องครักษ์เสื้อแพร 1132-1134
ตอนที่ 1132 โต้ตอบกลางท้องพระโรง
“ขุนพลหลี่ซุ่นประจำเอโดะ[1] ขอเข้าเฝ้า~~~~”
ทหารรับใช้หน้าประตูตะโกนขานชื่อดังตามธรรมเนียม หวังทงพยักหน้า ไม่นาน ข้ารับใช้สองคนก็นำขุนพลอายุราวยี่สิบต้น ๆ เข้ามา มาถึงหน้าหวังทง ขุนพลผู้นี้ก็คุกเข่าถวายบังคม
“คนกันเองคุกเข่าทำไมกัน รีบลุกขึ้น เก้าอี้ๆ!”
มองเห็นขุนพลหลี่ซุ่น หวังทงที่มีสีหน้านิ่งมาตลอดก็เผยรอยยิ้ม สีหน้าล้วนเต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู ทหารรับใช้ไม่รู้สึกแปลกอันใด เตรียมเก้าอี้นั่งไว้ก่อนหน้าแล้ว
ทหารรับใช้ข้างกายหวังทงล้วนเป็นลูกหลานทหารกับลูกหลานคนชั้นสูง และยังมีลูกหลานรุ่นหลังของบรรดาขุนนางบุ๋นหลายสาย
นี่นับเป็นทางลัดเร็ว ผ่านเวลาไปประมาณหนึ่ง ก็จะได้ไปประจำกองทัพ ส่วนใหญ่ก็ล้วนได้ตำแหน่งรองแม่ทัพขึ้นไป หากไปประจำท้องที่ก็จะได้รับตำแหน่งผู้ช่วยส่วนกลางที่กุมอำนาจแท้จริงระดับหนึ่ง
ความจริงนั้นที่ลำบากยากทนได้จริงก็คืองานภารกิจแรกของทหารรับใช้เหล่านี้ กล่าวคือต้องไปเริ่มจากที่ต่างๆ ก่อนเช่น หากอยู่กองทัพก็ต้องสี่ปีเต็ม แนวหน้าก็หดเหลือสามปีได้ หากมีความชอบก็อาจเหลือสองปี ขุนนางบุ๋นหากไม่มีฮ่องเต้ให้การรับรองพระราชทานความชอบด้วยพระองค์เองแล้ว ก็ย่อมต้องทำหน้าที่ประจำท้องที่ให้ครบห้าปี
ในนี้ก็มีตัวอย่างพิเศษ เช่นว่า ชายหนุ่มอายุน้อยที่มีความโดดเด่นและรับใช้มาพอสมควรแล้ว ก็จะได้รับแต่งตั้งให้ไปรับหน้าที่ในท้องที่ทะเลใต้กับประเทศวัว ระบบนี้เดิมตอนหวังทงยังไม่ได้เป็นฮ่องเต้นั้นก็มีอยู่แล้ว ทหารกับพวกฝ่ายบุ๋นรอบกายหวังทงที่อายุน้อยเดิมจะเตรียมไว้เพื่อเป็นตัวแทนไปรองรับงานบุ๋นบู๊ในเครือข่าย
พวกเขาประจำตำแหน่งงานแรกได้ครบเวลา ทำงานได้ดี ได้คำวิจารณ์ดีก็จะได้ไปประจำตำแหน่งงานต่างๆ ในส่วนกลาง จากนั้นก็แต่งตั้งดำรงตำแหน่ง จากนั้นก็เลื่อนขั้นได้เร็วกว่าขุนนางหนุ่มคนอื่นที่มาจากเส้นทางสายอื่นมากนัก
มีเรื่องเล่ากันว่า ทหารรับใช้ที่เสร็จภารกิจรับใช้หวังทงแล้วมีคำวิจารณ์ง่ายๆ หากได้คำวิจารณ์ไม่ดี พวกเขาก็จะได้ดำรงตำแหน่งในหน่วยภารกิจงานแรกทำงานไปก่อน แล้วค่อยสังเกตอีกรอบ อีกระยะหนึ่ง
อย่างไรระบบนี้ก็เพิ่งจัดตั้งเป็นทางการได้แค่ปีเดียว เมื่อก่อนก็แค่ธรรมเนียมเหลียวกั๋วกงกับบรรดาขุนนางชนชั้นสูงเท่านั้น
ตอนนี้บรรดาชายหนุ่มอายุน้อย ไม่น้อยล้วนดำรงสถานะเช่นนี้ข้างกายหวังทง นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนล้วนรับรู้ร่วมกัน
แต่ชายหนุ่มที่สามารถเป็นที่พอพระทัยต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ได้นี้มีไม่มากนัก และชายหนุ่มผู้นี้แต่ไรไม่เคยทำงานรับใช้ข้างกายหวังทงมาก่อน เป็นเพียงพลทวนยาวธรรมดานายหนึ่งที่ค่อย ๆ ได้รับการส่งเสริมขึ้นมา ใช้เวลาหกปีในการดำรงตำแหน่งจากพลทหารมาเป็นขุนพลประจำภาค นับเป็นตัวอย่างแรกในยุคสมัยนี้
ชายหนุ่มผู้นี้ชื่อว่าหลี่ซุ่น มีความสามารถแท้จริง ตอนประจำอยู่ที่เอโดะ ในเมืองยังคงมีคนที่หลงเหลือของโทกูงาวะ แต่เขาพบก่อน จึงได้ส่งคนเร่งไปรายงานกองกำลังประจำเอโดะ ยังรวมกำลังเพื่อนทหารสิบกว่านาย ผู้คุ้มกันรานสามธาราสามสิบกว่านาย ป้องกันประตูตะวันตกของเอโดะ ต้านทานการโจมตีของคนราวสมพันคน
พวกโทกูงาวะที่เหลือหลายร้อยเป็นซามูไรตัวจริง ยังมีปืนใหญ่วัวโค่วหลายสิบ กำลังเช่นนี้ไม่อาจไม่เรียกว่าไม่เข้มแข็ง นอกเมืองยังคงมีชาวนานับหมื่นถูกปลุกให้ลุกฮือ พอประตูเมืองเปิดออก สถานการณ์ก็พังทลายทันที ตอนนั้นชื่อเสียงหวังทงบนแผ่นดินหมิงเรียกว่าราวอาทิตย์กลางนภา เรื่องใหญ่ดำเนินอยู่ ไม่อาจปล่อยให้เกิดความเสียหายได้ หลี่ซุ่นผู้นี้ดิ้นรนกว่าสองชั่วยาม มีแต่เพื่อนสองคนรอดมาได้
แต่จากนั้นทหารในเมืองก็ถูกระดมมารวมกัน ทหารนอกประตูตะวันออกก็มาถึง พวกก่อการถูกปราบปราม สถานการณ์สงบ
หลี่ซุ่นสร้างความชอบใหญ่ ‘ปราบกบฏเอโดะปีรัชสมัยไท่ชาง’ นี่เป็นจุดเริ่มต้นของความดีความชอบของเขา แต่ทว่า พูดให้ถูกก็คือ ความดีความชอบใหญ่นี้ไม่อาจให้ดำรงตำแหน่งขุนพลในเวลาแค่ไม่ถึงหกปีได้ เพราะเขาเป็นบุตรชายคนเดียวของอ๋องหลูหลี่หู่โถว สำหรับบรรดาศักดิ์ขุนนางชนชั้นสูงก็ทำตามธรรมเนียมหมิง ตำแหน่งอ๋องระดับสูงแต่งตั้งหลังสิ้นชีวิต ไม่แต่งตั้งผู้ยังคงมีชีวิต
เดิมหวังทงคิดว่าหลี่หู่โถวไม่มีลูก ต่อมาสื่อชีส่งคนไปตรวจสอบ จึงได้พบว่าหลี่หู่โถวแม้ไม่ได้แต่งงาน แต่ก็เคยมีสัมพันธ์กับบุตรสาวพ่อค้าในพื้นที่ และรับปากจะแต่งงานเป็นภรรยารอง แต่หลี่หู่โถวเกิดเรื่องเสียก่อน สตรีผู้นั้นก็ป่วยจากไป ครอบครัวนั้นกลัวถูกอาญาไปด้วยจึงได้แต่ปิดบังชื่อแซ่และเลี้ยงดูหลี่ซุ่น และยังส่งให้เขาไปเป็นพลหทารกองกำลังหลวง
และก็บังเอิญว่า ตอนตามตรวจสอบประวัติหลี่ซุ่น หลี่ซุ่นพอดีได้สร้างความชอบใหญ่ที่เอโดะ จึงได้ค่อยๆ ได้รับการส่งเสริมขึ้นมาตามระบบ
“ขุนพลนอกเมืองเข้าเมืองหลวง ปฏิบัติหน้าที่เป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง ไม่เช่นนี้อาจถูกวิจารณ์ว่า ไม่ขยัน ดังนั้นมาปฏิบัติหน้าที่เมืองหลวง อาหารเช้าล้วนไม่อาจได้กินกัน เจ้ายังไม่ได้กินใช่ไหม?”
