พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1135-1138

 บทที่ 1135 การเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติของเฮยทั่น

โดย

Ink Stone_Fantasy

ชั่วพริบตาเดียวหลังจากผ่านไปแล้วสามเดือน ในป่าโบราณของภูเขาลึกนอกตลาดสวรรค์ เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวยืนอยู่เคียงกัน ข้างหลังมีหงเฉิน จีเหม่ยลี่ อวี้หนูเจียว ฝ่าอินและสองพี่น้องหลางหลาง หวนหวนยืนเรียงแถวกัน ยืนอยู่ตรงหน้าลำธารใสเย็นที่ไหลคดเคี้ยวสายหนึ่ง


ตรงข้ามลำธารเล็ก อวิ๋นอ้าวเทียนและคนอื่นๆ นำลูกศิษย์ของตัวเองยืนอยู่ริมลำธารฝั่งตรงข้าม


“ทุกท่านพิจารณาดูอีกทีก็ได้ ถ้ายินดีมาทำงานอยู่ใต้บังคับบัญชาเหมียว เหมียวอี้ก็ไม่ปฏิบัติด้วยอย่างขาดความยุติธรรมแน่! เหมียวอี้กล่าวรั้งอีกครั้ง


อยู่ที่ตลาดสวรรค์มาแล้วสามเดือน ไปเทียบกับตอนที่ส่งคนมาสืบข่าวแค่สามวันเหมือนก่อนหน้านี้ไม่ได้ ในสามเดือนนี้พวกอวิ๋นอ้าวเทียนแทบจะรู้ธรรมเนียมกฎระเบียบของพิภพใหญ่อย่างชัดเจน พบว่าพิภพใหญ่ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่จินตนาการไว้ พบว่ามีบางจุดที่ถูกเหมียวอี้หลอกตบตา


แต่ในเมื่อเรื่องเป็นแบบนี้แล้ว พวกเขาเองก็ไม่มีทางต่อต้านอำนาจที่เหมียวอี้มีในตอนนี้ได้เช่นกัน และเหมียวอี้ก็ไม่ได้ทำเรื่องอะไรที่เลยเถิดกับพวกเขาอีก ถึงอย่างไรในภายหลังก็อาจจะมีเรื่องที่ต้องขอให้เหมียวอี้ช่วยจริงๆ ร่วมมือกันต่อไปล้วนมีผลดีต่อทุกคน


“ตระกูลอวิ๋นมีคนเยอะขนาดนี้ ถ้าข้าไปทำงานใต้บังคับบัญชาเจ้าก็จะได้เป็นแค่ผู้บัญชาการ อาศัยรายได้เล็กน้อยเท่านั้นเลี้ยงคนของตระกูลอวิ๋นไม่ไหวหรอก” อวิ๋นอ้าวเทียนกล่าว


จีฮวนบอกว่า “พวกเราห้าคนไม่คุ้นเคยกับการฟังคำสั่งคนอื่น โชคดีที่พิภพนี้กว้างใหญ่มากพอ ไม่ต้องกังวลว่าจะหาที่ลงหลักปักฐานไม่ได้ เหมียวอี้ อย่าปฏิบัติต่อลูกสาวข้าอย่างไม่ยุติธรรม ไม่อย่างนั้นข้าไม่ปล่อยเจ้าแน่!”


“เหมียวอี้ อย่าลืมเรื่องที่รับปากกับพวกเราไว้ล่ะ” ซือถูเซี่ยวกล่าว


“วางใจได้ ข้าพูดคำไหนคำนั้น” เหมียวอี้ยิ้มตอบ “ตราบใดที่พวกท่านสามารถหาทรัพยากรฝึกตนได้ ข้าก็จะไม่ช่วยพาพวกท่านกลับพิภพเล็กแน่”


“ไป!” อวิ๋นอ้าวเทียนพูดทิ้งท้ายเอาไว้ แล้วพุ่งตัวขึ้นฟ้าก่อนใคร แล้วลูกชาลูกสาวของตระกูลอวิ๋นก็ทะยานขึ้นฟ้าตามไปติดๆ


อันหรูอวี้พยักหน้าให้หลางหลางกับหวนหวน แล้วก็พยักหน้าให้เหมียวอี้อีก ชัดเจนว่าคาดหวังให้เหมียวอี้ดูแลลูกสาวของตนให้ดี


สี่ปราชญ์ที่เหลือก็ทยอยกันพุ่งขึ้นฟ้าจากไปเช่นกัน จากไปอย่างอิสระสบายใจมาก ไม่พูดจาอาลัยอาวรณ์หรือกังวลสักคำ


เหมียวอี้เงยหน้ามองส่ง มองส่งคนกลุ่มนี้หายไปยังจุดลึกบนท้องฟ้า มองส่งคนพวกนี้จากไปแสดงฝีมือ


เขากล่าวรั้งไว้หลายครั้ง สุดท้ายก็รั้งคนพวกนี้ไว้ไม่ได้ หลังจากคนพวกนี้เข้าใจธรรมเนียมของพิภพใหญ่ชัดเจนแล้ว ตำแหน่งที่อยู่เบื้องล่างก็ดึงดูดความสนใจของพวกเขาไม่ได้เช่นกัน จิตใจของคนที่อยู่เหนือผู้อื่นมานานทำให้พวกเขาไม่เหมาะจะลดศักดิ์ศรีอยู่ใต้กฎระเบียบของตำหนักสวรรค์เลยจริงๆ พวกเขามีปณิธานที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น ไม่อยากไต่เต้าอยู่ภายใต้การกดข่มของผู้บังคับบัญชาชั้นแล้วชั้นเล่า พวกเขาอยากจะฉกฉวยทรัพยากรฝึกตนจำนวนมากเพื่อสร้างกำลังพลของตัวเองขึ้นมาไวๆ เลี้ยงคนไว้มากมายขนาดนี้ ขนาดรายได้ของเหมียวอี้ยังเหลือกำลังเลย มิหนำซ้ำยังเป็นตำแหน่งใต้บังคับบัญชาเหมียวอี้ด้วย ก็เป็นอย่างที่อวิ๋นอ้าวเทียนบอก รายได้เล็กน้อยแค่นั้นไม่พอให้เลี้ยงคนของตระกูลอวิ๋น


ถึงแม้ตอนนี้พวกเขาจะจน แต่หลังจากเข้าใจสถานการณ์แล้ว รายได้เล็กน้อยของเหมียวอี้ก็ไม่ได้อยู่ในสายตาเลยจริงๆ


หลังจากท้องฟ้าที่อยู่รอบๆ ว่างเปล่าแล้ว เหมียวอี้ก็หันกลับมาบอกกับทุกคนด้วยรอยยิ้มว่า “ฮูหยินทุกคน เตรียมแยกบ้านกันเถอะ”


จีเหม่ยลี่และคนอื่นๆ มองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่รู้ว่าหมายความว่าอย่างไร อวิ๋นจือชิวจึงหันตัวมาอย่างสนิทสนมแล้วประกาศเรื่อง ‘แยกบ้าน’


ร้านค้ามร้าน เหมียวอี้มองหาไว้ให้ตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่ก่อนหน้านี้ห้าปราชญ์ยังไม่ออกไป จึงยังไม่ได้จัดเตรียมเลย ตอนนี้อวิ๋นจือชิวจัดเตรียมลงไปทีละหลังแล้ว อวี้หนูเจียวกับจีเหม่ยลี่อยู่คนละร้าน ฉินเวยเวยกับฝ่าอินอยู่ร้านเดียวกัน ส่วนหงเฉินก็อยู่ข้างกายอวิ๋นจือชิว


หลังจากทุกคนแบ่งกันและกลับไปแล้ว ภายใต้การเตรียมการของอวิ๋นจือชิว ใครที่ควรจะย้ายบ้านก็ต้องเริ่มย้าย เหมียวอี้ไม่เข้าไปประสมโรงแล้ว เขาไม่สะดวกจะเข้าไปยุ่งด้วย อุโมงค์ลึกที่ซ่อนอยู่ใต้ดิน ผีจวินจื่อก็ขุดไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว


ตามหลักการแล้ว ข้างล่างของตลาดสวรรค์ห้ามขุดเส้นทางใต้ดิน เพียงแต่ผู้บัญชาการใหญ่เหมียวใช้อำนาจกับเรื่องส่วนตัว นั่นก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้แล้ว


ในคืนนั้น ทุกคนมารวมตัวฉลองกันในร้านค้าของฉินเวยเวยกับฝ่าอิน ครั้งนี้อวิ๋นจือชิวไม่ได้ลงมือทำอาหารเอง แต่อวิ๋นจือชิวเป็นคนสั่งเอง ให้อนุภรรยาพวกนี้ช่วยกันเตรียมอาหารค่ำ อย่างน้อยผู้หญิงกลุ่มนี้ก็ทำตัวซื่อสัตย์ว่านอนสอนง่ายเมื่ออยู่ต่อหน้าอวิ๋นจือชิว เหมียวอี้รู้สึกกลุ้มใจแล้ว มีบางคนที่ไม่กลัวแม้กระทั่งเขา ขนาดเรื่องร่วมห้องหอยังต่อรองกับเขาได้ แต่เมื่อเจออวิ๋นจือชิวดันกลายเป็นเหมือนหนูที่เจอแมว อวิ๋นจือชิวพูดอะไรก็ไม่มีใครขัด ทำให้เหมียวอี้แอบครุ่นคิดว่าอวิ๋นจือชิวทำได้อย่างไร ทั้งวันเห็นแต่อวิ๋นจือชิวยิ้มให้ผู้หญิงกลุ่มนี้อย่างสนิทสนม ไม่เห็นอวิ๋นจือชิวจะฝืนใช้กำลังข่มใครเลย แปลกจัง หรือว่าเกิดมาเพื่อเป็นภรรยาเอกโดยธรรมชาติอยู่แล้ว?


แต่จะว่าไปแล้ว แบบนี้กลับทำให้เหมียวอี้โล่งใจ เขากังวลมากว่าผู้หญิงพวกนี้จะรับมือด้วยยาก สำหรับในครอบครัวใหญ่ หลังบ้านที่ไม่สงบสุขเป็นเรื่องปกติ การที่อวิ๋นจือชิวสามารถคุมผู้หญิงกลุ่มนี้ได้กลับทำให้เขาเบาใจลงไม่น้อย


กลุ่มสาวงามกำลังยุ่งอยู่กับงานครัว เป็นภาพที่เจริญตาเจริญใจมาก เหมียวอี้ที่นั่งอยู่ในศาลาเหลือบมองคนนั้นทีเหลือบมองคนนี้ที


“ถ้ามองอีกลูกตาคงจะเด้งออกมาแล้ว!” อวิ๋นจือชิวถือฝาเคาะบนถ้วยน้ำชา หลังจากเรียกความสนใจของเหมียวอี้กลับมาได้แล้ว ก็ถ่ายทอดเสียงถามว่า “ห้าปราชญ์ไปแล้ว เจ้ามีความคิดอย่างไรบ้าง?”


เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าบอกว่า “แต่ละคนใจสูงยิ่งกว่าฟ้า ถ้าคิดจะรับมาไว้ใช้งานเองก็ยากมาก”


อวิ๋นจือชิวบอกว่า “ในมือเจ้ามีช่องทางตามหาหกเคล็ดวิชาพิเศษ ไม่ว่าพวกเขาจะวิ่งไปได้ไกลเท่าไร ไม่ว่าพวกเขาจะเติบโตแข็งแกร่งยิ่งใหญ่ถึงขั้นไหน ขอเพียงเจ้าพยายามที่จะพัฒนาตัวเองไม่ให้อ่อนด้อยกว่าเขา เจ้าก็จะบีบพวกเขาไว้ในมือได้แน่นอน ไม่ต้องกลัวว่าพวกเขาจะมีฝีมือแข็งแกร่งหรอก กลัวว่าพวกเขาจะไม่แข็งแกร่งดีกว่า ยิ่งพวกเขาแข็งแกร่งก็ยิ่งมีประโยชน์ต่อเจ้า ขอแค่เจ้าควบคุมหกเคล็ดวิชาพิเศษไว้ ก็เท่ากับบีบจุดอ่อนในการอยากจะแข็งแกร่งขึ้นของพวกเขา ถึงตอนนั้นถ้าพวกเขาคิดจะไม่เชื่อฟังเจ้าก็คงยาก โอกาสดีๆ แบบนี้ตกอยู่ในมือเจ้าแล้ว สวรรค์กำลังเข้าข้างเจ้าแล้วจริงๆ ถ้าพลาดโอกาสแบบนี้ไป เท่ากับไม่รักษาโอกาสดีที่สวรรค์ประทานมาให้!”


เหมียวอี้ยิ้มมุปากอย่างบันเทิงใจ ถ้าไม่มีความมั่นใจนี้เขาจะกล้าปล่อยห้าปราชญ์ไปได้อย่างไร ไม่ใช่เพราะในมือตัวเองดึงเชือกไว้หรอกเหรอ เขากล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ข้าเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าตัวเองจะเก็บช่องทางค้นหาหกเคล็ดวิชาพิเศษได้ จำเป็นต้องยอมรับว่าตัวเองดวงดี”


อวิ๋นจือชิวบอกว่า “ที่ซ่อนเคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าภาคดินถูกไขปริศนาออกมาได้แล้ว เจ้าเป็นคนคุมตลาดสวรรค์ หายตัวไปบ่อยๆ คงไม่ดีเท่าไร ข้ากะว่าจะรอให้เรื่องทางนี้นิ่งก่อน แล้วจะเปิดใช้งานเคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าภาคดินตามวิธีที่เจ้าบอก ดูว่าจะขุดเบาะแสของเคล็ดวิชาที่ตามมาต่อจากนั้นได้หรือเปล่า ของพวกนี้ต้องบีบไว้ในมือพวกเราให้มั่นคงสักหน่อย”


“เจ้าจะไปเหรอ?” เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วส่ายหน้าบอกว่า “ไม่เหมาะหรอก! ถ้าเจ้าไปเจออันตรายขึ้นมาจะทำยังไง? ข้าไม่วางใจ!”


เมื่อได้ยินแบบนี้ อวิ๋นจือชิวก็รู้สึกเหมือนในใจได้ดื่มน้ำผึ้งหวาน บ่นว่า “ข้าไปแล้วเสี่ยงอันตราย แต่เจ้าไปก็เสี่ยงอันตรายเหมือนกันไม่ใช่เหรอ? คิดว่าข้าวางใจให้เจ้าไปเสี่ยงอันตรายรึไง?”


“ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอันตรายหรือไม่อันตราย” เหมียวอี้โบกมือ “การที่ได้แผนที่ซ่อนสมบัติต่อเนื่องกันเป็นชุดแบบนี้ มันเกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชาฝึกตนของข้า ตอนที่อยู่ระหว่างการทดสอบหนึ่งร้อยปี ภาพเหตุการณ์ที่เห็นตอนเปิดใช้มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงภาคดินก็ยิ่งทำให้ข้าสงสัยว่าที่ซ่อนสมบัติเกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชาอะไรของข้า ไม่ต้องเถียงกันเรื่องนี้แล้ว ข้าไปเองจะเหมาะสมกว่า ไม่ได้จะรีบไปตอนนี้ด้วย วรยุทธ์ข้าใกล้จะบรรลุระดับบงกชทองขั้นสี่แล้ว ในสิบกว่าปีนี้ข้าจะตั้งใจฝึกตนอย่างเดียว หลังจากบรรลุวรยุทธ์ข้าก็จะไปค้นหาทันที”


คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดมีเหตุผล อวิ๋นจือชิวไม่ได้พูดอะไรอีก


สุราอาหารถูกเตรียมไว้ครบครัน บรรดาอนุภรรยามีฝีมือการทำอาหารที่ไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไร โชคดีที่มีกลุ่มหญิงรับใช้คอยจัดการ แบบนี้ก็พอจะถูไถไปได้เหมือนกัน


อวิ๋นจือชิวให้กลุ่มหญิงรับใช้แยกไปนั่งรวมกันอีกโต๊ะหนึ่ง ส่วนคนในครอบครัวก็นั่งโต๊ะเดียวกัน อวิ๋นจือชิวกับฉินเวยเวยนั่งอยู่ทางซ้ายและขวาของเหมียวอี้


ตอนที่กำลังชูจอกสุราดื่มเชื้อเชิญดวงจันทร์และพูดคุยกัน เหมียวอี้ชำเลืองมองฝ่าอินที่เริ่มกินอาหารที่มีเนื้อสัตว์เป็นระยะ ทำให้รู้สึกปวดประสาทนิดหน่อย


จำเป็นต้องยอมรับ การอยู่ที่ตำหนักสวรรค์ถ้ามีทั้งภูมิหลังทั้งอำนาจ การใช้ชีวิตแต่ละวันก็ชุ่มฉ่ำชุ่มชื่นจริงๆ ภายใต้สถานการณ์ที่มั่นคงของตำหนักสวรรค์ โดยทั่วไปยังไม่มีใครกล้ามองข้ามกฎสวรรค์ ส่วนเหมียวอี้ก็อยู่ในขอบเขตนี้พอดี การคุมตลาดสวรรค์ทำให้มีอำนาจไม่ขาด มีรายได้ประจำ ในแต่ละปีมีร้านค้าใหญ่ๆ มาติดสินบนไม่ขาดเช่นกัน เบื้องหลังก็มีปี้เยว่ฮูหยินคอยหนุนหลังให้ความสำคัญ เรื่องจุกจิกหยุมหยิมก็ให้ลูกน้องจัดการ เป็นการมอบโอกาสให้เขาได้ฝึกตนอย่างสงบใจจริงๆ


สำหรับคนในแดนฝึกตน สิบกว่าปีก็เหมือนกับหนึ่งวันของมนุษย์ธรรมดา เมื่อเข้าสู่สภาวะฝึกตน ก็ทำให้ลืมเวลาที่ล่วงเลยไปแล้ว


เดิมทีเหมียวอี้อยากจะบรรลุระดับบงกชทองขั้นสี่ในรวดเดียว ทว่าในวันหนึ่งหลังจากนั้นไม่กี่ปี จู่ๆ ก็ได้รับข้อความจากระฆังดาราของอวิ๋นจือชิว : รีบกลับมา เฮยทั่นมีความเปลี่ยนแปลงผิดปกติ!


เหมียวอี้รีบถาม : เป็นอะไรไป?


อวิ๋นจือชิวตอบเพียงสามคำ : รีบกลับมา!


เห็นได้ชัดมาก สถานการณ์ค่อนข้างเร่งด่วน อวิ๋นจือชิวไม่มีเวลามาคุยเล่นไร้สาระกับเขาแล้ว


เหมียวอี้ที่กำลังนั่งขัดสมาธิลุกพรวดขึ้นมา รีบมาถึงร้านโฉมเมฆาผ่านทางใต้ดิน


เยารั่วเซียนถูกส่งตัวกลับพิภพเล็กไปแล้ว ได้กลายเป็นเจ้าสำนักงามวิจิตรอย่างสมเหตุสมผล ตอนนี้เฮยทั่นกับตั๊กแตนถูกดูแลโดยอวิ๋นจือชิว


พอบุกเข้ามาในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ของอวิ๋นจือชิว เหมียวอี้ก็ตกใจกับภาพเหตุการณ์ที่ยุ่งเหยิงระเกะระกะของชัยภูมิถ้ำสวรรค์ เห็นเพียงบ้านเรือนถล่มกลายเป็นซาก ในสวนดอกไม้มีเสียงของอวิ๋นจือชิวดังมา “หนิวเอ้อร์! ทางนี้!”


เหมียวอี้รีบพุ่งตัวเข้าไป ในสวนดอกไม้ที่ถูกย่ำยีจนเสียหายสุดๆ อวิ๋นจือชิว เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์กำลังร่วมมือกันตรึงเอาไว้เฮยทั่น


เฮยทั่นที่ถูกหกมือของทั้งสามคนกดไว้สั่นเทิ้มไปทั้งตัว เท้าทั้งสี่ขึ้นลงอย่างช้าๆ ไม่หยุด กำลังสั่นหัวส่ายหางอย่างช้าๆ อยู่อย่างนั้น รูทวารทั้งเจ็ดมีเลือดสดสีแดงเข้มซึมออกมา สีหน้ามีแต่ความเจ็บปวดทรมาน


“อู…” เมื่อเห็นเหมียวอี้มาแล้ว เฮยทั่นก็ส่งเสียงร้องอย่างอ้างว้าง ดวงตาที่มีเลือดไหลมองเหมียวอี้อย่างเศร้าวังเวง มั่นสั่นหัวเหมือนกำลังขอร้องให้เหมียวอี้ช่วยชีวิตมัน เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ความทุกข์ทรมานธรรมดา


ภาพนี้ทำให้เหมียวอี้ปวดใจไม่หาย อวิ๋นจือชิวที่หันกลับมามองแวบหนึ่งตะคอกว่า “ยังจะมัวดูอะไรอยู่อีก รีบมาช่วยจับสิ พวกเราใกล้จะควบคุมไม่ไหวแล้ว แรงของมันเยอะมาก! ถ้าปล่อยให้มันวิ่งอีก ชัยภูมิถ้ำสวรรค์คงพังแน่ ถ้าบุกออกจากตลาดสวรรค์ไป ข้าก็ไม่อยากจะคิดถึงผลที่จะตามมา!”


เหมียวอี้ตกใจทันที ขนาดนั้นวรยุทธ์บงกชทองอย่างอวิ๋นจือชิวยังควบคุมไม่อยู่เลยเหรอ?


ไม่พูดพร่ำทำเพลงแล้ว เหมียวอี้ถลันตัวเข้าไปทันที ยื่นมือไปกดตัวเฮยทั่นเอาไว้ วรยุทธ์ของเขาสูงกว่าอวิ๋นจือชิว ผู้หญิงสามคนร่วมมือกันก็ยังควบคุมมันไม่ไหว


พอเหมียวอี้ลงมือเอง ก็ควบคุมเฮยทั่นได้ทันที


ผู้หญิงสามคนที่เหนื่อยจนเหงื่อท่วมตัวถึงได้ถอยออกมาหอบหายใจเฮือกใหญ่ เหมียวอี้หันกลับมาถามว่า “เจ้าโจรอ้วนมันเป็นอะไร?”


อวิ๋นจือชิวยกแขนเสื้อปาดเหงื่อ แล้วส่ายหน้าบอกว่า “ไม่รู้! จู่ๆ ก็ตื่นขึ้นมา เหมือนกับเป็นบ้าไปแล้ว วิ่งชนมั่วๆอยู่ในชัยภูมิถ้ำสวรรค์มั่ว ดูมันทำบ้านข้าพังสิ ดูจากท่าทางแล้ว หรือว่ามันจะมีวิวัฒนาการ?”


เหมียวอี้หันขวับไปมองเฮยทั่น แล้วถามว่า “โจรอ้วน เจ้ากำลังจะวิวัฒนาการใช่มั้ย?”


