่อรวบรวมสมาธิและกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายนี้


 


วิญญาณปีอมตะถูกกระตุ้นการทำงานตามมาด้วยวิญญาณระดับมนุษย์อีกจำนวนหนึ่ง


 


ท่าไม้ตายอมตะ อัญเชิญอสูรปี!


 


‘ออกมา อสูรปีบรรพกาลของข้า!’


 


“ครืน…ครืน…”


 


กลางอากาศ สายธารแห่งกาลเวลาปรากฏขึ้น


 


ท่ามกลางคลื่นน้ำที่ซัดสาดอย่างไม่หยุดยั้ง ร่างหนึ่งกระโดดออกมา


 


อสูรปีเข้าสู่สนามรบ!


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1138 จุดจบของการต่อสู้


แปลโดย iPAT 


 


“มันคือสิ่งใด?”


 


“ไก่ยักษ์!?”


 


เมื่อเห็นสัตว์ปีกตัวนี้เข้าสู่สนามรบ กลุ่มผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนรู้สึกตกใจ


 


‘ตามคำอธิบายของไห่ฟาน อสูรปีมีอยู่สิบสองรูปแบบ ข้าโชคดีที่สามารถอัญเชิญอสูรปีไก่ออกมาได้’ ฟางหยวนมองอสูรปีและลอบประเมินอยู่ภายใน


 


อสูรปีตัวนี้มีร่างกายใหญ่โตราวกับเนินเขา


 


เมื่อมันกางปีกออก มันจะสร้างเงาขนาดใหญ่ลงบนพื้น


 


มันทั้งกล้าหาญ มีชีวิตชีวา และเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงาน ขนของมันมีสีสันสดใสขณะที่กรงเล็บแหลมคมราวกับใบมีด


 


มันกวาดตามองไปรอบๆสนามรบก่อนจะหยุดสายตาที่ฟางหยวน


 


ไม่มีผู้ใดที่มันให้ความสนใจมากไปกว่าเขาเพราะมันได้กลิ่นของวิญญาณปีจากฟางหยวน


 


วิญญาณปี!


 


นี่คืออาหารของอสูรปี ยิ่งวิญญาณปีระดับสูงเท่าใด มันก็ยิ่งน่าหลงใหลสำหรับอสูรปีมากเท่านั้น


 


ท่าไม้ตายอมตะอัญเชิญอสูรปีของไห่ฟานได้รับแรงบันดาลใจมาจากทฤษฎีนี้ ไห่ฟานสร้างท่าไม้ตายนี้ขึ้นมาก่อนที่เขาจะหลอมรวมวิญญาณอมตะปีไหลผ่านราวกับสายน้ำ


 


“นี่เป็นของเจ้า” ฟางหยวนหัวเราะเบาๆและโยนวิญญาณปีระดับมนุษย์จำนวนมากออกไป


 


อสูรปีไก่เงยหน้าขึ้นและกลืนกินวิญญาณปีเข้าไปอย่างมีความสุข


 


“ฆ่ามันแล้วข้าจะให้เจ้ามากกว่านี้” ฟางหยวนชี้นิ้วไปที่สุนัขอินทรีย์บรรพกาล


 


ดวงตาของอสูรปีไก่ส่องประกายขึ้นก่อนที่มันจะหันหน้าไปหาเป้าหมายอย่างรวดเร็ว


 


สุนัขอินทรีย์บรรพกาลรู้สึกขนลุกชันไปทั้งร่าง มันรู้สึกถึงภัยคุกคามร้ายแรงจากอสูรปีไก่ตัวนี้


 


แม้สุนัขอินทรีย์บรรพกาลจะยืนสองขาเหมือนมนุษย์ แต่ความสูงของมันก็ยังไม่ถึงครึ่งของอสูรปีไก่


 


“ฟิ้ว…”


 


อสูรปีไก่กระพือปีกทะยานร่างเข้าโจมตีเป้าหมาย ความเร็วของมันกระทั่งเหนือกว่าสุนัขอินทรีย์บรรพกาล


 


“บึม!”


 


ทั้งสองปะทะกันอย่างดุเดือด อสูรปีไก่ก้าวถอยหลังกลับไปเจ็ดถึงแปดเก้าขณะที่สุนัขอินทรีย์บรรพกาลถูกส่งลอยกลับหลัง


 


อสูรปีไก่กรีดร้องเสียงแหลมขณะที่มันไล่ตามสุนัขอินทรีย์บรรพกาล


 


แต่สุนัขอินทรีย์บรรพกาลเจ้าเล่ห์มาก หลังจากตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ มันไม่กล้าเผชิญหน้าโดยตรงกับอสูรปีไก่อีก มันใช้วิธีเคลื่อนที่ไปทางซ้ายและขวาเพื่อหลบการโจมตีของศัตรู


 


ฟางหยวนมองเหตุการณ์ทั้งหมดและรู้สึกผ่อนคลายลง


 


อสูรปีไก่ตัวนี้ไม่มีวิญญาณอมตะป่าในการครอบครองแต่ลักษณะทางกายภาพของมันยังแข็งแกร่งกว่าสุนัขอินทรีย์บรรพกาลเป็นอย่างมาก


 


หลังจากทั้งหมดกระทั่งในสายธารแห่งกาลเวลา อสูรปีก็ยังเป็นสัตว์อสูรที่หาได้ยาก!


 


แน่นอนว่าหากสุนัขอินทรีย์บรรพกาลกระตุ้นใช้งานวิญญาณอมตะ อสูรปีไก่จะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ หากถูกโจมตีด้วยท่าไม้ตายอมตะอย่างต่อเนื่อง อสูรปีไก่อาจพ่ายแพ้ได้เช่นกัน


 


‘ไห่ฟานเตือนไว้ว่าอสูรปีที่อัญเชิญมาไม่ใช่ทาสและผู้อัญเชิญไม่มีอำนาจควบคุมมันมากนัก หากศัตรูแข็งแกร่งเกินไป มันจะไม่ต่อสู้และอาจล่าถอยกลับไปยังสายธารแห่งกาลเวลาอย่างรวดเร็ว’


 


เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฟางหยวนรู้ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มาก


 


อย่างไรก็ตามอสูรปีไม่ใช่อาวุธหลักของฟางหยวนเพราะเขาแทบไม่สามรถควบคุมมัน


 


ร่างจริงของฟางหยวนซ่อนตัวอยู่ในกองทัพภูตมนุษย์และลอบเคลื่อนที่เข้าไปหาสุนัขอินทรีย์เดียวดายอย่างลับๆ


 


ฝูงสุนัขอินทรีย์เดียวดายยังต่อสู้กับภูตมนุษย์อยู่กลางอากาศ


 


แม้กองทัพภูตมนุษย์จะได้เปรียบในแง่ของปริมาณ แต่พวกมันค่อนข้างอ่อนแอ เห็นได้ชัดว่าเมื่อพวกมันเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรเดียวดายหรือสัตว์อสูรบรรพกาล พวกมันทำได้เพียงก่อกวนและไม่เปิดโอกาสให้ฝ่ายตรงข้ามใช้ท่าไม้ตายที่ทรงพลังเท่านั้น


 


กำปั้นยักษ์หมื่นตัวตน!


 


ฟางหยวนส่งกำปั้นยักษ์ออกมาอย่างกะทันหัน


 


สุนัขอินทรีย์เดียวดายที่ไม่ได้เตรียมตัวป้องกันถูกฟาดด้วยฝ่ามือขนาดใหญ่ มันกรีดร้องอย่างน่าสังเวชก่อนจะเป็นลมสลบไปในที่สุด


 


กำปั้นยักษ์หมื่นตัวตนอีกหนึ่งรออยู่แล้ว


 


ด้วยความร่วมมือระหว่างสองกำปั้น พวกมันจับกุมสุนัขอินทรีย์เดียวดายที่หมดสติเอาไว้และค่อยๆบินลงบนพื้น


 


ฟางหยวนหายตัวไปอีกครั้งก่อนจะปรากฏตัวขึ้นอีกตำแหน่ง ด้วยการใช้กำปั้นยักษ์หมื่นตัวตน สุนัขอินทรีย์เดียวดายก็หมดสติไปอีกตัว


 


จากนั้นเขาก็ทำเช่นเดียวกับก่อนหน้าและวางสุนัขอินทรีย์เดียวดายลงบนพื้นข้างๆสุนัขอินทรีย์เดียวดายตัวก่อนหน้า


 


กลุ่มผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนรู้สึกพูดไม่ออก


 


“ผู้อาวุโสฟางหยวนดูเหมือนจะ…”


 


“ถูกต้อง เขาตั้งใจจับสุนัขอินทรีย์เหล่านี้อย่างมีชีวิต!”


 


“เขาช่างกล้าหาญและแข็งแกร่งนัก!”