ทหารรับใช้ก้มหน้าก้มตา แต่ทว่าก็มีหลายคนอดไม่ได้มองหน้ากัน ในใจคิดว่าฮ่องเต้ต้าหัวเข้มงวดกับโอรสธิดาตนเองมาก แต่กับนายน้อยผู้นี้กลับสนิทสนมห่วงใยเช่นนี้
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมยังไม่ได้ทานอาหารเช้า”
“เจ้าตอนนี้ร่ายกายกำลังยืดตัว ไม่กินข้าวได้อย่างไร ให้ห้องเครื่องนำอาหารมา”
คนรับใช้หนึ่งพยักหน้ารับคำ กำลังจะออกไปก็ถูกหวังทงเรียกไว้ หวังทงตบหน้าผากยิ้มกล่าวว่า
“ให้ห้องเครื่องปรุงถั่วตากแห้งตุ๋นเนื้อมาหน่อย ใช้ไฟแรง ทำแบบน้ำแดง”
คนรับใช้รอรับคำสั่งพากันอึ้งไป เหตุใดฝ่าบาทระดับนี้ตรัสถึงเรื่องการทำอาหารได้เช่นนี้ หรือว่าตนเองฟังผิด แต่ทว่าปฏิกิริยาก็รวดเร็ว รีบวิ่งออกไปทันที
หลี่ซุ่นเป็นตำนานขุนนางบู๊หนึ่ง ยังมีประวัติชาติกำเนิดประกอบด้วย ยิ่งเป็นที่เฝ้าจับตามองของทุกคน หวังทงพบเขาทั้งหมดสองครั้ง วันนี้เป็นครั้งที่สอง ทหารรับใช้ข้างกายแม้เคยได้ยินมาบ้าง แต่วันนี้ได้เห็นกับตาก็ยังรู้สึกได้ว่าหลี่ซุ่นได้รับพระเมตตามากจริง ๆ
ต่อหน้าหวังทง หลี่ซุ่นวางตัวเคร่งและระมัดระวังกิริยา ท่าทีหวังทงเองกลับสนิทสนมเป็นกันเอง เขาก็ยิ่งไม่อาจวางตัวตามสบาย ได้ยินกล่าวเช่นนี้ก็รีบลุกขึ้นขอบพระทัย
ตอนกล่าวนั้น หวังทงเอาแต่มองสังเกตหลี่ซุ่น เห็นเขาลุกขึ้นขอบพระทัย ก็โบกมือยิ้ม กล่าวว่า
“บิดาเจ้า ตอนนั้นชอบอาหารจานนี้ที่สุด ข้าวชามโตกินรวดเดียวสามชาม ยังต้องให้ข้าทำ….”
พูดถึงตรงนี้ หวังทงก็ยกมือตบหน้าผาก เงียบลง บรรยากาศเริ่มนิ่งเงียบ เสิ่นอันกำลังจะเข้าปลอบ หวังทงก็กระแอมในลำคอเปลี่ยนบทสนทนา กล่าวว่า
“ครั้งนี้ให้เจ้ากลับมารายงสาน ก็เพื่อต้องการฟังเรื่องที่เจ้ารายงานมาในฎีกา จดหมายส่งไปมากล่าวไม่หมด เจ้าเล่ามาหน่อย!”
สนทนาเรื่องการงาน หลี่ซุ่นแน่นอนรับคำ รีบลุกขึ้นกล่าวว่า
“ฝ่าบาท ประเทศวัวแม้ว่าสู้รบหลายปี แต่ก็มีขนาดแค่มณฑลใหญ่ราวสองมณฑลของเรา คนก็ราวล้าน ทัพเราตั้งที่ประเทศวัวรวมห้าหมื่น แบ่งประจำที่ต่างๆ ทัพเรายังคงเป็นกองกำลังแข็งแกร่ง ชาวประเทศวัวอ่อนแอ ตอนนี้ดูแล้วสงบสุขมากไร้กังวล แต่หากยังไม่ใช่แผนระยะไกล หากยังต้องเพิ่มทหาร เพิ่มงบประมาณลงไปอีก ให้เรารับผิดชอบค่าใช้จ่ายหรือให้ประเทศวัวรับผิดชอบ ระยะสั้นยังพอได้ แต่ระยะยาวแล้ว นับเป็นผลเสีย”
การคุยกันในวังวันนี้ เกือบทั้งหมดเป็นการวางนโยบายของต้าหัวต่อประเทศวัว แน่นอน ต่อจากนี้จะเรียกประเทศวัวว่ามณฑลไห่ตง มณฑลไห่ตงมีแปดเมือง ต่อมากลายเป็นสิบสามเมือง รวมแล้ว 66 อำเภอ ยังมีอีกสี่เขตปกครอง
ร้อยปีแรก แต่ละเมืองเข้าออกก็เหมือนกับมาจากต่างแผ่นดิน ตรวจสอบเข้มงวด มีแต่พ่อค้าต้าหัวเท่านั้นที่จะได้เข้าออกได้สะดวก ปีรัชสมัยต้าหัวที่สามเริ่มให้ชาวประเทศวัวเข้ามาเป็นทหาร แต่ทว่าทหารชาวประเทศวัวไม่ให้มีปืน ให้แต่ชายหนุ่มที่มีกิจการประจำพื้นที่อาศัยเท่านั้นที่มีคุณสมบัติมาเป็น และต้องมีพี่น้องรับประกัน ต้องรู้ภาษาฮั่น
กองกำลังที่เป็นทหารชาวประเทศวัวนี้เรียกว่าหน่วยกำลังรักษาความสงบ คนในพื้นที่ไม่อาจเป็นทหารประจำในพื้นที่ และจะถูกส่งไปยังที่ตนเป็นปรปักษ์ต่อกัน เพื่อประจำรักษาความสงบ
ตอนที่ยังไม่มีหวังทง สำหรับประเทศวัวแล้ว ‘ญี่ปุ่น’ คำนี้ยังคงเป็นแค่นิยาม คนแต่ละพื้นที่รู้แค่ตนเองเป็นคนพื้นที่นี้ แต่ไม่รู้ว่าคนญี่ปุ่นคืออะไร โทโยโตมิ ฮิเดโยชิรวมรวมประเทศวัวเป็นเวลาสั้นมาก ยังไม่ได้รวมแต่ละพื้นที่ให้เป็นหนึ่งได้ การเข้ามาแบ่งแยกเขตแดนชัดเจนนี้ ทำให้ประเทศวัวแต่ละแห่งไม่อาจรวมกำลังเป็นหนึ่งได้อีก
การเลื่อนตำแหน่งของหน่วยกำลังรักษาความสงบแม้แต่ชาวประเทศวัวเองล้วนชื่นชม ขอเพียงสะสมความดีความชอบได้ระดับ ก็จะได้เลื่อนขั้นทันที แต่ไม่อาจอยู่ประจำในกองตนเองอีก ต้องถูกส่งไปประจำที่อื่น หากได้รับการเลื่อนสองครั้งแล้ว และพูดภาษาฮั่นได้เหมือนชาวฮั่นก็จะได้ย้ายไปแผ่นดินต้าหัว ประจำที่หน่วยเจี้ยนโจวไม่ก็ไห่ซี ที่นั่นไม่ถูกมองว่าเป็นชาวประเทศวัว แต่มองเสมือนว่าเป็นชาวฮั่น
