ลำนำบุปผาพิษ 1131-1140

 บทที่ 1131 ยิ่งนอนยิ่งง่วง


ตอนนี้ในเมื่อทั้งสองคนนี้เป็นกู่ฉานโม่กับเทียนจี้เยวี่ยปลอมตัวมา บาดแผลของมู่อวิ๋นกับมู่เหลยก็ต้องเป็นของปลอมเช่นกัน!


บัดซบ!


ที่แท้กลอุบายตลบหลังของตี้ฝูอีอยู่ตรงนี้นี่เอง!


คนของเขาแทรกซึมอยู่ภายในวังของตน อีกทั้งยังเปิดเผยตัวตนแล้ว ส่วนพวกที่ยังไม่เปิดเผยตัวตนนั้นไม่รู้มีมากน้อยเพียงใด คนเหล่านั้นต้องปะปนอยู่ท่ามกลางคนที่โม่เจ้าพาออกมาร้อยกว่าคนอย่างแน่นอน…


ที่แท้คราวนี้เขาพ่ายแพ้ยับเยินแล้ว! น่าขันที่เขายังคิดว่าตัวเองอยู่เหนือกว่า


“ท่านเจ้า พวกเราแลกเปลี่ยนเลยไหมขอรับ?” บนรถม้าทั้งสาม มีแค่โม่เจ้ากับสารถีของเขาเพียงสองคนที่เหลืออยู่ แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับมีตั้งห้าหกคน และล้วนเป็นยอดฝีมือชั้นยอด


สารถีถอยกลับไปข้างกายเขา ดูตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด


โม่เจ้าเหลือบมองเขาอย่างเย็นชา เงยหน้ามองตี้ฝูอีแล้วพลันยิ้ม “หากข้าไม่แลกเปลี่ยนเล่า?”


ทันใดนั้นนิ้วมือของเขาปรากฏเล็บมือห้าสีที่แหลมคมและโค้งงอ ราวกับปลายมีดคมห้าเล่ม ลูบไล้ไปมาเบาๆ บริเวณต้นคอของกู้ซีจิ่ว “ตี้ฝูอี แผนการของเจ้าช่างละเอียดรอบคอบยิ่งนัก น่าเสียดายที่ต่อให้เจ้าพยายามทำทุกวิถีทาง ข้ากลับถือไพ่ตายใบสำคัญสุดนี้ไว้ในกำมือ! ส่วนพวกที่ถูกเจ้าจับตัวไป ก็เป็นแค่สวะไร้ค่าเท่านั้น พวกมันจะเป็นหรือตายข้าไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ แน่นอน เจ้าลงมือกับข้าได้เลย ในตอนนี้ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าอยู่แล้ว หากแต่เจ้าลงมือเมื่อใด นางก็จะไม่มีชีวิตอยู่อีก! ข้ากล้ารับประกันได้เลยว่าจะทำให้นางสิ้นใจก่อนที่เจ้าลงมือสังหารข้า! แค่กรีดลงไป ไม่เพียงสังหารนางได้ แต่ดวงวิญญาณของนางจะถูกมีดเบญจรงค์เฉือนขาดเป็นชิ้นๆ จนเจ้าไม่อาจรวบรวมกลับมาได้อีก  เจ้าเชื่อหรือไม่?”


ตี้ฝูอีนิ่งอึ้ง


ทุกคนกล่าวอันใดไม่ออก


สายตาของเทียนจี้เยวี่ยดังอสนีบาต “โม่เจ้า ลูกน้องเหล่านี้ของเจ้าซื่อสัตย์ภักดีต่อเจ้าถึงเพียงนี้ เจ้ากลับตอบแทนพวกเขาเช่นนี้ มิกลัวว่าพวกเขาจะผิดหวังหรืออย่างไร?”


โม่เจ้ายิ้มบางๆ “ตอนที่เข้าสำนักข้าพวกเขาก็พร้อมตายถวายหัวตั้งนานแล้ว ยามนี้ต่อให้พวกเขาต้องตายก็เป็นการตายอย่างภาคภูมิ…” กล่าวถึงตรงนี้ก็หยุดชะงัก และพลันยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง “พวกเจ้าอยากสังหารพวกเขาก็รีบลงมือเสีย  แต่ข้าขอบอกไว้ก่อน หากเจ้าสังหารพวกเขาหนึ่งคน ข้าจะตัดมือเด็กสาวคนนี้ทิ้งหนึ่งข้าง พวกเขามีสี่คน เด็กคนนี้ก็มีแขนขาทั้งสี่เพียงพอให้ตัดได้พอดี…”


เขาวาดนิ้วและเล็บมือของตัวเองไปมา “ข้าชอบเด็กคนนี้ คิดว่าหากใช้คมมีดธรรมดาตัดแขนขาทั้งสี่ของนางก็เหี้ยมโหดเกินไป ดังนั้นข้าจะใช้เล็บมือม่วงนี้ วางใจเถิด เล็บมือม่วงนี้แหลมคมยิ่งนัก เพียงชั่วครู่ก็ตัดมือน้อยๆ ของนางได้ข้างหนึ่ง ไม่มีเยิ่นเย้ออืดอาด ตัดครึ่งหนึ่งเหลือไว้ครึ่งหนึ่ง ข้อเสียเพียงอย่างเดียวก็คือบาดแผลจากการตัดนี้เจ็บปวดเหลือคณนา เจ็บยิ่งกว่าบาดแผลทั่วไปถึงสิบเท่า แม้นางอยากสลบก็สลบไม่ได้”


คำพูดที่ออกจากปากเขาเป็นคำที่โหดร้ายที่สุด ทว่าใบหน้าหล่อเหลายังคงเผยรอยยิ้ม ลมหายใจเย็นรินรดที่ต้นคอของกู้ซีจิ่ว ราวกับงูพิษกำลังแลบลิ้น


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ขึ้นอยู่กับว่าใครเหี้ยมโหดที่สุด ใครกันจะไม่สนใจคนของตัวเองได้อย่างแท้จริง


ตี้ฝูอีนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ตอนนี้เขามั่นใจเป็นอย่างมากว่าปลดปล่อยโม่เจ้าได้สักครั้ง ทำให้ดวงวิญญาณของมันทรมานอย่างสุดซึ้ง ไม่สามารถทำชั่วได้อีกเป็นพันๆ ปี ทว่า…


เขายกมือขึ้นเบาๆ ขณะที่กำลังจะทำมุทราบางอย่าง โม่เจ้าก็พูดขึ้นอีกครั้ง “ตี้ฝูอี เจ้าอย่าได้มีความคิดจะหันกายแล้วพาคนหนีออกไปเชียว! หากเจ้ากล้านำคนพวกนี้หนีออกไป ข้าจะทรมานเด็กคนนี้ ตัดนิ้วมือนิ้วเท้าของนางทิ้งทีละนิ้วทุกๆ หนึ่งเค่ออยู่ตรงนี้ จนกว่าเจ้าจะปรากฏกาย! ข้ากล้ารับประกัน เจ้าปรากฏกายยิ่งช้าเท่าใด ความทุกข์ทรมานที่นางได้รับก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น!


———————————————


บทที่ 1132 อาศัยว่าใครโหดเหี้ยมที่สุด


“ข้าจะบอกเจ้าไว้ ร่างกายนี้ถึงแม้จะไม่ใช่ร่างเดิมของเด็กคนนี้ แต่หลงฟั่นวางอุบายไว้บนร่างกายนี้แล้ว ความจริงร่างก็เป็นภาชนะเก็บวิญญาณชิ้นหนึ่ง เมื่อนางเข้าร่างได้สำเร็จ อยากหลุดพ้นออกไปก็ยากแล้ว หากไม่มีเคล็ดพิเศษ  นางก็ไม่มีทางหนีออกจากร่างนี้ไปได้ ดังนั้นเจ้าอย่าได้มีความคิดจะสังหารนางตอนนี้เพื่อเอาดวงวิญญาณนางกลับคืนสังขารเดิมเลย เป็นไปไม่ได้ หากนางตายในตอนนี้ ดวงวิญญาณของนางจะบาดเจ็บสาหัส ไม่เพียงแต่กลับเข้าร่างเดิมไม่ได้ อีกทั้งยังกลายเป็นดวงวิญญาณเร่ร่อนเนื่องจากไม่มีทางสิงสู่เข้าร่างได้ ในที่สุดก็จะกระจัดกระจายไปตามสายลม”


โม่เจ้าแทบจะปิดกั้นเส้นทางหลบหนีทั้งหมดของตี้ฝูอี เว้นเสียแต่ว่าเขาจะไม่สนใจความเป็นความตายของกู้ซีจิ่วจริงๆ…


ทุกคนต่างนิ่งเงียบ มองตี้ฝูอี อยากดูว่าเขาจะเลือกทำอย่างไร


ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายท่านนี้อยู่บนโลกนี้มาหลายปีนัก ตลอดมาสง่างามและทำสิ่งใดตามอำเภอใจ ไม่ไว้หน้าผู้ใด และไม่เคยถูกข่มขู่มาก่อน เคยมีคนจับลูกน้องที่เก่งกาจข้างกายเขาไปคนหนึ่งเพื่อข่มขู่ให้เขาทำบางสิ่ง ผลลัพธ์คือทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายท่านนี้สังหารลูกน้องตัวเองกับมือ จากนั้นจึงทำให้คนที่ข่มขู่ทุกข์ทรมานจนร้องขอความตาย หลังจากที่สังหารฝ่ายตรงข้ามยังนำดวงวิญญาณมาทรมาน ทำให้ดวงวิญญาณนั้นร้องครวญครางอยู่หลายวันติดต่อกัน ก่อนจะถูกเขาจัดการอย่างสิ้นซาก


ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ก็ไม่มีใครหาญกล้าเอาคนของเขามาข่มขู่ให้เขาทำบางสิ่งอีกเลย


ครั้งนี้เล่า?