 


กลุ่มผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนถอนหายใจ สุนัขอินทรีย์เหล่านี้เป็นศัตรูตัวฉกาจสำหรับพวกเขา แต่พวกมันกลับไม่ใช่สิ่งใดนอกจากความมั่งคั่งในสายตาของฟางหยวน


 


หลังจากชั่วครู่ร่างของสุนัขอินทรีย์เดียวดายจำนวนมากก็ถูกกองรวมกันไว้บนพื้นจนดูราวกับภูเขา


 


สุนัขอินทรีย์บรรพกาลเห็นฉากนี้และกรีดร้องออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว แต่มันถูกตรึงไว้โดยอสูรปีไก่และไม่สามารถให้ความช่วยเหลือสหาย


 


อสูรปีไก่อยู่ในสภาพที่น่าอนาถเล็กน้อย ร่างกายของมันเต็มไปด้วยบาดแผลขณะที่มันเริ่มต้องการล่าถอย


 


ท้ายที่สุดไห่ฟานก็เป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งกาลเวลา เขาไม่ใช่ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งทาสที่แท้จริง เพียงคิดค้นท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งกาลเวลาที่สามารถเลียนแบบท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งทาสก็ถือว่าน่าทึ่งมากแล้ว


 


‘ดูเหมือนการอัญเชิญอสูรปีเหมาะสมที่จะใช้ในการต่อสู้ในสถานการณ์ที่ค่อนข้างดี ในสถานการณ์เสียเปรียบ ผลลัพธ์ของมันจะไม่โดดเด่นนัก’ ฟางหยวนสลักข้อมูลนี้เอาไว้ในใจ เพียงเมื่อผู้อมตะใช้ท่าไม้ตายอมตะในการต่อสู้จริง พวกเขาจึงจะได้รับประสบการณ์ที่ลึกซึ้ง


 


ตั้งแต่ต้นจนจบฟางหยวนให้ความสนใจการต่อสู้ระหว่างอสูรปีไก่กับสุนัขอินทรีย์บรรพากลมาโดยตลอด


 


ก่อนที่อสูรปีไก่จะล่าถอย ฟางหยวนต้องจัดการสุนัขอินทรีย์เดียวดายที่เหลือทั้งหมด


 


มีสุนัขอินทรีย์เดียวดายหมดสติอยู่บนพื้นแปดตัว ส่วนที่เหลือตายขณะถูกโจมตี


 


“ตาย!”


 


ฟางหยวนบินขึ้นไปบนท้องฟ้าและสั่งให้อสูรปีไก่ล่าถอยไปปกป้องฝูงสุนัขอินทรีย์เดียวดายที่หมดสติอยู่บนพื้น


 


เจตจำนงแห่งการต่อสู้ของอสูรปีไก่อยู่ในจุดต่ำมากอยู่แล้ว เมื่อมันได้รับคำสั่งของฟางหยวน มันค่อยๆล่าถอยออกไปอย่างเงียบๆ แต่มันยังเปิดจงอยปากและมองไปที่ฟางหยวน


 


ฟางหยวนเข้าใจความหมายของมันและโยนวิญญาณปีจำนวนมากออกไปทันที


 


เมื่ออสูรปีไก่ได้รับอาหาร มันจึงหันหลังกลับและเคลื่อนที่ลงสู่พื้นเพื่อปกป้องฝูงสุนัขอินทรีย์เดียวดายที่หมดสติ


 


ฟางหยวนต่อสู้กับสุนัขอินทรีย์บรรพกาลอีกครั้ง


 


แต่ครั้งนี้แตกต่างจากก่อนหน้า


 


สุนัขอินทรีย์บรรพกาลกำลังกระวนกระวานและต้องการช่วยเหลือสหาย


 


‘น่าเสียดายที่ผู้อมตะที่ยิ่งใหญ่กลับจบลงในสภาพนี้!’ ฟางหยวนรู้สึกผ่อนคลายกว่าก่อนหน้า


 


สุนัขอินทรีย์บรรพกาลบินอย่างรวดเร็ว ในช่วงเวลาสำคัญมันยังสามารถกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะ


 


ฟางหยวนเปลี่ยนกลยุทธ์


 


ก่อนหน้านี้เขาพุ่งเข้าหาศัตรูและใช้กำปั้นยักษ์ในการโจมตี วิธีนี้เสี่ยงเกินไป อาภรณ์โลหิตไม่มีสิ่งใดโดดเด่นต่อหน้าสุนัขอินทรีย์บรรพกาลตัวนี้


 


ฟางหยวนเริ่มใช้ท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งดาบโจมตีสุนัขอินทรีย์บรรพกาลจากระยะไกล


 


แต่วิธีการป้องกันของสุนัขอินทรีย์บรรพกาลโดดเด่นมาก ฟางหยวนไม่รู้ว่ามันคือวิญญาณอมตะดวงใด เขาคาดเดาว่าผู้อมตะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงผู้นี้ตั้งใจเสริมความแข็งแกร่งในด้านนี้เพื่อปิดจุดอ่อนของตน


 


การต่อสู้ดำเนินมาอย่างยาวนานแต่ยังไม่ปรากฏผลลัพธ์


 


อาการบาดเจ็บของสุนัขอินทรีย์บรรพกาลค่อยๆเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ


 


‘นี่ค่อนข้างลำบาก ความเร็วของกำปั้นยักษ์ต่ำมาก มันไม่เหมือนท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งดาบ แต่ท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งดาบใช้ไม่ได้กับมัน สำหรับท่าไม้ตายบนเส้นทางแห่งพิษ สุนัขอินทรีย์บรรพกาลก็มีความสามารถในการต่อต้านพิษที่ดีมาก’


 


ฟางหยวนรู้สึกถึงความยากลำบาก


 


สุนัขอินทรีย์บรรพกาลตัวนี้มีสัญชาตญาณของสัตว์ป่าและยังมีสัญชาตญาณการต่อสู้ที่เหลืออยู่ของผู้อมตะ นี่เป็นศัตรูที่รับมือได้ยาก


 


เผชิญหน้ากับมัน ฟางหยวนรู้สึกว่าตนเองไม่มีสิ่งใดโดดเด่น


 


สุนัขอินทรีย์บรรพกาลมีความเร็วสูงมาก มันสามารถแข่งขันกับวิญญาณอมตะดาบทะลวงมิติโดยยังไม่ต้องกล่าวถึงวิญญาณอมตะดวงอื่นๆในการครอบครองของมัน


 


กล่าวได้ว่าตอนนี้ฟางหยวนอยู่ในการแข่งขันความอดทน


 


เมื่อสุนัขอินทรีย์บรรพกาลตัวนี้ใช้พลังงานอมตะจนหมดและไม่สามารถกระตุ้นใช้งานวิญญาณอมตะได้อีก นั่นจะเป็นชัยชนะของฟางหยวน


 


อีกกรณีหนึ่งเมื่ออาการบาดเจ็บของมันเพิ่มขึ้นถึงระดับหนึ่งและทำให้มันเปิดช่องว่าง ฟางหยวนจะฉวยโอกาสจัดการมัน


 


ฟางหยวนรู้สึกหมดสิ้นหนทางแต่ผู้ชมไม่มีความรู้สึกนี้


 


ผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนจ้องมองด้วยสายตาที่ว่างเปล่า


 


ในของโลกผู้อมตะ สิ่งสำคัญที่สุดคือความแข็งแกร่ง


 


ความแข็งแกร่งของฟางหยวนทำให้ผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนทั้งหมดตกใจ


 


กระทั่งผมที่หกก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น


 


‘เจ้าหมอนี่เขาเพิ่มพลังการต่อสู้ถึงระดับนี้ได้อย่างไร? เขาสามารถเรียกอสูรปีออกมาได้อย่างไร? เขามีวิธีนี้ได้อย่างไร? เขาออกไปเพียงช่วงเวลาสั้นๆ!’


 


ผมที่หกรู้สึกหนักอึ้งอยู่ในหัวใจ


 


ความเร็วในการเติบโตของฟางหยวนทำให้เขารู้สึกราวกับหายใจไม่ออก


 


หลังจากต่อสู้อย่างยาวนาน สุนัขอินทรีย์บรรพกาลก็เริ่มล่าถอย


 


‘หือ…เจ้าต้องการหลบหนีงั้นหรือ!?’ ฟางหยวนคิดก่อนจะไล่ล่าอย่างรวดเร็ว


 


อาการบาดเจ็บของสุนัขอินทรีย์สะสมมาถึงจุดที่ทำให้ความกล้าหาญของมันสูญสิ้น ความเร็วและพลังการต่อสู้ของมันลดลงอย่างเห็นได้ชัด


 


ไม่ว่าผู้อมตะจะมีความสามารถเพียงใด แต่สัญชาตญาณของสัตว์ป่ายังทำให้มันเลือกที่จะล่าถอย


 


สำหรับสหายที่หมดสติ มันเลือกที่จะละทิ้ง


 


ฟางหยวนคาดเดาสถานการณ์นี้ไว้แล้วแต่มันยังเกิดขึ้นเร็วกว่าที่เขาคาดคิด


 


ฟางหยวนกระตุ้นใช้วิญญาณอมตะดาบทะลวงมิติเพื่อไล่ล่าแต่ระยะห่างระหว่างพวกเขายังลดลงช้ามาก


 


สุนัขอินทรีย์บรรพกาลที่กำลังหลบหนีเอาชีวิตรอดสามารถระเบิดความเร็วได้อย่างน่าอัศจรรย์


 


ท่าไม้ตายอมตะ กงล้อสายลมแห่งโชค!


 


ฟางหยวนไม่มีทางเลือกนอกจากกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายนี้


 


สำเร็จ!


 


สุนัขอินทรีย์บรรพกาลถูกพลังงานลึกลับดึงกลับมายังตำแหน่งก่อนหน้า ฟางหยวนตามทันและต่อสู้อีกครั้งอย่างดุเดือด


 


หลังจากต่อสู้สามรอบ สุนัขอินทรีย์บรรพกาลพยายามหลบหนีอีกครั้ง


 


ฟางหยวนทำได้เพียงไล่ล่า


 


ท่าไม้ตายอมตะ กงล้อสายลมแห่งโชค!


 


ประสบความสำเร็จ!


 


ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอีกครั้งโดยมีกลุ่มผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนเฝ้ามองจากระยะไกล


 


ในไม่ช้าสุนัขอินทรีย์บรรพกาลก็พ่ายแพ้ มันกระพือปีกอย่างบ้าคลั่งขณะที่มันพยายามล่าถอยเป็นครั้งที่สาม


 


ฟางหยวนไม่สามารถหักปีกอินทรีย์


 


ดังนั้น…


 


ท่าไม้ตายอมตะ กงล้อสายลมแห่งโชค!