หากยินยอม คนผู้นี้สามารถนำพาครอบครัวไปเจี้ยนโจวหรือไม่ก็ไห่ซีได้ด้วย ที่นั่นจะได้รับจัดสรรพื้นที่ให้ผืนหนึ่ง หากไม่อยากไป เขาก็จะได้ดำรงสถานะขุนนางบุ๋นส่งไปประจำแห่งใดแห่งหนึ่งในประเทศวัว
ในภาพรวมแล้ว ต้าหัวยังคงควบคุมประเทศวัวไว้อยู่ คุมเกาะคิวชูมากสุด หนึ่ง เพราะได้รับการช่วยเหลือจากทัพเรือกับพ่อค้าทะเล สอง ได้รับความช่วยเหลือจากตระกลูชิมัสสึ บนเกาะฮอนชู เมืองโอซาก้ากับเมืองเอโดะคุมได้ไม่เลว เพราะสองแห่งนี้ล้วนเป็นเมืองท่าทะเล มีกองกำลังประจำการ
การจะทำให้ประเทศวัวอีกร้อยปีจากนี้ได้กลายเป็นมณฑลไห่ตงจริง นโยบายไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น หากยังมีเรื่อง ‘พูดภาษาฮั่น เขียนอักษรฮั่น แต่งกายแบบฮั่น ทำตามธรรมเนียมฮั่น หลอมกลายเป็นชาวจีนฮั่น’ อีก
เดิมชาวประเทศวัวเองก็ค่อนข้างชื่นชมยกย่องอารยธรรมฮั่นอยู่แล้ว จึงไม่ได้คัดค้านนโยบายนี้เท่าไร ชาวบ้านแม้ว่าโหดเหี้ยมดุดัน มักชอบอะไรที่สุดโต่ง แต่กับผู้แข็งแกร่งกว่าแล้วก็ย่อมศิโรราบให้ราบคาบ ดำเนินนโยบายนี้ไปอีกสามสิบปี ประเทศวัวก็จะมีประชากรหนึ่งในสี่ได้มาตรฐานนี้ และส่วนใหญ่เป็นระดับพ่อค้าใหญ่ ขุนนาง พระสงฆ์ กับซามูไรเดิม ระดับชั้นประชาชนนี้เป็นระดับสูง ในตอนนี้เริ่มมีคนเสนอให้ประเทศวัวเปลี่ยนเป็นมณฑลไห่ตง
“มองโกล เผ่าหนี่ว์เจิน เกาหลี ประเทศวัว นอกจากภาษาต่างกันแล้ว หน้าตาก็ล้วนเหมือนกับราษฎรฮั่นเรา น่าเป็นราษฎรฮั่นเราที่ร่อนเร่ออกไปแต่สมัยโบราณกาลมา ราษฎรเช่นนี้พอรวมตัวกันได้แล้ว ก็คือชาวฮั่น สิบปี ห้าสิบปี ร้อยปีจากนี้ ล้วนเป็นลูกหลานชาวฮั่นเรา สำหรับพวกต่างชาติตาสีฟ้าจมูกโด่งผิวขาวพวกนั้น ไม่ใช่เผ่าเดียวกับเรา ระยะยาวมองแล้ว จะต้องกำจัดทิ้ง”
คำกล่าวหวังทงระหว่างสนทนานี้ ในวันหน้ายาวไกลจากนี้ล้วนเป็นสิ่งที่ขุนนางและชนชั้นสูงของต้าหัวเท่านั้นที่จะได้อ่าน และต้องอ่าน
…………………………………………………..
[1] ชื่อเดิมของโตเกียว ฐานแห่งอำนาจรัฐบาลเอโดะที่ปกครองญี่ปุ่นในช่วงปี ค.ศ. 1603 ถึง 1868
ตอนที่ 1133 ความเป็นมาและอดีตที่ผ่านมา
ตั้งแต่ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 21 แผ่นดินหมิงออกศึก มาจนถึงปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 22 จบศึกใหญ่ แม้ประเทศวัวยังคงไม่สิ้นสงคราม แต่เกาหลีสงบอย่างแท้จริงแล้ว
พระราชาซอนโจเกาหลีและคณะตอนเดินทางไปยังเมืองโซอุล ระหว่างทางถูก ‘โจรวัวโค่วที่หลงเหลือ’ เข้าโจมตี กองกำลังหมิงในพื้นที่ ‘ช่วยไม่ทัน’ ทำให้ขบวนพระราชาซอนโจบาดเจ็บล้มตายมาก เชื้อพระวงศ์และขุนนางใหญ่ล้วนบาดเจ็บล้มตายสิ้น
เหมือนเป็นสัญญาณ เกาหลีสงบได้ไม่นาน ก็เกิดจลาจลทั่วทุกพื้นที่ พวกขุนนางเกาหลีที่หลงเหลืออยู่อีกหลายคนกับบรรดาผู้กล้าที่ร่วมต่อต้านโจรวัวโค่ว บ้างก็ถูกโจรวัวโค่วกำจัด บ้างก็ถูก ‘พวกโจรเผ่าหนี่ว์เจิน’ โจมตี ล้วนบาดเจ็บล้มตายมากมาย
ฮ่องเต้ว่านลี่ ‘ทรงกริ้วหนัก’ ครั้งนี้ขุนนางบุ๋นสวีกว่างกั๋วถูกลงโทษริบเบี้ยหวัดครึ่งปี เหลียวกั๋วกงหวังทงถูกลงโทษริบเบี้ยหวัดสามเดือน ขณะเดียวกันยังมีคำสั่งให้สามกองกำลังเหลียวหนิงเข้าควบคุมสถานการณ์
พวกชนชั้นสูงเกาหลีหลายคนที่ยังอยู่ในเมืองหลวงรู้ว่าสถานการณ์ยากลำบาก อาศัยเกาหลีเองตอนนี้ไม่อาจคุมสถานการณ์ได้ ดังนั้นจึงร่วมลงชื่อขอเป็นเมืองใต้การปกครองหมิง
คณะเสนาบดีใหญ่และหกกรมกองถกเถียงกันอยู่หลายวัน มีขุนนางถวายฎีกา ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงลังเลอยู่ไปมา พวกชนชั้นสูงเกาหลีในเมืองพากันมาโขกศีรษะร้องไห้หน้าประตูวังแผ่นดินหมิงเดือนกว่า ในที่สุดฮ่องเต้ว่านลี่ก็มีราชโองการให้รับเกาหลีเป็นเมืองในปกครอง ตั้งเป็นแปดเมืองใหญ่ระดับฝู่และสองเมืองเล็กระดับโจว ให้ราชสำนักส่งทหารไปประจำการ ส่งขุนนางไปดูแล
เกาหลีอยู่ใต้การปกครองเหลียวหนิง ตั้งกรมเกาหลีประจำเหลียวหนิง ผู้บัญชาการเหลียวหนานซุนโส่วเหลียนดูแล ตอนนี้ผู้บัญชาการเหลียวหนานซุนโส่วเหลียนคุมพื้นที่เท่ากับมณฑลใหญ่หนึ่งแล้ว สถานะสูงสุดในบรรดาสามผู้บัญชาการเหลียวหนิง ราชสำนักกำลังหารือว่าจะเพิ่มชื่อตำแหน่งให้ผู้บัญชาการเหลียวหนาน