เขาจะทำอย่างไร?


ชั่วเวลาก่อนจะได้รับชัยชนะมา เขาจะทำอย่างไร จะถูกโม่เจ้าข่มขวัญหรือไม่?


ตี้ฝูอีสวมหน้ากากอยู่บนใบหน้า ไม่มีใครดูออกว่าเขาแสดงสีหน้าอย่างไร เขาหลุบตาลงครู่หนึ่ง ไม่นึกว่าจะหัวเราะ ก่อนพูดอย่างใจเย็น “เอาเถิด โม่เจ้า เจ้าชนะแล้ว ข้าถูกเจ้าข่มขู่แล้ว เจ้าจะเอาอย่างไร?”


เสียงของเขาเสนาะหูราวกับลมยามวสันต์ สงบเยือกเย็น แต่กลับทำให้ทุกคนตรงนั้นตะลึงงันกันหมด


ถึงแม้กู่ฉานโม่จะรักใคร่เอ็นดูกู้ซีจิ่ว และไม่อยากให้นางต้องเจ็บปวดทนทุกข์ แต่เมื่อเผชิญกับปัญหาเรื่องความถูกต้องไม่ถูกต้องเช่นนี้ เขาไม่เห็นด้วยกับการกระทำของตี้ฝูอี จึงอดไม่ได้ที่จะส่งกระแสเสียงไปหา ‘ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย หากท่านยอมรับคำข่มขู่นี้ เกรงว่าเขาจะไม่รู้จักพอ! ไม่เพียงแต่จะช่วยชีวิตกู้ซีจิ่วไว้ไม่ได้ ซ้ำยังเป็นการปล่อยเสือเข้าถ้ำ คราวนี้ไม่ง่ายเลยกว่าพวกเราจะต้อนเขาจนมุมได้ขนาดนี้…หากปล่อยไป วันหน้าจะต้องกลับมาเอาคืนเป็นแน่ ไม่รู้ว่าจะฆ่าล้างสังหารอีกก็ครั้ง คร่าชีวิตคนไปอีกเท่าใด…’


เทียนจี้เยวี่ยก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยอย่างเย็นชา “ตี้ฝูอี เจ้ารับปากแต่ข้าไม่อาจรับปากได้! สานุศิษย์สวรรค์ผดุงคุณธรรมแทนสวรรค์ ควรเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม!”


ตี้ฝูอีทำเหมือนไม่ได้ยินที่พวกเขาพูด จ้องมองโม่เจ้า “เจ้ามีเงื่อนไขอะไรถึงจะยอมปล่อยนาง?”


โม่เจ้าก็ตกตะลึง จากนั้นยิ้มราวกับยกภูเขาลูกใหญ่ออกจากอก “ตี้ฝูอี ที่แท้เจ้าก็ใส่ใจนางมากถึงเพียงนี้!”


“พูดจาไร้สาระให้มันน้อยหน่อย ต้องการอะไรก็ว่ามาตามตรง!” ตี้ฝูอีตัดบทเขา


โม่เจ้าสูดลมหายใจเข้าหนึ่งที เริ่มสาธยายความต้องการของตน “ข้าต้องการให้พวกเจ้าปล่อยคนของข้า อีกทั้งต้องการให้พวกเจ้าทั้งหมดมาเป็นเชลยของข้า!”


“เหลวไหล! ฝันไปเถอะ!” กู่ฉานโม่ดูถูกเหยียดหยาม


เทียนจี้เยวี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยชา “เจ้าฝันเฟื่องไม่ยอมตื่นหรืออย่างไร?”


ตี้ฝูอีหัวเราะเบาๆ “โม่เจ้า เป็นคนไม่ควรละโมบมากเกินไป ต่อให้ข้ายอมรับปาก พวกเขาก็ไม่มีทางรับปาก คนอวบอ้วนที่ปรารถนาจะกินทุกสิ่งในคำเดียวอย่างเจ้า ระวังจะสำลักตายเอาได้!”


น้ำเสียงของเขาค่อยๆ เย็นเยือกลง “เจ้าน่าจะรู้ หากเจ้ากล้าทำร้ายนางแม้เพียงปลายเล็บ ข้าจะทำให้เจ้าต้องชดใช้อย่างสาสม ข้าจะลงโทษเจ้ามากกว่าที่เจ้าลงโทษนางร้อยเท่า ถึงตอนนั้นการที่วิญญาณแตกซ่านจะเป็นจุดจบที่เจ้าคาดหวังมากที่สุด เจ้าจะร่ำไห้ตะโกนร้องขอความตาย!”


———————————————-


บทที่ 1133 เจ้าฝันเฟื่องไม่ยอมตื่นหรือ?


“เช่นนี้แล้วกัน เจ้าปล่อยนาง แล้วให้ข้าไปเป็นตัวประกันของเจ้าเป็นอย่างไร?”


“ไม่ได้!” มู่อวิ๋นกับมู่เหลยต่างโพล่งออกมา สีหน้าท่าทางตื่นตระหนก “ไม่ได้เด็ดขาด! นายท่าน พวกข้ายินยอมเป็นตัวประกันของเขาเพื่อแลกแม่นางกู้กลับคืนมา!”


เทียนจี้เยวี่ยขมวดคิ้ว “ตี้ฝูอี เจ้าอย่าวู่วาม! เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก มิอาจให้เจ้าตัดสินใจเองได้!”


กู่ฉานโม่ก้าวมาด้านหน้า “คนชราอย่างข้ายอมเสียสละตัวเองเป็นตัวประกัน! แต่จะให้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเป็นตัวประกันไม่ได้เด็ดขาด!”


แผ่นดินนี้ถึงแม้เคารพเทพศักดิ์สิทธิ์เป็นหลัก ทว่าผู้ที่แบกรับภาระเมื่อเกิดปัญหา คอยปัดเป่าทุกข์ยากให้แก่ปวงชน  อีกทั้งวางแผนการทั้งหมด กลับเป็นตี้ฝูอีมาโดยตลอด


โม่เจ้าผู้นี้เกลียดเขาเข้ากระดูกดำ หากเขาตกอยู่ในเงื้อมมือของโม่เจ้า ก็เป็นสถานการณ์เป็นตายโดยแท้!


ทุกคนต่างพากันคัดค้าน


กู่ฉานโม่กล่าวอย่างอดไม่ได้ “ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ท่านอย่ายอมถูกเขาข่มขู่ ตอนนี้เขากำลังตกเป็นรองอย่างสิ้นเชิง ไม่กล้าทำอะไรกู้ซีจิ่วจริงๆ หรอก เขารู้ว่าท่านไม่กล้าเดิมพัน…”


ตี้ฝูอีทอดถอนใจเบาๆ “ข้าไม่กล้าเดิมพันจริง และไม่คิดจะเอาชีวิตของนางมาเดิมพัน!”


กู่ฉานโม่กล่าวไม่ออก


ตี้ฝูอีมองไปทางโม่เจ้าพลางเอ่ยเบาๆ “ข้ายอมรับเงื่อนไขของเจ้าได้เพียงเท่านี้ หากเจ้ายังไม่ยินยอม เช่นนั้นพวกข้าคงทำได้แค่เพียงสู้จนตกตายไปด้วยกัน…”


เขามองไปที่กู้ซีจิ่ว โม่เจ้าคงเกรงว่ากู้ซีจิ่วจะหาโอกาสต่อสู้ดิ้นรนเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ดังนั้นจึงทำให้กู้ซีจิ่วสติพร่าเลือนไปแล้ว ยามนี้นางถูกโม่เจ้าจับไว้ราวกับเป็นหุ่นกระบอก ถึงแม้ดวงตาเบิกกว้าง แต่กลับไม่มีจิตวิญญาณใดๆ เห็นได้ชัดว่าไม่มีสติสัมปชัญญะ


เขายกมือขึ้นข้างหนึ่ง นิ้วมือทำมุทรา กล่าวต่อว่า “หากข้าช่วยชีวิตนางไม่ได้จริงๆ ข้าจะปลิดชีวิตนางก่อนที่เจ้าจะได้ทรมานนาง!”