 


น่าเสียดายที่ครั้งนี้ล้มเหลวทำให้เขากระอักเลือดออกมา


 


ฟางหยวนเสียเวลาไปเล็กน้อยแต่มันก็เพียงพอให้สุนัขอินทรีย์บินห่างออกไป


 


เขาไม่มีทางเลือกนอกจากหยุด


 


เจตจำนงสวรรค์เพ่งเล็งมาที่เขาขณะที่ไท่ชิวเต็มไปด้วยอันตรายและอาจมีคลื่นสัตว์อสูรเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1139 สถานการณ์อันตราย


แปลโดย iPAT


 


‘มีเวลาไม่มากให้ข้าฝึกฝนท่าไม้ตายกงล้อสายลมแห่งโชค’ ฟางหยวนถอนหายใจ


 


ในสถานการณ์ปกติ ท่าไม้ตายอมตะกงล้อสายลมแห่งโชคมีโอกาสประสบความสำเร็จแปดสิบถึงเก้าสิบส่วน


 


แต่ในการต่อสู้จริงสถานการณ์ย่อมแตกต่างออกไป


 


ตัวอย่างเช่นฟางหยวนต้องใช้ท่าไม้ตายอมตะอาภรณ์โลหิต ท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคย ท่าไม้ตายอมตะภาพอนาคตสามลมหายใจ และท่าไม้ตายอื่นๆตลอดเวลา สิ่งนี้ต้องใช้พลังจิตมหาศาล


 


ในสถานการณ์ดังกล่าว การกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะกงล้อสายลมแห่งโชคที่ยังไม่เชี่ยวชาญเพิ่มขึ้น สามารถประสบความสำเร็จสองครั้งก็ถือว่าดีแล้ว


 


ท่าไม้ตายอมตะส่งผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม แต่ผู้อมตะต้องใช้พลังจิตสูงมาก ในสนามรบ มันไม่ใช่ว่ายิ่งใช้ท่าไม้ตายอมตะมากเท่าใดก็ยิ่งดีเท่านั้น


 


หากจิตใจรับภาระหนักเกินไป ผู้อมตะอาจไม่สามารถตอบสนองต่อการโจมตีอย่างกะทันหันของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างเหมาะสมหรืออาจตอบสนองได้ไม่ทันเวลา นี่จะนำพวกเขาไปสู่ความพ่ายแพ้หรือความตายและกลายเป็นเรื่องน่าขัน


 


ในความเป็นจริงมีเรื่องน่าขันเช่นนี้มากมายเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์


 


ตัวอย่างของท่าไม้ตายอมตะที่ทรงพลังแต่ล้มเหลวในการกระตุ้นใช้งานมีอยู่ไม่น้อย


 


‘เพื่อแก้ปัญหานี้ข้าต้องเพิ่มพลังการต่อสู้ให้มากขึ้นเท่านั้น!’


 


‘นอกจากการฝึกฝนเพิ่มเติม ข้ายังต้องพัฒนาท่าไม้ตายอมตะเพื่อให้ง่ายต่อการใช้งานมากขึ้น’


 


ท่าไม้ตายอมตะถูกสร้างขึ้นจากการรวบตัวของวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วน


 


การกระตุ้นใช้งานวิญญาณแต่ละดวงต้องใช้ความคิดอย่างน้อยหนึ่งครั้ง การกระตุ้นใช้งานท่าไม้ตายอมตะหนึ่งครั้งจะประสบความสำเร็จเมื่อผู้อมตะใช้ความคิดนับพันหรือนับหมื่นครั้ง!


 


เส้นทางแห่งปัญญาเป็นเส้นทางที่มีความเชี่ยวชาญในการแก้ปัญหานี้


 


ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาจะสามารถใช้ท่าไม้ตายที่ซับซ้อนมากกว่าผู้อมตะบนเส้นทางสายอื่น


 


‘ท่ามกลางมรดกบนเส้นทางแห่งปัญญาที่ข้ามีอยู่ มรดกของตงฟางชางฟานมีความเชี่ยวชาญด้านการอนุมาน มันไม่เหมาะสมกับการควบคุมวิญญาณหรือกระตุ้นการทำงานท่าไม้ตาย แต่ตอนนี้ข้ากลายเป็นปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งปัญญา รากฐานนี้เพียงพอที่จะแก้ไขปัญหาทั้งหมด’


 


หลังจากฟางหยวนปล่อยสุนัขอินทรีย์บรรพกาลไป เขาก็ตรวจสอบข้อบกพร่องของตนเองระหว่างทางกลับและตัดสินใจว่าเขาจะต้องก้าวเดินบนเส้นทางแห่งปัญญาต่อไป


 


ฟางหยวนบินลงมาบนพื้นและตบหน้าท้องของตนเอง


 


ทางเข้ามิติช่องว่างจักรพรรดิเปิดออกเล็กน้อยและสามารถมองเห็นทิวทัศน์บางส่วนที่อยู่ภายใน


 


ผมที่หกจ้องตาไม่กระพริบ


 


อย่างไรก็ตามเขามองเห็นเพียงสถานที่รกร้างเท่านั้น


 


มันคือภาคเหนือน้อย


 


ผมที่หกถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นสิ่งนี้


 


‘ดูเหมือนเขาจะมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มพลังการต่อสู้และยังไม่สามารถจัดการมิติช่องว่างได้ดีพอ นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก หลังจากทั้งหมดมิติช่องว่างจักรพรรดิจะพบภัยพิบัติพิภพทุกสองเดือน’


 


ผมที่หกไม่รู้ว่าฟางหยวนได้ปล้นสะดมทรัพยากรของถ้ำสวรรค์ไห่ฟานมาจนหมดสิ้น เขาคิดว่าฟางหยวนยังคงเป็นคนอนาถา เขาไม่รู้ว่าพื้นที่ส่วนอื่นๆของมิติช่องว่างจักรพรรดิเต็มไปด้วยทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์


 


‘นี่เป็นพลังการต่อสู้ระดับเจ็ด’ ดวงตาของผมที่หกกระตุกเมื่อเขามองไปที่อสูรปีไก่ ‘ฟางหยวนเป็นผู้อมตะระดับหกแต่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับผู้อมตะระดับเจ็ด เรื่องนี้ข้าต้องรายงานท่านอิงอู๋เซี่ย!’


 


อสูรปีไก่มีความสุขเมื่อฟางหยวนเลี้ยงมันด้วยวิญญาณปีจำนวนมาก


 


ในที่สุดมันก็กระพือปีกและกระโดกลับไปยังสายธารแห่งกาลเวลา


 


สำหรับสุนัขอินทรีย์ทั้งหมดที่นอนหมดสติอยู่บนพื้น ฟางหยวนเก็บมันไว้ในมิติช่องว่างจักรพรรดิ


 


“ภารกิจนี้ควรถูกพิจารณาว่าประสบความสำเร็จถูกต้องหรือไม่?” ฟางหยวนเผยรอยยิ้มบางและถามกลุ่มผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขน


 


กลุ่มผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนพยักหน้าและแสดงออกด้วยความเต็มใจ


 


นี่คือข้อเท็จจริง


 


โดยปราศจากฟางหยวน ชีวิตของพวกเขาจะตกอยู่ในอันตราย


 


ผมที่สิบสองอ้าปากราวกับต้องการกล่าวบางสิ่ง แต่แม้เขาจะขยับปากหลายครั้ง เขาก็ไม่สามารถกล่าวสิ่งใดออกมา


 


เขานึกถึงการแสดงออกก่อนหน้าของตนเองและรู้สึกละลายใจ


 


ผมที่หกสังเกตการแสดงออกของคนอื่นๆและเผยรอยยิ้มชั่วร้าย “ผู้อาวุโสฟางหยวนยอดเยี่ยมจริงๆ ท่านสามารถเอาชนะฝูงสุนัขอินทรีย์ได้ด้วยตนเอง หากพวกเราไม่ได้เห็นกับตา ผู้ใดจะเชื่อ หากท่านเคลื่อนไหวเร็วกว่านี้ สุนัขดาวตกเพลิงหรือไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็คงไม่ใช่เรื่องยากถูกต้องหรือไม่?”