เฮยทั่นฟังภาษามนุษย์เข้าใจแล้ว แต่กลับส่ายหน้าอย่างเจ็บปวด เหมือนมันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเป็นอะไรไป


พอเป็นแบบนี้ เหมียวอี้ก็ร้อนใจนิดหน่อย ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ พลังที่อยู่บนตัวเฮยทั่นเหมือนจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพิ่มเยอะขึ้นจนเหมียวอี้แทบจะควบคุมไม่ไหวแล้วกินยาเจี๋ยตันมาสะสมไว้ในร่างกายหลายปีขนาดนี้ เหมือนพลังงานจะเริ่มปะทุแล้ว


ถ้าปล่อยให้เฮยทั่นทำลายชัยภูมิถ้ำสวรรค์ แล้วบุกไปที่ตลาดสวรรค์จริงๆ แบบนั้นก็ไม่รู้ว่าจะมีร้านค้ากี่ร้านที่โดนมันชนพัง แล้วคนที่อยู่ตรงนี้ก็ดันควบคุมเฮยทั่นไม่ไหวด้วย เหมียวอี้กระวนกระวายแล้ว!


…………………………


บทที่ 1136 วิวัฒนาการ (1)

โดย

Ink Stone_Fantasy

ภายใต้ความร้อนรน เหมียวอี้หันกลับมาถามว่า “เจ้าแน่ใจนะว่ามันกำลังจะวิวัฒนาการ ไม่ได้ให้กินอะไรผิดไปใช่มั้ย?”


“ข้าว่าเจ้าต่างหากที่ไปกินอะไรผิดมา มันจะไปกินอะไรผิดได้ หรือเจ้าคิดว่าข้าให้มันกินของมั่วๆ?” อวิ๋นจือชิวกลอกตามองบน แล้วบอกว่า “กินยาเจี๋ยตันมาหลายปีขนาดนี้แล้ว ทุ่มเงินไปเยอะขนาดนี้ ก็น่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้างแล้วล่ะ คงมีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะวิวัฒนาการ เออใช่ จีเหม่ยลี่เป็นนักพรตปีศาจอยู่แล้ว ฝึกมหาเคล็ดวิชาหมื่นปีศาจ นางคงเข้าใจเรื่องนี้ดีกว่า”


“แล้วทำไม่เรียกจีเหม่ยลี่มาดูล่ะ? ข้าเองก็แทบจะควบคุมไม่ไหวแล้ว พลังของมันยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ!” เหมียวอี้ทั้งโมโหทั้งอยากขำ


“ควบคุมไม่ไหวงั้นเหรอ! งั้นก็ออกแรงเหมือนตอนที่เจ้าดูดนมสิ ข้าเห็นเจ้าเหนื่อยแล้วข้ามีความสุข” อวิ๋นจือชิวพูดหยอกล้อ


เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์เม้มปากกลั้นขำ


เหมียวอี้กัดฟันบอกว่า “พวกผู้หญิงแสบ เจ้าจงใจวางกับดักข้าใช่มั้ย? ได้! ถึงอย่างไรเจ้าก็นมใหญ่ เดี๋ยวกลับไปก็คอยดูแล้วกันว่าข้าจะออกแรงดูดนมเจ้ายังไง ถึงตอนนั้นอย่ามาเสียใจทีหลังแล้วกัน!”


เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์กลั้นขำแทบแย่แล้ว


“ลามก!” อวิ๋นจือชิวมองเหยียด ปากก็ด่าคน แต่มือก็ยังหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับจีเหม่ยลี่ จากนั้นก็หันกลับมาสั่งอีกว่า “เสวี่ยเอ๋อร์ ไปตอนนับหรูฮูหยินท่านนั้นมา”


“เจ้าค่ะ!” เสวี่ยเอ๋อร์เอยรับคำสั่งแล้วออกไป


ส่วนอวิ๋นจือชิวก็ดินมาข้างกายเหมียวอี้ เรียกไม้กระบองมาไว้ในมือด้ามหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจกับคำพูดลามกของเหมียวอี้ก่อนหน้านี้ นางเคาะขาเหมียวอี้เบาๆ “หนิวเอ้อร์ ขาเจ้าจะสั่นอะไรนักหนา?”


เหมียวอี้แยกเขี้ยวด่าว่า “นางมารร้าย! ข้าแทบจะควบคุมไม่ไหวแล้ว เจ้ายังไม่รีบมาช่วยอีก”


คำด่าประเภท ‘นางมาร’ เขาด่าแค่อวิ๋นจือชิวเท่านั้น ที่สำคัญคือเขาจะด่าอวิ๋นจือชิวอย่างไรก็ได้ อวิ๋นจือชิวจะปล่อยให้เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาแน่นอน ถ้าไปด่าฉินเวยเวยกับพวกอนุภรรยาแบบนี้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกนางจะคิดอย่างไร


“นี่! ยังจะกล้าด่าข้าอีกเหรอ?” อวิ๋นจือชิวชูไม้กระบองเคาะหน้าผากเหมียวอี้สองครั้งอย่างไม่เกรงใจ จากนั้นไม้กระบองก็ย้ายไปจ่อหน้าปากเหมียวอี้อีก “ถ้าด่าอีก เจ้าเชื่อมั้ยว่าข้าจะทำให้ฟันเจ้าร่วง? ข้าสงสัยว่ามือเจ้าจะสั่นทำไม? เป็นชายชาตรี แม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็ควบคุมไม่ได้เหรอ แล้วเจ้ายังจะไปทำอะไรได้อีก?” ไม้กระบองเคาะที่แขนเหมียวอี้อีกครั้ง ออกแรงค่อนข้างเยอะ ถือว่าเป็นการตีคนแล้ว


“พอแล้ว นับว่าเจ้าโหด รีบมาช่วยข้าเร็วๆ!” เหมียวอี้หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกทันที


อวิ๋นจือชิวหลุดขำ “เจ้าเห็นข้าเป็นอะไร? ใช่คนที่เจ้าคิดจะด่าก็ด่าได้งั้นเหรอ? เอาสิ! เรียกให้เพราะๆ หน่อย เรียกให้ข้าผ่อนคลายแล้ว ไม่แน่ข้าอาจจะไม่ถือสาผู้น้อยอย่างเจ้า”


“เจ้า…ช่าง ถือว่าเจ้าโหด! ท่านย่า! ท่านย่าอวิ๋น! เลิกเอาไม้กระบองมาเคาะบนตัวข้าได้มั้ย?”


“ท่านย่าเหรอ? ข้าดูแก่ขนาดนั้นรึไง? หนิวเอ้อร์ เจ้ารังเกียจที่ข้าอายุมากกว่าเจ้านี่นา! เชอะ! ข้ารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเจ้าคิดแบบนี้!”


“เจ้า…สุดที่รัก!”


ที่จริงอวิ๋นจือชิวแค่อยากจะแกล้งเขาเล่นเฉยๆ แต่พอเห็นเขาแทบจะทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ถึงได้แสยะยิ้มบอกว่า “ยังมาพูดลวกๆ อีก!”


พอเก็บไม้กระบอง ร่ายอิทธิฤทธิ์ยื่นมือไปกดบนตัวเฮยทั่นเช่นกัน เมื่อมีคนออกแรงช่วย สุดท้ายเหมียวอี้ก็โล่งอกแล้ว


อวิ๋นจือชิวเรียกพบด่วน ทางจีเหม่ยลี่ย่อมไม่ชักช้า รีบมาอย่างเร็วไว หลังจากตามเสวี่ยเอ๋อร์เข้ามา นางก็มองดูสภาพในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ครู่หนึ่ง แล้วก็จ้องเฮ่ยทั่นที่กำลังถูกเหมียวอี้และฮูหยินควบคุมพลางถามว่า “นี่มันอะไรกันคะ?”


“สัตว์พาหนะเกิดการเปลี่ยนแปลงผิดปกติ เจ้ามาดูหน่อยว่ามันกำลังจะวิวัฒนาการแล้วรึเปล่า?” เหมียวอี้ถาม


“วิวัฒนาการ?” จีเหม่ยลี่จ้องเฮยทั่นด้วยสายตาประหลาดใจ “เจ้าบอกว่าอาชามังกรกำลังจะวิวัฒนาการเหรอ?” คนอื่นอาจจะไม่เข้าใจ แต่นางกลับเข้าใจชัดเจน สัตว์พาหนะที่สามารถวิวัฒนาการได้เป็นสัตว์พาหนะระดับสูงมาก อาชามังกรที่แดนฝึกตนมีมากขนาดนั้น ถ้ามันสามารถวิวัฒนาการได้ ก็นับว่าล้ำค่าหายากเหมือนขนหงส์และเขากิเลนจริงๆ


“ถ้ารู้คงไม่เรียกเจ้ามาหรอก ข้าเรียกเจ้ามาดูไม่ใช่หรือไม่?” เหมียวอี้ถาม


จีเหม่ยลี่ก็ไม่เคยเห็นเรื่องวิวัฒนาการมาก่อนเหมือนกัน ไม่มีประสบการณ์อะไรทั้งนั้น ขณะที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเฮยทั่น จู่ๆ ก็พลิกฝ่ามือ ปราณปีศาจที่เข้มข้นกลุ่มหนึ่งถูกตบออกมาจากฝ่ามือ ปราณปีศาจกรอกเข้าไปในรูจมูกของเฮยทั่นแล้ว


ผ่านไปครู่เดียวก็โบกมือเก็บ เก็บปราณปีศาจในร่างกายเฮยทั่นกลับมา แล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “สงสัยอาชามังกรตัวนี้จะเป็นอาชามังกรประเภทสายเลือดตื่นรู้ตามที่ตำนานบอกไว้จริงๆ โครงสร้างในร่างกายมันกำลังเปลี่ยนใหม่อย่างรวดเร็วภายใต้พลังงานมหาศาล มีเค้าลางที่จะวิวัฒนาการจริงๆ หาอาชามังกรตัวนี้มาจากไหนเหรอ?”


ถึงแม้นางจะแต่งงานเข้ามาได้สักระยะหนึ่งแล้ว แต่ก็ไม่รู้เรื่องเฮยทั่น ที่จริงคนที่ไม่รู้เรื่องเฮยทั่นก็มีไม่น้อยเลย


ตอนนี้ไม่มีเวลามาอธิบายมากเท่าไร พลังงานที่กระจายออกจากตัวเฮยทั่นกำลังเพิ่มขึ้นแบบเร็วมาก อวิ๋นจือชิวจึงถามว่า “วิวัฒนาการต้องทำยังไง?”