เมื่อเรื่องราวมาถึงขั้นนี้ โม่เจ้าทำได้เพียงแค่ตอบรับ ทว่าเขาเพิ่มเงื่อนไขขึ้นมาอีกสองข้อ หนึ่งคือปล่อยคนของเขาทั้งหมด สองคือเขาจะไม่ปล่อยตัวกู้ซีจิ่ว แต่สัญญาว่าจะไม่ทำร้ายนางอีกเด็ดขาด สามารถให้คำสัตย์สาบานได้


ตี้ฝูอียอมรับเงื่อนไขทั้งสองข้อนี้ของเขา


ทว่าตี้ฝูอีจะเป็นคนกำหนดคำสาบานเอง


สิ่งที่ให้เขาสาบานก็คือ ‘ในชาตินี้ชีวิตนี้จะไม่มีทางทำร้ายกู้ซีจิ่วอีก หากกระทำเมื่อใดจะได้รับโทษทัณฑ์จากสวรรค์ ใช้ชีวิตทั้งชาติท่ามกลางเพลิงนรก ไม่อาจหลุดพ้นชั่วกัปชั่วกัลป์’


ผู้คนในทวีปนี้ไม่ได้สาบานกันโดยง่าย หากผิดคำสาบานก็ต้องได้รับโทษ ไม่มีการลดหย่อนผ่อนให้แม้เพียงน้อย


โม่เจ้าชะงักไปครู่หนึ่ง ทว่ายังคงเอ่ยคำสาบานที่เลวร้ายเช่นนี้ภายใต้เงื่อนไขที่ตี้ฝูอีกล่าวมาก่อนหน้า…


……


แสงไฟภายในวังใต้พิภพสว่างไสวตลอดทั้งปี หลอดไฟเป็นสิ่งที่ไม่สมควรจะมีในยุคสมัยนี้ อีกทั้งยังเป็นหลอดไฟประหยัดพลังงาน


การมาถึงวังใต้พิภพนี้ราวกับการเข้าสู่ฐานทดลองที่ทันสมัย ตี้ฝูอีเห็นอะไรก็เป็นสิ่งแปลกใหม่ทั้งนั้น


เพื่อความปลอดภัย โม่เจ้าให้ตี้ฝูอีกลืนกินโอสถพิษกว่าเจ็ดถึงแปดชนิด อีกทั้งยังกดจุดเขาอีกสิบกว่าจุด ซ้ำยังใช้มีดแทงไปหนึ่งแผล!


แน่นอน ตอนนี้เขาไม่ได้ต้องการให้ตี้ฝูอีตาย ดังนั้นมีดที่แทงเข้าไปจึงไม่อันตรายถึงชีวิต เพียงแต่แทงไปที่จุดชี่ไห่[1] ทำให้เขาไม่สามารถใช้พลังวิญญาณได้


เมื่อเป็นเช่นนี้ อย่าว่าแต่ตี้ฝูอีคิดเล่นตุกติกอะไรภายในวังใต้พิภพของเขา แค่แม้แต่จะเดินยังลำบากเลย


เขาส่งลูกน้องสองคนไปช่วยตี้ฝูอีลงจากเรือเหินอัคคี เดิมทีเขาสั่งการลูกน้องสองคนนั้นให้ลากตัวตี้ฝูอีไป ทว่าตี้ฝูอีคนนี้เจ้าอารมณ์ยิ่งนัก เขารักสะอาด ไม่ต้องการให้ใครมาลากเขา ถึงขั้นต้องการจะกระโดดลงสระลาวาอย่างเด็ดขาด…


ไม่รู้ว่าร่างกายของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายท่านนี้เป็นอย่างไร กดจุดอวินซุ่ย[2]ก็ไม่สลบ ยังมั่นคงโดยตลอด ทั้งที่สูญเสียพลังวิญญาณทั้งหมดไป แต่กลับยังสามารถใช้วิชาหยั่งรากได้ เมื่อต้องลากตัวเขาที่หนักอึ้งเช่นภูผาทั้งลูก ข้ารับใช้ทั้งสองของวังใต้พิภพจึงสิ้นเปลืองพละกำลังมากกว่าปกติ


———————————————-


บทที่ 1134 รู้สึกว่าตัวเองกระวนกระวายใจยิ่งนัก…


โม่เจ้าคร้านที่จะเข้าไปวุ่นวายกับเขาด้วยเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ จึงสั่งคนให้ยกเก้าอี้นุ่มมาสามตัว ตัวหนึ่งยกกู้ซีจิ่วที่เป็นลมไปแล้ว ตัวหนึ่งยกตี้ฝูอี ตัวหนึ่งยกหลงฟั่นที่บาดเจ็บสาหัส


หลังจากที่ตี้ฝูอีขึ้นนั่งเก้าอี้นุ่มนี้แล้วก็ไม่พลิกตัวไปมาอีก มีข้ารับใช้สองคนแบกเขาประหนึ่งเป็นคุณชายใหญ่ที่เยี่ยมชมทัศนียภาพของวังใต้พิภพตามใจชอบ แสดงความคิดเห็นบ้างเป็นครั้งคราว กล่าวว่าที่นี่หนาวเย็นเกินไป ไม่หรูหราพอ ควรจะตกแต่งกระถางต้นไม้สักเล็กน้อยไว้ตรงทางเดิน


อย่างไรเสียตอนที่โม่เจ้าเป็นหรงเช่อก็ติดต่อใกล้ชิดกับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้อยู่หลายครา รู้ว่าอีกฝ่ายมีนิสัยค่อนข้างผิดแผก แต่ตอนนั้นเขาแหงนหน้ามองตี้ฝูอี ส่วนทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา ทั้งสองติดต่อสื่อสารกันจริงจังน้อยครั้งนัก เรียกว่าเพียงพยักหน้าให้กันก็ว่าได้


ดังนั้นในสายตาของเขา ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายยังคงลึกลับและสูงส่งเกินเอื้อมเป็นที่สุด ตอนนั้นบางครั้งทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็ทำเรื่องออกนอกกรอบบ้าง เขารู้สึกว่าคนสูงส่งล้วนมีอารมณ์ผิดแผกกันหมด พิลึกเล็กน้อยก็เป็นเรื่องปกติยิ่ง


ความแปลกพิลึกในตอนนั้นเรียกว่ารสนิยมและความลึกลับ


ยามนั้นภายในใจโม่เจ้าก็มีความคิดชั่ววูบว่าจะลากทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายลงจากแท่นบูชาแล้วเหยียบย่ำให้จมดิน


โม่เจ้าคิดว่าเหตุผลที่คนเช่นตี้ฝูอีอวดดีได้ขนาดนี้เป็นเพราะมีตำแหน่งสูงส่ง ไม่เคยมีใครข่มขู่เขาได้ และไม่เคยมีผู้ใดทำร้ายเขาได้จริงๆ หากเขาตกจากเทวสถานมาเป็นเชลย ก็เสียหน้าเช่นเดียวกัน และตกอยู่ในสภาพจนตรอกเช่นกัน อย่างน้อยที่สุดก็คงไม่กล้าอวดดีหรือทำให้เขาต้องขุ่นเคืองใจได้อีก


ทว่ายามนี้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายถูกเขาจับตัวได้แล้ว และยังบาดเจ็บจนเป็นเช่นนี้ คาดไม่ถึงว่าเขายังเอ้อระเหยสบายใจได้ถึงเพียงนี้ ไม่เหมือนเป็นเชลย กลับเหมือนเป็นคุณชายที่มาเยี่ยมชมเสียมากกว่า!


โม่เจ้ารู้สึกว่าตัวเองกระวนกระวายใจยิ่งนัก…


ใบหน้าสง่างามที่ฝึกฝนมานานหลายปีแทบจะอดกลั้นไม่ไหว เมื่อตี้ฝูอีชี้ว่าหยกกันไฟที่เรียงกันเป็นรูปดอกไม้บนทางเดินของวังใต้พิภพไม่ค่อยเข้ากันเท่าใด ในที่สุดเขาสาวเท้าก้าวเดินไปข้างหน้า กระชากคอเสื้อของตี้ฝูอี “ตี้ฝูอี หากเจ้ายังไม่ยอมปิดปากเจ้าให้สนิท ข้าจะตัดลิ้นของเจ้าเสีย!”


ตี้ฝูอีจ้องมองเขาอย่างเยือกเย็น “เจ้าอยากผิดคำสาบาน?”


เขาเพิ่มคำสัตย์สาบานของโม่เจ้าไปอีกประโยคหนึ่ง กับตี้ฝูอีฆ่าได้แต่หยามไม่ได้ หากดูหมิ่นเหยียดหยาม เขาจะพบเคราะห์ถูกอสนีบาตพิฆาต


ดังนั้นโม่เจ้าแทงเขาหนึ่งแผลให้สูญเสียวรยุทธ์พลังวิญญาณได้ แต่ไม่สามารถทำสิ่งต่างๆ เช่นตัดลิ้นหรือควักลูกตา


โม่เจ้าย่อมไม่อยากผิดคำสาบาน จึงแค่นเสียงหัวเราะเยาะเย้ย และคลายมือออกจากตี้ฝูอี “เห็นแก่คนใกล้ตายอย่างเจ้า ข้าจะไม่เก็บเอามาใส่ใจ!”


ตี้ฝูอีจึงยังคงนั่งพิงเก้าอี้อย่างสบายอกสบายใจ นิ้วมือของเขาเคาะที่พนักแขนของเก้าอี้ใต้ร่าง “โม่เจ้า ความจริงข้ายังงุนงงเล็กน้อย เหตุใดเจ้าไม่สังหารข้าเสียตอนนี้? ให้ข้าอยู่เฉลิมฉลองข้ามปีใหม่กับเจ้างั้นรึ? หรือว่าเจ้าคิดว่าเคยเป็นคนคุ้นเคยกับข้าในฐานะหรงเช่อ ยังคงมีความรู้สึกเลือนรางอยู่บ้าง?”


