พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1131-1134
บทที่ 1131 ห้าปราชญ์เดินตลาดสวรรค์ (3)
โดย
Ink Stone_Fantasy
“แบบนี้จะทำให้เหม่ยลี่ลำบากใจ ถ้าจะทำแบบนี้ ไม่สู้พวกเราไปเอ่ยปากขอยืมจากเหมียวอี้โดยตรงเลยดีมั้ย” จีเหม่ยหัวถอนหายใจ นางคือลูกสาวคนโตของตระกูลจี
พอพูดแบบนี้ออกมา ปรากฏว่าพ่อและบรรดาพี่ชายน้องชายก็พากันมองนางเหมือนมองคนปัญญาอ่อน จีเหม่ยหัวพูดไม่ออก และไม่รู้ด้วยว่าตัวเองพูดผิดตรงไหน
จีเหม่ยหัวเปลี่ยนเป็นบอกว่า “ไม่สู้พวกเราออกจากตลาดสวรรค์ดีไหม แล้วหาที่เหมาะๆ ปล้นสักรอบ ถ้าแย่งได้ก็ไม่ต้องขอร้องคนแล้ว”
พอพูดจบ ก็พบว่าทุกคนยังมองตนเหมือนมองคนปัญญาอ่อนอยู่ ทำให้นางหุบปากทันที เดิมทีนางยังคิดจะพูดอีกว่า จะไปยืมพวกอวิ๋นอ้าวเทียนมาสักหน่อยมั้ย
สุดท้ายจีฮวนก็กล่าวตัดสินใจว่า “ตอนนี้เดินดูให้ทั่วก่อน ถ้าไม่มีเงินก็ยังไม่ต้องซื้อของ” ต่างก็เป็นลูกชายลูกสาวของตัวเองทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้คลุมเครือ
พวกจีเต๋อจวินพยักหน้าเห็นด้วย มีแค่ต้องรอยืมเงินให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน ไม่อย่างนั้นถ้าควักเงินออกมาหมด เกรงว่าแม้แต่โรงเตี๊ยมก็จะไม่ได้พัก
ทางด้านฉางเหลยกับซือถูเซี่ยวก็ไม่ต่างกันเท่าไร ล้มเลิกความคิดที่จะซื้อของไปชั่วคราว เดินดูเฉยๆ ก็พอแล้ว
เมื่อเห็นคนพวกนี้ไม่มีความคิดที่จะซื้อของแล้ว อวิ๋นก่วงที่ชำเลืองมองพวกเขาเป็นระยะก็รู้สึกบันเทิง ถามหยอกว่า “ทำไมล่ะ? ไม่มีเงินเหรอ ไม่ซื้อแล้วรึไง?”
อวิ๋นอ้าวเทียนที่กำลังแลกเปลี่ยนระฆังดารากับพวกลูกๆ หันมาจ้องอวิ๋นก่วงอย่างเย็นเยียบแวบหนึ่ง
อวิ๋นเป้าถลันตัวเข้าไปทันที ชกไปหนึ่งหมัด ตุ้บ! ทำให้อวิ๋นก่วงล้มคะมำลงกับพื้น ทั้งยังเตะอีกสองสามที แล้วถ่ายทอดเสียงด่าว่า “เจ้าจะโอ้อวดอะไรนักหนา? เงินของเจ้าคือเงินของเจ้าเหรอ? เจ้าใช้เงินของน้องชิวอย่างโล่งอกสบายใจใช่มั้ย?”
อวิ๋นก่วงที่ถูกทำร้ายร่างกาย เดิมทีอยากจะตะคอกถามเขาว่าทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร แต่พอได้ยินเขาพูดแบบนี้ ก็หางตกทันที ลำพองใจไม่ออกแล้ว
หลังจากพนักงานอึ้งไปชั่วขณะ ก็เข้ามาแทรกกลางระหว่างทั้งสองเช่นกัน แล้วยิ้มสู้พร้อมเกลี้ยกล่อมว่า “ท่านลูกค้าทั้งสอง จะลงมือที่ตลาดสวรรค์ไม่ได้เด็ดขาด ถ้าสะเทือนไปถึงทหารสวรรค์ แบบนั้นก็เกิดปัญหาแล้ว”
อวิ๋นก่วงแอบเหลือบมองอวิ๋นอ้าวเทียนที่กำลังทำสายตาดุร้ายแวบหนึ่ง แล้วเดินหน้าม่อยคอตกไปหลบอยู่ข้างหลังอวิ๋นเจวียนพี่สาวคนที่สิบสาม ไม่กล้าพูดอะไรแล้ว
อวิ๋นเซียงถ่ายทอดเสียงบอกอวิ๋นเจวียนว่า “น้องชิวช่างพิจารณาได้รอบด้าน อะไรที่ควรเตรียมก็ช่วยพวกเราเตรียมไว้ล่วงหน้าหมดแล้ว เวลาพวกเราออกมาจะได้ไม่เก้อเขิน”
ด้านนอกร้านค้า มู่ฝานจวินเอามือประสานตรงท้องพลางยืนดูผู้คนสัญจรไปมาอยู่ริมถนน กำลังพาลูกศิษย์ดูทิวทัศน์ตลาดด้านนอก ยังไม่ได้เข้าไปที่ร้านไหนอีก กลับเป็นความงามของเยว่เหยาที่ดึงดูดสายตาของคนเดินถนนไม่น้อยเลย
หลังจากมู่ฝานจวินพบปัญหาแล้ว ก็หันกลับมาสั่งเยว่เหยาว่า “กลับไปแต่งหน้าก่อน อย่าหาเรื่องใส่ตัวเอง”
กลุ่มคนที่มีอำนาจสูงสุดของพิภพเล็ก เมื่ออยู่ที่นี่ก็มีสิทธิ์เพียงยืนอยู่ริมถนน อาจารย์และลูกศิษย์เห็นผู้คนที่สัญจรไปมาส่วนใหญ่มองข้ามการมีอยู่ของพวกเขา ความรู้สึกแบบนี้ทำให้พวกเขาปรับตัวไม่ได้เป็นอย่างมาก ให้ความรู้สึกเหมือนบุคคลผู้สูงส่งที่ตกอับกลายมาเป็นคนธรรมดา
ที่ร้านผลึกสกัด อันหรูอวี้ที่กลับมาแล้วได้พบหน้าลูกสาวทั้งสอง เพียงแต่ชั่วขณะนั้นไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยปากอย่างไร
หลังจากสองพี่น้องฝาแฝดเห็นนาง แต่ไม่เห็นมู่ฝานจวินและคนอื่นๆ บางทีอาจจะเป็นเพราะบารมีที่สะสมมาหลายปี สองพี่น้องฝาแฝดเห็นมู่ฝานจวินแล้วมักรู้สึกหวาดกลัว
สองพี่น้องคล้องแขนอันหรูอวี้คนละข้างและพากลับเข้ามาในร้าน โอวหยางหลางถามว่า “ท่านแม่ พวกท่านไปเดินตลาดกันไม่ใช่เหรอคะ? ทำไมกลับมาเร็วขนาดนี้ล่ะ พวกท่านปราชญ์ล่ะ ทำไมไม่กลับมาด้วยกัน?”
พอพูดถึงมู่ฝานจวิน อันหรูอวี้ก็ไม่สะดวกจะให้อาจารย์ตัวเองรอนานเช่นกัน กล่าวอย่างค่อนข้างอับอายว่า “หลางหลาง หวนหวน คืออย่างนี้นะ ราคาสินค้าที่ตลาดสวรรค์ พิภพเล็กเทียบไม่คิดเลยขจริงๆ ในมือทุกคนไม่ได้มีเงินมากขนาดนั้น ท่านปราชญ์ให้ข้ากลับมาถามพวกเจ้าสองคนว่ามีเงินทองเหลือเฟือรึเปล่า…”
หลังจากสองพี่น้องสบตากันแวบหนึ่ง ก็รีบตำหนิตัวเองยกใหญ่ โอวหยางหลางถามว่า “ท่านแม่ ท่านต้องการเท่าไรคะ?”
อันหรูอวี้คุร่นคิดเล็กน้อย แล้วถามหยั่งเชิงว่า “ถ้าในมือพวกเจ้ามีเงินใช้เหลือเฟือ ให้ข้ายืมก่อนสักหนึ่งหมื่นล้านผลึกแดงได้หรือเปล่า?”
ทั้งสองก็ยังนึกว่านางต้องการเยอะสักเท่าไรกันเชียว กำลังคิดว่าถ้าตัวเองมีไม่พอก็จะไปปรึกษากับอวิ๋นจือชิวสักหน่อย พอได้ยินว่าแค่หนึ่งพันล้านผลึกแดงก็ทำให้แม่ตัวเองลำบากถึงขนาดนี้ โอวหยางหลางก็แทบจะนำกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งออกมาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ยัดใส่มืออันหรูอวี้พร้อมบอกว่า “ท่านแม่! ในนี้มีหนึ่งหมื่นล้านผลึกแดง”
หนึ่งหมื่นล้านผลึกแดง? อันหรูอวี้ตกใจทันที รีบบอกว่า “ไม่เอาเยอะขนาดนั้นหรอก หนึ่งพันล้านก็พอแล้ว”
โอวหยางหวนกดมือนาง “ท่านแม่! ท่านปราชญ์ขอยืมหนึ่งพันล้าน ท่านก็ให้นางหนึ่งพันล้านก็พอ ที่เหลือท่านก็เก็บไว้ใช้เอง ลูกสาวไม่ได้แสดงความกตัญญู แต่เงินเล็กน้อยเท่านี้ก็ยังพอหามาได้”
ฟังจากความหมายที่อยู่ในคำพูด เหมือนลูกสาวตัวเองจะมีเงินเยอะมาก อันหรูอวี้ถึงถามหยั่งเชิงว่า “พวกเจ้าให้เงินข้ารวดเดียวเยอะขนาดนี้ ทางเหมียวอี้จะไม่พอใจรึเปล่า?”
สองพี่น้องสบตากันแล้วยิ้ม โอวหยางหลางตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “ท่านแม่! ท่านสามีเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ มีงานราชการอีกอย่างต้องทำ เป็นคนใจใหญ่ แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยถามเรื่องเงินในบ้านเลย เรื่องในบ้านฮูหยินล้วนเป็นคนตัดสินใจ วงเงินที่ฮูหยินให้พวกเราก็เหลือเฟือ ในแต่ละปีพวกเราสองพี่น้องมีสิทธิ์ใช้เงินหนึ่งหมื่นล้านผลึกแดง ถ้าจะใช้เกินนี้ก็บอกนางสักหน่อย ขอเพียงไม่ใช่มั่วๆ ขอเพียงใช้อย่างสมเหตุสมผล ฮูหยินก็จะไม่ว่าอะไรค่ะ”
อันหรูอวี้ตกใจทันที นึกไม่ถึงว่าในแต่ละปีลูกสาวทั้งคู่จะได้ใช้เงินมากขนาดนี้ จึงถามต่อว่า “นี่คือทรัพยากรฝึกตนของพวกเจ้า หรือเป็นเงินที่ใช้หมุนในร้าน? ข้าไปครึ่งหนึ่งในรวดเดียว เช่นนั้นจะไม่…”
โอวหยางหวนพูดต่อด้วยรอยยิ้มว่า “นี่ยังอยู่ในวงจำกัดของเงินที่ฮูหยินให้พวกเราใช้ส่วนตัว วงเกินนี้เดิมทีเตรียมไว้ให้พวกเราใช้ยามฉุกเฉิน ค่าใช้จ่ายปกตอของพวกเราล้วนบันทึกลงในบัญชีกลางของตระกูลเหมียว ตามปกติพวกยาแก่นเซียนที่ใช้ฝึกตนล้วนเบิกจากบัญชีของตระกูลเหมียว ไม่จำเป็นต้องให้พวกเราควักเอง เพียงแต่ฮูหยินเป็นคนดูแลบัญชี”
“อวิ๋นจือชิวเป็นคนดูแลจัดการ พวกเจ้าเอามาให้ข้าเยอะขนาดนี้…” อันหรูอวี้ยังกังวลนิดหน่อย
โอวหยางหลางถอนหายใจแล้วบอกว่า “ท่านแม่ ท่านนำเงินนี้ไปใช้อย่างสบายใจเถอะ เดี๋ยวกลับไปบอกทางฮูหยินสักหน่อยก็ไม่เป็นไรแล้ว”
ถึงแม้ในใจอันหรูอวี้จะรู้สึกผิด กังวลว่าลูกสาวทั้งสองจะพูดให้นางคลายกังวลเฉยๆ แต่ทางด้านมู่ฝานจวินก็กดดันมาเหมือนกัน ทำได้เพียงนำเงินไปแล้ว
หลังจากรีบร้อนกลับมา มู่ฝานจวินที่ยืนอยู่ริมถนนก็ถามทันที “ยืมมาแล้วหรือยัง?”