ก่อนหน้าหวังทงขึ้นครองราชย์สิบปี เกาหลีก็สงบแล้ว แต่ทว่ายังมีเกาหลีเผ่าเก่า ๆ ยังคงไม่ยอม กล่าวว่าทุกคนในเกาหลีจงรักภักดีที่สุด เมืองกุยฮว่าเฉิงเรียบร้อยที่สุด เหตุใดส่วนกลางจึงไม่ได้ดีกับเกาหลีเหมือนประเทศวัว ทำไมความใกล้ชิดเหินห่างจึงกลับตาลปัตรได้
เด็กน้อยร้องไห้เป็นย่อมมีนมกิน นี่เป็นเรื่องจริง และเกาหลีกับเหลียวหนิงติดกัน หากมีเรื่องทัพใหญ่ย่อมมาทันท่วงที ประเทศวัวมีทะเลคั่นกลาง แน่นอนไม่เหมือนกัน
ดังนั้นประชาชนประเทศวัวกลายเป็นฮั่นได้อภิสิทธิ์เทียบเท่าชาวฮั่น เกาหลีย่อมต่ำกว่าหนึ่งระดับ ยังคงให้ระบุว่าชื่อว่าเป็นเกาหลี นโยบายนี้ดำเนินมานานแล้ว
เมืองกุยฮว่าเฉิง เจี้ยนโจว ฮามี่ (ซินเจียง) และที่อื่นๆ ล้วนเป็นที่ยอมรับว่าเป็นดินแดนในอาณัติแผ่นดินหมิงมานานแล้ว พวกมองโกลตั้งแต่สมัยหมิงไท่จู่และหมิงเฉิงจู่มาก็มีคนไม่น้อยมารับใช้แผ่นดินหมิง ทุกคนล้วนไม่เห็นพวกเขาเป็นคนนอก พวกเขาเองก็เช่นกัน แต่เกาหลีกับประเทศวัวเป็นดินแดนครอบครองใหม่ ตั้งแต่ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 22 มาจนถึงปีรัชสมัยต้าหัว ทุกคนในแผ่นดินล้วนมีความเห็นต่าง กล่าวถึงเรื่องนี้ ก็ย่อมเอ่ยถึงอีกเรื่อง
แน่นอน ประเทศวัวกับเกาหลีเทียบกับชะตาชีวิตชาวพื้นเมืองทะเลใต้แล้วยังดีกว่ามาก หากเจ้าเห็นแต่เอกสารราชสำนัก ถึงกับอาจคิดผิดทางไปได้ว่าทะเลใต้มีแต่ชาวฮั่น ไม่มีชาวชาติอื่น
……
วันนี้หวังทงเรียกหลี่ซุ่นเข้าเฝ้า ถามถึงนโยบายต่อประเทศวัว ทหารรับใช้เบื้องหน้ายากจะไม่แอบวิพากษ์วิจารณ์ พวกเขารู้เห็นงานบ้านงานเมืองมาไม่น้อย มีความคิดและความเห็นของตนเองก็เป็นปกติ
หวังทงเมตตาต่อหลี่ซุ่นมากจนทำให้ทุกคนต้องมองตาค้าง ตอนกินอาหารเช้า อาหารกลางวันและอาหารเย็นก็กินร่วมกัน แม้ว่าตอนนี้ในวังธรรมเนียมไม่มาก ฮ่องเต้มักเสวยร่วมเลี้ยงกับบรรดาขุนนาง แต่เลี้ยงตัวต่อตัวเช่นนี้ เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรก
เด็กหนุ่มหลายตระกูลมาอยู่ข้างพระวรกายโอรสสวรรค์ หนึ่งเพื่อเรียนรู้ รับการอบรม อีกหนึ่งก็มีหน้าที่ส่งข่าวให้ตระกูลตน ตามธรรมเนียม ทหารรับใช้หวังทงมี 32 คน แต่ละคนมีหน้าที่ บ้างก็เป็นเลขาทำงานเอกสาร บ้างก็มีหน้าที่ถืออาวุธคุ้มกัน ยังมีบางคนมีหน้าที่จัดการทั่วไป
พวกที่สามารถส่งลูกหลานมาทำหน้าที่นี้ได้ ล้วนเป็นตระกูลมากอำนาจวาสนา ล้วนเป็นบุคคลระดับแนวหน้า แน่นอนต้องการรู้เรื่องทุกเรื่องที่เกิดในวังให้หมด ตระกูลตนจะได้วิเคราะห์และยืนถูกข้าง
เรื่องวันนี้ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อันใด เล่า ๆ ไปก็พอ หลังทหารรับใช้ข้างพระวรกายฮ่องเต้หวังทงเสร็จงานในหนึ่งวัน ก็ไม่รีบกลับบ้าน พวกเขาเป็นลูกหลานพวกอำนาจวาสนา เงินทองไม่น้อย ใช้จ่ายมือเติบ ก็จะไปยังหอสุราร้านอาหารกินอาหารเย็นกันก่อน ทหารรับใช้ข้างกายโอรสสวรรค์กินข้าว ก็ย่อมมุ่งไปที่หอรุ่งเรืองกับหอเลิศรส สองร้านนี้ล้วนเป็นร้านหรูหราอันดับหนึ่งในเมืองหลวง เหนือใต้ออกตกล้วนมีร้านสาขา
ทหารรับใช้ที่มีหน้าที่จัดการทั่วไปสองคนปกติสนิทกัน ไปยังหอรุ่งเรืองทางเขตปัจจิมด้วยกัน อย่าเห็นว่ามีหน้าที่จัดการทั่วไป เพราะการมีหน้าที่นี้ได้ในเมืองหลวง ได้อยู่ข้างกายหวังทงได้นั้น ล้วนเป็นระดับผู้กล้า ตระกูลดี ล้วนมีชื่อเสียงไม่ธรรมดา
คนงานในร้านอาหารล้วนตาแหลมคม จดจำคนได้แม่นยำ เห็นนายน้อยสองคนนี้มาถึง ก็รีบเข้าไปประจบเอาใจทันที
สองคนนี้เห็นเรื่องเช่นนี้จนชินแล้ว ติดตามข้างกายหวังทงมานาน ก็รู้ว่าควรวางตัวสงบเสงี่ยม หามุมเงียบ ๆ นั่งกัน สั่งอาหารสองสามอย่าง พร้อมสุราอุ่น ทหารรับใช้ข้างกายหวังทงมีครึ่งหนึ่งประจำ อีกครั้งผลัดเวร สองคนนี้พรุ่งนี้ได้พัก ดังนั้นจึงดื่มสุรา
ไล่คนงานร้านออกไปแล้ว สองคนนั่งตรงข้ามกัน แม้กล่าวกันเบาๆ แต่เพราะสนิทกัน และยังเป็นแค่เด็กหนุ่ม ในห้องเงียบส่วนตัว มีบางวาจาจึงกล่าวมากกว่าปกติ
“เจ้าดูเจ้าหลี่ซุ่น อายุน้อยกว่าพวกเรา ตอนนี้เป็นขุนพลทหารใหญ่แล้ว พวกเราออกไปก็เป็นได้แค่นายกองพัน คนด้วยกันแต่เทียบกันไม่ได้เลยจริงๆ!”