 


ได้ยินเรื่องนี้ การแสดงออกของกลุ่มผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนเปลี่ยนไปเล็กน้อย พวกเราเกิดความรู้สึกที่ซับซ้อน


 


“ข้ามีปัญหาของตนเอง ข้าไม่สามารถอธิบายให้เจ้าฟัง ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งรู้เรื่องนี้ดี” ฟางหยวนหัวเราะเบาๆ จากนั้นเขาก็กวาดตามองทุกคนก่อนจะหยุดสายตาที่ผมที่สิบสอง “เอาล่ะ จบเรื่องแล้ว เรากลับกันเถอะ”


 


ด้วยค่ายกลวิญญาณขนส่ง พวกเขาสามารถกลับแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาได้อย่างรวดเร็ว


 


หลังจากได้รับรายงาน ท่าทีของจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาก็ผ่อนคลายลง


 


เขาไม่ตกใจกับความแข็งแกร่งของฟางหยวน


 


เพราะเขารู้ว่าฟางหยวนเคยครอบครองวิญญาณกาลเวลาและเป็นผู้กลับชาติมาเกิด ผู้อมตะระดับหกที่มีพลังการต่อสู้เทียบเท่ากับผู้อมตะระดับเจ็ดหาได้ยาก แต่สำหรับฟางหยวน มันสามารถทำความเข้าใจ


 


หลังจากปรับปรุงความสัมพันธ์กับจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาและได้รับแต้มผลงาน ฟางหยวนสามารถยืมวิญญาณสำหรับท่าไม้ตายอมตะมิติภัยพิบัติได้อย่างราบรื่น


 


วันต่อมาฟางหยวนฝึกฝนอยู่อย่างสงบ


 


เขาบ่มเพาะจิตวิญญาณเป็นหลักโดยใช้ภูเขาตงฮันและหุบเขาเหล่าโป เขาลอบฝึกฝนท่าไม้ตายใหม่อย่างลับๆ เขายังใช้เวลาว่างดูแลสุนัขดาวตกเพลิงที่เพิ่งได้รับมารวมถึงฝูงสุนัขอินทรีย์


 


สัตว์อสูรเหล่านี้จำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่


 


ไม่ว่าพวกมันจะอยู่ที่ใด พวกมันก็ยังต้องใช้ชีวิตต่อไป


 


นี่เป็นสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิต


 


สำหรับทรัพยากรจำนวนนับไม่ถ้วนที่เคลื่อนย้ายมาจากถ้ำสวรรค์ไห่ฟาน ฟาหงยวนวางทรัพยากรส่วนใหญ่ไว้ที่ภาคใต้น้อย


 


เหตุผลเป็นเพราะภาคใต้น้อยมีสภาพแวดล้อมคล้ายกับถ้ำสวรรค์ไห่ฟานมากที่สุด


 


อย่างไรก็ตามร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าในมิติช่องว่างของฟางหยวนยังไม่สามารถเปรียบเทียบกับถ้ำสวรรค์ไห่ฟาน ดังนั้นทรัพยากรจำนวนมากจึงลดผลิตลงขณะที่บางส่วนกำลังจะตาย


 


ด้วยเหตุนี้ฟางหยวนจึงต้องกำจัดพวกมันโดยการขายออกไปอย่างรวดเร็วที่สุด


 


นอกเหนือจากการทำธุรกรรมกับจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยา เขายังติดต่อสวรรค์สีเหลือง


 


ในช่วงเวลาสั้นๆฟางหยวนได้รับหินวิญญาณอมตะจำนวนมาก หลังจากเปลี่ยนบางส่วนให้เป็นองุ่นเขียวอมตะ ฟางหยวนจึงสามารถผ่อนคลาย


 


‘องุ่นเขียวอมตะของข้ามีมากพอแล้ว ข้าไม่ต้องกังวลแม้ข้าจะกระตุ้นใช้งานท่าไม้ตายคลื่นดาบสามชั้นนับร้อยครั้ง!’


 


ฟางหยวนไม่เคยมีองุ่นเขียวอมตะในการครอบครองมากมายเช่นนี้มาก่อน


 


สิ่งนี้ทำให้เขามั่นใจมากขึ้นในการเผชิญหน้ากับภัยพิบัติพิภพครั้งที่สี่


 


เวลาผ่านไป ในที่สุดก็ถึงเวลาของภัยพิบัติพิภพครั้งที่สี่


 


เขาออกจากแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาและไปที่แดนน้ำแข็งของภาคเหนือ


 


หลังจากเลือกสถานที่ เขาวางมิติช่องว่างลงและดูดซับปราณสวรรค์พิภพ


 


ครั้งนี้ระยะเวลาของการดูดซับปราณสวรรค์พิภพนานกว่าเดิมหลายสิบเท่า!


 


เหตุผลก็คือทรัพยากรที่อยู่ในมิติช่องว่างของฟางหยวนเพิ่มขึ้นหลายร้อยเท่าและต้องการใช้ปราณสวรรค์พิภพเป็นปริมาณมาก


 


ฟางหยวนกระตุ้นใช้งานท่าไม้ตายอมตะมิติภัยพิบัติได้อย่างราบรื่น


 


ทุกอย่างดำเนินไปโดยปราศจากปัญหา


 


หลังจากเสร็จสิ้นการเตรียมการ ฟางหยวนก็เฝ้ารอการมาถึงของภัยพิบัติพิภพครั้งที่สี่


 


เขายังอยู่ที่ภาคเหนือน้อย


 


เกล็ดน้ำแข็งค่อยๆร่วงหล่นลงมา


 


“นี่คือ…ภัยพิบัติฝนเกล็ดน้ำเกลือ?”


 


ฟางหยวนตกตะลึง


 


เขาประหลาดใจเล็กน้อย


 


ภัยพิบัตินี้ไม่รุนแรงและเป็นภัยพิบัติที่สามารถก้าวข้ามได้อย่างง่ายดาย


 


ฝนเกล็ดน้ำเกลือร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าอย่างช้าๆ กระบวนการทั้งหมดเงียบสงบและปราศจากลม


 


เกล็ดน้ำแข็งละลายกลายเป็นของเหลวอยู่บนพื้น


 


หญ้าและดอกไม้ป่าจมอยู่ใต้น้ำเกลือและเหี่ยวแห้งลงก่อนจะล้มตายไปอย่างรวดเร็ว


 


“มันพยายามทำลายระบบนิเวศของภาคเหนือน้อยงั้นหรือ?” ฟางหยวนรู้สึกงุนงงเล็กน้อย เขาไม่ได้เคลื่อนไหวและมองดูอยู่ด้านข้างเท่านั้น


 


แม้จะเกิดความสูญเสียบ้างแต่ทรัพยากรส่วนใหญ่ของเขาอยู่ที่ภาคใต้น้อย


 


ภาคเหนือน้อยเป็นสถานที่ที่ฟางหยวนใช้เผชิญหน้ากับภัยพิบัติ เขาสามารถแบกรับความสูญเสียเหล่านี้ได้อย่างสมบูรณ์


 


หลังจากนั้นไม่นานมนุษย์หิมะก็ปรากฏตัวขึ้นจากทะเลน้ำเกลือ


 


สิ่งนี้เกิดจากความหมายที่แท้จริงของเทพปีศาจคลั่ง


 


ตราบเท่าที่ฟางหยวนสามารถสังหารมนุษย์หิมะเหล่านี้ เขาจะได้รับความหมายที่แท้จริงของเทพปีศาจคลั่งและสามารถยกระดับความสำเร็จบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงและเส้นทางความแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างรวดเร็ว


 


ครั้งนี้ไม่เหมือนก่อนหน้าที่ฟางหยวนร่วมมือกับชูตู๋ ครั้งนี้เขาต้องกำจัดพวกมันด้วยตนเอง


 


ฟางหยวนเคลื่อนไหวทันที


 


แต่มนุษย์หิมะที่พึ่งปรากฏตัวขึ้นกลับเริ่มหลอมละลายลงด้วยอิทธิพลของน้ำเกลือ เจตจำนงสวรรค์เผยความตั้งใจของมันออกมาในเวลานี้


 


มันต้องการลดผลประโยชน์ของฟางหยวนให้ได้มากที่สุด!


 


ฟางหยวนตระหนักถึงเรื่องนี้และรีบพุ่งเข้าโจมตีมนุษย์หิมะ


 


ภูตมนุษย์บนเส้นทางความแข็งแกร่งจำนวนมากถูกเรียกออกมา


 


สิ่งมีชีวิตใดๆก็ตามที่สามารถสังหารมนุษย์หิมะจะได้รับความหมายที่แท้จริงของเทพปีศาจคลั่ง


 


หลังจากทำลายมนุษย์หิมะ ความหมายที่แท้จริงของเทพปีศาจคลั่งไหลเข้าสู่จิตใจของฟางหยวนราวกับน้ำป่าไหลเชี่ยว


 


สำหรับฝนน้ำเกลือ มันไม่ใช่สิ่งที่ฟางหยวนจะสามารถกำจัดออกไปได้โดยตรง


 


ภัยพิบัติพิภพครั้งนี้ดำเนินไปอย่างยาวนาน แม้จะรวมเวลาทั้งหมดของภัยพิบัติพิภพสามครั้งก่อนหน้า มันก็ยังไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วนของภับพิบัติพิภพครั้งนี้


 


สามวันต่อมา ระดับน้ำเกลือเริ่มลดลงเล็กน้อย


 


“นี่คือการแข่งขันความอดทนงั้นหรือ?” ฟางหยวนขมวดคิ้ว


 


หลายวันผ่านไปในที่สุดฝนน้ำเกลือก็หยุดลง


 


ฟางหยวนมองน้ำเกลือที่อยู่บนพื้นและรู้สึกสงสัย


 


ตามตรรกะ ภัยพิบัติพิภพครั้งที่สี่ควรจะรุนแรงกว่าครั้งก่อนหน้า แต่ในความเป็นจริงมันกลับไม่รุนแรงนัก ตั้งแต่ต้นจนจบฟางหยวนไม่รู้สึกถึงภัยคุกคามใดๆ


 


เขาสามารถทำลายมนุษย์หิมะเกือบทั้งหมดและได้รับผลประโยชน์มากมาย


 


ราวกับสวรรค์ต้องการปล่อยเขาไป


 


“ก่อนหน้านี้ข้าใช้ท่าไม้ตายบนเส้นทางแห่งกาลเวลาที่ไท่ชิว มันเป็นการทดสอบความสามารถของเจตจำนงสวรรค์ แต่ผลลัพธ์ของมันคือภัยพิบัติฝนเกล็ดน้ำเกลือ”


 


“ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นตอนนี้ภัยพิบัติพิภพครั้งที่สี่ของข้าก็จบลงแล้ว”


 


“ข้าจะเก็บกวาดน้ำเกลือเหล่านี้ในภายหลังและใช้เจตจำนงของตนเองชำระล้างพวกมัน”


 


ภัยพิบัติพิภพครั้งนี้กลายเป็นเรื่องง่ายดายอย่างไม่คาดคิด ฟางหยวนไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย


 


ฟางหยวนเก็บมิติช่องว่างจักรพรรดิเข้าไปและเตรียมตัวกลับแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา


 


แต่ในขณะนี้!