“ไม่ต้องทำอะไร ในเมื่อโอกาสของมันมาถึงแล้ว ก็ไม่ต้องไปควบคุมมัน ปล่อยให้มันวิวัฒนาการเองก็พอ จะสำเร็จหรือไม่ก็ต้องดูที่โชคของมัน แต่ว่า…” จีเหม่ยลี่มองไปรอบๆ แล้วขมวดคิ้วบอกว่า “ว่ากันว่าตอนที่สัตว์เทพวิวัฒนาการ อานุภาพของมันน่ากลัวมาก พลังในช่วงเวลานี้น่ากลัวกว่าหลังจากวิวัฒนาการเสร็จแล้วเสียอีก พลังป้องกันของชัยภูมิถ้ำสวรรค์มีขีดจำกัด เกรงว่าจะทนให้มันรังแกไม่ไหว ถ้าบุกออกไปที่ตลาดสวรรค์ก็จะยุ่งยากแล้ว”


มีใครไม่รู้บ้างว่าบุกไปที่ตลาดสวรรค์แล้วจะเกิดปัญหายุ่งยาก อวิ๋นจือชิวหันกลับมาบอกว่า “เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ ปิดร้านเลย บอกพนักงานทั้งหมดให้มาที่นี่ มาคุมมันให้ได้ก่อนพามันไปไกลๆ หน่อย”


“ช้าก่อน!” เหมียวอี้ส่งเสียงห้าม ในเมื่อแน่ใจแล้วว่ากำลังจะวิวัฒนาการ แบบนั้นก็จัดการง่ายแล้ว จู่ๆ เขาก็ใช้มือข้างที่ว่างโบกเรียกตั๊กแตนที่ร่างกายใหญ่กำยำเหมือนวัวให้บินออกมา ท่ามกลางลมที่ถูกกระพือขึ้นมา ขาที่เหมือนเคียวเกี่ยวข้าวก็จิ้มบนก้นเฮยทั่น


ในภาพความทรงจำของเขา เฮยทั่นเหมือนจะกลัวตั๊กแตนที่สุด


ผ่านไปไม่นาน เริ่มจากบนก้นของเฮยทั่น น้ำค้างขาวหนึ่งชั้นลุกลามไปทั่วตัวของเฮยทั่นอย่างรวดเร็ว และไม่นานทั้งตัวมันก็ถูกครอบด้วยน้ำแข็งแล้ว ราวกับถูกแช่แข็ง มันยืนอยู่กับที่ไม่ขยับไปไหน


เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวปล่อยมือและถอนหายใจออกมาพร้อมกัน แต่จีเหม่ยลี่กลับจ้องตั๊กแตนที่กระพือปีกอยู่กลางอากาศตาปริบๆ


เหมียวอี้เก็บตั๊กแตนแล้ว และนำเฮยทั่นเก็บเข้ากระเป๋าสัตว์ทันที บอกอวิ๋นจือชิวว่า”ข้าจะออกไปหาสถานที่นอกเมือง”


“เก็บข้าใส่กระเป๋าสัตว์ไปด้วย  ข้าจะไปคอยดูมันอยู่ข้างใน” อวิ๋นจือชิวบอก


ใครจะคิดว่าจีเหม่ยลี่จะกล่าวว่า “ข้ายังไม่เคยเห็นสัตว์เทพวิวัฒนาการมาก่อน พาข้าไปดูด้วยเถอะ”


เมื่อคิดว่าพานางไปด้วยอาจจะยังช่วยอะไรได้บ้า เหมียวอี้ก็ไม่บ่นอะไรแล้ว เก็บทั้งสองเข้าไปโดยตรง กำชับเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ให้เฝ้าบ้าน แล้วออกจากชัยภูมิถ้ำสวรรค์ไปอย่างรวดเร็ว กลับมาที่จวนผู้บัญชาการผ่านทางใต้ดิน แล้วก็ออกจากจวนผู้บัญชาการอีก ก่อนจะเหาะผ่านประตูเมืองออกไปโดยตรง ทหารยามจะขวางเขาได้อย่างไร


หลังจากออกจากเมืองก็เหาะด้วยความเร็วสูง


ทว่าอวิ๋นจือชิวและจีเหม่ยลี่ที่อยู่ในกระเป๋าสัตว์กลับตกใจขึ้นมาอย่างกะทันหัน น้ำแข็งที่เกาะบนตัวเฮยทั่นมีเสียงกรอบแกรบเล็กน้อย นอกจากน้ำแข็งที่ครอบตัวจะเกิดเป็นรอยแยกแล้ว ยังมีสภาพเหมือนจะละลายด้วย


ทั้งสองยื่นมือไปลูบเฮยทั่นพร้อมกันโดยจิตใต้สำนึก ผลก็คือพบว่าอุณหภูมิร่างกายของเฮยทั่นสูงขึ้นเยอะมาก


อวิ๋นจือชิวร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนเรียกทันที “หนิวเอ้อร์ หนิวเอ้อร์!”


พอสิ้นเสียง ก็ถูกเหมียวอี้เรียกออกมา เมื่อนางเล่าถึงสถานการณ์ข้างใน เหมียวอี้ก็นำกระเป๋าสัตว์ให้นางทันที แล้วตัวเองก็เข้าไปข้างในแทน


เมื่อเข้ามาข้างใน ก็พบว่าน้ำแข็งบนตัวเฮยทั่นละลายไปแล้วพอสมควร เฮยทั่นเริ่มขยับอีกครั้ง จีเหม่ยลี่กำลังพยายามร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมเฮยทั่นอย่างสุดชีวิต


เหมียวอี้จึงเรียกตั๊กแตนออกมาเสียเลย ใช้ขาที่เหมือน ‘เคียวเกี่ยวข้าว’ จิ้มไปอีก จึงเห็นน้ำแข็งปกคลุมทั้งตัวเฮยทั่นอีกครั้ง ควบคุมเฮยทั่นให้สงบลงได้แล้ว


เหมียวอี้กับจีเหม่ยลี่มองหน้ากันเลิกลั่ก แล้วถอนหายใจพร้อมกัน


ทว่าครั้งนี้ประสิทธิภาพของน้ำแข็งแย่ลงเยอะมาก ทั้งสองยังผ่อนคลายได้ไม่เท่าไร น้ำแข็งก็ละลายอย่างรวดเร็ว


ดังนั้นตั๊กแตนจึงใช้ขาจิ้มลงไปอีก ทำให้ควบคุมเฮยทั่นไว้ได้อีกครั้ง


แต่อุณหภูมิร่างกายของเฮยทั่นยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ความเร็วในการกำจัดปราณหยินก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน


สุดท้าย ตั๊กแตนก็ทำได้เพียงใช้ขาของตัวเองเสียบไว้บนตัวเฮยทั่นโดยไม่ขยับไปไหนแล้ว


ก่อนหน้านี้เหมียวอี้ยังกลัวว่าทำแบบนี้นานไปจะทำให้เฮยทั่นบาดเจ็บ พอดูจากตอนนี้ก็คิดว่าคงต้องทำแบบนี้เท่านั้น


แต่ทำแบบนี้ต่อไปก็คงไว้ไม่ได้นานเท่าไร ต่อให้ปราณหยินบนตัวตั๊กแตนจะกรอกเข้าร่างกายของเฮยทั่นไม่หยุด แต่เปลือกน้ำแข็งที่ครอบอยู่บนตัวเฮยทั่นก็ยังละลายหายไปไม่หยุด


ดังนั้นเหมียวอี้จึงเรียกตั๊กแตนอีกสี่ตัวออกมาพร้อมกันเสียเลย ตั๊กแตนห้าตัวลงมือพร้อมกัน สุดท้ายก็พอถูไถควบคุมเฮยทั่นไว้ได้


ทว่าหลังจากนั้นอีกประเดี๋ยวเดียว ต่อให้ทำแบบนี้ก็ไม่มีประโยชน์แล้วเหมือนกัน อุณหภูมิร่างกายเฮยทั่นร้อนจี๋ยิ่งกว่าเตาไฟ เหมือนกับหินหนืดในภูเขาไฟจริงๆ ราวกับจะหลอมสร้างเฮยทั่นขึ้นมาใหม่ เหมียวอี้กับจีเหม่ยลี่คลำจนลวกมือ ปราณหยินของตั๊กแตนห้าตัวไม่มีทางเข้าร่างกายของเฮยทั่นได้เลย พอใกล้จะเข้าก็ถูกอุณหภูมิร่างกายของเฮยทั่นทำให้ละลายไปหมด


เฮยทั่นเริ่มดิ้นรนอย่างรุนแรง เหมือนเป็นบ้าไปแล้ว


เฮยทั่นที่มาถึงขั้นนี้แล้ว พลังเยอะจนน่าตกใจ เหมียวอี้กับจีเหม่ยลี่จะควบคุมได้อย่างไรกัน


เหมียวอี้ร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนเสียงดัง “อวิ๋นจือชิว ไม่ไหวแล้ว ปล่อยพวกเราออกไป!”


กระเป๋าสัตว์ที่สั่นอย่างรุนแรง อวิ๋นจือชิวร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจเห็นแล้ว นางจึงโบกมือเรียกพวกเหมียวอี้ออกมา


พอเห็นแสงสว่าง เฮยทั่นก็ตาแดงก่ำในชั่วพริบตาเดียว แม้แต่แรงควบคุมตัวเองครั้งสุดท้ายก็ไม่มีแล้ว


“ฮี้ๆๆ…” เสียงม้าร้องดังแสบแก้วหูอยู่กลางอากาศ เฮยทั่นทะยานเกลือกกลิ้งอุตลุตอยู่บนฟ้า เหมือนอยากจะฝ่าอุปสรรคทุกอย่าง ไม่เห็นแก่หน้าใครทั้งสิ้นแล้ว!


เหมียวอี้ อวิ๋นจือชิวและจีเหม่ยลี่ตกใจทันที รีบถลันตัวหลบเฮยทั่นที่ดีดเท้ากระโดดไปทั่ว


เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวยังดีหน่อย แต่จีเหม่ยลี่กลับตกตะลึงพรึงเพริดแล้วจริงๆ พอไม่ระวังก็แทบจะตกหลุมพราง ไม่น่าเชื่อว่าอาชามังกรตัวนี้จะเตะด้านข้างได้!


ทั้งสามได้แต่มองดูเฮยทั่นตกลงมาจากฟ้าสูง


เหมียวอี้กางแขนสองข้าง เหาะถอยหลังลงข้างล่าง ไล่ตามเฮยทั่นลงไป จากนั้นก็ขยุ้มมือกลางอากาศ อยากจะร่ายอิทธิฤทธิ์ดูดเฮยทั่นเอาไว้ มันจะได้ไม่ตกลงจากที่สูงแล้วบาดเจ็บ


แต่ก็ทำได้เพียงถ่วงความเร็วของเฮยทั่นที่กำลังตกลงมาได้นิดหน่อยเท่านั้น เฮยทั่นในตอนนี้มีพลังมากจนน่าหวาดกลัว มันอาศัยกำลังอันป่าเถื่อนดิ้นรนจนหลุดพ้นจากพลังอิทธิฤทธิ์ของเหมียวอี้ได้ เหมียวอี้ลงมือถ่วงความเร็วอีกหลายครั้งติดต่อกัน แต่ก็ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ พลังอิทธิฤทธิ์ที่ปล่อยออกมาควบคุมการขัดขืนของเฮยทั่นไม่ได้เลย


เหมียวอี้สะบัดแขนเสื้อสองข้างอีกครั้งเสียงดังพรึ่บ เขาพุ่งไปที่ด้านล่างของเฮยทั่น ร่ายอิทธิฤทธิ์โจมตีขึ้นไปหาเฮยทั่นที่กำลังตกลงมาซ้ำๆ อาศัยแรงสะเทือนของพลังอิทธิฤทธิ์ที่โจมตีถ่วงความเร็วของเฮยทั่นที่ตกลงมา แล้วก็ได้ผลอย่างที่คาดไว้จริงๆ


จีเหม่ยลี่ที่เหาะถอยหลังตามลงมาแววตาวูบไหว นางรู้สึกตกตะลึงอยู่บ้าง จากสีหน้าและการกระทำของเหมียวอี้ ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเหมียวอี้เหมือนจะมีความผูกพันกับอาชามังกรตัวนี้มาก เหมือนไม่อยากให้มันได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย กำลังพยายามปกป้องอาชามังกรตัวนี้อย่างสุดกำลัง


…………………………


บทที่ 1137 วิวัฒนาการ (2)

โดย

Ink Stone_Fantasy

เหมียวอี้เหยียบพื้นลงก่อนก้าวหนึ่ง พอโบกฝ่ามือออกไป พลังอิทธิฤทธิ์ก็โหมซัดสาดออกมา ชนให้เฮยทั่นกระเด็นออกไปในแนวขวาง ตกลงกระแทกพื้นอย่างลีกเหลี่ยงไม่ได้