โม่เจ้าพลันยิ้ม “เดี๋ยวเจ้าก็จะได้รู้!”


เขาสั่งให้คนขังตี้ฝูอีไว้ในห้องคุมขังที่สร้างขึ้นมาโดยเฉพาะ ห้องคุมขังนี้พิเศษอย่างยิ่ง กำแพงทั้งสี่ด้านทำจากหยกมรกตกันไฟ ทว่าภายในกลับร้อนราวอยู่ในเข่งนึ่งอาหาร ตี้ฝูอีถูกวางไว้บนเตียงหินที่ร้อนระอุหลังหนึ่ง และถูกตรึงไว้ด้วยตรวนสลายวิญญาณเจ็ดแปดเส้น


ตรวนสลายวิญญาณนี้โหดร้ายยิ่งกว่าโซ่สะกดวิญญาณเสียอีก หากถูกล่ามด้วยโซ่สะกดวิญญาณก็เพียงแค่ไม่อาจใช้พลังวิญญาณได้ ทว่าหากถูกตรึงด้วยตรวนสลายวิญญาณจะทำให้พลังวิญญาณสลายไป เมื่อใดที่ถูกตรวนนี้ตรึงไว้ ต่อให้เป็นคนที่มีความสามารถเพียงใดก็ไม่มีทางร่ายคาถาได้ อีกทั้งเมื่อถูกตรึงด้วยตรวนนี้มากกว่าสิบวันขึ้นไป พลังวิญญาณทั้งหมดของผู้ที่ถูกตรึงจะถูกทำลายจนหมดสิ้น


————————————————


[1] จุดชี่ไห่ จุดฝังเข็มบริเวณท้องน้อย บนแนวกึ่งกลางลำตัว อยู่ใต้สะดือ 1.5 ชุ่น เป็นจุดสำคัญในการบำรุงสุขภาพ เป็นทะเลของพลังลมปราณดั้งเดิม (หยวนชี่)


[2] จุดอวินซุ่ย หรือที่เรียกว่า จุดอันเหมียน อยู่บริเวณด้านหลังใบหูประมาณ 1 ชุ่น เป็นจุดพิเศษ อยู่นอกเส้นลมปราณ


บทที่ 1135 หลับใหล ยิ่งหลับเวลายิ่งยืดยาว


ต่อให้ถูกปล่อยออกไป บนร่างก็ไม่มีพลังวิญญาณให้ใช้อีกต่อไปแล้ว


มือนี้ของเขากล่าวได้ว่ามีพิษร้ายแรงยิ่ง เขาถูกไอพิษทำลายจุดชีพจรทำให้เขาใช้วิญญาณไม่ได้ก่อน จากนั้นก็ใช้ตรวนสลายวิญญาณค่อยๆ สลายพลังวิญญาณของเขา เห็นได้ชัดว่าคิดจะทำให้ตี้ฝูอีกลายเป็นสวะไร้พลังโดยสมบูรณ์…


โม่เจ้าผู้นี้ยังคงกระทำการอย่างรอบคอบยิ่งนัก เขาทราบว่าในบรรดาร้อยกว่าคนที่เขาพาออกไปจะต้องมีคนของตี้ฝูอีแทรกซึมเข้ามาแน่นอน เขาไม่ได้ให้พวกเขาไปทำภารกิจใดต่อแต่นำพวกเขาทั้งหมดไปขังไว้ในโถงใหญ่ห้องหนึ่ง โถงใหญ่แห่งนี้เปรียบเสมือนคุก ทั้งสี่ด้านเป็นเนื้อเดียวกันไม่อาจแบ่งแยกได้ แม่แต่ช่องหน้าต่างก็ไม่มี มีประตูเล็กๆ เพียงบานเดียวเท่านั้น เข้าออกได้ทีละหนึ่งคน จากนั้นเขาก็ตรวจสอบด้วยตัวเองทีละคน


เนื่องจากเขาตรวจสอบอย่างละเอียดยิ่งนัก ย่อมเชื่องช้ามากเป็นธรรมดา กว่าจะตรวจสอบกว่าหนึ่งร้อยคนจนเสร็จสิ้น เวลาก็ล่วงเลยไปห้าวันแล้ว


คนที่แปลกๆ เขาก็ตรวจสอบดูอีกรอบ และพบว่าไม่มีคนของตี้ฝูอีอยู่เลย…


เขาโล่งอกเป็นล้นพ้น อีกทั้งรู้สึกว่าผิดปกติ ด้านในต้องมีปลาที่หลุดลอดแหอยู่แน่นอน ด้วยเหตุนี้จึงจัดให้ลูกน้องอีกหลายคนรั้งอยู่ที่นี่ต่อเอรับการตรวจสอบอีกรอบ


ซ้ำยังให้คนสร้างมาตรการร้องเรียนความประพฤติขึ้นด้วย หากพฤติกรรมผิดแผกไปสักนิด คนที่คุ้นเคยกับเขาก็สามารถมาร้องเรียนได้ เพื่อรับประกันว่าจะไม่มีไส้ศึกอีก


ถึงแม้วิธีคัดกรองเช่นนี้ของเขาจะพอรบประกันได้บ้าง แต่ก็มีข้อเสียเช่นกัน โดยเฉพาะมาตรการร้องเรียนความประพฤติ คนที่ปกติแล้วไม่ถูกกันมีเรื่องบาดหมางเล็กๆ น้อยๆ ก็ฉวยโอกาสใส่ไคล้ร้องเรียนผู้อื่น…


ในบรรดานี้มีผู้ที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นไส้ศึกจึงถูกประหารเสีย


มาตรการเช่นนี้ย่อมก่อให้ลูกน้องเหล่านี้ไม่พอใจ โดยเฉพะลูกน้องที่ถูกขังไว้ในโถงใหญ่ห้องนั้นตลอด ความคับข้องใจยิ่งหนักหนาขึ้น เดิมทีพวกเขาเป็นหัวกะทิของตำหนักใต้ดินแห่งนี้ ยามนี้ไม่เพียงแต่ถูกสงสัยอยู่ตลอดเวลาเท่านั้น ยังถูกแบ่งแยกอีกด้วย


เดิมทีหน่วยสำคัญในตำหนักใต้ดินเหล่านั้นเป็นเขตอิทธิพลของพวกเขา ทว่ายามนี้พวกเขาไม่มีแม้แต่คุณสมบัติที่จะเข้าไป!


พวกเขาไม่พอใจแต่ด้วยกริ่งเกรงพลังอำนาจของโม่เจ้า พวกเขาจึงไม่กล้าเปิดเผยออกมา แต่ก็เริ่มมีใจออกห่างแล้ว…


ภายในตำหนักใต้ดินดูคล้ายว่าจะสงบสุข ทว่าภายในกลับมีคลื่นใต้น้ำแล้ว


ส่วนหลงฟั่นถึงแม้รับบาดเจ็บ  แต่เคราะห์ดีที่ตัวเขาเองก็เป็นหมอ สามารถดูแลรักษาตัวเองได้ ผ่านไปสองวันก็เริ่มทำงานได้ตามปกติแล้ว


สืบเนื่องมาจากบทเรียนในครั้งก่อนที่กู้ซีจิ่วทำลายกล้องวงจรปิดแล้วหลบหนีไป หลงฟั่นจึงสร้างห้องสังเกตการณ์ขึ้นอีกในห้องของตนกับโม่เจ้า เช่นนี้ต่อให้ห้องสังเกตการณ์ด้านนอกถูกทำลาย แต่ห้องสังเกตการณ์ทั้งสองห้องที่อยู่ข้างในจะไม่เสียหายไปด้วย


ก่อนหน้านี้ตอนที่หลงซือเย่ถูกคุมขัง ในห้องเล็กๆ แห่งนั้นไม่ได้ติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้ ถึงเป็นการเปิดโอกาสให้หลงซือเย่หนีออกไปได้


ครั้งนี้เมื่อจับตัวตี้ฝูอีแล้ว ย่อมได้รับบทเรียนจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ในห้องที่คุมขังเขาไว้จึงติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้สี่ตัว หนึ่งมุมต่อหนึ่งตัว สังเกตการณ์เขาได้รอบด้านโดยไร้จุดอับสายตา


ทุกๆ วันโม่เจ้าจะมาดูตี้ฝูอีในห้องสังเกตการณ์อยู่หลายรอบ เขารู้สึกว่าการได้เห็นทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ทุกข์ทรมานอยู่ที่นั่นค่อนข้างเจริญอาหารนัก แม้กายจิตของเขาจะไม่ต้องกินสิ่งใด แต่การที่เห็นตี้ฝูอีเป็นเช่นนั้นเขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าเหมือนได้กินโสมคนก็มิปาน


ตี้ฝูอีถูกล่ามไว้ที่นั่น ถึงแม้จะดูสงบนิ่งยิ่งนักอยู่ตลอด แต่สีหน้าของเขากลับซีดเซียวขึ้นเรื่อยๆ กำลังวังชาก็ถดถอยเซื่องซึมลงเรื่อยๆ


เริ่มแรกที่ถูกขังไว้ เขาเคยลองฝึกฝนอยู่ในคุกแล้ว ผลคือยิ่งฝึกพลังวิญญาณยิ่งถูกสลายเร็วขึ้นเรื่อยๆ ด้วยหตุนี้ภายหลังเขาจึงไม่ฝึกฝนแล้ว