 


สถานการณ์กลับเปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหัน ฟางหยวนก้าวเข้าสู่ท่าไม้ตายเขตแดนปริศนาโดยไม่คาดคิด


 


ผู้อมตะเก้าคนปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับสัตว์อสูรร่างมังกรที่มองฟางหยวนด้วยความเป็นปฎิปักษ์


 


สัตว์อสูรแรกกำเนิด!


 


หัวใจของฟางหยวนจมดิ่งลงทันที นี่ทำให้เขาเข้าใจทุกสิ่ง ‘ภัยพิบัติมนุษย์! เจตจำนงสวรรค์ตั้งใจถ่วงเวลาเพื่อให้ข้าพบกับสถานการณ์นี้!’


 


ฟางหยวนตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย



เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1140 ร่องรอยแห่งความหวัง


แปลโดย iPAT 


 


กลุ่มเมฆหมอกสีเทาลอยวนเวียนอยู่รอบตัวฟางหยวน


 


แม้ฟางหยวนจะไม่รู้สึกถึงสายลมแต่เมฆหมอกเหล่านี้ยังเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วราวกับฉลามหรือหมาป่าที่หิวโหย


 


‘นี่คือท่าไม้ตายเขตแดนอมตะ! เมฆหมอกเหล่านี้ดูเหมือนจะเกิดจากวิธีเส้นทางแห่งเมฆา…’


 


หลังจากตกใจ ฟางหยวนเริ่มวิเคราะห์สถานการณ์อย่างรวดเร็ว


 


‘ลืมท่าไม้ตายเขตแดนอมตะไปก่อน สิ่งสำคัญที่สุดคือมีผู้อมตะเก้าคนและสัตว์อสูรแรกกำเนิดรูปแบบมังกร!’ ฟางหยวนตระหนักถึงการคงอยู่ของพวกเขา


 


ผู้อมตะลึกลับซ่อนตัวอยู่ในชั้นเมฆหมอกสีเทาและเผยให้เห็นเพียงดวงตาเท่านั้น


 


สำหรับกลิ่นอายของผู้อมตะ กลุ่มเมฆหมอกไม่สามารถเก็บซ่อน


 


สัตว์อสูรประเภทมังกรลอยอยู่ด้านหน้าฟางหยวน มันปลดปล่อยกลิ่นอายที่น่าตกตะลึงออกมา ฟางหยวนรู้สึกราวกับอยู่ต่อหน้าภูเขาที่ยิ่งใหญ่ขณะที่เขาเป็นเพียงมดตัวหนึ่ง


 


ศัตรูแข็งแกร่งเกินไป ฟางหยวนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา!


 


‘แปลก เหตุใดจึงมีคนซ่อนตัวอยู่มากมายถึงเพียงนี้?’ นอกจากความตกใจ ฟางหยวนยังรู้สึกสงสัยมาก


 


แดนน้ำแข็งแทบไม่มีมนุาย์เพราะมันไม่มีทรัพยากรใดๆอยู่เลย


 


แดนน้ำแข็งถูกสร้างขึ้นโดยเทพปีศาจคลั่ง ผลประโยชน์เพียงอย่างเดียวของที่นี่คือความหมายที่แท้จริงของเทพปีศาจคลั่ง


 


ยิ่งไปกว่านั้นก่อนที่จะเผชิญหน้ากับภัยพิบัติทุกครั้ง ฟางหยวนจะรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวทั้งหมดของกองกำลังฝ่ายธรรมะของภาคเหนือผ่านสวรรค์สีเหลือง นิกายหลางหยา รวมถึงชูตู๋


 


ไม่มีการเคลื่อนไหวพิเศษใดๆจากกองกำลังเหล่านี้


 


หลังจากทำลายล้างเผ่าไห่ ตอนนี้ทุกฝ่ายกำลังดูดซับผลประโยชน์ของตนและปรับตัวกับโครงสร้างอำนาจใหม่ของภาคเหนือ


 


ในความเป็นจริงกระทั่งเผ่าฮวงจินก็เป็นเรื่องยากที่จะระดมผู้อมตะสามหรือสี่คนพร้อมกัน เว้นเพียงจะเกิดเรื่องใหม่


 


สำหรับปีศาจอมตะและผู้บ่มเพาะสันโดษ พวกเขามักเคลื่อนไหวเพียงลำพัง แล้วพวกเขาจะรวมกลุ่มกันได้อย่างไร?


 


‘ข้าอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยามาตลอดเพื่อหลีกเลี่ยงการอนุมานของผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา นอกจากนี้ข้ายังได้รับการคุ้มครองจากวิญญาณอมตะขีดจำกัดความมืดและวิธีอื่นๆ มันแทบเป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะถูกอนุมานได้อย่างชัดเจน ผู้อมตะเหล่านี้มาจากที่ใด? พวกเขามาจากภาคกลางหรือไม่?’


 


ก่อนหน้านี้เพื่อตรวจสอบความจริงเบื้องหลังการล่มสลายของวังแปดสิบแปดเปลวเพลิงที่แท้จริง ภาคกลางได้สร้างความร่วมมือและส่งกลุ่มผู้อมตะมายังภาคเหนือ


 


ปัจจุบันวังสวรรค์พยายามกำจัดนิกายเงาและฟางหยวน มันไม่แปลกหากพวกเขาจะส่งผู้อมตะบางคนออกมา


 


อย่างไรก็ตาม…


 


ผู้อมตะภาคกลางโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสิบนิกายโบราณหรือวังสวรรค์มักจะทำเรื่องต่างๆอย่างเปิดเผย แล้วพวกเขาจะทำตัวหลบๆซ่อนๆเช่นนี้ได้อย่างไร?


 


ผู้อมตะกลุ่มนี้ซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มเมฆหมอก กระทั่งสัตว์อสูรแรกกำเนิดก็ปรากฏตัวเพียงร่างที่คลุมเครือเท่านั้น


 


‘บางทีนี่อาจเป็นเพียงภาพลวงตาที่สร้างขึ้นโดยท่าไม้ตายเขตแดน?’ ฟางหยวนคาดเดา


 


เพียงเมื่อเขาออกมาจากมิติช่องว่าง เขาก็ตกลงสู่กับดักของศัตรูทันที การวิเคราะห์ของเขาเกิดขึ้นในเวลาไม่กี่ลมหายใจ


 


ร่างทารกอมตะมีศักยภาพที่ยิ่งใหญ่ เมื่อผสานกับความสำเร็จบนเส้นทางแห่งปัญญาของฟางหยวน เขาจึงสามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว


 


หากมันเป็นท่าไม้ตายเขตอมตะที่น่ากลัว ฟางหยวนจะไม่เหลือความหวังใดๆ


 


แต่!


 


เขารู้สึกว่ามีโอกาสที่มันจะเป็นภาพลวงตาค่อนข้างสูงเพราะต้นกำเนิดของผู้อมตะเหล่านี้ไม่สามารถอธิบาย


 


ดวงตาของฟางหยวนส่องประกายขึ้นก่อนที่เขาจะใช้วิญญาณอมตะดาบทะลวงมิติพุ่งตรงไปยังกลุ่มผู้อมตะ


 


ผู้อมตะทั้งเก้าไม่ตอบสนองราวกับว่าพวกเขากำลังมึนงง


 


ภาพอนาคตสามลมหายใจและอาภรณ์โลหิตถูกกระตุ้นการทำงานอย่างรวดเร็ว


 


แสงดาบพุ่งออกไป


 


ท่าไม้ตายอมตะ ดาบประหารชีวิต!


 


ผู้อมตะระดับหกผู้หนึ่งเคลื่อนไหวทันที


 


แต่ผู้อมตะระดับเจ็ดที่อยู่ด้านข้างคว้าไหล่ของเขาเอาไว้ “อย่ารับท่านี้ ให้ข้าเอง”


 


นางชี้นิ้วออกไปและสร้างกำแพงน้ำแข็งขึ้นกลางอากาศ


 


แสงดาบปะทะกำแพงน้ำแข็งและสะท้อนออกไป


 


‘นางสามารถเปลี่ยนทิศทางการโจมตีด้วยท่าไม้ตายอมตะของข้า!’ หัวใจของฟางหยวนสั่นสะท้านขึ้นขณะที่เขารีบบังคับแสงดาบให้พุ่งกลับไปยังทิศทางเดิม


 


ดาบประหารชีวิตสามารถควบคุมได้ด้วยความคิดของฟางหยวน


 


แต่ท่าไม้ตายนี้รวดเร็วมาก มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการ


 


อย่างไรก็ตามกำแพงน้ำแข็งยังปรากฏขึ้นอีกครั้ง


 


ฟางหยวนทำได้เพียงมองแสงดาบเปลี่ยนทิศทางไป


 


หลังจากนั้นกำแพงน้ำแข็งที่สามและที่สี่ก็เปลี่ยนทิศทางแสงดาบไปรอบๆ


 


‘บัดซบ! วิธีการของผู้อมตะคนนี้สามารถตอบโต้ท่าไม้ตายอมตะดาบประหารชีวิตของข้า!’ หัวใจของฟางหยวนจมดิ่งลง


 


ในจังหวะนี้ผู้อมตะระดับเจ็ดคนที่สองก็ก้าวออกมาด้านหน้า เขาสร้างธนูน้ำแข็งขึ้นมาในมือก่อนจะยิงศรน้ำแข็งไปที่ฟางหยวน