นางเตรียมตัวไว้แล้ว ว่าถ้าอันหรูอวี้ขอยืมเงินไม่ได้ นางก็จะให้เยว่เหยาไปหาเหมียวอี้ การที่อวิ๋นจือชิวให้เงินฝ่ายอวิ๋นอ้าวเทียนมากขนาดนั้น ทำให้ในใจนางหงุดหงิดมาก แต่จนใจที่ไม่สามารถบอกถึงความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างนางกับอวิ๋นจือชิวออกมาได้ นิสัยแข็งกร้าวเกินไป!
“ยืมมาได้แล้วค่ะ”
“ยืมมาเท่าไร?”
“หนึ่งหมื่นล้านผลึกแดง!” ภายใต้อำนาจบารมี สุดท้ายอันหรูอวี้ก็ไม่กล้าปิดบัง นำกำไลเก็บสมบัติยื่นออกมาให้นาง
มู่ฝานจวินตาเป็นประกาย พอหยิบมาดูในมือ กพบว่าทั้งหมดเป็นผลึกแดง ยืนอยู่ริมถนนจึงยังไม่ได้นับให้ละเอียด แต่ดูจากสภาพแล้วคงไม่น้อยแน่ ในใจอดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความสะท้อนใจ ขนาดเด็กสาวสองคนยังมีเงินเยอะกว่าตนเลย ควักทีเดียวหนึ่งหมื่นล้านผลึกแดงแล้ว การที่ตนหลบอยู่ที่พิภพเล็กแล้วเรียกตัวเองว่าปราชญ์ แบบนี้ถ้าไม่ใช่กบในกะลาแล้วจะเป็นอะไรไปได้?
“ไป! ซื้อของที่พวกเจ้าควรจะมีให้หมด” มู่ฝานจวินโบกมือ แล้วนำกลุ่มลูกศิษย์เข้าไปในร้านค้าอีกครั้ง
บังเอิญว่าพวกอวิ๋นอ้าวเทียนซื้อของเสร็จแล้ว ตอนนี้กำลังจะเดินออกจากร้านพอดี พอเจอมู่ฝานจวินนำลูกศิษย์กลับมาอีกครั้ง พวกเขาก็หยุดฝีเท้าแล้วหันไปมอง
เห็นเพียงมู่ฝานจวินหยิบระฆังดาราขึ้นมาดูครู่หนึ่ง แล้วก็โยนใส่มือพนักงาน “เตรียมให้ข้าสองร้อยอัน!”
เมื่อมีเงินก็มีความมั่นใจ พูดจบก็ยังเหล่ตาชำเลืองพวกอวิ๋นอ้าวเทียนด้วย
สองร้อยอันเหรอ? สองพันล้านผลึกแดง? ฉางเหลย ซือถูเซี่ยว จีฮวนทำสีหน้าไม่ถูก มองหน้ากันเลิกลั่กแล้ว ยายแก่นแก้วนี่เอาเงินมาจากไหน?
ไม่ต้องคิดอะไรมากเลย มู่ฝานจวินก็คงไม่กล้าปล้นที่ตลาดสวรรค์เหมือนกัน เป็นไปได้สูงว่าที่มาของเงินนี้จะเกี่ยวข้องกับเหมียวอี้ แค่ไม่รู้ว่าไปขอจากเหมียวอี้โดยตรง หรือเกี่ยวข้องกับลูกสาวของอันหรูอวี้ ในใจสามปราชญ์รู้สึกเซ็ง!
ซื้อระฆังดาราสองร้อยอันในรวดเดียว ลูกค้ารายใหญ่! พนักงานในร้านหรี่ตายิ้ม บริการมู่ฝานจวินเหมือนเป็นบรรพบุรุษทันที ถามอะไรก็ตอบ ถ้าไม่พอใจอันไหนก็เปลี่ยนให้
เพียงแต่ตอนที่จ่ายเงิน ผู้จัดการร้านก็ปวดหัวนิดหน่อย มู่ฝานจวินนำผลึกทองจากพิภพเล็กมาจ่ายก่อน ถ้าไม่พอค่อยใช้ผลึกแดงเติม โชคดีที่ทุกคนเป็นนักพรต เวลาร่ายอิทธิฤทธิ์นับก็รวดเร็วมาก แต่จำนวนมหาศาลเกินไปจริงๆ ต้องใช้เวลาไปไม่น้อยเลย พนักงานหลายคนมานับด้วยกันอยู่พักหนึ่ง
ผู้จัดการร้านเงยหน้ามองมู่ฝานจวินเป็นระยะ เริ่มสงสัยแล้วว่าท่านนี้จงใจมาก่อกวนหรือเปล่า…
ร้านโฉมเมฆา อวิ๋นจือชิวเดินลงมาจากตึกชั้นบนแล้ว นางเดินไปในลานบ้าน พนักงานคนหนึ่งที่รออยู่ข้างล่างเดินตามมาด้วยทันที
หลังจากนั่งลงในศาลาข้างภูเขาจำลอง อวิ๋นจือชิวก็ถามว่า “พวกเขากำลังทำอะไรกัน? ได้ไปซื้อพวกแผนที่ดาวกับระฆังดารารึเปล่า?”
“เป็นอย่างที่เถ้าแก่เนี้ยคาดไว้ขอรับ พวกเขาไปซื้อของพวกนั้นจริงๆ” พนักงานตอบ
อวิ๋นจือชิวยิ้มแล้วถามว่า “ไม่ได้เกิดเรื่องอย่างอื่นใช่มั้ย?”
“ตอนนี้ยังไม่มีขอรับ เพียงเดินซื้อของอยู่ในตลาด เดี๋ยวผู้น้อยจะตามไปดูอีก” พนักงานตอบ
อวิ๋นจือชิวโบกมือ “ช่างเถอะ ไม่ต้องแล้ว เจ้าไปทำธุระของเจ้าเถอะ เออเดี๋ยวก่อน ข้าได้ยินว่าตอนที่ข้าไม่อยู่ เจ้าไปเล่นที่หอโคมเขียวสนุกเชียวนะ ข้าจะเตือนเจ้าเอาไว้ก่อนเลย ถ้าเจ้าจะออกไปเล่น ข้าก็ไม่ห้ามอะไร แต่การที่เจ้าไม่เก็บทรัพยากรเอาไว้เพื่อตั้งใจฝึกตนเพิ่มวรยุทธ์ เอาเงินไปทุ่มให้ม้าที่โดนคนขี่เป็นพัน ไปทุ่มให้กับร่างกายผู้หญิงที่มีคนปีนเป็นหมื่นพวกนั้น มันคุ้มแล้วเหรอ? ถ้าเจ้าทำแบบนี้อีก ตอนจ่ายเงินครั้งหน้าข้าจะให้ผู้จัดการร้านหักเงินเจ้าแล้ว”
พนักงานหัวเราะแห้งๆ พร้อมตอบว่า “เถ้าแก่เนี้ยวางใจได้ ข้าจะสำรวม เพียงแต่ช่วงนี้มีมาใหม่สวยๆ หลายคน เลยอยากจะไปลองของใหม่ขอรับ”
อวิ๋นจือชิวจึงเลิกคิ้วบอกว่า “อย่ามาทำหน้าทะเล้นกับข้า ถึงตอนนั้นถ้าวรยุทธ์ไม่สูง เจ้าก็จะตามทุกคนไม่ทัน แล้วอีกอย่าง ถ้าเจ้าคิดถึงผู้หญิงจริงๆ ก็กลับไปที่พิภพเล็กได้เลย อยากจะแต่งสักกี่ห้องก็แต่งไปเลย ค่อยๆ เสพสุขอยู่ที่บ้าน อย่ามาพูดไร้สาระไม่รู้จักจบจักสิ้น ทำตัวเหมือนคนไม่เป็นโล้เป็นพายอยู่ที่นี่ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาไม่ต้องให้ข้าลงมือเลย เจ้าน่าจะเข้าใจสิ่งที่ข้าพูดนะ!”
นางไม่ได้พูดจาส่งเดชไปอย่างนั้น คนชราที่อยู่ข้างกายพวกนี้ก็ใช่ว่าจะไร้ความปรารถนาไร้ความต้องการ ก่อนหน้านี้เป็นเหมือนจอกแหนที่ลอยน้ำ ทุกคนล้วนไม่มีทางเลือก ตอนนี้ได้ควบคุมพิภพเล็กอยู่ในมือแล้ว ก็ควรจะเหลือทางหนีทีไล่ไว้ให้พวกลูกน้องบ้างสักหน่อย ไม่อย่างนั้นถ้าเห็นและได้ยินอะไรที่ที่พิภพใหญ่นานๆ ไป ก็ยากที่จะรับประกันได้ว่าจะไม่เกิดปัญหาอะไรขึ้น ควรจะมีลู่ทางจัดหาที่พักอาศัยแล้วเช่นกัน นางเตรียมจะสร้างระบบผลัดกันหยุดพักผ่อน ให้ทุกคนที่อยากจะแต่งงานมีลูกได้มีแหล่งที่อยู่ ถ้ามีครอบครัวที่พิภพเล็กแล้ว ถ้าตัวที่อยู่ทางนี้มีความคิดอะไรก็จะได้ควบคุมได้สะดวก
“ขอรับ!” พนักงานพยักหน้าสื่อเป็นนัยว่าจะจำไว้
หลังจากรอให้เขาถอยไปแล้ว อวิ๋นจือชิวก็พึมพำ “ซื้อ…” มุมปากยกยิ้มเจ้าเล่ห์อีกครั้ง
ทรัพย์สินของมู่ฝานจวินที่พิภพเล็กก็มีเท่านั้นเอง อยู่ที่พิภพใหญ่ไม่พอใช้เลย การไปซื้อสิ่งของจำเป็นคือเรื่องที่อยู่ในความคาดหมายของนางตั้งแต่แรก ไม่ต้องเดาว่าจะเกิดสถานการณ์แบบไหนขึ้น แต่นางจะยังไม่ไปเตือนพวกเขา เพราะอยากให้ตระกูลอวิ๋นได้เห็นแบบนั้นเพื่อรับรู้ความดีของนางก่อน ส่วนอนุภรรยาของตระกูลนี้ก็ล้วนมีภูมิหลังมาจากมู่ฝานจวิน มีใครยอมใครเสียที่ไหน? พวกที่อาวุโสหน่อยก็จะไม่เห็นอวิ๋นจือชิวอยู่ในสายตา ถ้าอยากจะกำกับดูแลเรื่องในบ้านนี้ บิดคนในครอบครัวให้กลายเป็นเชือกที่มัดเหมียวอี้ไว้ในบ้านอย่างสงบเรียบร้อย ก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายขนาดนั้น อำนาจบารมีของนายหญิงในบ้าน เวลาที่ควรจะสร้างก็ยังต้องสร้าง อนุภรรยาในสังกัดจะไม่ก้มหัวอย่างไรไหว?
…………………………
บทที่ 1132 เจ้าจงใจสร้างความอัปยศให้ข้า
โดย
Ink Stone_Fantasy
ทางนี้กำลังยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างลำพองใจ สองพี่น้องฝาแฝดก็ส่งข่าวมา บอกเรื่องที่อันหรูอวี้มาขอเงินของพวกนางไปหนึ่งหมื่นล้านผลึกแดง
ทั้งสองไม่รู้ว่าอันหรูอวี้และคนอื่นๆ จะกลับมาเมื่อไร จึงไม่สะดวกจะมาหา คิดไปคิดมาก็ใช้ระฆังดาราส่งข่าวมาบอกดีกว่า
เงินของเหมียวอี้ไม่ได้เก็บมาจากพื้น ถึงแม้ยังต้องจ่ายสิ่งที่ควรจ่าย แต่สิ่งที่ควรลงบัญชีก็ยังต้องลงบัญชี กฎระเบียบนี้อวิ๋นจือชิวตั้งขึ้นมาอย่างแจ่มแจ้งชัดเจน สิ่งที่ควรจ่ายก็จ่ายได้ แต่จะจ่ายมั่วซั่วหรือจ่ายอย่างเลอะเลือนไม่ได้ ไม่อย่างนั้นยามในบ้านเกิดเรื่องขึ้นจะหาเงินมาไม่ได้ แบบนั้นก็แสดงว่าอวิ๋นจือชิวเป็นเมียที่ดูแลบ้านไม่ดี กฎระเบียบนี้สองพี่น้องฝาแฝดรู้อย่างชัดเจน หนึ่งหมื่นล้านผลึกแดงไม่ใช่จำนวนน้อยๆ
ถึงแม้ในใจอวิ๋นจือชิวจะรู้ชัดว่าการที่อันหรูอวี้นำเงินไปนั้นเกี่ยวข้องมู่ฝานจวิน แต่ก็ยังตอบกลับผ่านระฆังดาราว่า : ใช้เงินกับมารดาตัวเองคือสิ่งที่ควรทำ ให้เงินไปพอรึเปล่า? ถ้าไม่พอข้าจะส่งไปให้อีก?