ตุ้บ! ผิวดินโดนกระแทกจนเกิดเป็นหลุม เฮยทั่นที่กลิ้งอยู่บนพื้นถือโอกาสลุกขึ้นมา ดวงตาสองข้างสีแดงเลือด เลี้ยวหันทะยานกีบเท้าพุ่งเข้ามาหาคนที่โจมตีมัน เป้าหมายของการโจมตีย่อมเป็นเหมียวอี้อยู่แล้ว


“โจรอ้วน!” เหมียวอี้ตะโกนเรียก แต่ไม่นานก็พบว่าเปลืองคำพูด ตอนนี้เฮยทั่นเหลือเพียงสัญชาตญาณเท่านั้น มันจำเขาไม่ได้เลย


พรึ่บ! เหมียวอี้พุ่งขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็ว หนีไปแล้ว


ปั้ง! เฮยทั่นที่กีบเท้าทั้งสี่กระแทกพื้นอยู่พักหนึ่งพลันพุ่งขึ้นมา ภายใต้การโจมตีด้วยกีบเท้าที่แข็งแกร่งของมัน ผิวดินพังยุบลงไป ท่ามกลางผิวดินที่ระเบิดปลิวว่อน มันกระโดดขึ้นสูงประมาณสามร้อยจั้ง พลังกระโดดน่าตกใจมาก มันกำลังไล่สังหารเหมียวอี้ที่ทะยานขึ้นฟ้า


ความเร็วที่กระโดดขึ้นมาก็น่าทึ่งเช่นกัน เหมียวอี้แทบจะโดนมันชนแล้วจริงๆ อาศัยพลังชนโจมตีของเฮยทั่นในเวลานี้ ถ้าถูกชนขึ้นมาเกรงว่าจะทนรับได้ยาก เหมียวอี้ถลันตัวหลบไปด้านข้าง เฮยทั่นแทบจะเฉียดผ่านร่างกายเขาไป


เมื่ออยู่บนท้องฟ้า เห็นได้ชัดว่าพลังอันป่าเถื่อนของเฮยทั่นใช้ไม่ได้ผลแล้ว พลังกระโดดของมันก็ทำได้แค่ขึ้นลงเป็นเส้นตรง ไม่สามารถเเลี้ยวโค้งบนท้องฟ้าได้ ความเร็วของมันลดลงขณะอยู่กลางอากาศ ตัวมันวาดผ่านฟ้าเป็นแนวเส้นโค้งและตกลงกระแทกผิวดินอีกครั้ง


ปั้ง! ผิวดินถูกกระแทกเป็นหลุมลึก ฝุ่นดินปลิวว่อน


เหมียวอี้ยังเป็นห่วงว่ามันตกลงไปแบบนี้จะได้รับบาดเจ็บ ขณะกำลังจะลงไปดูว่ามันเป็นอย่างไร ใครจะคิดว่าเฮยทั่นจะกระโดดออกมาจากฝุ่นดินที่ตลบฟุ้งอีกครั้ง พุ่งโจมตีมาที่เขาราวกับลูกธนูที่ออกจากสาย


เหมียวอี้ถลันตัวหลบอีกครั้ง ทว่าเฮยทั่นให้ความรู้สึกเหมือนถ้าเขาไม่ตายก็จะไม่หยุด ขึ้นๆ ลงๆ ไม่รู้จักจบจักสิ้น เหมือนกับเป็นบ้าไปแล้ว เหมือนจิตใต้สำนึกของมันจำได้แค่ว่าคนคนนี้เพิ่งทำร้ายมันไป ต้องล้างแค้น!


อวิ๋นจือชิวกับจีเหม่ยลี่ที่หยุดลอยอยู่บนฟ้าสบตากันแวบหนึ่ง แล้วก้มหน้ามองความเคลื่อนไหวข้างล่างต่อไป


“โจรอ้วน เจ้าช่างกล้า!” เหมียวอี้ที่อยู่ระดับต่ำกว่านั้นชี้ด่าเฮยทั่นที่ไม่รู้จักหยุดเสียที เขากางแขนสองข้างเหาะให้สูงขึ้นอีก แล้วหยุดอยู่ข้างกายผู้หญิงทั้งสองคน


เฮยทั่นที่กระโดดอยู่ด้านล่างสองครั้ง ในที่สุดก็ตัดใจแล้ว มันไม่สามารถกระโดดให้สูงถึงระดับที่เหมียวอี้กำลังลอยอยู่ได้ กระโดดไปกระโดดมาก็มีแต่ตัวเองที่ล้มเจ็บ


แต่มันก็ยังไม่มีทางหยุดได้ ทรมานเหมียวอี้ไม่ได้ก็ทรมานตัวเอง กลิ้งเกลือกอยุ่บนพื้นไม่หยุด ทั้งตัวเหมือนมีพลังงานที่ใช้ไม่หมด


เหมียวอี้ที่ลอยอยู่บนฟ้าเห็นแล้วขมวดคิ้วมุ่น หันกลับมาถามว่า “เหม่ยลี่ เจ้าแน่ใจนะว่ามันกำลังวิวัฒนาการ? วิวัฒนาการต้องทรมานแบบนี้ด้วยเหรอ?”


“ข้าแน่ใจได้ว่าวิวัฒนาการ เพียงแต่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน ถ้าเจ้าจะให้ข้าอธิบายแบบละเอียด ข้าก็พูดไม่ได้เหมือนกัน” จีเหม่ยลี่ตอบ


ดังนั้นจึงทำได้เพียงรอคอย หลังจากรอได้ครึ่งชั่วยาม จู่ๆ เฮยทั่นก็กระโดดขึ้นมา แล้วปลดปล่อยความเร็วของเท้าทั้งสี่ให้วิ่งตะบึง


สามคนที่อยู่บนท้องฟ้าขยับตัว ไล่ตามไปทันที


ทั้งสามกำลังเหาะตามมันอยู่บนท้องฟ้า เฮยทั่นกำลังตำซ้ายชนขวาอยู่บนพื้นดิน เมื่อเจอแม่น้ำก็ข้ามผ่านไป ต้นไม้ถูกกชนกระเด็นอย่างง่ายดาย ภูเขาและก้อนหินที่ขวางพังถล่มเหมือนดาวตก เมื่อเจอภูเขาก้อนใหญ่ กีบเท้าทั้งสี่ก็ก้าวข้ามไปอย่างรวดเร็วปานฟ้าแลบ สลักเส้นทางที่วิ่งผ่านไว้บนผิวดินอย่างชัดเจน รุนแรงเกินต้าน มีความเร็วที่น่าทึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าทั้งสามที่เหาะอยู่บนฟ้าจะต้องเคี่ยวเข็ญความเร็วตามมัน


โชคดีที่วิ่งอยู่บนพื้นดิน จึงถูกจำกัดด้วยสภาพทางภูมิศาตร์ ถ้ามันกำลังวิ่งตะบึงอยู่บนพื้นราบ ทั้งสามจะต้องตามความเร็วของมันไม่ทันแน่นอน เหมียวอี้ทั้งตกตะลึงทั้งตื่นเต้นดีใจ


“แย่แล้ว! มันวิ่งกลับไปอีกแล้ว!” อวิ๋นจือชิวพลันตะโกนบอก


พอเหมียวอี้กับจีเหม่ยลี่มองดูทิศทาง ก็พบว่าแย่แล้วจริงๆ เฮยทั่นกำลังวิ่งไปทางตลาดสวรรค์


เหมียวอี้ก้มหน้ากวาดมองพื้น แล้วจู่ๆ ก็ลดระดับในการเหาะให้ต่ำลง เหาะขนาบไปกับพื้นเพื่อถือโอกาสช้อนหินก้อนใหญ่มาไว้ในมือ รีบไล่ตามเฮยทั่นให้ทัน แล้วทุ่มก้อนหินเข้าไป


โครม! เฮยทั่นที่โดนกระแทกกลิ้งอยู่บนพื้นสูญเสียการควบคุมความเร็ว ป่าไม้ถูกชนโค่นจนล้มราบเป็นวงกว้างตลอดทาง พอกระโดดขึ้นมาก็เลี้ยวทะยานพุ่งชนไปทางเหมียวอี้อีกครั้ง ห้าวหาญดุร้ายไม่ธรรมดา!


เหมียวอี้รีบหลบออกไป ล่อให้มันไปยังทิศทางตรงกันข้าม หลังจากเปลี่ยนทิศทางวิ่งตะบึงของเฮยทั่นได้แล้ว เขาถึงได้ลอยสูงขึ้นจนเฮยทั่นทำอะไรไม่ได้


รอจนกระทั่งเฮยทั่นก้มหน้าวิ่งไปข้างหน้าอีกครั้ง เหมียวอี้และคนอื่นๆ ถึงได้ตามหลังมันไป


อาจเป็นเพราะเฮยทั่นเคลื่อนไหวรุนแรงตลอดทาง ในป่าภูเขาไกลๆ จึงมีนักพรตหลายคนโผล่ออกมา ลอยขึ้นฟ้าเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น


เมื่อเห็นอาชามังกรตัวหนึ่งที่วิ่งตะบึงด้วยความเร็วขนาดนี้ ถ้าจะไม่ให้คิดว่าเป็นของล้ำค่าก็คงยาก จึงมีคนสะบัดตาข่ายออกมาทันที ส่วนคนอื่นๆ ก็ถืออาวุธพุ่งเข้ามาพร้อมกัน มีท่าทีว่าจะปล้นแย่งพวกเหมียวอี้


จีเหม่ยลี่ที่จูงมือเหาะอยู่กับอวิ๋นจือชิวเห็นสถานการณ์แล้วทำหน้าเครียด ขณะกำลังจะเตรียมต่อสู้ ใครจะคิดว่าอวิ๋นจือชิวจะกล่าวเสียงเรียบว่า “ที่นี่คือดาวเทียนหยวน โจรกระจอกพวกนี้ไม่กล้าสู้กับผู้ชายของเจ้าหรอก!”


พอเหมียวอี้ที่กำลังจ้องดูข้างหน้าพลิกฝ่ามือ หมอกสีม่วงกลุ่มหนึ่งก็พ่นออกมา ชั่วพริบตาเดียวก็ก่อตัวเป็นเกราะรบสีม่วงคลุมใส่ร่างกาย


กลุ่มคนที่พุ่งเข้ามาข้างหน้า เมื่อเห็นเกราะรบตำหนักสวรรค์ของแม่ทัพเกราะม่วงหนึ่งแถบ ก็พากันตกใจทันที


เหมียวอี้โบกมือชี้ ร่ายอิทธิฤทธิ์ตะคอกเสียงต่ำว่า “หนิวโหย่วเต๋ออยู่นี่ ใครขวาง ตาย!”


ที่ดาวเทียนหยวน ชื่อนี้ช่างเป็นชื่อที่บรรยายเจ้าของชื่อได้ดี!


กลุ่มคนที่พุ่งเข้ามาตกใจแทบแย่ คนที่สามารถเกราะรบแม่ทัพแบบนี้ได้ ที่ดาวเทียนหยวนมีอยู่ไม่เยอะ คนที่สวมเกราะรบแม่ทัพทั้งยังชื่อหนิวโหย่วเต๋อ ก็มีเพียงผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์เท่านั้น พวกเขาไม่สงสัยแล้ว ถลันตัวหลีกทางเป็นสองฝั่งอย่างลุกลี้ลุกลน แล้วหนีไปทางซ้ายและขวาอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง มีบางคนเอาแขนเสื้อบังหน้าขณะหลบหนีด้วย เหมือนกลัวว่าเหมียวอี้จะจำหน้าได้


ก่อนหน้านี้เคยได้ยินมาแล้ว วันนี้จีเหม่ยลี่นับว่าได้เห็นอำนาจบารมีของเหมียวอี้กับตาตัวเอง แค่ประกาศชื่อออกมาก็ทำให้คนหนีโดยที่ยังไม่แน่ใจว่าจริงหรือปลอมด้วยซ้ำ จะเห็นได้ว่ามีอำนาจคับฟ้าที่ดาวเทียนหยวนจริงๆ!