 


ศรน้ำแข็งทิ้งมวลอากาศเย็นเอาไว้เบื้องหลัง ท่ามกลางฉากที่งดงาม มันกลับมีเจตนาสังหารที่รุนแรงซ่อนอยู่


 


‘มันคือท่าไม้ตายอมตะระดับเจ็ด!’ ฟางหยวนรีบกระโดดหลบ


 


แต่ศรน้ำแข็งกลับสามารถไล่ล่าเช่นเดียวกับดาบประหารชีวิต


 


ฟางหยวนไม่สามารถหลบได้ เขารู้ว่าอาภรณ์โลหิตไม่สามารถรับมือการโจมตีนี้ ดังนั้นเขาจึงส่งกำปั้นยักษ์หมื่นตัวตนออกมา


 


กำปั้นยักษ์กลายเป็นกำแพงป้องกันอยู่ด้านหน้าฟางหยวน


 


ศรน้ำเข็งเจาะทะลวงกำปั้นยักษ์และพุ่งเข้าโจมตีฟางหยวนโดยตรง


 


ฟางหยวนถูกส่งลอยกลับหลัง ร่างกายของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นน้ำแข็ง กระทั่งเลือดยังกลายเป็นลิ่มเลือดน้ำแข็ง วิญญาณอมตะสมบัติเลือกได้รับความเสียหายเช่นกัน


 


หากเขายังกระตุ้นใช้งานมันต่อไป มันอาจได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือถูกทำลาย


 


แต่ในสถานการณ์คับขัน ฟางหยวนจะสนใจเรื่องนี้ได้อย่างไร?


 


เขาทำได้เพียงใช้วิญญาณอมตะสมบัติเลือดต่อไปอย่างบ้าคลั่งเพื่อรักษาอาภรณ์โลหิตเอาไว้เท่านั้น


 


‘ผู้อมตะระดับเจ็ดคนที่สองไม่ใช่ภาพลวงตา แล้วคนอื่นๆ?’ ฟางหยวนกลืนเลือดกลับลงคอและใช้ท่าไม้ตายอมตะหมื่นตัวตน


 


ทันใดนั้นภูตมนุษย์บนเส้นทางความแข็งแกร่งจำนวนมากก็พุ่งออกมาและปิดบังวิสัยทัศน์ของทุกคนเอาไว้


 


กลุ่มผู้อมตะลึกลับตกตะลึง


 


ผู้อมตะระดับเจ็ดคนที่สามเผยรอยยิ้มและตะโกน “ปล่อยข้า!”


 


เขายกมือทั้งสองข้างสัมผัสแก้มก่อนจะพ่นเกลียวสายลมออกมาจากปาก


 


ในพริบตามันก็กลายเป็นพายุหมุนขนาดใหญ่


 


พายุหมุนสูงสามสิบเมตรกลืนกินภูตมนุษย์และฉีกกระชากร่างกายของพวกมันออกเป็นชิ้นๆ


 


กองทัพภูตมนุษย์ลดจำนวนลงอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาสั้นๆ


 


ฟางหยวนเติมเต็มพวกมันอีกครั้ง


 


“พี่ใหญ่ ข้าจะช่วยท่าน” ผู้อมตะระดับเจ็ดคนที่สี่กล่าวเสียงเบา


 


เขาชี้นิ้วออกไปทำให้พายุหมุนแยกออกเป็นสี่ พลังอำนาจของมันเพิ่มขึ้นเป็นสี่เท่า!


 


‘นี่!’ หัวใจของฟางหยวนสั่นสะท้านขึ้นและรู้สึกว่าสถานการณ์ยังไกลจากคำว่าดี


 


ตั้งแต่การต่อสู้เริ่มต้นขึ้นเขาได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยขณะที่วิญญาณอมตะสมบัติเลือดอยู่ในสถานการณ์อันตราย


 


อีกด้านหนึ่งสัตว์อสูรแรกกำเนิดของฝ่ายตรงข้ามยังไม่ได้เคลื่อนไหว ผู้อมตะระดับเจ็ดสี่คนกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะลึกลับที่น่ากลัวและทรงพลัง


 


‘เป็นไปได้หรือไม่ว่านี่ไม่ใช่ภาพลวงตา?’ คิดถึงเรื่องนี้หัวใจของฟางหยวนจมดิ่งลงอีกครั้ง


 


“ครืน…ครืน…”


 


พายุอันบ้าคลั่งทำลายกองทัพภูตมนุษย์ลงอย่างสมบูรณ์แม้ฟางหยวนจะพยายามเติมเต็มพวกมันก็ตาม


 


คุณภาพของภูตมนุษย์บนเส้นทางความแข็งแกร่งต่ำเกินไป จำนวนของพวกมันไร้ประโยชน์ต่อหน้าท่าไม้ตายอมตะระดับเจ็ด


 


ท่าไม้ตายอมตะหมื่นตัวตนที่เคยประสบความสำเร็จมาตลอดตอนนี้กลับตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจและไม่สามารถเปลี่ยนสถานการณ์ให้กับฟางหยวน


 


‘ไม่ ท่าไม้ตายอมตะหมื่นตัวตนยังทำให้ข้ามีความได้เปรียบเล็กน้อย มันสามารถลดพลังงานอมตะของศัตรู นี่คือจุดแข็งของมัน แต่ฝ่ายตรงข้ามมีจำนวนมากขณะที่ข้าอยู่เพียงลำพัง ข้อได้เปรียบนี้จึงถูกลบออกไป ไม่มีสิ่งใดที่ข้าทำได้แล้วงั้นหรือ?’


 


ความแข็งแกร่งของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันมากกระทั่งกลยุทธ์ใดๆก็กลายเป็นไร้ประโยชน์


 


ในความเป็นจริงผู้อมตะลึกลับกลุ่มนี้ไม่ได้ร่วมมือกันตลอดเวลา ทุกครั้งที่พวกเขาลงมือ พวกเขาจะเคลื่อนไหวทีละคน หากไม่ใช่เพราะท่าไม้ตายเขตแดนอมตะเหนี่ยวรั้งฟางหยวนเอาไว้ เขาอาจหลบหนีได้สำเร็จแล้ว


 


น่าเสียดายที่ศัตรูได้เตรียมการมาเป็นอย่างดี ฟางหยวนขาดวิธีบนเส้นทางแห่งห้วงมิติสำหรับการหลบหนีโดยยังไม่ต้องกล่าวถึงการเผชิญหน้ากับผู้อมตะระดับเจ็ดถึงสี่คน ผู้อมตะระดับหกอีกห้าคน และสัตว์อสูรแรกกำเนิด


 


สถานการณ์เลวร้ายอย่างที่สุด


 


หากเปรียบเทียบกับชีวิตแรกของฟางหยวนเมื่อเขาถูกปิดล้อมโดยกลุ่มผู้อมตะฝ่ายธรรมะ สถานการณ์ปัจจุบันยังถือว่าอันตรายกว่ามาก


 


ท้ายที่สุดในเวลานั้นก็ไม่มีสัตว์อสูรแรกกำเนิดคอยควบคุมสถานกาณณ์


 


ฟางหยวนตรวจสอบผู้อมตะเหล่านี้แต่ยังไม่ได้ตรวจสอบสัตว์อสูรแรกกำเนิด


 


เขาต้องกระตุ้นตนเองอย่างต่อเนื่องเพื่อความอยู่รอด


 


เมื่อถึงจุดนี้ฟางหยวนก็ไม่สามารถสร้างกองทัพขนาดใหญ่ได้อีกต่อไป


 


‘ข้าจะตายที่นี่ในวันนี้งั้นหรือ?’ กลิ่นอายแห่งความตายพุ่งเข้าปกคลุมหัวใจของฟางหยวน


 


ภายใต้เขตแดนอมตะการขอกำลังเสริมจากภายนอกไม่สามารถทำได้ ฟางหยวนไม่แม้แต่จะสามารถเชื่อมต่อกับสวรรค์สีเหลือง


 


อย่างไรก็ตามเขายังไม่ยอมแพ้


 


ความคิดของเขาเคลื่อนไหวราวกับสายฟ้าและทันใดนั้นเขาก็จำได้ว่า ‘ไม่ ข้ายังมีโอกาสรอด!’


 


โอกาสนี้ไม่ใช่วิญญาณกาลเวลา


 


วิญญาณกาลเวลาเต็มไปด้วยเจตจำนงสวรรค์ขณะที่เจตจำนงสวรรค์พยายามทุกวิถีทางเพื่อกำจัดเขา หากเขาใช้วิญญาณกาลเวลา มันก็เป็นเพียงการรนหาที่ตายเท่านั้น


 


โอกาสนี้อยู่ที่อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุด


 


หากเป็นก่อนที่ฟางหยวนจะได้รับมรดกของไห่ฟาน เขาต้องตายอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน แต่เวลานี้แตกต่างออกไป ตอนนี้เขายังมีความหวังเหลืออยู่


 


อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดเป็นสัตว์อสูรแรกกำเนิดเช่นกัน แต่มันยังไม่โตเต็มที่และมีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับสัตว์อสูรเดียวดายเท่านั้น


 


อย่างไรก็ตามมรดกที่แท้จริงของไห่ฟานมีท่าไม้ตายที่สามารถเร่งอายุของอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดและทำให้มันเติบโตขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ


 


ด้วยสิ่งนี้ฟางหยวนจะได้ครอบครองความแข็งแกร่งระดับแปด!