สองพี่น้องฝาแฝดตอบกลับมา : พอแล้ว พอแล้ว!
เป็นอย่างที่อันหรูอวี้คิดไว้ สองพี่น้องใจกว้างมากเมื่ออยู่ต่อหน้ามารดา คำบางคำพูดไปเพื่อปลอบใจมารดาเท่านั้น การเบิกเงินในบ้านมากมายขนาดนี้ในรวดเดียว ในใจทั้งสองก็เป็นกังวลเหมือนกัน ในใต้หล้ามีนักพรตมากมาย แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถนำเงินหนึ่งหมื่นล้านผลึกแดงออกมาใช้ได้ทุกเมื่อ อวิ๋นจือชิวเชื่อใจพวกนาง ไม่เคยปล่อยให้พวกนางขาดเงิน ส่วนที่ควรจะแบ่งสรรให้พวกนาง อวิ๋นจือชิวก็แบ่งสรรให้ครบถ้วน แต่พวกนางก็ไม่ควรจะใช้เงินซี้ซั้วใช่มั้ยล่ะ?
และสองพี่น้องก็ไม่ได้บอกเช่นกันว่าอันหรูอวี้ขอยืมเงินไป เพียงเพราะทั้งสองกตัญญูต่อมารดา จะไปขอให้แม่ตัวเองคืนเงินได้อย่างไร เงินก้อนนี้จึงเท่ากับให้ไปโดยไม่ได้กลับคืน ในใจย่อมรู้สึกเป็นกังวลอยู่บ้าง
ทว่าหลังจากได้ฟังคำพูดของอวิ๋นจือชิว ไม่เพียงแค่ไม่ตำหนิพวกนาง ทั้งยังบอกว่าจะนำมาเพิ่มให้ด้วย ทำให้ทั้งสองซาบซึ้งมาก ในใจก็รู้สึกสงบลงแล้วเช่นกัน
เมื่อเก็บระฆังดาราแล้ว อวิ๋นจือชิวก็ยิ้มบางๆ เป็นอย่างที่นางคาดไว้จริงๆ ด้วย ปราชญ์พวกนั้นมีเงินในมือไม่พอ แต่มู่ฝานจวินก็โหดใช้ได้เลย ไม่น่าเชื่อว่าจะกดดันให้อันหรูอวี้มาขอเงินกับลูกสาวของตัวเอง แต่จะว่าไปแล้ว ทางด้านมู่ฝานจวินก็ช่างเถอะ หงเฉินมีนิสัยดื้อด้านควบคุมยาก นางก็ไม่คิดจะกลั่นแกล้งนางเหมือนกัน
“เฮ้อ!” หลังจากยืนขึ้นในศาลา นางอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ เรียกเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์มาหา นางก็ต้องการไปเดินเล่นในตลาดเหมือนกัน
ก็ช่วยไม่ได้ นางยังต้องเตรียมของไว้ให้เยว่เหยาอีกเป็นกอง ของที่มอบให้เยว่เหยาต่างหากที่มีมูลค่ามหาศาลจริงๆ นางกังวลว่าจะไปตกอยู่ในมือมู่ฝานจวิน แต่ก็ช่วยไม่ได้ ของที่ให้เยว่เหยานั้นจำเป็นต้องให้ ไม่อย่างนั้นเหมียวอี้จะแตกคอกับนางจริงๆ กับเรื่องแบบนี้เหมียวอี้ไม่เหลือที่ไว้ให้นางต่อรองเลย…
ส่วนพวกอวิ๋นอ้าวเทียนที่เดินเอ้อระเหยลอยชายอยู่ในตลาดสวรรค์ ก็ซื้อไหวเพียง ‘ของถูก’ อย่างพวกแผนที่ดาวกับระฆังดารา หมื่นสองหมื่นล้านผลึกแดงซื้อของที่ดีกว่านี้ไม่ได้จริงๆ ดูเพื่อเปิดหูเปิดตาเพิ่มพูดความรู้ก็พอแล้ว
ในร้านค้าเจ็ดอารมณ์ เมื่อได้รู้จักของที่อยู่ในขวดหลากสีสันแล้ว ห้าปราชญ์ก็แอบส่งสายตาให้กัน ในที่สุดก็แน่ใจเรื่องที่มาที่ไปของแสงรัศมีบนโซ่ของเรือมังกรอเวจีแล้ว
แต่ของสิ่งนี้แพงจนเหลวไหล ในลูกแก้วพลังปรารถนาแฝงไปด้วยเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาที่มองไม่เห็น ถ้าอยากให้ปรากฏเป็นรูปร่างก็ไม่ใช่เรื่องง่าย การจะรวบรวมให้กลายเป็นของเหลวอยู่ในขวดก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ ไม่รู้ว่าต้องใช้ลูกแก้วพลังปรารถนาไปเท่าไรกว่าจะได้ของเหลวออกมาสักขวด เดิมทีก็เป็นสิ่งที่พวกเขาซื้อไม่ไหวอยู่แล้ว อีกทั้งปริมาณที่ใช้หลอมสร้างอาวุธก็ไม่ใช่น้อยๆ นักหลอมสมบัติส่วนใหญ่ก็ไม่หลอมสร้างอาวุธประเภทนี้เช่นกัน
อาวุธประเภทนี้แม้แต่เหมียวอี้ก็ซื้อมาใช้ไม่ไหวเช่นกัน ตอนนี้เยารั่วเซียนกำลังศึกษาค้นคว้าของประเภทนี้อยู่
ส่วนเครื่องมือรวบรวมเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา พวกอวิ๋นอ้าวเทียนกลับกวาดซื้อมาไว้ในมือ ยังเป็นมู่ฝานจวินที่ถ่ายทอดเสียงเตือนได้ทันเวลา ไม่อย่างนั้นเกรงว่าจะซื้อเครื่องมือในร้านจนหมด เพราะของสิ่งนี้ราคาถูก “อย่าทำตัวสะดุดตาเกินไป เดี๋ยวค่อยให้ลูกน้องแบ่งกันเว้นช่วงมาซื้อ”
ที่พิภพใหญ่ ลูกแก้วพลังปรารถนาแทบจะมีแต่คนของตำหนักสวรรค์ที่ใช้งาน ไม่ใช่ว่าคนอื่นจะใช้ไม่ได้ เพียงแต่ไม่ได้ใช้จำนนมากขนาดนั้นแน่นอน กลุ่มคนที่ไม่ใช่ขุนนางของตำหนักสวรรค์มาซื้อเครื่องมือรวบรวมเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาไปมากขนาดนี้ ก็จะทำให้คนอื่นสงสัยได้ง่าย ต้องสำรวมท่าทีสักหน่อย
ความคิดของห้าปราชญ์ไม่ซับซ้อนเลย พวกเขาจะส่งเครื่องมือพวกนี้กลับไปที่อาณาเขตของตัวเอง ให้พวกลูกน้องเก็บรวบรวมเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา
เมื่อออกจากร้านค้าเจ็ดอารมณ์มาแล้ว พวกเขากเดินไปที่ ‘ร้านสำนักเมฆาศัสตราวุธ’ อีก
เมื่อเห็นคนพวกนี้มีสง่าราศีไม่ธรรมดา นึกว่ามีลูกค้ารายใหญ่ พนักงานเรียกได้ว่าเชิญทุกคนเข้าร้านอย่างเคารพนอบน้อม
อาวุธและของวิเศษต่างๆ ข้างในละลานตามาก มีตั้งแต่สินค้าระดับต่ำไปจนถึงระดับสูง สินค้าระดับต่ำไม่ได้อยู่ในสายตาของพวกอวิ๋นอ้าวเทียน ส่วนสินค้าระดับสูงแค่มองเห็นราคาก็ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว พวกเขาหยิบอาวุธระดับสูงชิ้นหนึ่งขึ้นมาตรวจดูในมืออยู่เป็นระยะ
พนักงานพูดเป็นต่อยหอยอยู่ข้างๆ ย่อมต้องชมอยู่แล้วว่าสินค้าดี
พวกเขาก็ได้แค่ดูเฉยๆ พอดูเสร็จก็ไม่ได้ซื้อสักชิ้น หันหน้าเดินออกไปแล้ว พอพนักงานที่พูดจนคอแทบแห้งเห็นสถานการณ์แบบนี้ สีหน้าก็ไม่สบอารมณ์ทันที ดินตามพวกเขาไปตรงประตู แล้วพูดจาแปลกๆ เหมือนดูถูกว่า “แต่ละคนหน้าตาเหมือนคนแต่ทำนิสัยเหมือนสุนัข ไม่มีเงินก็อย่าเดินเพ่นพ่านไปทั่วสิ!”
เหมียวอี้รู้จักพนักงานคนนี้แน่นอน ในปีนั้นเหมียวอี้ก็เคยโดนพนักงานคนนี้ใช้คำพูดแบบเดียวกันดูถูกเหยียดหยาม
ห้าปราชญ์หยุดฝีเท้า หันมามองด้วยสายตาเย็นเยียบพร้อมกัน ลักษณะท่าทางแบบนั้นเพียงพอที่จะทำให้คนตกใจ ทำเอาพนักงานตกใจจนทำหน้าไม่ถูก แต่จากนั้นก็ทำท่าเหมือนเอาจริงอีก ใช้สองมือกอดออก แล้วพูดแขวะว่า “ทำไม? ยังคิดจะทำร้ายคนที่ตลาดสวรรค์อีกเหรอ? มาสิ! ข้าไม่โต้ตอบหรอก ถ้าเก่งนักก็ลองลงมือดูสิ!”
ห้าปราชญ์ไม่ได้รับความอัปยศแบบนี้มาหลายปีแล้ว ทั้งยังโดนดูถูกเพราะไม่มีเงิน อวิ๋นอ้าวเทียนหันตัวมา ผมยาวที่อยู่ข้างหลังปลิวสะบัดเล็กน้อย
แค่มองปราดเดียวพวกฉางเหลยก็รู้ว่าอวิ๋นอ้าวเทียนต้องการจะลงมือ จึงรีบห้ามเขาเอาไว้ ทุกคนไม่อยากก่อเรื่องที่นี่ จึงดันทุรังลากอวิ๋นอ้าวเทียนออกไปแล้ว
พนักงานที่อยู่ตรงประตูร้านโบกมืออย่างเหยียดหยาม พอหันตัวกลับมา จู่ๆ ก็พบว่าข้างหลังมีความผิดปกติ พอหันกลับมา เงาดำที่เหมือนเมฆไหลก็โผเข้ามาข้างหน้า
ยังไม่ทันจะรู้ตัว ชั่วพริบตาเดียวเมฆไหลสีดำก็ม้วนกรอกเข้ามาในรูจมูกของเขาแล้ว
“อู…” พนักงานเอามือจับคอตัวเอง อยากจะพูดแต่เสียงก็ไม่ออก
อวิ๋นอ้าวเทียนที่กำหมัดเดินอยู่บนถนนพลันดีดนิ้วทั้งห้า วาดฝ่ามือเสียงดังสนั่น
พนักงานในร้านพลันลูกตาระเบิด บนคอมีเลือดสาดกระเด็นไปทั่วทิศ ศีรษะกลิ้งลงมาจากบนคอ ทั้งตัวล้มลงบนพื้นย่างเหี้ยมโหด
พวกฉางเหลยที่เดินอยู่ด้วยกันสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์บนตัวอวิ๋นอ้าวเทียน ขณะมองดูพลังอิทธิฤทธิ์ที่วนเวียนอยู่บนฝ่ามือใหญ่ของอีกฝ่าย แต่ละคนก็พูดไม่ออก พวกเขาไม่ได้รู้จักอวิ๋นอ้าวเทียนเป็นครั้ง ทั้งชีวิตนี้เคยประมือกับอวิ๋นอ้าวเทียนมาแล้วไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง มีหรือที่จะไม่รู้ว่าเขาทำอะไรลงไป
สุดท้ายก็ยังเป็นมู่ฝานจวินที่กล่าวอย่างเย็นเยียบว่า “เขาอยากจะทดสอบว่าเหมียวอี้มีอำนาจเท่าไรเมื่ออยู่ที่นี่!”