คนผู้หนึ่งถูกขังไว้ในห้องสี่เหลี่ยมตลอด ย่อมเบื่อหน่ายยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้ตี้ฝูอีจึงเริ่มหลับใหล ยิ่งหลับเวลายิ่งยืดยาว ยิ่งหลับความง่วงงุนก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แน่นอน ยิ่งหลับก็ยิ่งทรุดโทรมลงเรื่อยๆ


———————————————


บทที่ 1136 โรคแอบแฝง


เมื่อตี้ฝูอีตื่นขึ้นมาอีกครั้ง พบว่ามีคนคู่หนึ่งอยู่เบื้องหน้าเขา


บุรุษสวมเสื้อคลุมตัวยาวสีเขียวอ่อนปักลายวารีไหลริน เครื่องหน้าดั่งสลักเสลา แววตาลึกล้ำ บุคลิกสุภาพสง่างาม พัดจีบในมือโบกไหวสเมือนเขาเขียวธารใส เป็นโม่เจ้านั่นเอง


ส่วนสตรีที่อยู่ข้างกายเขารูปโฉมงดงามปานบุปผาที่เจิดจ้าที่สุดบนโลกใบนี้ บุคลิกเยือกเย็น สวมชุดกระโปรงยาวแบบเดียวสีเดียวกับของโม่เจ้า คิ้วตาอ่อนละมุน ในมือกุมขลุ่ยไผ่เลาหนึ่งไว้ เป็นกู้ซีจิ่ว


นางคล้องแขนโม่เจ้าไว้ดุจนกน้อยที่อิงแอบแนบซบคน กำลังเอียงคอมองเขาที่นอนอยู่บนเตียงหิน ดวงตาใสกระจ่างคู่นั้นคล้ายจะค่อนข้างสนใจใคร่รู้


สายตาของตี้ฝูอีตกลงบนแขนเขาที่นางเกาะเกี่ยวไว้ เท่าที่เขารู้ ถึงแม้กายจิตของโม่เจ้าจะแข็งแกร่ง ดูเหมือนก่อตัวเป็นร่างเนื้อได้ และสามารถสำแดงกระบวนท่าที่ร้ายกาจยิ่งนักได้ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นพียงกายจิต หากมีคนสัมผัสตัวเขาเข้าจริงๆ คนผู้นั้นจะทะลุผ่านร่างเขาไป ไม่มีทางแตะต้องเขาได้ บ้างก็ถูกพลังจากดวงวิญญาณของเขาแช่แข็ง ร่างกายแข็งทื่อไปทันที


แต่ยามนี้สองคนนั้นยื่นเกาะเกี่ยวกันอยู่ตรงนั้น กู้ซีจิ่วไม่ตะขิดตะขวงเลยสักนิด


ตอนนี้โม่เจ้ามีร่างเนื้อแล้ว! ไม่ใช่กายจิตอีกต่อไป!


แววตาตี้ฝูอีคมปลาบ ในที่สุดก็มองข้อนี้ออก เพียงแต่ยามนี้สิ่งที่เขากังวลใจไม่ใช่เรื่องนี้ หลังจากมองโม่เจ้าแวบหนึ่งสายตาของเขาก็จับจ้องอยู่ที่ร่างกู้ซีจิ่ว


ท่าทางของนั้นผิดไปจากปกติอย่างเห็นได้ชัด!


แววตาของตี้ฝูอีดำดิ่งลงในชั่วพริบตา “โม่เจ้า เจ้าทำอะไรนาง?!”


โม่เจ้ายิ้มน้อยๆ “ไม่ได้ทำอะไรนี่ นางเป็นว่าที่ภรรยาของข้า ข้าทำร้ายนางไม่ลงหรอก แล้วจะทำอะไรนางได้อย่างไร?” พลางตบมือน้อยของกู้ซีจิ่วเบาๆ “ซีจิ่ว ข้าปวดไหล่นิดหน่อย…”


กู้ซีจิ่วปรากฎสีหน้าวิตกทันที ดึงให้เขานั่งลงบนม้านั่งหินตัวหนึ่ง ยืนอยู่เบื้องหลังเขาทุบไหล่ให้เขาอย่างกระตือรือร้น กำปั้นน้อยๆ ทุบขึ้นทุบลง เรียวแรงกำลังพอดีไม่หนักไม่เบา โม่เจ้าพริ้มตาลงนิดๆ อย่างพอใจ ดูสำราญอย่างยิ่ง


สายตาของตี้ฝูอีมองกำปั้นน้อยๆ ของกู้ซีจิ่ว มองนางทุบขึ้นทุบลง ริมฝีปากบางเม้มแน่น!


โม่เจ้าลืมตาขึ้น หันไปสั่งการกู้ซีจิ่ว “ซีจิ่ว ข้ากระหายเล็กน้อย…”


กู้ซีจิ่วหันหลังวิ่งออกไปทันที “ข้าจะไปชงชาให้ท่าน”


ตี้ฝูอีเงียบงัน


เขามองโม่เจ้าอย่างเยียบเย็น “เจ้าใช้ยากับนาง! โม่เจ้า เจ้ารับปากแล้วว่าจะไม่ทำอันตรายนางไปชั่วชีวิต! เจ้าไม่กร่งเกรงคำสาบานงั้นรึ?”


โม่เจ้าดีดแขนเสื้อตนคราหนึ่งอย่างไม่อินังขัง ขอบ “ข้าแค่ลบล้างความทรงจำทั้งหมดของนางไปจนสิ้นแล้วเท่านั้น ความทรงจำในชาติก่นเหล่านั้นของนางเลวร้ายเกินไป ทำให้นางป็นทุกข์ตรม ยามนี้เป็นเช่นนี้ดีแล้ว นางเป็นคนใหม่อย่างสมบูรณ์ แถมยังชอบเพียงข้า ใส่ใจเพียงข้า ข้าก็ไม่ได้ทำอันตรายนางนี่ กลับกันเสียด้วยซ้ำ ร่างกายของนางในยามนี้แข็งแรงอย่างยิ่ง และมีความสุขยิ่งนักทุกวัน เช่นนี้มิใช่เป็นการดีที่สุดสำหรับนางหรอกหรือ?”


ดีกับผีน่ะสิ! กู้ซีจิ่วในตอนนี้เหมือนหุ่นกลไกตัวหนึ่ง ไม่มีความคิดเป็นของตัวเองเลย นี่เรียกว่าดีหรือ?


โม่เจ้ายิ้มน้อยๆ มองดูเขา “ตี้ฝูอี หรือเจ้ามองไม่ออกว่าข้ามีตรงไหนที่ต่างไปจากเดิม”


ตี้ฝูอีหลับตาลงนิดๆ “แค่สวมใส่ถุงหนังเหม็นโฉ่ใบหนึ่งเท่านั้น มีอันใดควรค่าให้เจ้าปรีดากัน?”


โม่เจ้าพูดไม่ออกเลย


ผ่านไปครู่หนึ่งกู้ซีจิ่วก็หิ้วกาน้ำชาชุดหนึ่งเข้ามา ถึงขั้นที่หิ้วเตาดินเผาเล็กๆ ใบหนึ่งเข้ามาด้วย นั่งลงตรงนั้นเริ่มทำการชงชา ดวงตาของนางหลุบต่ำ ทุกขั้นตอนล้วนทำอย่างจริงจังยิ่ง ราวกับยามนี้ในชีวิตนางเหลือการชงชานี้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น


———————————————-


บทที่ 1137 โรคแอบแฝง 2


กลิ่นชาฟุ้งตลบ กระตุ้นต่อมรับรสของผู้คน


นางเตรียมถ้วยไว้สองใบ รินให้โม่เจ้าก่อนหนึ่งใบ ยิ้มหวานให้เขาคราหนึ่ง “ชิมดูสิว่ารสชาติเป็นอย่างไร?”


โม่เจ้าดื่มเข้าไปอึกหนึ่งด้วยความพอใจ เอ่ยชมเชย “ไม่เลว!”


ดวงตากู้ซีจิ่วเปล่งประกาย ราวกับการได้รับคำชมเชยจากเขาเป็นเรื่องที่ทำให้นางดีใจที่สุด


ตี้ฝีอีรู้สึกเสียดแทงสายตา นิ่งไปครู่หนึ่ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ซีจิ่ว ให้ข้าดื่มสักถ้วยได้หรือไม่? ข้ากระหายยิ่งนัก”


เขากระหายมากจริงๆ สถานที่แห่งนี้ยิ่งกว่าลังถึงเสียอีก อีกทั้งเขาไม่มีพลังวิญญาณคุ้มกายแล้ว ความร้อนของที่นี่แทบจะทำให้น้ำในกายของเขาระเหยไปหมดแล้ว ริมฝีปากที่เดิมทีแดงระเรื่อก็เริ่มแตกระแหงแล้ว


กู้ซีจิ่วเอียงคอมองเขา สายตาหยุดอยู่ที่ริมฝีปากแห้งผากของเขาครู่หนึ่ง พลางเม้มริมฝีปาก รินใส่ถ้วยอีกใบ และก้าวเข้าหาเขา


นัยน์ตาของโม่เจ้าไหวเล็กน้อย ทว่ามิได้ขัดขวาง ยืนกอดอกอยู่ตรงนั้น มองนางเดินไปถึงเบื้องหน้าเขา


เมื่อกู้ซีจิ่วเดินถึงเบื้องหน้าเขา จู่ๆ เรียวคิ้วบางของนางก็มุ่นขึ้น ถอยหลังไปหลายก้ว ขมวดคิ้วมองเขา


ตี้ฝูอีประสาทสัมผัสเฉียบคมสัมผัสได้ว่าท่าทางของนางผิดปกติ “เป็นอะไรไป?”