 


สิ่งสำคัญก็คืออินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดเป็นสัตว์อสูรบนเส้นทางแห่งห้วงมิติที่สามารถเข้าออกถ้ำสวรรค์หรือสวรรค์ทั้งเก้าได้อย่างง่ายดาย มันสามารถทะลวงออกจากเขตแดนนี้!


 


‘อดทน! ข้าต้องอดทนจนกว่าอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดจะบรรลุระดับแปด!’ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ฟางหยวนก็เปลี่ยนกลยุทธ์ในการต่อสู้ทันที


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1141 ไม่ได้ฟังหรือไม่เชื่อ


แปลโดย iPAT 


 


ท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งกาลเวลาถูกกระตุ้นการทำงานอย่างลับๆภายในมิติช่องว่างจักรพรรดิ


 


ร่างกายของอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว


 


มันกรีดร้องออกมาด้วยความรู้สึกไม่สะดวกสบาย


 


ในแง่หนึ่งเป็นเพราะร่างกายที่เติบโตเร็วเกินไปของมัน แต่สิ่งสำคัญคือมันหิว!


 


มันต้องกินผลึกสวรรค์จำนวนมากเป็นอาหารทุกวัน ตอนนี้เพียงหนึ่งลมหายใจก็เหมือนหนึ่งวันได้ผ่านไป เมื่อร่างกายเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง แล้วมันจะไม่หิวได้อย่างไร?


 


โดยธรรมชาติไห่ฟานได้พิจารณาถึงสถานการณ์นี้เช่นกัน ดังนั้นท่าไม้ตายนี้จึงมีผลกระทบหนึ่งที่ช่วยชดเชยข้อบกพร่องนี้


 


อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดเริ่มกินคริสตัลสวรรค์อย่างบ้าคลั่ง


 


ความแข็งแกร่งของอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันขณะที่มันใช้ชีวิตอยู่กับฟางหยวนเป็นเวลาสั้นๆเท่านั้น ตอนนี้มันกลายเป็นเรื่องยากที่ฟางหยวนจะควบคุมมันและอาจใช้ความแข็งแกร่งของมันได้ไม่ถึงสามสิบส่วน


 


อย่างไรก็ตามฟางหยวนไม่มีทางเลือก


 


เขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง นี่เป็นความหวังเดียวที่จะทำให้เขาหลุดพ้นจากสถานการณ์นี้


 


เขาเหมือนคนจมน้ำที่พยายามจับฟางเส้นหนึ่งเอาไว้


 


ท่าไม้ตายอมตะหมื่นตัวตนถูกกระตุ้นใช้งานอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้มันกลายเป็นที่พึ่งเดียวสำหรับฟางหยวนในการซื้อเวลา


 


เขาใช้ท่าไม้ตายใบหน้าที่คุ้นเคยอำพรางตัวอยู่ในกองทัพภูตมนุษย์ ดังนั้นผู้อมตะลึกลับจึงไม่พบตัวจริงของเขา


 


พายุหมุนแห่งการทำลายล้างยังปกคลุมไปทั่วทั้งสนามรบ


 


ภูตมนุษย์ของฟางหยวนอยู่ได้เพียงหนึ่งหรือสองลมหายใจก่อนจะถูกทำลาย


 


ฟางหยวนไม่เคยกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายหมื่นตัวตนมากมายเท่านี้มาก่อน


 


โชคดีที่เขาเก็บภูตมนุษย์บนเส้นทางความแข็งแกร่งจำนวนมากไว้ในมิติช่องว่างอยู่แล้ว นอกจากนั้นด้วยความชำนาญ เขาจึงไม่เคยล้มเหลวในการกระตุ้นใช้งานมัน


 


อย่างไรก็ตามพลังงานอมตะของเขายังลดลงเรื่อยๆ


 


เกี่ยวกับพลังงานอมตะ ฟางหยวนเป็นฝ่ายเสียเปรียบโดยธรรมชาติ เขาไม่มีทางแข่งขันกับผู้อมตะถึงเก้าคน


 


“ทักษะในการซ่อนตัวของคนผู้นี้น่าทึ่งมาก” ผู้อมตะลึกลับบางคนยกย่อง


 


“อย่ากังวล ตราบเท่าที่ท่าไม้ตายเขตแดนอมตะสนามรบสีเทายังอยู่ พวกเราไม่จำเป็นต้องกังวลว่าเขาจะสามารถหลบหนี” ผู้อมตะอีกคนตอบกลับ


 


“ฮืม เจ้าหนูตัวน้อย ออกมาเถอะ ยิ่งเจ้าตายเร็วเท่าใด เจ้าก็ยิ่งหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานเร็วเท่านั้น”


 


ผู้อมตะระดับเจ็ดทั้งสี่ไม่กล่าวสิ่งใดแต่ผู้อมตะระดับหกพยายามกดดันฟางหยวน


 


แต่ฟางหยวนจะง่ายดายเช่นนั้นได้อย่างไร


 


เจตจำนงของเขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าเหล็กกล้า แม้เขาจะตกอยู่ในอันตราย เขาก็ไม่เคยละทิ้งความพยายามจนถึงวินาทีสุดท้าย


 


ตั้งแต่เขาใช้กลยุทธ์ยื้อเวลา เขาจะไม่มีวันเปิดเผยตัว


 


อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดเติบโตขึ้นด้วยความเร็วสูง รังนกคริสตัลสวรรค์ถูกกินไปแล้วมากกว่าครึ่ง


 


แต่มันยังห่างไกลจากความพอเพียง


 


อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดเป็นกุญแจสำคัญของการต่อสู้ครั้งนี้


 


‘ศัตรูมีความได้เปรียบด้านจำนวน เมื่อข้าลงมือ ข้าต้องประสบความสำเร็จในครั้งเดียว ไม่มีโอกาสที่สอง!’


 


ขณะที่คิดถึงเรื่องนี้  เสียงหัวเราะเบาๆพลันดังขึ้นข้างหูของฟางหยวน


 


มันเป็นเสียงของผู้อมตะหญิง


 


เส้นผมของฟางหยวนชูชันขึ้น โดยไม่สนใจการเปิดเผยตัวตนของฝ่ายตรงข้าม ฟางหยวนกระตุ้นใช้งานวิญญาณอมตะดาบทะลวงมิติทันที


 


เขาบินขึ้นสู่ท้องฟ้า


 


แทบจะในเวลาเดียวกันที่ก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่เท่าศาลาก่อตัวขึ้นในตำแหน่งเดิมของเขา


 


“เขาค่อนข้างเร็ว” ผู้อมตะระดับหกกล่าวด้วยความประหลาดใจ เสียงของนางเป็นเสียงเดียวกับเสียงที่ดังขึ้นข้างหูของฟางหยวน


 


“เสวี่ยเอ๋อ เจ้าประสบความสำเร็จแล้ว ไม่เลว” ผู้อมตะระดับเจ็ดยกย่อง


 


“ขอบคุณท่านย่า” ผู้อมตะหญิงดูเหมือนจะมีความสุข “แม้ข้าจะไม่สามารถค้นหาตัวจริงของเขาได้ทุกครั้ง แต่การกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะเพื่อสร้างภูตมนุษย์ของเขายังทำให้กลิ่นอายของวิญญาณอมตะรั่วไหลออกมา ยิ่งเขากระตุ้นใช้งานท่าไม้ตายอมตะบ่อยเท่าใด มันก็ยิ่งเพิ่มโอกาสให้ข้าค้นพบเขามากเท่านั้น”


 


“ดี ข้าจะดูว่าเขาจะหนีไปได้นานเท่าใด!” ผู้อมตะระดับเจ็ดอีกคนตะโกนและพุ่งเข้าไปหาฟางหยวน


 


เขาเร็วมาก


 


เพียงไม่นานเขาก็เข้าประชิดตัวฟางหยวน


 


ฟางหยวนจำผู้อมตะผู้นี้ได้ เขาคือคนที่ยิงศรน้ำแข็งออกมา


 


“ตาย!” ผู้อมตะระดับเจ็ดสร้างหอกน้ำแข็งขึ้นในมือทั้งสองข้าง


 


“ผู้อมตะสายต่อสู้ระยะประชิด!?” ดวงตาของฟางหยวนส่องประกายขึ้น เขาเร่งล่าถอยออกไป


 


อย่างไรก็ตามวิญญาณอมตะดาบทะลวงมิติกลับไม่สามารถสร้างระยะห่าง


 


รูม่านตาของฟางหยวนหดเล็กลงเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าชั้นเมฆหมอกสีเทาทำให้ความเร็วของเขาลดลง


 


ขณะเดียวกันมันก็ช่วยเพิ่มความเร็วให้กับผู้อมตะระดับเจ็ดผู้นั้น


 


“หากข้าปล่อยให้เจ้าหลบหนีได้อย่างอิสระ ข้าคงดูไร้ความสามารถจริงๆ” ผู้อมตะผู้ควบคุมท่าไม้ตายเขตแดนที่เฝ้ามองการต่อสู้อยู่ในระยะไกลกล่าว


 


ฟางหยวนถูกบังคับให้เข้าสู่การต่อสู้ระยะประชิด


 


ผู้อมตะระดับเจ็ดผู้นี้ทั้งทรงพลังและมีทักษะการต่อสู้ที่โดดเด่น


 


ภายในไม่กี่กระบวนท่า แขนซ้ายและหน้าท้องของฟางหยวนถูกเจาะทะลวง


 


วิญญาณอมตะสมบัติเลือดได้รับบาดเจ็บสาหัส


 


ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางน้ำแข็งถูกฝังไว้บนบาดแผลของฟางหยวนทำให้มันเป็นเรื่องยากที่จะรักษา อุณหภูมิร่างกายของเขาลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว


 


ข้อบกพร่องของร่างทารกอมตะปรากฏให้เห็นเป็นครั้งแรก!