ถึงแม้จะพูดแบบนี้ แต่นางกลับเป็นคนแรกที่เดินเลี่ยงไป นำพวกลูกศิษย์เลี้ยวไปที่ถนนอีกสายหนึ่งแล้ว
พวกฉางเหลยก็ไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องเหมือนกัน ต่างคนต่างเดินไปยังถนนที่อยู่ระหว่างร้านค้าร้านอื่น
พวกอวิ๋นเซี่ยวมองหน้ากันเลิกลั่ก กัดฟันเดินตามหลังบิดา เพียงแต่เหลียวซ้ายแลขวาอยู่เป็นระยะ
ผ่านไปไม่นาน ทหารสวรรค์กลุ่มหนึ่งก็พาผู้จัดการร้านค้าสำนักเมฆาศัสตราวุธลอยอยู่บนฟ้า อวิ๋นอ้าวเทียนแต่งตัวโดดเด่นมาก ผู้จัดการร้านคนนั้นชี้มาแต่ไกลๆ “เป็นพวกเขา!”
มีทางที่จะไม่สงสัยอวิ๋นอ้าวเทียน พนักงานที่ตายอย่างกะทันหันเพิ่งจะเกือบมีเรื่องกับอวิ๋นอ้าวเทียนแล้ว
พรึ่บๆ! คนกลุ่มหนึ่งแฉลบมาขวางพวกอวิ๋นอ้าวเทียนเอาไว้ ผู้ช่วยผู้บัญชาการที่นำหน้าดันเป็นราชาปีศาจของทะเลดาวนักษัตร หลังจากเจออวิ๋นอ้าวเทียนก็ค่อนข้างพูดไม่ออก พบว่าท่านนี้กำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว ขนาดอยู่ที่นี่ก็ยังกล้าลงมือฆ่าคน
“พาตัวไป!” พอผู้ช่วยผู้บัญชาการโบกมือ กลุ่มทหารสวรรค์ก็ควบคุมตัวพวกอวิ๋นอ้าวเทียนไป อวิ๋นอ้าวเทียนกลับไม่ได้ขัดขืนอะไร
เพียงแต่ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม อวิ๋นอ้าวเทียนก็นำลูกๆ เดินออกมาจากจวนผู้บัญชาการเขตเมืองใต้อย่างสบายดี พอเดินอยู่บนถนนได้ไม่นาน ฉางเหลยและคนอื่นๆ ก็ทยอยกันเดินออกจากถนนสองฝั่งมารวมตัวกันอีกครั้ง
“ยาเจี๋ยตันขั้นหกอยู่ตรงไหน?” อวิ๋นอ้าวเทียนถาม
ร้านค้าสมาคมวีรชน หวงฝู่จวินโหรวที่อยู่ในห้องหรูหราก็ถูกแขกกลุ่มนี้ทำให้ตกใจเช่นกัน พนักงานถ่ายทอดเสียงบอกว่าอาจจะเป็นแขกคนสำคัญ
พอแหวกม่านออกมา ก็เห็นห้าคนที่นำกลุ่มมาเผยพลังอำนาจโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ละคนดูไม่ธรรมดา นั่นคือพลังอำนาจสะกดอารมณ์ที่หาพบได้น้อยจากตัวคนทั่วไป ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีอยู่บนตัวคนที่อยู่เหนือผู้อื่นมาเป็นเวลานานเท่านั้น หวงฝู่จวินโหรวพบว่าสง่าราศีที่คนพวกนี้เผยออกมาในบางครั้งดูสูงส่งกว่าท่านปู่ของตัวเองด้วยซ้ำ นางรู้สึกตกใจ สงสัยว่าผู้ที่มาเป็นตัวละครประเภทไหนกัน?
นางเป็นคนมีโลกทัศน์กว้าง เคยเจอคนใหญ่คนโตมาไม่น้อย คุ้นเคยกับลักษณะพิเศษที่อยู่บนตัวคนพวกนี้ดี รู้ว่าการที่คนแบบนี้มาด้วยตัวเอง ก็แสดงว่าเป็นลูกค้าคนสำคัญที่ต้องการสินค้า จึงเข้ามาต้อนรับอย่างอบอุ่นด้วยตัวเองทันที
ใครจะคิดว่าพวกอวิ๋นอ้าวเทียนจะเดินอ้อมเจี๋ยตันขั้นห้า มีเฉพาะยาเจี๋ยตันขั้นหกที่ดูแล้วดูอีก ดังนั้นหวงฝู่จวินโหรวจึงนำยาเจี๋ยตันขั้นหกในร้านค้าที่ยังไม่ได้แสดงให้ดูออกมาทั้งหมดทันที
เพียงแต่ตอนสุดท้าย…หวงฝู่จวินโหรวก็ได้แต่ยิ้มทื่อๆ ส่งแขกอยู่ที่ประตูร้าน นางพูดไม่ออกมาก คนพวกนี้ดูทุกอย่างหมดแล้วแต่ไม่ซื้ออะไรเลย ออกไปแบบนี้แล้ว…
“วันนี้ปู่เจ้าพอมาถึงก็ฆ่าพนักงานของสำนักเมฆาศัสตราวุธเลย!”
เป็นตอนกลางคืน เหมียวอี้โผล่ออกมาจากทางใต้ดินในบ่อน้ำ พอเจออวิ๋นจือชิวก็บอกผลงานที่อวิ๋นอ้าวเทียนทำทันที
อวิ๋นจือชิวได้ยินแล้วตกใจ “ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?”
เหมียวอี้ตอบอย่างจนใจ “จะเป็นอะไรได้ล่ะ? ตกอยู่ในมืออิงอู๋ตี๋พอดี ข้าจะดูปู่เจ้ารนหาที่ตายโดยไม่สนใจได้อย่างไร? แต่เดี๋ยวเจ้ากลับไปบอกปู๋เจ้าให้ชัดเจนเลยนะ ไม่ใช่ข้าคนเดียวที่มีอำนาจตัดสินใจที่นี่ ถ้าไปตกอยู่ในมือปี้เยว่ฮูหยินขึ้นมาจะลำบาก”
“เดี๋ยวข้าจะกลับไปคุย” อวิ๋นจือชิวพยักหน้าบอก สีหน้าค่อนข้างจริงจัง
“เจ้าจัดหาที่พักให้พวกนางเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย?” เหมียวอี้เดินขึ้นตึกพลางเอ่ยถาม
“พวกนางอยู่ชัยภูมิถ้ำสวรรรค์คนละหลัง อยู่แบบนี้ก่อนแล้วกัน รอให้เจ้าหาที่พักให้พวกนางได้ค่อยแยกย้ายกัน”
“อวี้หนูเจียวอยู่ห้องไหน?”
พุ่งเป้าไปที่นางอีกแล้วหรอ? อวิ๋นจือชิวงงไปชั่วขณะ”เจ้าจะทำอะไร?”
เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวเราะว่า “ตอนกลางวันข้าบอกแล้วไม่ใช่รึไง ว่าคืนนี้จะให้นางปรนนิบัติ”
เมื่อเห็นเขาพูดอะไรแบบนี้ต่อหน้าตนได้อย่างสบายใจ อวิ๋นจือชิวก็รู้ว่าเขาต้องมีเจตนาไม่ดีแน่ๆ จึงกลอกตามองบนแล้วบอกว่า “ข้าว่านะหนิวเอ้อร์ เจ้าคงไม่ได้จงใจเอาเรื่องแบบนี้มาทารุณนางหรอกใช่มั้ย? อย่าทำตัวไร้สาระแบบนั้น ไหนๆ ก็แต่งงานเข้าบ้านมาแล้ว ยังมีอะไรต้องคิดเล็กคิดน้อยอีก แค่ขู่นิดหน่อยก็พอแล้ว!” นางชี้ไปที่ห้องอวี้หนูเจีย แต่ไม่ได้เดินตามเข้าไป
เหมียวอี้เข้ามาในห้องของอวี้หนูเจียว แล้วเคาะประตูโดยตรง พอชัยภูมิถ้ำสวรรรค์ที่อยู่ในห้องเปิดออก เขาก็เดินก้าวยาวเข้าไป
“นายท่าน!” หญิงรับใช้ทั้งสองที่รออยู่รีบเข้ามาคำนับต้อนรับ
พอเข้ามาก็เห็นอวี้หนูเจียวรับเข้ามากัดฟันย่อตัวคำนับ เป็นการทำแก้ขัดอย่างลวกๆ โดยแท้ ปรากฏว่าเหมียวอี้เดินเข้ามาคว้าข้อมือนางเดินเข้าห้องทันที
อวี้หนูเจียวประหม่าทันที ถามว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร?”
“ข้าจะทำอะไรได้ล่ะ?” เหมียวอี้ผลักอวี้หนูเจียวเข้าไปในห้องนอน หันตัวมาปิดประตู กันหญิงรับใช้สองคนไว้ข้างนอก แล้วเอามือไขว้หลังเดินวนรอบตัวอวี้หนูเจียวที่กำลังหวาดกลัว สุดท้ายก็มาหยุดอยู่ตรงหน้านาง มองสำรวจศีรษะจดเท้าพร้อมบอกว่า “ถอดเสื้อผ้า!”
ตรงไปตรงมาเกินไปแล้ว! อวี้หนูเจียวพยายามเตรียมตัวยอมรับชะตากรรม แต่ตอนนี้ยังกัดฟันจนฟันแทบแตกแล้ว
เหมียวอี้ชี้นางพร้อมสั่งว่า “จะยืนอึ้งอะไร? ไม่รู้เหรอว่าต้องทำอะไร? ถอดเลย ถอดให้หมดเดี๋ยวนี้!”
อวี้หนูเจียวหน้าแดงก่ำด้วยวความโมโห ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดว่า “เจ้าจงใจสร้างความอัปยศให้ข้า!”
เหมียวอี้รู้สึกบันเทิงทันที “ล้อเล่นแล้วมั้ง? เจ้าลองเรียกใครมาถามดูก็ได้ ว่าข้ากำลังสร้างความอัปยศให้เจ้ารึเปล่า มันเป็นกฎธรรมชาติตกลงมั้ย ตกลงเจ้าจะถอดหรือไม่ถอด?”
อวี้หนูเจียวโมโหแล้ว ตอบอย่างเคียดแค้นว่า “ไม่ถอด!”
…………………………
บทที่ 1133 ก้มหัวยืมเงิน
โดย
Ink Stone_Fantasy
เหมียวอี้ก้าวขึ้นมาข้างหน้าแล้วหยุดฝีเท้า ทำสีหน้าท่าทางเหมือนหมาป่าที่ชั่วร้าย
อวี้หนูเจียวรีบใช้สองมือปิดหน้าอกพลางก้าวถอยหลัง เตรียมพร้อมป้องกันตัวอย่างสูง
“ไม่ถอดจริงเหรอ?” เหมียวอี้ไม่ถอดจริงเหรอ
“ไม่ถอด!” อวี้หนูเจียวแถลงด้วยน้ำเสียงคับแค้นอีกอีกครั้ง
เหมียวอี้ไม่ได้บังคับ แสยะหัวเราะเบาๆ แล้วถามว่า “งั้นเจ้าแต่งงานกับข้าทำไม?”
“…” อวี้หนูเจียวกัดริมฝีปากไม่พูดอะไร ชั่วขณะนั้นไม่รู้ว่าควรจะตอบคำถามของเขาอย่างไร ตามหลักการแล้ว เรื่องที่อีกฝ่ายอยากจะทำก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แต่ว่า…นางทำได้เพียงกล่าวอีกครั้งว่า “เจ้าจงใจสร้างความอัปยศให้ข้า!”
เหมียวอี้พ่นเสียงทางจมูกแล้วถามว่า “เจ้าแน่ใจนะว่าจะไม่ถอด?”
อวี้หนูเจียวจะทนรับความอัปยศอดสูแบบนี้ได้อย่างไร ต่อต้านอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ “ไม่ถอด!”