เหมียวอี้เองก็ไม่มีกะจิตกะใจจะสนใจกลุ่มโจรที่ขวางทาง สาเหตุหลักเป็นเพราะกำลังสนใจเฮยทั่นอยู่ การเปลี่ยนแปลงบนตัวเฮยทั่นเริ่มทำให้เขากังวลแล้ว


ภายใต้การพุ่งชนตลอดทาง บนตัวของเฮยทั่นแทบจะเต็มไปด้วยเลือด ไม่น่าเชื่อว่าผิวหนังที่แข็งแรงทนทานจะเต็มไปด้วยรอยแยก ทุกที่มีเม็ดเลือดซึมออกมา


หัวชนจนบวมเป็นซาลาเปา แต่ไม่นานเหมียวอี้ก็พบว่ามันไม่ใช่ซาลาเปาอะไรเลย แต่เป็นอะไรบางอย่างที่งอกนูนขึ้นมาบนยอดหัวของเฮยทั่น ดันผิวหนังที่ทนทานขึ้นมาสองจุดอย่างเห็นได้ชัดเจน


ตามการวิ่งตะบึงที่รวดเร็วของเฮยทั่น การเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติบนตัวมันก็ยิ่งแสดงให้เห็นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ สามคนที่เหาะตามหลังจ้องไม่ละสายตา


หัวไม่ได้นูนบวมเพราะชนกระแทก ทั้งหัวกำลังขยายใหญ่ ร่างกายกำลังขยายใหญ่ ขาทั้งสี่กำลังขยายใหญ่ หางของมันขยายตัว รอยแยกบนตัวมันยิ่งกว้างขึ้นเรื่อยๆ ผิวหนังที่ทนทานจนอาวุธแทบจะฟันแทงไม่เข้ากำลังปริแตกต่อหน้าต่อตา ทำให้คนตกตะลึงพรึงเพริด


หัวเหมือนกำลังแบกซาลาเปาลูกใหญ่ ทั้งตัวผิดรูปร่างไปหมด มองไม่เห็นสภาพตอนเป็นอาชามังกรแล้ว…


ปั้ง! เสียงระเบิดดังอย่างรุนแรง เฮยทั่นใช้หัวชนหินก้อนใหญ่ที่ขวางข้างหน้าจนแตกพัง ตอนที่พุ่งออกมา หัวที่นูนขึ้นมาเหมือนซาลาเปาและมีรอยแยกได้แตกออกหมดแล้ว เขาสองแท่งที่ยาวเท่าแขนเผยออกมา เป็นเขาสีดำที่ย้อมไปด้วยเลือดสดสีแดง!


พวกเหมียวอี้ตกใจมาก มีเขางอกออกมาแล้ว ในที่สุดก็มั่นใจได้เต็มที่แล้วว่าเฮยทั่นกำลังวิวัฒนาการ!


การเปลี่ยนแปลงที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่าได้เกิดขึ้นอีกครั้ง ขาใหญ่หยาบทั้งสี่ที่กำลังวิ่งตะบึงพลันหักลง กีบเท้าที่ใหญ่เท่าหม้อดินพลันพลิกไปข้างหลัง ผิวหนังบนกีบเท้าปริแตก กรงเล็บแดงสดโผล่ออกมา กีบเท้าที่พังแล้วโดนลากวิ่งตะบึงอยู่ข้างหลังเท้าที่มีเล็บแหลมตลอดทาง


ภาพยามกรงเล็บหนึ่งข้างกับกีบเท้าสามข้างกำลังวิ่งตะบึงนั้นดูไม่เข้ากันสุดๆ!


แต่ภาพนี้ก็หายไปอย่างรวดเร็ว กีบเท้าอีกสามข้างที่เหลือทยอยกันหักลง เท้าที่มีเล็บแหลมปรากฏออกมาทีละข้าง


เสียงกีบเท้าวิ่งที่ดังเหมือนฟ้าผ่าหายไป สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือความปราดเปรียวแข็งแร็ง การเคลื่อนไหวไม่น่าตกใจอีกต่อไป แต่เวลาวิ่งจะมีลมกระพือขึ้นมา พวกเหมียวอี้ที่เบิกตากว้างมองตามอยู่ข้างหลังรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงกระแสลมที่ผิดปกติ


ตอนที่กรงเล็บทั้งสี่แข่งกันเดิน กีบเท้าพังที่โดนถ่วงลากอยู่หลังกรงเล็บแหลมก็โดนเหยียบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ภายใต้การโดนเหยียบหลายครั้ง เสียงฉีกดึงดังขั้นติดต่อกัน ผิวหนังบนร่างกายที่เต็มไปด้วยรอบปริแตก ในที่สุดก็ทนโดนดึงไม่ไหว ผิวบนร่างกายเริ่มโดนดึงออกเป็นวงกว้าง


ส่วนหัวที่ชนกระแทกครั้งแล้วครั้งเล่า ภายใต้ผลกระทบจากแรงภายนอก ผิวส่วนหัวถูกดึงออกก่อนเป็นอย่างแรก เผยใบหน้าสัตว์ป่าดุร้ายที่มีกระดองนูนออกมา ดวงตาสิงโตสีแดงเลือด เขากวางแยกออกจากกัน ทั้งหัวที่ใหญ่โตเป็นกระดองแข็งแรงสีดำที่ย้อมไปด้วยเลือด ขากรรไกรรวมทั้งส่วนคอมีขนสีดำที่ย้อมด้วยเลือด


ผิวหนังที่ลากพื้นกำลังโดนกรงเล็บเหยียบไม่หยุด ปริแตกเผยร่างจริงที่อยู่ใต้ผิวออกมาเรื่อยๆ เกราะเกล็ดสีดำขนาดเท่าฝ่ามือเริ่มปรากฏจากคอลงมาข้างล่าง ปรากฏหนาแน่นราวกับเกล็ดปลา สุดท้ายก็เหลือแค่ส่วนหางที่โดนผิวครอบหนึ่งชั้น มันวิ่งลากผิวที่โดนลอกจากทั้งร่างไว้ข้างหลัง


พื้นไม่เสมอกัน สภาพทางภูมิศาสตร์ก็เปลี่ยนบ่อยเช่นกัน ผิวลอกคราบที่เต็มไปด้วยรอยปริแตกถูกลากดึงซ้ำแล้วซ้ำเล่าภายใต้สภาพทางภูมิศาสตร์ที่ซับซ้อน สุดท้ายผิวกำพร้าทั้งหมดถูกดึงลงมาจากส่วนหาง โดนแขวนไว้บนพุ่มไม้หนามพร้อมกับรอยเลือด


หางที่หยาบหนาเท่าต้นขา มีความยาวครึ่งจั้ง เต็มไปด้วยเกล็ดสีดำ มีขนสีดำที่ปลายหางกำลังกวัดแกว่งอยู่ข้างหลังเฮยทั่นแล้ว


เกราะเกล็ดบนตัวเฮยทั่นที่ดิ้นรนหลุดพ้นจากพันธนาการค่อยๆ ส่อเค้าเปิดปิด พอกางขึ้นนิดเดียวก็มีลมพัด ฝีเท้าของเฮยทั่นก็ยิ่งเบาและปราดเปรียวขึ้นเช่นกัน ค่อยๆ หลุดพ้นจากจังหวะการวิ่ง มีแนวโน้มไปทางกระโดดสูง แล่นอยู่ระหว่างแนวภูเขาด้วยความเร็วที่เหมือนกะพริบแสง เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าเฮยทั่นยังปรับตัวกับวิธีการเดินทางแบบนี้ไม่ได้


ชั่วพริบตาเดียว เกราะเกล็ดที่เปื้อนไปด้วยเลือดข้นเหนียวก็กางออกทั้งหมด เฮยทั่นที่มีลมกระพืออยู่ใต้เท้าสั่นหัวส่ายหางหนีอยู่บนท้องฟ้า ครั้งนี้ไม่ใช่การดีดตัวกระโดดขึ้นมา แต่เป็นการส่ายร่างกายเบาๆ เหาะอยู่กลางอากาศ


ยังคงไม่คุ้นชิน ร่างกายที่กำลังเหาะพลิกซ้ายพลิกขวาอยู่บ่อยครั้ง เอียงไปเอียงมาอยู่เป็นระยะ ความเร็วแบบนั้นยังสู้ตอนวิ่งบนพื้นไม่ได้


ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ก็ยังทำให้สามคนข้างหลังที่ไล่ตามสังเกตขั้นตอนการวิวัฒนาการอยู่ตลอดเบิกตากว้างจ้องแบบไม่กะพริบตา พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง บนใบหน้าเหมียวอี้เรียกได้ว่าเต็มไปด้วยความประหลาดใจปนดีใจ โจรอ้วนเหาะได้แล้ว!


ถึงแม้ท่าเหาะจะดูอัปลักษณ์มาก เหาะเอียงไปเอียงมา แต่เหมียวอี้ก็ยังอดไม่ได้ที่จะโห่ร้องด้วยความดีใจ “รีบมาดูสิ! โจรอ้วนเหาะได้แล้ว!”


ผู้หญิงทั้งสองกำลังมองด้วยความอึ้ง ไม่ต้องให้เขาเตือนหรอก


ปรับตัวเรื่องการเหาะได้เร็วมาก ใช้เวลาไปไม่นาน เฮยทั่นก็สามารถอาศัยการแกว่งหางเพื่อควบคุมสมดุลในการเหาะได้แล้ว ตามการเรียนรู้เคล็ดลับการเหาะ มันก็ยิ่งเหาะเร็วขึ้นเรื่อยๆ ทิ้งระยะห่างกับสามคนที่เหาะตามหลังไปแล้ว เหมียวอี้ไล่ตามไปข้างหน้าอย่างสุดกำลัง อวิ๋นจือชิวจูงจีเหม่ยลี่อยู่ข้างหลัง ในที่นี้จีเหม่ยลี่วรยุทธ์ต่ำสุด มีแค่ระดับบงกชทองขั้นหนึ่งเท่านั้น


สุดท้าย เหมียวอี้ก็ทำได้แค่มองตามอยู่ข้างหลังเฮยทั่น เหาะตามไม่ทันมันเลย


บังเอิญว่าข้างหน้าปรากฏมหาสมุทรกว้างใหญ่สีเขียวมรกต เฮยทั่นที่เหาะอยู่บนฟ้าพลันเหาะลงข้างล่าง โครม! ละอองน้ำพุ่งขึ้นฟ้า เอาหัวมุดลงทะเลไปแล้ว


เหมียวอี้ตามหลังมาติดๆ เดิมทีคิดจะตามลงไปดูในทะเลว่ามันเป็นอย่างไรกันแน่ แต่ใครจะคิดว่าผิวทะเลจะสั่นไหวอีกครั้ง เฮยทั่นฝ่าคลื่นพุ่งขึ้นฟ้า พอเหาะวนอยู่บนฟ้าพักหนึ่งก็พุ่งลงทะเลไปอีก จากนั้นก็เห็นมันปลุกลมสร้างคลื่นอยู่ที่ผิวทะเล พลิกตัวเล่นคลื่นไม่หยุด