 


โดยปราศจากความขัดแย้งระหว่างร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋า มันทำให้ฟางหยวนบาดเจ็บได้ง่าย


 


ก่อนหน้านี้ฟางหยวนระวังตัวตลอดเวลาจึงไม่พบปัญหาใด แต่ตอนนี้เขาถูกบังคับให้เผชิญหน้ากับจุดอ่อนนี้


 


“ตาย!” ศัตรูส่งหอกน้ำแข็งในมือข้างขวาพุ่งเข้ากลางหน้าผากของฟางหยวนขณะที่หอกน้ำแข็งในมือข้างซ้ายพุ่งไปที่หัวใจของฟางหยวนอย่างเงียบๆ


 


“ฟิ้ว…”


 


ฟางหยวนเปลี่ยนท่าไม้ตายอย่างกะทันหัน เขาทะยานร่างเป็นเส้นโค้งและสามารถหลบการโจมตีของศัตรูได้อย่างฉิวเฉียด


 


“เส้นทางแห่งเลือด!?” ผู้อมตะระดับหกอุทานด้วยความตกใจ


 


“เขาเป็นคนบาปที่ไม่สามารถให้อภัย! เขาบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งเลือด!”


 


“นี่ถือได้ว่าพวกเราช่วยกำจัดความชั่วร้ายให้กับโลกใบนี้!”


 


“ข้าค่อนข้างสงสัยเกี่ยวกับท่าไม้ตายสายป้องกันก่อนหน้านี้ของเขา ดังนั้นมันจึงเป็นเช่นนี้”


 


ผู้อมตะถือหอกคู่เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าฟัน


 


กำปั้นยักษ์หมื่นตัวตน!


 


ฟางหยวนส่งกำปั้นยักษ์บินออกไป


 


ในระยะทางสั้นๆ ผู้อมตะหอกน้ำแข็งไม่สามารถหลบเลี่ยง


 


แต่เขาก็ไม่มีความคิดที่จะหลบ


 


เขาแทงกำปั้นยักษ์ด้วยหอกน้ำแข็งทั้งสองก่อนจะออกไล่ล่าฟางหยวน


 


เนื่องจากเขาชำนาญด้านการต่อสู้ระยะประชิด เขาจึงมีวิธีป้องกันที่โดดเด่น หากไม่ใช่เพราะสิ่งนี้เขาจะกล้าเสี่ยงเข้าเผชิญหน้ากับศัตรูในระยะประชิดได้อย่างไร


 


ผู้อมตะสายต่อสู้ระยะประชิดมีอยู่ไม่มาก มันเคยรุ่งเรืองในอดีต แต่ตอนนี้มันแทบสูญหายไปแล้ว


 


อย่างไรก็ตามหากผู้อมตะสายนี้สามารถเข้าประชิดตัวคู่ต่อสู้ พวกเขาจะกลายเป็นภัยคุกคามร้ายแรง


 


ฟางหยวนอยู่ในสถานการณ์แห่งชีวิตและความตายตลอดเวลา เขาต้องใส่ใจทุกการเคลื่อนไหวของศัตรู หากประมาทเพียงเล็กน้อย มันอาจส่งผลร้ายถึงชีวิต


 


ฟางหยวนมีท่าไม้ตายอมตะมากมาย แต่ในการต่อสู้ระยะประชิด เขากลับทำได้เพียงหลบเลี่ยงเนื่องจากไม่มีเวลาใช้ท่าไม้ตายอมตะที่ซับซ้อนและหากตอบสนองล่าช้า มันอาจส่งผลกระทบถึงชีวิต


 


จังหวะของฟางหยวนถูกทำลายลงในที่สุด เขาแทบไม่ได้หยุดพักก่อนที่ศัตรูจะพบช่องว่างและส่งหอกน้ำแข็งทะลุหัวใจของเขา


 


“มันจบแล้ว” การแสดงออกของผู้อมตะลึกลับผ่อนคลายลงเล็กน้อย


 


บุรุษคนก่อนหน้า!


 


เมื่อฟางหยวนกระตุ้นใช้วิญญาณอมตะบุรุษคนก่อนหน้า อาการบาดเจ็บร้ายแรงของเขาก็ถูกกู้คืนในพริบตา


 


จากนั้นท่าไม้ตายอมตะลอบสังหารในความมืดก็ถูกยิงไปที่ศีรษะของฝ่ายตรงข้าม


 


ฟางหยวนได้รับชัยชนะทันที


 


เขาเก็บวิญญาณอมตะบุรุษคนก่อนหน้าเอาไว้เพื่อรอโอกาสนี้


 


เสียงตกใจดังขึ้นแต่กลุ่มผู้อมตะลึกลับกลับไม่โกรธ


 


ในช่วงเวลาต่อมาฟางหยวนก็เห็นสิ่งที่แปลกประหลาด ศีรษะที่ถูกทำลายของศัตรูไม่มีเลือดและเนื้อ มันถูกสร้างขึ้นจากกลุ่มเมฆหมอกสีเทา!


 


เมฆหมอกสีเทาที่กระจายตัวออกไปควบรวมกันเป็นศีรษะของผู้อมตะหอกน้ำแข็งอีกครั้ง เขาหัวเราะ “ไม่เลว เจ้าทำลายศีรษะของข้าได้จริงๆ ฮืม ผู้อมตะมนุษย์ช่างเจ้าเล่ห์นัก หากเป็นเวลาปกติ ข้าอาจตายไปแล้วจริงๆ แต่น่าเสียดายที่นี่คือเขตแดนอมตะสนามรบสีเทา”


 


รูม่านตาของฟางหยวนหดเล็กลง


 


ความไม่รู้ทำให้เกิดข้อผิดพลาด


 


‘แม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่ข้าได้ยินเกี่ยวกับเขตแดนอมตะสนามรบสีเทาแต่มันก็เป็นท่าไม้ตายเขตแดนอมตะที่ทรงพลัง’ ฟางหยวนถอนหายใจ


 


เขาตั้งใจปกปิดการคงอยู่ของวิญญาณอมตะบุรุษคนก่อนหน้าเอาไว้และใช้มันในช่วงเวลาสำคัญ แต่แผนการที่ยากลำบากของเขากลับถูกขัดขวางโดยเขตแดนสนามรบสีเทา


 


“นี่คือสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นโดยพระมารดา แล้วมันจะง่ายดายได้อย่างไร!” ผู้อมตะหอกน้ำแข็งกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ


 


ฟางหยวนมองเข้าในมิติช่องว่างจักรพรรดิเพื่อตรวจสอบการเติบโตของอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุด


 


แต่…


 


มันกำลังจะตาย!


 


คริสตัลสวรรค์หมดสิ้นแล้ว ตอนนี้มันกำลังจะอดอาหารตาย


 


ฟางหยวนพยายามป้อนสิ่งอื่นให้มันอิต่นทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดยังปิดปาก


 


‘บัดซบ! ก่อนหน้านี้ข้ายุ่งอยู่กับการต่อสู้ ข้าไม่มีเวลากังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุด’ หัวใจของฟางหยวนจมลงสู่ก้นบึ้ง


 


ร่องรอยแห่งความหวังสุดท้ายของเขากำลังจะหายไป


 


ในเขตแดนสนามรบสีเทา ศัตรูจะไม่ตาย ฟางหยวนไม่มีกลยุทธ์ที่สามารถรับประกันชัยชนะ การจัดการผู้อมตะระดับเจ็ดเป็นเรื่องยากโดยยังไม่ต้องกล่าวถึงสัตว์อสูรแรกกำเนิดที่ยังไม่ได้เคลื่อนไหวตั้งแต่เริ่มต้น


 


ความตายใกล้เข้ามาเรื่อยๆ


 


“เด็กน้อย ฝากชื่อของเจ้าไว้ เจ้าเป็นศัตรูที่ควรค่าแก่การจดจำ” ผู้อมตะหอกน้ำแข็งกล่าว


 


ผู้อมตะคนอื่นๆไม่ได้กล่าวสิ่งใด พวกเขาเพียงเฝ้ามองอยู่ด้านข้างเท่านั้น


 


อย่างไรก็ตามฟางหยวนกลับเผยรอยยิ้มมั่นใจ “ชื่อของข้าไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือสถานะของข้า ข้าคือผู้อาวุโสสูงสุดของแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา กองกำลังของมนุษย์กลายพันธุ์ ในสถานการณ์ปัจจุบัน มนุษย์กลายพันธุ์เช่นพวกเราไม่ควรต่อสู้กัน มนุษย์หินและมนุษย์ขนควรให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน การต่อสู้กันเองจะทำให้ศัตรูที่แท้จริงรู้สึกพึงพอใจ”


 


“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่า…” ผู้อมตะหอกน้ำแข็งประหลาดใจมาก


 


“เขารู้ตัวตนของพวกเราจริงๆ!”


 


“เร็ว ฆ่าเขา!”


 


“ผู้อมตะเผ่ามนุษย์ล้วนเจ้าเล่ห์ อย่าฟังคำพูดของเขา!”


 


ผู้อมตะคนอื่นๆกรีดร้อง


 


“แดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา! นอกจากนี้เจ้ายังเป็นมนุษย์ขน? เจ้าคิดว่าข้าตาบอดงั้นหรือ?” ผู้อมตะหอกน้ำแข็งแทงหอกออกไปข้างหน้า


 


ฟางหยวนเปิดเผยตัวตนของพวกเขา แต่พวกเขาไม่ได้ฟังหรือไม่เชื่อคำกล่าวของฟางหยวน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)