“ถ้าไม่ถอดข้าจะหย่ากับเจ้า!” เหมียวอี้เตือนอีกครั้ง
“เหมียวอี้ เจ้าอย่ารังแกกันเกินไปหน่อยเลย! ถ้าเจ้าดึงดันจะสร้างความอัปยศให้ข้าให้ได้ ถ้าเจ้าอยากจะหย่าก็หย่าได้เลย!” อวี้หนูเจียวกล่าวเสียงเศร้า
“เจ้าอย่ามาเสียใจทีหลังแล้วกัน!” เหมียวอี้ชี้นาง แล้วก็เดินออกจากห้องไปอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง
เมิ่งเจี๋ย เมิ่งหย่า หญิงรับใช้ทั้งสองกำลังแอบฟังอยู่นอกประตูพอดี ก็ช่วยไม่ได้เหมือนกัน ก่อนที่จะแต่งงานติดตามออกมาด้วย ทั้งสองถูกกำชับจากซือถูเซี่ยวครั้งแล้วครั้งเล่า พวกนางแบกภารกิจ ‘ยิ่งใหญ่’ มาด้วยเหมือนกัน
เหมียวอี้พลันออกจากประตูมา ทำสองลุกลี้ลุกลนทำอะไรไม่ถูกไปพักหนึ่ง เมิ่งเจี๋ยรีบเดินตามหลังเหมียวอี้ไป แล้วกล่าวอย่างหวาดกลัวว่า “นายท่าน! ฮูหยินไม่ได้หมายความอย่างนั้นเจ้าค่ะ นางไม่เคยผ่านประสบการณ์เรื่องแบบนี้มาก่อน เพียงปรับตัวไม่ค่อยได้ ท่านให้เวลานางอีกสักหน่อย…”
เหมียวอี้โบกมือหยุด ไม่สนใจอะไร เดินก้าวยาวออกไปแล้ว
ส่วนเมิ่งหย่าก็วิ่งกลับเข้ามาในห้อง มาดึงมืออวี้หนูเจียวที่กำลังกัดริมฝีปากเงียบๆ พร้อมกล่าวขอร้องว่า “ฮูหยิน ผู้หญิงเวลาแต่งงานแล้วก็ต้องผ่านด่านนี้กันทั้งนั้น ท่านทำให้ความสัมพันธ์แข็งทื่อแบบนี้ แล้ววันลังจะใช้ชีวิตอย่างไรเจ้าคะ? ไปเจ้าค่ะ ฉวยโอกาสตอนที่นายท่านยังไม่ไป ไปก้มหน้ายอมนายท่านสักครั้ง!”
อวี้หนูเจียวสะบัดมือนางออก ไม่ยอมก้มหัว เอียงหน้าหันไปมองอีกด้าน หยดน้ำตาที่เหมือนเม็ดไข่มุกไหลอาบแก้มลงมาไม่ขาดสายโดยไร้สุ้มเสียง
จะดีจะร้ายนางก็เป็นลูกศิษย์ของปราชญ์ผีที่พิภพเล็ก นับว่าอยู่ในฐานะสูงส่งมานานจนเคยชิน ทั้งชีวิตนี้ไม่เคยได้รับความอัปยศแบบนี้มาก่อน ทว่าเมื่อเผชิญกับความอัปยศที่ทำให้ลำบากใจแบบนี้ ถึงแม้จะร้องไห้โดยไร้เสียง แต่กลับร้องไห้อย่างปวดใจมากจริงๆ นางไม่ได้ร้องไห้แบบนี้มาหลายปีแล้ว
หารู้ไม่ว่าเหมียวอี้ต้องการจะทำลายความดื้อรั้นของนาง ไหนๆ ก็แต่งงานกับข้าแล้ว ยังจะกล้าดื้อรั้นกับข้าอีกเหรอ?
จุดประสงค์ที่นางแต่งงานกับเขา ทุกคนล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจ เป็นการแต่งงานเพื่อผลประโยชน์ของซือถูเซี่ยว ต่างจากอวิ๋นจือชิว เหมียวอี้จะให้ท้ายเวลานางทำตัวกำเริบเสิบสานได้อย่างไร เช่นนั้นก็ต้องปราบปราม!
ที่ด้านนอก อวิ๋นจือชิวก็รออยู่เช่นกัน นางกังวลว่าเหมียวอี้จะใช้วิธีการตาต่อตาฟันต่อฟันจนเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา
พอเหมียวอี้เห็นนาง ก็เอ่ยปากบอกตรงๆ ทันที “ไม่มีทางรับผู้หญิงคนนี้ไว้ได้แล้ว หย่าไปเถอะ!”
อวิ๋นจือชิวกลอกตามองบน แล้วคล้องแขนเขาไว้ “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เจ้าทำซี้ซั้วอะไรกับนางไป?”
เหมียวอี้ยกมือสองข้าง “ข้ายังจะทำซี้ซั้วอะไรได้ล่ะ? นางเป็นอนุภรรยาของข้า ข้าให้นางปรนนิบัติให้มันไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องหรอกเหรอ ข้าให้นางถอดเสื้อผ้า แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะจะยอมหย่าดีกว่ายอมถอด แบบนี้ไม่แย่เหรอ?”
“…” อวิ๋นจือชิวงุนงง จริงหรือโกหก? นางไม่ค่อยเชื่อ ในเมื่ออวี้หนูเจียวแต่งงานเข้ามาแล้ว จะไม่เตรียมใจกับเรื่องนี้ไว้ล่วงหน้าได้อย่างไร?
ทว่าเหมียวอี้นำแผ่นหยกออกมาแล้ว เขียนหนังสือหย่าออกมาฉบับหนึ่ง แล้วโยนให้อวิ๋นจือชิว “เดี๋ยวให้คนนำไปส่งให้ซือถูเซี่ยวด้วย ให้เขามารับนางกลับไป บอกซือถูเซี่ยวว่าข้าแต่งงานรับอนุภรรยา ไม่ได้แต่งงานรับบรรพบุรุษกลับมาบูชา!”
เขาสบายใจแล้ว โยนของไว้แล้วเอามือไขว้หลังเดินจากไป
อวิ๋นจือชิวถือแผ่นหยกอ่านแล้วงงนิดหน่อย เร่งฝีเท้าเดินเข้าไปในห้องอวี้หนูเจียว เข้าไปในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ อยากจะถามว่าเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่
เมื่อเห็นอวี้หนูเจียวยืนร้องไห้เงียบๆ อย่างดื้อรั้น อวิ๋นจือชิวก็ถามว่า “เกิดอะไรกันแน่?”
อวี้หนูเจียวไม่พูดสักคำ ไม่ตอบอะไรทั้งนั้น ไม่ได้รับความเป็นธรรมทั้งภายในร่างกายและภายนอกร่างกาย ไม่ได้รับความเป็นธรรมตั้งแต่ศีรษะจดเท้า ไม่ได้รับความเป็นทำจะแย่อยู่แล้ว
เป็นเมิ่งเจี๋ยกับเมิ่งหย่าที่เชิญอวิ๋นจือชิวไปอีกด้านหนึ่ง เล่าสถานการณ์ที่แอบได้ยินมาให้ฟัง
อวิ๋นจือชิวได้ยินแล้วก็ทั้งโมโหทั้งอยากขำ แอบด่าเหมียวอี้ว่าไอ้คนระยำ นี่เป็นการบอกให้อีกฝ่ายปรนนิบัติเสียที่ไหนกัน ถ้าเปลี่ยนเป็นอวิ๋นจือชิวก็ไม่มีทางตอบตกลงเหมือนกัน กับผู้หญิงที่ไม่เคยผ่านประสบการณ์แบบนั้น เจ้าดันให้นางเป็นฝ่ายถอดเสื้อผ้าก่อนอย่างน่าอับอาย ใครบ้างที่จะยอมทำ? ถ้าเจ้าเป็นฝ่ายรุกสักหน่อย อีกฝ่ายก็อาจจะกัดฟันยอมรับชะตากรรมแล้ว แต่เจ้าทำแบบนั้น ผู้หญิงปกติที่ไหนจะตอบตกลงได้ล่ะ?
อวี้หนูเจียวทำท่าเหมือนได้รับความไม่ยุติธรรมสุดๆ อวิ๋นจือชิวเห็นแล้วยังปวดหัว นางก้าวขึ้นมาปาดน้ำตาให้อวี้หนูเจียว แต่ก็ยังกล่าวอย่างมีสติปัญญาว่า “อวี้หนูเจียว นายท่านโมโหแล้วจริงๆ เขียนหนังสือหย่าโยนมาให้ข้าแล้ว เจ้าว่าข้าควาจะให้เจ้าหรือไม่ให้เจ้าดี?”
“ให้ข้า!” อวี้หนูเจียวยื่นมือเข้ามา ในที่สุดก็กล่าวอย่างสะอึกสะอื้นว่า “มอบหนังสือหย่าให้ข้า ข้าออกไปก็สิ้นเรื่องแล้ว!”
เมิ่งเจี๋ยกับเมิ่งหย่ากลับกดแขนนางไว้ ไม่ให้นางรับหนังสือหย่า เมิ่งเจี๋ยส่ายหน้าบอกอวิ๋นจือชิวว่า “ฮูหยิน! เป้นเพียงความเข้าใจผิดเล็กน้อยเจ้าค่ะ ไม่ถึงขั้นต้องทำอย่างนี้ ท่านได้โปรดโน้มน้าวนายท่านด้วยเจ้าค่ะ!”
“ไปเหรอ?” อวิ๋นจือชิวจ้องอวี้หนูเจียวพร้อมถามว่า “เจ้าจะไปไหนได้? ต่อให้เจ้าออกไปได้ แต่เจ้าคิดว่าพวกซือถูเซี่ยวจะหนีไปได้เหรอ นี่คืออาณาเขตของนายท่าน เพียงนายท่านสั่งคำเดียว อาจารย์เจ้าก็ออกจากกำแพงเมืองไม่ได้ด้วยซ้ำ! เอาอย่างนี้แล้วกัน เก็บหนังสือหย่าไว้ที่ข้าก่อนชั่วคราว เจ้าไปปรึกษากับอาจารย์เจ้าอีกที ถ้าไตร่ตรองดูแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะเอาหนังสือหย่าฉบับนี้มั้ย ถ้าเจ้ายังมีความรักความห่วงใยต่อนายท่านบ้างสักหน่อย ยินดีติดตามนายท่าน เจ้าก็กลับมาบอกข้า ข้าจะไปโน้มน้าวให้นายท่านเก็บหนังสือหย่าฉบับนี้ไป!”
“ขอบคุณฮูหยิน ขอบคุณฮูหยิน!” เมิ่งเจี๋ยกับเมิ่งหย่ากล่าวขอบคุณซ้ำๆ
จากนั้น อวิ๋นจือชิวก็นำทั้งสามออกจากร้านโฉมเมฆา พาไปส่งที่โรงเตี๊ยมที่พักของซือถูเซี่ยว
เมื่อศิษย์และอาจารย์พบหน้ากันที่โรงเตี๊ยม มีคำบางคำที่อวี้หนูเจียวพูดออกมาไม่ได้ เพียงบอกว่าเหมียวอี้สร้างความอัปยศให้นาง นางไม่มีทางใช้ชีวิตแบบนั้นได้อีกต่อไป ออกมาได้แล้วก็ดีเหมือนกัน
หลังจากซือถูเซี่ยวได้รู้ความจริงจากปากหญิงรับใช้ทั้งสอง ก็เรียกได้ว่าเซ็งมาก ทางนี้ยังเตรียมจะขอยืมเงินเหมียวอี้อยู่เลย อวี้หนูเจียวกลับถือหนังสือหย่ากลับมา เขาไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะพูดอย่างไรดี เรื่องแบบนี้ไม่มีทางตำหนิอวี้หนูเจียวได้ ถ้าไม่ใช่เพราะอาจารย์อย่างเขา ลูกศิษย์ของตัวเองก็คงไม่ต้องทนรับความอยุติธรรมนี้
แต่จะว่าไปแล้ว ในเมื่อเรื่องกลายเป็นแบบนี้ อวี้หนูเจียวกลับมาพร้อมกับได้ชื่อว่าโดนขอหย่า นอกจากจะทำให้ในภายหลังอวี้หนูเจียวไม่มีหน้าไปพบใครแล้ว เขาเองก็กลัวเช่นกันว่าตอนหลังเหมียวอี้จะมาล้างแค้น ถึงแม้จะสินค้าที่พิภพใหญ่จะราคาแพง แต่กลับปลุกเร้าให้เขามีอุดมการณ์ที่ยาวไกล!