กู้ซีจิ่วมองริมฝีปากแห้งแตกของเขาอีกแวบหนึ่ง เม้มริมฝีปากจิ้มลิ้ม คล้ายจะตัดสินใจได้แล้ว ในที่สุดก็กลั้นหายใจแล้วเดินไปอยู่เบื่องหน้าเขาอีกครั้ง ยื่นถ้วยชาชิดริมฝีปากเขา “ดื่มสิ เร็วหน่อย”


ตี้ฝูอจึงดื่มน้ำชาถ้วยนั้นในมือนางลงไป ทว่าสิ่งที่ไหลลงสู่กระเพาะกลับเป็นความขมขื่นสายหนึ่ง


เขาเพิ่งจะดื่มเสร็จกู้ซีจิ่วก็ถอยกรูดไปอย่างรวดเร็ว ราวกับเขาเป็นภัยใหญ่หลวง ถึงขั้นที่ยกเตาไฟต้มน้ำใบเล็กของนางเขยิบออกห่างเล็กน้อยด้วย


ตี้ฝูอีมองนาง “ซีจิ่ว ให้ข้าดื่มอีกถ้วยได้หรือไม่?”


กู้ซีจิ่วขมวดคิ้ว นิ่งไปเล็กน้อย หันไปถามโม่เจ้า “พี่โม่ ทำไมต้องขังคนผู้นี้ล่ะเจ้าคะ?”


สายโซ่ที่ข้อมือของตี้ฝูอีส่งเสียงดังกราวๆ


พี่โม่?!


โม่เจ้าเหลือบมองตี้ฝูอีอย่างได้ใจแวบหนึ่ง ยกมือลูบเรือนผมของกู้ซีจิ่ว “คนผู้นี้เป็นตัวชั่วช้า เป็นศัตรูตัวฉกาจของพี่โม่”


กู้ซีจิ่วขมวดคิ้ว “เช่นนั้นเหตุใดไม่สังหารเขาเสีย?”


โม่เจ้าถอนหายใจเบาๆ “ถึงอย่างไรก็เป็นชีวิตหนึ่งชีวิต พี่โม่หักใจไม่ลง”


“โอ้” กู้ซีจิ่ว ไม่ถามต่อแล้ว ทว่าเหลือบมองตี้ฝูอีอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง “เจ้าเป็นตัวชั่วช้า ซ้ำยังเป็นศัตรูของพี่โม่อีก ถึงข้ามีชาก็ไม่ให้เจ้าดื่มแล้ว!”


ตี้ฝูอีนิ่งงัน เขาถอนหายใจ “แค่นี้เจ้าก็เชื่อเขาแล้ว? บางทีตัวชั่วช้าอาจเป็นเขาต่างหาก…”


“เหลวไหล พี่โม่เป็นคนดี!” กู้ซีจิ่วไม่คิดจะเสวนากับเขาต่อแล้ว ก้าวเข้าไปคล้องแขนโม่เจ้า “พี่โม่ พวกเราไปกันได้หรือยัง?”


โม่เจ้ามองตี้ฝูอีที่สีหน้าซีดเซียวยิ่งนักอีกแวบหนึ่ง ในใจเบิกบานเป็นพิเศษ ยามที่จากไป เขาได้ทำให้ความเบิกบานของตนเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า “ตี้ฝูอี อีกสามวันจะเป็นวันมงคลของข้ากับซีจิ่ว ถึงแม้เจ้าจะเป็นศัตรูของข้า แต่ผู้ยิ่งใหญ่ใจกว้างอย่างข้าไม่ถือสาหาความกับเจ้าหรอก พอถึงเวลาจะเชิญเจ้ามาสุรายินดีกับพวกเราสักจอกแล้วกัน”


เมื่อกล่าวประโยคนนี้จบ เขาก็สังเกตเห็นว่าตี้ฝูอีกำหมัดแน่นในทันใด จึงยิ้มอย่างเปี่ยมด้วยความภาคภูมิแวบหนึ่ง จูงกู้ซีจิ่วจากไปเลย


ตี้ฝูอียังคงนอนอยู่ตรงนั้น หลุบตาลง


กู้ซีจิ่วมาหนนี้ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับเขาเลยสักนิด ตอนที่นางทุบไหล่ให้โม่เจ้าดูเป็นการทุบไหล่จริงๆ มิใช่วิธีเคาะรหัสมอสต์ส่งข่าวสารให้เขา


ซีจิ่ว เจ้าลืมทุกอย่างไปแล้วจริงๆ หรือ?


….


บนโต๊ะมีสี่กับข้าวหนึ่งน้ำแกง กู้ซีจิ่วนั่งกินข้าวอยู่ตรงนั้นอย่างสงบเสงี่ยม


โม่เจ้านั่งอยู่ข้างกายนาง มองนางกินอาหาร ซักพักก็ถามข้นประโยคหนึ่ง “อร่อยหรือไม่?”


———————————————–


บทที่ 1138 โรคแอบแฝง 3


กู้ซีจิ่วพยักหน้า ดวงหน้าน้อยๆ คลี่ยิ้มปานบุปผา “อร่อย” แววตานางใสซื่อ ราวกับเด็กน้อยวัยเจ็ดแปดขวบ


โม่เจ้าถอนหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง เอ่ยถามนางอีก “วันมะรืนเป็นวันแต่งงานของข้ากับเจ้า เจ้าดีใจไหม?”


นัยน์กู้ซีจิ่วส่องประกาย “แต่งงานหมายถึงจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไปใช่ไหม?”


“ใช่แล้ว หลังจากแต่งงานเจ้าก็คือภรรยาของข้า ต้องอยู่ข้างกายข้าตลอดเวลา”


“อื้ม เช่นนั้นข้าก็ดีใจ” กู้ซีจิ่วตอบอย่างไม่ลังเลเลย


เมื่อกินข้าวเสร็จ นางก็ลงมือเก็บกวาดถ้วยโถโอชามเสมือนสะใภ้ตัวน้อยทันที โม่เจ้าห้ามนางไว้ “เจ้าเป็นว่าที่ฮูหยินของท่านเจ้า งานหนักเหล่านี้เจ้าไม่ต้องทำหรอก ให้ข้ารับใช้เหล่านั้นมาจัดการก็ได้” พลางสั่นกระดิ่งเงินใบหนึ่งบนโต๊ะ มีสาวใช้นางเข้ามาเก็บกวาดให้อย่างว่องไวจริงๆ จากนั้นก็ก้มหน้าล่าถอยไป


“พี่โม่ ท่านอยากดื่มอะไรสักหน่อยหรือไม่?” กู้ซีจิ่วถามอย่างกระตือรือร้น


โม่เจ้าชะงักไปครู่หนึ่ง ส่ายศีรษะ “ไม่ต้อง ข้าไม่กระหาย”


“เช่นนั้นท่านเมื่อยไหล่ไหม? ข้าทุบให้ท่านดีหรือไม่?”


โม่เจ้าเงียบงัน เขาถอนหายใจอย่างอดไม่อยู่ “ไม่ต้องแล้ว วันนี้เจ้าทุบให้ข้าแปดรอบแล้ว!”


“อ้อ” กู้ซีจิ่วตอบรับคราหนึ่ง ไม่พูดอะไรอีก หลุบตาต่ำรับบทเป็นหุ่นไม้อยู่ตรงนั้น


โม่เจ้ามองดูนางเอ่ยขึ้นมาอย่างเหลืออด “ซีจิ่ว ถ้าเจ้าคิดจะทำให้ข้าพอใจที่จริงแล้วมีอีกหลายวิธีนัก มิใช่แค่ชงชากับนวดไหล่สองวิธีนี้เท่านั้น เจ้าลองคิดดูสักอย่างไหม?”


กู้ซีจิ่วมองเขาอย่างงงงวย เอ่ยทวนประโยคหนึ่ง “ลองคิดดูสักอย่างเหรอ?” คล้ายว่านางกำลังพยายามคิดอยู่ แต่หลังจากคิดไปได้ครู่หนึ่ง นางก็กุมหัวแล้วฟุบลงบนโต๊ะ “ปวดหัว! ปวดหัวเหลือเกิน!”


โม่เจ้าทึ่มทื่อไปแล้ว


ตอนที่หลงฟั่นเข้ามา กู้ซีจิ่วกำลังกุมหัวครวญครางอยู่ บนหน้าผากเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อเย็นเฉียบ


หลงฟั่นขมวดคิ้ว “เหตุใดถึงกระตุ้นนางอีกแล้ว?” พลางหยิบยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งออกมาจากร่างรีบก้าวไปอยู่ด้านหน้ากู้ซีจิ่ว คิดจะพยุงนางขึ้นมากินยา


แต่เขาเพิ่งจะพยุง กู้ซีจิ่วก็พยามยามถอยหลังไปอย่างสุดชีวิตเสมือนถูกแมงป่องต่อย “อย่าเข้ามานะ! เหม็น!”