“เจ้าสมองพังไปแล้วหรือไง เทียบกับเขา แม้เขาไม่ได้สร้างความชอบในประเทศวัว สถานะหลูกั๋วกง เจ้าเทียบได้หรือไง ไม่เคยได้ยินหรือ เขาตอนใกล้สามสิบได้บรรดาศักดิ์ ตอนสามสิบก็น่าจะมีตำแหน่งขุนพลแล้ว”
สองคนชนแก้ว ล้วนทอดถอนใจ ระบบรัชสมัยต้าหัวนี้ยังตามแบบสมัยหมิง แต่ขุนพลประจำกองกำลังที่ต่าง ๆ กลับไม่เหมือนเมื่อก่อน ชายแดนสำคัญมีตำแหน่งขุนพลและให้มีชื่อเมืองประจำไว้หน้าตำแหน่ง เช่น ซีอาน ต้าถง มีอำนาจตัดสินทางการทหาร
สถานการณ์นี้เกิดขึ้นนี้ หนึ่งเป็นการเปลี่ยนระบบที่เริ่มในปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 15 การป้องกันเมืองชายแดนค่อย ๆ ส่งมอบให้กองกำลังหลวงดูแล ผู้บัญชาการท้องที่คุมกำลังทหารให้ลดน้อยลงมากที่สุด สองเป็นการรับบทเรียนจากระบบขุนนางบุ๋นคุมทหารจากรัชกาลก่อน จึงต้องป้องกันไม่ให้ขุนนางบุ๋นคุมทหารอย่างไม่รู้ว่าควรสั่งการเช่นไร ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพดีขึ้น
ธรรมเนียมขันทีคุมกำลังก็ถูกยกเลิกไป ขุนพลทหารทุกคนล้วนมีรองหลายคน ในนั้นมีหนึ่งรองจากนายกองพันองครักษ์เสื้อแพร และยังไม่ให้เป็นลูกหลานองครักษ์เสื้อแพรในท้องที่ ต้องเป็นที่ส่งไปจากเมืองหลวง และยังผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปตามวาระ ในกองกำลังยังมีกององครักษ์เสื้อแพร เรื่องนี้ความจริงก็คือเพื่อทดแทนการควบคุมตรวจสอบกองกำลังของเมื่อก่อน
ขุนพลตอนนี้กับผู้บัญชาการเมื่อก่อนไม่เหมือนกัน ตอนนี้ต้าหัวอู่ทั้งหมดมีสิบขุนพล นอกจากเมืองสำคัญและเมืองหลวงแล้ว ที่อื่นล้วนรับหน้าที่ดูแลออกไปทิศทางเดียว บุกเบิกพื้นที่ ตัดหัวสังหารศัตรู นี่เป็นเกียรติยศของขุนนางบู๊แต่ละคนล้วนอิจฉากันอย่างมาก
หลายจอกลงท้องไปแล้ว วาจาก็เริ่มมาก คนหนึ่งกล่าวว่า
“คนเรานี้ขึ้นกับโชคชะตา ไม่เพียงแต่ขึ้นกับตนเอง ยังขึ้นกับบิดาตนเอง บิดาข้าน้อยเองก็โชคดีที่ได้ร่วมฝึกมาพร้อมกับฝ่าบาทที่ลานฝึกหู่เวย เจ้าว่าเขาตอนนั้นหากติดตามฝ่าบาทกับอ๋องหลูจะดีสักเพียงใด กลับไปติดตามฉินกั๋วกงไล่ทำร้ายเสียได้ เจ้าว่าไง?”
“ก็เห็นๆ กันอยู่ ก็เห็นๆ กันอยู่ๆ อย่างไรบิดาเจ้าก็ร่วมจากลานฝึกหู่เวยมาด้วยกัน บิดาข้าสิ ตอนนั้นยังไม่มีวาสนานี้เลย หากไม่ใช่ว่าติดตามผู้บัญชาการจางเหล่า[1]มาแต่ต้น ก็คงไม่มีวันนี้หรอก!”
ผู้มาจากลานฝึกหู่เวย ตอนนี้บนแผ่นดินต้าหัวล้วนได้เป็นดังป้ายทองคำส่องประกาย เด็กหนุ่มที่ได้รับเลือกเข้าฝึกในตอนนั้น ตอนนั้นยังคิดไม่ถึงว่าจะได้ร่วมฝึกกับฮ่องเต้ว่านลี่ ยิ่งคิดไม่ถึงว่าตอนฮ่องเต้ว่านลี่ขึ้นสู่อำนาจ พวกเขาไม่ได้รับการส่งเสริมด้วยเรื่องพวกนี้ แน่นอนยิ่งคิดไม่ถึงว่า อำนาจวาสนาพวกเขามาได้เพราะหวังทง
พวกเคยอยู่ลานฝึกหู่เวย ปฏิบัติงานในกองกำลังหลวง แค่อย่ายืนผิดข้าง ไม่ต้องพูดถึงกั๋วกง ที่เหลือน้อยสุดก็เป็นถึงป๋อ แม้ยืนผิดข้างก็ยังได้ตำแหน่งขุนนางระดับสาม ครอบครัวยังได้สิทธิเว้นภาษี
นอกจากพวกจากลานฝึกหู่เวย ยังมี ‘องครักษ์เสื้อแพรถนนทักษิณ’ ‘เทียนจินคนสนิทเดิม’ ‘กองกำลังหู่เวยเดิม’ ต่างๆ พวกนี้ล้วนมากอำนาจวาสนา ตอนนั้นพวกที่มองแล้วไม่เข้าตาพวกนั้น แต่ละคนตอนนี้ล้วนรุ่งเรือง
‘ผู้บัญชาการเหล่าจาง’ ที่เรียกกันก็คือผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรจางซื่อเฉียงในตอนนี้ ตำแหน่งบรรดาศักดิ์ก็เป็นถึงไห่กั๋วกง เป็นขุนนางใหญ่ทหารคนสนิทหวังทงอันดับหนึ่ง อายุ 70 กว่าแล้ว ยังคุมอำนาจระดับสูง
นอกจากนี้ ชื่อลานฝึกหู่เวยตอนนี้ก็คือโรงฝึกสอนยุทธหู่เวย ตั้งอยู่ทางตะวันตกของเมืองหลวง ทั้งปีนักเรียนราวพันกว่า มาจากหนุ่มน้อยอุดมการณ์ไกลจากแต่ละพื้นที่ ตอนนี้หากคิดไปดำรงตำแหน่งทหารระดับกลางขึ้นไปแล้วล่ะก็ ก็จะต้องผ่านการเรียนรู้จากโรงฝึกสอนยุทธหู่เวย ขุนพลหลายคนล้วนต้องผ่านการเรียนรู้จากที่นี่ โอรสสวรรค์จะมาทุกห้าวัน รัชทายาทเจ็ดวันมาครั้ง เป็นปกติเช่นนี้
“ตอนนั้นหากยืนอยู่ข้างเดียวกันสู้แล้วเป็นไง จะมาถึงวันนี้ได้หรือไม่ก็พูดยากมาก หลี่หู่โถวนั่นปะไร ไม่ใช่ถูกแทงข้างหลังดาบหนึ่งหรือไง…”
“เรื่องพวกนี้พูดน้อยหน่อยดีกว่า…”