“การทะเลาะเบาะแว้งระหว่างสามีภรรยาเป็นเรื่องปกติ ทำไมต้องปล่อยให้เรื่องเล็กน้อยมาทำให้เลิกกัน?” ซือถูเซี่ยวก็ทำได้เพียงโน้มน้าวนางเช่นกัน
“ไม่ใช่การทะเลาะกัน เขากำลังจงใจสร้างความอัปยศให้ข้า”
“เจ้าเองก็มีส่วนผิดเหมือนกัน เจ้าเคยได้ยินว่ามีผู้หญิงที่ไหนบ้างที่กระชากคอเสื้อเจ้าบ่าวในห้องหอ? ชัดเจนว่าเหมียวอี้กำลังระบายอารมณ์โกรธ เจ้าก้มหัวให้สักหน่อย ให้เขาระบายอารมณ์โกรธสักหน่อยเดี๋ยวเรื่องก็ผ่านไปแล้ว…”
อ้างเหตุผลออกมาเป็นชุด ภายใต้การโน้มน้าวซ้ำๆ ของซือถูเซี่ยว ในที่สุดก็พาอวี้หนูเจียวกลับมาได้แล้ว เขาส่งนางกลับมาด้วยตัวเอง
ที่จริงหลังจากที่เริ่มใจเย็นลงแล้ว อวี้หนูเจียวก็ทนรับความยุติธรรมนี้ไม่ไหวเหมือนกัน ไอ้เวรนั่นมันมีสิทธิ์อะไร บทจะแต่งกับข้าก็จะแต่ง บทจะหย่าก็จะหย่างั้นเหรอ? ทำไมตอนหลังข้าต้องได้ชื่อว่าเป็นอนุภรรยาที่ถูกเหมียวอี้ขอหย่าด้วยล่ะ?
ในศาลาที่ลานบ้านด้านหลังของร้านโฉมเมฆา เมื่อเห็นอวิ๋นจือชิวอีกครั้ง ซือถูเซี่ยวก็ถ่อมตัวอย่างที่พบเห็นได้ยาก ช่วยพูดอะไรดีๆ เพื่ออวี้หนูเจียว
อวิ๋นจือชิวก็กล่าวรับประกันอีกครั้งเช่นกัน ว่าเรื่องนี้นางจะจัดการเอง นางจะเกลี้ยกล่อมให้เหมียวอี้เก็บหนังสือหย่ากลับไปให้ได้
แต่ซือถูเซี่ยวเหมือนต้องการจะพูดกับเหมียวอี้ให้ได้ “ให้เหมียวอี้มาที่นี่สักรอบได้มั้ย ข้าจะคุยกับเขาแบบต่อหน้า”
อวิ๋นจือชิวโบกมือบอกว่า “เรื่องนี้ให้ข้าคุยเองก็พอแล้ว ตอนนี้ดขากำลังโมโห ข้ารู้นิสัยเขาดี ถ้าตอนนี้ไปคุยกันต่อหน้าจะต้องพังแน่”
ซือถูเซี่ยวจะอยากคุยเรื่องนี้เสียที่ไหนกัน เขาอยากจะเอ่ยปากขอยืมเงินเหมียวอี้ อวี้หนูเจียวกับเหมียวอี้ทะเลาะกันจนเป็นแบบนี้แล้ว ถ้าให้อวี้หนูเจียวเอ่ยปากขออีก อวี้หนูเจียวจะทนความรู้สึกได้อย่างไร หนึ่งในหกปราชญ์ผู้สง่าผ่าเผยอย่างเขาทำได้เพียงก้มหน้าเอ่ยปากเองแล้ว “ให้เหมียวอี้มาที่นี่สักรอบเถอะ ข้ามีอีกเรื่องที่จะคุยกับเขา”
อวิ๋นจือชิวรู้ดีอยู่แก่ใจ แสร้งหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับเหมียวอี้ จากนั้นกลับบอกว่า “เหมียวอี้บอกว่าติดงานราชการ ไม่สะดวกจะมาคุยด้วย!”
ซือถูเซี่ยวพูดไม่ออก
“ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร คุยกับข้าก็เหมือนกัน เดี๋ยวข้าจะไปบอกเขาด้วยตัวเอง” อวิ๋นจือชิวกล่าว
ซือถูเซี่ยวลังเลมาก พูดไม่ค่อยออกแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังไอแห้งๆ แล้วบอกว่า “คืออย่างนี้นะ! ก่อนจะมานึกไม่ถึงว่าของที่พิภพใหญ่จะแพงขนาดนี้ เลยไม่ได้เตรียมเงินมาเยอะแยะอะไร อยากจะขอยืมเหมียวอี้สักหน่อย”
อวี้หนูเจียวที่ยืนอยู่ข้างๆ เอียงหน้ามองเขาแวบหนึ่ง พอจะตระหนักอะไรได้บ้างแล้วนิดหน่อย ถ้าสามารถทำให้อาจารย์ฝืนเอ่ยปากพูดแบบนี้ได้ ก็เกรงว่าจะไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ ถ้าไม่ใช่เพราะหมดหนทางก็คงไม่เอ่ยปากแบบนี้ แถมตัวเองกับเหมียวอี้ก็ดันมาตึงใส่กันในเวลานี้อีก
อวิ๋นจือชิวกลับพูดอย่างสบายใจมากว่า “ยังนึกว่าเรื่องอะไรเสียอีก ถ้าเป็นเรื่องเงินเล็กน้อยข้าก็มีอำนาจตัดสินใจ ไม่ต้องไปหาเหมียวอี้หรอก ผู้อาวุโสซือถูอยากจะขอยืมเท่าไรล่ะ?”
ซือถูเซี่ยวลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกว่า “หนึ่งหมื่นล้านผลึกแดง!” ที่จริงก็อยากจะขอยืมเยอะว่านี้
อวิ๋นจือชิวสูดหายใจอย่างตกตะลึงทันที “เยอะขนาดนี้เชียวเหรอ? นั่นเท่ากับหนึ่งร้อยล้านล้านผลึกทองเชียวนะ!”
อวี้หนูเจียวก็ตกใจเช่นกัน คนที่ไม่เคยใช้เงินที่พิภพใหญ่อย่างจริงจังล้วนไม่มีความคิดแบบนั้น
“เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าสามารถเขียนหลักฐานกู้ยืมได้ เรื่องดอกเบี้ยก็คุยกันได้ เมื่อถึงเวลาจะคืนให้พวกเจ้าพร้อมกันทั้งต้นทั้งดอก” ซือถูเซี่ยวกล่าว
อวิ๋นจือชิวส่ายหน้า “เงินพวกนี้ข้าก็ควักไหว ถ้าไม่ได้มากขนาดนี้ ข้าก็คงตัดสินใจเองได้แล้ว แต่ถ้าเป็นตัวเลขที่มากขนาดนี้ ถ้าข้าไม่บอกเหมียวอี้สักหน่อยก็จะฟังดูเหลวไหล แต่ดันบังเอิญเกิดเรื่องแบบนี้พอดี” นางมองอวี้หนูเจียวแวบหนึ่ง
อวี้หนูเจียวกัดฟันพลางก้มหน้าเล็กน้อย
“เอาอย่างนี้แล้วกัน! อวี้หนูเจียวก็เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเหมียวเหมือนกัน ข้าเองก็จะไม่ทำให้นางลำบาก ขอเพียงอวี้หนูเจียวบอกว่ายืมได้ ขอเพียงนางตอบตกลง เงินนี้ข้าก็จะให้นางตัดสินใจเอง ส่วนทางเหมียวอี้มีข้าคอยรับผิดชอบให้ เอาอย่างนี้ดีมั้ย?” อวิ๋นจือชิวจ้องอวี้หนูเจียว
ซือถูเซี่ยวโล่งใจแล้ว แบบนี้ก็จัดการง่าย เขาเอียงหน้ามองอวี้หนูเจียว
อวี้หนูเจียวเรียกได้ว่าจิตใจสับสนวุ่นวาย ก่อนที่นางจะกลับมา นางมีความคิดที่จะระบายความโมโหกับเหมียวอี้ แต่นึกไม่ถึงว่าจะมาเจอกับเรื่องแบบนี้อีก คำโบราณกล่าวไว้ว่ากินของเขาใช้ของเขา ก็ปฏิเสธเขาไม่ได้ ถ้าตนอยากจะแข็งกระด้าง ก็จะเอ่ยปากพูดเรื่องนี้ไม่ได้ ถ้าเอ่ยปากพูดเรื่องนี้ ก็อย่าว่าแต่เหมียวอี้เลย อย่างแรกนางต้องก้มหัวให้อวิ๋นจือชิวก่อน เมื่อขอเงินส่วนนี้จากอวิ๋นจือชิวมาแล้ว ในภายหลังถ้าไม่อยากจะเกรงใจภรรยาเอกอย่างอวิ๋นจือชิวก็คงยาก…
อวิ๋นจือชิวไม่รีบร้อน นางมีความอดทน ยกน้ำชาดื่มอย่างช้าๆ
เมื่อเห็นลูกศิษย์ไม่ยอมพูดอะไรเสียที ซือถูเซี่ยวกลับพูดไม่ออกนิดหน่อย เขาพอจะเข้าใจความคิดของอวี้หนูเจียว แต่มันเป็นเรื่องเหลวไหลน่าหัวเราะเยาะสำหรับเขา ตัวเองก็แต่งงานเข้าบ้านเขาไปแล้ว เสียสละไปแบบนี้แล้ว ตอบตกลงแค่นี้จะเป็นไรไป ไม่อย่างนั้นข้าจะให้เจ้าแต่งงานไปทำไมล่ะ? เขาจึงไอหนึ่งทีแล้วบอกว่า “พวกศิษย์พี่ของเจ้ากำลังรอใช้เงินก้อนนี้อยู่ ถ้าเจ้าไม่วางใจ ข้าจะเขียนหลักฐานกู้ยืมให้เจ้าก่อน?”
แบบี้กล่าวเกินไปแล้ว อวี้หนูเจียวจำเป็นต้องก้มหัว โค้งกายคำนับอวิ๋นจือชิวพร้อมบอกว่า “ฮูหยิน ถ้าหากสะดวก ก็ขอยืมเถอะค่ะ!”
อวิ๋นจือชิวหัวเราะเบาๆ วางถ้วยน้ำชาลง หยิบกำไลเก็บสมบัติออกมาวงหนึ่ง ยืนขึ้นแล้วยัดใส่มือนาง “เงินนี้เจ้าจัดการเองเถอะ จะใช้อย่างไรเจ้าก็ตัดสินใจเอง!”
ดูเหมือนมอบอำนาจการตัดสินใจที่ใหญ่มากให้อวี้หนูเจียว แต่อวิ๋นจือชิวต้องแบ่งแยกให้ชัดเจน นางไม่ได้มอบเงินนี้ให้ซือถูเซี่ยว แต่เป็นอวี้หนูเจียวที่ได้จากมือนางไป เป็นเงินที่อวี้หนูเจียวได้จากตระกูลเหมียวไป
ประการต่อมา นางเป็นผู้หญิง ดังนั้นจึงเข้าใจผู้หญิงมากกว่า ในเมื่ออวี้หนูเจียวมีนิสัยแบบนี้ นางก็ไม่ถือสาที่จะเสี้ยมความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์และลูกศิษย์ให้แตกคอกัน
อวี้หนูเจียวก้มหน้า วางกำไลเก็บสมบัติตรงหน้าซือถูเซี่ยว
ซือถูเซี่ยวนำกำไลเก็บสมบัติมานับทันที ผ่านไปครู่ใหญ่หลังจากแน่จว่าจำนวนไม่ผิดพลาด เขาก็พยักหน้าโล่งใจแล้ว หยิบแผ่นหยกออกมาพร้อมถามอวี้หนูเจียวว่า “หลักฐานกู้ยืม คิดดอกเบี้ยยังไง เจ้าบอกจำนวนมาก อาจารย์พูดคำไหนคำนั้น ไม่ทำให้เจ้าลำบากใจหรอก”
แล้วแบบนี้ไม่เรียกว่าทำให้ข้าลำบากใจเหรอ? อวี้หนูเจียวมองอาจารย์ตัวเองด้วยสีหน้าที่สื่ออารมณ์ซับซ้อน นางส่ายหน้าเบาๆ “เรื่องดอกเบี้ยช่างเถอะ หลักฐานกู้ยืมก็ไม่ต้องแล้ว ศิษย์จะไม่เชื่อใจอาจารย์ได้กย่างไร”
“งั้นอาจารย์ก็ไม่ทำตัวเป็นคนนอกกับเจ้าแล้ว เจ้าไม่ต้องหัว วันหลังอาจารย์จะไม่ทำให้เจ้าเสียเปรียบแน่!” ซือถูเซี่ยวเองก็ไม่เกรงใจ เมื่อบรรลุจุดประสงค์แล้ว ก็ลุกขึ้นกล่าวปลอบใจสองสามคำก่อนจะบอกลา
หลังจากซือถูกเซี่ยวออกไปแล้ว อวิ๋นจือชิวก็นำแผ่นหยกออกมา แล้วบอกกับอวี้หนูเจียวว่า “นี่คือหนังสือหย่าที่เหมียวอี้เขียน!”