หลงฟั่นชะงัก สีหน้าเขาไม่น่ามองยิ่งนัก ยื่นยาลูกกลอนให้โม่เจ้า “ท่านเจ้า ท่านมาป้อนนางเถอะ”


โม่เจ้าถอนหายใจ รับยามายื่นไปข้างปากกู้ซีจิ่วให้นางกินเข้าไป หลังจากกินเข้าไปได้ไม่นาน กู้ซีจิ่วก็ค่อนข้างวิงเวียนมึนงง ดูง่วงงุนยิ่งนัก


โม่เจ้าพยุงนางขึ้นเตียง ให้นางนอนหลับ


นางหลับไปอย่างรวดเร็วนัก แทบจะเรียกได้ว่าหัวถึงหมอนก็หลับไปเลย โม่เจ้ากระวิบเรียกนางอยู่หลายครานางก็ไม่มีปฏิกิริยาสนองเลย


“หลงฟั่น ข้าแค่ให้เจ้าลบความทรงจำทั้งหมดของนาง มิใช่ทำให้นางเปลี่ยนเป็นโง่งม เจ้าดูสินางในยามนี้เหมือนตัวโง่งมน้อยผู้หนึ่ง ทำเป็นแค่ชงชากับทุบไหล่!” สุ้มเสียงของโม่เจ้าหงุดหงิดระอา “ให้นางคิดเพิ่มอีกสักอย่างนางก็ปวดหัวเสียแล้ว นางคงไม่เป็นเช่นนี้ไปตลอดกาลกระมัง?!”


อันที่จริงเขายังคงชื่นชอบกู้ซีจิ่วที่เย็นชาเหมือนกุหลาบแฝงคมหนามผู้นั้น มิใช่ตัวโง่งมสวยใสไร้สมองเช่นยามนี้ สติปัญญาเช่นนี้อย่างมาก็เหมือนเด็กน้อยวัยแปดเก้าขวบเท่านั้น!


สีหน้าหลงฟั่นราบเรียบ “ท่านเจ้า โอสถที่ใช้ลบความทรงทั้งหมดนั้นมีผลข้างเคียง เรื่องนี้ข้าน้อยเคยพูดไว้นานแล้ว ยิ่งไปก่านั้นคือท่านกล่าวว่าคาดหวังนางเชื่อฟัง ซ้ำยังบอกว่าชอบดื่มชาที่นางชง คาดหวังให้นางทุบไหล่ให้ท่าน อีกทั้งนับจากนี้ไปในสายตาในหัวใจจะมีท่านเพียงคนเดียว…ยามนี้เรื่องเหล่านี้ล้วนบรรลุตามจุดประสงค์แล้ว ท่านเจ้าก็ไม่พอใจอีก เช่นนั้นข้าน้อย…”


โม่เจ้าถูกตอกกลับจนทึ่มทื่อไป ขมวดคิ้วกล่าวว่า “แต่นางที่เป็นเช่นนี้ดูราวกับหมือนหุ่นไม้ ไม่มีสุนทรีย์เลย…สามารถยกระดับสติปัญญานางสักหน่อยได้หรือไม่?”


หลงฟั่นมองกู้ซีจิ่วที่อยู่บนเตียงแวบหนึ่ง…


————————————————


บทที่ 1139 โรคแอบแฝง 4


เด็กสาวคนนั้นหลับใหลอย่างมืดมน เขาส่ายหน้า “ตอนนี้ยังไม่มีวิธี ถึงอย่างไรก็ต้องใช้ตัวยาหลายชนิดมาผสมกัน นางจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดายิ่งนัก โดยเฉพาะเมื่อนางใช้ลูกกลอนสุรภีนั้นเข้าไป ถึงแม้ลูกกลอนนั้นจะทำให้นางเป็นมีความรู้สึกต่อท่านเจ้าเพียงผู้เดียว ชมชอบกลิ่นอายบนร่างของท่านเจ้าเพียงผู้เดียว กลิ่นบนร่างชายอื่นล้วนทำให้รู้สึกเหม็นจนไม่อาจดมได้ แต่ผลกระทบของมันก็ร้ายแรงเป็นที่สุด ก็คือเมื่อนางคิดเรื่องราวต่างๆ ขึ้นมาจะเป็นตัวการฉกาจที่ทำให้ปวดศีรษะ เคราะห์ดีที่โอสถนี้กินได้เพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น อีกหนึ่งเดือนให้หลังไม่อาจให้นางกินได้แล้ว ถ้ากินอีกจะทำให้ระบบประสาทในสมองนางเสียหายจนยากจะกอบกู้ได้ หลังจากหยุดยาตัวนั้นแล้ว ฤทธิ์ยาก็จะค่อยๆ สลายไป อาการปวดหัวของนางก็จะค่อยๆ หายไปเช่นกัน คนก็จะฉลาดขึ้นเรื่อยๆ เมื่อถึงเวลานั้นท่านเจ้ากับนางก็ครองคู่กันไปนานแล้ว ด้วยความสามารถและเสน่ห์ของท่านเจ้า ไม่ต้องใช้ยาก็น่าจะทำให้นางชมชอบท่านสุดหัวจิตหัวใจได้…”


โม่เจ้านิ่งไปพักหนึ่ง ไม่พูดอะไร


หลงฟั่นจึงเอ่ยถาม “หลังจากท่านเจ้าเข้าร่างสำเร็จรู้สึกอย่างไรบ้างขอรับ? มีตรงไหนที่ผิดปกติหรือไม่?”


เช้าวันนี้โม่เจ้าเข้าสิงสู่ร่างโคลนนิ่งสำเร็จแล้ว หลังจากประสบความสำเร็จหลงฟั่นได้ตรวจสอบระบบร่างกายของเขาดูแล้ว ไม่พบว่ามีอะไรผิดปกติ สังขารนี้มีพลังวิญญาณขั้นเก้า เป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ


หลังจากโม่เจ้าเข้าร่างสำเร็จตรวจสอบไม่พบอาการใดๆ ก็ตรงไปหากู้ซีจิ่วแล้วพาไปโอ้อวดต่อหน้าตี้ฝูอีทันที ดังนั้นหลงฟั่นจึงยังไม่ทราบว่าเขาใช้ร่างกายนี้แล้วเป็นอย่างไรบ้าง


โม่เจ้าใคร่ครวญครู่หนึ่ง ตอบเรียบๆ “ตอนนี้ยังไม่พบความผิดปกติตรงไหน รอเช้าวันพรุ่งข้าจะบอกเจ้า”


หลงฟั่นพยักหน้า ไม่พูดจาเป็นอื่น


เรื่องที่กู้ซีจิ่วกับหลงซือเย่วางยาทำลายร่างโคลนนิ่งเขาไม่ได้บอกแก่โม่เจ้า ปิดบังไปก่อน


ในตำหนักใต้ดินแห่งนี้ถึงแม้จะมีโคมไฟสารพัดส่องสว่างอยู่ตลอด แต่การทำงานและพักผ่อนของผู้คนก็ยังคงแบ่งแยกระหว่างกลางวันกับกลางคืน


ในตำหนักใต้ดินก็มีลูกน้องหญิงอยู่ไม่น้อย ลูกน้องหญิงเหล่านี้วรยุทธ์สูงต่ำแตกต่างกันไป บ้างก็พึ่งพาความสามารถที่แท้จริงของตนเข้ามา บ้างก็พึ่งพารูปโฉมของตนเข้ามา ผู้ที่พึ่งพาความสามารถที่แท้จริงเข้ามาค่อนข้างมีสิทธิความเป็นมนุษย์ สามารถปฏิบัติงานร่วมกับลูกน้องชายได้ ฐานะก็ไม่ต่างกันมากนัก ส่วนทุกคนที่พึ่งพารูปโฉมเข้ามา ส่วนใหญ่จะลดศักดิ์ลงเป็นนางโลม เป็นสวัสดิการบำรุงบำเรอลูกน้องชายเหล่านั้น


สถานที่ที่เต็มไปด้วยคนพาลมักจะทำให้จิตใจคนสั่นคลอนได้ง่ายๆ แต่สตรีบางคนที่อยู่ด้านในก็ต่างกันออกไป สามารถมัดใจคนไว้ได้


ท่ามกลางสตรีเหล่านี้มีสตรีอยู่นางหนึ่งนามว่าเฟิ่งชิง เป็นนางโลมที่เลื่องชื่อ


รูปโฉมเย้ายวน ที่สำคัญคือความสามารถด้านนั้นของนางน่าตะลึงนัก ทำให้บุรุษที่ขึ้นเตียงกับนางล้วนยกจิตถวายใจให้แก่นาง บุรุษกว่าครึ่งในตำหนักใต้ดินแห่งนี้ล้วนเคยร่วมอภิรมย์กับนางแล้ว


คืนนี้ นางเพิ่งคิดว่าจะพักเสียหน่อย แสงเทียนในห้องดับลง คนผู้หนึ่งปรากฏขึ้นหน้าเตียงของนางโดยตรง


นางสะดุ้งโหยง เบิกตามองคนสวมหน้ากากผู้นี้ “ท่าน…”


คนผู้นั้นสวมชุดสีดำ บนหน้าสวมหน้กากผีไว้ ถึงแม้จะมองไม่เห็นใบหน้าของเขา แต่มองจากเรือนกายสูงโปร่งของเขา ก็ทราบได้ว่าอีกฝ่ายเป็นหนุ่มหล่อคนหนึ่ง