คนพูดนั่นดูท่าดื่มมากไปแล้ว ได้ยินก็โบกมือไปมา ยังคงกล่าวไม่ยี่หระว่า
“เรื่องพวกนี้ล้วนมีเอกสารทางการออกมาแล้ว มีอันใดกล่าวไม่ได้”
พูดถึงตรงนี้ คนผู้นั้นก็กดเสียงให้เบาลงก่อนจะทำท่าทางเหมือนเป็นความลับ เขยิบเข้าใกล้กระซิบว่า
“เหล่าชิว ข้าบอกอะไรเจ้าให้นะ เรื่องเช่นนี้ข้าเคยฟังคนเล่ามา ตอนนั้นไม่เพียงแต่ฮ่องเต้ว่านลี่ส่งคนไปถามหลี่หู่โถวแล้ว ว่ากันว่าฝ่าบาทเองก็ส่งคนไปถามเช่นกัน”
“…เจ้านี่นะ ดื่มเหล้าทีไรปากราวไร้หูรูด เจ้าเมาแล้วๆ”
เช้าวันรุ่งขึ้น ข่าวก็ไปถึงมือหวังทง แสดงให้เห็นว่าคืนวานในร้านสุรามีทหารรับใช้เขาสองคนคุยกัน หวังทงอ่านแล้วก็ลงคำสั่งไปสองประโยคว่า ‘แค่หลุดวาจายามเมา ไม่ต้องสนใจ’
ตอนปีรัชสมัยฮ่องเต้ว่านลี่ที่ 31 เผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นที่ยังเหลือสมคบคิดกับกลุ่มพ่อค้าติดอาวุธก่อการ หลี่หู่โถวนำกำลังไปปราบปราม ทุกอย่างล้วนราบรื่นอย่างมาก ปราบศัตรูสิ้นซาก ตอนเข้าปะทะ หลี่หู่โถวบาดเจ็บหนักเสียชีวิต
แผ่นดินหมิงหลังปีรัชสมัยฮ่องเต้ว่านลี่ที่ 5 ออกศึกนอกแผ่นดินยังไม่เคยมีขุนพลทหารระดับสูงสละชีพ แต่ทว่าก็มีข่าวแพร่มาอย่างรวดเร็ว หลี่หู่โถวถึงแก่อาสัญนี้มีเบื้องหลัง
เรื่องนี้เป็นจุดเริ่มของทุกสิ่ง…
……………………………………………
[1] เรียกขาน จางซื่อเฉียง ด้วยความเคารพ
ตอนที่ 1134 บันทึกบาทหลวงเผยแผ่ศาสนา
เดือนเจ็ดปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 31 จงหย่งโหวแห่งกองกำลังหลวง หัวหน้ากองกำลังหู่เวยหลี่หู่โถวตายบนสนามรบนอกด่าน เรื่องนี้สะเทือนทั่วหล้า ส่งผลไม่ใช่น้อย ถึงกับเรียกได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนของสถานการณ์ใต้หล้าครั้งใหญ่
ตอนนั้นกับตอนนี้ คนมากมายเขียนบันทึกตนเองไว้ไม่เป็นเรื่องจริงก็เป็นเรื่องไกลความจริงมากจากการเดา ส่วนใหญ่ไม่จริงก็เท็จ ข่าวแพร่ออกมา
ปีรัชสมัยไท่ชางที่ 4 มีบาทหลวงโปรตุเกสกำลังจากเทียนจินไป องครักษ์เสื้อแพรตอนตรวจค้น พบสมุดเล่มหนึ่ง แม้เป็นภาษาโปรตุเกส แต่ที่เทียนจิน ภาษาใดไม่ใช่ปัญหา มีคนแปลเนื้อหาทั้งหมดออกมาอย่างรวดเร็ว
สมุดนี้บรรยายเรื่องการเมืองลับต่าง ๆ ของแผ่นดินหมิงไว้มากมาย หลายเรื่องล้วนเป็นเรื่องต้องห้ามใหญ่ บาทหลวงเผยแผ่ศาสนาถูกลงโทษหนัก ถูกส่งไปลูซอนใช้แรงงานตลอดชีวิต
แต่การรักษาความลับองครักษ์เสื้อแพรเองก็ช่างแย่มาก สมุดบันทึกนี้ถูกแปลเนื้อหาออกไปยังท้องตลาด ร้านพิมพ์หนังสือต่างก็เห็นโอกาสทางการค้า พิมพ์ออกมาขายจำนวนมาก ทำรายได้ร่ำรวย รอให้ทางการรู้ตัวเรื่องนี้ หนังสือนี้ก็กลายเป็นหนังสือต้องห้าม แต่ฉบับพิมพ์ต่าง ๆ ได้แพร่ไปทั่วแต่ละแห่งบนแผ่นดินหมิงแล้ว ถึงกับแม้แต่ทะเลใต้ ทางเหนือ ล้วนมีร่องรอยปรากฏหนังสือนี้ และจากการตรวจสอบเรื่องต้องห้ามของทางการเองพิสูจน์ว่าในสมุดบันทึกเรื่องราวเป็นจริง เรื่องนี้มีเหตุผลหรือไม่ไม่ไปพูดถึง แต่ชาวบ้านล้วนวิเคราะห์กันเช่นนี้
คนรับใช้สองคนวิพากษ์วิจารณ์ในหอสุรา เนื้อหาส่วนใหญ่ล้วนมาจากสมุดบันทึกเล่มนี้ ไม่ก็ฉบับแปลของสมุดบันทึกเล่มนี้
รอจนหวังทงขึ้นครองราชย์แล้ว การห้ามหนังสือนี้ก็มิได้มีอีก การตามหาความลับเรื่องนี้ในหมู่ชาวบ้านก็เริ่มเลือนหายไปเอง ในที่สุดก็มีคำอธิบายว่า สมุดนี้ไม่ใช่บาทหลวงโปรตุเกสเขียน แต่เป็นฮ่องเต้ต้าหัวจงใจปล่อยออกมาเอง เพราะเนื้อหาในนั้นไม่ใช่เรื่องที่บาทหลวงคนหนึ่งจะรู้ได้ ในขุนนางระดับสูงเองก็มีชาวผิวขาวสองคน
ยิ่งมีคนกล่าวว่า มีคนเคยไปลูซอนได้เห็นบาทหลวงผู้นี้ แต่ทว่าคนผู้นี้เป็นพ่อค้าใหญ่อยู่ลูซอน รับหน้าที่ค้าขายสินค้าพิเศษหลายอย่าง แน่นอนผู้ใดก็ไม่ไปค้นหาความจริงในเรื่องนี้
“…รัชทายาทจูฉางสวินอยู่ในยุคที่เป็นรัชทายาทไม่เหมือนยุคอื่นในแผ่นดินหมิง เรื่องนี้แพร่ออกไปภายนอกอย่างเกินความจริงมาก ทรัพย์สินเงินทองมากมายกองโต ทุกอย่างล้วนพัฒนาไปอย่างรวดเร็วราวติดปีก ขุนนางบุ๋นไม่อาจสร้างผลกระทบมากนักต่อราชวงศ์ ระบบการทหารกับการเงินเริ่มก่อร่างขึ้นใหม่ภายใต้แนวคิดอันชาญฉลาดของหวังทง ไม่เพียงแต่ได้รับผลสำเร็จใหญ่ แต่ยังได้เป็นเสาหลักแห่งอำนาจฮ่องเต้ที่มั่นคงที่สุด”
หลังปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 25 กรมอากรมีอิทธิพลต่อการเงินการคลังแผ่นดินหมิงนับวันยิ่งน้อยลง ต้องรู้ว่าเมื่อก่อนกรมอากรเคยปฏิเสธภาษีอื่นนอกจากภาษีที่ดินกับภาษีเกลือเข้าคลัง ตอนนั้นทำเช่นนั้นก็เพื่อให้กิจการขุนนางบุ๋นไม่ต้องเสียภาษี แต่ทว่าต่อมา กลับกลายเป็นช่องว่างและจุดอ่อน
ภาษีการค้าแผ่นดินหมิงกับภาษีอื่นเดิมที่ไม่ได้เก็บ ล้วนตกอยู่ใต้การควบคุมการเก็บขององครักษ์เสื้อแพรและสำนักรักษาความสงบ ต่อมา ถึงกับภาษีเรือก็ตกอยู่กับสำนักรักษาความสงบ เพราะระบบองครักษ์เสื้อแพรที่ผ่านการปรับเปลี่ยนจากหวังทงมีระบบควบคุม ทำงานมีประสิทธิภาพสูง เงินที่เก็บได้จึงยิ่งมาก
ต่อมาเห็นได้ชัดว่าการให้องครักษ์เสื้อแพรซึ่งเป็นหน่วยงานภายในวังมาดูแลเรื่องภาษีนี้ไม่เหมาะสมนัก หลายฝ่ายเริ่มหาความไม่หยุด แผ่นดินหมิงจึงจัดตั้งกองงานภาษีขึ้น กองงานภาษีควรเป็นขุนนางบุ๋นดูแล แต่กองงานภาษีตัดมาจากหน่วยองครักษ์เสื้อแพร ในนั้นส่วนใหญ่ก็ย่อมเป็นขุนนางทหารมาก่อน ผลปรากฏหน่วยงานนี้มีกำลังดำเนินการเข้มแข็งมาก
ส่วนใหญ่กล่าวว่า แผ่นดินหมิงแต่ละหน่วยงานล้วนเล็กมาก ขุนนางกับเจ้าหน้าที่ประจำเพื่อทำงาน ล้วนต้องจ้างคนช่วยงาน แต่กองงานภาษีแค่เริ่มต้นก็มีคนงานเตรียมไว้พร้อมแล้ว นอกจากเจ้าหน้าที่เก็บภาษีและตรวจสอบแล้ว ยังมีทหารภาษีทำหน้าที่บังคับใช้กฎอีกด้วย
กองงานภาษีจัดตั้งขึ้น แผ่นดินหมิงเกิดแรงกระเพื่อมใหญ่ กองงานภาษีหน่วยงานใหญ่กับทหารภาษีที่บังคับใช้กฎ ล้วนถูกมองว่าขัดกับหลักคุณธรรม ทำให้ใต้หล้ายุ่งเหยิง แต่เขตปกครองใต้ เจ้อเจียง หูกว่าง เจียงซีและที่ต่างๆ ที่คุ้นเคยกับระบบภาษีก็คัดค้านความกล่าวอ้างนี้อย่างมาก
พวกเขาค้นพบรวดเร็วว่า พวกเขาไม่อาจต่อต้านได้ ทหารภาษีไม่เท่าไร ผู้เป็นใหญ่ในพื้นที่อาจรวบรวมกำลังคนมาต่อต้านได้ แต่กำลังของกองกำลังหลวงเป็นกำลังที่พวกเขาไม่อาจต้านทานได้ และตอนนี้ขุนนางราชสำนักส่วนกลางยังไม่ใช่ตัวแทนที่มาจากพวกเขาคอยคุม พวกที่ชอบใช้กำลังบังคับตัดสินปัญหาพวกนี้ก็ไม่รู้สึกว่าสังหารคนมีอันใดไม่ถูกต้อง
สำหรับระบบกองทหารแล้ว นี่ไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความ หลังปฐมฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หมิงไท่จู่จูหยวนจางหรือแม้แต่หมิงเฉิงจู่จูตี้มา ระบบการทหารเริ่มอ่อนแอมาเรื่อยๆ ค่อยๆ กลายเป็นกองทหารในขุนนางบุ๋น ฮ่องเต้สร้างกองกำลังวังหลวงขึ้น อำนาจบัญชาการยังถูกขุนนางบุ๋นแย่งชิงไป ไม่อาจไม่สร้างกองกำลังสำนักอาชาหลวงขึ้นมาใหม่ ตั้งแต่หวังทงเริ่มสร้างกองกำลังหู่เวยที่เทียนจิน สถานการณ์เริ่มค่อย ๆ พลิกฟื้นคืนมา
ปีรัชสมัยฮ่องเต้ว่านลี่ที่ 25 กำลังกองกำลังหลวงเหนือแม่น้ำแยงซีเกียงเริ่มเป็นกำลังหลัก ยังมีกองทัพเรือที่ขนาดใหญ่เพียงพอ กำลังเหล่านี้ล้วนฟังคำสั่งฮ่องเต้ กรมทหารล้วนไม่อาจยื่นมือเข้าเกี่ยวข้อง
ระบบการทหารเป็นเอกเทศและระบบแบบก่อนเห็นชัดว่าไม่เหมาะ หวังทงได้เสนอให้ฮ่องเต้ว่านลี่ปรับอุทยานปัจจิมเป็นสำนักบัญชาการกองกำลังหลวง คำสั่งทหารทั้งหมดล้วนให้ออกจากที่นี่ สร้างระบบขึ้นมาใหม่
กำลังทหารในมือขุนนางบุ๋นล้วนค่อย ๆ ดึงกลับมาเป็นของฮ่องเต้ ฮ่องเต้แผ่นดินหมิงนับวันยิ่งบารมีเกรียงไกร เช่นกัน ขุนนางภักดีใต้อำนาจของฮ่องเต้ก็ยิ่งยิ่งใหญ่เกรียงไกรเช่นกัน
ที่ยิ่งสำคัญก็คือ ไม่ต้องให้คนฉลาดมากนักมอง ทุกคนล้วนมองออกว่าตอนนี้การปรับเปลี่ยนเหล่านี้เป็นผู้ใดทำ แรกสุดย่อมคิดถึงว่าเป็นหวังทง จากนั้นก็ค่อย ๆ เชื่อมโยงไปยังรายชื่อขุนนางบุ๋นบู๊หลายคนราวไฟลามทุ่ง
“…ฮ่องเต้กับฮองเฮาตามใจรัชทายาทมาก ทำให้กลายเป็นคนที่อ่อนแอซื่อเกินไป พระนิสัยนี้ทำให้ราชวงศ์ต่างเป็นกังวล ทุกคนล้วนรู้ ขุนพลทหารเหล่านั้นไม่ได้ซื่อสัตย์ภักดีเท่าไร ฮ่องเต้ที่เป็นกังวลเคยแอบตรัสส่วนพระองค์กับรัชทายาทว่า ตอนนี้แผ่นดินนี้เหมือนว่ามีไม้หนาม ข้าต้องกำจัดขวากหนามแหลมเหล่านี้ออกให้หมด เจ้าจึงจะสามารถเอาอยู่ต่อไปได้ ทุกคนที่คุ้นเคยกับประวัติของแผ่นดินนี้ล้วนรู้ ตอนตั้งแผ่นดิน ปฐมฮ่องเต้จูหยวนจางเองก็เคยตรัสเช่นนี้กับพระนัดดาของพระองค์เอง…”