ภาพนี้ไม่เหมือนท่าทางเจ็บปวดทรมานอย่างตอนแรก แต่เหมือนกำลังเล่นอย่างสนุกสนาน


เหมียวอี้เหยียบลงบนชายหาด  อวิ๋นจือชิวและจีเหม่ยลี่ที่ตามมาทีหลังก็ลงมาด้วยเช่นกัน พวกนางยืนอยู่ทางซ้ายและขวาของเขาพลางทอดสายตามองดูฟองคลื่นที่โหมซัดสาดบนผิวทะเล


…………………………


บทที่ 1138 ตามสบาย

โดย

Ink Stone_Fantasy

“โจรอ้วน!” เสียงที่ใช้การร่ายอิทธิฤทธิ์ช่วยเสริมดังก้องอยู่ที่ผิวทะเล ข่มความเคลื่อนไหวของคลื่นมรกตที่พัดม้วน


เมื่อเห็นเฮยทั่นหลุดพ้นจากความเจ็บปวดทรมาน แต่เมื่อเฝ้ามองอยู่นานก็ไม่เห็นเฮยทั่นสนใจทางนี้เสียที เหมียวอี้จึงสงสัยนิดหน่อยว่าเฮยทั่นยังจำเขาได้หรือเปล่า จึงลองส่งเสียงเรียก


จ๋อม! พอร่างดำขลับที่ผิวทะเลพลิกตัว ก็หันหัวขึ้นมาอยู่บนคลื่นสีมรกต จ้องมองมาบนหาดทรายอย่างงุนงงครู่หนึ่ง


“อู…” จู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้นฟ้าพร้อมร้องลากเสียงยาว เสียงดังก้องอยู่ที่ทะเลมรกต เป็นเสียงต่ำแต่มีพลัง เสียงร้อง “ฮี้ๆ” ก่อนหน้านี้ไม่มีอยู่แล้ว เสียงเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง


จ๋อม! ฟองคลื่นสาดซัด เฮยทั่นก้มหัวมุดลงไป ลากให้เกิดเส้นน้ำสีขาวสายหนึ่งที่ผิวน้ำ ตอนที่เข้าใกล้ชายฝั่ง จู่ๆ มันก็โผล่หัวลอยขึ้นมาอีก แล้วเงยหน้าสาวเท้าก้าวเข้ามา เดินเหยียบหาดทรายน้ำตื้นทีละก้าวมาทางทั้งสามคนที่ยืนอยู่บนหาดทราย


หัวม้าแบบเดิมกลายสภาพเป็นสัตว์ดุร้ายที่เหมือนสิงโต หัวมีเขางอกออกมา ฟันที่เคยเหมือนเลื่อยกลายเป็นเขี้ยวขาวดุร้ายหนาแน่น เขี้ยวยื่นออกนอกริมฝีปาก ในปากคาบฉลามไว้ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ร่างกายของฉลามยังดิ้นอยู่เลย


ขนรอบหัวที่เหมือนหวีแปรงมีสีดำขลับมันวาว เปียกปอนไปด้วยหยดน้ำใสดุจผลึก พอมันสะบัดหัว ละอองน้ำก็สาดกระจายไปทั่ว


ร่างกายที่มีเกราะเกล็ดสีดำขลับปูอยู่เต็มคอค่อยๆ เดินขึ้นมาจากผิวน้ำ กรงเล็บแหลมใต้ขาที่ใหญ่หยาบก้าวจมลงในหาดทรายริมฝั่ง หางที่ดึงขึ้นมาจากผิวน้ำกวัดแกว่งเบาๆ หางงูแบบเมื่อก่อนกลายสภาพเป็นสว่านยาวแล้ว


รูปร่างสูงกว่าอาชามังกรเกือบครึ่ง ร่างกายยาวกว่าเมื่อก่อนเกือบครึ่งเช่นกัน กำลังเงยหน้าส่ายเอวสะบัดหางเดินเข้ามา


รอยเลือดที่ย้อมเต็มตัวก่อนหน้านี้ถูกมันม้วนตัวล้างอยู่ในทะเลจนสะอาด เมื่ออยู่ภายใต้แสงแดด ตั้งแต่หัวจดเท้าเป็นสีดำมันวาว ดำบริสุทธิ์แบบไร้สีอื่นเจือปน สมกับชื่อของเฮยทั่นที่แปลว่าถ่านดำ มีแค่ฟันที่เป็นสีขาว ในลูกตาดำที่ใหญ่จนน่าตกใจมีมีวงสีทองล้อมอยู่วงหนึ่ง ยิ่งเพิ่มพลังอำนาจอันน่าหวาดกลัวขึ้นไปอีก


มันลากหางเดินขึ้นมาจากผิวน้ำ จังหวะฝีเท้าที่ก้าวเนิบนาบอยู่บนชายหาดนั้นหนักอึ้ง แต่ละก้าวทำให้เกิดรอยลึก เสียงลมหายใจก็หนักหน่วงเช่นกัน


อวิ๋นจือชิวกับจีเหม่ยลี่ถลันตัวไปถอยหลังไปไกลโดยจิตใต้สำนึก เฮยทั่นในตอนนี้ไม่ได้เข้าใกล้ง่ายๆ เหมือนตอนที่มีสภาพเป็นอาชามังกรอีกแล้ว ทั้งตัวเป็นไปด้วยกลิ่นอายที่ห้าวหาญดุร้าย ร่างดำทะมึนที่มีน้ำหยดลงมาเป็นทางค่อนข้างน่าตกใจ


เหมียวอี้ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าเรียบเฉยๆ จ้องสบตากับเฮยทั่นที่กำลังเดินเข้ามา


ตุ้บ! จู่ๆ เฮยทั่นก็เข่าอ่อน ขาจมลงนิดหน่อย แล้วก็เหยียดขาค้ำไว้อีกรอบ สายตาของเหมียวอี้ย้ายไปหยุดอยู่บนขาทั้งสี่ของมันทันที พบว่าขาของมันค่อนข้างอ่อนแรง ไม่ได้มีพลังเหมือนตอนที่วิ่งอย่างบ้าระห่ำก่อนหน้านี้แล้ว เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรไป


จนกระทั่งเฮยทั่นหยุดอยู่กับที่ อยู่ห่างจากเหมียวอี้เพียงไม่กี่ก้าว ในดวงตาของมันก็ฉายแววครุ่นคิดสงสัย หันหน้ามองเหมียวอี้อยู่เป็นระยะ เหมือนพบว่าเหมียวอี้ตัวเล็กลงกว่าแต่ก่อนเยอะมาก จากนั้นก็หันซ้ายหันขวามองดูร่างกายตัวเอง พบว่าที่จริงแล้วร่างกายตัวเองต่างหากที่ใหญ่ขึ้น เวลายืนอยู่กับเหมียวอี้ตัวเองต้องเปลี่ยนเป็นก้มมองจากที่สูง


บนชายหาด มันกำลังก้มมองเหมียวอี้ ส่วนเหมียวอี้ก็เงยหน้ามองมัน คลื่นทะเลกระเพื่อมขึ้นลงอยู่ข้างหลังเฮยทั่นไม่ไกล เกิดฉากประหลาดแบบนี้อยู่เงียบๆพักใหญ่


อวิ๋นจือชิวกับจีเหม่ยลี่มองหน้ากันเลิกลั่ก ทั้งสองถอยออกไปอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ แต่เหมียวอี้กลับเยือกเย็นจนทำให้ทั้งสองค่อนข้างพูดไม่ออก ไม่เห็นบนตัวเขามีคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ใดๆ ไม่ได้ป้องกันเฮยทั่นที่ก่อนหน้านี้ยังโจมตีเขาอย่างบ้าคลั่ง ความเยือกเย็นนี้คือความเชื่อใจที่น่าเคารพเลื่อมใส เป็นความเชื่อใจระหว่างมนุษย์และสัตว์ จีเหม่ยลี่แววตาวูบไหว ได้เห็นอีกด้านหนึ่งบนตัวเหมียวอี้ที่ทำให้ตนรู้สึกพิเศษ


อวิ๋นจือชิวแอบถอนหายใจเล็กน้อย ถึงแม้เหมียวอี้จะเป็นคนมีคุณธรรมน้ำมิตร แต่ในสายตานาง บางครั้งมันก็เป็นสิ่งที่อยู่เหนือคุณธรรมระหว่างสามีภรรยา ดังนั้นเรื่องบางเรื่องที่เหมียวอี้ไม่ยอมทำ นางจึงต้องทำให้ลับหลัง แต่จะว่าไปแล้ว ผู้ชายแบบนี้ก็ทำให้คนวางใจมาก ถ้าเจ้าไม่รังแกเขา เขาก็จะไม่รังแกเจ้าเช่นกัน


ฉากที่อยู่ตรงหน้าในเวลานี้ ทำให้อวิ๋นจือชิวต้องยอมรับว่านี่คือเสน่ห์ประจำตัวอีกแบบที่ซ่อนอยู่บนตัวของเหมียวอี้!


เหมียวอี้กำลังยืนเอามือไขว้หลัง สุดท้ายก็ยังเป็นเขาที่ทำลายความเงียบระหว่างคนและสัตว์ กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบสงบนิ่งว่า “เจ้าอ้วน!”


เฮยทั่นที่ปากยังคาบเหยื่อที่เลือดไหลเงยหน้าเล็กน้อย ท่ามกลางเสียงหนุบหนับ มันกัดเคี้ยวฉลามสองสามคำแล้วกลืนลงไป เสร็จแล้วถึงได้ร้อง “อิ๋งๆ” ราวกับเป็นเด็กน้อยที่ได้รับความไม่ยุติธรรม มันก้มหน้าลงช้าๆ ใช้หัวขนาดใหญ่ดันที่หน้าอกเหมียวอี้เบาๆ


เหมียวอี้ยื่นมือออกไป ลูบใบหน้าที่ดำขลับแข็งแรงราวกับเหล็กของมัน ลูบเขาที่หัวมัน แล้วก็ลูบขนของมัน


เฮยทั่นเงยหน้าเล็กน้อย ลิ้นใหญ่อ้วนที่เปลี่ยนเป็นสีแดงแลบออกมาเลียมือเหมียวอี้ จากนั้นลิ้นก็แลบเข้าแลบออกเลียอยู่ระหว่างฟัน


อวิ๋นจือชิวกับจีเหม่ยลี่ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไร แต่เหมียวอี้เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว ยกมือลูบกำไลเก็บสมบัติ เหมือนจะหาสิ่งที่ต้องการไม่พบ จึงยื่นมือไปข้างหลัง “น้องชิว บนตัวมียาเจี๋ยตันขั้นห้า? เอามาให้ข้าเม็ดหนึ่ง”


อวิ๋นจือชิวพลิกมือดีดออกมาหนึ่งเม็ด เหมียวอี้ยื่นมือรับจากข้างหลังโดยไม่หันกลับมา แล้วก็โยนไปที่เฮยทั่น


ลิ้นยาวสีแดงสดของเฮยทั่นตวัดออกมากวาด ม้วนยาเจี๋ยตันขั้นห้าเม็ดนั้นเข้าไปในปาก กลืนกินลงไปแล้ว


จีเหม่ยลี่อึ้งมาก ของที่มีมูลค่าหนึ่งหมื่นล้านผลึกแดง เอามาป้อนทิ้งเป็นอาหารแบบนี้น่ะเหรอ?