แกร๊ก! ต่อหน้าอวี้หนูเจียว อวิ๋นจือชิวบีบจนแตกพังกลายเป็นผุยผงเสียเลย เสร็จแล้วก็ปัดไม้ปัดมือบอกว่า “เจ้าบ้าเหมียวอี้นั่นมีปัญหาเยอะ ไม่ต้องสนใจเขา ต่อไปถ้าเขารังแกเจ้าอีก เจ้าก็มาหาข้า ข้าจะช่วยระบายความโกรธให้เจ้าเอง!”
………………………
บทที่ 1134 ต่างก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
โดย
Ink Stone_Fantasy
คนที่ขอยืมเงินไม่ได้มีแค่อวี้หนูเจียวคนเดียวอยู่แล้ว อวี้หนูเจียวเป็นแค่คนที่มีอุปสรรคยุ่งยากมากที่สุดเท่านั้นเอง ฝ่าอินและจีเหม่ยลี่ต่างก็ขอยืมหนึ่งหมื่นล้านผลึกแดงไปจากมือของอวิ๋นจือชิวเช่นกัน
หลายวันหลังจากนั้น เหมียวอี้ก็มาที่ร้านโฉมเมฆาอีกครั้ง อวิ๋นจือชิวเล่าสถานการณ์ให้ฟังทีละคน
“หงเฉินไม่ได้เอ่ยปากเหรอ?” เหมียวอี้ถาม
อวิ๋นจือชิวส่ายหน้า “มู่ฝานจวินได้ไปจากสองพี่น้องฝาแฝดแล้ว ยังต้องให้นางเอ่ยปากอีกเหรอ หลังจากหงเฉินมาที่นี่ก็หลบอยู่ในชัยภูมิถ้ำสวรรรค์ตลอด ไม่เคยก้าวออกไปไหนเลย เหมือนคนที่ออกบวชยิ่งกว่าฝ่าอินอีก อวี้หนูเจียวนับว่าถูกเจ้าเล่นงานจนห่อเหี่ยวแล้ว ไม่ออกจากห้องเหมือนกัน ตอนมาทีแรกยังบ่นว่าอยากออกไปดูข้างนอกอยู่เลย ตอนนี้ไม่พูดไม่จาอะไรทั้งนั้น เรื่องราวผ่านไปแล้วก็ช่างเถอะ ไหนๆ ก็แต่งงานกันแล้ว เจ้าต้องหาทางทำให้พวกนางกลายเป็นคนของตัวเอง ไม่ใช่กลายเป็นศัตรูที่อยู่ข้างกาย”
พูดจบก็นำแผ่นหยกแผ่นหนึ่งยัดใส่มือเหมียวอี้ “เอาอันนี้ไปให้นาง พูดอะไรเพราะๆ ปลอบใจนางสักหน่อย”
เหมียวอี้ร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูนิดหน่อย พบว่าเป็นเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางฉบับสำเนา จากนั้นก็พยักหน้าให้
“ส่วนเคล็ดวิชาอื่น ข้าจะดูสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยให้คนอื่น ข้ามีอีกเรื่องที่จะบอกเจ้า ของที่เจ้าบอกให้ข้ามอบให้น้องสาวเจ้าน่ะ นางไม่ยอมรับไว้ อยากได้แค่เคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ส่วนอย่างอื่นนางปฏิเสธทั้งหมด บอกว่ามีทางเดินของตัวเอง ข้าพูดดีด้วยเต็มที่แล้วก็ไม่ได้ผล ถึงอย่างไรข้าก็ทำอะไรนางไม่ได้ ให้พี่ชายอย่างเจ้าออกหน้าด้วยตัวเองแล้วกัน ข้าหน้าบาง” อวิ๋นจือชิวนำกำไลเก็บสมบัติอีกวงยื่นออกมา
หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง เหมียวอี้ก็ผลักกลับคืนไปพลางถอนหายใจ “โตแล้ว ควบคุมไม่ได้แล้ว ไม่ต้องคุมแล้ว ข้าจะได้ประหยัดเงินสักหน่อย”
คำพูดนี้ฟังดูค่อนข้างจนใจ แต่การประหยัดเงินคือความจริง ในหลายปีมานี้ถึงแม้เขาจะหาเงินได้ไม่น้อย แต่ค่าใช้จ่ายก็เยอะมากจริงๆ แค่ยาเจี๋ยตันที่ใช้ไปกับเฮยทั่นและตั๊กแตนแปดสิบห้าตัวก็แทบแย่แล้ว ตอนนี้แต่งงานรับอนุภรรยามาอีกสี่ห้อง บวกกับสาวใช้ที่แต่งงานพ่วงเข้ามาด้วยกัน เพิ่มมาสิบสองคนในรวดเดียว เขาต้องเป็นคนเลี้ยงทั้งหมด
พอเข้ามาในชัยภูมิถ้ำสวรรรค์ที่พักของหงเฉิน ก็ไม่เห็นหงเฉินออกมาต้อนรับ พอรู้ว่าหงเฉินกำลังฝึกตนอยู่ในสวนดอกไม้ เหมียวอี้ก็ไม่ได้ให้จื่ออวิ๋นกับจื่อหัวตามไป เขาเข้าไปหาในสวนดอกไม้เพียงลำพัง
บนโต๊ะและเก้าอี้หินในศาลาเย็นของสวนดอกไม้ถูกย้ายออกไป เสื้อไม้ไผ่ชิ้นหนึ่งปูอยู่กลางศาลา หงเฉินนั่งกำลังขัดสมาธิอยู่ในนั้น คิดดูว่าภาพนี้น่าประทับใจขนาดไหน
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า หงเฉินก็ลืมตามอง แล้วยิ้มบางๆ พร้อมบอกว่า “เจ้าไม่ต้องสนใจข้าหรอก”
“จะดีจะร้ายข้าก็แต่งงานรับเจ้ามาเป็นอนุภรรยาแล้ว ข้ามาเยี่ยมสักหน่อยคงไม่ถือว่าทำเกินไปหรอกมั้ง” เหมียวอี้เดินเข้ามาเองโดยไม่ได้เชิญ นั่งขัดสมาธิตรงข้ามกับหงเฉิน จ้องเชยชมใบหน้าของหงเฉินอย่างไม่เกรงกลัวผู้ใด พบว่าการเลี้ยงดูผู้หญิงสวยขนาดนี้ไว้ในมือ ก็เป็นเรื่องที่ทำให้เบิกบานใจมากเหมือนกัน เสียเงินบ้างสักหน่อยก็ถือว่าคุ้มค่า
หงเฉินมองเหมียวอี้ที่เข่าของเขาแทบจะชนกับเข่าของตัวเอง แล้วกล่าวอย่างสงบนิ่งว่า “ไม่เกินไปหรอก ถ้าเจ้ามาหาข้าเพื่อใช้ชีวิตสามีภรรยา เช่นนั้นก็ไปที่ห้องแล้วกัน ถึงอย่างไรก็ไม่สะดวกตรงนี้”
“
ปาดเหงื่อ! ภายใต้ความงดงาม เหมียวอี้รู้สึกกระเหี้ยนกระหือรือจริงๆ ถึงอย่างไรนางก็ได้ชื่อว่าเป็นคนของเขาอยู่แล้ว เขาวู่วามอยากจะหาโอกาสลงมือ ถึงอย่างไรเขาก็มีความฝันนั้นตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนตอนได้เจอผู้หญิงคนครั้งแรก ตอนนี้ความฝันมาอยู่ในมือ ย่อมต้องคอยคิดแต่จะหาโอกาสทำให้มันเป็นจริง”
แต่การโดนอีกฝ่ายพูดแทงใจดำตรงๆ แบบนี้ เขาก็ยังเก้อเขินนิดหน่อย พยายามข่มความคิดไม่ดีเอาไว้ แสร้งทำตัวเรียบร้อยจริงจัง แล้วเปลี่ยนประเด็นสนทนา “เจ้าคิดไปถึงไหนแล้ว อย่าบอกนะว่าข้าเป็นคนแบบนั้นในสายตาเจ้า? ข้าก็แค่มาเยี่ยมเจ้าเท่านั้น อยู่ที่นี่ชินแล้วหรือยัง?”
หงเฉินตอบว่า “ทีแรกก็ดีมาก เพียงแต่ไม่ค่อยสงบ มักมีคนหวังให้ข้าเป็นฝ่ายรุกหาเจ้าสักหน่อย” นางมองไปข้างนอกแวบหนึ่ง บอกใบ้เล็กน้อย
เหมียวอี้เข้าใจสิ่งที่นางจะสื่อ นางหมายถึงจื่ออวิ๋นกับจื่อหัวที่มู่ฝานจวินส่งมา จึงกล่าวเสียงต่ำว่า “จะให้ข้าช่วยกำจัดพวกนางสองคนมั้ยล่ะ”
หงเฉินส่ายหน้า “ช่างเถิด ในเมื่อข้าแต่งงานกับเจ้าแล้ว พวกนางก็ไม่มีทางกดดันอะไรข้าได้อีก ก็ได้แค่บ่นเท่านั้น ที่จริงพวกนางก็น่าสงสารมากเหมือนกัน รอให้หลุดพ้นจากอาจารย์ของข้านานๆ ก่อน เดี๋ยวพวกนางก็สงบลงเอง เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเรื่องนี้ให้สุดโต่ง”
เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง เดิมทีเตรียมจะให้หงเฉินย้ายไปอยู่กับสองพี่น้องฝาแฝด แต่พอเห็นสถานการณ์แบบนี้ ถ้าจื่ออวิ๋นกับจื่อหัวไปไปเพิ่มแรงกดดันของมู่ฝานจวินให้สองพี่น้องฝาแฝดอีก ก็กลัวว่าจะทำให้สองพี่น้องเป็นทุกข์ไปด้วย ที่นี่มีอวิ๋นจือชิวค่อยกดอยู่ จื่ออวิ๋นกับจื่อหัวจึงต้องทำตัวว่านอนสอนง่ายหน่อย ฮูหยินคนนั้นของตนก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน
ไม่สะดวกจะลงมือกินเนื้อ เหมียวอี้ทำได้เพียงขอตัวลา ลุกขึ้นแล้วบอกว่า “ถ้าต้องการทรัพยากรฝึกตนก็ไปหาอวิ๋นจือชิว ถ้ามีเรื่องอะไรก็ไปหาอวิ๋นจือชิวได้ นางจะจัดเตรียมให้อย่างดี”
“เช่นนั้นข้าไม่ไปส่งแล้วกัน!” หงเฉินที่นั่งอยู่ในศาลา นอกจากจะไม่มีท่าทีต้อนรับการไปมาหาสู่กันแล้ว ยังเอ่ยขึ้นมาอีกว่า “เรื่องบางเรื่องในเมื่อตัดสินใจเลือกแล้ว ข้าก็เตรียมใจยอมรับไว้แล้วเช่นกัน ไม่ขับไล่หรอก ถ้าเจ้าอยากครอบครองข้าก็พูดออกมาตรงๆ ได้ นี่คือราคาที่ข้าควรต้องจ่าย”
ก็บอกแล้วไงว่าข้าไม่ใช่คนอย่างนั้น วางมาดต่อไปแล้วกัน! ท่านขุนนางเหมียวแสร้งทำตัวเรียบร้อยพลางพูดเอาตัวรอดไปนิดหน่อย แล้วจากไปด้วยท่าทางสุขุมเยือกเย็น แต่ที่จริงในใจรู้สึกเหมือนหนีเตลิดเพราะหวาดกลัว
พอออกจากห้องของหงเฉิน เขาก็มายืนลังเลอยู่ตรงประตูห้องห้องฝ่าอิน แล้วสุดท้ายก็จากไป
ฝ่าอินทำให้เขารับไม่ไหวนิดหน่อย สวยจนอยากจะกลืนกิน เพียงการจะลงมือกับนางต้องใช้ความกล้าหาญพอสมควร เมื่อเจอคนที่เป็นฝ่ายเอ่ยถึงเรื่องร่วมหอทุกครั้งที่เจอกัน กลับทำให้เจ้ารู้สึกเหมือนนางมาโปรดสัตว์ เหมียวอี้เพิ่งเคยเจอแบบนี้เป็นครั้งแรก ทำให้เขาไม่กล้าดูหมิ่นจริงๆ หลังจากคุยกันสองสามคำเหมียวอี้ก็อยากจะหนีแล้ว ไม่มีอารมณ์จะทำอะไรแล้ว
พอเดินมาถึงห้องของจีเหม่ยลี่ก็หยุดชะงัก
เขาก็รับผู้หญิงคนนี้ไม่ไหวเหมือนกัน นางไม่ขัดขืนถ้าเจ้าจะทำเรื่องระหว่างชายหญิง แต่นางกลับเย็นชาเหมือนน้ำแข็ง จุดมุ่งหมายแข็งแรงมาก ถ้าข้าทำเรื่องแบบนั้นกับเจ้า เจ้าก็ต้องให้ผลประโยชน์กับข้า ความรู้สึกแบบนั้นชัดเจนเกินไป นางจะต่อรองราคากับเจ้าตรงๆ อย่างไม่เกรงใจ ให้ความรู้สึกเหมือนไปที่หอโคมเขียว
เขาส่ายหน้าเบาๆ แล้วก็ถอนหายใจเดินจากไป เขากลุ้มใจแล้ว ทำไมตัวเองแต่งงานรับผู้หญิงแปลกๆ พวกนี้กลับมาได้ เป็นเหมือนคำพูดหยอกล้อของอวิ๋นจือชิวจริงๆ แต่ละคนต่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
เมื่อเจออวี้หนูเจียวอีกครั้ง ก็พบว่าผู้หญิงคนนี้จิตใจเซื่องซึมลงไม่น้อย นางย่อเข่าคำนับอย่างช้าๆ “นายท่าน!”