การเมืองเป็นเรื่องหลากมุมยากไว้ใจ หลังปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 23 การสมคบอำนาจหลายฝ่ายบนแผ่นดินหมิงเสียสมดุลไปแล้ว อำนาจหวังทงที่ได้รับแต่งตั้งเป็นจวิ้นอ๋องเล่อลั่งมากเกินไป แม้เขาไม่ได้มีอำนาจสั่งการแท้จริง แต่ผู้ใดล้วนรู้ ระบบงานภายในและงานการทหารของเขา รวมทั้งระบบการเมืองการปกครองล้วนทรงอิทธิพลอยู่อย่างมากยิ่งกว่ามาก ถึงกับอยู่เหนือโอรสสวรรค์
“…ฮ่องเต้ทรงพบอย่างอึดอัด ตอนนั้นที่ทรงทำไปหลายอย่าง ล้วนเป็นการระแวงโดยไร้สาเหตุ กำราบกับตักเตือนไป หวังทงยังคงยอมคล้อยตามและถอยให้ ตอนนี้การกระทำใดต่อการกำราบอำนาจหวังทงล้วนทำให้หลายฝ่ายไม่พอใจและมีปฏิกิริยาโต้กลับ แต่การปล่อยปละมานานและพระพลานามัยอ่อนแอลงของฮ่องเต้ที่เหลือเวลาอีกไม่มาก พระองค์ต้องจัดการทุกอย่างแทนรัชทายาทในช่วงเวลาที่ยังทรงพระพลานามัยแข็งแรงอยู่ ที่ฮ่องเต้ต้องทรงทำ ก็คือกุมอำนาจการทหารทั้งหมด แย่งชิงการสนับสนุนจากบุคคลสำคัญ โดยเฉพาะผู้บัญชาการหลี่หู่โถวแห่งกองกำลังหลวงตอนนี้…”
สมุดบันทึกที่ขนานนามว่า ‘บันทึกเหมยหลี่อัน’ นำรูปแบบการเขียนใหม่มาสู่ต้าหัว เหมือนกับภาษาพูดธรรมดา ไม่ได้อ้างคำกล่าวเรื่องเล่าโบราณหรือการเสริมแต่งความให้สวยหรูใด แต่เป็นภาษาธรรมดาที่ปกติคุยกัน พวกใกล้ชิดส่วนกลางกล่าวว่า หวังทงเรียกว่า ‘ฉบับแปล’ ต่อมาเรียกว่าเป็น ‘รูปแบบแปลความ’ ยังมีบัณฑิตใหญ่ขงจื่อนามม่อซวีโหย่วให้การรับรอง นี่เป็นวาจาหลังจากนั้น
“…หลี่หู่โถวเป็นลูกหลานตระกูลทหารในเมือง บิดาเป็นผู้คุ้มกันหวังทง ต่อมาดำรงตำแหน่งสูงในสำนักองครักษ์เสื้อแพร ปฏิบัติหน้าที่ในเมืองหลวงด้านต่างๆ สร้างความชอบใหญ่ แต่นี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ หลี่หู่โถวเองกับฮ่องเต้และหวังทงมีมิตรภาพแน่นแฟ้นอย่างมาก หัวหน้าขันทีเจ้าจินเลี่ยงก็มีสายสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเขา เรียกได้ว่าหลี่หู่โถวแต่ละด้านล้วนเป็นบุคคลที่ได้รับการยอมรับจากทุกคน…”
“…ฮ่องเต้ส่งคนไปถาม ไม่ก็ในการเข้าเฝ้าครั้งหนึ่งตรัสถามขึ้น ลองใจหลี่หู่โถวว่ามีท่าทีอย่างไรต่อหวังทง จริงๆ นั้นไม่ใช่เรื่องที่ต้องถาม แต่ท่าทีหลี่หู่โถวแสดงจุดยืนชัดเจนที่ฮ่องเต้ไม่ทรงต้องการ ไม่ก็เรื่องพระพลานามัย ไม่ก็รู้สึกว่าเวลาไม่อาจรอช้า ฮ่องเต้เริ่มเลือกวิธีการสุดโต่ง ในการจลาจลครั้งหนึ่งเกิดขึ้นอย่างน่าแปลก การเคลื่อนไหวพร้อมกันอย่างไม่สมเหตุผล และยังมีบาดแผลด้านหลังที่ทำให้ถึงแก่ชีวิต…”
นอกจากฮ่องเต้ว่านลี่ไปถามหลี่หู่โถวแล้ว หวังทงเองก็ยังส่งคนไปถาม เรื่องนี้ไม่ใช่หวังทงสั่งการ แต่เป็นคนที่รู้สึกลำบากใจในสถานการณ์จึงทำโดยพลการไปเอง ในเรื่องการไปถามนี้ หลี่หู่โถวให้คำตอบตรงไปตรงมาไม่ลังเลว่า ‘ฝ่าบาทไม่ใช่คนเช่นนี้ พี่ใหญ่ก็ไม่ใช่คนเช่นนี้’
“…หลังเรื่องนี้แล้วคาดเดากันว่า ที่ฮ่องเต้ไม่ลงมือในเมืองหลวง เทียนจินหรือเขตปกครองเหนือก็เพราะว่าพื้นที่เหล่านี้การข่าวหวังทงแม่นยำฉับไวมาก ระบบการข่าวไม่มีที่ใดไปไม่ถึง แต่ฮ่องเต้คิดไม่ถึงว่า ความสามารถการข่าวหวังทงจะไปไกลกว่าที่ทรงประเมินไว้มากนัก และการควบคุมระบบการทหาร กองกำลังหู่เวยที่เรียกว่ากองกำลังหลวงก็ยิ่งเป็นหน่วยทหารที่ซื่อสัตย์มีคุณธรรมมาก ไม่ใช่อำนาจฮ่องเต้ หลังจากเกิดเหตุลอบสังหาร การต่อสู้ก็จบลงรวดเร็ว คนลอบสังหารถูกจับได้ ฮ่องเต้ส่งคนไปรับตราแม่ทัพกลับถูกควบคุม ข่าวมาถึงเมืองหลวงรวดเร็ว…”
“…เรื่องจริงประจักษ์ ในเรื่องพวกนี้ คนที่ซื่อตรงจริงใจที่สุดก็คือหลี่หู่โถว…”
“…หวังทงได้ข่าวเร็วกว่าฮ่องเต้สองวัน เขานำครอบครัวออกจากเมืองหลวงในคืนนั้น บอกอีกคำว่า ยังไปภายใต้การคุ้มครองของทหารม้าชุดเกราะองครักษ์เสื้อแพร กำลังที่ฮ่องเต้ส่งมาเฝ้าจับตาดูไร้ความสามารถทำอันใดได้ กลับคุ้มครองหวังทงออกจากเมืองหลวง…”
“…เทียนจินเป็นเมืองของหวังทง ที่นั่นมีกองกำลังชาวบ้านติดอาวุธนับหมื่นและยังมีเรือรบส่วนตัวปกป้องเขา…”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น