สถานที่แห่งนี้คนนอกเข้ามาไม่ได้ ดังนั้นถึงแม้คนผู้นี้จะปรากฏตัวขึ้นกะทันหัน เฟิ่งชิงก็ไม่หวาดกลัว นัยน์ตาฉ่ำวาวจับจ้องอีกฝ่าย “ท่านผู้สูงศักดิ์มาเยือนในยามวิกาล…”


“เข้ามาปรนนิบัติ!” ชายสวมหน้ากากผู้นั้นตัดบทนาง


“อา? คุณชายมาปรนนิบัติเฟิ่งชิงหรือ? เรื่องนี้เฟิ่งชิงมิกล้า…”


“ข้าหมายถึงให้เจ้ามาปรนนิบัติข้า!” น้ำเสียงของชายสวมหน้ากากเยียบเย็นทันที “ใช้ทักษะทั้งหมดของเจ้า ปรนนิบัติดีจะมีรางวัล ถ้าปรนนิบัติไม่ดี…” กล่าวมาถึงตรงนี้เขาก็เงียบไป มือเคาะลงบนโต๊ะ โต๊ะหินตัวหนึ่งแหลกเป็นผง กระจัดกระจายอยู่บนพื้นอย่างไร้สุ้มเสียง


———————————————


บทที่ 1140 โรคแอบแฝง 5


เฟิ่งชิงตกตะลึง วรยุทธ์เช่นนี้…


ทักษะด้านนั้นของเฟิ่งชิงเลิศล้ำนัก ทว่าวรยุทธ์กลับต่ำต้อย อย่างมากก็เป็นแค่หมัดเท้าปักบุปผาเท่านั้น ด้วยฝีมือของคนที่อยู่เบื้องหน้านี้ สามารบีบขยี้นางให้ตายได้เหมือนบี้มดตัวหนึ่ง


ด้วยเหตุนี้ เฟิ่งชิงจึงไป ‘ปรนนิบัติ’ เขา…


รูปร่างของชายสวมหน้ากากยอดเยี่ยมนัก เสียดายแค่ว่าคนผู้นี้จู้จี้ยิ่งนัก ให้นางยุ่งได้เพียงส่วนสงวนของเขา ส่วนอื่นไม่ยอมให้นางได้เห็น


ถึงแม้ในใจของเฟิ่งชิงจะนึกเสียดาย แต่นางยังคงทุ่มเทฝีมือสุดความสามารถ…


ผลคือ ‘ส่วนนั้น’ ของคนผู้นั้นหมอบนิ่งอยู่ตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีทีท่าว่าจะผงาดขึ้นมาสักนิดเลย…


เฟิ่งชิงภาคภูมิใจในทักษะของตนมาโดยตลอด ขึ้นชื่อลือชาว่าสามารถทำให้บุรุษที่นกเขาไม่ขันคึกคักขึ้นมาได้ แต่เมื่อพบบุรุษที่ตัวเองมาให้ถึงหน้าประตูในยามวิกาลผู้นี้นางกลับเสมือนเตะถูกแผ่นเหล็กเข้า


ในสถานการณ์ทั่วไป นางยั่วยวนเพียงไม่กี่ครา บุรุษเหม็นโฉ่เหล่านั้นก็รุ่มร้อนไปทั้งร่างแล้ว ดวงตาลุกวาวโผเข้าคร่อมนางทันที พัวพันกับนางอยู่หลายตลบ


แต่นางสาละวนอยู่บนร่างบุรุษผู้นี้มาครึ่งชั่วยามเต็มๆ แล้ว ใช้ความสามารถทุกอย่างที่มีออกมาหมดแล้ว บุรุษผู้นี้ไม่เพียงแต่ไม่ร้อนรุ่มไปทั้งร่างเท่านั้น ยังมีทีท่าว่าจะเยียบเย็นขึ้นเรื่อยๆ ด้วย บรรยากาศรอบตัวคล้ายลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว


ท้ายที่สุด ยามที่เฟิ่งชิงใช้กระบวนท่าสุดท้ายอกมาก็ปลุกนกเขาไม่ได้อยู่ดี ในที่สุดนางก็ถอดใจ ยกร่างขึ้นมาอย่างไม่พอใจยิ่งนัก “เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าท่านผู้สูงศักดิ์เสื่อมสมรรถภาพ จงใจมาใช้ตัวข้าเป็นของเล่นฆ่าเวลาหรืออย่างไร?”


รูปร่างของบุรุษผู้นี้ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ ที่แท้กลับเป็นพวกดีแต่รูป  มองได้แต่ใช้การไม่ได้!


ชายสวมหน้ากาผู้นั้นไม่พูดอะไร เขาลุกขึ้นทันที สะบัดแขนเสื้อพรึ่บ เสื้อคลุมก็จัดการเรียบร้อยแล้ว หันหลังหมายจะเดินออกไป


เฟิ่งชิงไม่ยอมแพ้ จะให้มารดาหงุดหงิดแถมยังยุ่งง่วนอย่างเสียเปล่างั้นรึ?


ด้วยเหตุนี้จึงก้าวตามไป “ท่านผู้สูงศักดิ์จะจากไปเช่นนี้เลยหรือ? ไม่ทิ้ง…” ประโยคหลังนางยังไม่ทันได้กล่าวออกมา ก็พูดไม่ได้ไปตลอดกาลเสียแล้ว


ชายสวมหน้ากากไม่ได้หันกลับมาเลย เพียงแต่โบกแขนเสื้อไปด้านหลังคราหนึ่ง แช่แข็งเฟิ่งชิงที่ยังเป็นๆ อยู่ให้กลายเป็นปะติมากรรมน้ำแข็งอยู่ที่เดิมโดยตรง จากนั้นก็เกิดเสียงดังเปรี๊ยะ แตกกระจายเป็นละอองโลหิต…


ดึกดื่นค่อนคืนแล้วหลงฟั่นที่เพิ่งเข้าสู่ห้วงฝันก็ถูกโม่เจ้าถีบปลุกอย่างป่าเถื่อน “ไสหัวขึ้นมาซะ!”


หลงฟั่นวุ่นวายมาทั้งวันแล้ว ถูกถีบให้ลุกขึ้นมาเช่นนี้ก็โมโหมากเช่นกัน หากมิใช่เห็นว่าอีกฝ่ายมีฐานะเป็นท่านเจ้า เขาคงไม่พูดไม่จาอะไรซัดคนออกไปเลย!


“ท่านเจ้า ท่านมีเรื่องอันใดอีกขอรับ?!” น้ำเสียงของเขาหงุดหงิดยิ่งนัก


น้ำเสียงของโม่เจ้าย่ำแย่ยิ่งกว่า แทบจะเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้ว “ร่างนี้มีปัญหาใหญ่หลวง!”


หัวใจของหลงฟั่นเต้นรัวแวบหนึ่ง ความง่วงแล่นหายไปกึ่งหนึ่งแล้ว “ปัญหาใหญ่อันใด?”


“มัน…เสื่อมสมรรถภาพ!”


หลงฟั่นตะลึงงัน


เขานิ่งไปครู่หนึ่ง “ท่าน…ท่านทราบได้อย่างไร?” ท่านเจ้าเพิ่งสิงสู่ร่างสำเร็จก็ไปทดสอบคุณสมบัติด้านนั้นแล้วหรือ?


เมื่อก่อนมิใช่ว่าท่านเจ้าไม่ชิดเชื้อสตรีเพศมาโดยตลอดมิใช่หรือ? เหตุใดคราวนี้จู่ๆ ถึง…


โม่เจ้าร้องฮึคราหนึ่ง เขาย่อมไม่คิดจะบอกว่าช่วงที่เขาเป็นหรงเช่อ ถึงแม้จะเจ้าสำราญแต่ก็มิได้เหลวไหล มุ่งฝึกฝนบำรุงร่างกายเด็กหนุ่ม แต่บางคราที่พบเห็นสาวงามก็มีปฏิกิริยาตามธรรมชาติขึ้นมาเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นปีนั้นเขาก็มีความต้องการด้านนี้ต่อกู้ซีจิ่วเช่นกัน เพียงแต่ข่มกลั้นเอาไว้ตลอดเท่านั้น


แต่ครั้งนี้หลังจากเขาเข้าครองร่างสำเร็จ เมื่อเห็นกู้ซีจิ่วอีกครั้งถึงขั้นที่มีการแตะเนื้อต้องตัวนางนางด้วย น่าประหลาดที่เขาไม่มีความปรารถนาเลยสักเสี้ยว นี่ทำให้เขาหัวใจเขาค่อนข้างร้อนรนอยู่บ้าง


ก่อนหน้านี้ยามที่หลงฟั่นถามเขา ยังนึกว่าที่ตนไม่มีปฏิกิริยาเป็นเพราะกู้ซีจิ่วเป็นร่างโคลนนิ่งเหมือนกัน ดังนั้นเขาจึงไปลองทดลองกับคนอื่นดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน กลับคาดไม่ถึงว่า…


เรื่องแบบนี้จะบอกว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะบอกว่าเล็กก็ไม่เล็ก หลงฟั่นขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง กล่อมให้เขาไปทดลองกับสตรีอีกหลายๆ คนดู


———————————————–

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)