ส่วนเฮยทั่นที่กลืนยาเจี๋ยตันลงไป ลมหายใจของมันยิ่งหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ สายตาของเหมียวอี้ไปหยุดอยู่บนขาทั้งสี่ของมันอีกครั้ง เห็นขาสี่ข้างที่แข็งแรงของมันสั่นเล็กน้อย


สุดท้าย  เฮยทั่นที่ใช้พลังงานสะสมในร่างกายจนหมดเพื่อวิวัฒนาการไปหนึ่งรอบก็ทนไม่ไหวแล้ว มันล้มลงเสียงดังโครม ร่างกายขนาดใหญ่ล้มลงบนหาดทราย ล้มลงอย่างหายห่วงตรงหน้าเหมียวอี้ มันเบิกหนังตาที่หนักอึ้งสองสามครั้ง ก่อนจะปิดตาลงอย่างสบายใจตรงหน้าเหมียวอี้ ลมหายใจในจมูกของมันเป่าจนหาดหายกลายเป็นหลุม


“เหม่ยลี่ นี่มันเรื่องอะไรกัน?” เหมียวอี้หันกลับมาถาม


อวิ๋นจือชิวกับจีเหม่ยลี่เดินเข้ามาพร้อมกัน เหม่ยลี่บอกว่า “คงเป็นเพราะร่างกายมันใช้พลังงานสะสมไปจนหมดระหว่างที่วิวัฒนาการ จะเห็นได้ว่าก่อนหน้านี้ร่างกายมันสะสมพลังงานไว้เพียงพอ ถึงสามารถประคองให้มันวิวัฒนาการได้หนึ่งครั้ง ไม่อย่างนั้นถ้ามันวิวัฒนาการล้มเหลว มันก็จะตายสถานเดียว จะตายคาที่เลย! พวกเจ้าคงไม่ได้เอายาเจี๋ยตันป้อนมันตลอดหรอกใช่มั้ย? สามารถสนับสนุนการวิวัฒนาการแบบนี้ได้ พวกเจ้าทุ่มยาเจี๋ยตันไปกับมันเท่าไรแล้ว?”


เหมียวอี้กลับจ้องอยู่ตรงหน้าเฮยทั่นพร้อมบอกว่า “ยาเจี๋ยตันเท่าไรก็ไม่สำคัญหรอก ข้าอยากรู้ว่าตอนนี้มันเป็นยังไงบ้างแล้ว ผ่านพ้นช่วงอันตรายไปแล้วหรือยัง?”


“ตามหลักการก็ไม่น่าจะเกิดเรื่องอะไรแล้วล่ะมั้ง?” จีเหม่ยลี่ลังเล


เหมียวอี้หันตัวมามองนาง “เจ้าแน่ใจมั้ย?”


“ข้าเองก็เพิ่งเคยเห็นสัตว์เทพวิวัฒนาการเป็นครั้งแรกเหมือนกัน อาศัยแค่ความรู้สึก ไม่สามารถให้คำตอบที่แน่นอนได้” จีเหม่ยลี่ส่ายหน้า


“แล้วตอนนี้จะทำยังไงดี?” เหมียวอี้ขมวดคิ้ว


“ถ้าข้าจำไม่ผิด รอให้พลังกายของมันฟื้นฟูกลับมา มันก็คงจะตื่นขึ้นมาเอง แต่ข้าเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน…อย่าไปแตะต้องมัน ปล่อยตามธรรมชาติเถอะ!” จีเหม่ยลี่กล่าว


เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง ก็คงได้แต่ทำอย่างนี้แล้ว จากนั้นก็เดินวนชื่นชมรอบตัวเฮยทั่น เอามือลูบตัวมัน ยกเท้าที่มีเล็บแหลมของมัน จับหางของมัน จับปากของมันแยกออก หญิงสาวทั้งสองก็ชื่นชมอยู่ข้างหลังเขาเหมือนกัน


พรอาทิตย์ตกดิน ท้องฟ้าเต็มไปด้วยหมู่ดาว ท่ามกลางเสียงคลื่นทะเล เหมียวอี้นั่งขัดสมาธิเฝ้าคุ้มครองอยู่ข้างกายเฮยทั่น หันหน้าเข้าหาท้องฟ้าประดับดาวและมหาสมุทรที่ลึกล้ำ


ในป่าภูเขาที่อยู่ไม่ไกล อวิ๋นจือชิวกับจีเหม่ยลี่นั่งบนพื้น พวกนางพบว่าทิวทัศน์ยามค่ำคืนค่อนข้างใช้ได้ กำลังพูดคุยกันตามประสาผู้หญิง


จีเหม่ยลี่กวาดสายตาผ่านริมทะเลเป็นครั้งคราว จู่ๆ ก็ถามว่า “ฮูหยิน ทำไมนายท่านเรียกอาชามังกรตัวนี้ว่าโจรอ้วน?”


อวิ๋นจือชิวหัวเราะคิกคัก “อาชามังกรตัวนี้ชื่อว่าเฮยทั่น เดิมทีนายท่านเรียกมันว่าเจ้าอ้วน ตอนหลังมีตาแก่คนหนึ่งมักเรียกเฮยทั่นว่าโจรอ้วน พอผ่านไปนานๆ เข้าทุกคนก็เลยเรียกตามว่าโจรอ้วนเหมือนกัน”


“นายท่านเหมือนจะมีความผูกพันที่ลึกซึ้งกับอาชามังกรตัวนี้ เป็นเพราะรู้ว่าบนตัวมันมีการตื่นรู้ในสายเลือดรึเปล่า?” จีเหม่ยลี่ถาม


อวิ๋นจือชิวอธิบายว่า “เจ้าคิดมากไปแล้ว! ตอนนายท่านเข้าสู่แดนฝึกตนครั้งแรก ก็ยังเป็นคนเลี้ยงม้าของถ้ำล่องนิภาของสายมะโรงแดนเซียนอยู่เลย ตอนนั้นนายท่านไม่มีสัตว์พาหนะ ที่ถ้ำล่องนิภามีอาชามังกรตัวหนึ่งที่อ้วนจนเหลวไหล ทั้งอ้วนทั้งขี้เกียจทั้งกินเก่ง พลังเท้าก็ไม่ได้เรื่องเท่าไร ไม่มีใครต้องการมัน แต่ตอนนั้นนายท่านมีปัจจัยจำกัด ถึงแม้เฮยทั่นจะมีคุณสมบัติแย่ไปหน่อย แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีสัตว์พาหนะมาคอยเป็นพลังเท้าให้ เรียกได้ว่าเฮยทั่นเป็นสัตว์พาหนะตัวแรกของนายท่านตั้งแต่เข้ามาอยู่ในแดนฝึกตนเลย พออยู่กับนายท่านมันก็ค่อยๆ เปลี่ยนนิสัย ออกรบกับนายท่านหลายครั้ง ร่วมเป็นร่วมตายด้วยกัน ในปีนั้นมันยังไปเข้าร่วมการปราบจลาจลทะเลดาวนักษัตรกับนายท่านด้วย ตอนอยู่ที่การปราบจลาจลทะเลดาวนักษัตร สถานการณ์บีบบังคับให้มันต้องแยกกับนายท่านไปช่วงหนึ่ง แต่โจรอ้วนมันก็ไปไหนมาไหนลำพังที่ทะเลดาวนักษัตรได้ กระทั่งตอนที่การปราบจลาจลใกล้จะจบ มันก็ตามหานายท่านจนเจอพร้อมกับบาดแผลเต็มตัว ในที่สุดมันก็รอดชีวิตกลับมาที่แดนเซียนร้อมกับนายท่าน แทบจะไม่มีอาชามังกรตัวไหนที่เข้าร่วมการปราบจลาจลทะเลดาวนักษัตรแล้วยังรอดกลับมา แต่เฮยทั่นเป็นข้อยกเว้น ดังนั้น ตอนแรกนายท่านก็ไม่รู้หรอกว่าตัวเฮยทั่นมีสายเลือดวิเศษอะไร ตอนหลังต่อให้นายท่านจะวรยุทธ์สูงขึ้นแล้ว ใช้งานเฮยทั่นไม่ได้แล้ว แต่นายท่านก็ดื้อดึงไม่ยอมเปลี่ยนสัตว์พาหนะ รอคอยมันมาตลอด รอมาหลายปีขนาดนี้ไง! นี่คือสัตว์พาหนะตัวแรกตอนที่นายท่านยังเป็นมือใหม่ไร้ประสบการณ์ และเป็นสัตว์พาหนะเพียงหนึ่งเดียวด้วย เข้าใจหรือยังล่ะ?” นางบุ้ยปากไปทางคนกับสัตว์พาหนะที่อาบแสงจันทร์อยู่บนชายหาด


เป็นเรื่องราวเล็กๆ แต่จีเหม่ยลี่กลับได้ยินแล้วประทับใจ จ้องที่ชายหาดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหน้านี้นางยังนึกว่าเหมียวอี้ได้อาชามังกรตัวนี้มาจากพิภพใหญ่ ถึงได้ดูแลเป็นพิเศษ ใครจะไปคิดว่าจะเป็นแบบนี้ ไม่มีเหตุผลที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์อะไรทั้งนั้น คนกับสัตว์รู้จักกันนิดเดียว แต่เหมียวอี้ไม่เคยทอดทิ้งมันเลย และมันก็ตอบแทนในสิ่งที่เหมียวอี้คาดคิดไม่ถึงด้วย!


ชั่วพริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปหนึ่งเดือน ไม่รู้เหมือนกันว่าเฮยทั่นจะตื่นขึ้นมาเมื่อไร เหมียวอี้อยู่เป็นเพื่อนมันตลอด อวิ๋นจือชิวยังต้องกลับไปเฝ้าร้าน ไม่สะดวกจะอยู่ที่นี่ตลอด จึงทิ้งจีเหม่ยลี่ไว้ให้ปรนนิบัติเหมียวอี้ ตัวเองกลับไปก่อนแล้ว


ในตอนเย็นวันหนึ่งที่แสงแดดสว่างสดใสและมีลมโชยพัดมาอ่อนๆ เหมียวอี้ที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ริมทะเลบังเอิญหันไปเห็นจีเหม่ยลี่ปล่อยผมเดินช้าๆ อยู่ริมทะเล  อาจจะเป็นเพราะทิวทัศน์เป็นใจพอดี เหมียวอี้เลิกคิ้วเล็กน้อย แล้วถลันตัวเข้าไปกอดจีเหม่ยลี่จากข้างหลัง พร้อมถามหยอกล้อข้างหูนางว่า “ลงไปเล่นน้ำทะเลด้วยกันหน่อยดีมั้ย?”


จีเหม่ยลี่ไม่ปฏิเสธที่โดนเขากอด ก้มหน้ามองมือที่กำลังลูบคลำหน้าอกอวบอิ่มของตัวเอง พร้อมกล่าวเสียงเรียบว่า “ไม่ต้องอ้อมค้อม ข้าเป็นของเจ้าแล้ว อยากจะครอบครองเมื่อไรก็ได้ ขอแค่เจ้าบอกว่าได้เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคดินมาอย่างไรก็พอ”


มาพูดต่อรองอีกแล้ว เหมียวอี้ตอบอย่างเซ็งๆ ว่า “ถ้าข้าจะขืนใจเจ้าล่ะ? เจ้าคิดว่าเจ้าจะสู้ข้าไหวเหรอ!”


จีเหม่ยลี่กล่าวเสียงเรียบว่า “ตามสบาย! ถ้าเจ้าไม่กลัวว่าข้าจะกลับร่างเดิมกะทันหันตอนทำเรื่องอย่างนั้น เจ้าก็ขืนใจข้าได้เลย ถ้าจู่ๆ พบว่ามีมังกรคะนองน้ำนอนหมอบอยู่บนตัว เจ้าก็คงไม่กลัวหรอกใช่มั้ย?”


…………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)