“อืม!” เหมียวอี้เดินมาตรงหน้านางแล้วจ้องนาง ยื่นมือไปคว้ามือที่เรียวสวย แล้วจูงเข้าห้องไปทันที
ครั้งนี้อวี้หนูเจียวไม่ทำพฤติกรรมขัดขืนใดๆ ก้มหน้าเดินตามเขาอย่างเงียบๆ แล้ว
พอเข้ามาในห้อง เหมียวอี้ก็ยังปิดประตูเหมือนเดิม แล้วก็เอามือไขว้หลังเดินวนรอบนางอีก
ผู้หญิงที่ก่อนหน้านี้ยังแอ่นอกเชิดหน้าคงไว้ซึ่งความอวดดี ในที่สุดตอนนี้ก็ก้มหัวลดศักดิ์ศรีของตัวเองแล้ว นางเพียงก้มหน้าเงียบๆ
เหมียวอี้ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้านาง กล่าวเสียงเรียบว่า “ถอดสิ!”
อวี้หนูเจียวเริ่มกัดริมฝีปากแน่น เอียงหน้าไม่มองเขา แล้วค่อยๆ ยกมือขึ้น แหวกคอเสื้อออกอย่างช้าๆ เผยกระดูกไหปลาร้าที่ขาวงดงามดุจหิมะออกมา
มือที่สั่นเทิ้มไม่หยุดถูกมือข้างหนึ่งที่มีไออุ่นคว้าเอาไว้ นางหันหน้ากลับมาอย่างช้าๆ
เหมียวอี้คว้ามือของนางมาลูบคลำเล็กน้อย พบว่ามือของนางเย็นเหมือนน้ำแข็ง นางเป็นนักพรตผี บนร่างกายไม่มีอุณหภูมิความร้อน ถ้ารู้สึกได้ถึงไออุ่นจากตัวนาง แสดงว่าคิดไปเองแน่นอน มนุษย์ธรรมดาเสวยสุขกับผู้หญิงแบบนี้ไม่ไหว เพราะจะทำให้เจ้าสูญเสียพลังหยางจนหมด
เหมียวอี้ปล่อยมือนาง แล้วก็ช่วยนางดึงคอเสื้อขึ้นมาอีกครั้ง ช่วยติดกระดุมคอเสื้อให้อย่างระมัดระวัง “ต่อไปเลิกต่อต้าข้าได้แล้ว ตอนนี้เจ้ากลายเป็นผู้หญิงของข้าแล้ว ต้องอยู่กับข้าไปทั้งชีวิต ข้าจะจงใจสร้างความอัปยศให้เจ้าได้อย่างไรกัน เลิกโกรธข้าได้แล้ว ก่อนหน้านี้ข้าผิดเอง ข้ามาขอโทษเจ้า!”
คำพูดนี้อบอุ่นยิ่งกว่าอุณหภูมิที่แผ่นมาจากมือเขาเสียอีก
รู้สึกแปลก! อวี้หนูเจียวพลันกางแขนสองข้างแล้วโผเข้าไปในอ้อมกอดเขา นางร้องไห้แล้ว ร้องไห้สะอึกสะอื้น ร้องไปพลางทุบตีเขาไปพลาง “เจ้ารังแกข้า…เจ้ารังแกข้า…”
เรียกได้ว่าร้องไห้ระบายอารมณ์ออกมา เหมียวอี้กอดนางพลางยิ้มบางๆ ปล่อยให้นางทุบตี ปล่อยให้นางระบายอารมณ์
ไม่ง่ายเลยกว่าอารมณ์จะสงบลง อวี้หนูเจียวที่ผละออกจากอ้อมกอดเขากลับเริ่มรู้สึกอับอายขึ้นมาแล้ว นางหันหลังให้เขาพลางเช็ดน้ำตา ขนาดนางเองก็ยังทำใจให้เชื่อได้ยาก นี่ตนโผเข้าไปร้องไห้ในอ้อมอกไอ้สาระเลวนี่เหมือนผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งงั้นเหรอ?
แต่กลับค้นพบอย่างแปลกประหลาดว่าบรรยากาศระหว่างทั้งสองคนเหมือนจะไม่ได้หนักหน่วงขนาดนั้นแล้ว ความกดดันแบบที่หัวใจยากจะรับไหวพลันหายไปในชั่วพริบตาเดียว
เหมียวอี้เดินมานั่งลงข้างเตียง ตบที่ข้างเตียงพลางบอกว่า “ร้องไห้น่าเกลียดขนาดไหน มานั่งนี่เถอะ ไม่ต้องกังวล ถ้าเจ้าไม่ยินยอม ข้าก็จะไม่ฝืนล่วงเกินเจ้า”
“อย่าคิดว่าข้ากลัวเจ้านะ!” อวี้หนูเจียวที่ยกแขนเสื้อเช็ดน้ำตาอีกครั้งกล่าวอย่างดื้อรั้น แล้วก็รีบเดินเข้ามา หมุนตัวนั่งลงข้างกายเหมียวอี้
เหมียวอี้คว้ามือนางมาอีกครั้ง แล้วตบแผ่นหยกลงบนฝ่ามือนาง “มอบให้เจ้า!”
พออวี้หนูเจียวรับมาอ่าน ก็พบว่าเป็นเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยาง ถามว่า “อาจารย์ข้าให้เจ้าเหรอ?”
เหมียวอี้พยักหน้า “ไม่รู้ว่าอาจารย์ได้บอกเจ้ารึเปล่า ที่จริงเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางที่อยู่ในมืออาจารย์เจ้าเป็นฉบับไม่สมบูรณ์ เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางแบบสมบูรณ์แบ่งเป็นภาคฟ้า ภาคดิน ภาคคน มีทั้งหมดสามภาค ในมืออาจารย์เจ้ามีแค่ภาคดินที่ครบสมบูรณ์”
อวี้หนูเจียวตกใจเล็กน้อย ส่ายหน้าตอบเบาๆ “ไม่เคยได้ยิน”
“เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางฉบับสมบูรณ์อยู่ที่พิภพใหญ่ รอให้ข้าหาครบแล้วจะมอบให้เจ้าอีกที ถ้าฝึกแล้วเจ้าจะเก่งกว่าอาจารย์เจ้าอีก” เหมียวอี้กล่าว
อวี้หนูเจียวเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วโบกแผ่นหยกในมือ “เจ้าเป็นคนนำมาให้ข้าเองนะ ข้าไม่ได้ขอร้องนะ”
เหมียวอี้จับมือนางอีกครั้ง “งั้นข้าขอร้องให้เจ้าเก็บไว้ตกลงมั้ย รอให้วันไหนเจ้าฝึกเคล็ดวิชาสำเร็จ ข้าจะขอให้เจ้าปกป้องข้าดีมั้ย? ถึงตอนนั้นถ้าเจ้าขู่เข็ญให้ข้าถอดเสื้อผ้า ข้าก็จะถอดออกแต่โดยดี จะไม่ลังเลแน่นอน แล้วก็จะไม่ร้องไห้ขี้มูกโป่งเหมือนเจ้าด้วย โถๆๆ! อวี้หนูเจียวที่จะโกนด่าข้าว่าไอ้เหมียวจัญไรและหมายจะฆ่าข้าในปีนั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะมาร้องไห้ฟูมฟายอยู่ในอ้อมอกข้า โลกเราคาดเดาได้ยากจริงๆ!”
“อ๊า!” อวี้หนูเจียวอับอายจนโมโหทันที โบกหมัดทุบบนตัวเขามั่วๆ พักหนึ่ง
เหมียวอี้พลันคว้ามือนางไว้สองข้า แล้วกดนางลงบนเตียงเสียเลย เขากดอยู่บนตัวนางแล้ว
อวี้หนูเจียวสงบลงทันที ดวงตาทั้งสี่สบประสานกัน เหมียวอี้ก้มหน้าลงจูบบนริมฝีปากนางแล้ว ความเร่าร้อนที่เหมือนดั่งไฟ ทำให้คนละลายแล้วจริงๆ
อวี้หนูเจียวพบว่าตัวเองหัวใจเต้นรัว หลับตาซึมซับความรู้สึกที่ทำให้ตัวเองชาไปทั้งร่างกาย รู้สึกได้ว่าสองมือมารของเหมียวอี้ที่กำเริบเสิบสานอยู่บนร่างกายตนทำให้ตนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว
หลังจากตักตวงจากนางได้พอสมควร จู่ๆ เหมียวอี้ก็ปล่อยนาง ลุกขึ้นยืนแล้วไอแห้งๆ “เอ่อคือ ข้าพูดคำไหนคำนั้น ถ้าเจ้าไม่ยินยอมข้าก็ไม่ทำซี้ซั้วแน่นอน”
อวี้หนูเจียวได้ยินแล้วลืมตามองเขา พบว่าหน้าอกขาวดุจหิมะของตัวเองเผยออกมาแล้วเกินครึ่ง แต่อีกฝ่ายดันพูดจาแบบนั้น ทำให้นางคว้าหมอนข้างๆ มาทุ่มโยนใส่ทันที เหมียวอี้โบกมือบังไว้ แล้วหัวเราะลั่นพลางออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
เมิ่งเจี๋ยกับเมิ่งหย่ารีบเข้ามา อวี้หนูเจียวที่ลุกขึ้นจากเตียงฉุกละหุกทำอะไรไม่ถูกทันที รีบจัดเสื้อผ้าตรงหน้าอกให้เรียบร้อย อับอายจนหน้าแดงเป็นก้นลิงแล้ว
เมิ่งเจี๋ยกับเมิ่งหย่าแลบลิ้นหยอกล้อ แล้วก็รีบถอยออกไป ถือโอกาสปิดประตูให้ด้วย
อวี้หนูเจียวที่นั่งอยู่ข้างเตียงกลับเอามือปิดหน้าอกอย่างเหม่อลอย จู่ๆ นางก็พบว่าเรื่องที่เหมียวอี้ทำกับนางเมื่อครู่นี้ไม่เพียงแค่ไม่น่ารำคาญ แต่ในใจกลับรู้สึกหวานชื่นอย่างอธิบายไม่ถูก พบว่าสถานการณ์เหมือนจะไม่ได้เกินรับไหวอย่างที่ตนจินตนาการไว้ ไม่น่าเชื่อว่าจะรู้สึกเฝ้าคอยด้วย เขามีภรรยาเป็นโขยง ไม่รู้ว่าเมื่อไรถึงจะมาหาข้าอีก…
นางพลันส่ายหน้า พอได้สติกลับมา ก็พบว่าตัวเองต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ…
…………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น